ระบบสรุ ิยะ
จัดทำโดย
นางสาวยูสบดี า สาและ
รหสั นักศกึ ษา 406228009
คณะครศุ าสตร์ สาขาภาษาอังกฤษและเทคโนโลยกี ารศกึ ษา
ระบบสุริยะ
ระบบสุริยะ (อังกฤษ: Solar System) ประกอบด้วยดวงอาทิตย์และวัตถุอ่ืน ๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์
เนื่องจากแรงโน้มถ่วง ได้แก่ ดาวเคราะห์ 8 ดวงกับดวงจันทร์บริวารท่ีค้นพบแล้ว 166 ดวง[5] ดาวเคราะห์
แคระ 5 ดวงกับดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 4 ดวง กับวัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ อีกนับล้านชิ้น ซ่ึงรวมถึง ดาว
เคราะห์นอ้ ย วตั ถุในแถบไคเปอร์ ดาวหาง สะเกด็ ดาว และฝนุ่ ระหวา่ งดาวเคราะห์
โดยทวั่ ไปแลว้ จะแบ่งย่านตา่ ง ๆ ของระบบสรุ ยิ ะ นบั จากดวงอาทติ ย์ออกมาดงั น้ีคือ ดาวเคราะหช์ ้ันใน
จานวน 4 ดวง แถบดาวเคราะหน์ อ้ ย ดาวเคราะหข์ นาดใหญร่ อบนอกจานวน 4 ดวง และแถบไคเปอร์ซง่ึ
ประกอบด้วยวตั ถุทเ่ี ย็นจัดเป็นน้าแข็ง พ้นจากแถบไคเปอร์ออกไปเป็นเขตแถบจานกระจาย ขอบเขตเฮลิโอ
พอส (เขตแดนตามทฤษฎที ี่ซง่ึ ลมสุรยิ ะส้ินกาลังลงเนื่องจากมวลสารระหวา่ งดวงดาว) และพ้นไปจากนนั้ คอื
ย่านของเมฆออร์ต
กระแสพลาสมาทไี่ หลออกจากดวงอาทติ ย์ (หรือลมสรุ ยิ ะ) จะแผ่ตัวไปทัว่ ระบบสรุ ิยะ สรา้ งโพรงขนาด
ใหญ่ขึ้นในสสารระหวา่ งดาวเรียกกันวา่ เฮลิโอสเฟียร์ ซ่ึงขยายออกไปจากใจกลางของแถบจานกระจาย
ดาวเคราะห์ช้นั เอกทัง้ 8 ดวงในระบบสุริยะ เรยี งลาดบั จากใกลด้ วงอาทิตยท์ ่สี ุดออกไป มดี ังน้ีคอื ดาว
พุธ ดาวศกุ ร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยเู รนสั และดาวเนปจนู
นบั ถงึ กลางปี ค.ศ. 2008 วัตถขุ นาดย่อมกวา่ ดาวเคราะห์จานวน 5 ดวง ได้รบั การจัดระดับให้เป็นดาว
เคราะหแ์ คระ ได้แก่ ซรี ีสในแถบดาวเคราะหน์ ้อย กับวัตถอุ ีก 4 ดวงท่โี คจรรอบดวงอาทติ ย์อยูใ่ นยา่ นพ้นดาว
เนปจนู คอื ดาวพลูโต (ซง่ึ เดมิ เคยถกู จดั ระดบั ไวเ้ ปน็ ดาวเคราะห)์ เฮาเมอา มาคีมาคี และ อรี สี
มีดาวเคราะห์ 6 ดวงและดาวเคราะห์แคระ 3 ดวงท่ีมีดาวบริวารโคจรอยู่รอบ ๆ เราเรียกดาวบริวาร
เหลา่ นี้วา่ "ดวงจันทร์" ตามอย่างดวงจนั ทร์ของโลก นอกจากนี้ดาวเคราะห์ช้ันนอกยังมีวงแหวนดาวเคราะห์อยู่
รอบตัวอันประกอบดว้ ยเศษฝนุ่ และอนภุ าคขนาดเล็ก
สาหรับคาว่า ระบบดาวเคราะห์ ใชเ้ มื่อกลา่ วถงึ ระบบดาวโดยทว่ั ไปที่มวี ัตถตุ ่าง ๆ โคจรรอบดาวฤกษ์ คา
ว่า "ระบบสุริยะ" ควรใช้เฉพาะกับระบบดาวเคราะห์ท่ีมีโลกเป็นสมาชิก และไม่ควรเรียกว่า "ระบบสุริย ะ
จกั รวาล" อยา่ งท่เี รยี กกนั ติดปาก เนอื่ งจากไม่เก่ยี วขอ้ งกับคาวา่ "จักรวาล" ตามนยั ท่ีใช้ในปจั จุบนั
ประวัตกิ ำรคน้ พบและกำรสำรวจ
นับเป็นเวลาหลายพันปีในอดีตกาลท่ีมนุษยชาติไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ามีส่ิงท่ีเรียกว่า ระบบสุริยะ แต่เดิม
มนุษย์เชื่อว่า โลกเป็นศูนย์กลางจักรวาลที่อยู่น่ิง มีดวงดาวต่าง ๆ โคจรไปรอบ ๆ ผ่านไปบนท้องฟ้า แม้ว่านัก
ดาราศาสตรแ์ ละนกั คณติ ศาสตรช์ าวอนิ เดียชือ่ Aryabhata และนกั ปรัชญาชาวกรกี Aristarchus เคยมีแนวคิด
เกี่ยวกับการที่ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล และจัดลาดับจักรวาลเสียใหม่ แต่ผู้ท่ีสามารถคิดค้น
แบบจาลองทางคณิตศาสตร์เพ่ือพิสูจน์แนวคิดนี้ได้สาเร็จเป็นคนแรกคือ นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส ใน
คริสต์ศตวรรษท่ี 17 มีผู้สืบทอดแนวทางการศึกษาของเขาต่อมา คือกาลิเลโอ กาลิเลอี โยฮันเนส เคป
เลอร์ และ ไอแซค นิวตัน พวกเขาพยายามทาความเข้าใจระบบทางฟิสิกส์และเสาะหาหลักฐานการพิสูจน์
ยืนยันว่า โลกเคล่ือนไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายต่างก็ดาเนินไปภายใต้กฎทางฟิสิกส์แบบ
เดียวกันน้ี ในยุคหลังต่อมาจึงเริ่มมีการสืบสวนค้นหาปรากฏการณ์ทางภูมิธรณีต่าง ๆ เช่น เทือกเขา แอ่งหิน
ปรากฏการณ์สภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนตามฤดูกาล การศึกษาเก่ียวกับเมฆ พายุทราย และยอดเขาน้าแข็งบน
ดาวเคราะหด์ วงอ่ืน ๆ
กำรสำรวจยคุ แรก
การสารวจระบบสุริยะในยุคแรกดาเนินไปได้โดยอาศัยกล้องโทรทรรศน์ เพื่อช่วยนักดาราศาสตร์จัดทา
แผนภาพท้องฟา้ แสดงตาแหนง่ ของวัตถทุ จ่ี างเกนิ กวา่ จะมองเห็นได้ดว้ ยตาเปล่า
กาลิเลโอ กาลิเลอี คือผู้แรกท่ีค้นพบรายละเอียดทางกายภาพของวัตถุในระบบสุริยะ เขาค้นพบว่าผิว
ดวงจันทร์นั้นขรุขระ ส่วนดวงอาทิตย์ก็มีจุดด่างดา และดาวพฤหัสบดีมีดาวบริวารสี่ดวงโคจรไปรอบ ๆ คริสตี
ยาน เฮยเคินส์ เจริญรอยตามกาลเิ ลโอโดยค้นพบไททัน ดวงจันทรข์ องดาวเสาร์ รวมถึงวงแหวนของมันด้วย ใน
เวลาต่อมา จิโอวนั นี โดเมนิโก กัสสินี คน้ พบดวงจนั ทร์ของดาวเสาร์เพ่ิมอีก 4 ดวง ช่องว่างในวงแหวนของดาว
เสาร์ รวมถึงจดุ แดงใหญบ่ นดาวพฤหัสบดแี ละสงื่ ยาส่
ปี ค.ศ. 1705 เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ค้นพบว่าดาวหางหลายดวงในบันทึกประวัติศาสตร์ท่ีจริงเป็นดวงเดิม
กลับมาปรากฏซ้า ถือเป็นการพบหลักฐานชิ้นแรกสาหรับการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของวัตถุอ่ืนนอกเหนือจาก
ดาวเคราะห์ ในชว่ งระยะเวลาเดียวกันนีจ้ งึ เร่ิมมกี ารใชค้ าว่า "ระบบสุริยะ" ขึน้ เปน็ คร้งั แรก
ค.ศ. 1781 วิลเลยี ม เฮอรเ์ ชล ค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหมค่ ือ ดาวยูเรนัส โดยที่ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็น
ดาวหาง ตอ่ มาในปี ค.ศ. 1801 จูเซปเป ปอี ซั ซี ค้นพบวัตถุโคจรอยู่ระหวา่ งดาวอังคารกบั ดาวพฤหัสบดี ในตอน
แรกเขาคิดว่าเป็นดาวเคราะห์ แต่ต่อมาจึงมีการค้นพบวัตถุขนาดเล็กนับเป็นพันดวงในย่านอวกาศนั้น ซ่ึงใน
เวลาตอ่ มาจงึ เรยี กวตั ถเุ หลา่ นนั้ ว่า ดาวเคราะห์น้อย
ไมอ่ าจระบุได้แนช่ ดั วา่ ระบบสุริยะถกู "ค้นพบ" เมอ่ื ใดกันแน่ แต่การสงั เกตการณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
19 สามรายการสามารถบรรยายลักษณะและตาแหน่งของระบบสุริยะในเอกภพได้อย่างไม่มีข้อสงสัย รายการ
แรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1838 เมือ่ ฟรดี ดริค เบสเซล สามารถวัดพารลั แลกซข์ องดาวได้ เขาพบว่าตาแหน่งปรากฏ
ของดาวเปล่ียนแปลงไปตามการเคล่ือนที่ของโลกท่ีโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ น่ีไม่เพียงเป็นข้อพิสูจน์ทางตรงต่อ
แนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล แต่ยังได้เปิดเผยให้ทราบถึงระยะทางมหาศาลระหว่างระบบสุริยะ
ของเรากับดวงดาวอ่ืนเป็นครั้งแรก ต่อมาในปี ค.ศ. 1859 โรเบิร์ต บุนเซน และ กุสตาฟ เคอร์ชอฟฟ์ ได้ใช้ส
เปกโตรสโคปท่ีประดิษฐ์ขึ้นใหม่ตรวจวัดค่าสเปกตรัมจากดวงอาทิตย์ และพบว่ามันประกอบด้วยธาตุชนิด
เดยี วกนั กับทม่ี ีอยูบ่ นโลก นับเป็นครง้ั แรกทพ่ี บข้อมลู ทางกายภาพทเ่ี ก่ียวโยงกนั ระหวา่ งโลกกับสวรรค์ หลังจาก
นั้น คุณพ่อแองเจโล เชคคี เปรียบเทียบรายละเอียดสเปกตรัมของดวงอาทิตย์กับดาวฤกษ์ดวงอ่ืน และพบว่า
มนั เหมือนกนั ทุกประการ ขอ้ เท็จจริงทีพ่ บว่าดวงอาทิตย์กเ็ ป็นดาวฤกษ์ดวงหนงึ่ นาไปสู่ข้อสมมุติฐานว่าดาวฤกษ์
ดวงอื่นก็อาจมีระบบดาวเคราะห์ของมันเองเช่นกัน แม้ว่ากว่าจะค้นพบหลักฐานสาหรับข้อสมมุติฐานนี้จะต้อง
ใช้เวลาตอ่ มาอีกกวา่ 140 ปี
ค.ศ. 1992 มีการค้นพบหลักฐานแรกท่ีส่อถึงระบบดาวเคราะห์แห่งอื่นนอกเหนือจากระบบของเรา โคจรอยู่
รอบดาวพัลซาร์ พีเอสอาร์ บี1257+12 สามปีต่อมาจึงพบดาวเคราะห์นอกระบบดวงแรกคือ 51 เพกาซี บี
โคจรรอบดาวฤกษ์ลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ ตราบจนถึงปี ค.ศ. 2008 มีการค้นพบระบบดาวเคราะห์อ่ืนแล้ว
กวา่ 221 ระบบ
กำรสำรวจดว้ ยยำนอวกำศ
ยุคของการสารวจอวกาศดว้ ยยานอวกาศเรม่ิ ต้นข้ึนนับแต่สหภาพโซเวียตส่งดาวเทียมสปุตนิก 1 ขึ้นสู่วง
โคจรรอบโลกเมื่อปี ค.ศ. 1957 โดยได้โคจรอยู่เป็นเวลา 1 ปี ต่อมายานเอกซ์พลอเรอร์ 6 ของ
สหรฐั อเมริกา ขึ้นสู่วงโคจรในปี 1959 และสามารถถ่ายภาพโลกจากอวกาศได้เปน็ ครัง้ แรก
ยานสารวจลาแรกท่ีเดินทางไปถึงวัตถุอื่นในระบบสุริยะ คือยานลูนา 1 ซึ่งเดินทางผ่านดวงจันทร์ในปี
ค.ศ. 1959 ในตอนแรกตั้งใจกันว่าจะให้มันตกลงบนดวงจันทร์ แต่ยานพลาดเป้าหมายแล้วจึงกลายเป็นยานท่ี
สร้างโดยมนุษย์ลาแรกที่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์ ยานมาริเนอร์ 2 เป็นยานอวกาศลาแรกท่ีเดินทางไปถึงดาว
เคราะห์อ่ืนในระบบสุริยะ คือไปเยือนดาวศุกร์ในปี ค.ศ. 1962 ต่อมายานมาริเนอร์ 4 ได้ไปถึงดาวอังคารในปี
ค.ศ. 1965 และมาริเนอร์ 10 ไปถึงดาวพธุ ในปี ค.ศ. 1974
ยานอวกาศลาแรกท่ลี งจอดบนวัตถอุ นื่ ในระบบสุรยิ ะได้คือยานลูนา 2 ของสหภาพโซเวียต ซึ่งลงจอดบน
ดวงจันทร์ไดใ้ นปี ค.ศ. 1959 หลงั จากนั้นก็มียานลงจอดบนดาวอ่ืนได้มากข้ึนเร่ือย ๆ ยานเวเนรา 3 ลงจอดบน
พื้นผิวดาวศุกร์ในปี 1966 ยานมาร์ส 3 ลงถึงพ้ืนดาวอังคารในปี 1971 (แต่การลงจอดท่ีสาเร็จจริง ๆ คือยาน
ไวกงิ้ 1 ในปี 1976) ยานเนยี รช์ ูเมกเกอร์ไปถึงดาวเคราะห์น้อย 433 อรี อส ในปี 2001 และยานดีปอิมแพกต์ไป
ถงึ ดาวหางเทมเพล 1 ในปี 2005
ยานสารวจลาแรกท่ีไปถึงระบบสุริยะช้ันนอกคือยานไพโอเนียร์ 10 ท่ีเดินทางผ่านดาวพฤหัสบดีในปี
ค.ศ. 1973 ต่อมาในปี ค.ศ. 1977 ยานสารวจอวกาศในโครงการวอยเอจเจอร์จึงได้เร่ิมต้นการเดินทางครั้งใหญ่
โดยเดินทางผ่านดาวพฤหัสบดีในปี 1979 ผ่านดาวเสาร์ในปี 1980-1981 ยานวอยเอจเจอร์ 2 ได้เข้าใกล้ดาว
ยูเรนัสในปี 1986 และเข้าใกล้ดาวเนปจูนในปี 1989 ปัจจุบันน้ี ยานสารวจวอยเอจเจอร์ทั้ง 2 ลาได้เดินทาง
ออกพ้นวงโคจรของดาวเนปจูนไปไกลแล้ว และมุ่งไปบนเส้นทางเพื่อค้นหาและศึกษากาแพงกระแทก เฮลิโอ
ชีท และเฮลิโอพอส ข้อมูลล่าสุดจากองค์การนาซาแจ้งว่า ยานวอยเอจเจอร์ทั้ง 2 ลาได้เดินทางผ่านกาแพง
กระแทกไปแลว้ ทีร่ ะยะหา่ งประมาณ 93 หน่วยดาราศาสตร์จากดวงอาทิตย์
วันท่ี 19 มกราคม 2006 นาซาส่งยานสารวจแบบบินผ่าน นิวฮอไรซันส์ ขึ้นสู่อวกาศ ซึ่งเป็นยานสารวจอวกาศ
แบบไร้คนขับลาแรกท่ีจะเดินทางไปสารวจแถบไคเปอร์ ยานมีกาหนดบินผ่านดาวพลูโตในเดือนกรกฎาคม
2015 จากน้ันจะเดนิ ทางเข้าสู่แถบไคเปอรเ์ พ่ือสารวจวตั ถุในพน้ื ทีน่ ั้นต่อไป
กำเนิดและววิ ฒั นำกำร
ภาพถ่ายแผน่ จานดาวเคราะหก์ ่อนเกดิ ในเนบวิ ลานายพราน จากกล้องฮับเบลิ แสดงใหเ้ ห็น "แหลง่ อภิบาลดาวฤกษ"์ ท่ี
กว้าง 1 ปแี สง มลี ักษณะคลา้ ยคลงึ กบั เนบวิ ลาในยคุ โบราณซึง่ ฟมู ฟกั ดวงอาทิตย์ของเราให้ถือกาเนดิ ขน้ึ
ระบบสรุ ยิ ะถอื กาเนิดขึ้นจากการแตกสลายดว้ ยแรงโนม้ ถว่ งภายในของเมฆโมเลกุลขนาดยกั ษ์เม่ือกวา่
4,600 ลา้ นปีมาแล้ว เมฆต้นกาเนดิ นมี้ ีความกวา้ งหลายปีแสง และอาจเปน็ ต้นกาเนิดของดาวฤกษ์อ่นื อีก
จานวนมาก
เมื่อยา่ นเนบวิ ลาก่อนสุรยิ ะ ซ่ึงน่าจะเปน็ จดุ กาเนดิ ของระบบสรุ ิยะ[18]เกดิ แตกสลายลง โมเมนตัมเชิงมมุ
ทมี่ อี ยู่ทาใหม้ นั หมนุ ตวั ไปเร็วย่ิงขน้ึ ทใ่ี จกลางของยา่ นซึง่ เป็นศูนย์รวมมวลอนั หนาแนน่ มีอณุ หภมู ิเพมิ่ สงู มากขนึ้
กวา่ แผน่ จานทีห่ มนุ อย่รู อบ ๆ ขณะทเี่ นบวิ ลานห้ี ดตวั ลง มนั ก็เริ่มมที รงแบนยิง่ ขึน้ และค่อย ๆ มว้ นตวั จน
กลายเป็นจานดาวเคราะหก์ ่อนเกิด ทีม่ เี ส้นผา่ นศนู ย์กลางราว 200 AU พร้อมกับมีดาวฤกษ์ก่อนเกิดที่หนาแน่น
และร้อนจดั อยู่ ณ ใจกลาง[19][20] เม่ือการวิวฒั นาการดาเนนิ มาถงึ จดุ น้ี เช่อื วา่ ดวงอาทิตย์ไดม้ สี ภาพเป็นดาว
ฤกษช์ นิด T Tauri ผลจากการศึกษาดาวฤกษช์ นดิ T Tauri พบวา่ มนั มกั มีแผน่ จานของมวลสารดาวเคราะห์
กอ่ นเกิดที่มีมวลประมาณ 0.001-0.1 เทา่ ของมวลดวงอาทิตย์ กบั มวลของเนบิวลาในตวั ดาวฤกษเ์ องอีกเปน็
สว่ นใหญจ่ านวนมหาศาล ดาวเคราะห์ก่อตวั ข้นึ จากแผ่นจานรวมมวลเหล่าน้ี
ภายในช่วงเวลา 50 ลา้ นปี ความดันและความหนาแน่นของไฮโดรเจนที่ใจกลางของดาวฤกษ์ก่อนเกิดก็มี
มากพอจะทาให้เกิดปฏิกิรยิ าการหลอมนิวเคลียสขึ้นได้ ทั้งอุณหภูมิ อัตราการเกิดปฏิกิริยา ความดัน ตลอดจน
ความหนาแน่นต่างเพ่ิมข้ึนเร่ือย ๆ จนกระทั่งถึงสภาวะสมดุลอุทกสถิต โดยมีพลังงานความร้อนท่ีมากพอจะ
ต้านทานกับการหดตัวของแรงโน้มถ่วงได้ ณ จุดนี้ดวงอาทิตย์จึงได้วิวัฒนาการเข้าสู่แถบลาดับหลักอย่าง
สมบรู ณ์
ภาพวาดโดยศลิ ปิ นแสดงให้เห็นววิ ฒั นาการของดวงอาทติ ย์
ซ้าย: ดวงอาทติ ย์ของเราในปัจจบุ นั ซง่ึ อยใู่ นแถบลาดบั หลกั
กลาง: ดาวยกั ษ์แดง
ขวา: ดาวแคระขาว
ระบบสรุ ิยะจะดารงสภาพอยา่ งที่เรารจู้ กั กันในปัจจุบันนี้ไปตราบจนกระท่ังดวงอาทิตย์ได้วิวัฒนาการจน
ออกพ้นจากแถบลาดับหลักบนไดอะแกรมของเฮิร์ตสปรัง-รัสเซลล์ เม่ือดวงอาทิตย์เผาผลาญเชื้อเพลิง
ไฮโดรเจนภายในไปเรื่อย ๆ พลังงานท่ีคอยค้าจุนแกนกลางของดาวอยู่ก็จะลดน้อยถอยลง ทาให้มันหดตัวและ
แตกสลายลงไป การหดตัวจะทาให้แรงดันความร้อนในแกนกลางเพิ่มมากขึ้น และทาให้มันย่ิงเผาผลาญ
เช้ือเพลิงเร็วข้ึน ผลท่ีเกิดคือดวงอาทิตย์จะส่องสว่างมากยิ่งข้ึนโดยมีอัตราเพ่ิมขึ้นประมาณ 10% ในทุก ๆ
1,100 ลา้ นปี
ในอีกประมาณ 5,400 ล้านปีข้างหน้า ไฮโดรเจนในแกนกลางของดวงอาทิตย์จะเปล่ียนไปเป็นฮีเลียม
ทั้งหมด ซ่งึ เปน็ อันจบกระบวนการววิ ฒั นาการบนแถบลาดบั หลกั ในเวลานน้ั ช้ันผิวรอบนอกของดวงอาทิตย์จะ
ขยายใหญ่ข้ึนประมาณ 260 เท่าของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางในปัจจุบัน ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นดาวยักษ์
แดง การท่ีพื้นผิวของดวงอาทิตย์ขยายตัวขึ้นอย่างมหาศาล ทาให้อุณหภูมิที่พื้นผิวของมันเย็นลงย่ิงกว่าท่ีเคย
เปน็ เมอ่ื อยบู่ นแถบลาดับหลัก (ตาแหน่งเย็นทสี่ ุดคอื 2600 K)
ส่ิงทีเ่ กดิ ข้นึ ตามมาก็คือ ชั้นผิวนอกของดวงอาทิตย์จะแตกสลาย กลายไปเป็นดาวแคระขาว คือวัตถุที่มี
ความหนาแน่นอย่างย่ิงยวด มวลประมาณครึ่งหน่ึงของมวลดั้งเดิมของดวงอาทิตย์จะอัดแน่นอยู่ในพื้นท่ีของ
วัตถุขนาดประมาณเท่ากับโลก การแตกสลายของช้ันผิวรอบนอกของดวงอาทิตย์จะทาให้เกิดปรากฏการณ์ที่
เรยี กว่า เนบิวลาดาวเคราะห์ ซึ่งเป็นการส่งคืนสสารต่าง ๆ อันประกอบข้ึนเป็นดวงอาทิตย์กลับคืนให้แก่สสาร
ระหวา่ งดาว
โครงสร้ำง
ขนาดวงโคจรของวัตถุต่าง ๆ ในระบบสรุ ยิ ะ จากเลก็ ไปใหญ่ เรม่ิ จากด้านซ้ายบนวนตามเข็มนาฬิกา
องค์ประกอบหลักที่สาคัญของระบบสุริยะคือ ดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ในแถบลาดับหลักประเภท G2 ซ่ึงมี
มวลคิดเป็น 99.86% ของมวลรวมท้ังระบบเท่าที่เป็นที่รู้จัก และเป็นแหล่งแรงโน้มถ่วงหลักของระบบ โดยมี
ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ ซ่ึงเป็นวัตถุในวงโคจรใหญ่ที่สุดสองดวงครอบครองมวลอีก 90% ของมวลส่วนท่ี
เหลอื
วัตถุใหญ่ ๆ ในวงโคจรรอบดวงอาทิตย์จะเคล่ือนที่อยู่บนระนาบใกล้เคียงกับระนาบโคจรของโลก ที่
เรียกวา่ ระนาบสรุ ยิ วิถี ดาวเคราะหท์ ั้งหมดจะเคล่อื นที่ใกล้เคียงกับระนาบนี้ ขณะที่ดาวหางและวัตถุในแถบไค
เปอรม์ กั เคล่อื นทที่ ามุมกับระนาบค่อนข้างมาก
ดาวเคราะหท์ ัง้ หมดและวัตถสุ ่วนใหญ่ในระบบยังโคจรไปในทิศทางเดียวกับการหมุนรอบตัวเองของดวง
อาทิตย์ (ทวนเข็มนาฬิกา เมื่อมองจากมุมมองด้านขั้วเหนือของดวงอาทิตย์) มีเพียงบางส่วนที่เป็นข้อยกเว้นไม่
เป็นไปตามน้ี เช่น ดาวหางฮลั เลย์ เปน็ ตน้
ตามกฎการเคล่ือนที่ของดาวเคราะห์ของเคปเลอร์ อธิบายถึงลักษณะการโคจรของวัตถุต่าง ๆ รอบดวง
อาทิตย์ กล่าวคือ วัตถุแต่ละช้ินจะเคลื่อนท่ีไปตามแนวระนาบรอบดวงอาทิตย์โดยมีจุดโฟกัสหนึ่งจุด วัตถุท่ีอยู่
ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า (มีค่าก่ึงแกนเอกน้อยกว่า) จะใช้เวลาโคจรน้อยกว่า บนระนาบสุริยวิถีหน่ึง ๆ
ระยะห่างของวัตถุกับดวงอาทิตย์จะแปรผันไปตามเส้นทางบนทางโคจรของมัน จุดท่ีวัตถุอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์
ที่สุดเรยี กว่า "จดุ ใกล้ดวงอาทติ ยท์ ีส่ ุด" (perihelion) ขณะท่ตี าแหนง่ ซึง่ มนั อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ท่ีสุด เรียกว่า
"จุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุด" (aphelion) วัตถุจะเคล่ือนที่ได้ความเร็วสูงที่สุดเมื่ออยู่ในตาแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์
ท่ีสุด และเคลื่อนท่ีด้วยความเร็วต่าสุดเม่ืออยู่ในตาแหน่งไกลดวงอาทิตย์ท่ีสุด ลักษณะของวงโคจรของดาว
เคราะห์มีรูปร่างเกือบจะเป็นวงกลม ขณะที่ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย และวัตถุในแถบไคเปอร์ มีวงโคจร
คอ่ นขา้ งจะเป็นวงรี
เมื่อศกึ ษาถึงระยะหา่ งระหว่างดาวเคราะหใ์ นทว่ี ่างมหาศาลของระบบ เราพบวา่ ยงิ่ ดาวเคราะห์หรือแถบ
ต่าง ๆ อยไู่ กลจากดวงอาทิตยเ์ ทา่ ไร มันก็จะยิ่งอยู่ห่างจากวัตถุอื่นใกล้เคียงมากเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ดาวศุกร์มี
ระยะห่างจากดาวพุธประมาณ 0.33 หน่วยดาราศาสตร์ ส่วนดาวเสาร์อยู่ห่างจากดาวพฤหัสบดีไป 4.3 หน่วย
ดาราศาสตร์ และดาวเนปจูนอยู่ห่างจากดาวยูเรนัสออกไปถึง 10.5 หน่วยดาราศาสตร์ เคยมีความพยายาม
ศึกษาและอธิบายถึงระยะหา่ งระหวา่ งวงโคจรของดาวต่าง ๆ (ดูรายละเอียดใน กฎของทิเทียส-โบเด) แต่จนถึง
ปัจจบุ ันยงั ไมม่ ีทฤษฎีใดเปน็ ที่ยอมรบั
ดาวเคราะห์ส่วนมากในระบบสุริยะจะมีระบบเล็ก ๆ ของตัวเองด้วย โดยจะมีวัตถุคล้ายดาวเคราะห์
ขนาดเลก็ โคจรไปรอบตวั เองเป็นดาวบรวิ าร หรอื ดวงจันทร์ ดวงจันทร์บางดวงมีขนาดใหญ่กว่าดาวเคราะห์เสีย
อีก ดาวบริวารขนาดใหญ่เหล่านี้จะมีวงโคจรท่ีสอดคล้องกันเป็นส่วนใหญ่ คือจะหันหน้าด้านหน่ึงของดาวเข้า
หาดาวเคราะห์ดวงแม่ของมันเสมอ ดาวเคราะห์ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ 4 ดวงยังมีวงแหวนดาวเคราะห์อยู่
รอบตัวดว้ ย เป็นแถบบาง ๆ ทปี่ ระกอบดว้ ยเศษช้ินสว่ นเลก็ ๆ โคจรไปรอบ ๆ อยา่ งเปน็ อันหน่ึงอันเดยี วกนั
คำจำกดั ควำม
ยา่ นตา่ ง ๆ ในระบบสุริยะ
ระบบสรุ ิยะสามารถแบ่งออกเป็นย่านตา่ ง ๆ ได้แบบไมเ่ ปน็ ทางการ ระบบสุรยิ ะส่วนในประกอบด้วยดาว
เคราะห์ 4 ดวงกับแถบดาวเคราะห์น้อย ระบบสุริยะส่วนนอกคือส่วนที่อยู่พ้นแถบดาวเคราะห์น้อยออกไป
ประกอบด้วยดาวแก๊สยักษ์ 4 ดวง ต่อมาเม่ือมีการค้นพบแถบไคเปอร์ จึงจัดเป็นย่านไกลท่ีสุดของระบบสุริยะ
เรียกรวม ๆ วา่ เปน็ วัตถุพน้ ดาวเนปจูน
เม่ือพิจารณาจากทั้งแง่กายภาพและการเคลื่อนท่ี วัตถุที่โคจรรอบดวงอาทิตย์สามารถแบ่งออกได้เป็น
สามประเภทคอื ดาวเคราะห์ ดาวเคราะหแ์ คระ และ วตั ถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ไม่ว่าจะมีขนาด
ใดก็ตามที่โคจรรอบดวงอาทิตย์จะมีมวลมากพอจะสร้างตัวเองให้มีรูปร่างเป็นสัณฐานกลม และขับไล่ช้ินส่วน
เล็ก ๆ ที่อยู่รอบตัวเองให้ออกไปให้พ้นระยะ จากคาจากัดความนี้ ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจึงมี 8 ดวง
ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศกุ ร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ดาวพลูโตถูกปลด
ออกจากตาแหน่งดาวเคราะห์เน่ืองจากมันไม่สามารถขับไล่วัตถุเล็ก ๆ อ่ืน ๆ ในบริเวณแถบไคเปอร์ออกไปพ้น
วงโคจรของมนั ได้
ดาวเคราะห์แคระ คือเทหวัตถุที่โคจรรอบดวงอาทิตย์และมีมวลมากพอจะทาให้ตัวเองมีสัณฐานกลม
เนอื่ งจากแรงโนม้ ถว่ ง แตไ่ ม่สามารถขจัดชิ้นส่วนก่อนเกิดดาวเคราะห์ออกไป ท้ังไม่สามารถเป็นดาวบริวาร จาก
คาจากัดความนี้ ระบบสุริยะจึงมีดาวเคราะห์แคระท่ีรู้จักแล้ว 5 ดวงคือ ซีรีส พลูโต เฮาเมอา มาคีมาคี และ อี
รีส วัตถุอ่ืน ๆ ที่อาจสามารถจัดประเภทเป็นดาวเคราะห์แคระได้ ได้แก่ เซดนา ออร์กัส และควาอัวร์ ดาว
เคราะหแ์ คระทโ่ี คจรอยู่ในย่านพน้ ดาวเนปจนู เรยี กชอื่ รวม ๆ ว่า "พลูตอยด์" นอกเหนือจากน้ี วัตถุขนาดเล็กอื่น
ๆ ทีโ่ คจรไปรอบดวงอาทิตย์จดั ว่าเป็นวตั ถุขนาดเล็กในระบบสรุ ิยะ
นักวิทยาศาสตรด์ าวเคราะห์ใช้คาศัพท์ แก๊ส น้าแข็ง และ หิน เพื่ออธิบายถึงประเภทองค์ประกอบสสาร
ตา่ ง ๆ ท่ีพบตลอดทั่วระบบสุริยะ หิน จะใช้ในการอธิบายองค์ประกอบท่ีมีจุดหลอมเหลวสูง (สูงกว่า 500 เคล
วิน) เช่นพวก ซิลิเกต องค์ประกอบหินมักพบได้มากในกลุ่มระบบสุริยะชั้นใน เป็นส่วนประกอบหลักของดาว
เคราะห์และดาวเคราะห์น้อย แก๊ส เป็นสสารท่ีมีจุดหลอมเหลวต่า เช่นอะตอมไฮโดรเจน ฮีเลียม และแก๊สมี
ตระกูล มักพบในย่านก่ึงกลางระบบสุริยะ เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ของดาวพฤหัสบดีและดาว
เสาร์ นา้ แขง็ ซ่งึ ประกอบด้วยนา้ มีเทน แอมโมเนีย และคาร์บอนไดออกไซด์ มีจุดหลอมเหลวเพียงไม่กี่ร้อยเคล
วิน เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่อยู่ในดาวบริวารของบรรดาดาวแก๊สยักษ์ รวมถึงเป็นองค์ประกอบอยู่ในดาว
ยเู รนัสและดาวเนปจนู (บางครงั้ เรยี กดาวทง้ั สองนี้ว่า "ดาวน้าแข็งยักษ์") และในวัตถุขนาดเล็กจานวนมากท่ีอยู่
พ้นจากวงโคจรดาวเนปจูนออกไป
ดวงอำทติ ย์
ภาพถ่ายดวงอาทิตย์ในรังสีเอกซ์
ดวงอาทิตย์ คือดาวฤกษ์ดวงแม่ท่ีเปน็ หวั ใจของระบบสุริยะ มีขนาดประมาณ 332,830 เท่าของมวลของ
โลก ดว้ ยปรมิ าณมวลที่มอี ยมู่ หาศาลทาใหด้ วงอาทิตยม์ ีความหนาแน่นภายในท่ีสูงมากพอจะทาให้เกิดปฏิกิริยา
การหลอมนิวเคลียสอยา่ งต่อเนอื่ ง และปลดปลอ่ ยพลงั งานมหาศาลออกมา โดยมากเป็นพลังงานที่แผ่ออกไปใน
ลกั ษณะของคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ เช่น แสง
ดวงอาทิตย์จัดว่าเปน็ ดาวแคระเหลืองขนาดใหญ่ปานกลาง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับดาวฤกษ์อ่ืน ๆ ที่อยู่
ในดาราจักรของเรา ถือได้ว่าดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่และสว่างมาก การจัดประเภทของดาวฤกษ์นี้เป็นไปตาม
ไดอะแกรมของเฮริ ต์ สปรัง-รัสเซลล์ ซึ่งเป็นแผนภูมิของกราฟระหว่างความสว่างของดาวฤกษ์เทียบกับอุณหภูมิ
พ้ืนผวิ โดยท่วั ไปดาวฤกษ์ท่ีมอี ณุ หภูมิสงู กวา่ มักจะสวา่ งกว่า ซึง่ ดาวฤกษ์ใด ๆ ท่ีมีคุณสมบัติเป็นไปดังที่ว่ามานี้ก็
จะเรยี กว่าเปน็ ดาวฤกษ์ที่อยูใ่ นแถบลาดบั หลกั ดวงอาทติ ย์ของเราก็อยบู่ นแถบลาดับหลักโดยอยู่ในช่วงกึ่งกลาง
ทางด้านขวา แต่มดี าวฤกษจ์ านวนไม่มากนักทจี่ ะสว่างกวา่ และมอี ุณหภูมิสูงกว่าดวงอาทิตย์ของเรา ส่วนมากจะ
อ่อนแสงกวา่ และมอี ุณหภูมิต่ากว่าท้ังน้นั
เช่ือว่าตาแหน่งของดวงอาทิตย์บนแถบลาดับหลักนั้นจัดได้ว่าอยู่ใน "ช่วงรุ่งโรจน์ของยุค" ของอายุดาว
ฤกษ์ มนั ยงั มีไฮโดรเจนมากเพียงพอท่ีจะสร้างปฏิกิริยาการหลอมนิวเคลียสไปอีกนาน ดวงอาทิตย์กาลังเพิ่มพูน
ความสว่างมากขึ้น ในอดตี ดวงอาทิตยเ์ คยมีความสวา่ งเพยี งแค่ 70% ของความสวา่ งอย่างท่ีเป็นอยู่ในปจั จุบนั
ดวงอาทิตย์จัดเป็นดาวฤกษ์ชนิดดารากร 1 ถือกาเนิดข้ึนในช่วงปลาย ๆ ของวิวัฒนาการของเอกภพ มี
องคป์ ระกอบธาตุหนักท่ีหนักกว่าไฮโดรเจนและฮีเลียม (ในภาษาดาราศาสตร์จะเรียกว่า "โลหะ") มากกว่าดาว
ฤกษ์ชนิดดารากร 2 ซ่งึ มีอายมุ ากกวา่ ธาตุหนักเหล่านี้ก่อกาเนิดขึ้นจากแก่นกลางของดาวฤกษ์โบราณที่ระเบิด
ออก ดงั นน้ั ดาวฤกษ์ในยคุ แรกเริ่มจึงต้องแตกดับไปเสียก่อนจึงจะทาให้เอกภพเต็มไปด้วยอะตอมธาตุเหล่านี้ได้
ดาวฤกษท์ มี่ ีอายเุ กา่ แกม่ าก ๆ จะไม่ค่อยมอี งคป์ ระกอบโลหะมากนัก ขณะที่ดาวฤกษ์ท่ีเกิดในยุคหลังจะมีโลหะ
มากกว่า สันนิษฐานว่า การมีองค์ประกอบโลหะจานวนมากน้ีน่าจะเป็นสาเหตุสาคัญที่ทาให้ดวงอาทิตย์
สามารถสร้างระบบดาวเคราะห์ของตัวเองขึ้นมาได้ เพราะดาวเคราะห์ก่อตัวข้ึนมาจากการรวมตัวกันของธาตุ
หนักเหล่าน้นั
สสำรระหวำ่ งดำวเครำะห์
ภาพจาลองโครงสรา้ ง แผ่นกระแสเฮลโิ อสเฟยี ร์
นอกเหนือจากแสง ดวงอาทิตยย์ งั แผร่ ังสที ่ีประกอบด้วยกระแสของประจุอนุภาคจานวนมากต่อเน่ืองกัน
(เป็นพลาสมาชนิดหน่ึงที่รู้จักกันในช่ือ ลมสุริยะ) กระแสประจุน้ีแผ่ออกไปด้วยความเร็วประมาณ 1.5 ล้าน
กิโลเมตรต่อช่ัวโมง ทาให้เกิดชั้นบรรยากาศบาง ๆ ขึ้น เรียกว่า เฮลิโอสเฟียร์ ที่แผ่ปกคลุมท่ัวระบบสุริยะ
ออกไปเป็นระยะทางอย่างน้อย 100 หน่วยดาราศาสตร์ (ดูเพ่ิมที่ เฮลิโอพอส) ทั้งหมดนี้เป็นส่ิงท่ีเรียกกัน
ว่า สสารระหว่างดาวเคราะห์ พายุแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีเกิดขึ้นบนพ้ืนผิวดวงอาทิตย์เช่น โซลาร์แฟลร์ หรือลา
อนุภาคโคโรนา จะทาให้เกิดการรบกวนต่อเฮลิโอสเฟียร์ และสร้างสภาวะท่ีเรียกว่า space weather
ข้ึน สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ท่ีหมุนวนไปสร้างผลกระทบต่อสสารระหว่างดาวเคราะห์ ทาให้เกิดแผ่น
กระแสเฮลิโอสเฟียร์ (heliospheric current sheet) ขึ้น ซ่งึ ถอื เปน็ โครงสร้างที่ใหญท่ ส่ี ดุ ในระบบสรุ ิยะ
สนามแมเ่ หล็กของโลกช่วยป้องกันช้ันบรรยากาศเอาไว้มิให้เกิดปฏิกิริยากับลมสุริยะ ขณะท่ีดาวศุกร์กับ
ดาวอังคารไม่มีสนามแม่เหล็ก ลมสุริยะจึงขับไล่ช้ันบรรยากาศของดาวท้ังสองจนสูญหายไปหมด การปะทะ
ระหว่างลมสุริยะกับสนามแม่เหล็กของโลกทาให้เกิดปรากฏการณ์ออโรรา หรือแสงเหนือ-แสงใต้ ท่ีพบเห็น
บริเวณใกล้ข้ัวโลก รังสีคอสมิก มีกาเนิดมาจากห้วงอวกาศอื่นนอกระบบสุริยะ เฮลิโอสเฟียร์ทาหน้าท่ีปกป้อง
ระบบสุริยะเอาไว้สว่ นหนึง่ โดยสนามแม่เหลก็ ของดาวเคราะห์ (สาหรบั ดวงทม่ี ี) กช็ ่วยทาหน้าที่ป้องกันรังสีด้วย
อีกส่วนหน่ึง ความหนาแน่นของรังสีคอสมิกในสสารระหว่างดาวกับความเข้มของสนามแม่เหล็กของดวง
อาทิตยจ์ ะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ ดังนั้นระดับของการแผ่รังสีคอสมิกในระบบสุริยะจึงไม่แน่ไม่
นอน แต่จะมอี ยเู่ ป็นปริมาณเท่าใดไม่อาจระบุได้
สสารระหว่างดาวเคราะห์เป็นแหล่งกาเนิดของย่านแผ่นจานฝุ่นคอสมิกอย่างน้อย 2 แห่ง แห่งแรกคือ
เมฆฝุ่นจักรราศี ซงึ่ อยใู่ นระบบสุริยะช้ันในและเปน็ ต้นเหตกุ ารเกิดแสงจักรราศี โดยมากเป็นเศษชิ้นส่วนในแถบ
ดาวเคราะห์น้อยที่เกิดขึ้นจากการปะทะกับดาวเคราะห์ แผ่นจานฝุ่นแห่งที่สองแผ่ครอบคลุมพ้ืนที่ต้ังแต่ระยะ
10 หน่วยจนถึง 40 หน่วยดาราศาสตร์ ซึ่งนา่ จะเกิดข้ึนจากการปะทะในลักษณะเดียวกนั ในแถบไคเปอร์
ระบบสุริยะช้ันใน
ระบบสุริยะชั้นใน เป็นชื่อดั้งเดิมของย่านอวกาศท่ีประกอบด้วยกลุ่มดาวเคราะห์ใกล้โลกและแถบดาว
เคราะหน์ อ้ ย มีสว่ นประกอบหลกั เป็นซิลิเกตกับโลหะ เทหวัตถุในระบบสุริยะชั้นในจะเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันและ
ใกล้กับดวงอาทิตย์มาก รัศมีของย่านระบบสุริยะช้ันในนี้ยังส้ันกว่าระยะห่างจากดาวพฤหัสบดีไปดาวเสาร์เสีย
อกี
ดำวเครำะห์ชั้นใน
ภาพเปรยี บเทยี บขนาดของดาวเคราะห์ใกล้โลก สดั สว่ นเปรยี บเทยี บเป็นไปตามขนาดจรงิ
ดาวเคราะห์ช้ันในหรือดาวเคราะห์ใกล้โลก มี 4 ดวง โดยมากประกอบด้วยส่วนประกอบหิน มีความ
หนาแน่นสูง มีดวงจันทร์น้อยหรืออาจไม่มีเลย และไม่มีระบบวงแหวนรอบตัวเอง สสารที่เป็นองค์ประกอบมัก
เป็นแรธ่ าตทุ ่ีมีจดุ หลอมเหลวสูง เชน่ ซลิ ิเกตท่ีช้ันเปลือกและผวิ หรือโลหะ เหลก็ นเิ กลิ ทเี่ ป็นแกนกลางของดาว
สามในส่ีของดาวเคราะห์กลุ่มน้ี (ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร) มีช้ันบรรยากาศที่เห็นได้ชัด พ้ืนผิวมีร่องรอย
ของหลุมบ่อที่เกิดจากการปะทะโดยชิ้นส่วนจากอวกาศ และมีความเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยาที่พ้ืนผิวด้วย
เช่น การแยกตัวของรอ่ งหบุ เขาและภูเขาไฟ
ดำวพุธ
ดาวพุธ (0.4 AU) คือดาวเคราะห์ท่ีอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากท่ีสุด และเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็กที่สุด
(0.055 เท่าของมวลโลก) ดาวพุธไม่มีดาวบริวารของตัวเอง สภาพพ้ืนผิวที่มีนอกเหนือจากหลุมบ่อจากการ
ปะทะ ก็จะเป็นสันเขาสูงชัน ซึ่งอาจจะเกิดข้ึนในช่วงยุคการก่อตัวในช่วงเริ่มแรกของประวั ติศาสตร์ ช้ัน
บรรยากาศของดาวพุธเบาบางมากจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีบรรยากาศ ประกอบด้วยอะตอมท่ีถูกลมสุริยะพัด
พาขับไลไ่ ปจนเกือบหมด แกนกลางของดาวเป็นเหลก็ ท่มี ีขนาดค่อนข้างใหญ่มาก ต่อมาเป็นชั้นเปลือกบาง ๆ ท่ี
ยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน ทฤษฎีเก่ียวกับช้ันเปลือกของดาวจานวนหน่ึงอธิบายถึงชั้นผิวรอบนอกท่ี
ถูกฉีกออกด้วยการปะทะคร้ังใหญ่ บ้างก็ว่ามันถูกกีดกันจากการพอกรวมของช้ันผิวเน่ืองจากพลังงานมหาศาล
ของดวงอาทติ ย์อนั เยาว์
ดำวศุกร์
ดาวศกุ ร์ (0.7 AU) มขี นาดใกลเ้ คยี งกับโลก (0.815 เทา่ ของมวลโลก) และมีลักษณะคล้ายโลกมาก มีช้ัน
เปลือกซิลิเกตอย่างหนาปกคลุมรอบแกนกลางของดาวซ่ึงเป็นเหล็ก มีช้ันบรรยากาศ และมีหลักฐานแสดงถึง
ความเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยาภายในของดาว ทว่าดาวศุกร์แห้งแล้งกว่าโลกมาก ช้ันบรรยากาศของมันก็
หนาแน่นกว่าโลกถงึ กวา่ 90 เท่า ดาวศุกรไ์ ม่มดี าวบริวารของตวั เอง กล่าวได้ว่า ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ท่ีร้อน
ที่สุด ดว้ ยอณุ หภูมพิ ื้นผิวสงู ถงึ กวา่ 400 °C ซึ่งเป็นผลจากปริมาณแก๊สเรือนกระจกที่มีอยู่เป็นจานวนมากในชั้น
บรรยากาศ ในปัจจุบันไมม่ กี ารตรวจพบการเปล่ยี นแปลงทางธรณีวิทยาใหม่ ๆ บนดาวศุกร์อีกแล้ว แต่ดาวศุกร์
ไม่มีสนามแม่เหล็กของตัวเองที่จะช่วยป้องกันการสูญเสียชั้นบรรยากาศ ดังนั้นการท่ีดาวศุกร์ยังรักษาช้ัน
บรรยากาศของตวั เองไว้ไดจ้ งึ คาดวา่ น่าจะเกิดจากการระเบิดของภเู ขาไฟ
โลก
โลก (150000000) เป็นดาวเคราะห์ท่ีค่อนข้างใหญ่และมีความหนาแน่นมากท่ีสุดในกลุ่มดาวเคราะห์
ช้นั ใน เป็นดาวเคราะห์เพยี งดวงเดียวท่พี บว่ายงั มปี รากฏการณท์ างธรณีวิทยาอยู่ และเปน็ ดาวเคราะห์เพียงดวง
เดียวเท่าท่ีทราบว่ามีสิ่งมีชีวิต โลกเป็นดาวเคราะห์ท่ีมีน้ามาก เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากกลุ่มดาวเคราะห์
ใกลโ้ ลกทั้งหมด และยังเปน็ ดาวเคราะห์เพยี งดวงเดียวทยี่ งั มีการเปล่ียนแปลงของเปลือกโลกอยู่ ช้ันบรรยากาศ
ของโลกค่อนข้างจะแตกต่างกับดาวเคราะห์ดวงอ่ืน เน่ืองจากการที่มีส่ิงมีชีวิตอาศัยอยู่ ในบรรยากาศจึงมี
ออกซิเจนอิสระอยู่ถึง 21% โลกมีดาวเคราะห์บริวารหนึ่งดวง คือ ดวงจันทร์ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์บริวารขนาด
ใหญเ่ พียงดวงเดยี วในเขตระบบสุรยิ ะชน้ั ใน
ดำวองั คำร
ดาวองั คาร (1.5 AU) มีขนาดเล็กกว่าโลกและดาวศกุ ร์ (0.107 เท่าของมวลโลก) มีช้นั บรรยากาศเจือจาง
ท่ีเต็มไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ พื้นผิวของดาวอังคารระเกะระกะด้วยภูเขาไฟจานวนมาก เช่น ภูเขาไฟ
โอลิมปัส และหุบเขาลึกชันมากมายเช่น Valles Marineris แสดงให้เห็นถึงการเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยาท่ี
เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ สีของดาวอังคารท่ีเราเห็นเป็นสีแดง เป็นเพราะสนิมท่ีมีอยู่ในพื้นดินอันเต็มไปด้วย
เหล็ก ดาวอังคารมีดวงจันทร์บริวารขนาดเล็กสองดวง (คือ ไดมอส กับ โฟบอส) ซ่ึงคาดว่าน่าจะเป็นดาว
เคราะห์นอ้ ยทบี่ ังเอิญถกู แรงดึงดูดของดาวองั คารจบั ตวั เอาไว้
แถบดำวเครำะห์นอ้ ย
แผนภาพแถบดาวเคราะหน์ ้อยหลกั กับดาวเคราะหน์ ้อยตระกลู ทรอย
ดาวเคราะหน์ ้อย คอื วตั ถุขนาดเล็กในระบบสุริยะท่ปี ระกอบดว้ ยหินและธาตุโลหะท่ีไม่ระเหย
แถบดาวเคราะห์น้อยหลักกินพื้นท่ีวงโคจรที่อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ประมาณ 2.3 ถึง
3.3 หน่วยดาราศาสตร์จากดวงอาทิตย์ เช่ือกันว่าน่าจะเป็นเศษช้ินส่วนจากการก่อตัวของระบบสุริยะใน
ช่วงแรกทีก่ ่อตัวไม่สาเรจ็ เน่อื งจากแรงโน้มถว่ งรบกวนจากดาวพฤหัสบดี
ดาวเคราะห์น้อยมีขนาดต่าง ๆ กันต้ังแต่หลายร้อยกิโลเมตรไปจนถึงเศษหินเล็ก ๆ เหมือนฝุ่น ดาว
เคราะห์น้อยทั้งหมดนอกเหนือจากดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ท่ีสุด คือซีรีส จัดว่าเป็นวัตถุขนาดเล็กในระบบ
สุริยะ แตด่ าวเคราะหน์ ้อยบางดวงเช่น เวสต้า และ ไฮเจีย อาจจัดว่าเป็นดาวเคราะห์แคระได้ ถ้ามีหลักฐานว่า
มันมีความสมดลุ ของความกดของน้ามากเพยี งพอ
แถบดาวเคราะห์น้อยมเี ทหวตั ถขุ นาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 1 กิโลเมตรเป็นจานวนหลายหม่ืนดวง
หรืออาจจะถึงล้านดวง ถึงกระนั้น มวลรวมท้ังหมดของแถบหลักก็ยังมีเพียงประมาณหน่ึงในพันของมวลโลก
เท่านั้น แถบหลักมีประชากรอยู่อย่างค่อนข้างเบาบาง ยานอวกาศหลายลาได้เดินทางผ่านแถบน้ีไปได้โดยไม่มี
อบุ ัตเิ หตเุ กิดขึน้ เลย ดาวเคราะหน์ อ้ ยทีม่ ขี นาดเสน้ ผ่านศูนย์กลางระหว่าง 10 ถึง 10-4 เมตร จะเรียกว่า สะเก็ด
ดาว
ซีรสี
ซรี ีส (2.77 AU) เป็นวัตถุขนาดใหญ่ท่ีสุดในแถบดาวเคราะห์น้อย และได้รับการจัดประเภทให้เป็นดาวเคราะห์
แคระ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณเกือบ ๆ 1,000 กิโลเมตร ซึ่งใหญ่พอจะสร้างแรงโน้มถ่วงของตัวเอง
เพื่อสร้างรูปทรงให้เป็นทรงกลมได้ ในตอนที่ค้นพบคร้ังแรกในคริสต์ศตวรรษท่ี 19 ซีรีสถูกคิดว่าเป็นดาว
เคราะห์ แต่ต่อมาถูกจัดประเภทใหม่ให้เป็นดาวเคราะห์น้อยในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1850 เมื่อการสังเกตการณ์
เพ่ิมเติมพบดาวเคราะห์น้อยดวงอ่ืน ๆ อีก[60] ครั้นถึงปี ค.ศ. 2006 จึงได้รับการจัดประเภทใหม่ให้เป็นดาว
เคราะหแ์ คระ
ตระกลู ดำวเครำะหน์ ้อย
ดาวเคราะห์น้อยในแถบหลักจะแบ่งออกเป็นกลุ่มและตระกูลต่าง ๆ โดยพิจารณาจากคุณลักษณะการ
โคจรของพวกมัน ดวงจันทร์ดาวเคราะห์น้อย คือดาวเคราะห์น้อยที่โคจรรอบดาวเคราะห์น้อยดวงอ่ืนท่ีใหญ่
กว่า มันไม่ได้ถูกจัดประเภทให้เป็นดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ เพราะบางคร้ังมันมีขนาดใหญ่เกือบเท่า
ดาวเคราะห์น้อยดวงแม่ของมันด้วยซ้า ในบริเวณแถบดาวเคราะห์น้อยยังมีดาวหางในแถบหลักซึ่งอาจเป็นต้น
กาเนิดของน้ามหาศาลบนโลกกไ็ ด้
ดาวเคราะห์น้อยโทรจันตั้งอยู่ใกล้เคียงกับตาแหน่งลากรองจ์ L4 หรือ L5 ของดาวพฤหัสบดี (คือย่านท่ี
แรงโน้มถ่วงค่อนข้างเสถียร ทาให้ดาวเคราะห์น้อยในบริเวณน้ีสามารถอยู่ในวงโคจรได้) คาว่า "โทรจัน" หรือ
"แห่งทรอย" น้ียังใช้กับวัตถุขนาดเล็กในระบบดาวเคราะห์หรือระบบบริวารอ่ืนท่ีอยู่ในตาแหน่งลากรองจ์
ด้วย ดาวเคราะห์น้อยตระกูลฮิลดาอยู่ที่ระยะการสั่นพ้อง 2:3 กับดาวพฤหัสบดี นั่นหมายถึง มันจะโคจรรอบ
ดวงอาทติ ย์ 3 รอบ ต่อการโคจรของดาวพฤหัสบดี 2 รอบ
ระบบสุรยิ ะชัน้ ในน้ียังหมายรวมถึงวัตถอุ น่ื ๆ เชน่ ดาวเคราะห์นอ้ ยใกล้โลก ซ่ึงดาวเคราะห์น้อยในกลุ่มนี้
จานวนมากมวี งโคจรทต่ี ัดกบั วงโคจรของดาวเคราะหช์ ้ันในดว้ ย
ระบบสุรยิ ะชั้นนอก
บริเวณรอบนอกของระบบสุริยะเป็นถิ่นที่อยู่ของดาวแก๊สยักษ์และบรรดาดาวบริวารของมันที่มีขนาด
ใหญ่พอจะเปน็ ดาวเคราะห์ได้ นอกจากน้ียังมีดาวหางคาบสั้น และเซนทอร์ ที่โคจรอยู่ในย่านนี้เช่นกัน วัตถุตัน
ที่อยู่ในย่านน้ีจะมีองค์ประกอบของสสารท่ีระเหยง่าย (เช่น น้า แอมโมเนีย มีเทน ในทางวิทยาศาสตร์ดาว
เคราะห์จะเรียกว่าเป็น น้าแข็ง) ไม่ค่อยมีส่วนประกอบของสสารประเภทหินเหมือนอย่างเทหวัตถุในระบบ
สุรยิ ะชั้นใน
ดำวเครำะหช์ น้ั นอก
ดาวเคราะห์ชั้นนอก 4 ดวง หรือดาวแก๊สยักษ์ (บางคร้ังเรียกว่า ดาวเคราะห์โจเวียน) มีมวลรวมกันถึง
กว่า 99% ของมวลสารท้ังหมดท่ีโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวพฤหัสบดีกับดาวเสาร์มีองค์ประกอบเต็มไปด้วย
ไฮโดรเจนและฮเี ลยี ม ดาวยูเรนัสกบั ดาวเนปจนู มอี งคป์ ระกอบสว่ นใหญ่เป็นนา้ แขง็ นักดาราศาสตร์จานวนหน่ึง
เห็นว่าดาวสองดวงหลังน้ีควรจัดเป็นประเภทเฉพาะของมันเอง คือ "ดาวน้าแข็งยักษ์" ดาวแก๊สยักษ์ทั้งสี่มีวง
แหวนอยู่รอบตวั แมเ้ มื่อมองจากโลกจะเหน็ ได้ชัดแต่เพยี งวงแหวนของดาวเสาร์เท่านนั้
ดำวพฤหัสบดี
ดาวพฤหัสบดี (5.2 AU) มมี วลประมาณ 318 เทา่ ของมวลโลก นบั เป็นมวลมหาศาลถึง 2.5 เท่าของมวล
รวมท้ังหมดของดาวเคราะห์ท่ีเหลือรวมกัน ประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียมจานวนมาก ความร้อนท่ีสูง
มากภายในของดาวทาใหเ้ กดิ คุณลกั ษณะแบบกึ่งถาวรหลายประการในสภาพบรรยากาศของดาว เช่นแถบเมฆ
และจุดแดงใหญ่ ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์บริวารที่รู้จักแล้วท้ังสิ้น 67 ดวง ดวงท่ีใหญ่ที่สุด 4 ดวงคือ แกนิ
มีด คัลลิสโต ไอโอ และยูโรปา มีลักษณะคล้ายคลึงกับลักษณะของดาวเคราะห์ใกล้โลก เช่นมีภูเขาไฟ และมี
กระบวนการความรอ้ นภายในของดาว ดวงจันทรแ์ กนิมดี เปน็ ดาวบรวิ ารท่ีใหญ่ท่ีสุดในระบบสุริยะ มีขนาดใหญ่
กวา่ ดาวพธุ เสยี อกี
ดำวเสำร์
ดาวเสาร์ (9.5 AU) เป็นดาวเคราะห์ที่โดดเด่นเนื่องจากระบบวงแหวนขนาดใหญ่ท่ีเห็นได้ชัด ลักษณะ
ของดาวรวมถงึ สภาพบรรยากาศคล้ายคลึงกับดาวพฤหัสบดี แต่มีมวลน้อยกว่ามาก โดยมีมวลโดยประมาณ 95
เท่าของมวลโลก ดาวเสาร์มีดวงจนั ทร์บรวิ ารทีร่ ู้จักแล้ว 63 ดวง ในจานวนดวงจันทร์ท้ังหมดมีอยู่ 2 ดวงคือ ไท
ทนั และเอนเซลาดสั แสดงให้เห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา แม้ว่าองค์ประกอบส่วนใหญ่จะ
เป็นน้าแข็งก็ตาม ดวงจันทร์ไททันมีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธ และเป็นดวงจันทร์บริวารเพียงดวงเดียวในระบบ
สรุ ิยะท่ีมีชนั้ บรรยากาศ
ดำวยูเรนสั
ดาวยูเรนัส (19.6 AU) มีขนาดประมาณ 14 เท่าของมวลโลก เป็นดาวเคราะห์มวลน้อยที่สุดในระบบ
สุริยะช้ันนอก ลักษณะการโคจรของดาวยูเรนัสไม่เหมือนดาวเคราะห์ดวงอ่ืน มันจะโคจรรอบดวงอาทิตย์แบบ
ตะแคงข้าง โดยมีความเอียงของแกนมากกว่า 90 องศาเมื่อเทียบกับระนาบสุริยวิถี ทาให้ดูเหมือนดาวยูเรนัส
กล้ิงไปบนทางโคจร แกนกลางของดาวค่อนข้างเย็นกว่าดาวแก๊สยักษ์ดวงอื่น ๆ และแผ่ความร้อนออกมาสู่
อวกาศภายนอกเพียงน้อยนิด[65] ดาวยูเรนัสมีดวงจันทร์บริวารที่รู้จักแล้ว 27 ดวง กลุ่มของดวงจันทร์ขนาด
ใหญ่ได้แก่ ไททาเนีย โอบิรอน อัมเบรยี ล เอเรียล และมริ นั ดา
ดำวเนปจูน
ดาวเนปจูน (30 AU) แม้จะมีขนาดเล็กกว่าดาวยูเรนัส แต่มีมวลมากกว่า คือประมาณ 17 เท่าของมวล
โลก ดงั นน้ั มนั จงึ เปน็ ดาวท่มี คี วามหนาแนน่ มาก ดาวเนปจูนแผ่รังสีความร้อนจากแกนกลางออกมามาก แต่ก็ยัง
นอ้ ยกวา่ ดาวพฤหสั บดหี รือดาวเสาร์ เนปจูนมีดวงจันทรบ์ รวิ ารทร่ี ูจ้ ักแล้ว 13 ดวง ดวงที่ใหญ่ท่ีสุดคือ ไทรทัน มี
สภาพการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอยู่ เช่นมีน้าพุร้อนไนโตรเจนเหลว และเป็นดาวบริวารขนาดใหญ่เพียง
ดวงเดยี วทม่ี ีวงโคจรยอ้ นถอยหลงั ดาวเนปจูนยงั ส่งดาวเคราะหเ์ ลก็ ๆ จานวนหน่ึงหรือเนปจูนโทรจัน เข้าไปใน
วงโคจรของดวงจนั ทรไ์ ทรทนั ดว้ ย โดยมีการสัน่ พอ้ งของวงโคจรแบบ 1:1 กับดวงจันทร์
มเี ทพประจาดาวคอื โพไซดอน (เทพแห่งทอ้ งทะเล) มีสญั ลักษณค์ อื ♆
ดำวหำง
ดาวหางเฮล-บอปป์
ดาวหาง เป็นวตั ถุขนาดเลก็ ในระบบสรุ ิยะ โดยมากมีขนาดเพียงไม่กี่กิโลเมตรในแนวขวาง ประกอบด้วย
สสารจาพวกน้าแข็งระเหยงา่ ยเป็นสว่ นใหญ่ วงโคจรของดาวหางจะเบ้ียวมาก จุดใกล้ดวงอาทิตย์ท่ีสุดมักเข้าไป
ถึงช้นั วงโคจรของดาวเคราะห์ช้ันใน ส่วนจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดอาจออกไปไกลพ้นจากดาวพลูโต เมื่อดาวหาง
โคจรผ่านเข้ามาในระบบสุริยะช้ันใน ผลกระทบจากดวงอาทิตย์ทาให้พื้นผิวน้าแข็งของมันระเหยและแตกตัว
เป็นประจุ ทาใหเ้ กิดเป็นโคมา คอื หางขนาดยาวประกอบดว้ ยแก๊สและฝุ่นท่มี องเห็นได้ด้วยตาเปลา่
ดาวหางคาบสั้นมีวงโคจรประมาณไม่ถงึ 200 ปี สว่ นดาวหางคาบยาวมีวงโคจรนานถึงหลายพันปี เช่ือว่า
ดาวหางคาบส้ันมีกาเนิดมาจากแถบไคเปอร์ ขณะท่ีดาวหางคาบยาวเช่นดาวหางเฮล-บอปป์ น่าจะมีกาเนิดมา
จากแถบเมฆออร์ต มีตระกูลของดาวหางอยูห่ ลายตระกลู เชน่ ดาวหางเฉยี ดดวงอาทติ ย์ตระกูล Kreutz เกิดข้ึน
จากการแตกตัวออกมาของดาวหางดวงแม่ ดาวหางบางดวงที่มีวงโคจรแบบไฮเพอร์โบลิกอาจจะมีกาเนิดมา
จากห้วงอวกาศภายนอกของระบบสรุ ยิ ะ แต่การคานวณเส้นทางโคจรท่ีแน่นอนของพวกมันทาได้ยากมาก ดาว
หางโบราณท่ีองค์ประกอบอันระเหยได้ได้ถูกขับออกไปจนหมดเน่ืองจากความร้อนของดวงอาทิตย์ อาจกลาย
สภาพไปเปน็ ดาวเคราะหน์ อ้ ยได้
เซนทอร์
เซนทอร์ คือวตั ถนุ า้ แขง็ คล้ายดาวหางที่มีค่ากึง่ แกนเอกมากกว่าดาวพฤหัสบดี (5.5 AU) แต่น้อยกว่าดาว
เนปจูน (30 AU) เซนทอร์ท่ีมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่รู้จัก คือ 10199 ชาริโคล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
ประมาณ 250 กิโลเมตร เซนทอร์ชิ้นแรกท่ีค้นพบคือ 2060 ไครอน ซึ่งเมื่อแรกถูกจัดประเภทว่าเป็นดาวหาง
(95P) เพราะมันมีหางโคมาเหมือนกับท่ีดาวหางเป็นเมื่อเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ นักดาราศาสตร์บางกลุ่มจัด
ประเภทเซนทอร์ให้เป็นวัตถุในแถบไคเปอร์ท่ีกระจายตัวอยู่รอบใน โดยมีวัตถุแถบไคเปอร์อีกจานวนหน่ึง
กระจายตวั ทางรอบนอกออกไปจนถงึ แถบหินกระจาย
ย่ำนพ้นดำวเนปจูน
ยา่ นอวกาศท่อี ยเู่ ลยดาวเนปจนู ออกไป หรือ "ย่านพ้นดาวเนปจูน" ยังเป็นพ้ืนท่ีท่ีไม่ค่อยได้รับการสารวจ
มากนัก เท่าที่ทราบดูเหมือนจะเป็นบริเวณท่ีเต็มไปด้วยโลกเล็ก ๆ (วัตถุขนาดใหญ่ที่สุดในย่านนี้มีเส้นผ่าน
ศูนย์กลางราวหนึ่งในห้าของโลก และมีมวลน้อยกว่ามวลของดวงจันทร์) ที่ประกอบข้ึนด้วยหินกับน้าแข็ง
บางคร้ังก็เรียกย่านนี้ว่า "ย่านระบบสุริยะรอบนอก" ซ่ึงจะคล้ายกับความหมายของวัตถุท่ีอยู่เลยจากแถบดาว
เคราะหน์ อ้ ย
แถบไคเปอร์
แผนผังวัตถุต่าง ๆ ในแถบไคเปอรเ์ ทา่ ท่ีรจู้ ัก เทียบกับดาวเคราะห์ชน้ั นอกท้ัง 4 ดวง
พลูโต คารอน กับดวงจันทร์บริวารทัง้ สองดวง
แถบไคเปอร์ คือบริเวณของการก่อตัวคร้ังแรกในระบบ มีลักษณะเป็นแถบวงแหวนมหึมาของเศษวัตถุ
กระจัดกระจายคล้ายกับแถบดาวเคราะห์น้อย แต่ส่วนมากวัตถุเหล่าน้ันเป็นน้าแข็ง ครอบคลุมพื้นท่ีช่วงท่ีห่าง
ดวงอาทิตย์ออกมาตง้ั แต่ 30-50 หน่วยดาราศาสตร์ สมาชกิ ในแถบไคเปอร์ส่วนมากเป็นวัตถุขนาดเล็กในระบบ
สุริยะ แต่ก็มีวัตถุขนาดใหญ่จานวนหน่ึงในแถบไคเปอร์ เช่น ควาอัวร์ วารูนา และ ออร์กัส ท่ีสามารถจัด
ประเภทเป็นดาวเคราะห์แคระ ประมาณว่า มีวัตถุในแถบไคเปอร์มากกว่า 100,000 ชิ้นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง
มากกว่า 50 กิโลเมตร แต่มวลรวมของวัตถุในแถบไคเปอร์ทั้งหมดมีเพียงประมาณ 1 ใน 10 หรืออาจเพียง 1
ใน 100 เท่าของมวลโลกเท่านั้น วัตถุในแถบไคเปอร์จานวนมากท่ีมีดาวบริวารของตัวเองหลายดวง และส่วน
ใหญ่จะมวี งโคจรทีอ่ ยู่นอกระนาบสรุ ยิ วถิ ี
วัตถใุ นแถบไคเปอรส์ ามารถแบง่ ได้อยา่ งหยาบ ๆ เปน็ 2 พวก คอื "แถบด้ังเดิม" และ "กลุ่มส่ันพ้อง" กลุ่ม
ส่ันพ้องมีวงโคจรท่ีเช่ือมโยงกับดาวเนปจูน (เช่น 2 รอบต่อ 3 รอบโคจรของเนปจูน หรือ 1 รอบต่อ 2) โดยท่ี
การสนั่ พ้องของวงโคจรครงั้ แรกเกิดขึ้นในวงโคจรของดาวเนปจนู เอง แถบดัง้ เดิมประกอบด้วยวัตถุท่ีไม่มีการสั่น
พ้องของวงโคจรกับดาวเนปจูน มีย่านโคจรอยู่ระหว่าง 39.4 - 47.7 หน่วยดาราศาสตร์.[75] การจัดประเภท
สมาชิกแถบไคเปอร์ด้ังเดิมว่าเป็นพวกคิวบิวาโน เกิดขึ้นหลังจากมีการพ้นพบสมาชิกดวงแรกในกลุ่มน้ี คือ
15760 1992 QB1 เมอื่ วนั ท่ี 30 สงิ หาคม ค.ศ. 1992
พลูโตกบั คำรอน
ดาวพลูโต (39 AU โดยเฉลย่ี ) เป็นดาวเคราะห์แคระ และเป็นวัตถุในแถบไคเปอร์ท่ีใหญ่ท่ีสุดเท่าท่ีเป็นที่
รู้จัก เมื่อแรกท่ีค้นพบดาวพลูโตในปี ค.ศ. 1930 มันถูกจัดว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงท่ีเก้า แต่ในปี ค.ศ. 2006 มี
การจัดประเภทใหม่หลังจากท่ีมีการกาหนดคาจากัดความของ "ดาวเคราะห์" อย่างเป็นทางการ ดาวพลูโตมี
ความเย้ืองศูนย์กลางของวงโคจรประมาณ 17 องศาเทียบกับระนาบสุริยวิถี มีจุดใกล้ดวงอาทิตย์ท่ีสุดท่ี 29.7
AU (ในระดับวงโคจรของดาวเนปจนู ) และมีจดุ ไกลดวงอาทิตย์ท่ีสดุ ที่ 49.5 AU
คารอน เป็นดวงจันทร์บริวารขนาดใหญ่ที่สุดของดาวพลูโต แต่ยังไม่มีการยืนยันชัดเจนว่ามันจะยัง
สามารถจัดประเภทเป็นดาวเคราะห์แคระได้หรือไม่ ท้ังพลูโตและคารอนมีจุดศูนย์รวมแรงโน้มถ่วงในการโคจร
อยู่ระหว่างกันและกัน ทาให้ดูเหมือนว่า พลูโตกับคารอนเป็นระบบดาวคู่ ยังมีดวงจันทร์ขนาดย่อมกว่าอีก 2
ดวงคอื นิกซ์ และ ไฮดรา โคจรรอบพลโู ตกบั คารอน
วงโคจรของดาวพลูโตอยู่ในแถบการส่ันพ้อง มีค่าส่ันพ้องวงโคจรกับดาวเนปจูนที่ 3:2 หมายความว่า
พลูโตโคจรรอบดวงอาทิตย์ 2 รอบต่อการโคจรของดาวเนปจูน 3 รอบ วัตถุในแถบไคเปอร์ที่ร่วมอยู่ในวงโคจร
การส่นั พ้องจะเรยี กวา่ เป็นพวก พลตู ิโน
เฮำเมอำกบั มำคีมำคี
เฮาเมอา (43.34 AU โดยเฉล่ีย) และมาคีมาคี (45.79 AU โดยเฉลี่ย) เป็นวัตถุด้ังเดิมในแถบไคเปอร์ที่
ใหญท่ สี่ ดุ เท่าทเ่ี ป็นที่รูจ้ กั เฮาเมอามรี ปู สณั ฐานเหมอื นไข่ มีดวงจนั ทรบ์ รวิ าร 2 ดวง มาคมี าคีเป็นวัตถุสว่างท่ีสุด
ในแถบไคเปอร์รองจากดาวพลูโต แต่เดิมดาวท้งั สองมชี ื่อรหัสว่า 2003 EL61 และ 2005 FY9 ตามลาดับ ต่อมา
จึงมีการตั้งชื่อดาว (พร้อมทั้งยกสถานะเป็นดาวเคราะห์แคระ) ในปี ค.ศ. 2008 วงโคจรของดาวทั้งสองย่ิงมี
ความเยื้องมากกว่าดาวพลูโตเสียอีก (ที่ 28° และ 29°) แต่ดาวท้ังสองน้ีไม่ได้รับผลกระทบจากวงโคจรของดาว
เนปจูน เพราะอยู่ในย่านทเ่ี ปน็ สมาชิกดง้ั เดมิ ของแถบไคเปอร์
แถบหินกระจำย
แผนภาพแสดงความเย้ืองศนู ยก์ ลางและความเอยี งของระนาบโคจร เสน้ สีดาคอื แถบหินกระจาย สีนา้ เงินคือ
แถบไคเปอร์ดั้งเดมิ และสีเขียวคือยา่ นการสัน่ พอ้ งของวงโคจร
แถบหินกระจายมีย่านคาบเกี่ยวกันกับแถบไคเปอร์ แต่แผ่ตัวออกไปทางด้านนอกของระบบเป็นบริเวณ
กวา้ ง เช่อื วา่ ในแถบหินกระจายน้ีเป็นต้นกาเนิดของบรรดาดาวหางคาบส้ัน วัตถุในแถบหินกระจายถูกแรงโน้ม
ถ่วงรบกวนจากดาวเนปจูนในยุคต้น ๆ ผลักไปมาจนทาให้มีวงโคจรท่ีไม่แน่นอน โดยมากจะมีจุดโคจรใกล้ดวง
อาทิตย์ท่ีสุดอยู่ในย่านของแถบไคเปอร์ ส่วนจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดอาจอยู่ห่างออกไปถึง 150 หน่วยดารา
ศาสตร์ วงโคจรของวัตถุในแถบหินกระจายยังมีความเอียงระนาบสูงมากเมื่อเทียบกับระนาบสุริยวิถี บางครั้ง
ถึงกับต้ังฉากกับระนาบนี้เลยก็เป็นได้ นักดาราศาสตร์บางกลุ่มจัดให้แถบหินกระจายเป็นอีกย่านหน่ึงของแถบ
ไคเปอร์ และเรียกวัตถุในแถบหนิ กระจายวา่ "วตั ถกุ ระจายในแถบไคเปอร์"
อีรีส
อีรีส (68 AU โดยเฉล่ีย) เป็นวัตถุในแถบหินกระจายขนาดใหญ่ท่ีสุดเท่าท่ีรู้จัก เป็นต้นเหตุของการ
ถกเถียงกันเรื่องคุณสมบัติของการเป็นดาวเคราะห์ เพราะมันมีขนาดใหญ่กว่าดาวพลูโตอย่างน้อย 5% โดยมี
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2,400 กิโลเมตร (1,500 ไมล์) ถือเป็นดาวเคราะห์แคระขนาดใหญ่ที่สุดท่ีเป็นท่ี
รู้จัก[80] อีรีสมี ลักษณะวงโคจรมีค่าความเย้ืองศูนย์กลางค่อนข้างสูงเหมือนกับดาวพลูโต จุดใกล้ดวงอาทิตย์
ที่สุดอยู่ท่ีประมาณ 38.2 AU (ประมาณระยะวงโคจรของดาวพลูโต) ส่วนจุดไกลดวงอาทิตย์ท่ีสุดอยู่ประมาณ
97.6 AU มีความเอียงกบั ระนาบสุรยิ วถิ ีสูงมาก
อ้ำงองิ
ระบบสุรยิ ะ.ค้นหาเม่ือ 17 กุมภาพนั ธ์ 2563.จาก https://th.m.wikipedia.org/wiki/