ในพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั
หอ้ งสมดุ วชริ ญาณ
ฉบบั ธนติ อยู่โพธ์ิ
วทญั ํู เหลืองงาม
เรยี บเรียง
คานา
รายงานวรรณกรรมฉบบั นี้ เปน็ สว่ นหนึง่
ของรายวชิ าวรรณคดสี าหรบั งานนาฏศิลป์
(๒๑๕๑๒๓๐๑) มจี ดุ ประสงคเ์ พื่อศกึ ษาคน้ คว้าความรู้
ความเขา้ ใจในส่วนของการคัดแยกบทกลอนตามแต่ละ
ประเภท ซงึ่ รายงานฉบบั น้ีมีเนอ้ื หาทก่ี ลา่ วโดยรวมไดว้ า่
คน้ คว้าความรู้ในสว่ นของประวัติผู้แตง่ ความเปน็ มาของ
เรอื่ งอุณรทุ ภมู ิหลังของแตต่ วั ละครในเรื่อง ในอกี สว่ น
หนึ่ง กลา่ วคือ ความเข้าใจ โดยในที่น้ี เขา้ ใจในส่วนของ
การคัดแยกบทกลอนออกตามแต่ละประเภทโดย
ใช้สัญญะของสแี ละนยิ ามตามหลกั ความสวยงามของ
ภาษาไทย(วรรณคดี)เขา้ มามีสว่ นร่วมรวมไปถงึ การ
วิเคราะห์ตัวละครตามความเขา้ ใจจากการอา่ นและสรปุ
ของเนอ้ื เรอ่ื งท้ังหมด
การจดั ทารายงานฉบับนส้ี าเร็จตาม
วัตถปุ ระสงค์ ขา้ พเจ้าขอขอบพระคณุ อาจารย์
รณกฤต เพชรเกลี้ยง อาจารยป์ ระจาสาขาวิชา
นาฏยศิลปศ์ ึกษา ที่ทา่ นได้ใหค้ าแนะนาการเขียนรายงาน
ตามหลักการ จนทาใหร้ ายงานฉบับนส้ี มบูรณใ์ นดา้ น
แผนปฏบิ ัติศกึ ษาการทารายงาน การเรยี บเรยี งเน้ือหา
การเขียนบรรณานกุ รมได้สาเรจ็ ลลุ ่วงไปด้วยดี ข้าพเจ้า
หวังว่า เน้ือหาในรายงานฉบบั น้ที ไ่ี ด้เรียบเรียงมาจะเป็น
ประโยชน์ตอ่ ผสู้ นใจในส่วนของวรรณกรรมไทย เร่อื ง
อุณรุท ได้เป็นอย่างดี หากมสี ่ิงใดในรายงานฉบบั นท้ี ่ี
เหมาะควรแกก่ ารปรบั ปรงุ ขา้ พเจ้าขอนอ้ มรับในขอ้
ชแี้ นะและจะนาไปแก้ไขหรือพัฒนาให้ถูกตอ้ งสมบรู ณ์
ตอ่ ไป
วทญั ํู เหลืองงาม
01 02
ท่มี าและความสาคัญ เนือ้ เรื่องโดยย่อ
03
ความงามวรรณศิลป์
ท่มี าและความสาคญั
เร่อื งอนริ ทุ ธ ปรากฏว่ารจู้ ักกันดีมมี าแตส่ มยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา แตท่ ่ีข้ึนชอ่ื ลือชาปรากฏเปน็
วรรณคดเี รื่องสาคัญกค็ อี “อนิรทุ ธคาฉันท”์ ของศรีปราชญ์ ในรชั กาลสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช เนื้อ
เร่ืองตลอดจนชอื่ คนและสถานทใ่ี นอนริ ุทธคาฉนั ท์ มกั กล่าวถึงถูกตอ้ งตรงกันกับที่ปรากฏในคัมภรี ว์ ิษณุปรุ าณะ
ดังข้อความตอนหนึง่ มีว่า
“อุษา ธิดาของพาณะ ไดเ้ หน็ พระแม่เจ้าบารพตี กาลังสาเริงกรีฑาอยูก่ ับพระศมั พุ ผู้พระมหา
สวามี กด็ ลใจให้นางปรารถนาเพ่ือสังสนั ทนเ์ ช่นนั้นบา้ ง พระแมเ่ จา้ เคารีผู้ทรงโฉม ซ่ึงทรงทราบวาระน้าจิตของ
ปวงประชาสตั ว์ จงึ ตรสั แกอ่ ุษาว่า “อยา่ เสียใจ เธอจะมสี าม”ี อุษาราพึงกับตนเอง “แลว้ เมือ่ ไหรจ่ ะม?ี ผูใ้ ดหนอ
จะมาเป็นสามขี องเรา?” พระแม่เจ้าบารพตีจึงตรัสต่อไปวา่ “ผู้ใดปรากฏแก่เจา้ ในความฝนั ณ วันขึน้ ๑๒ ค่า
แห่งเดือนไพศาข เขาผู้นัน้ แหละจะเป็นสามีของเจา้ ” เหตนุ ้ีครน้ั ถึงวันตามที่พระแมเ่ จา้ ทรงพยากรณไ์ ว้ หนุ่มนอ้ ย
ผ้หู น่งึ ก็ปรากฏโฉมขนึ้ ในสบุ นิ นมิ ิตของอษุ า ซ่ึงเธอรกั ใคร่ใฝฝ่ ัน คร้นั เธอต่นื ขึน้ ภาพในสุบนิ นิมิตก็อันตรธานไป
ไม่เหน็ หน่มุ นอ้ ยผู้นั้น เธอจึงเศรา้ โศกเสยี ใจไมส่ ามารถระงับ (ความเศร้าโศก) ไวไ้ ด้ พร่าบน่ ถงึ ใคร่จะไดอ้ ยู่
ร่วมกับบุคคลผู้ (ที่เธอเหน็ ในความฝัน) น้นั อษุ ามีเพอื่ นหญงิ คนหนงึ่ ช่อื วา่ จิตรเลขา ธิดาของกมุ ภาณฑ์ผเู้ ปน็
เสนาบดขี องพาณะ จิตรเลขาถามอุษาวา่ “หลอ่ นบน่ ถึงใคร?” เธอไดส้ ติรู้สึกตัว ก็มคี วามละอาย จึงน่งิ เสยี
อยา่ งไรกด็ ี เม่ือนางจิตรเลขาเฝา้ ปลอบโยนใหเ้ ชอ่ื ใจแล้วซกั ถามอยู่เปน็ เวลานาน อุษากเ็ ลา่ เรื่องซึง่ ไดเ้ กิดขน้ึ แก่
ตนเอง และเล่าคาซึง่ พระแม่เจ้า (บารพด)ี ทรงพยากรณ์ไว้ให้จติ รเลขาฟงั ครนั้ แลว้ เธอก็วิงวอนเพือ่ นของเธอให้
ช่วยหาวิธีไดอ้ ยูร่ ว่ มกบั บคุ คลท่เี ธอได้เห็นในความฝัน แต่ไมท่ ราบวา่ เป็นใครนนั้ จิตรเลขาใครร่ ู้ (วา่ เปน็ ใคร) จงึ
วาดรปู ของบรรดาสรุ ะ (เทวดา) ผมู้ ีมหทิ ธฤิ ทธ,์ิ วาดรูปของพวกแพศย,์ คนธรรพแ์ ละมวลมนษุ ยผ์ ู้มีฤทธิ์
ยิ่งใหญ่ แล้วนามาใหด้ ู อุษาก็ปัดรูปเทวดา, คนธรรพ,์ นาค (อรุ คะ) และอสรู เหล่านนั้ ทิง้ เสยี เลอื กไว้แตร่ ปู
มนษุ ย์ และบรรดารปู มนุษยน์ ้ันกเ็ ลือกดูแต่รปู ของวรี บรุ ษุ แหง่ เชอื้ ชาตอิ ันธกะและวฤษณี ครนั้ เธอได้เห็นรปู
พระกฤษณแ์ ละพระราม (ซึง่ ละม้ายคลา้ ยหนุม่ นอ้ ยทป่ี รากฏในความฝัน) ก็รสู้ ึกละอาย พอมาถงึ รูปพระปรัทยมุ น์
เธอก็ชม้ายชายตาเมินไป แต่พอเธอได้เห็นรูปโอรสของพระปรัทยุมน์ ดวงตาทงั้ สองของเธอก็เบกิ กว้าง ความ
ขวยเขินสะเทน้ิ ใจหายไปหมด ร้องบอกแก่จติ รเลขาว่า “คนน้ี คนน”้ี สหายของเธอจึงเข้าโยคะ แลว้ ท้ิงอษุ าให้ย้มิ
แย้มแจ่มใสดใี จได้ แลว้ จิตรเลขากเ็ หาะไปยงั กรงุ ทวารกา..., นาเอาพระอนริ ทุ ธมา (ยังปราสาทของนางอษุ า
ในโศณิตปรุ ะ) ดว้ ยอานาจโยคะของนาง”
ซงึ่ นเี่ ป็นข้อความตอนหน่งึ ในคัมภรี ว์ ษิ ณปุ รุ าณะ
จติ รเลขา ในคมั ภรี ์วิษณปุ รุ าณะ ตามทีน่ ามาเลา่ ไว้ข้างต้นนั้น ในอนิรทุ ธ คาฉนั ทเ์ รยี กไว้ว่า
พจิ ติ รเลขา แต่ในบทละคอนเรือ่ งอุณรทุ เรยี กช่ือไปอีกอยา่ งหน่งึ ว่า ศภุ ลกั ษณ์ และว่าศภุ ลกั ษณเ์ ปน็ ช่ือของนาง
พระพีเ่ ลี้ยงคนหนึง่ ในพระพี่เล้ียงทง้ั ห้าของนางอษุ า นางเอกในกลอนบทละคอนเรอื่ งอณุ รุท
ธนติ อยโู่ พธิ์./( ๑๒ ธนั วาคม ๒๓๓๐ )./{online}./Averlable: http://1ab.in/wsg
ตานานบทละคอนเรื่อง “อณุ รุท”
ละคอนเรอ่ื งอณุ รทุ มปี รากฏเป็นบทพระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลท่ี ๑ คู่กนั มากบั บทละคอนเรื่อง
รามเกียรต์แิ ละอเิ หนา มคี ากลอนกลา่ วอา้ งไวท้ า้ ยเรือ่ งอุณรุทว่า
“อันพระราชนพิ นธ์อุณรทุ สมมุติไม่มีแก่นสาร
ทรงไวต้ ามเรอ่ื งโบราณ สาหรบั การเฉลมิ พระนคร
ใหร้ ารอ้ งครนื้ เครงบรรเลงเล่น เปน็ ท่ีแสนสขุ สโมสร
แก่หญงิ ชายไพร่ฟ้าประชากร กถ็ าวรเสร็จส้ินบรบิ รู ณ์”
เรอื่ งอนิรุทธที่นามาแตง่ เปน็ บทสาหรับเลน่ ละคอนดังกลา่ วนี้ ดาเนนิ เรอื่ งแผกเพย้ี นไปจากอนิ
รทุ ธคาฉนั ท์ แมจ้ นช่อื ว่าอนริ ุทธกเ็ พ้ียนไปเป็นอุณรุท เนือ้ เรอ่ื งที่ตา่ งออกไป กเ็ หน็ จะมุ่งแตง่ ขึ้นให้เหมาะแกก่ าร
เลน่ ละคอนตามทน่ี ิยมกัน และทีใ่ นบทพระราชนิพนธ์ซง่ึ นามาไวข้ ้างตน้ ว่า “ทรงไวต้ ามเรื่องโบราณ” แสดงว่า
บทละคอน เร่ืองอุณรทุ เคยมีมากอ่ นรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทราบความวา่ กลอนบทละคอนเรือ่ ง
อณุ รุทอาจเกิดขึ้นภายหลงั จากรชั กาลสมเด็จพระนารายณล์ งมา เหน็ พร้อมวา่ อยู่ในช่วงสมัยกรุงศรีอยธุ ยา
ตอนปลาย หรอื อาจอย่ใู นช่วงรชั กาลสมเดจ็ พระเจา้ บรมโกศ มีกลา่ วไว้ใน “บุณโณวาทคาฉนั ท์” ของ พระ
มหานาค วดั ท่าทราย คราวสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั บรมโกศแหง่ กรุงศรีอยุธยา เสดจ็ ประพาสและสมโภชพระ
พทุ ธบาท เข้าใจว่าเม่อื ปี พ.ศ. ๒๒๙๓ มีว่า
“ละคอนก็ฟอ้ นร้อง สรุ ศัพทขับขาน
ฉับฉ่าท่ีดานาน อนุรทุ ธกินรี”
ทกี่ ลา่ วว่า “อนริ ุทธกนิ รี” ในคาฉันทน์ ี้ กเ็ พราะในเรื่องทเี่ ปน็ กลอนบท ละคอนนนั้ มกี ลา่ วไว้
อกี ตอนหนึ่งวา่ พระอนริ ุทธเสดจ็ ประพาสไพรไปพบพวกนางกนิ นร ก็ทรงพศิ วาสจงึ ทรงไล่ตอ้ นพวกนางกนิ นร
แตก่ ็ยงั เรยี กว่า “อนิรุทธ” ไม่เรยี ก “อณุ รทุ ” เหมือนในบทพระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลที่ ๑
ใน “เพลงยาวความเกา่ ” (ประชมุ เพลงยาว ภาคท่ี ๗) มกี ล่าวถงึ การฝึกหัดเลน่ ละคอนเรือ่ งอุณรุทไว้วา่
“มาร่าเร่อให้เปน็ ทศี่ รสี ดุ า
ทงั้ อตุ ส่าห์เบือนบิดจริตงาม
ไปฝกึ ฝนกันที่ตน้ ลาไยเกา่
ขา้ งลาเนาสรรเพชญ์ปราสาทสนาม”
ข้อนส้ี อ่ งความวา่ ไปฝึกหัดละคอนเปน็ ตัวนางศรสี ดุ า ซงึ่ เปน็ นางรองในบทละคอนเรอื่ งอณุ รุท
กนั ทต่ี น้ ลาไย ในบริเวณพระท่ีนง่ั สรรเพชญ์ปราสาทท่ีกรงุ เกา่ ในสมัยกรงุ ศรีอยุธยา และอกี แห่งหนงึ่ ปรากฏ
เป็นตานานการละคอนว่า ในสมัยกรุงธนบรุ ี มีตัวละคอนผหู้ ญิงคนหน่งึ ซ่งึ เคยเป็นนางเอกละคอนหลวงมาแต่
ครั้ง กรุงศรีอยธุ ยา และไดม้ าเป็นครูละคอนครงั้ กรุงธนบุรี มชี ื่อว่า “จนั ” ในเพลงยาวความเก่าเรยี กไว้ว่า
“จันอษุ า” ซ่งึ คงจะหมายความวา่ หญิงชือ่ จันคนน้ี เคยแสดงละคอนเป็นตวั นางอษุ า นางเอกในเรือ่ งอุณรทุ
และแสดงดีมชี อื่ เลยี งจนคนทัง้ หลายขนานนามในตัวละคอนเปน็ สรอ้ ยติดชือ่ ตัวมาด้วย เชน่ เดยี วกบั ท่เี รยี ก
“แย้มอิเหนา” “อิ่มย่าหรัน” “ทองใบทศกรรฐ์” และ “ทองดพี ระราม” เป็นตน้ ซ่งึ มีประเพณีนิยมเรียกกันมา
จนในช้ันหลงั นี้
ธนติ อยโู่ พธ์ิ./( ๑๒ ธนั วาคม ๒๓๓๐ )./{online}./Averlable: http://1ab.in/wsg
ในสมยั ธนบุรี ไม่พบหลกั ฐานว่าไดม้ กี ารแต่งบทละคอนเรอ่ื งอุณรุท และหากจะมกี ารแสดงละคอน
เรื่องน้ีกันบา้ งในรชั กาลนั้น กค็ งจะใช้บทครง้ั กรงุ เก่าเท่าทีเ่ หลือมา และหากนั ไดใ้ นเวลานน้ั ต่อมาในสมัยกรงุ
รัตนโกสินทรร์ าวตน้ รชั กาลที่ ๑ กลา่ วกันวา่ เม่ือพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั ยังเสด็จดารงพระยศเป็น
สมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงอศิ รสนุ ทร และประทบั อยทู่ ี่พระราชวังเดมิ (ทีเ่ ปน็ โรงเรยี นนายเรือ บดั น้ีได้
โปรดใหฝ้ กึ หดั บทละคอนผหู้ ญิงข้นึ ในพระราชวงั ชุดหน่ึง ใช้บทละคอนเรื่องอุณรทุ ครงั้ กรุงเกา่ แต่เอามาตัดให้เหมาะ
แก่การแสดงละคอนในครงั้ น้นั (บททต่ี ัดน้นั ยงั มีอยู่ในหอสมุดแหง่ ชาติ เป็นหนงั สอื ๑๕ เล่มสมดุ ไทย แต่ตน้ ฉบับทมี่ ี
อยู่ไมค่ รบ) ความทราบถงึ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ก็ทรงกรว้ิ จนตอ้ งเลกิ เพราะมกี ฎหา้ มไวแ้ ต่สมยั
กรุงศรอี ยุธยา มใิ หเ้ อกชนนอกจากพระเจ้าแผ่นดนิ มีหรอื ฝกึ หดั ละคอนหญงิ ไวใ้ นสานัก เมอ่ื ครงั้ มีงานสมโภชพระ
แก้วมรกตในรัชกาลที่ ๑ กป็ รากฏว่ามเี ลน่ ละคอนเร่ืองอณุ รุทสมโภชดว้ ย แต่คงเรียกอนริ ุท เช่นทก่ี ล่าวว่า
“มะโหรศพทุกส่ิงเหลน้ ฉลองพุทธ พมิ พพ์ อ่
เล็งละคอนอนริ ุท รนุ่ ร้อย
พลิ าสพิไลยสดุ จักรา่ รานา
แตง่ แง่งามอ่อนช้อย เฉิดชีโ้ ฉมสวรรค์ฯ”
การเลน่ ละคอนเรื่องอุณรุท ในคราวสมโภชพระแกว้ มรกตครง้ั นัน้ คงจะเป็นคณะละคอนของสมเด็จ
เจา้ ฟ้า กรมหลวงอิศรสนุ ทร (คอื พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย) กเ็ ปน็ ได้ และคงจะเลน่ ตามบทคร้งั กรุง
เกา่ เพราะฉบบั กรุงรัตนโกสินทรย์ ังไมไ่ ด้แตง่ ข้นึ ตอ่ ล่วงมาอีก ๓ ปี จึงไดท้ รงพระราชนิพนธบ์ ทละคอนเรอ่ื งอุณรุ
ทขน้ึ มีกล่าวไว้ในบานแพนกว่า “ศุภมัศดุ ตยลุ ศักราช ๑๑๔๙ ปีมะแมนพศก เจตรมาส สตั ตมกาฬปักขดิถีพุธวา
รบรจิ เฉทะ (กาล) กาหนด สมเดจ็ พระพุทธเจา้ อย่หู วั อันเสด็จถาวรสวัสดิ์ปราบดาภริ มย์ ทนี่ ั่งอามรนิ ทราภิเศก
พมิ าน ทรงพระราชนพิ นธ์รจนาเร่อื งอุณรุทเสรจ็ แต่ ณ วัน ๔๓ฯ๑ คา่ ปมี ะแม นพศกคิดรายวันได้ ๕ เดือน
กับ ๑๐ วนั บรบิ รู ณท์ ฤฆายศุ มสวสั ด”ิ์
แต่บานแพนกนี้ ไพล่ไปปรากฏอยู่ในฉบับที่เป็นสานวนความทรงตรสั ของ สมเดจ็ เจา้ ฟ้า กรมหลวง
อิศรสุนทร เข้าใจว่าอาลักษณจ์ ะเขียนสบั สนกนั ในเวลาใดเวลาหนง่ึ มีข้อควรสงั เกตท่วี า่ “เจตรมาส สัตตมกาฬปัก
ดิถีพุธวาร” ซงึ่ แปลวา่ เดือน ๕ แรม ๗ คา่ วันพธุ น้นั สอบในปฏทิ ินเปน็ วนั จันทร์ และนบั แตเ่ ดือน ๕ แรม ๗ คา่
มาถึงวนั พธุ ข้นึ ๓ ค่า เดอื นอา้ ย ไมใช่ ๕ เดือน กับ ๑๐ วัน ที่ถกู เป็น ๗ เดอื น กับ ๑๐ วนั พอดี ทงั้ นท้ี างทจ่ี ะ
ตกลงได้จงึ มีแต่เพยี งว่า ในปี พ.ศ. ๒๓๓๐ คือปีท่ี ๖ ในรัชกาลท่ี ๑ นั้น ไดม้ ีบทละคอนเรอ่ื งอุณรุทเกิดขนึ้ สานวน
หนึง่ คือ สานวนท่ีเรียกวา่ พระราชนิพนธ์ในรชั กาลที่ ๑ มีอยู่ ๑๘ เล่มสมดุ ไทย เคยมีผนู้ าออกตพี ิมพจ์ าหนา่ ย
แล้ว เท่าที่เคยพบฉบับตีพิมพ์ ปรากฏว่าตัง้ แตเ่ ลม่ ๑ ถงึ เล่ม ๘ สมดุ ไทย หรอื ตงั้ แต่หน้า ๑ ถงึ หนา้ ๒๕๒
ตพี มิ พท์ โ่ี รงพมิ พน์ ายเทพ ทีแ่ พตรงข้ามหน้าสกูลสนุ ันทาลยั เมือ่ ร.ศ. ๑๐๙ (พ.ศ. ๒๔๓๓)
ตั้งแต่เล่ม ๙ ถงึ เลม่ ๑๒ สมดุ ไทย หรือตง้ั แต่หน้า ๒๕๓ ถงึ หน้า ๓๗๖ ตีพมิ พท์ ่ีโรงพิมพห์ มอสมิท
บางคอแหลม เมือ่ จ.ศ. ๑๒๓๖ (พ.ศ. ๒๔๑๗) และตงั้ แต่เลม่ ๑๓ ถึงเลม่ ๑๘ สมุดไทย หรอื ตงั้ แต่หน้า ๓๗๗
ถงึ หนา้ ๕๒๒ ตีพมิ พท์ โี่ รงพมิ พ์นายเทพ แสดงว่าไดต้ พี มิ พ์มาแลว้ ๒ ครงั้
เมื่อเทียบกบั บทละคอนพระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลที่ ๑ ด้วยกัน เชน่ อิเหนาและรามเกยี รติ์แลว้
นับวา่ เป็นบทพระราชนพิ นธ์เรอื่ งอุณรทุ แตง่ ข้นึ กอ่ นกวา่ เรอื่ งอ่ืน สานวนโวหาร การรอ้ ยกรองก็สงั เกตเหน็ ได้ว่า มี
กลิน่ อายบทกลอนสมัย กรงุ ศรีอยุธยาตดิ มาเปน็ อนั มาก ตลอดจนราชประเพณี เช่น บทกลอ่ มช้าลกู หลวง และ
อนื่ ๆ สมควรทผี่ ู้ใฝ่ใจในราชประเพณแี ละวรรณคดขี องชาติ จะหาอา่ นหาศึกษาเปน็ อยา่ งย่งิ
ธนติ อยโู่ พธิ์./( ๑๒ ธันวาคม ๒๓๓๐ )./{online}./Averlable: http://1ab.in/wsg
วทญั ญู เหลอื งงาม
บทละคร เรอ่ื งอุณรทุ นัน้ แต่เดมิ มิใช่ช่ืออุณรุท หากแต่วา่ คร้ัง
ก่อนในสมัยอยธุ ยา ไดใ้ ชช้ ่อื ว่า “อนิรุทธคาฉนั ท”์ ของศรปี ราชญ์ ด้วยท่วี า่ เนื้อเรือ่ งใกลเ้ คียงกัน
กบั อุณรุท ของรตั นโกสนิ ทร์ จงึ ได้เกดิ มตทิ ว่ี า่ “บทละครเรือ่ งอณุ รทุ มิใชเ่ รมิ่ มใี นชว่ ง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หากแตว่ ่ามีมาตั้งแต่สมัยกรงุ ศรีอยุธยาตอน
ปลาย หรอื อาจอยใู่ นชว่ งรัชกาลสมเดจ็ พระเจา้ บรมโกศ มกี ลา่ วไว้ใน “บุณโณวาทคาฉันท์” ของ
พระมหานาค วัดทา่ ทราย คราวสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั บรมโกศแห่งกรงุ ศรีอยุธยา เสดจ็ ประพาส
และสมโภชพระพุทธบาท พ.ศ. ๒๒๙๓” ซ่งึ เมื่อเทยี บกบั บทประพนั ธ์อ่ืน ๆ ในยคุ สมัย
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช น้นั ถอื ไดว้ า่ บทละครเรอ่ื ง อุณรทุ น้นั มีมาแต่
เดมิ กอ่ นบทประพนั ธเ์ ร่ืองอ่นื ๆ
ในช่วงรัตนโกสินทร์ราวต้นรัชกาลที่ ๑ กล่าวกันวา่ เมอ่ื พระบาทสมเด็จพระพทุ ธ
เลิศหลา้ นภาลัย ยงั เสด็จดารงพระยศเป็น สมเด็จพระเจา้ ลกู ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสนุ ทร
และประทับอยู่ทพ่ี ระราชวงั เดิม (ทเ่ี ป็นโรงเรยี นนายเรือ บดั น้ันได้โปรดให้ฝึกหดั บทละคอนผู้หญิงขึ้น
ในพระราชวังชดุ หนง่ึ ใชบ้ ทละคอนเรื่องอุณรทุ ครัง้ กรุงเกา่ แตเ่ อามาตัดใหเ้ หมาะแกก่ ารแสดง
ละคอนในครั้งนั้น ครนั้ เม่ือความทราบถงึ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลก กท็ รงกรวิ้ จน
ต้องเลกิ เพราะมีกฎห้ามไว้แตอ่ ดตี เมอ่ื คราวสมัยกรุงศรีอยุธยา มใิ ห้เอกชนนอกจากพระเจา้
แผ่นดนิ มหี รอื ฝึกหัดละคอนหญิงไว้ในสานัก เมือ่ ครัง้ มงี านสมโภชพระแกว้ มรกตในรัชกาลที่ ๑ ก็
ปรากฏวา่ มเี ล่นละคอนเร่ืองอณุ รทุ สมโภชด้วย แต่คงเรียกอนิรุท เชน่ ทก่ี ลา่ ววา่
“มะโหรศพทุกสง่ิ เหล้น ฉลองพุทธ พมิ พ์พ่อ
เลง็ ละคอนอนริ ทุ ร่นุ รอ้ ย
พิลาสพไิ ลยสดุ จกั ร่า รานา
แตง่ แงง่ ามออ่ นช้อย เฉิดช้ีโฉมสวรรค์ฯ”
การเล่นละคอนเรื่องอุณรทุ ในคราวสมโภชพระแกว้ มรกตครง้ั น้ัน คงจะเปน็ คณะ
ละคอนของสมเด็จเจา้ ฟา้ กรมหลวงอศิ รสุนทร (คือพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย) ซึง่
เปน็ ได้ โดยเล่นตามบทครั้งกรุงเก่า เพราะฉบับกรุงรตั นโกสินทรย์ ังไมไ่ ดป้ ระพนั ธข์ ้นึ ใหม่
ความวา่ ท้าวกรุงพาณ (คือ พาณะ)
ครองกรงุ รัตนา (คอื โศณิตปรุ ะ) มีมหิทฤทธ์ิเป็นทเี่ กรงขามของมวลมนษุ ย์
และทวยเทพ ชอบประพฤตติ นเปน็ พาลเทีย่ วสมสู่นางฟ้านางสวรรคเ์ มยี เทวดา
เสียทุกๆ องค์ ทวยเทพไดร้ ับความเดอื ดร้อนมาก ทา้ วกรุงพาณเกิดความฮึก
เหมิ ใจ วนั หนึง่ นึกใครจ่ ะไปลอบลกั สมสู่นางสจุ ติ รา มเหสเี อกองคห์ น่ึงของพระ
อนิ ทร์ จงึ ขึ้นไปบนดาวดึงส์แปลงกายเป็นต๊ดุ ตูแ่ อบอยขู่ า้ งประตูวมิ าน วันนั้น
ทา้ วสหัสนัยนม์ ีเทวประสงค์จะเสด็จประพาสสวนจติ รลดาวัน ก่อนเสดจ็ ไปก็ไม่
ทรงไว้พระทัยอยแู่ ล้ว เมือ่ ออกจากหอ้ งทพิ พิมาน จงึ ทรงรา่ ยมนต์ผูกทวารไว้
เสีย ท้าวกรงุ พาณซึง่ แปลงตัวเปน็ ตุ๊ดต่อู ยู่ ก็จนปัญญา เขา้ ไปหานางสุจติ รา
ภายในวมิ านไมไ่ ด้ แต่จามนตบ์ ทน้ันไดข้ น้ึ ปากขน้ึ ใจ คร้ันพระอินทรเ์ สด็จ
กลบั มา ก็ทรงร่ายเวทเปดิ ทวารเสด็จเข้าไป ทา้ วกรงุ พาณจงึ จามนตไ์ ด้ทัง้ ผูก
ทง้ั แก้ แล้วคนื กลบั นครของตน
ต่อมา พระอินทรเ์ สด็จประพาสสวนนันทวัน วันนนั้ กรงุ พาณก็ขน้ึ มาเยีย่ มกรายดู
บนชนั้ ดาวดึงส์อีก พอรวู้ ่าองค์จอมเทพเสด็จประพาสอุทยาน เธอกแ็ ปลงรปู เปน็ พระอนิ ทร์แล้วรา่ ยเวทเปิดประตูวิมาน
เขา้ ไปหานางสจุ ติ รา นางสุจติ ราสาคัญว่า พระอินทร์ผเู้ ปน็ พระสวามเี สด็จมา ก็ถลาเข้าต้อนรับด้วยความพศิ วาส
และคร้งั นแ้ี หละเป็นครั้งท่ีพระอินทรจ์ ะตอ้ งเป็นไปอย่างบทพระราชนพิ นธ์ ทีก่ ล่าวไวเ้ ป็นความรูส้ ึกของพระอนิ ทรว์ า่
“เสียเมียดง่ั เสยี ชวี ิต น้อยจิตปิม้ เลอื ดตาไหล”
เนอื่ งดว้ ยเหตุด่ังกล่าวนี้ นางสุจติ ราจงึ ลาพระอนิ ทร์จุตลิ งมาเกดิ ในดอกบวั ในสระโบกขรณีใกล้
อาศรมของพระฤๅษสี ุธาวาส (ทรุ วาส?) ภายหลังกรุงพาณมาขอไปเล้ยี งไวใ้ นนครของตน ปรากฏว่ารกั ใครโ่ ปรด
ปรานมาก
รว่ มสมยั เดียวกันกบั กรงุ พาณนนั้ ณ กรุงณรงกา (หรือท่ถี ูกเป็นทวารกา หรือทวารวดี แปลว่า “เมืองมปี ระต”ู
มเี มอื งชื่อนีต้ ง้ั อยู่ในแคว้นคชุ ราษฎร)์ พระนารายณ์อวตารลงมาเกดิ เปน็ พระกฤษณค์ รองกรงุ ณรงกา มโี อรสองคห์ นึ่ง
นาม วา่ “ไกรสุท” ซ่งึ ตรงกบั พระปรทั ยุมน์ ในวษิ ณุปรุ าณะ (บางทจี ะเพี้ยนมาจาก “กฤษณสุต” แปลวา่ “ลูก
พระกฤษณ”์ ) ภายหลงั พระกฤษณม์ อบให้ไกรสุท หรอื ปรทั ยมุ น์ ครองณรงกาแทน ปรัทยมุ น์ มโี อรสหลายองค์ แต่
องคห์ นึ่ง คอื อนริ ุทธ หรือทเ่ี รียกเพย้ี นไปในบทพระราชนพิ นธว์ า่ “อณุ รุท” อุณรุทไดแ้ ต่งงานกับนางศรสี ดุ า ราช
ธดิ าของอทุ มุ ราช ณ กรงุ โรมราช
วนั หนึ่งอณุ รุทกับพระชายาชอื่ ศรีสดุ านนั้ เสดจ็ ประพาสป่า ไปพบกวางทอง พระชายาอยากได้ ขอให้
พระสวามชี ่วยตามจบั อุณรทุ กท็ รงขับไลก่ วางทองไปจนพลัดพลนิกายและพระชายา มาถึงตน้ ไทรแห่งหนึ่ง รูส้ กึ เหนือ่ ย
อ่อน ก็เข้าพักอาศัย ฝ่ายพวกพลซ่งึ มพี ระพ่ีเลี้ยงท้ังสกี่ ากบั อยู่ ก็สงั่ ใหแ้ บง่ พลออกเปน็ ๒ ส่วน ๆ หน่งึ ใหเ้ ชิญพระ
ชายากลับเข้าเมือง ฝา่ ยพระพเี่ ลยี้ งและพลนกิ ายอกี ส่วนหนง่ึ ก็ออกตดิ ตามไปทนั พระอณุ รทุ ทีต่ ้นไทร อณุ รทุ จงึ ให้
พระพีเ่ ล้ียงบวงสรวงสังเวยพระไทรขอพกั อาศัยในราตรกี าลนนั้ เทพเจ้าซง่ึ สถิตอยู่ ณ ต้นไทรจงึ สนองการบวงสรวง
สงั เวยของอณุ รทุ สะกดพลนิกายใหห้ ลบั หมดแลว้ จงึ อุม้ พาอณุ รุทไปยงั ปราสาทของนางอุษา ณ กรงุ รตั นา หรือโศณิ
ปรุ ะ
ธนิต อย่โู พธ์ิ./( ๑๒ ธันวาคม ๒๓๓๐ )./{online}./Averlable: http://1ab.in/wsg
บทประพันธ์หรือเหตกุ ารณต์ อนน้ีเรียกกนั วา่ “พระไทรอุ้มสม” กวมี ักชอบ
นามาแต่งอ้างถงึ ในหนงั สือเพลงยาวและกลอนนริ าศต่างๆ บ่อยๆ เชน่ ในโคลง นริ าศกรงุ
เก่า ของหลวงจักรปาณี (กฤษ์) ยังกลา่ วไวบ้ ทหน่งึ ตอนถงึ บางไทร วา่
“บางไทรไทรเทพไท้ สิงสถิตย์นฤี้ ๅ
โอบองค์พระอนุรทุ ธฤทธิ์ รอ่ นฟ้า
วางสมอษุ านิทร ถนอมแนบ นางเอย
วานพระถ่อมถนอมขา้ ค่คู า้ งคนื สม ฯ”
เมือ่ พระไทรเทพเจ้า วางพระอุณรุทลงบนแทน่ เคียงข้างนางอษุ า แลว้ ก็มาคดิ
ว่า ถ้าใหท้ ้งั สององค์สนทนาปราศรยั กนั ได้ ก็จะไตถ่ ามนามและวงศ์แล้วจะเกิดภยั มาก จึง
รา่ ยมนต์ผูกโอษฐเ์ สยี ทง้ั สองคนมิใหส้ นทนากนั ได้ ปลุกให้สององคต์ ่นื บรรทม แล้วพระไทรก็
กลบั วมิ าน ขอกล่าวลัดความขา้ มไปวา่ พอจะใกลร้ งุ่ แจง้ อณุ รุทกบั อุษากาลังนอนหลับอยู่
เคียงกนั บนพระแทน่ บรรทม พระไทรเทพเจ้ากม็ าพาอณุ รุทกลับไปยงั ท่ีพกั ใตต้ น้ ไทรตามเดมิ
คราวนี้ ทางฝ่ายอุณรุทต่ืนขนึ้ มาไม่เห็นอุษาก็คลง่ั ไคล้ใหลหลง พวกพระพ่ี
เลยี้ งท้ัง ๕ จึงชว่ ยกนั พากลับเขา้ เมือง ฝ่ายอษุ ากเ็ ชน่ เดียวกนั ตื่นขนึ้ ไมเ่ หน็ อุณรุทก็
หลงใหลคลง่ั ไคล้ นางพระพ่เี ลย้ี งท้ัง ๕ ชว่ ยกันแก้ไขไมส่ าเร็จ นางศภุ ลักษณ์หรอื อกี ชอ่ื หนึ่ง
ว่า จิตรเลขา ดังกลา่ วแล้วข้างต้นนัน้ เป็นนางพระพี่เล้ยี งทีเ่ ฉลียวฉลาดสามารถคนหนง่ึ
ประกอบทงั้ เป็นผ้มู ีศลิ ปในทางวาดรปู สมช่ือ จงึ รับอาสานางอุษา เทยี่ วไปทกุ สวรรคช์ ัน้ ฟา้
เทย่ี ววาดรปู เทวดามาใหน้ างอษุ าดู วา่ เปน็ คนเดยี วกบั ผทู้ ี่มาร่วมแท่นบรรจถรณห์ รอื ไม่
แลว้ ไปเท่ยี ววาดรูปมนุษยผ์ มู้ ฤี ทธใ์ิ หญ่ย่ิงในมนุษยโลกมาให้นางอษุ าตรวจดูอีก
คร้ันนางศุภลกั ษณ์ไปเที่ยววาดรูปเหล่าน้มี าให้นางอุษา กไ็ มต่ รงกับผูท้ ่ีนางมุง่
หมาย นางจึงไม่วายเศรา้ โศก ภายหลงั ศภุ ลกั ษณ์ไปวาดเอารูปพระอุณรุทมาให้ นางกด็ ใี จ
ขอร้องใหศ้ ภุ ลกั ษณ์ช่วยเหลือ นางศุภลักษณ์จงึ เหาะไปอุ้มเอาพระอณุ รทุ มายงั ปราสาทของ
นางอษุ า ตอนนเี้ รียกกันว่า “ศภุ ลกั ษณอ์ ้มุ สม” มีบทขบั ร้องพระนพิ นธข์ องสมเดจ็ เจา้ ฟ้า
กรมพระยานริศรานวุ ัดติวงศ์ ทรงปรับไว้
ผู้ศกึ ษาสรปุ ไดว้ ่า
วทญั ํู เหลืองงาม (๒๕๖๓) ไดศ้ ึกษาพบว่า
ณ สวรรค์ช้ันดาวดึงส์ พระอนิ ทรเ์ จ้า มพี ระชายา นามวา่ นางสจุ ติ รา
คร้ันวันหนึ่ง พระอนิ ทร์ไดเ้ สด็จประพาสสวนนนั ทวนั ยกั ษผ์ ู้พาลนามว่า กรงุ พาณ มฤี ทธ์ิ
เกรียงไกร กไ็ ดข้ นึ้ มาเทย่ี วสมสเู่ หล่านางฟ้า จนเมือ่ คราวพระอนิ ทรเ์ สด็จออกไปยงั สวนน้ัน
ก็ไดจ้ ดจาการร่ายพระคาถาทวารทีพ่ ระจอมเจ้าสะเดาะวมิ านเอาไว้ จนไดเ้ กีย้ วพาราสีกับ
นางสุจติ ราจนเสร็จสม เม่ือพระอินทร์กลับมา นางสุจิตรารู้สึกละอายใจ จึงได้บอกความ
ตามจรงิ แลว้ จึงกราบทลู ลา จตุ ลิ งมานดอกบัว ขา้ งอาศรมพระฤๅษใี นป่าใหญ่ นามว่า
นางอุษา ในยุคเดียวกนั นัน้ ท้าวกรงุ พาณ ได้เขา้ ป่าและได้พบเจอนาง จึงไดข้ อมาเป็นบตุ ร
เพื่อเลี้ยงดู ส่วนบนสวรรคพ์ ระองคอ์ ินทรก์ ไ็ ดไ้ ปเขา้ เฝา้ พระนาราย จนในทีส่ ดุ พระ
นารายณ์กไ็ ด้ลงมาจุตบิ นโลกมนุษย์ นามว่า พระบรมกฤษณ์ มบี ตุ รช่ือไกรสทุ (ปรมั
ยทุ ธ์) มหี ลานชอื่ วา่ อุณรุท มีพระชายา นามว่า นางศรสี ุดา } (พงศ์นารายณ์)
วนั หนึ่ง นางศรีสุดา และพระอณุ รทุ ได้เสดจ็ ประพาสป่า พบกวางทอง
นางจงึ อยากได้ พระอุณรุทบั พระพ่ีเลย้ี งจึงพลขับตามจบั กวางทองตัวน้นั สุดท้าย พระอณุ
รุท และเหล่าพ่เี ล้ียงก็ได้แยกทางกนั จนในทส่ี ุดก็ได้พบกัน ณ ใตต้ ้นไทรใหญ่ จึงได้
รว่ มกนั บรวงสรวงพระไทร เพอื่ ขอพกั พงิ อิงอาศัย เมอ่ื นนั้ พระไทร จงึ ตอบสนองด้วยการ
รา่ ยมนตด์ ลจิตใหเ้ หล่าพี่เลย้ี งหลบั ใหล แลว้ จึงพาพระอณุ รทุ ไปยัง วิมานของนาอษุ า (พระ
ไทรอุม้ สม) คร้นั เมอ่ื พาท้ังคูม่ าพบเจอกนั พระไทรกลวั ว่า เมอ่ื พบพักตรก์ นั และกนั จะเกิด
คาถาม ความเปน็ มา จงึ รา่ ยใหท้ งั้ สอง พูดจากนั ไม่ได้ เม่ือยามใกลร้ งุ่ พระไทรจงึ ไดพ้ าพระ
อุณรทุ กลับมายังใต้ต้นไทรเหมือนเดมิ ทัง้ พระอุณรุทรวมถึงพระพีเ่ ล้ียง พอยารุง่ ก็ต่างพา
กันกลับนครดงั เดมิ
ดว้ ยความถวิลหาของนางอุษาทีไ่ ดพ้ บเจอชายหนมุ่ ท่สี ะดุดตาสะดุดใจ แต่
กลับไม่ทราบช่ือเสยี งเรยี งนาม จึงเกดิ เป็นความใคร่ ใคร่ที่จะพบเจออกี ครัง้ ใคร่ทจี่ ะทราบ
ว่าเป็นใคร ความเปน็ มา จงึ ได้วอนใหน้ างศภุ ลักษณ์ พระพ่ีเล้ยี งของตนออกไปตามหา นาง
ศุภลกั ษณ์จึงตระเวนไล่วาดรปู เหล่าเทวดา คนธรรพ์ เจา้ เมืองต่าง ๆ ไลว่ าด วันแล้ววนั
เลา่ ก็ไมพ่ บ จนในทส่ี ุดก็พบพระอุณรุท แล้วจึงไดว้ าดรูปพระอุณรทุ ไปใหน้ างอุษา เม่ือ
คราวนางเหน็ จงึ ดใี จ สายตาเบกิ กวา้ ง นางจงึ วอนอีกคราใหน้ างศภุ ลักษณ์ ไปนาพาพระ
อุณรุทมาพบเจอกับนางจนได้ (ศุภลกั ษณอ์ มุ้ สม)
ความงาม
วรรณศลิ ป์
บทชมโฉม บท
ชมความงาม
๏ ทา้ วมีมเหสีภริ มย์รกั ประไพพักตรง์ ามเพยี งพระ ๏ มาจะกลา่ วบทไป ถงึ ทา้ วกรุงพาณยักษา
ลักษมี เป็นหน่อสุริย์วงศพ์ รหมา สบิ เศยี รสบิ หนา้ ย่สี ิบกร
ทรงนามชอ่ื จนั ทมาลี มศี รเี สาวภาคยจ์ าเริญตา รู้ศลิ ป์ศาสตรามหาเวท ทรงเดชท้าวหาญชาญสมร
อรชรอ้อนแอ้นเอวองค์ ด่งั เทเวศบรรจงเลขา เป็นจอมจรรโลงสถาวร ในนครรตั นากรงุ ไกร
ทรงลกั ษณ์พร้อมเบญจกัลยา นางในโลกาไมเ่ ทยี มทัน ประกอบด้วยไอศรู ย์สมบตั ิ แกว้ เกา้ เนาวรัตนไ์ มน่ บั ได้
อันหมู่พระสนมนารี ส่งศรีเพียงอัปสรสวรรค์ ทวยหาญล้วนหาญชาญชัย หยั รถคชาอเนกนันต์
ทรงโฉมนฤมลละกลกนั แปดหมื่นส่ีพันอนงคใ์ น อสุราไพรฟ่ า้ ประชากร คับคงั่ พระนครเขตขณั ฑ์
เอกเอ่ียมเฟีย้ มเฝา้ เบอ้ื งบาท ดัง่ ดาวดาษลอ้ มดวงแขไข แสนสนกุ ด่งั เมอื งเวสสวุ ณั อนั ชอื่ อากลกมนทา0
ขับราบาเรอเป็นนจิ ไป สาราญใจทุกทิวาราตรี
บทชมดง เสาวรจนยี ์ บทแตง่ ตวั
๏ เดินทางหวา่ งเขาลาเนาธาร ลว่ งเขา้ หิมพานต์สิงขร ๏ ปทมุ แกว้ โปรยปรายสายสนิ ธ์ุ ชาระกายมลทินธลุ ีผง
ใกลอ้ โนดาตสระชโลทร รโหฐานรม่ รอ้ นอโณทยั ลบู ไล้เครอ่ื งตน้ สุคนธท์ รง สนับเพลาเครือหงสอ์ ลงกรณ์
พฤกษาขนึ้ เคียงเรยี งเรยี บ เปน็ ระเบยี บริมรอบสระใหญ่ ภษู าพื้นตองทองพราย ฉลุลายรปู ราชไกรสร
ตน้ หวา้ ผลหวานตระการใจ ประยงคล์ าไยระย้ายาน ชายแครงชายไหวกระหนกงอน ฉลององค์เครือซ้อนพ้นื
การเวกบนิ วอ่ นมากนิ หว้า หรรษาร้องเสียงสาเนียง สวุ รรณ
หวาน ตาบทิศทบั ทรวงดวงประพาฬ สังวาลมรกตทับทิมคัน่
ชาตบุษย์แย้มบษุ ป์เบกิ บาน พกิ ุลกาญจน์ดวงแก้ว รัดอกแก้วกาญจน์ประกอบกนั ทองกรกดุ ่ันพาหุรดั
ผกากรอง ธามรงคเ์ รือนเก็จเพชรเหลือง อรา่ มเรอื งทง้ั สบิ นิ้วพระหตั ถ์
สาลิกาพากนั มาจบั แกว้ เสยี งแจ้วรา่ ยโจนโผนผยอง ทรงมงกุฎแก้วดอกไมท้ ดั กรรเจียกจอนเนาวรตั น์
กณุ ฑลธาร
ยีส่ ิบกรกุมสรรพอาวุธ สาแดงฤทธริ ุทรกาลังหาญ
จง่ึ ทรงโฉมประโลมลานสวาท ส่งศรผี ุดผาดประภัสสร
จะใคร่ถามสุริย์วงศ์พระนคร นามกรให้แจ้งกิจจา
ก็เอือ้ นโอษฐพ์ าทีออกมไิ ด้ แสนฉงนจนใจนีห่ นักหนา
แต่ซานทรดุ องคจ์ ะลงมา พระตระกองกายาไวม้ ่ันคง
ให้ขวยเขินสะเทินพระทยั นัก นงลกั ษณค์ รวญคิดพศิ วง
แต่ชมา้ ยชายดูพระสุริย์วงศ์ โฉมยงผลักไสไปมา
นารีปราโมทย์
๏ เมอ่ื นั้น พระทรงโฉมประโลมเสน่หา
ถนอมลูบจุมพติ พนิดา เล้ยี วลอดสอดคว้าพลั วนั
กลั ยาหยิกกรแล้วค้อนคม พระทรงฤทธช์ิ น่ื ชมภิรมย์ขวญั
แสนสวาทด่าวด้นิ แดยัน เสยี วกระสนั รัญจวนป่วนใจ
เอนองค์ลงแอบแนบน้อง สอดคลอ้ งดว้ ยความพสิ มัย
เชยแกม้ แนมโอษฐ์อรไท จรุงใจรนื่ รสสุคนธา
ฟ้าลั่นครนั่ ครืน้ โพยมพราย สุนบี าตฟาดสายในเวหา
ฝนฝอยพรอยพรมลงมา ต้องผกาโกเมศแบง่ บาน
ภมรมาศผาดเคล้าเอาซาบ ละอองอาบกล่นิ หวนหอมหวาน
สองสมชมรสชนื่ สาราญ ในสถานแทน่ ทิพสถาวร
๏ เม่ือน้ัน พระอุณรุทสรุ ยิ ว์ งศ์นาถา
ไดฟ้ งั สมเดจ็ พระบดิ า ผ่านฟ้าเหลอื บดูพระบตุ รี
ถ้วนทวั่ ทัง้ รอ้ ยเอด็ องค์ อนั ทรงวิลาสเฉลมิ ศรี
เผอิญพระทัยไมไ่ ยดี ด่ังเหน็ ยักขนิ ีอสุรกาย
คร้นั นางแลสบพระพกั ตรเ์ พศ ให้ระคายเคอื งเนตรไม่รหู้ าย
ยงิ่ คลง่ั คลุ้มร่มุ ร้อนด่ังเพลิงพราย เผาผิวพระกายเวทนา
แค้นขัดตรัสไปดว้ ยวปิ รติ ไม่คิดเกรงสองกษัตริยน์ าถา
เหม่เหม่นางราชธิดา มาเย้ยเยาะข้าฤๅวา่ ไร
ตรสั พลางฉวยชกั พระขรรค์ หนุ หนั อุตลุดลุกไล่
หวดซา้ ยปา่ ยขวาวุน่ ไป ไม่เป็นอารมณส์ มประดี
พิโรธวาทงั
๏ เม่อื นั้น หลานพระหริรักษน์ าถา
ไดย้ ินยายมดเจรจา ผา่ นฟ้ากรวิ้ โกรธคอื ไฟ
ผดุ ลุกขึ้นยนื กระทบื บาท ตวาดด้วยสงิ หนาทหว่นั ไหว
เหม่เหมอ่ ีเฒ่าจังไร กูจะฆ่าใหม้ ้วยชีวัน
ฯ ๔ คา ฯ
ศพั ท์ไท
๏ ว่าเอ๋ยวา่ แลว้ ชักพระขรรคแ์ กว้ ฉายฉัน
เล้ยี วไล่ฟาดฟนั จะบ่ันชวี า
ฯ ๒ คา ฯ เชดิ
ร้อื
๏ เมอ่ื นน้ั นวลนางอุษาสาวสวรรค์
ครนั้ สวา่ งสร่างเวทเทวัญ พอแสงพรรณเรอื่ เหลืองเรืองฟา้
สน่ันเสยี งฆอ้ งยามย่ารงุ่ ประกายพรกึ พรายพุ่งเวหา
ฟ้ืนกายพลางพลิกกลบั มา กรควา้ หาองค์พระทรงฤทธ์ิ
ไม่พบพระโฉมเฉลิมเนตร อัคเรศหวาดหวัน่ ตันจติ
แสนอาวรณร์ ้อนร่มุ เปน็ สุดคดิ ด่งั เพลิงพษิ เผาทรวงดวงใจ
อนจิ จาพระยอดเยาวราช มาสมสวาทแนบน้องแลว้ ไปไหน
แลหาไม่เห็นย่ิงอาลยั อรไทขอ้ นทรวงเขา้ โศกา
สลั ปังคพิไสย
๏ เมือ่ นนั้ พระบตุ รีเยาวยอดเสนห่ า
พศิ รูปเทวราชท่ีวาดมา ผดิ พระยอดฟ้ายาใจ
ยิง่ แสนสลดระทดจิต พศิ พิศแลว้ ถอนใจใหญ่
จงึ ตรัสแก่พ่เี ล้ียงทนั ใด รปู นมี้ ใิ ชพ่ ระทรงลักษณ์
อนั พระองคน์ อ้ งเห็นจะเปน็ มนษุ ย์ มงกุฎแหลง่ หล้าอาณาจักร
ผิดเทพเทวาสุรารกั ษ์ พมิ พ์พักตร์ร่างกายนั้นไกลกัน
วา่ พลางคดิ ครวญหวนหา องคพ์ ระยอดฟา้ นราสรรค์
เร่ารอ้ นอรุ าจาบัลย์ ทรงกนั แสงโศกโศกี
อุณรทุ