The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 09907, 2022-12-05 06:13:39

มหาเวสสันดร กัณฑ์มัทรี ตันติกร50610

F399B37F-E6C4-41A7-BD26-112037B45BB9

มหาเวสสันดรชาดก
กัณฑ์มัทรี


จัดทำโดย

นายตันติกร ตันติพิมลพันธ์
ม.5/6 เลขที่ 10


เสนอ

ครูสุวรรณ ชำนาญธุระกิจ

ประวัติผู้แต่ง

เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นกวีเอกคนหนึ่งใน
สมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีนามเดิมว่า หนเกิดเมื่อใดไม่
ปรากฏหลักฐานแน่ชัด น่าจะอยู่ในช่วงปลายสมัยกรุง
ศรีอยุธยา และถึงแก่อสัญกรรมในสมัยรัชกาลที่ ๑
พ.ศ. ๒๓๔๘

ผลงานต่างๆ
แต่งในสมัยกรุงธนบุรี
- ลิลิตเพชรมงกุฎ
- อิเหนาคำฉันท์
แต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
- สามก๊ก (เป็นผู้อำนวยการแปล)
- ราชาธิราช (เป็นผู้อำนวยการแปล)
- กากีกลอนสุภาพ
- ร่ายยาวมหาชาติ กัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี
- ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง

ลักษณะคำประพันธ์

แต่งเป็นร่ายยาว คำประพันธ์ประเภทร่ายยาว
หนึ่งบทจะมีกี่วรรคก็ได้ แต่ส่วนมากมี ๕ วรรคขึ้นไป
วรรคหนึ่ง ๆ มีตั้งแต่ ๖ คำขึ้นไป ถึง ๑๐ คำหรือ
มากกว่า มีบังคับเฉพาะระหว่างวรรค คือ คำสุดท้ายของ
วรรคจะส่งสัมผัสไปที่คำที่ ๑ ถึง ๕ ของวรรคต่อไป เมื่อ
จบตอนมักมีคำสร้อย เช่น “นั้นแล” “นี้แล”

ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก เป็นร่ายยาวสำหรับ
เทศน์ จะมีคำศัพท์บาลีขึ้นก่อน แล้วแปลเป็นภาษาไทย
แล้วจึงมีร่ายตาม ในระหว่างการดำเนินเรื่องจะมีคำบาลี
คั่นเป็นระยะ ๆ คำบาลีนั้นมีความหมายเกี่ยวเนื่องกับ
ข้อความที่ตามมา

แผนผังร่ายยาว

ที่มาของเรื่อง

มาจากร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นชาดก
เรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยกล่าวถึงเรื่องราวของพระ
โพธิสัตว์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร เดิมแต่ง
เป็นภาษาบาลี ต่อมามีการแปลเป็นภาษาไทยในสมัย
กรุงสุโขทัย ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
โปรดเกล้าฯให้ปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งมหาชาติ
คำหลวง ซึ่งเป็นมหาชาติสำนวนแรก โดยมีจุดประสงค์
เพื่อใช้สวด ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าให้
แต่งกาพย์มหาชาติ เพื่อใช้สำหรับเทศน์ แต่เนื้อความ
ในกาพย์มหาชาติค่อนข้างยาว ไม่สามารถเทศน์ให้จบ
ภายใน ๑ วัน จึงเกิดมหาชาติขึ้นใหม่อีกหลายสำนวน
เพื่อให้เทศน์จบภายใน ๑ วัน มหาชาติสำนวนใหม่นี้
เรียกว่า มหาชาติกลอนเทศน์ หรือ ร่ายยาวมหา
เวสสันดรชาดก

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
โปรดเกล้าฯให้มีการชำระและรวบรวมมหาชาติกลอน
เทศสำนวนต่าง ๆ แล้วคัดเลือกสำนวนที่ดีที่สุดของ
แต่ละกัณฑ์ นำมาจัดพิมพ์เป็นฉบับของหลวง ๒ ฉบับ
คือ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ และ ฉบับกระทรวง
ศึกษาธิการ

เนื้อเรื่องย่อ

พระนางมัทรีฝันร้ายว่ามีบุรุษมาทำร้าย จึงขอให้
พระเวสสันดรทำนายฝันให้ แต่พระนางก็ยังไม่สบาย
พระทัย ก่อนเข้าป่า พระนางฝากพระโอรสกับพระธิดา
กับพระเวสสันดรให้ช่วยดูแล หลังจากนั้นพระนางมัทรี
ก็เสด็จเข้าป่าเพื่อหาผลไม้มาปรนนิบัติพระเวสสันดร
และสองกุมาร ขณะที่อยู่ในป่า พระนางพบว่าธรรมชาติ
ผิดปกติไปจากที่เคยพบเห็น เช่นต้นไม้ที่เคยมีผลก็
กลายเป็นต้นที่มีแต่ดอก ต้นที่เคยมีกิ่งโน้มลงมาให้พอ
เก็บผลได้ง่าย ก็กลับกลายเป็นต้นตรงสูงเก็บผลไม่ถึง
ทั้งท้องฟ้าก็มืดมิด ขอบฟ้าเป็นสีเหลืองให้รู้สึกหวั่น
หวาดเป็นอย่างยิ่ง ไม้คานที่เคยหาบแสรกผลไม้ก็พลัด
ตกจากบ่า ไม้ตะขอที่ใช้เกี่ยวผลไม้พลัดหลุดจากมือ ยิ่ง
พาให้กังวลใจยิ่งขึ้นบรรดาเทพยดาทั้งหลายต่างพากัน
กังวลว่า หากนางมัทรีกลับออกจากป่าเร็วและทราบเรื่อง
ที่พระเวสสันดร ทรงบริจาคพระโอรสธิดาเป็นทาน ก็จะ
ต้องออกติดตามพระกุมารทั้งสองคืนจากชูชก พระอินทร์
จึงส่งเทพบริวาร 3 องค์ให้แปลงกายเป็นสัตว์ร้าย 3
ตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ขวางทางไม่ให้
เสด็จกลับอาศรมได้ตามเวลาปกติ เมื่อล่วงเวลาดึกแล้ว
จึงหลีกทางให้พระนางเสด็จกลับอาศรม

เนื้อเรื่องย่อ

เมื่อพระนางเสด็จกลับถึงอาศรมไม่พบสองกุมารก็
โศกเศร้าเสียพระทัย เที่ยวตามหาและร้องไห้คร่ำครวญ
พระเวสสันดรทรงเห็นพระนางเศร้าโศก จึงหาวิธีตัด
ความทุกข์โศกด้วยการแกล้งกล่าวหานางว่าคิดนอกใจ
คบหากับชายอื่น จึงกลับมาถึงอาศรมในเวลาดึก เพราะ
ทรงเกรงว่าถ้าบอกความจริงในขณะที่พระนางกำลังโศก
เศร้าหนักและกำลังอ่อนล้า พระนางจะเป็นอันตรายได้
ในที่สุดพระนางมัทรีทรงคร่ำครวญหาลูกจนสิ้นสติไป
ครั้นเมื่อฟื้นขึ้น พระเวสสันดรทรงเล่าความจริงว่า
พระองค์ได้ประทานกุมารทั้งสองแก่ชูชกไปแล้วด้วย
เหตุผลที่จะทรงบำเพ็ญทานบารมี พระนางมัทรีจึงทรง
ค่อยหายโศกเศร้าและทรงอนุโมทนาในการบำเพ็ญ
ทานบารมีของพระเวสสันดรด้วย

ถอดคำประพันธ์

คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผล
ไม้ในป่า พระกุมารทั้งสองฝันร้าย ทำให้พระนางหวั่น
วิตกนึกถึงลูกตลอดเวลาจนน้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้าง
พลางสังเกตเห็นว่าต้นที่มีผลไม้กลับกลายเป็นดอกไม้
ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็นผลไม้ขึ้นแทน ส่วน
ดอกไม้ที่เคยเก็บไปร้อยให้ลูกก็ถูกลมพัดปลิวร่วงลงมา
เมื่อมองไปรอบทิศก็มืดมัวทุกหนแห่ง ท้องฟ้ากลับกลาย
เป็นสีแดงคล้ายกับลางบอกเหตุร้าย สายตาของ
พระนางก็เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจาก
มือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่าซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคย
เกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนางคิดเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้น
เท่านั้น

ถอดคำประพันธ์

ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก พระนางจึงรีบเก็บผลไม้
เพื่อจะได้รีบกลับไปหาลูกที่อาศรม แต่ระหว่างทางกลับ
เจอ สิงโต เสือเหลือง และเสือโคร่ง ขวางทางไว้ นาง
กลัวจนใจสั่นร่ำไห้ คิดไปว่าเป็นกรรมของตนเอง นาง
จะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะถูกสัตว์ทั้งสามกั้นไว้ทุก
ทิศทางจนฟ้ามืด พระนางมัทรีไม่รู้จะทำอย่างไร จึง
ยกมือไหว้อ้อนวอนขอให้สัตว์หิมพานต์ทั้งสามเปิดทาง
ให้ตน โดยกล่าวว่า พระนางคือพระนางมัทรีเป็น
ภรรยาของพระเวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมในป่าด้วย
ความบริสุทธิ์ใจและกตัญญูต่อสามี นี่ก็เวลาย่ำค่ำแล้ว
ลูกคงหิวนม โปรดเปิดทางให้พระนางกลับไปที่อาศรม
แล้วตนจะแบ่งผลไม้ให้ จากนั้นไม่นานสัตว์หิมพานต์
ทั้งสามจึงยอมเปิดทางให้ พระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับไปที่
อาศรมด้วยแก้มที่อาบน้ำตา

ถอดคำประพันธ์

เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ใน
อาศรม ร้องเรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ ทั้งที่ก่อน
หน้านี้จะออกมาหาแม่กันพร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอกิน
นม ส่วนชาลีจะขอกินผลไม้ พระนางมัทรีเสียใจมาก
พร่ำบอกว่าที่ผ่านมาก็ดูแลลูกอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่
ไรไม่ให้ตอม หวังจะกลับมาพบลูกให้ชื่นใจ ก่อนหน้า
นี้ยังได้ยินเสียงลูกเล่นกันอยู่แถวนี้ นั่นก็รอยเท้าชาลี
นี่ก็ของเล่นกัณหา แต่เมื่อลูกหายไปอาศรมกลับดู
เงียบเหงาเศร้าหม่น นางจึงไปถามพระเวสสันดรว่าลูก
หายไปไหน เหตุใดจึงปล่อยให้คลาดสายตา หากมี
สัตว์ป่าจับไปจะทำอย่างไร แต่พระเวสสันดรกลับไม่
ตอบอะไร ทำให้นางกลุ้มใจยิ่งไปว่าเก่า

ถอดคำประพันธ์

ด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล
กระวนกระวายพลางบอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่นางรู้สึก
แค้นเคืองใจขนาดนี้ เพราะนางออกจากเมืองมาก็หวังว่า
อย่างน้อยจะได้สุขใจเพราะอยู่พร้อมหน้ากับลูกและสามี
แต่เมื่อลูกหายตัวไป ความหวังนั้นก็คล้ายจะดับสิ้น

พระนางมัทรีอ้อนวอนขอให้พระเวสสันดรตรัสกับ
นางบ้าง เพราะการนั่งนิ่งเหมือนโกรธเคืองพระนางมัท
รีนั้นยิ่งทำให้ปวดใจราวกับมีคนเอาเหล็กรนไฟมาแทง
ที่หัวใจ หรือเป็นคนไข้ที่หมอนำยาพิษมาให้ดื่ม อีกไม่
กี่วันคงสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อพระเวสสันดรได้ยิน
พระนางมัทรีดังนั้น ก็คิดว่าหากใช้ความหึงหวงคงเป็นวิธี
คลายความโศกให้พระนางได้ จึงตรัสว่า ในป่า
หิมพานต์แห่งนี้มีทั้งพระดาบสและนายพรานจำนวน
มาก เจ้าออกไปเก็บผลไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ หากไปทำ
อะไรในป่าแห่งนี้ก็คงจะไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึงทิ้งลูก
หนีเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ พอกลับมายังห่วงแต่
ลูก ไม่ห่วงสามีแต่อย่างใด หรือหากไม่นึกถึงสามีก็ไม่
ควรหายเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ จะให้เราเข้าใจได้
อย่างไร

ถอดคำประพันธ์

เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุ
ใดพระองค์จึงไม่ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือโคร่ง และ
เสือเหลือง เพราะสัตว์ทั้งสามนี้ทำให้ทำให้พระนางไม่
สามารถกลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิดเหตุร้ายหลายประการ
ขณะที่นางเข้าไปในป่า ทั้งของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่
หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า ต้นไม้ที่เคยผลิดอกก็ออกผล
ต้นไม้ที่เคยออกผลก็ผลิดอกออกมา ชวนให้หวาดกลัว
จนตัวสั่น อธิษฐานภาวนาให้ลูกและสามีปลอดภัย แล้ว
รีบกลับมายังอาศรมแต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัวนอนขวาง
ทางเอาไว้ จึงต้องกราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิดทาง
ให้จนพระอาทิตย์ตกดินสัตว์ทั้งสามจึงหลีกทาง แล้ว
พระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับมายังอาศรมนี้ มิได้ไปทำสิ่งใด
ที่ไม่เหมาะไม่ควรแต่อย่างใด ฝ่ายพระเวสสันดรเมื่อ
ฟังคำตอบของพระนามัทรีก็เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน จน
กระทั่งรุ่งเช้า

ถอดคำประพันธ์

ระหว่างนั้นพระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญ
ว่าตนปฏิบัติต่อสามีดั่งศิษย์ปฏิบัติต่อครู ดูแลลูกทั้งสอง
แบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้ให้อาบ
น้ำ จัดหาอาหารมาให้มิได้ขาด แล้วอ้อนวอนให้สามี
เรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา ถามว่าลูกอยู่แห่งหน
ใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา แต่ไม่ว่าจะร้องขอ
อ้อนวอนอย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา
พระนางจึงถวายบังคมลาออกไปตามหาลูกทั้งสองในป่า
หิมพานต์ เมื่อออกตามหาจนทั่วแล้วไม่พบจึงกลับมาที่
อาศรมพบว่าพระเวสสันดรยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนก่อน
หน้านี้ไม่มีผิด พระนางจึงตัดพ้อว่า เหตุใดพระ
เวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ลุกมาผ่าฝืน ตัดน้ำใส่บ่อ
หรือก่อไฟไว้อย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน พร้อมกับ
บอกว่าพระเวสสันดรนั้นเป็นที่รักของพระนางมัทรีอย่าง
ยิ่ง เมื่อกลับมาจากป่าเห็นพระพักตร์ของพระองค์และ
ได้เห็นลูกทั้งสองวิ่งเล่น ก็คลายความเหนื่อยล้าเป็น
ปลิดทิ้ง แต่วันนี้กลับกลายเป็นความทุกข์ร้อน เศร้าโศก
เพราะพระองค์ไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับพระนาง แม้พระนา
งมัทรีจะได้ออกตามหาพระกัณหาและพระชาลีไปทั่วป่า
ทั้งราตรี แล้วกลับมาหาพระเวสสันดรอย่างไรพระองค์ก็
ไม่ยอมตรัสสิ่งใดอยู่เช่นเดิม นางมัทรีสะอื้นไห้จนหมด
สติล้มลงกับพื้น

ถอดคำประพันธ์

พระเวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า 7 เดือน
ไม่เคยได้แตะต้องตัวพระนางมัทรี แต่วันนี้ด้วยความ
เศร้าโศกและตระหนกตกใจเกรงว่าพระนางจะเป็น
อะไรไป พระเวสสันดรจึงเข้าไปตรวจชีพจรดูแลนางจน
ได้สติตื่นฟื้นขึ้นมา ฝ่ายพระนางมัทรีเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ทูล
ถามอีกครั้งว่าลูกทั้งสองอยู่แห่งหนใด กลับมาแล้วหรือ
ไม่ พระเวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระกัณหากับพระ
ชาลีให้กับชูชกไปแล้ว แต่พระองค์มิได้บอกกับพระนา
งมัทรีตั้งแต่ต้นเกรงว่าพระนางจะเศร้าโศกเสียใจ เมื่อ
ได้รู้ความจริงแล้ว พระนางมัทรีจึงคลายความทุกข์เศร้า
ลงแล้วอนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระเวสสันดรได้
ปฏิบัติในครั้งนี้

ข้อคิด

ความรักของแม่ที่มีต่อลูก เห็นได้จากความกังวลที่
เกิดขึ้นเมื่อมีลางร้าย หรือความเศร้าโศกเสียใจเมื่อพระ
นางมัทรีไม่เจอลูกอยู่ในอาศรม สะท้อนให้เห็นว่าลูก
เป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ที่ไม่ว่ายุคสมัยไหน ความ
รักแบบไม่มีเงื่อนไขของพ่อแม่ยังเป็นเรื่องคลาสสิกที่
ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย

ความเชื่อเรื่องการทำนายฝัน หรือโชคลาง แม้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
แต่ความเชื่อเรื่องดวงชะตา การทำนายฝัน หรือโชคลาง
ยังคงอยู่ในสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะลดน้อยลง
เมื่อเทียบกับอดีต ซึ่งอาจมาจากความเชื่อหรือสิ่งที่มอง
ไม่เห็นยังสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจและสร้างความ
สบายใจให้กับผู้คนได้ โดยเฉพาะเรื่องอนาคตหรือ
เรื่องที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า

อ้างอิง

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี.(ออนไลน์) สืบค้น
จาก:https://www.sites.google.com/site/kanipa03
1/prawati-phu-taeng (สืบค้นวันที่ 5 ธันวาคม 2565)

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
5 วิชาภาษาไทย.(ออนไลน์) สืบค้นจาก: https://blog.
startdee.com/มหาเวสสันดรชาดก-กัณฑ์มัทรี-ม-5-
ภาษาไทย (สืบค้นวันที่ 5 ธันวาคม 2565)


Click to View FlipBook Version