The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 406502027, 2023-03-26 10:34:53

ภาษาศาสตร์

ภาษาศาสตร์

ภาษาศาสตร์ LI N G U I S TI C S


THE SOUNDS OF LANGUAGE


สัทศาสตร์ (Phonetics) เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับเสียงในภาษา โดยศึกษาดูว่า การที่มนุษย์เปล่ง เสียงใดเสียงหนึ่งออกมานั้นมนุษย์ใช้อวัยวะใดบ้างในการผลิตเสียง เสียงที่เปล่ง ออกมามีลักษณะทางกายภาพอย่างไร และหูทำ งานอย่างไร เพื่อรับรู้และเข้าใจเสียง การศึกษาในวิชา สัทศาสตร์จึงแบ่งย่อยออกไปได้ อีกเป็น


อวัยวะที่ใช้ในการออกเสียง 1.ส่วนที่ทำ ให้เกิดกระแสลม หมายถึง อวัยวะส่วนที่ทำ ให้เกิดการเคลื่อนที่ของกระแสลม หรือ จุดเริ่มต้นของกระแสลม อันได้แก่ อวัยวะที่ ช่วยในการหายใจ (respiratory apparatus) 2.ส่วนที่ทำ ให้เกิดเสียงพูด หมายถึง อวัยวะที่ใช้ในการทกให้เกิดเสียงอันได้แก่ กล่องเสียง (larynx) ภายในกล่องเสียงมีเส้นเสียง (vocal cords หรือ vocal folds) 3.ส่วนที่เปลี่ยนแปลงลักษณะเสียง หมายถึงอวัยวะที่ทำ ให้เสียงที่เปล่งออกมานั้นแตกต่างกันไป อันได้แก่ ช่องคอ (pharynx หรือ pharyngeal cavity) ช่องปาก (oral cavity) และช่องจมูก (nasal cavity) ทั้งสามส่วนนี้ เรียกรวมกันว่า ช่องทางเดินของเสียง (vocal tract) กระบวนการในการออกเสียง ประกอบด้วยอวัยวะที่สาคัญสามส่วน คือ


ส่วนที่ทำ ให้เกิดกระแสลม ปอด (lungs) เป็นอวัยวะที่เป็นต้นกาเนิดของพลังงานที่ใช้ในการผลิตเสียง อันได้แก่ กระแสลม (airstream) ถ้าปราศจากลมหายใจ เราก็ไม่สามารถเปล่งเสียงพูดได้ โดยปรกติเราเปล่งเสียงพูดในขณะที่เรา หายใจออก ส่วนที่ทำ ให้เกิดเสียงพูด กล่องเสียง (larynx หรือ voice box) เป็นอวัยวะที่อยู่ ตอนบนสุด ของ หลอดลม กล่องเสียง ประกอบด้วย กระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ลักษณะของ กล่องเสียงช่วงบน จะกว้าง กว่าช่วงล่าง ส่วนบนของกล่องเสียง อยู่ ติดกับโคนลิ้น ส่วนล่างของ กล่องเสียง อยู่ติด กับกระดูกชิ้นแรกของหลอดลม


ส่วนที่เปลี่บนแปลงลักษณะเสียง 1.ช่องคอ (pharynx หรือ pharyngeal cavity) ได้แก่ ส่วนที่อยู่เหนือกล่องเสียง มีลักษณะเป็นช่องว่าง อยู่ทางด้านหลังของโคนลิ้น เป็นส่วนที่ เชื่อมระหว่างกล่องเสียงกับช่องปาก และช่องจมูก 2. ช่องปาก (oral cavity) ได้แก่ บริเวณตั้งแต่ริมฝีปากไปจนถึงลิ้นไก่ ขนาดและรูปร่างของช่องปาก สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากภายในช่อง ปากมีอวัยวะสาคัญต่าง ๆ ที่ใช้ในการปรับคุณสมบัติของเสียง เช่น ลิ้น ซึ่งสามารถเคลื่อนไหวไปยังตาแหน่งต่างๆ ภายในช่องปาก เช่น ฟันบน ปุ่ม เหงือก เป็นต้น 3. ช่องจมูก (nasal cavity) ได้แก่ บริเวณตั้งแต่รูจมูกเข้าไปจนถึงลิ้นไก่ ช่องจมูกเป็นทางผ่านของกระแส ลมจากปอดไปสู่รูจมูก ในการเปล่งเสียง พยัญชนะนาสิก/m/, /n/ และ /N/


ภายในช่องปากนี้มีอวัยวะที่ใช้ในการออกเสียงพูดดังต่อไปนี้ คือ ริมฝีปาก (lips) ทั้งริมฝีปากบน (upper lip) และริมฝีปากล่าง (lower lip) เป็นอวัยวะที่เคลื่อนไหวแลแบบปลี่ยนแปลงรูปลักษณะได้มาก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มีส่วนทกให้เสียงที่ เปล่งออกมาแตกต่างกันออกไปด้วย รูปริมฝีปากจะห่อกลม เมื่อออกเสียงสระหลัง (back vowels) /u/, /U/, /o/ และ /•/ หรืออาจยื่นออกมา ในการออกเสียง /S/ และ /Z/ หรือเป็น รูปรี เมื่อออกเสียงสระหน้า /i/, /I/, /e/, /E/ และ /Q/ และเมื่อออก เสียง /p/ และ /b/ ริมฝีปากบนและล่าง จะปิดสนิทเพื่อกัก กระแสลมจากปอด ไว้ระยะหนึ่งก่อนที่จะปล่อยออก มา ฟัน (teeth) เป็นอวัยวะซึ่งเป็นที่เกิดของเสียงพยัญชนะหลายเสียงด้วยกัน เช่น เมื่อเคลื่อนริมฝีปากล่างขึ้นมาสัมผัสขอบล่างของฟันบน และในขณะเดียวกันเมื่อกระแสลมจากปอด เสียดแทรกผ่านช่องแคบ ๆ ระหว่างริมฝีปากล่างกับฟันบน ก็จะทาให้เกิดเสียง /f/ และ /v/ เป็นต้น ปุ่มเหงือก (alveolar ridge หรือ gum ridge) ได้แก่ ส่วนที่นูนออกมาด้านหลังของฟันบน ในการออกเสียง /t/ และ /d/ ส่วนปลายลิ้นจะยกขึ้นแตะปุ่มเหงือก กระแสลมจากปอดจะถูก กักที่บริเวณปุ่มเหงือก ขณะหนึ่งแล้วจึงระเบิดออกมา เพดานปาก (roof of the mouth) อาจแบ่งคร่าว ๆ ออกได้เป็นสองส่วน ส่วนหน้าคือ เพดานแข็ง (hard palate) ส่วนหลังคือ เพดานอ่อน (soft palate) ลิ้น (tongue) เป็นอวัยวะที่เคลื่อนไหวได้มากที่สุด และจัดเป็นอวัยวะที่มีความสาคัญในการออกเสียง ตาแหน่งต่าง ๆ ของลิ้น - เพดานแข็ง (hard palate) เป็นส่วนที่แข็งเคลื่อนไหวไม่ได้ เพดานแข็งเป็นส่วนที่ต่อจากปุ่มเหงือกไปทาง ด้านหลัง - เพดานอ่อน (soft palate) มีลักษณะนุ่มและเคลื่อนขึ้นลงได้ เพดานอ่อนเป็นส่วนที่อยู่ต่อจากเพดานแข็ง เข้าไปภายใน ส่วนปลายของเพดานอ่อน คือลิ้นไก่ (uvula)


ตำ แหน่งหน่วยเสียงภาษาอังกฤษ


หน่วยเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษ พยัญชนะภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 24 หน่วยเสียง สามารถจําาแนกได้ 3 ชนิด คือ 1) ตามตําแหน่ง ที่เกิดของเสียง (places of articulation) 2) ตามลักษณะการออกเสียง (manners of articulation) 3) ตามการสั่นหรือไม่สั่นของเส้นเสียงในการเปล่งเสียงของพยัญชนะ (voicing) 1. แบ่งตามตําาแหน่งที่เกิดของเสียง (places of articulation) คือแบ่งตามฐานกรณ์ซึ่งเป็น จุดหรือตําาแหน่งที่ทําาให้เกิดเสียงได้แก่ ริมฝีปาก ฟันบน ปุ่มเหงือก เพดานแข็งและเพดานอ่อนและที่ทําาให้เกิด เสียงนั้น ๆ ได้แก่ ริมฝีปาก ล่างและลิ้น โดยแบ่งได้ดังนี้ 1.1 เสียงที่เกิดจากริมฝีปากบนและล่าง (bilabial sounds) ได้แก่ เสียง /p/ = p-, -pp, /b/=b-, -bb, /m/=m- และ /w/= w-, wh- โดยเมื่อออกเสียงพยัญชนะเหล่า นี้ ริมฝีปากจะเคลื่อน เข้าหากันและปิดสนิทแน่น ยกเว้นหน่วยเสียง /w/ = w- และ wh- ริมฝีปากจะห่อกลม 1.2 เสียงที่เกิดจากริมฝีปากและฟัน (labio-dental sounds) ได้แก่ เสียง /f/= f-, -ff, -ph- และ /v/= v- โดยออกเสียงจากริมฝีปากกับฟัน ริมฝีปากล่างจะเคลื่อนไป สัมผัสขอบฟันบน 1.3 เสียงที่เกิดระหว่างฟัน (interdental sounds) ได้แก่เสียง /θ/ = th- และ /ð/= th- โดยออกเสียงที่ลิ้นระหว่างฟัน ปลายลิ้นจะอยู่ตรงขอบฟันบนทําาให้เกิดเป็นช่องแคบ ๆ


1.4 เสียงที่เกิดจากปุ่มเหงือก (alveolar sounds) ได้แก่ เสียง /t/= t, -ed, /d/= d, -ed, /s/ = s-, c-, -z, -ss, -ce, -se, /z/=z-, -s, /l/= l-,-ll, /n/= n-, kn- และ /r/= r-, wr-, rh- โดยออกเสียง ที่ปุ่มเหงือก ปลายลิ้นจะยกขึ้นไปสัมผัสกับปุ่มเหงือกหรือบริเวณใกล้กับปุ่มเหงือก 1.5 เสียงที่เกิดหลังปุ่มเหงือก (post-alveolar sounds) ได้แก่ เสียง /ʃ/ =sh-,s-, -c-, ch-, /tʃ/=ch-,-t, /ʒ/=-s-, -ge, และ /dʒ/=j, g-, -ge โดย เมื่อออกเสียงพยัญชนะเหล่านี้ ลิ้นส่วนหน้าจะเคลื่อน ขึ้นไปสัมผัสบริเวณเพดานแข็งส่วนที่อยู่หลังปุ่มเหงือก 1.6เสยี งจากเพดานแขง็ (palatalsound)ไดแ้ ก่เสยี ง/j/=yในการออกเสียงพยัญนี้ลิ้นส่วนหน้าจะยกขึ้นสู่เพดานแข็ง 1.7 เสียงจากเพดานอ่อน (velar sounds) ได้แก่ เสียง /k/= k-, c-, ch-, qu- -ck, /g/=g-, -gg, gh- และ /ŋ/=-ng ในการออกเสียงพยัญชนะเหล่านี้ ลิ้น ส่วนหลังจะยกขึ้นไปสัมผัสกับเพดานอ่อน 1.8 เสียงจากช่องระหว่างเส้นเสียง (glottal sound) ได้แก่ เสียง /h/= h-, wh- ในการออกเสียงพยัญชนะนี้ กระแสลมจะผา่นชอ่งระหวา่งเส้นเสียงซึ่งทำ หน้าที่ เป็นฐานกรณ์ขึ้นมา


2. แบ่งตามลักษณะการออกเสียง(manners of articulation) คือแบง่ตามลักษณะความสัมพันธ์ ระหว่างอวัยวะในการออกเสียงที่เคลื่อนที่ได้และอวัยวะในการ ออกเสียงที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ดังนี้ 2.1 เสียงระเบิด (plosive sounds) ได้แก่ เสียง /p/= p-, -pp, /b/= b-, -bb, /t/= -t, -ed (t), /d/= d, -ed (d), /k/= k-, c-, ch-, qu-, -ck และ/g/= g-, -gg, gh-, guในการออกเสียงนี้ เพดาน อ่อนจะยกขึ้นแตะผนังคอ ทำ ให้กระะแสลมออกมาจากปอดผ่านเข้าช่องจมูกไม่ได้จึงผ่านเข้าช่องปากและถูกกักเอาไว้ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นปล่อยลมฐานกรณ์ออกโดยเร็วทําาให้เกิดเสียงระเบิด 2.2 เสียงกักแทรก (affricate sounds) ได้แก่ เสียง /tʃ/=ch-,-t และ /dʒ/=j, g-, -ge ในการออกเสียงนี้จะคล้ายเสียงระเบิดต่างกันตรงที่มีกระแสลมที่ถูกกักเอาไว้ขณะหนึ่งถูกปล่อยออกมาทางปากพร้อมกับ ปล่อยฐานกรณ์ออกช้าๆทําาให้เกิดเสียงกักแทรก 2.3 เสียงนาสิก (nasal sounds) ได้แก่ เสียง /m/=m-, /n/= n-, kn- และ /g/=g-, -gg, gh- ในการออกเสียงนี้จะมีลักษณะคล้ายกับเสียงระเบิด เสียงกักแทรกแต่ต่างกันตรงที่เพดานอ่อนจะลดระดับลง ทําให้กระแสลมจากปอดผ่านเข้าไปในช่องจมูกและปล่อยออกมาทางรูจมูกพร้อมกับปล่อยฐานกรณ์ ออกมาทําาให้เกิดเสียงนาสิกขึ้น 2.4 เสียงเสียดแทรก (fricative sounds) ได้แก่ เสียง /f/= f-, -ff, -ph-, /v/=v-, /θ/=th-, /ð/=th-, /s/= s-, c-, -z, -ss, -ce, -se, /z/=z-, -s, /ʃ/ =sh-,s-, -c-, ch-, /ʒ/=-s-, -ge และ /h/= h-, wh- ในการออกเสียงนี้ฐานกรณ์อยู่ใกล้ชิดกันมาก จึงทําาให้กระแสลมไหลออกจากปอดไม่สะดวก ลมจึงต้องค่อย ๆ เสียดแทรกผ่านช่องแคบ ๆ ออกมาทางปากทําาให้เกิดเสียงแทรกขึ้น 2.5 เสียงข้างลิ้น (lateral sound) ได้แก่เสียง /l/=-l, -ll ในการออกเสียงนี้เกิดจาก การที่ปลายลิ้นสัมผัสกับปุ่มเหงือก ตําาแหน่งของเพดานอ่อนเคลื่อนกันกระแสลมไม่ให้ไหลจากปอดผ่านไปในช่องจมูก ทําให้ลมไหลผ่านออกมาทางด้านข้างลิ้นโดยมีลมบางส่วนถูกกักเอาไว้ที่บริเวณปุ่มเหงือก จึงทําาให้เกิด เสียงข้างลิ้นขึ้น 2.6 เสียงกึ่งสระ (semi-vowel sounds) ได้แก่ เสียงพยัญชนะ /w/=w-, wh-, /r/= r, wr-, rh-, และ /j/ = y ในการออกเสียงนี้ฐานกรณ์อยู่ห่างกันจึงทําาให้กระแสลมจากปอดผ่านออกมาได้สะดวก โดยไม่ถูก กักเอาไว้ส่วนใดส่วนหนึ่ง


3. การแบ่งตามการสั่นหรือไม่สั่นของเส้นเสียงในการเปล่งเสียงของพยัญชนะ (voicing) คือ แบ่งตามลักษณะของเส้นเสียงอยู่ห่างกันขณะเปล่งเสียงทําาให้ไม่มีการสั่นสะเทือน (voiceless) และลักษณะที่เส้นเสียงอยู่ชิด กันไม่ให้ไหลผ่านออกได้สะดวกเส้นเสียงจึงมีการสั่นสะเทือนขณะลมพยายามผ่านออก (voiced) แบ่งได้ 2 กลุ่มคือ 3.1 เสียงอโฆษะหรือเสียงไม่ก้อง (voiceless) ได้แก่ /p/=p-, -pp, /t/= -t,-ed (t), /k/= k-,c-, ch, qu-, -ck, /f/=f-,- ff, ph-, /θ/=th-, /s/= s-, c-, -z, -ss, -ce, -se, /ʃ/ =sh-,s-, -c-, ch-, /tʃ/=/tʃ/=ch-,-t,และ /h/ =h-, wh3.2 เสียงโฆษะหรือเสียงก้อง (voiced) ได้แก่ /b/ = p-, -pp, /d/ = /d/= d, -ed (d), /g/= g-, -gg, gh-, gu-, /v/=v-, / ð/=th-, /z/=z-, -s, /ʒ/= -s-, -ge, /dʒ/=j, g-, -ge, /m/ = m-, /n/ = n-, kn-,/ŋ/= -ng, /l/=l-, -ll, /r/= r-, wr-, rh-, /w/= w-, wh- และ /j/= y (Chotipanich, 2008)


การจำ แนกเสียงสระในภาษาอังกฤษ เสียงสระในภาษาอังกฤษอาจจาแนกได้ดังต่อไปนี้ 1. จำ แนกตามความสัมพันธ์ระหว่างลิ้นกับเพดานปากตามแนวนอนและแนวตั้ง 2. จำ แนกตามลักษณะของริมฝีปาก 3. จาแนกตามการเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณลิ้น ปาก และใบหน้า


ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ - แนวนอน (tongue advancement) อันได้แก่ ส่วนหน้า ส่วนกลางและส่วนหลังของลิ้นที่อยู่ใกล้เพดาน ปากมากที่สุด ซึ่งจะแบ่งเสียงสระได้เป็น 3 ประเภท คือสระหน้า (front vowels) สระกลาง (central vowels) และสระหลัง (back vowels) ตามลาดับ สระหน้าได้แก่ /i/, /I/, /e/, /E/ และ /Q/ สระกลางได้แก่/ร/,/ซ/,/ฮี/,//ิ และ/a/ สระหลังได้แก่ /u/, /U/, /o/ และ /•/ - แนวตั้ง (tongue height) อันได้แก่ ระดับสูง ระดับกลาง และระดับต่าของลิ้น เมื่อยกขึ้นสู่เพดานปาก ซึ่ง จะทาให้แบ่งเสียงสระได้เป็น 3 ประเภท คือ สระสูง (high vowels) สระลิ้นระดับกลาง (mid vowels) และสระต่า (low vowels) ตามลาดับ สระสูงได้แก่ /i/, /I/, /u/ และ /U/ สระลิ้นระดับกลางได้แก่/e/,/E/,/ร/,/ซ/,/ฮี/,//ิ และ/o/ สระต่าได้แก่ /Q/, /a/ และ /•/ เสียงสระ /i/ (tense unrounded high-front vowel) เป็นเสียงสระยาว ในการออกเสียงสระ /i/ ลิ้น ส่วนหน้าจะยกขึ้นไปบริเวณส่วนหน้าของช่องปาก ใกล้กับเพดานปาก ส่วนปลายลิ้นจะแตะอยู่ที่ด้านใน ของฟันล่าง กล้ามเนื้อที่ลิ้น ริมฝีปากและมุมปากจะเกร็ง ริมฝีปากจะเหยียดออก ขากรรไกร ล่างและ ขากรรไกรบนจะชิดกัน ฟันบนและฟันล่าง เกือบจะสัมผัสกัน เสียงสระ /i/ ในภาษาอังกฤษ จะคล้ายกับเสียง สระ ‘ อี ’ ในภาษาไทย ต่างกันที่ว่า เสียงสระ ‘ อี ’ ในภาษาไทยไม่เปลี่ยนคุณสมบัติ ตั้งแต่เริ่มออกเสียงจนสิ้น เสียง แต่เสียงสระ /i/ ในภาษาอังกฤษเปลี่ยนคุณสมบัติเนื่องจากเป็นเสียงสระเลื่อน คือเริ่มลิ้นต่ากว่าและลิ้น เลื่อนขึ้นเล็กน้อยใน ตอนท้าย ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ - สระที่รูปริมฝีปากห่อกลม (rounded vowels) ได้แก่ /u/, /U/, /o/ และ /•/ - สระที่รูปริมฝีปากเหยียดออก (unrounded vowels) ได้แก่ /i/, /I/, /e/, /E/, /Q/, /ร/, /ซ/, /ฮี/, //ิ และ /a/ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ - สระที่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อ (tense vowels) ได้แก่ /i/, /e/, /ร/, /ฮี/, /u/, /o/ และ /•/ -สระที่ไม่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อ(laxvowels)ได้แก่/I/,/E/,/Q/,/ซ/,//ิ,/a/และ/U/


CREATIVE PRESENTATION TEMPLATE THE SOUND PATTERNS OF LANGUAGE


สัทวิทยา(phonology)เป็นศาสตร์ย่อยแขนงหนึ่งในวิชาภาษาศาสตร์ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างระบบ เสียงพูด (pattern of speech sound) และโครงสร้างเสียงพูดของมนุษย์ เน้นระบบเสียงพยัญชนะและระบบ เสียงสระในภาษาใดภาษาหนึ่งตลอดจน หน่วยเสียงในภาษา ข้อจํากัดและลักษณะเฉพาะในแต่ละภาษา หน่วยเสียง และหน่วยเสียงย่อย หน่วยเสียง (Phoneme) หมายถึง เสียงที่เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในหน่วยคํา ซึ่งไม่สามารถแบ่งแยกย่อยได้อีกและยังเป็นเสียงที่ทําให้คําที่เป็นคู่ เทียบเสียงหรือกลุ่มเทียบเสียงที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกันมีความหมายต่างกัน หน่วยเสียงย่อย (Allophone) คือ รูปหรือเสียงต่างๆ ของหน่วยเสียงเดียวกัน ซึ่งหน่วยเสียง หน่วยหนึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่งรูปหรือออกเสียงได้ มากกว่าหนึ่งเสียง ในกรณีที่หน่วยเสียงหน่วยหนึ่งมีหลาย allophone หรือออกได้หลายเสียง แต่ละเสียงจะมีตําแหน่งที่เกิดตายตัว และไม่มีผล ให้เกิดความแตกต่าง ด้านความหมาย


นอกจากการหาหน่วยเสียงและหน่วยเสียงย่อยแล้ว ในการศึกษาด้านสัทวิทยานักศึกษาจําเป็นต้อง ศึกษาประเภทของหน่วยเสียง ในภาษา ซึ่งหน่วยเสียงในภาษาโดยทั่วไปสามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท ได้แก่ หน่วยเสียงประเภทอิสระ (segmental phoneme) หน่วยเสียงประเภทไม่อิสระ (supra- segmental phoneme) สําหรับหน่วยเสียงในภาษาอังกฤษนั้นสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภทเช่นกันคือ หน่วยเสียงประเภท อิสระ ได้แก่ เสียงพยัญชนะและเสียงสระ หน่วยเสียงประเภทไม่อิสระ ได้แก่ การเน้นเสียง (stress) และ ทํานองเสียง (intonation) 2 ประเภทของหน่วยเสียง


CREATIVE PRESENTATION TEMPLATE WORD FORMATION


Etymology (n.) จึงเป็นวิชาที่ว่าด้วยกำ เนิดและการพัฒนาของคำ รวมทั้งศึกษาประวัติของคำ และแหล่งกำ เนิดคำ ด้วย การสร้างคํา (Word formation) หมายถึง กระบวนการการนําคําที่มีอยู่เดิมมาสร้างคําใหม่ ๆ ให้มีหน้าที่หรือความ หมายที่แตกต่างไปจากคําเดิม จากการทบทวนวรรณกรรมทําให้สามารถกําหนดลักษณะการสร้างคําในส่ื่อโฆษณาโดย วิธีการต่างๆ 1.Coinage คือ คําเรียกช่ือเฉพาะที่ใช้กันจนเป็นที่คุ้นเคย เช่น คําว่า Xerox, Teflon,aspirin, nylon, vaseline and zipper เป็นต้น 2.Borrowing คือการยืมคำ ทับศัพท์ มีการนำ คำ มาจากภาษาอื่นมาเป็นของเราเอง ซึ่ง มีการยืมทั้งเสียงและความหมาย Example: croissant (French), dope (Dutch), lilac (Persian), piano (Italian), pretzel (German), sofa (Arabic), tattoo (Tahitian), tycoon (Japanese), yogurt (Turkish) and zebra (Bantu).


3.Compounding = การสร้างคำ โดยการนำ คำ 2 คำ มาผสม/รวมกัน จนกลายเป็น 1 คำ เช่น nation + wide = nationwide / spoon + fed = spoonfed เป็นต้น พวก Compounding สามารถเขียนได้ 3 แบบ ขึ้นอยู่กับรูปแบบของคำ นั้น ๆ เป็นหลัก (เช่น คำ ว่า check-in ไม่นิยมเขียนแบบนี้ checkin มักมีเครื่องหมายขีดระหว่างคำ เสมอ เพื่อเลี่ยงความ สับสน 1. เขียนชิดกัน เช่น tea + pot = teapot 2. เขียนห่างกัน เช่น lunch + break = lunch break 3. เขียนแบบมีเครื่องหมายขีดกลางระหว่างคำ เช่น check + in = check-in 4.Blending (Blends) คือ การสร้างคำ โดยเอาคำ 2 คำ มารวมกันเป็น 1 คำ ใหม่ เช่น Brunch มาจาก 2 คำ ที่รวมกันคือ breakfast + lunch = brunch Smog มาจาก 2 คำ ที่รวมกันคือ smoke + fog = smog Gasohol มาจาก2 คำ ที่รวมกันคือ gasoline +alcohol =gasohol


5.Clipping เป็นวิธีการสร้างคําใหม่โดยการตัดคําใหัสั้นลงโดยไม่เปลี่ยนความหมายและหน้าที่หรือ ชนิดของคํานั้นๆ ตัวอย่างเช่น Website = web Television = teve (TV) Elizabeth = Liz Advertisement= ad Brassierecab =bra condo Condominium= condo Fanatic= fan 6.Backformation คือ การสร้างคำ โดยการตัดส่วนใดส่วนหนึ่งของคำ นั้นออก (เน้นตัดท้ายคำ ) หรือการตัดพวกคำ เติมออก (Affix หมายถึง ตัวเติม/คำ เติม ซึ่งมี 2 ประเภทหลักคือ prefix = ตัวเติมหน้าคำ และ suffix = ตัวเติมหลังคำ ) เข้าไปที่คำ รากศัพท์ (Root) ของคำ นั้น เช่น Congratulations! กลายเป็น Congrats! / Donation กลายเป็น Donate สังเกตว่ามี การตัดตัวเติมท้ายคำ ออก (Suffix) เพื่อสร้างคำ ใหม่ให้เกิดความสะดวกในการใช้อย่างคำ ว่า Congrats! และบางคำ ก็มีหน้าที่ ใหม่ที่ต่างจากเดิม เช่น Donate มีหน้าที่เป็นคำ กริยา จากเดิมที่เป็นคำ นามคือ Donation


7.Conversion คือ การสร้างคำ โดยการเพิ่มหน้าที่ของคำ เข้าไปที่คำ ใดคำ หนึ่ง เพื่อทำ ให้คำ นั้นมีหน้าที่ในการใช้มากขึ้นกว่าเดิม เช่น คำ ว่า favorite เดิมทีทำ หน้าที่เป็นคำ นามและคำ คุณศัพท์เท่านั้น แต่ตอนหลังพจนานุกรมได้ขยายหน้าที่ให้คำ ว่า favorite เป็นคำ กริยาได้ด้วย คำ ว่า favorite จากเดิมที่ใช้เป็นคำ นามและคุณศัพท์ ถูกเปลี่ยนแปลงโดยการเพิ่มหน้าที่เข้าไป เพื่อให้คำ นี้ทำ หน้าที่เป็นคำ กริยา (Word class) ได้ด้วย สรุป favorite จึงมี 3 หน้าที่หลักคือ คำ นาม คำ คุณศัพท์ และคำ กริยา ดังตัวอย่างด้านล่างนี้ He is my favorite. = นาม This is my favorite movie. = คุณศัพท์ I usually favorite blog posts. กริยา 8.Acronym คือ คำ ย่อ ที่มาจากการนำ ตัวอักษรตัวแรกของคำ สมบูรณ์มาเรียงกัน จนกลายเป็น 1 คำ ย่อ เช่น National Aeronautics and Space Administration = NASA Compact disk= CD Light amplification by stimulated emission of radiation= laser Automatic teller machine= ATM


9.Derivation คือ การสร้างคำ โดยยึดจากรากศัพท์ หนังสือบางเล่มใช้คำ ว่า Affixiation หมายถึง การสร้างคำ โดยการเติมคำ เข้าไปที่ราก ศัพท์เดิม คำ เติม (Affix) นั้นมี 2 แบบ คือ 1. การเติมหน้าคำ หรืออุปสรรค (Prefix) คือหน่วยคำ ที่ใช่เติมหน้าหน่วยคำ หลัก ต้นคำ ด้วย -mis -un เป็นต้น เช่น mislead. 2.การเติมหลังคำ หรือปัจจัย (Suffix) คือหน่วยคำ ที่ใช้ประกอบท้ายหน่วยคำ หลัก ท้ายคำ ด้วย -less -ish เป็นต้น เช่น foolishness.


CREATIVE PRESENTATION TEMPLATE MORPHOLOGY


วิทยาหน่วยคํา (morphology) เป็นการศึกษาโครงสร้างคํา และการประกอบคําในภาษาใดภาษาหนึ่ง ได้แก่ การลงวิภัตติและปัจจัย การแปลงคํา การประสมคํา การประสานคํา การซ้ําคํา และการซ้อนคํา รวมถึง กฎหน่วยคํา และความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาหน่วยคํากับวากยสัมพันธ์และสัทวิทยา ในโมดูลนี้จะกล่าวถึงวิทยา หน่วยคําในภาษาอังกฤษเท่านั้น หน่วยคํา (Morphemes) ในทางภาษาศาสตร์ หน่วยคํา (morpheme) คือ องค์ประกอบหรือหน่วยที่เล็กที่สุดของระบบ ไวยากรณ์ เกิดจากการเรียงตัวต่อกันของหน่วยเสียงอย่างมีระบบ และมีความหมายในตัวเอง ไม่สามารถแยก ต่อไปได้อีก ถ้าแยกจะทําให้ความหมายของหน่วยคํานั้นหายไปหรือผิดไปจากความหมายเดิม แต่หน่วยคําใดๆ ที่เป็น อิสระและไม่สามารถแยกต่อไปอีกได้ก็สามารถเป็น ‘ คํา’ (word) Morphemes Free morphemes อยู่คนเดียวได้ bound morphemes อยู่คนเดียวไม่ได้ EX1 undressed un- dress -ed prefix stem suffix (bound) (free) (bound) EX2 carelessness care -less -ness stem suffix suffix (free) (bound) (bound)


Morphemes Free morphemes อยู่คนเดียวได้ bound morphemes อยู่คนเดียวไม่ได้ Functional morphemes Lexical morphemes Derivational morphemes Inflectional morphemes


Morphemes •Free morphemes (หน่วยคำ อิสระ) หน่วยคําที่ปรากฏตามลําพังได้และมีความหมายในตัวเอง -Functional morphemes กลุ่มคำ ปิด มีผลทางไวยากรณ์ บอกคำ เชื่อม แต่ไม่ได้บ่งบอกว่าใคร ทำ อะไร ที่ไหน Examples are and, but, when, because, on, near, above, in, the, that, it, them. อยู่ในรูป conjunctions, prepositions, articles and pronouns. -Lexical morphemes เป็นกลุ่มคำ แบบเปิด examples are: girl, man, house, tiger, sad, long, yellow, sincere, open, look, follow, break.


Morphemes •bound morphemes (อยู่คนเดียวไม่ได้)หน่วยคําที่ไม่อาจปรากฏตามลําพังในประโยค ได้ต้องปรากฏ ร่วมกับหน่วยคําอื่น เช่น im, in, il, ir ต้องปรากฏร่วมกับหน่วยคําอื่น เช่น im - impossible, in - inexpensive, il - illegal, ir - irregular. -Derivational morphemes (หน่วยคำ ผัน) คือ หน่วยคําที่ทําหน้าที่แปลงคําชนิด หนึ่งให้ เป็นอีกชนิดหนึ่ง เช่น ness - goodness เป็นการแปลงจากคําคุณศัพท์ เป็นคํานาม goodness Adj bound จาก Adj n


-Inflectional morphemes (หน่วยคำ คง) คือหน่วยคําที่เติมเข้าไปที่หน่วยคําที่ เป็นรากศัพท์เพื่อ ทําให้เกิดคำ ที่สามารถปรากฏในประโยคและมีความสัมพันธ์ทาง ไวยากรณ์กับคําอื่นๆ ได้อย่างถูกต้อง หน่วยคําประเภทนี้มักจะอยู่ในรูปของคําเติมหลัง หรือปัจจัย (suffix) เช่น ในหน่วยคําพหูพจน์ s - dogs รูปอดีตกาล ed - worked การเปรียบเทียบขั้นกว่า (comparative) er - smaller เป็นต้น


Morphemes free bound Morphological description (การอธิบายแบบหน่วยคำ ) The child’ s wildness shocked the teachers, we can identify eleven morphemes. The child -‘ s. wild -ness shock -ed the teach -er -s f l i l d l i f l d i functional=f lexical=l derivational=d inflectional=i lexical functional derivational inflectional แบบสรุป child,teach and,the er,ness -‘ s , ed


Morphs and allomorphs นักศึกษาได้ทราบแล้วว่าหน่วยคํา หมายถึงส่วนที่เล็กที่สุดที่มีความหมายแต่ยังมีอีกคําหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กับคําว่าหน่วยคํา นั่นคือ หน่วยคําย่อย (allomorph) หน่วยคําย่อย (allomorph) คือหน่วยคําจํานวนหนึ่งที่มีความหมายเหมือนกันแต่ปรากฏใน สภาพแวดล้อมต่างกัน เช่น หน่วยคํา ย่อยที่ทําให้คํานามเอกพจน์เป็นคํานามพหูพจน์ ในภาษาอังกฤษสามารถ แยกรูปหน่วยคําย่อยและการออกเสียงได้ 3 รูปแบบคือ /s / /z / /ɪz/ ขอให้ศึกษาตัวอย่างหน่วยคําย่อยที่ทําให้ คํานามเอกพจน์เป็นคํานามพหูพจน์ จากแผนภูมิต่อไปนี


CREATIVE PRESENTATION TEMPLATE SYNTAX


Syntax Syntax หรือ วากยสัมพันธ์ คือจะอธิบายถึงโครงสร้าง และรูปแบบของภาษา ว่าจะสร้างโปรแกรมขึ้นได้อย่างไร หากเป็นใน ภาษาที่เราใช้สื่อสารกันทั่วไปก็เปรียบได้กับไวยากรณ์ของภาษา ซึ่งใช้เป็นกฎเกณฑ์ ในการสร้างประโยคขึ้นมา sentence clause ไม่พิมพ์ใหญ่ ไม่มีจุดfull stop •A cat is sleeping =Phrase •a cat is sleeping=Clause • a cat= 1 Phrase •is sleeping =1Phrase I was absent yesterday because I was sick. •I was absent yesterday= Main cl./Independent •because I was sick. =Subordinate/Dependent Phrase :กลุ่มคำ


1.คําในกลุ่มคำ ที่มีความหมาย คือ หน่วยที่มีความหมายในตัวเอง ลักษณะทีสกคัญประการหนึ่ง ของคําที่มีความหมายคือ มีจํานวนคําไม่จํากัด หน่วยในประโยค


2.คําในกลุ่มคําที่มีหน้าที่ทางไวยากรณ์ คือหน่วยที่มีหน้าที่ทางโครงสร้าง เช่น ตัวกำ หนด (deter- miners) คํากํากับนาม (demonstratives) กริยาช่วยแบบ auxiliaries กริยาช่วยแบบ modals เป็นต้น คําใน กลุ่มคําที่มีหน้าที่ทางไวยากรณ์จะมีจํานวนคําอยู่จํากัด และแทบจะไม่มี (หรือไม่มี) ความหมายในตัวเอง


2.วลี(Phrases)คือการประกอบขึ้นของคํามากกว่า 1 คําขึ้นไป โครงสร้างของวลีจะประกอบด้วย ส่วนหลักของวลี (head) และส่วนขยาย (modifier) ดังนี้ วลี = head + modifier


Noun (N) Pronoun (pron) Determiner+Noun (Det N) Determiner+ Adjective +Noun (Det Adj N) Determiner+Noun+Preposition Phrase (Det+N PP) Phrase structure 1.Noun phrases นามวลี (NP) 2.Preposition phrases Preposition (P) reposition +Noun Phrase (P NP) Verb+NP (V NP) Verb+NP+Adverb (V NP Adv) Verb+NP+PP (V NP PP) Verb+PP+Adv (V PP Adv) 3.Verb Phrase 4.Adverb Phrase Adverb (Adv) Adverb +Adverb (Adv Adv) 5.Adjective Phrase (AP) Adjective (Adj) Adverb +Adjective (Adv Adj)


S = subject + P redi cate Sentence Analysis S = NP + VP 1. I slept . S NP VP pron I v slept 2.My friend told a secret to me. S NP VP Det N V NP NP My friend [ distrans ] told a secret to me Det N Det N


S NP VP 4. They blame me. S NP VP They V NP This book is mine blame me 3.This book is mine. Det N v [ intrans] pron NP pron [ trans]


•Tense perfect progressive active passive •Primary Auxiliaries Auxiliaries Present Past •Modal =can,will,should,would,shall,may,could,ought to,might,must,used to. Aspect Voice trans=ต้องการกรรม intrans=ไม่ต้องการกรรม distrans=ต้องการกรรม 2 ตัว intens=v.ต้องการเติมสถานะ ด้านหลัง


The dog S NP VP mod N V NP NP perf been [ distrans ] told a bone by sue Det N Det N Ex: The dog may have been being given a bone by sue. Det VgP Aux may have being prog pass


1.Tense/Modal+infinitive (v.1 เท่านั้น) 2.Perfect: have+v.3 (…) 3.Progressive :be+v.ing (…) 4.Passive:be+v.3 (…) Order of Auxiliaries


CREATIVE PRESENTATION TEMPLATE SEMANTIC


1.ความหมายอ้างอิง (Referential Meaning) หมายถึงความหมยาหลักที่ผู้พูดใช้ในการสื่อสาร เราสามารถพบข้อมูลเกี่ยวกับความหมายอ้างถึงได้ในพจนานุกรม เช่น คําว่า January มีความหมายว่า ‘the first month of the year ’ อย่างไรก็ตาม ความหมายอ้างถึงอาจจะอ้างอิงถึงสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในโลกของความเป็นจริง เช่น คําว่า unicorn ‘ an animal like a white horse with a long straight horn on its forehead’ สัตว์ ในเทพนิยายของชาวตะวันตก ที่พบในประโยคว่า A princess saw a unicorn when she was left alone in the wood. 2.ความหมายเชิงจิตวิสัย(AffectiveMeaning) หมายถึง ความหมายที่แสดงอารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติที่อาจแฝงอยู่ในคํา แต่เราอาจไม่พบความหมายเช่นว่านี้ ในพจนานุกรม เนื่องจากผู้ใช้ภาษาอาจมีความ หมายเชิงจิตวิสัยต่อคําในภาษาแตกต่างกัน เช่น ผู้ใช้ภาษาอังกฤษบางคนคิดว่าคําว่า low-calorie ที่ใช้เมื่อ กล่าวถึง อาหาร มีความหมายที่ดีเพราะคิดว่ามีความสัมพันธ์ทางความหมายกับคําว่า healthy (Yule, 2007: 100) หรือผู้ใช้ภาษาอังกฤษบางคนอาจคิดว่าคําว่า January ‘the first month of the year ’ มีความหมายที่ ไม่ดี เพราะทําให้คิดถึงช่วงเวลาที่ลําบาก อากาศหนาวจัด 3.ความหมายทางสังคม(SocialMeaning) หมายถึง ความหมายที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอัตลักษณ์ ของผู้ใช้คํานั้นๆ เช่น ให้ข้อมูลว่าผู้พูดมาจากที่ใด เพศอะไร อายุ เท่าไร หรือมีฐานะทางสังคมเป็นอย่างไร ในส่วนต่อไปนี้เป็นตัวอย่างสี่ประเภทของความหมายทางสังคมที่ให้ข้อมูลว่าเกี่ยวกับตัวผู้พูดว่ามาจากที่ใด เพศอะไร ฐานะ ทางสังคมเป็นอย่างไร และมีอายุเท่าไร ตัวอย่างของคําที่มีความหมายทางสังคมที่ให้ข้อมูล เกี่ยวกับอัตลักษณ์ของผู้ใช้คํานั้นๆ ประเภทของความหมาย


Semantic roles 1.1 Agent =บทบาทเชิงความหมายของบุคคลหรือสิ่งที่เป็นผู้กระทําเหตุการณ์ 1.2 Theme =ที่ได้รับการกระทําของคํากริยาโดยตรง,ถูกกระทำ The boy kicked the ball. A car ran over the ball. The dog caught the ball. A T A T A T 1.Agentand theme


2.2 Experiencer =เป็นบทบาทของสิ่งที่รับรู้การกระทำ หรือสถานะที่ระบุในกริยาโดยที่ ไม่ได้เป็นผู้ ทำ ให้เกิดการกระทำ หรือสถานะดังกล่าวขึ้น มักเป็นสิ่งมีชีวิต 3.1 Location=เป็นบทบาทซึ่งระบุสถานที่หรือตำ แหน่งของสถานะหรือการกระทำ ที่ ระบุในกริยา 3.2 Source =เป็นบทบาทของสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นการกระทำ ที่ระบุในกริยา 3.3 Goal=เป็นบทบาทของสิ่งที่เป็นเป้าหมายของการกระทำ ที่ระบุในกริยา 2.1 Instrument =เป็นบทบาทของวตัถุหรือบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการกระทำ หรือสถานะหรือระบุในกริยา 2.Instrument and experiencer 3.Location , source , goal


Lexical relations •Synonymy=คำ พ้องความหมาย Examples of synonyms are the pairs: almost/nearly, big/large, broad/wide, buy/purchase, cab/taxi, car/automobile, couch/sofa, freedom/ liberty. •Antonymy=คำ แย้งความหมาย Examples are the pairs: alive/dead, big/small, fast/slow, happy/sad, hot/cold, long/short, male/ female, married/single, old/new, rich/poor, true/false. •Polysemy=คำ หลายหน้าที่ กรณีที่คำ 2 คำ เขียนเหมือนกัน อ่านออกเสียงเหมือนกัน ความหมายเชื่อมโยง ใกล้เคียงกัน Example: head=ผม(ผมอยู่บน) head = หัวหน้า,ผู้นำ


•Hyponymy=คำ ลูกกลุ่ม Examples are the pairs: animal/dog, dog/poodle, vegetable/ carrot, flower/rose, tree/banyan.


•Prototypes=หมวดหมู่ ,ชนิดเดียวกัน Example :canary, cormorant, dove, duck, flamingo, parrot, pelican and robin. ต่างก็เป็นคำ พ้องความหมายเดียวกัน •Homophones and Homonyms =คำ พ้องรูป - Homophones=เสียงเหมือนกัน เขียนต่างกัน ความหมายต่างกัน Common examples are bare/bear, meat/meet, flour/ flower, pail/pale, right/write, sew/so and to/too/two. - Homonyms = เสียงเหมือนกัน เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน bank (of a river) - bank (financial institution) bat (flying creature) - bat (used in sports) mole (on skin) - mole (small animal) pupil (at school) - pupil (in the eye) race (contest of speed) - race (ethnic group)


THANK YOU รายวิชวิาภาษาศาสตร์ เสนอ อาจารย์สุย์นิ สุ สนิา โส๊ะ ส๊ อุ จัดทำ โดย นา งสา วบิซมี บือแน รหัส 406 50202 7


Click to View FlipBook Version