1
2
พทุ ธคณุ มีจริงไหม
พทุ ธคุณ ถา้ แปลตรงตวั คือ คุณของพระพทุ ธเจา้ ตอนน้ี
ความรู้เรามาในรูปของภาษา เรากเ็ อาภาษา มาต้งั โจทย์ แลว้ กม็ าถก
กนั วา่ มีจริง หรือไม่มีจริง เรื่องจิตวญิ ญาณ เร่ืองความศรัทธา เร่ือง
ความเช่ือ บางที มนั พดู ดว้ ยเหตุผลไม่ได้ แตถ่ า้ ถามพอ่ ครู พุทธคุณมี
จริงไหม ถา้ พุทธคุณ ในแงเ่ รื่องไสยศาสตร์ เรื่องไปท่องบน่ แลว้ ก็ขอ
นู่น ขอนี่ อนั น้นั พ่อครูจะไม่วจิ ารณ์ แตส่ าหรับพอ่ ครูเอง โดย
ประสบการณ์ตวั เองแลว้ ตอบวา่ มีจริงแน่นอน โดยเฉพาะ พระมหา
กรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ ของพระพุทธองค์ ทาใหพ้ อ่ ครูเปลี่ยนชีวิต
ทาใหพ้ อ่ ครูเลิกนบั ถือพระพทุ ธเจา้ ทนั ทีเลย เพราะคาวา่ นบั ถือ น่ี
หยาบไป บูชาถวายชีวิตพระองค์
“พทุ ธคณุ ถ้าแปลตรงตัวคือ คณุ ของพระพทุ ธเจ้า”
3
ถ้าไม่บวช จะสามารถบรรลธุ รรมได้ไหม
พระพุทธเจา้ ต้งั พุทธบริษทั สี่ ข้ึนมา เพอ่ื ทาหนา้ ท่ีต่างกนั
นกั บวช ไม่วา่ ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร แม่ชี ลว้ นกม็ ี หนา้ ท่ีศึกษาธรรม
ประพฤติธรรม ปฏิบตั ิธรรม หรือ บาเพญ็ เพียร เพอื่ บรรลธุ รรม ซ่ึงก็
ไดเ้ ปรียบอาชีพอ่ืน ไม่ตอ้ งกงั วล เร่ืองทามาหากิน ส่วนผคู้ รองเรือน
อุบาสก อุบาสิกา ตอ้ งทามาหากินเล้ียงชีพ เล้ียงครอบครัว แลว้ ก็เอา
เวลาวา่ งไปเล้ียงพระ เล้ียงนกั บวช เพอ่ื ตวั เองจะไดม้ ีโอกาสปฏิบตั ิ
ธรรมเหมือนกนั
ปฏิบตั ิธรรม ไมใ่ ช่แคไ่ ปเจริญสมาธิ เจริญสติอยา่ งเดียว แบบ
น้นั เรียกฝึกสมาธิ ฝึกสติ ปฏิบตั ิธรรม ก็คือ ทาน ศีล ภาวนา การให้
ทาน กถ็ ือเป็นการปฏิบตั ิธรรม ทีน้ี คาวา่ บรรลุธรรม ใครบรรลธุ รรม
อะไรเป็นตวั บรรลุ มนั เป็ นเร่ืองของจิต ไมเ่ ก่ียวกบั เคร่ืองแตง่ กาย
หรือทรงผม หรืออาชีพ จิตหลดุ พน้ ดวงตาเห็นธรรม จิตเป็นตวั บรรลุ
ธรรม คาถาม ถา้ ไมบ่ วชจะสามารถบรรลธุ รรมไดไ้ หม ตอบวา่ ได้
“ใครบรรลธุ รรม อะไรเป็นตวั บรรลุ มันเป็นเร่ืองของจิต
ไม่เกย่ี วกับเคร่ืองแต่งกาย หรือทรงผม หรืออาชีพ”
4
เร่ืองการชดใช้กรรมในกรรมฐาน ถ้าในช่วงเวลาปฏิบตั ิ จิตส่ังให้เอา
หัวโขกเสา หรือต้องตีลังกาเอาหัวปักพืน้ ซ่ึงมีโอกาสคอหักได้ เรา
ควรทา หรือยบั ยง้ั ไม่ทา
โดยสญั ชาตญาณ เด็ก ๆ มนั กไ็ มท่ านะ คนขาดสติเทา่ น้นั ถึง
จะทา ที่วา่ ตามจิต แต่ไมต่ ามใจ ตามจิต คือ รู้เท่าทนั จิต แตไ่ ม่ใช่เชื่อ
จิตทกุ เร่ือง อารมณ์น้นั มีไวใ้ หเ้ ห็น ไมไ่ ดม้ ีไวใ้ หเ้ ป็น ถา้ อารมณ์มนั
อยากชนเสา เราก็ไปเป็นมนั เราก็ไปชนเสา เรากค็ อหกั นะ
“อารมณ์น้นั มีไว้ให้เห็น ไม่ได้มไี ว้ให้เป็น”
แล้วที่ว่ายอมตายในกรรมฐาน คืออะไร
มนั จะเป็นอารมณ์ วา่ มนั กาลงั จะตายแลว้ เรากเ็ ห็นวา่ มนั ตาย
ไม่ตอ้ งไปหยดุ ย้งั มนั อารมณ์ตาย กม็ ีไวใ้ หเ้ ห็นเหมือนกนั ไมม่ ีไวใ้ ห้
เป็น เรากด็ ู เรากร็ ู้วา่ อารมณ์ตาย มนั เป็นอยา่ งไร เห็นอารมณ์น้นั
ชดั เจน แต่ถา้ เกิดวา่ เราไปเป็นมนั เรากก็ ลวั ตายจริง ๆ เราก็จะหยดุ
แลว้ มนั ก็จะ หลุดจากกรรมฐาน
5
คาวา่ ตอ้ งตายในกรรมฐาน ก็คือวา่ มนั อยากตาย ก็ตาย มนั เอา
ความตายน้นั มาหลอกเราวา่ เรายอมไหม ถา้ เรากลวั ตาย เราก็โดนมนั
หลอก เราเห็นนิมิตต่าง ๆ เห็นอะไรต่าง ๆ เราเห็นจริง แต่ส่ิงท่ีเราเห็น
มนั ไม่จริง มนั เป็นอปุ ทานของจิต เคา้ สร้างอารมณ์ สร้างนิมิตน้นั มา
สอบเราวา่ เราทนั ไหม
ถา้ เราจาคาวา่ เหวีย่ งทิง้ หรือวา่ สักแต่วา่ รู้ สกั แตว่ า่ เห็น อะไรก็
หลอกเราไม่ได้ แตบ่ งั เอิญวา่ จิตปัจจุบนั เรามีกิเลสดว้ ย อยากรู้ อยาก
เห็น พอเห็นก็ อะไรนะ ไปเป็นมนั ไปวจิ ยั มนั กถ็ ูกมนั ดึงเขา้ ไป ใช่วา่
ตอ้ งทาตามท่ีจิตส่ัง แมจ้ ะตาย ก็ตอ้ งยอมหรือเปล่า ไม่ใช่มนั จะตาย
มนั เป็นอารมณ์ ท่ีกาลงั จะตายเฉยเฉย ไม่ใช่มนั บอกวา่ ใหโ้ ดดหนา้ ผา
คนโง่เท่าน้นั จะทาตาม รับกรรมทางจิต คือ รับกรรมจากความรู้สึก
เฉยๆ กาลงั จ่ายหน้ีกรรมอยู่ เรามีหนา้ ที่ รู้เท่าทนั มนั เทา่ น้นั เอง
“เราเห็นนิมิตต่างๆ เราเห็นจริง
แต่สิ่งท่ีเราเห็น มันไม่จริง มันเป็นอุปทานของจิต”
6
ถ้าเราไม่ยอมทา หรือไม่ชดใช้กรรมในเวลาปฏิบตั ิแล้ว เมื่อออกจาก
กรรมฐาน จะต้องถกู ชดใช้กรรมที่หนักกว่า ในเวลาที่ปฏิบตั ิอย่ใู น
กรรมฐาน จริงหรือไม่
เวลาไมอ่ ยใู่ นกรรมฐาน เราจ่ายดอกเบ้ีย แต่ถา้ อยใู่ นกรรมฐาน
เราจ่ายเงินตน้ ดว้ ย รับกรรมทางจิต คือรับดว้ ยอารมณ์ อารมณ์รู้สึกวา่
ทุกข์ มนั เจบ็ ปวด มนั โกรธ เรากเ็ สพอารมณ์น้นั อารมณ์โกรธน้นั ก็
เป็นการสะทอ้ นออก ถึงการกาลงั จ่ายหน้ีกรรมอยู่ เรามีหนา้ ที่รู้เทา่ ทนั
มนั เท่าน้นั เอง
แตไ่ ม่ใช่วา่ มาทาร้ายร่างกาย ใหม้ นั เกิดความทกุ ขจ์ ริง ๆ กาย
ในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อารมณ์มีอยู่ 2 ส่วน
ส่วนอยขู่ า้ งนอก เรียกวา่ เวทนาในเวทนา ส่วนท่ีอยใู่ นจิตใตส้ านึก
เรียกวา่ ธรรมในธรรม คือธรรมารมณ์ เป็นอารมณ์ในอดีต ไมว่ า่ ขา้ ง
นอกขา้ งในก็ช่าง รู้เท่าทนั มนั รู้เฉย ๆ ที่เรารับรู้ เหมือนเรายอมรับมนั
แต่ไม่จานน ไมไ่ ปใหน้ ยั ยะ ไมไ่ ปใหค้ วามสาคญั รู้เฉย ๆ
“เวลาไม่อย่ใู นกรรมฐาน เราจ่ายดอกเบยี้
แต่ถ้าอย่ใู นกรรมฐาน เราจ่ายเงินต้นด้วย”
7
การท่ีเราเข้าไปเห็นว่า ตวั นที้ ่ีทาให้เราสุข และเราทุกข์ เราจะทาลาย
ตวั ไหน ผ้เู ห็นหรือผ้ถู ูกเห็น และเราจะทาลายเค้าได้ โดยวิธีใด
ทาลายโดยไม่ทาลาย ไมต่ อ้ งทาอะไรเลย รู้เฉย ๆ เราติดนิสยั วา่
มีอะไร ที่เราไม่ชอบ ฉนั จะจดั การมนั อะไรท่ีชอบ ฉนั จะกอดมนั ไว้
นี่คือ กิเลสเรานะ มนั สุขเพราะมนั สมหวงั มนั ทุกข์ เพราะมนั ผิดหวงั
จะผิดหวงั ก็ช่าง สมหวงั ก็ช่าง รู้เฉย ๆ
วิธีทาลาย ก็คือ รู้เฉยๆ อยา่ ใหอ้ ารมณ์น้นั มนั ครอบงาเราได้
อารมณ์มีไวใ้ หเ้ ห็น ไม่ไดม้ ีไวใ้ หเ้ ป็น เราคุน้ เคย กบั วา่ ตอ้ งมีการ
กระทา แมก้ ระทงั่ คาวา่ เหวยี่ งทิ้ง เราก็เขา้ ใจวา่ เหวี่ยงมนั ทิ้ง อารมณ์
ไมด่ ี กเ็ หวีย่ งมนั ทิง้ มนั ไมใ่ ช่ ไม่ใช่ไปเหวยี่ งอารมณ์น้นั ทิง้ ท่ีเหวี่ยง
ทิ้ง มนั เตือนเราวา่ เหวย่ี งความยดึ มน่ั ถือมน่ั ท่ีเราจะไปหลงมนั ทิ้ง คือ
เตือนสติเรา อยา่ ไปติดมนั รู้เฉย ๆ นนั่ คือตวั ปัญญา
แตท่ ีน้ีเราไมร่ ู้เฉย ๆ เพราะความอยากรู้เรามนั ก็มี กิเลสมนั
อยากรู้กนั ทุกคน เห็นก็เอามาคิด ทาไมเป็นอยา่ งน้นั ทาไมเป็นอยา่ งน้ี
อนั น้นั เราไมเ่ ฉย เรามีการสร้างมโนกรรม ปรุงแต่งข้ึนมาแลว้ เราก็จะ
ไดค้ าตอบ ท่ีไมแ่ ทจ้ ริง คาตอบเกิดจาก จิตซ่ึงมีกิเลสปรุงแตง่
8
แค่รู้เฉยๆ รู้บ่อยๆ มนั ก็เห็นความเกิด ดบั อารมณ์สุขมนั ก็เกิด
แลว้ กด็ บั อารมณ์ทุกขม์ นั กเ็ กิด มนั ก็ดบั นน่ั คือ ตวั ปัญญาเกิดแลว้
ปัญญาเห็นเกิดดบั ปัญญาเห็นวา่ สุขก็ไม่ใช่ สุขก็เป็นอนิจจงั ทกุ ขงั
อนตั ตา สุขก็ไมเ่ ท่ียง ทุกขก์ ไ็ มเ่ ท่ียง เราเขา้ ไปสัมผสั บ่อย ๆ
ถา้ เราใชค้ าวา่ เห็น เราก็จะไปคุน้ เคย จะไปนง่ั เพง่ ดูมนั พอนงั่
เพ่งดู กม็ ีการเพง่ ดูเกิดข้ึนแลว้ มีการกระทา โดยการเพ่งดู เพราะ
อยากเห็น วปิ ัสสนาจะไม่เกิด รู้เฉยๆ รู้โดยการเห็น เป็นนิมิต รู้โดย
การสัมผสั กช็ ่าง
รู้เฉยๆ คือส่ิงท่ีเราตอ้ งทา อยา่ งเดียวเทา่ น้นั ทาโดยรู้เฉย ๆ
ไม่มีการกระทาเกิดข้ึน จิตมนั เป็นตวั รู้อยแู่ ลว้ ไม่ตอ้ งมีการกระทาวา่
ตอ้ งต้งั ใจไปรู้ ถา้ ต้งั ใจไปรู้ มีการกระทาเกิดข้ึน โดยการต้งั ใจ
วปิ ัสสนาจะไมเ่ กิด มนั จะกลายเป็นวิปัสสนึก
“ทาลายโดยไม่ทาลาย ไม่ต้องทาอะไรเลย แค่รู้เฉย ๆ
อารมณ์มไี ว้ให้เห็น ไม่ได้มไี ว้ให้เป็น”
9
จะดาเนินชีวิตอย่างไ รให้อย่ใู นทางสายกลาง ระหว่างทางโลกและ
ทางธรรม คือ จะใช้ชีวิตทางโลกแบบไม่หลดุ จากมรรคจิต
ไมต่ อ้ งไปแยกทางโลก แยกทางธรรม เรากอ็ ยบู่ นโลก ตอนน้ี
เราก็นง่ั อยบู่ นผวิ โลก เราหนีไปป่ าไหน กอ็ ยบู่ นโลกนน่ั แหละ ทีน้ี
กิเลสมนั พยายาม จะแยกว่าน่ีคือทางโลก นี่คือทางธรรม ทางโลกตอ้ ง
มีลาภยศสรรเสริญ กิเลสมนั บอกอยา่ มายงุ่ เธอทางธรรม เธอก็เดิน
ของฉนั อยทู่ างโลก อยา่ มายงุ่ กบั ฉนั มนั เป็นคาพูด เป็นความเขา้ ใจ
ของกิเลส มนั หลอกเรา แตค่ วามจริง ทางโลกทางธรรมทางเดียวกนั
คือตายเหมือนกนั ไม่ตอ้ งแยก แต่วา่ เรามีอาชีพท่ีต่างกนั แค่น้นั
ถา้ อยใู่ นมรรคจิต อยใู่ นมรรคในทาง ก็คือ อยเู่ ป็นปัจจุบนั ขบั
รถก็อยู่ กบั การขบั รถ กินขา้ วก็อยู่ กบั การกินขา้ ว อาบน้าก็อยู่ กบั การ
อาบน้า อยปู่ ัจจุบนั ตลอด นน่ั คือมรรค ไม่ใช่วา่ ขบั รถดว้ ย ฟัง
โทรศพั ทด์ ว้ ย คิดดว้ ย พดู ดว้ ย อนั น้นั ไม่ใช่มรรค อนั น้นั คือมกั มาก
ทีเดียว อยากทาหลายเรื่องพร้อมกนั เพราะความอยาก
ถา้ มรรคจริง ๆ มรรค คือ ทางเดินมุ่งสู่การพน้ ทุกข์ ก็คืออยา่ ง
เดียว เท่าน้นั อยา่ ไปคิดวา่ ตอ้ งปลีกตวั ออกมา ปฏิบตั ิธรรมตอ้ งไปนงั่
เฉย ๆ อยใู่ นป่ าคนเดียว อนั น้นั ไมใ่ ช่ปฏิบตั ิธรรม อนั น้นั กเ็ ป็นอริยบท
10
ถา้ เราไปนง่ั ในป่ าเฉยๆ เรากอ็ ยกู่ บั ที่เรานงั่ ไม่ตอ้ งคิด พอไปนงั่ ในป่ า
หลบั ตาคิดถึงนาย ก คิดถึงนาย ข ไปกรุงเทพ ไปลอนดอน ไปอะไร
อนั น้นั ไม่ไดอ้ ยคู่ นเดียว อยกู่ บั หลายร้อยคนเลย เราหลอกคนอ่ืนได้
เราหลอกจิตเราไม่ได้ นนั่ เป็นแคร่ ูปแบบ มนั อยทู่ ่ีความรู้สึกของ จิต
“ความจริงทางโลก ทางธรรม กท็ างเดียวกัน คือตายเหมือนกนั ”
ถ้ารู้ตัวว่าชอบคิดอกุศลอยู่บ่อย ๆ ควรแก้ไขอย่างไร ในเม่ือ มนั คิด
ไปแล้ว
มนั คิดอกุศล ก็รู้อยแู่ ลว้ ก็รู้เป็นอกุศล กอ็ ยา่ ไปคิด ไม่มีใคร
บงั คบั ใหเ้ ราคิดนะ แต่เราสูก้ ิเลสไมไ่ ด้ ปัญหาคือวา่ กิเลส คือ ความ
เคยชินเรา มนั ชอบคิดแต่เร่ืองไมด่ ี นง่ั อยเู่ ฉย ๆ ก็หาเร่ืองคิด เกลียดมนั
อิจฉามนั แลว้ ก็ตวั เองก็ทุกข์ แมก้ ระทง่ั เวลาเราเตน้ เรารา เรายนื หมนุ
เร็ว ๆ มนั กย็ งั ไม่เลิกคิด เห็นไหม กอ็ ยา่ ไปคิดตามมนั ไม่ใช่หนา้ ที่เรา
หนา้ ท่ีเราหมุนก็หมนุ หนา้ ที่เราเตน้ ก็เตน้ หนา้ ท่ีเรารากร็ า มนั คิดมนั
ก็คิดไป ใหก้ ิเลสมนั คิดไปเลย บอกมนั อยา่ หยดุ นะ เดี๋ยวมนั กเ็ มื่อย
11
ถา้ มนั หลอกเรา คิดตามมนั ไมไ่ ด้ มนั ก็หยดุ เอง แตบ่ งั เอิญวา่
จิตปัจจุบนั เรา กช็ อบคิดอยแู่ ลว้ กิเลสเจอกิเลส อะไรมนั จะเกิดข้ึน มนั
ก็สนุก เห็นไหม รู้แลว้ วา่ เราคิดอกศุ ลก็ไมต่ อ้ งคิด มนั เผลอคิดอีก
รู้เทา่ ทนั อยา่ ไปเช่ือมต่อความคิดน้นั สักแตว่ า่ รู้ สกั แตว่ า่ เห็น
“รู้ว่าเป็นอกุศล กอ็ ย่าไปคิด ไม่มใี ครบังคับให้เราคิด”
การอวดรู้ กับการหลงในความรู้ แตกต่างกนั อย่างไร และควรปฏิบตั ิ
ตวั อย่างไรเพ่ือไม่ให้เข้าข่ายใน 2 ลักษณะนี้
อวดรู้ส่วนมาก เป็นคาพูดท่ีวา่ เราไม่รู้จริง แลว้ จาอวด แตก่ าร
หลงรู้ เราเขา้ ใจวา่ เรารู้แลว้ เราก็หลงในความรู้เรา ยกตวั อยา่ งวา่
ตอนน้ีความรู้สูงสุด เราเรียกวา่ จบปริญญาเอก ก็ใหข้ ้ึนชื่อนาหนา้ วา่
เป็นด็อกเตอร์ เราเรียนเกือบตาย เพ่อื ตอ้ งการช่ือตรงน้ี เราทาทุกอยา่ ง
เพ่ือเราจะไดม้ ีช่ือพเิ ศษกว่าคนอื่น เพราะมนั เป็นการมาตรวดั วา่ เรามี
ความรู้มากกวา่ คนอ่ืน อนั น้นั เรียกวา่ หลงรู้
12
แลว้ เราจะแยกไดอ้ ยา่ งไรวา่ มนั หลงรู้ หรือมนั รู้จริง ๆ ถา้
ความรู้ใด ท่ีทาใหเ้ ราสร้างกรรม ความรู้ใดท่ีทาใหเ้ ราทกุ ข์ มนั คือ
ความรู้ผิดท้งั ส้ิน จบดอ็ กเตอร์คุยกนั ไม่รู้เร่ือง พิสูจน์เลยวา่ ความรู้ที่
เคา้ รู้ท้งั หมด มนั ไมใ่ ช่ของจริง เป็นความรู้ผิด เคา้ หลงวา่ เคา้ รู้ บงั เอิญ
ส่ิงท่ีเคา้ รู้น้นั มนั รู้ผดิ มนั ถึงไดท้ ะเลาะกนั ถา้ เป็นความรู้ที่ถกู ตอ้ ง มนั
จะไปทะเลาะกนั ทาไม
อยา่ งชาวนา เคา้ รู้นิสัยควาย เคา้ เล้ียงมาต้งั แต่เด็ก ควายก็รู้นิสัย
ชาวนา มนั กร็ ู้ โดยไมต่ อ้ งไปบอก ฉนั รักเธอนะ ไมต่ อ้ งบอก ตื่นเชา้ มา
มนั ก็เห็นเราจูง พามนั ไปกินหญา้ มนั ก็ดีใจ ไมต่ อ้ งคุยกนั มาก พอ
ชาวนา พามนั ไถนา ก็ไถเลย เพราะมนั รักเรา เห็นไหม อนั น้ีแหละคือ
ตวั ปัญญา เป็นความรู้ที่ถูกตอ้ ง ไม่ตอ้ งผา่ นภาษา
ตอนน้ีภาษาบ่งบอกนิสยั เห็นไหม จบภาษา 7-8 ภาษา คุยได้
ทวั่ โลก แต่คุยกบั ลูกเมียไมร่ ู้เร่ือง คุยไม่รู้ภาษา ภาษาองั กฤษบอก
something wrong อนั น้ีแสดงวา่ ความรู้น้นั มีอะไรผดิ ปกติแน่ ๆ ก็คุณ
เก่งภาษาแลว้ ทาไมคุยกนั ไมร่ ู้ภาษา ส่วนมากตอนน้ี เป็นความรู้ผดิ
เรียกวา่ อวชิ ชา
13
ควรปฏิบตั ิตวั อยา่ งไร ไม่ใหเ้ ขา้ ข่ายใน 2 ลกั ษณะ ก็ฝืนกิเลส
คนอวดรู้ กเ็ ป็นกิเลสเคา้ ชอบอวดรู้ ไมร่ ู้อะไร ขอให้ข้ีคุยไวก้ ่อน น่ีคือ
กิเลส ถา้ เราฝึกจิตแลว้ เรามีสติ เราก็รู้ เทา่ ทนั กิเลส ก็อยา่ ไปทาตามมนั
เห็นไหม ความคิดกเ็ ป็นกิเลส มนั คิดตามกิเลส ไม่ตอ้ งทาอะไรเลย รู้
เฉยๆ วา่ มนั กาลงั คิด อยา่ ไปคิดตามมนั ถา้ ไม่คิดตามมนั ความคิดมนั
ก็ดบั เหมือนกนั ท่ีเราเหว่ียงทิง้ ๆ ทุกวนั น้ี ที่เรารู้ รู้ ก็สกั แต่วา่ รู้ สกั แต่
วา่ เห็น เอาไปใชไ้ ดท้ ้งั หมดเลย ใชเ้ พอื่ รู้เท่าทนั กิเลสเรา
“อวดรู้ส่วนมากเป็นคาพูดท่ีว่าเราไม่รู้จริง แล้วจาอวด
การหลงรู้ เราเข้าใจว่าเรารู้แล้ว
แต่ความจริงแล้วเรากห็ ลงในความรู้เรา”
คนท่ีพดู โกหกจนเป็นนิสัย จะได้รับผลกรรมอย่างไร
ต้งั แต่เราเด็ก ๆ เรากเ็ รียนแลว้ เร่ืองเดก็ เล้ียงแกะ เห็นไหม เรา
โกหกบ่อย ๆ แลว้ ตอ่ ไป เราพูดความจริง คนอ่ืนเคา้ ก็ไมเ่ ชื่อเรา ผลก็
คืออยา่ งน้นั คุณทาอยา่ งไร คุณก็เป็นอยา่ งน้นั น่ีคือผลของกรรม ผล
ของการสร้างวจีกรรมโดยการโกหก หลีกเล่ียงการพดู เล่น ๆ พูดจริง
14
ทาจริง ถา้ ทาไมไ่ ด้ อยา่ พดู พูดแต่นอ้ ย ถา้ พูดเล่น ๆ เอาคาพูด
กลายเป็นเร่ืองเลน่ ๆ เพ่อื ความสนุกสนาน กเ็ ป็นการสร้างวจีกรรม
“สร้างวจีกรรม โดยการโกหก”
คนท่ีเข้ามาแทรกแซง ในสถานท่ีปฏิบัติธรรม เพื่อหวงั ผลประโยชน์
อย่างอื่นนอกเหนือจากการปฏิบตั ิธรรม จะเป็นบาปไหม แล้วเค้าจะ
เหล่านัน้ จะได้รับผลกรรมอย่างไร
ตอนน้ีเรามีหลายอาชีพ ตารวจกเ็ ป็นอาชีพนึง เป็นผรู้ ักษา
กฎหมาย มีท้งั ปื น มีท้งั กฎหมาย มีท้งั อานาจทุกอยา่ ง และก็เป็นคนท่ีรู้
กฎหมายท่ีสุด แต่ถา้ ตารวจไปทาผิดเสียเอง กถ็ ูกลงโทษหลายต่อ
เช่นเดียวกนั เราข้ึนช่ือวา่ เราเป็นผปู้ ฏิบตั ิธรรม แตไ่ มใ่ ช่ปฏิบตั ิแค่
หนา้ ฉากหลอกกนั เฉยๆ แลว้ ลบั หลงั ไปทาในสิ่ง ท่ีมนั ไม่ควรทา
เราหลอกคนอ่ืนได้ เราหลอกจิตเราไมไ่ ด้ อยา่ พงึ กระทา
อยา่ วา่ แต่สถานธรรมเลย ไปสถานท่ีแห่งอ่ืน ๆ ถา้ เรามีเจตนา
ไม่ดี มีแตจ่ ะไปโกหกเคา้ ไปขโมยของเคา้ อะไรพวกน้ี มนั ก็เป็น
15
กรรม มนั ผดิ ศีล ศีลคือความปกติ แต่ถา้ เราทาพฤติกรรมเรา ไมป่ กติ
ความไมป่ กติ คือชอบเอาเปรียบเคา้ ชอบขโมยของเคา้ มนั ไมใ่ ช่ความ
ปกติ ความปกติคือวา่ หิวกก็ ิน ง่วงก็นอน แต่ตอนน้ีชีวติ เรา ไมป่ กติ
เพราะเรามีความอยาก เรากเ็ ลยทาอะไรที่ผิดศีล ซ่ึงมนั ผิดกบั ความ
ปกติ อนั น้ีก็เป็นกรรม คนอื่นไม่รู้ จิตบนั ทึกไวเ้ รียบร้อยแลว้
“ทาอะไรที่ผิดศีลกเ็ ป็นกรรม
คนอื่นไม่รู้ แต่จิตบนั ทึกไว้เรียบร้อยแล้ว”
ทาไมทกุ คร้ัง ท่ีเราเจอหน้าคนที่เราไม่ชอบมาก ๆ แล้วรู้สึกไม่ชอบ
ทกุ ครั้งเลย
กค็ ุณไม่ชอบ มนั กไ็ ม่ชอบ กเ็ ปลี่ยนอารมณ์ ให้มนั ชอบได้
ไหม กเ็ ราหาเรื่องไม่ชอบเขา เจอหนา้ กนั ก็ไมช่ อบสิ พอ่ ครูเคยบอก
เราเกิดมาไม่รู้จกั นาย ก เจอหนา้ คร้ังแรก รู้สึกถกู ชะตามากเลย แต่เจอ
นาย ข หมน่ั ไส้มากเลย วิทยาศาสตร์ตอบ มนั ทาไม กเ็ พราะจิต
มนั บนั ทึก มนั เป็นความพยาบาท ตอ้ งแก้ โดยการอโหสิกรรม
16
พระพทุ ธเจา้ ลอ็ คไวห้ มดแลว้ ไมใ่ ช่พดู เล่ือนลอยเฉย ๆ มีทางแกห้ มด
อภยั ทาน อโหสิกรรม เปล่ียนจากกรรม กลายเป็นอโหสิกรรม ไมง่ ้นั
เรากจ็ ะแบกภเู ขาน้ี อยใู่ นอกไปตลอดเวลา
“ความพยาบาท ต้องแก้โดยการอโหสิกรรม”
อะไรคือวาง อะไรคือว่าง
เรายกเราก็หนกั เราวางเรากเ็ บา แตต่ วั น้ี มนั เป็นเร่ืองของวตั ถุ
เป็นความรู้สึก ตอ่ น้าหนกั ของวตั ถนุ ้นั ๆ จริงๆ แลว้ สุขทกุ ข์ มนั เกิด
ท่ีความรู้สึกของอารมณ์ มนั ไม่ใช่ ยกดูวา่ มนั หนกั หรือมนั เบา บางคน
หนกั แลว้ ชอบนะ ยกตวั อยา่ ง มีคนใหท้ องคากอ้ นนึงหนกั มาก ชอบ
ไหม ชอบ หนกั ไม่กลวั มีอีกไหม เห็นไหม อนั น้นั หนกั เป็นน้าหนกั
ของวตั ถุ แตพ่ อเราวาง มนั เป็นความเบาจากวตั ถุน้นั บงั เอิญเคา้ ไม่
พอใจ ถกู บงั คบั ใหว้ างทองคา มนั กลบั ทกุ ข์ เห็นไหม
17
แตค่ าวา่ วาง ในท่ีน้ี มนั เป็นเร่ืองของจิตวญิ ญาณ เร่ืองของ
อารมณ์ความรู้สึก บางคนบอกวา่ ยงั วางไม่ลง ลกู ยงั เลก็ อยู่ ยงั มี
หน้ีสินวางไดย้ งั ไง
วางไมไ่ ดแ้ ปลวา่ ทิง้ ถา้ วางแปลวา่ ทิง้ เราเป็นหน้ีธนาคารร้อย
ลา้ น พนั ลา้ น บอกธนาคารวา่ ฉนั วางแลว้ เธออยา่ มาทวงฉนั นะ เงิน
ทองก็สมมติ หน้ีสินกส็ มมติ ฉนั วางแลว้ ถามวา่ ธนาคาร จะยอมไหม
เป็นหน้ีกเ็ ป็นหน้ี ท่ีเราสร้างข้ึนมาเอง เราจะไปทกุ ขก์ บั มนั วางความ
ยดึ มนั่ ถือมน่ั วางความทกุ ข์ ใช่ไหม ถา้ เราไม่วาง เรากท็ ุกขอ์ ยนู่ นั่
แหละ ทุกขจ์ นนอนไม่หลบั นอนไม่หลบั กบั สิ่งท่ีเรา ไปสร้างมาเรา
ไปสร้างหน้ีเอง สลบั กนั เราไม่มีหน้ีนะ แตเ่ รามีลูกหน้ีเตม็ เลย เตม็
บา้ นเตม็ เมือง เราเป็ นเศรษฐีปลอ่ ยกู้ พอเคา้ ไมจ่ ่ายมา กท็ ุกขอ์ ีก เห็น
ไหม เธอทาไมไม่จ่ายฉนั เธอโกงเงินฉนั เหรอ เห็นไหม ถา้ เราไม่
วางตวั น้นั นะ เสียเงินไม่พอ เสียใจดว้ ย นอนไม่หลบั ดว้ ย สุขภาพเสีย
ดว้ ย อนั น้ีเคา้ เรียกวา่ โง่ซ้าซาก
เพราะเราไมว่ าง ที่เราไมว่ าง เพราะกิเลสไม่ยอมวาง มนั ยดึ มนั่
ถือมนั่ ถา้ เราวางได้ มนั กว็ า่ ง จิตมนั ก็วา่ ง วา่ งจากความกงั วล ความ
ห่วงใย ความทุกข์ วา่ ง นี่คือผลของการวาง วางแลว้ กว็ า่ ง
18
พอ่ ครูก็พดู บ่อย ๆ วา่ ธรรมะคือหนา้ ท่ี หนา้ ท่ีคือธรรมะ การ
ทาหนา้ ท่ี คือหนทางมุ่งสู่การหลุดพน้ หลดุ พน้ จากบ่วงของกระแส
กรรม ซ่ึงเป็นตน้ เหตุของความทกุ ขท์ ้งั ปวง วางความยดึ มน่ั ถือมนั่
แลว้ เราจะ วา่ งจากสิ่งเหล่าน้ี
วา่ ง คาวา่ วา่ งจากกระแสกรรม ไม่ใช่กรรมมนั หมดนะ อยา่ ง
เจา้ ชายสิทธตั ถะ วนั วสิ าขบชู าเป็นวนั ตรัสรู้ธรรม เป็นสมั มาสัมพุทธ
เจา้ พระองคบ์ รรลแุ ลว้ จบแลว้ แต่กรรมหมดไหม ไม่ เทวทตั ยงั เลน่
งานพระองคเ์ ลย พระองคไ์ ปเปล่ียนกรรมคนอื่นไมไ่ ด้ มนั บนั ทึกอยู่
ในจิตเคา้ เคา้ กย็ งั มีพยาบาท เรากระทบ แต่ไม่กระเทือน จิตเราไม่โง่ที่
จะไปทุกขก์ บั มนั เราแกต้ วั เองได้ เราแกค้ นอ่ืนไมไ่ ด้
พระพทุ ธเจา้ ยง่ิ ใหญไ่ ห ม ยงิ่ ใหญ่ท่ีสุด ก็ยงั โปรดเทวทตั
ไมไ่ ด้ โปรดอชาตศตั รูไม่ได้ ก็พิสูจนแ์ ลว้ วา่ สตั วโ์ ลกยอ่ มเป็นไป
ตามกรรม ไม่มีใครช่วยใครได้ กรรมใครกรรมมนั บุญใครบญุ มนั
วาง จึงไมแ่ ปลวา่ ทิ้งหนา้ ท่ี แต่ วางความยดึ มนั่ ถือมนั่ ความ
หลงในหนา้ ท่ีน้นั ซ่ึงมนั เป็นสาเหตุ ทาใหก้ ลาย เป็นภาระหนา้ ท่ี
ธรรมะคือหนา้ ท่ี หนา้ ที่คือธรรมะ การทาหนา้ ที่ คือการปฏิบตั ิธรรม
แต่ถา้ วา่ เราไปหลงหนา้ ที่น้นั มนั จะพฒั นาจากหนา้ ท่ี 19
ภาระหนา้ ท่ี ตอนน้ีคือแบก
กลายเป็ น
คาวา่ วาง คือวางภาระตรงน้นั สกั แต่วา่ ทาหนา้ ท่ี ทาเพราะทา
มนั เป็นหนา้ ที่ แต่ตอนน้ี ทกุ อาชีพ ทุกหนา้ ท่ีที่เราทา ถูกกระตุน้ ให้
กลายเป็นภาระท้งั หมด เพราะเราตอ้ งแขง่ ขนั ดว้ ย แคพ่ ออยพู่ อกินไม่
พอละ ตอ้ งเก่งกวา่ มนั ตอ้ งชนะมนั ตอ้ งเจริญเติบโต
เราเขา้ ใจวา่ เจริญเติบโตแลว้ คอ่ ยมนั่ คง จริงๆ แลว้ เจริญ
แปลวา่ มีมากข้ึน เติบโต แปลวา่ ยงิ่ ใหญข่ ้ึน ไม่ไดแ้ ปลวา่ มน่ั คง
ซกั หน่อยนึง เราเขา้ ใจภาษาผิด วา่ งไมไ่ ดแ้ ปลวา่ ไมม่ ี เราก็มีลูก
มีบา้ น มีอะไรเหมือนเก่า
แตว่ า่ ง จากความท่ีเราไปยดึ ติดเป็นของเรา มนั ก็มีเหมือนเก่า
แตไ่ ม่ไปหลงมนั ไม่ใช่อยกู่ บั ความวา่ ง ไม่มีอะไรเลยนะ
พอ่ ครูยกตวั อยา่ ง วงกลมนึงเราแบ่งคร่ึง คร่ึงหน่ึงมีทุกอยา่ ง
เลย อีกคร่ึงหน่ึง blank วา่ ง ไม่มีอะไรเลย เรายนื อยใู่ นส่วนท่ีมีทุก
อยา่ ง แลว้ กม็ องไปอีกขา้ งนึง เรารู้สึกวา่ เราไมม่ ีอะไรเลย เราวา่ งเปล่า
แตถ่ า้ เรายนื อยู่ ตรงส่วนที่มนั ไมม่ ีอะไรเลย เรามองไปอีกขา้ งนึง จะ
20
เห็นวา่ ทุกอยา่ งเยอะแยะมากมาย จริงแลว้ มนั เป็ นแคอ่ ปุ ทาน แลว้
สุดทา้ ย เราจะรู้สึกอยา่ งไรก็ช่าง รู้สึกวา่ เรามี หรือไมม่ ีกช็ ่าง พอเรา
ตายแลว้ อะไรก็เอาไปไม่ได้ มนั เป็นแค่ อปุ ทานของจิต
วา่ งจากความมี มีแตไ่ มต่ ิด วา่ งจากความอยากมี อยากเป็น
อยากรักษาไว้ วา่ งจากความกลวั วา่ งจากสิ่งปรุงแต่ง วา่ งจากสมมติ
วา่ งจากความเศร้า วา่ งจากความรู้สึกไม่อิสระ วา่ งจากความทุกข์ น่ีคือ
ความวา่ ง ความสุขท่ีแทจ้ ริง คือ ความไมม่ ีทกุ ข์ ความไมม่ ีทกุ ขท์ ่ี
แทจ้ ริง คือ ความอิสระ อิสระ คือ ความวา่ ง
แต่ไม่ใช่ ”วา่ ง” ท่ีเราคิดเอาเองนะ อนั น้นั เป็นแค่อปุ าทาน
ถา้ วา่ งจริงๆ ใครเปลี่ยนเราก็ไม่ได้ ใครเปลี่ยนใหม้ นั ไมว่ า่ ง ก็ไม่ได้
ทกุ วนั น้ีเป็นวา่ ง แบบวา่ งจากงาน ไมต่ อ้ งไปทางาน แลว้ บอกวา่ วา่ ง
อนั น้นั วา่ งจากงานเฉยๆ แตจ่ ิตไมว่ า่ ง ยงั หาวธิ ีวา่ วา่ งๆ จะไปทาอะไร
อีก ยงั ไม่วา่ งจริงๆ มนั ยงั หาเรื่องอยู่
ถา้ เราคิดวา่ เราจะใหช้ ีวติ เรามนั่ คง เราจะไมม่ ีวนั ไดร้ ับ
อิสรภาพ เราจะไปรักษามนั ไว้ ไมใ่ หม้ นั เปล่ียนแปลง เราไปฝืนความ
เป็นจริงของธรรมชาติ เราจะไม่มีวนั มน่ั คงจริงๆ เราจะไม่มีวนั มี
ความรู้สึกอิสรภาพจริงๆ อิสรภาพตอ้ งดาเนิน ไปพร้อมพร้อมกบั
21
ความไมแ่ น่นอน ความเปล่ียนแปลง ความไม่มน่ั คง ขอใหเ้ รารู้
ยอมรับมนั รู้เทา่ ทนั มนั เรากจ็ ะ วา่ ง จากความยดึ มนั่ ถือมนั่ ตรงน้นั
22
ทม่ี า : เร่ือง วาง จึง ว่าง
บรรยาย โดย พ่อครูบัญชา ต้ังวงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย 26 กรกฏาคม 2558