การพฒั นาทกั ษะการอ่านและเขยี นคำพน้ื ฐานภาษาไทย
โดยใช้แบบฝกึ ทักษะสาระการเรยี นรู้ภาษาไทยของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4
กิตตมิ า นามมะวิลัย
สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภฏั รำไพพรรณี
ปีการศึกษา 2565
(1)
กิตติกรรมประกาศ
รายงานการพัฒนาทกั ษะการอ่านและเขียนคำพน้ื ฐานภาษาไทย โดยใชแ้ บบฝึกทักษะสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 สำเร็จลุลว่ งไดด้ ้วยอาจารยผ์ ใู้ หซ้ ึง้ คำปรึกษา
อาจารย์ภวู ดล บวั บางพลู ทกี่ รุณาให้ คำปรกึ ษาช่วยเหลือ แนะนำตรวจสอบ แก้ไขข้อบกพร่องตา่ งๆ
ผู้รายงานขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอขอบคุณคณะครู นกั เรยี นโรงเรียนลำปลายมาศ ท่ีใหค้ วามร่วมมือใน
การเกบ็ รวบรวม ข้อมูลในการพัฒนาการจดั การเรียนรใู้ นคร้ังน้ี
คุณคา่ และประโยชน์ของวิจัยฉบบั น้ี ผู้วจิ ัยงานขอมอบเป็นเครอ่ื งแสดงความกตัญญตู ่อบิดา มารดา ท่ี
ใหก้ ารศึกษา อบรมสั่งสอน ให้มีสตปิ ญั ญาและคุณธรรมทัง้ หลาย อนั เปน็ เครอ่ื งมือนำไปสู่ ความสำเรจ็ ในชีวติ
ของผู้รายงาน
กิตตมิ า นามมะวลิ ัย
ผ้จู ัดทำ
(2)
ชือ่ เร่อื ง การพฒั นาทักษะการอ่านและเขียนคำพืน้ ฐานภาษาไทย
โดยใชแ้ บบฝึกทักษะสาระการเรยี นรภู้ าษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี 4
ชอ่ื ผู้วิจัย นางสาวกิตตมิ า นามมะวลิ ยั
หนว่ ยงาน สาขาวิชาภาษาไทย คณะครศุ าสตรม์ หาวิทยาลยั ราชภัฏรำไพพรรณี
ปกี ารศกึ ษา 2565
บทคดั ยอ่
การทำวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย โดยใช้ แบบฝึกทักษะ
สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนและความสามารถในการอา่ นและเขียนคำพื้นฐาน ภาษาไทย ของ นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 1
2) เพ่อื พัฒนาแบบฝึกทกั ษะสาระภาษาไทย ให้มปี ระสทิ ธภิ าพตาม เกณฑ์มาตรฐาน 80/80
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2565 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลคือ แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและ
เขียนคำพื้นฐาน จำนวน 3 แบบฝึก และแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรยี นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4
ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ แบบแผนการทดลอง ใช้แบบกลุ่มเดียว (One Group Pre-test Post-test Design)
สถิตทิ ่ใี ช้คือ คา่ เฉลยี่ และค่าร้อยละ
ผลการศกึ ษาค้นคว้าพบว่า
1. การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะสาระ การเรียนรู้
ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มปี ระสทิ ธภิ าพ80.51./83.33 ซ่งึ สูงกว่า เกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้
คอื 80/80
2. ผลที่เกิดกับนักเรียนหลังการพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย โดยใช้แบบ ฝึก
ทกั ษะสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1 พบวา่ นกั เรียนมที ักษะการอ่าน และเขียน
ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการอ่านและเขียนคำพื้นฐาน สูงขึ้น มีค่าเฉลี่ย
ร้อยละ 83.33
3.นกั เรียนท่ีเรียนโดยใช้แบบฝึกทกั ษะมีความพงึ พอใจโดยรวมอยู่ระดับ มากทส่ี ดุ ( = 4.76) เม่อื
พิจารณาเป็นรายขอ้ พบว่า ทุกข้อมคี วามพึงพอใจในระดบั มากท่ีสดุ เชน่ กัน โดยข้อที่มคี า่ เฉลี่ยสงู สดุ ได้แกข่ ้อ 2
( = 4.92)
สารบัญ (3)
เร่ือง หนา้
กติ ติกรรมประกาศ (1)
บทคัดย่อ (2)
สารบญั (3)
สารบญั ภาพ (5)
บทท่ี 1 บทนำ 1
1
ความเปน็ มาและความสำคัญ 2
วัตถุประสงค์ 2
ขอบเขตของการศกึ ษา 2
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 3
ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั 4
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง 5
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐานพุทธศกั ราช 2551 5
การเรียนการสอนภาษาไทย 9
การอา่ น 14
การเขียน 16
แบบฝกึ ทักษะ 28
งานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วข้อง 31
บทท่ี 3 วธิ ีดำเนนิ การวิจัย 31
ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 31
เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวิจยั 31
วธิ เี ก็บรวบรวมขอ้ มูล 34
สถติ ิท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 36
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู 36
สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 36
ลำดับขน้ั ตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล 36
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
สารบญั (ต่อ) (4)
บทท่ี 5 สรุปผล อภปิ รายและขอ้ เสนอแนะ 42
วัตถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา 34
ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง 34
เคร่อื งมือที่ใช้ในการศึกษา 34
การดำเนนิ การศกึ ษา 34
สรปุ ผลการศึกษา 43
อภปิ รายผล 35
ข้อเสนอแนะ 37
38
บรรณานุกรม 41
42
ภาคผนวก 46
ภาคผนวก ก แบบฝึกทกั ษะ กลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย 50
ภาคผนวก ขแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
ประวัติย่อผวู้ ิจัย
สารบญั ตาราง (5)
ตารางที่
4.1 คะแนนเฉล่ยี และร้อยละ เพ่อื หาประสิทธภิ าพ หนา้
36
ของแบบฝกึ ทักษะการอา่ นและเขียนคำพื้นฐานของนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1
4.2 ผลคะแนนประสิทธภิ าพผลลัพธก์ ารเรยี นรู้(E2) เรื่อง การอ่านและเขียนคำพ้ืนฐานภาษาไทย 38
ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน (คะแนนเต็ม 30 คะแนน) 39
4.3 ผลสัมฤทธ์ิของคา่ ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และค่าประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์ (E2)
39
ของการอา่ นและเขียนคำพ้นื ฐานภาษาไทย 40
4.4 วเิ คราะหห์ าความแตกตา่ งระหว่างคะแนนบททดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน 40
4.5 ตารางแสดงคะแนนเฉลี่ยและค่าร้อยละของคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น
4.6 คา่ เฉล่ยี ความพงึ พอใจทีม่ ีต่อการพัฒนาทักษะการอ่านคำพ้ืนฐานภาษาไทยที่
โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4
1
บทที่ 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรม อันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ
เสริมสร้าง บุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเคร่ืองมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ
และ ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงานและดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคม
ประชาธิปไตยได้อย่าง สันติสุขและเป็นเครื่องมือ ในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูล
สารสนเทศต่าง ๆ นอกจากนี้ยัง เป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณีสุนทรียภาพ
เปน็ สมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรกั ษแ์ ละสืบสานให้คงอยู่คชู่ าติไทยตลอดไป (กระทรวงศึกษาธิการ,2551
: 37)
กองวจิ ัยทางการศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประเมนิ สภาพการจดั การเรียน การสอน
ภาษาไทย ในโรงเรยี นประถมศกึ ษาแล้วพบว่า ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นภาษาไทยของนักเรยี นมคี ะแนนเฉลี่ยอยู่
ใน ระดับค่อนข้างต่ำ สมรรถภาพที่มีปัญหาได้แก่ ทักษะการอ่านและการเขียน ปัญหา คือการออกเสียง
พยัญชนะ สระ คำควบกล้ำไม่ชัดเจน การแจกลูกสะกดคำ การใช้หลักภาษาไทยไม่ ถูกต้อง การแจกลูกสะกด
คำเป็นเรื่องจำเปน็ มากสำหรบั ผูเ้ ริ่มเรียน หากครูไม่ได้สอนแจกลูกสะกดคำแก่ นักเรียนในระยะเริ่มเรียน การ
อ่านของนักเรียนจะขาด หลักเกณฑ์การประสมคำ เมื่ออ่านหนังสือมากขึ้น ทำให้สับสนอ่านหนังสือไม่ออก
เขยี นหนงั สอื ผิด ซง่ึ เปน็ ปญั หา มากของนักเรียนไทยในปจั จุบัน ผลจากการอ่านหนงั สอื ไม่ออก เขยี นไม่ได้ ย่อม
ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอน ในวิชาอื่น ๆ ด้วย เพราะการ อ่านเป็นเครื่องมือสำหรับการแสวงหาความรู้
ด้วยตนเอง (กรมวิชาการ ,2546 : 134)
การสอนภาษาไทยให้บรรลุวัตถุประสงค์และมปี ระสิทธิภาพนั้น จำเปน็ ต้องฝึกทักษะต่าง ๆ ให้สัมพันธ์
กัน ทั้งการรับเข้ามา คือ การอ่านและการฟังกับทักษะการถ่ายทอดออกไป คือ การพูดและการ เขียน ในด้าน
การเขียน ถือเป็นทักษะที่ยุ่งยากซับซ้อนและเป็นทักษะถ่ายทอดที่สำคัญต่อการสื่อสาร อย่างยิ่งโดยธรรมชาติ
ของภาษาไทย เรื่องทักษะ จะแยกเนื้อหาสาระของทักษะแต่ละชั้นปีโดยเด็ดขาด ไม่ได้ จำเป็นจะต้องมี
กระบวนการฝึกทักษะต่าง ๆ ให้ต่อเนื่องกันไป เนื้อหา เช่น การอ่านและการเขียน สะกดคำ การอ่านจับ
ใจความ การเลอื กใชค้ ำให้ตรงตาม ความหมาย การเขยี นแสดงความรูส้ ึก ความคดิ ประสบการณ์ ความตอ้ งการ
จินตนาการ การนำความรู้จากการ อ่านไปใช้ในการตัดสินใจ การ แก้ปัญหาและการดำเนินชีวิต จำเป็นต้อง
สอนทุกช้ันในเรอื่ งของทักษะภาษา และแต่ ละชัน้ จะมีเนอื้ หาใน การฝกึ ทกั ษะท่ีเพิ่มความซับซ้อนและยากมาก
ข้นึ เช่น จำนวนคำเพ่มิ มากข้ึน ประโยคท่ีใชย้ าว และ ซบั ซ้อนขนึ้ เรอื่ งทน่ี ำมาอา่ นยาวขึน้ (กรมวิชาการ,2544
: 22) จากข้อมูลสภาพปัญหา ความสำคัญ และ หลักการดังกล่าว ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง ตัวครูผูส้ อน ควรจะมีการศึกษาหาวธิ ี ปรับปรุงพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใหม้ ีประสิทธิภาพ ให้
ทงั้ ความรู้ทักษะการคิด ความสนุกสนาน เพลดิ เพลนิ ไปพรอ้ ม ๆ กนั มีเทคนคิ การสอนท่ี หลากหลาย ทำให้เกิด
การเรยี นรู้เกิดความแม่นยำ จดจำงา่ ย และ เข้าใจอย่างลึกซ้ึง จดั ระบบเชื่อมโยง ความคดิ ต่าง ๆ เขา้ ด้วยกนั
ดังนั้นผู้วิจยั ไดค้ ิดหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว จึงได้ศึกษาหานวตั กรรมมาแก้ปัญหา จึงพบว่าการจดั
กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะสาระการเรียนรู้ภาษาไทยจะทำให้สามารถ
แกป้ ัญหา การอ่านและการเขยี นได้
2
วตั ถุประสงค์
1.เพือ่ พฒั นาแบบฝึกทักษะสาระภาษาไทย ใหม้ ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80
2.เพอื่ พัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท4่ี
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชาการและกลุม่ ตัวอยา่ ง
1.1 ประชากรท่ีใช้ในการวจิ ยั ในครงั้ นไี้ ดแ้ ก่ นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปี
การศกึ ษา 2565 โรงเรียนสฤษดิเดช จำนวน 1 หอ้ ง นกั เรียนทั้งหมด 40 คน
1.2 กลมุ่ ตวั อยา่ งทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ครัง้ นี้ได้แก่ นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 1 ปี
การศกึ ษา 2565 โรงเรียนสฤษดิเดช จำนวน 20 คน ซง่ึ ได้มาโดยการเลอื กสมุ่ แบบเจาะจง
2. เน้ือหาทใี่ ชใ้ นการทดลอง คอื แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขยี นคำพืน้ ฐานภาษาไทย จำนวน 3
ชดุ
2.1 ชดุ ที่ 1 แบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขยี นคำพนื้ ฐานภาษาไทยให้ถกู ต้อง
2.2 ชดุ ที่ 2 แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นและการเขยี นคำพ้ืนฐานภาษาไทยอา่ นประโยคโดยเนน้ คำ
ที่ ขดี เส้นใตใ้ ห้ถกู ต้อง
2.3 ชดุ ท่ี 3 แบบฝึกทักษะการอา่ นและการเขยี นคำพ้ืนฐานภาษาไทยอา่ นข้อความโดยเนน้ คำ
ที่ ขดี เส้นใตใ้ ห้ถกู ต้อง
3. ตัวแปรท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย 3.1 ตวั แปรตน้ ไดแ้ ก่ แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนพน้ื ฐาน กลุ่ม
สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4
3.2 ตวั แปรตาม ได้แก่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นด้านการอา่ นและการเขยี นคำพื้นฐานหลงั เรียน กลมุ่
สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ช้ันชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4
4. ระยะเวลาในการวิจยั คือ ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ใช้ระยะเวลาในการฝกึ สัปดาห์ละ 2
ชัว่ โมง เปน็ เวลา 4 สัปดาห์ รวมจำนวนทั้งหมด 8 ชัว่ โมง
นิยามศพั ท์เฉพาะ
1. แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นและการเขียนคำพื้นฐาน หมายถึง แบบฝกึ ทักษะการอ่านและ การเขยี นคำ
พื้นฐาน กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ผี ู้วจิ ยั สรา้ งขึ้นเพ่ือใช้ในการฝกึ ปฏบิ ัติด้านการ
อา่ น และการเขยี น จำนวน 3 แบบฝึก
2. ประสิทธิภาพของแบบฝกึ หมายถงึ แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขยี นสะกดคำ กลมุ่ สาระการ
เรียนรู้ ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ทม่ี ีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
80 ตวั แรก หมายถึง คะแนนเฉล่ียร้อยละของนักเรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบ ทา้ ย
บทเรยี น ของแบบฝึกทักษะการอา่ นและการเขียนสะกดคำ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ช้ันประถมศึกษาปี
ที่ 4 ทกุ ชุด
80 ตวั หลงั หมายถึง คะแนนเฉลยี่ รอ้ ยละที่ไดจ้ ากการทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนด้าน
การ อ่านและการเขยี นสะกดคำหลงั เรียน โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชัน้
ประถมศึกษาปที ี่ 4 ครบทุกชุด
3. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น หมายถงึ ความรู้ ความสามารถในการเรยี นภาษาไทยของนักเรียน ท่ีเรยี น
โดย ใช้แบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 โดย
วดั ไดจ้ าก คะแนนการทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนการอา่ นและ การเขียนสะกดคำ ที่ผ้รู ายงานสร้างข้นึ
3
4. นกั เรียนหมายถึง นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนสฤษดเิ ดช สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษา
ประถมศึกษาจันทบรุ ีเขต 1 ปีการศกึ ษา 2565 จำนวน 20 คน 5 แบบทดสอบหมายถึง แบบทดสอบวดั
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น เร่ือง การอ่านและการเขยี นสะกดคำ พน้ื ฐานภาษาไทย ทีผ่ ู้วจิ ัยสร้างขึ้น เพื่อทดสอบ
นกั เรียนก่อนเรียนและหลงั เรียน
ประโยชนแ์ ละคุณค่าของการวจิ ยั
1.ไดพ้ ฒั นาแบบฝกึ ทักษะสาระภาษาไทย ให้มีประสิทธภิ าพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80
2.ไดพ้ ฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนและความสามารถในการอ่านและเขียนคำพน้ื ฐาน ภาษาไทยของ
นกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4
4
บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วข้อง
การดำเนินการศึกษาครั้งนี้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย โดยใช้แบบ
ฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสฤษดิเดชผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร
วรรณกรรมและ งานวจิ ัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง ดังตอ่ ไปน้ี
1. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทยช้ันชนั้
ประถมศึกษาปที ี่ 4
2. การเรียนการสอนภาษาไทย
3. การอ่าน
3.1 ความหมายของการอา่ น
3.2 ความสำคญั ของการอา่ น
3.3 การอา่ นแจกลกู สะกดคำ
4. การเขยี น
4.1 ปัญหาของการเขียน
4.2 ความสำคัญของการเขยี น
4.3 จุดมงุ่ หมายของการเขยี น
5. แบบฝึกทกั ษะ
5.1 ความหมายและความสำคญั ของแบบฝึกทักษะ
5.2 ลักษณะของแบบฝึกทักษะท่ดี ี
5.3 ประโยชนข์ องแบบฝึกทกั ษะ
5.4 หลกั การสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ
5.5 ส่วนประกอบของแบบฝึกทกั ษะ
5.6 รปู แบบการสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ
5.7 ขน้ั ตอนการสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ
5.8 แนวคดิ หลกั การทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั แบบฝึกทกั ษะ
6.งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
6.1 งานวิจยั ในประเทศ
6.2 งานวจิ ยั ต่างประเทศ
5
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ทำไมต้อง
เรียนภาษาไทย
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ
เสริมสร้าง บุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมอื ในการติดต่อสื่อสารเพือ่ สร้างความเขา้ ใจ
และ ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม
ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูล
สารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการ
เปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนา อาชีพ
ให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี
และสนุ ทรียภาพ เปน็ สมบตั ิล้ำคา่ ควรแกก่ ารเรยี นรู้ อนุรักษ์ และสืบสานใหค้ งอยู่คชู่ าตไิ ทยตลอดไป
เรียนรูอ้ ะไรในภาษาไทย
ภาษาไทยเป็นทกั ษะทตี่ อ้ งฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพ่ือการสอ่ื สาร การเรียนรู้ อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ และเพอ่ื นำไปใชใ้ นชวี ิตจรงิ
1.การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนิดต่างๆ การอ่านในใจ
เพือ่ สรา้ งความเข้าใจ และการคดิ วเิ คราะหส์ งั เคราะหค์ วามรูจ้ ากสงิ่ ทอี่ า่ น เพื่อนำไป ปรบั ใช้ใน ชีวติ ประจำวนั
2.การเขียน การเขียนสะกดคำตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบ ต่างๆ ของ
การเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่างๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์
วิจารณ์ และเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์
3.การฟงั การดู และการพดู การฟังและดูอย่างมวี ิจารณญาณ การพูดแสดงความ คดิ เห็น ความรู้สึก
พูดลำดบั เร่ืองราวตา่ งๆ อย่างเป็นเหตเุ ป็นผล การพูดในโอกาสต่างๆ ทง้ั เปน็ ทางการและ ไม่ เปน็ ทางการ และ
การพูดเพอื่ โนม้ นา้ วใจ
4.หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกตอ้ ง เหมาะสมกับ
โอกาสและบคุ คล การแต่งบทประพันธ์ประเภทตา่ งๆ และอทิ ธพิ ลของภาษาตา่ งประเทศใน ภาษาไทย
5.วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะหว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่า
ของงานประพนั ธ์ และความเพลดิ เพลิน การเรยี นรแู้ ละทำความเข้าใจบทเห่ บทรอ้ งเล่น ของเด็ก เพลงพืน้ บ้าน
ที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราว
ของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความ ซาบซึ้งและ ภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบ
ทอดมาจนถึงปจั จุบัน
2. การเรยี นการสอนภาษาไทย
2.1 แนวการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนภาษาไทย
อมั พร อังศรีพวง (อ้างในวมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน.์ 2549: 94-95) ไดใ้ ห้แนว การจัดกจิ กรรมการ
เรียนการสอนภาษาไทยไวด้ ังนี้
6
1. ฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนให้ถูกต้อง คล่องแคล่ว โดยการฝึก ทักษะแต่ละอย่าง
ให้ แมน่ ยำแลว้ จึงฝึกทกั ษะทงั้ 5 ให้สัมพันธก์ นั และส่งเสริมการคิด ตลอดจนความคิด สรา้ งสรรค์
2. ฝกึ ทักษะทางภาษาซ้ำๆ และบอ่ ยๆ จนเกิดความชำนาญ และหมั่นฝกึ ฝน ทบทวนอยู่เสมอ
ครูผสู้ อนต้องสง่ เสริมใหน้ ักเรียนฝกึ ทักษะเปน็ รายบุคคลอย่างท่วั ถึง
3. ฝึกใหผ้ เู้ รยี นรู้หลกั เกณฑ์ทางภาษาควบคไู่ ปกบั การใชภ้ าษาและรูจ้ ัก วัฒนธรรมทางภาษา
4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ และทักษะที่ได้จากการเรียนภาษาไทยไปใช้เป็นเครื่องมือ
ส่อื สาร ในชวี ติ ประจำวัน และใชเ้ ปน็ พน้ื ฐานในการเรียนกลุม่ ประสบการณอ์ นื่ ๆ
5. ปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย โดยสอนให้เห็นคุณค่าและ ตระหนักใน
ความสำคัญ ของภาษาไทย ทั้งในส่วนที่จำเป็นต้องใช้เพื่อการสื่อสาร และในด้านการอนุรักษ์มรดกทาง
วฒั นธรรมท่สี ำคญั ของชาติ
6. สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความพึงพอใจความงดงามของภาษาเพื่อให้เกิดความ จรรโลงใจ โดย
ใช้ ธรรมชาติ บทรอ้ ยแกว้ และร้อยกรองทีเ่ หมาะสมกบั วยั และระดบั ชั้นมาเป็นสื่อการ เรียนการสอน
7. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน ใฝ่หาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ใน การ
ดำรงชวี ิต
8. สอดแทรกคุณธรรมต่างๆ เช่น ความมีระเบียบวินัย ความขยัน ความอดทน ความ
รับผดิ ชอบ
9. ฝึกใหผ้ ู้เรยี นเป็นคนช่างสังเกต จดจำ และจดบนั ทึกส่งิ ต่าง ๆ เพ่อื เสรมิ สร้าง ประสบการณ์
ทาง ภาษา ไดร้ บั ความรู้ ความเพลดิ เพลนิ และเปน็ การใชเ้ วลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์
10. นำภาษาท่ีใชใ้ นสังคมแวดล้อมมาเป็นสอื่ ประกอบการเรียนการสอนเพอื่ ใหส้ ัมพนั ธ์กับการ
เรยี นและสามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ดจ้ รงิ ในชวี ติ ประจำวนั
11. ใหแ้ บบอย่างท่ดี ีแก่นักเรยี น โดยเฉพาะเรื่องการใชภ้ าษาและการส่อื สารของ ครผู สู้ อน
12. วัดและประเมนิ ผล โดยคำนึงถงึ วัย ระดบั ชัน้ และพัฒนาการทางภาษาของนกั เรยี น
13. ส่งเสริมให้นักเรียนประเมินผลการเรียนภาษาของตน เพื่อให้นักเรียนพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
ตามลำดับ
14. ศกึ ษา ตดิ ตามและแกไ้ ขข้อบกพร่องทางภาษาของนักเรียนอย่างสม่ำเสมอและ ต่อเนือ่ ง
15. จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนภาษาไทยด้วยความสนุกสนาน น่าสนใจ โดยใช้
โปรแกรม เพลง รูปแบบการสอนอื่นๆ และสื่อการสอนที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนเกิดความรัก ในการเรียน
ภาษาไทย
16. จัดทำหนังสือที่เหมาะสมให้ผู้เรียนอ่านมากๆ หรือส่งเสริมการอ่านหนังสือใน ห้องสมุด
เพ่ือให้นกั เรยี นมีความร้กู ว้างขวางข้ึน
2.2 หลักในการเลอื กกิจกรรมการเรยี นการสอนภาษาไทย
กิจกรรมการเรยี นการสอนมมี ากมาย เราสามารถจดั ได้ทุกระยะของการเรยี นการสอน ตั้งแต่
ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น ข้นั สอน ข้ันสรุป และขน้ั ประเมนิ ผล ครูเป็นผู้เลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับ บทเรยี น โดย
ยดึ หลกั ดงั นี้
1. เลือกให้เหมาะสมกบั จุดประสงค์ของบทเรียน
2. เลอื กให้เหมาะสมกับผู้เรียน เชน่ ความยุ่งยาก ระดบั ความรู้
3. เลือกโดยพิจารณาความสามารถของผู้สอนด้วย เช่น ครูที่ร้องเพลงไม่เก่งก็ จะใช้เครื่อง
บนั ทกึ เสียงแทน
7
4. เลือกโดยพิจารณาสภาพแวดล้อมในการเรียนการสอน เช่น ถ้าห้องเรียน แคบ การจัดให้
เล่นเกมแข่งขันก็อาจจะเกิดเสียงดังไปรบกวนห้องอื่น และการเคลื่อนไหวก็ไม่สะดวก ครู ใช้กิจกรรมอื่นแทน
หรือพานกั เรยี นไปสนามหญ้าแทน
5. เลือกกิจกรรมใหค้ วามสนกุ สนาน ปฏบิ ัตงิ า่ ย ไม่ซบั ซอ้ น และยดื หยุ่นได้
6. เลอื กกิจกรรมท่ใี ห้แนวคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรคแ์ ละทุกคนมสี ว่ นรว่ ม
วรรณี โสมประยูร (2544 : 193-194) ได้อธิบายถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็น
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยในระดับประถมศึกษาควรคำนึงถึงจุดประสงค์ความ พร้อมของ
ผู้เรียนควรให้ผู้เรยี นมีพัฒนาการทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน และมีการฝึกฝนทาง ภาษา มีการบูรณา
การสอนกับวชิ าอืน่ ๆ ตามความเหมาะสม เปิดโอกาสให้นกั เรียนร่วมกิจกรรมการ เรียนการสอนมากที่สุด เน้น
ให้ผู้เรียนรู้จักคดิ ตัดสินใจเอง รู้จักแก้ปญั หาด้วยตนเองอยู่เสมอ ควรใช้การ สอนหลายๆ วิธี นอกจากนี้ครูควร
สอดแทรกคุณธรรม และให้รู้จักการทำงานร่วมกบั คนอืน่ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ การเรียนการสอนนอกจากจะ
มีความสำคญั ในตัวมันเองแลว้ ยงั เป็นปัจจัยสำคัญท่ชี ่วยให้ ผเู้ รียนสามารถเรียนวิชาอ่ืนๆ ได้อีก ดังนั้นการเรียน
การสอนภาษาไทยจึงไม่น่าจำกัดอยู่เฉพาะในชั่วโมง ภาษาไทยเท่านั้น ซึ่งการสอนภาษาไทยควรยึดหลักดังนี้
ด้านตัวผูส้ อน ควรสอนให้สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรยี น ผู้สอนควรเป็น แบบอย่างที่ดใี น
การใช้ภาษาในการทำกิจกรรมการเรียนการสอนควรสอนเรื่องใกล้ตัวผู้เรียนและสอนให้ สัมพันธ์กับวิชาอื่นๆ
นอกจากนี้แล้วควรมีการประเมินผลเป็นระยะ เพื่อผู้เรียนจะได้ทราบความก้าวหน้า ทางการเรียนของตัวเอง
ด้านผู้เรียน ควรมีความพร้อมในการเรียนมีการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และมีการฝึกฝนอยู่
เสมอ
ด้านสอ่ื การเรียนการสอน ควรมีการใชส้ ่ือการเรยี นการสอนเพอ่ื ให้ผู้เรียนรู้คำ
2.3 สื่อการเรียนการสอนภาษาไทย
สื่อการเรียนการสอนภาษาไทยมีความสำคัญต่อการเรียนการสอนมาก เพราะสื่อ เป็น
ตัวกลางที่จะช่วยให้การส่ือสารระหวา่ งครูกบั นักเรยี นใหเ้ ข้าใจตรงกัน และนักเรยี นก็สามารถ ทำความเขา้ ใจกับ
บทเรียนได้ง่ายขึ้น ทำให้นักเรียนมีความสนใจบทเรียนมากกว่าการสอนที่มีแต่ครู อธิบายเพียงอย่างเดียว ส่ือ
การเรียนการสอนจะช่วยนำความมีประสิทธิภาพมาสู่การเรียนการสอน และนำความสำเร็จมาสู่วัตถุประสงค์
ท่ตี ัง้ ไว้
สื่อการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการ และกิจกรรมต่างๆ ท่ี ครูผู้สอนใช้
ถา่ ยทอดความรแู้ ละประมวลประสบการณ์ไปสูผ่ ้เู รียนอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ เพือ่ ให้บรรลตุ าม จุดประสงค์ที่ต้ังไว้
พอจำแนกส่อื การสอนออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
1. สื่อประเภทวัสดุ (Materials) หรือบางทีเรียกว่าสื่อประเภทเบา (Software) หมายถึง ส่ือ
ท่ีเกบ็ ความร้อู ยใู่ นตัวเอง ซ่งึ จำแนกย่อยออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ
ก. สื่อประเภทที่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเองไม่จำเป็นต้องอาศัย อุปกรณ์อื่นช่วย
เช่น แผนท่ี ลูกโลก รปู ภาพ หนุ่ จำลอง ฯลฯ
ข. วัสดุที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้โดยตัวเองจำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์อื่น ช่วย เช่น
แผน่ เสียง ฟลิ ์มภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ
2. สือ่ ประเภทอุปกรณห์ รือเครือ่ งมือ (Equipment) หมายถงึ ส่วนท่เี ปน็ ตวั กลางหรือ ตวั ผ่าน
ทำให้ข้อมูลหรือความรู้ที่บันทึกไว้ในวัสดุ สามารถถ่ายทอดออกมาให้เหน็ หรือได้ยิน เช่น เครื่อง ฉายแผ่นภาพ
โปร่งใส เครื่องฉายสไลด์ เครอ่ื งฉายภาพยนตร์ เคร่อื งรับโทรทศั น์ เครื่องเล่น แผ่นเสยี ง เปน็ ตน้
8
3. สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธกี าร (Techniques or methods) หมายถึง สื่อที่มีลักษณะเป็น
แนวคดิ หรือรปู แบบขัน้ ตอนในการเรียนการสอน โดยสามารถนำสื่อวัสดุและอุปกรณ์ มาช่วยในการสอนได้ เช่น
เกมและสถานการณ์จำลอง การสอนแบบจุลภาค การสาธิต เปน็ ต้น
สอ่ื การเรียนการสอนภาษาไทยมีหลายชนดิ ซง่ึ จะขอกล่าวดังน้ี
1. เกมต่างๆ การเลน่ เป็นสิง่ ทเี่ ดก็ ๆ ชอบเป็นชวี ิตจิตใจอยแู่ ล้ว ผู้สอนสามารถ พลิกแพลงการเล่นแบบ
ตา่ งๆ ของเดก็ มาใช้เสริมทักษะทางภาษาของเด็กได้มากมาย เช่นการเลน่ เกม กระซิบฝกึ ทกั ษะการฟัง การเล่น
ทักทายฝึกทักษะการพูด นอกจากนี้ยังมีเกมอีกมากมายที่ผู้สอนจะ ประยุกต์ให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะสอน
เกมต่างๆ สามารถใช้ได้ทุกขั้นตอนของการสอน ไม่ว่าจะเป็น ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน ขั้นสรุปบทเรียน
การเล่นเกมในแต่ละครั้งผู้สอนควรบอกจุดมุ่งหมายให้ ผู้เรียนทราบแน่ชัดว่าฝึกทักษะใด กำหนดกติกา และ
เวลาในการเลน่ ให้แน่นอน การเล่นเกมท้ังท่ีไมต่ ้อง ใช้วสั ดุอปุ กรณ์และต้องใช้ เกมทีต่ อ้ งใช้วัสดุอุปกรณ์ ผู้สอน
ต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า หรือให้ผู้เรียนเตรียม และเก็บให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเมื่อเล่นเสร็จ ตัวอย่างเกมต่างๆ
เช่น เกมบิงโก แข่งเคร่อื งบนิ ตกปลา ตอ่ บัตรคำ จา่ ยตลาด เกมกระซิบ เรียงคำ ย่สี บิ คำถาม ฯลฯ
2. บตั รคำ เป็นส่อื การเรียนการสอนทใี่ ช้ฝึกทักษะดา้ นการอา่ นและการเขยี น ได้ดีเป็นสื่อท่ีผู้สอนนิยม
ใช้กันมาก เพราะใช้ประกอบการเรียนการสอนได้หลายลักษณะ เช่น สอนคัดลายมือ สอนคำใหม่ สอนคำยาก
สอนอา่ นออกเสยี ง สอนอา่ นในใจ เลน่ เกมเสรมิ ทกั ษะตา่ ง ๆ
3. ปริศนาคำทาย เป็นการเล่นของคนไทยมาแต่โบราณนิยมเล่นกันใน หมู่เด็กและผู้ใหญ่ การทาย
ปัญหาน้ันฝึกทักษะหลายด้าน ท้งั การฟงั การพดู การคิด ไหวพริบในการ แกป้ ัญหา จินตนาการ การแสดงออก
ทางภาษา ปริศนาคำทาย มีการจัดหมวดหมไู่ วห้ ลายหมวดหมู่ เชน่ ประเภทสัตว์ ของใช้ พชื เปน็ ต้น
4. เทปบันทึกเสียง เป็นสื่อการเรียนการสอนที่โรงเรียนจัดหามาไว้ให้ครูผู้สอน เพราะใช้ง่าย
เคลื่อนย้ายได้สะดวก ราคาไม่แพง ครูใช้เทปบันทึกเสียงประกอบการสอนภาษาไทย โดยใช้ สอนอ่านทำนอง
เสนาะ สัมภาษณ์ บันทึกขา่ ว นิทาน เป็นต้น
5. แผ่นป้ายสำลี เหมาะสำหรับใช้เป็นสื่อการสอนในระดับชั้นเด็กเล็ก ชั้นประถมศึกษา แต่ก็อาจ
นำไปใช้ในระดบั ชั้นมัธยมหรืออุดมศกึ ษาก็ได้ แผ่นป้ายสำลีสามารถใช้ ติดบัตรคำ บัตรภาพหรือรูปภาพได้ แต่
เราตอ้ งยอมรบั ว่าบัตรคำ หรอื บตั รภาพท่ตี ิดบนป้ายสำลนี ้นั อาจจะไมม่ น่ั คง อาจรว่ งหล่นได้
6. สไลด์ประกอบเสียง นำมาใช้ง่ายและสามารถนำมาเรียนแบบเอกัตบุคคล หรือประกอบการเรียน
การสอนเป็นกลุ่ม สไลดป์ ระกอบเสยี งชดุ ใดที่จดั ทำอยา่ งดกี จ็ ะให้คุณค่าต่อ กระบวนการเรยี นรู้อย่างมาก
7. กระเป๋าผนัง เป็นแผ่นไม้บางๆ ที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดเท่ากับ แผ่นป้ายผ้าสำลีใช้กระดาษ
แข็งทำเป็นรอ่ งหรือกระเป๋าขนาดใหญ่พอที่จะเสียบบัตรคำได้ วิธีใช้กระเป๋า ผนังก็จะใช้คลา้ ยกบั แผ่นปา้ ยผนัง
สำลี คือ ใช้กับบตั รคำ บตั รข้อความ บตั รภาพ
8. สถานการณ์จำลอง เปรียบเหมือนนามธรรมของชีวิตจริง หรือการทำให้ สภาพแวดล้อมหรือ
กระบวนการของชีวิตจริงให้ง่ายข้นึ โดยท่ัวไปสถานการณจ์ ำลองจะเป็นการแสดง บทบาทที่เก่ียวข้องกับบุคคล
หรือส่งิ แวดลอ้ มที่สมมุตขิ ึน้ เช่น อาชพี ต่างๆ ความเป็นอยู่ ฯลฯ
3. การอ่าน
การอา่ นเป็นทักษะทางภาษาทีส่ ำคัญและจำเปน็ มากในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ในชีวิตประจำวันต้อง
อาศัยการอา่ นจึงจะสามารถเขา้ ใจและสื่อความหมายได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
3.1 ความหมายของการอา่ น
เรวดี อาษานาม (2537 : 77-78) ได้ให้ความหมายของการอ่าน ดังนี้ การอ่าน หมายถึง
กระบวนการในการแบ่งความหมายของตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่มีการจดบันทึก อย่างมีเหตุผลและเข้าใจ
9
ความหมายของส่งิ ท่ีอา่ น ตลอดจนการพจิ ารณาเลือกความหมายท่ีดีทีส่ ดุ ขึ้นไป ใช้เปน็ ประโยชนด์ ว้ ย จะเห็นได้
ว่าการอ่านไม่ใช่การรับเอาความคิดจากหนังสือท่ีอา่ นเฉยๆ ผอู้ า่ นไมใ่ ช่ ผรู้ ับแต่เปน็ ผกู้ ระทำ สรุปได้ว่าเป็นผู้ใช้
ความคดิ ไตรต่ รองเร่ืองราวทีต่ นเองอา่ นเสียก่อน แล้วจึงรับเอา ใจความของเรอ่ื งทีต่ นอา่ นไปเกบ็ ไวห้ รือนำไปใช้
ใหเ้ ป็นประโยชน์ต่อไป ดังนน้ั หวั ใจของการอา่ นจงึ อยทู่ ี่ การเข้าใจความหมายของคำ
นริ นั ดร์ สุขปรีดี (2540 : 1) ให้ความหมายของการอา่ นว่า การอ่านคอื การเข้าใจ ความหมาย
ของตัวละคร หรือสัญลักษณ์ ซึ่งจะต้องอาศัยความสามารถในการแปลความ การตีความ การขยายความ การ
จบั ใจความสำคญั และการสรุปความ
การอ่านในโรงเรียนประถมที่ปรากฏก็คือการที่ครูให้นักเรียนคนหนึ่งอ่า นประโยคหรือ
ข้อความนำแล้วให้คนอื่นๆ อ่านตาม ผู้อ่านนำตั้งใจอ่านให้เสียงดังได้ยินทั่วทั้งชั้นเพื่อเพื่อนจะอ่านตามได้ ถูก
ผู้อ่านตามมีหน้าที่อ่านอย่างเดียว ตาอาจจะมองสิ่งต่าง รอบตัวหูฟังเพื่อนคุย ฯลฯ อ่านแล้วจำไม่ได้ และไม่รู้
ความหมายของข้อความที่อ่าน ถ้าวิเคราะห์ตามความหมายข้างต้นแล้ว ลักษณะแบบนี้ยังไม่ เรียกว่าอ่านได้
อย่างสมบรู ณ์
การที่คนเราจะอ่านหนังสือได้เร็วหรือช้านั้น องค์ประกอบอย่างหนึ่งของการอ่านคือ การ
เคลอ่ื นไหวสายตาในการอ่านและความเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้ ในการอา่ นจะตอ้ งมีการฝกึ อยู่ เสมอและ
ถูกต้องตามวธิ ีการดว้ ย ความเขา้ ใจ
ความหมายของการอ่านมีความหมายต่างๆ กัน เมื่อเอ่ยถึงการอ่านต้องมี ความเข้าใจมา
เกี่ยวข้องคือ เข้าใจในถ้อยคำที่อ่าน เช่น ถ้ามีเด็กเห็นคำว่า กา แล้วเปล่งเสียงว่ากา ก็ เข้าใจว่าเป็นการอ่าน
เช่นนีเ้ ป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะเด็กอาจไมเ่ ข้าใจ กา ที่เปล่งเสียงออกมานั้น หมายถึง นกชนิดหนึ่งทีม่ ีสี
ดำ ร้อง กา กา กา หรืออาจหมายถึง กาที่ใช้ในการต้มน้ำ หรืออาจไม่เข้าใจทั้ง สองความหมายก็ได้ เมื่อเป็น
เชน่ น้ี จงึ ยังไม่เรยี กว่าการอ่าน แตเ่ ปน็ เพยี งการเปล่งเสียงเท่านั้น ดงั นั้นสงิ่ ที่ นกั เรยี นควรเขา้ ใจกับความหมาย
ของการอ่าน ถ้าเป็นการอ่านที่ต้องเข้าใจความหมายของคำ ซึ่งจะทำให้ นักเรียนสามารถอ่านเรื่องและสรุป
เร่ืองให้ถูกตอ้ ง
ประทีป วาทิกทินกร (2542 : 2) ได้ให้ความหมายของการอ่าน คือ การรับรู้ข้อความ ใน
ข้อเขียนของตนเอง และของผู้อื่น รวมทั้งการรับรู้เครื่องหมายสื่อสารต่างๆ เช่น เครื่องหมายจราจร และ
เครื่องหมายท่แี สดงในแผนภูมติ า่ งๆ
สนุ ันทา ม่ันเศรษฐวทิ ย์ (2543 : 2) ได้ใหค้ วามหมายของการอา่ นว่า การอ่านเป็น ลำดับข้ันท่ี
เกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจความหมายของคำ กลุ่มคำ ประโยค ข้อความและเรื่องราวของ สารที่ผู้อื่น
สามารถบอกความหมายได้
วรรณี โสมประยูร (2544 : 121) ไดใ้ ห้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านเป็น กระบวนการ
ทางสมองที่ใช้สายตาสัมผัสตัวอักษรหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ รับรู้และเข้าใจความหมายของคำหรือ สัญลักษณ์โดย
แปลออกเป็นความหมายที่ใช้สื่อความคิดและความรู้ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจ ตรงกันและผู้อ่าน
สามารถนำความหมายนน้ั ๆ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2545 : 1) ได้ให้ความหมายของการอ่านคือความเข้าใจ ในสัญลักษณ์
เครื่องหมาย รูปภาพ ตัวอักษร คำและข้อความที่พิมพ์หรือเขียนขึ้นมา ราชบัณฑิตยสถาน (2546 : 1) ได้ให้
ความหมายของการอ่านไว้ว่า หมายถึง การอ่าน ตามตัวหนังสือ การออกเสียงตามตัวหนังสือ การดูหรือเข้า
ใจความจากหนงั สือ สงั เกตหรือพจิ ารณาดู เพอื่ ใหเ้ ข้าใจ การคิด การนับ
ฉวีลักษณ์ บุญกาญจน (2547 : 3) ได้ให้ความหมายของการอ่าน คือ การบริโภคคำ ที่ถูก
เขยี นออกมาเปน็ ตัวหนังสอื หรอื สัญลักษณ์ โดยมกี ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทเี่ รม่ิ จาก “แสง”
10
ที่ถูกสะท้อนมาจากตัวหนังสือ ผ่านเลนส์นัยน์ตาและประสาทตา เข้าสู่เซลสมองไปเป็นความคิด (Idea) ความ
รับรู้ (Perception) และความจำ ท้งั ระยะสัน้ และระยะยาว
วิมลรัตน์ สนุ ทรโรจน์ (2549 : 95-96) ได้ให้ความหมายของการอา่ นไว้หลายสว่ น ดังน้ี
1.สว่ นท่ีเกี่ยวข้องกับลักษณะของกระบวนการ หมายถงึ ลำดับข้ันทเี่ กีย่ วขอ้ ง กับการทำความ
เข้าใจความหมายของคำ กลุ่มคำ ประโยค ข้อความและเรื่องราวข่าวสารที่ผู้อ่านสามารถ บอกความหมายได้
2.ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ หมายถึง การสอนอ่านจะต้องเข้าใจ หลักจิตวิทยา
พัฒนาการทางภาษาของเด็กแต่ละวัย จัดสื่อการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการและ ความสนใจของเด็ก
3.ส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษาศาสตร์ หมายถึง การสอนอ่านจะต้องเข้าใจ เสียงฐานที่เกิดเสียง
ของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เข้าใจหลักภาษาและการใช้ภาษา เพื่อนำหลักการ เหล่านั้นมาสอนอ่านและ
เขา้ ใจความหมายไดถ้ ูกตอ้ ง
4.ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาทางการศึกษา หมายถึง การนำหลักจิตวิทยา มาใช้ทางการ
ศึกษา เช่น ความพร้อมของการอ่าน ความสนใจ แรงจูงใจ การเสริมแรง และทฤษฎี ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็น
พืน้ ฐานในการพจิ ารณาการจดั กิจกรรมการอ่าน
5.ส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิชาการศึกษา หมายถึง การรู้จักเลือกวิธีสอนอ่าน ที่เหมาะสมกับวัย
และระดับความสามารถในการอ่านของนักเรียน ทั้งนี้ให้เป็นไปตามขั้นพัฒนาการ เพื่อให้นักเรียนประสบ
ความสำเร็จในการอ่าน
6.ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาด้านการจำและการลืม หมายถึง การที่ผู้อ่าน สามารถจำเรื่อง
และเก็บไว้ในสมอง ถ้ามีโอกาสเล่าให้ผู้อื่นฟังก็สามารถเล่าได้ถูกต้อง แต่การที่ผู้อ่านจะจำ ข้อความที่อ่านได้ก็
จะต้องเข้าใจความหมายของคำ รู้หน้าที่ของคำ อีกทั้งสามารถแยกพยัญชนะ สระ ตัวสะกด และวรรณยุกต์
ออกจากกันได้ อีกประการหนึ่งการท่ีผู้อ่านจะจำเรื่องได้มากหรือน้อยน้ันยัง ขน้ึ อยู่กับความสนใจของผู้อ่านที่มี
ตอ่ เรื่องน้นั อีกดว้ ย สรุปความหมายของการอา่ น หมายถงึ การเขา้ ใจความหมายของคำ ประโยค ข้อความ และ
เรื่องที่อ่าน และเรื่องที่อ่านมีความสำคัญต่อประเทศชาติและพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้า ผู้ที่อ่านมากนอกจาก
ได้รับความรู้อย่างกวางขว้างแล้ว ยังทำให้ผ่อนคลายความเครียด ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ ได้รับจากการอ่านนั่นเอง
สรปุ ไดว้ า่ การอา่ นเป็นกระบวนการทางสมองท่ีตอ้ งใชส้ ายตาสมั ผัสตวั หนงั สือ หรือส่งิ พมิ พ์อื่นๆ รบั รูแ้ ละเข้าใจ
ความหมายของคำ ที่ใช้สื่อความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ระหว่างผู้เขียน กับผู้อ่าน ให้เข้าใจตรงกันและผู้อ่าน
สามารถนำเอาความหมายน้ันๆ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
3.2 ความสำคัญของการอา่ น
วรรณี โสมประยูร (2544 : 121-123) ได้อธิบายถึงความสำคัญของการอ่านหนังสือ มีผลต่อ
ผู้อ่าน 2 ประการ คือ ประการแรก อ่านแล้วได้ “อรรถ” ประการที่สอง อ่านแล้วได้ “รส” ถ้าผู้อ่านสำนึกอยู่
ตลอดเวลาถึงผลสำคัญของสองประการนี้ ย่อมจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จาก หนังสือตรงตามเจตนารมณ์
ของผเู้ ขยี นเสมอ การอา่ นมคี วามสำคญั ตอ่ ทกุ คนทกุ เพศทุกวยั และทกุ สาขา อาชพี ซ่งึ พอสรปุ ไดด้ ังนี้
3.2.1 การอ่านเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่งในการศึกษาเล่าเรียนทุกระดับ ผู้เรียน จำเป็นต้อง
อาศยั ทกั ษะการอ่านทำความเข้าใจเนื้อหาสาระของวิชาการต่างๆ เพื่อใหต้ นเองได้รบั ความรู้ และประสบการณ์
ตามท่ตี ้องการ
3.2.2 ในชีวิตประจำวันโดยท่วั ไป คนเราตอ้ งอาศัยการอา่ นติดต่อส่ือสาร เพอ่ื ทำความเข้าใจ
กับบุคคลอื่นร่วมไปกับทักษะการฟัง การพูด การเขียน ทั้งในด้านภารกิจส่วนตัวและการ ประกอบอาชีพการ
งานต่างๆ ในสงั คม
3.2.3 การอ่านสามารถช่วยให้บุคคลสามารถนำความรู้และประสบการณ์ จากสิ่งที่อ่านไป
11
ปรับปรุง และพฒั นาอาชีพหรือธรุ กิจการงานที่ตัวเองกระทำอยู่ให้เจริญก้าวหนา้ และ ประสบความสำเร็จได้ใน
ทสี่ ุด
3.2.4 การอ่านสามารถสนองความต้องการพื้นฐานของบุคคลในด้านต่างๆ ได้ เป็นอย่างดี
เช่น ช่วยให้ความมั่นคงปลอดภัย ช่วยให้ได้รับประสบการณ์ใหม่ ช่วยให้เป็นที่ยอมรับของ สังคม ช่วยให้มี
เกยี รติยศและชอ่ื เสยี ง ฯลฯ
3.2.5 การอ่านทั้งหลายจะส่งเสริมให้บุคคลได้ขยายความรู้และประสบการณ์ เพิ่มขึ้นอย่าง
ลึกซึ้งและกว้างขวาง ทำให้เป็นผู้รอบรู้ เกิดความมั่นใจในการพูดปราศรัย การบรรยายหรือ อภิปรายปัญหา
ตา่ งๆ นบั ว่าเปน็ การเพมิ่ บคุ ลกิ ภาพและความนา่ เชอื่ ถือให้แก่ตัวเอง
3.2.6 การอ่านหนังสือหรือสิ่งพิมพ์หลายชนิดนับว่าเป็นกิจกรรมนันทนาการที่ น่าสนใจมาก
เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร นวนิยาย การ์ตูน ฯลฯ เป็นการช่วยให้บุคคลรู้จัก ใช้เวลาว่างให้เกิด
ประโยชน์ และเกิดความเพลิดเพลนิ สนุกสนานได้เป็นอย่างดี
3.2.7 การอ่านเรื่องราวต่างๆ ในอดีต เช่น อ่านศิลาจารึก ประวัติศาสตร์ เอกสารสำคัญ
วรรณคดี ฯลฯ จะช่วยให้อนุชนรุ่นหลังรู้จักอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยเอาไว้ และสามารถพัฒนา
ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปได้ สรุปความสำคัญของการอ่านว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่งในการแสวงหาความรู้ การ
เรียนรู้ และ พัฒนาสติปัญญาของคนในสังคม พัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต องค์ประกอบในการอ่าน อาจจะ
สรปุ ไดด้ งั นี้
1. องคป์ ระกอบทางด้านรา่ งกาย
1.1 สายตา
1.2 ปาก
1.3 หู
2. องค์ประกอบทางดา้ นจิตใจ
2.1 ความตอ้ งการ
2.2 ความสนใจ
2.3 ความศรทั ธา
3. องคป์ ระกอบทางดา้ นสติปญั ญา
3.1 ความสามารถในการรบั รู้
3.2 ความสามารถในการนำประสบการณเ์ ดิมไปใช้
3.3 ความสามารถในการใช้ภาษาให้ถูกต้อง
3.4 ความสามารถในการเรียน
4. องคป์ ระกอบทางประสบการณพ์ น้ื ฐาน
5. องค์ประกอบทางวฒุ ภิ าวะ อารมณ์ แรงจงู ใจและบคุ ลิกภาพ
6. องคป์ ระกอบทางส่ิงแวดล้อม มีผใู้ หค้ วามสำคัญของการอา่ นไวห้ ลายท่าน ดงั นี้
สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2543 : 2) ได้อธิบายความสำคัญของการอ่านว่าการอ่าน
เป็น เครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ การรู้และใช้วิธีอ่านที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้อ่านทุกคน
การรู้จกั ฝกึ ฝนอ่านอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้อ่านมีพื้นฐานในการอ่านทด่ี ี ท้ังจะชว่ ยให้เกดิ ความ ชำนาญและ
ความรู้กว้างขวางดว้ ย ดังนั้นการทีน่ กั เรียนจะเป็นผู้อ่านที่ดีจึงขึ้นอยูก่ ับสภาพแวดล้อมที่ครู เป็นผู้จัดเตรียมให้
อีกทั้งยังต้องผสมผสานกับความสนใจของผู้อ่าน เพื่อเป็นแรงจูงใจที่ช่วยให้นักเรียนได้ อ่านอย่างสม่ำเสมอ
ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2545 : 2) ได้อธิบายความสำคัญของการอ่านว่า การอ่าน มี
12
ความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและช่วยสนองความอยากรู้อยากเห็น อันเป็น
ธรรมชาติของมนุษย์ได้ทุกเรื่อง ซึ่งมีอยู่ในทรัพยากรสารนิเทศทุกประการโดยเฉพาะความอยากรู้ ข้อมูล
ข่าวสารต่างๆ 16
3.3 การอ่านแจกลูกสะกดคำ
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 97-99) ได้อธิบายความหมายของการแจกลูก มีความหมาย 2
นยั คือ นัยแรก หมายถึง การแจกลูกในมาตราตัวสะกดแม่ ก กา กง กน กม เกย เกอว กก กด และกบ การ
แจกลูกจะเร่ิมตน้ การสอนใหจ้ ำ และออกเสียงพยัญชนะและสระให้ไดก้ ่อน จากนนั้ จะ เรมิ่ แจกลูกในมาตราแม่
ก กา จะใช้การสะกดคำไปทีละคำไล่ไปตามลำดับของสระ แล้วจงึ อ่านโดยไม่ สะกดคำ จึงเรยี กว่าแจกลูกสะกด
คำ แลว้ อ่านคำในมาตราตวั สะกดทกุ มาตราจนคล่อง จากน้นั จะอา่ น เปน็ เร่ืองเพ่ือประยกุ ตห์ ลักการอ่านนำไปสู่
การอา่ นคำทเ่ี ป็นเรือ่ งอย่างหลากหลาย
นยั สอง หมายถงึ การเทียบเสียง เป็นการแจกลูกวธิ หี นง่ึ เมือ่ นักเรยี นอา่ นคำได้แลว้ ให้ นำรูป
คำมาแจกลูกโดยการเปลีย่ นพยัญชนะต้นหรือพยัญชนะทา้ ย เช่น บา้ น สูตรของคำ คอื ใหเ้ ปลย่ี น พยัญชนะต้น
เชน่ ก้าน ปา้ น ร้าน ลา้ น คา้ น เปน็ ตน้ หลักการเทียบเสยี ง มีดังนี้
1. อ่านสระเสยี งยาวกอ่ นสระเสยี งส้ัน
2. นำคำท่ีมีความหมายมาสอนกอ่ น
3. เปล่ยี นพยญั ชนะท่ีเป็นพยัญชนะต้นและพยญั ชนะเสยี งท้าย
4. นำคำที่อ่านมาจดั ทำแผนภูมิการอ่าน เช่น กา มา พา ลา ยา ค้า ม้า ช้า ล้า น้า บ้าน ก้าน
ป้าน รา้ น คา้ น
วิธีอ่านจะไม่สะกดคำให้อ่านเป็นคำตามสูตรของคำ เช่น อ่าน กา สูตรของคำ คือ -า นำพยัญชนะมาเติมและ
อา่ นเปน็ คำ เชน่ ยา ทา หา นา ตา อา มีหลกั การสอนดงั นี้
1. เร่ิมจากสระท่งี ่ายทสี่ ดุ คอื สระ -า
2. ใช้แผนผังความคดิ แจกลูก โดยเลอื กคำท่มี คี วามหมายกอ่ น
3. ผเู้ รยี นอา่ นออกเสียงคำและทำความเข้าใจความหมาย
4. นำคำจากแผนผงั ความคดิ มาแต่งประโยค
5. อ่านประโยคท่ีแต่ง
6. เขียนประโยคที่แตง่
สรปุ การแจกลูก ในรูปแบบเช่นนี้ สามารถทจ่ี ะแจกต่อไปไดอ้ ีก เช่น แจกสระ เ- แ- โ- ไ- ใ- เ-
า ฯลฯ และนำมาแตง่ ประโยคโดยการบูรณาการกบั คำทป่ี ระสมกบั สระอ่นื ซึง่ จะ ช่วยใหน้ กั เรยี นเกิดการเรยี นรู้
และสามารถนำไปแตง่ ประโยคทย่ี ากและซับซ้อนข้ึนได้ เพราะเปน็ การ เรยี นจากเรื่องที่ง่ายไปสู่เรื่องท่ียากและ
ยังได้ให้ความหมายของการสะกดคำ ดังนี้ การสะกดคำ หมายถึง การอ่านโดยนำเสียงพยัญชนะต้น สระ
วรรณยุกต์ และตัวสะกดมาประสมเป็นคำอ่าน การอ่าน สะกดมาประสมเป็นคำอ่าน การอ่านสะกดคำจะต้อง
ใหน้ กั เรียนสังเกตรูปคำพร้อมกบั การอา่ น การสอนอา่ นสะกดคำพร้อมกบั การเขยี น ครตู อ้ งใหอ้ า่ นสะกดคำแล้ว
เขียนคำไปพร้อมกัน การสอนสะกดคำโดย การนำคำที่มีความหมายมาสอนก่อน เมื่อสะกดคำจนจำได้แล้วจึง
แจกคำ เพราะการสะกดคำจะเป็น เครอ่ื งมือการอา่ นคำใหมโ่ ดยเร่ิมจากคำง่ายๆ แล้วบอกทิศทางการออกเสียง
แลว้ แจกคำโดยเปลี่ยน พยัญชนะตน้
เรวดี อาษานาม (2537 : 83 - 84 ) ได้อธิบายถึงการอ่านสำหรับเด็กท่ียังไม่เรยี น หนังสือ ให้
สามารถอ่านและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดหรือคำพูดออกมาเป็นตัวหนังสือ นับตั้งแต่เริ่มมี การสอนหนังสือ
ไทยจนถึงปัจจุบัน ได้กล่าวถึง การอ่านแบบแจกลูกสะกดคำ ดังนี้ คือการสอนที่ถือว่าคำ ประกอบด้วยรูปและ
13
เสียงของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด ฯลฯ เวลาสอนอ่านแทนที่จะอ่านเป็น คำ ๆ มีความหมายเลยที่
เดียว ก็ต้องไล่พยัญชนะสระ ฯลฯ ให้ออกเสียงได้ถูกต้องเป็นคำ ๆ อีกทีหนึ่ง เป็นการช่วยให้อ่านคำได้ เพราะ
ผูอ้ ่านรจู้ ัก พยัญชนะ สระ ตัวสะกด แล้วชว่ ยพาไป เชน่ จาน นกั เรยี นสะกดคำวา่
จอ -า - จา - จา - นอ - จาน
หรือ จ -า - น - จาน
บ้าน นักเรยี นสะกดคำวา่ บ -า - บา บา - น - บาน
หรือ บาน - ้ - บ้าน
วิธีนี้ช่วยให้เด็กรู้จักหลักเกณฑ์ของการเรียงลำดับตัวอักษรภายในคำหนึ่งๆ เพื่อจะได้ออก
เสยี งไดช้ ดั เจน และเขียนคำนน้ั ได้ถกู ตอ้ ง
กรมวิชาการ (2546 : 133 - 134) ได้อธิบายการอ่านแจกลูกและการสะกดคำเป็น
กระบวนการขั้นพื้นฐานของการนำเสียงพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์และตัวสะกด มาประสมเสียงกัน ทำให้
ออกเสยี งคำต่างๆ ท่มี คี วามหมายในภาษาไทย การแจกลูกและสะกดคำบางคร้งั รวมเรียกว่าการ แจกลูกสะกด
คำจะดำเนินไปด้วยกันอย่างประสมกลมกลืน เพื่อให้นกั เรยี นไดห้ ลักเกณฑ์ทางภาษาทัง้ การ อา่ นและการเขียน
ไปพร้อมกัน และยังได้กล่าวถึงความสำคัญของการแจกลูกสะกดคำ เป็นเรื่องที่จำเป็น มากสำหรับผู้เริ่มเรียน
หากครูไม่ได้สอนการแจกลูกสะกดคำแก่นักเรียนในระยะ เริ่มเรียนการอ่าน นักเรียนจะขาดหลักเกณฑ์การ
ประสมคำ ทำให้เมื่ออ่านหนังสือมากขึ้นจะสับสน อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือผิดซึ่งเป็นปัญหามากของ
เด็กนักเรียนไทยในปัจจุบัน ผลจากการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ย่อม ส่งผลกระทบต่อการเรียนวิชาอื่นๆ ด้วย
การอ่านเป็นสิ่งท่ีมีความสำคัญต่อทุกคนท่ีจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำไปใชช้ ีวิตประจำวนั สมควร
น้อยเสนา (2549 : 21 - 22) ได้สรุปความสำคัญของการอ่าน ดังนี้ ความสำคัญของการอ่านจะ เป็นสิ่งที่ช่วย
มนุษยด์ ำรงชวี ติ อยใู่ นสังคมได้อยา่ งมคี วามสขุ นน้ั มี 4 ประการ คือ
1. ชว่ ยในการเรยี นรู้
2. เสรมิ สร้างประสบการณใ์ หมๆ่
3. ช่วยให้เกดิ ความเพลิดเพลนิ
4. องค์ประกอบพน้ื ฐาน
ผู้อ่านจะประสบความสำเร็จทางการอ่านมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้ วุฒิภาวะ อายุ เพศ ประสบการณ์
สมรรถวิสยั ความบกพร่องทางรา่ งกาย และการจงู ใจ
4. การเขียน
การสอนเขียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีทักษะในการเขียน เขียน ได้
ถูกต้องสวยงาม สื่อความหมายได้ สามารถคิดลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกบั เร่ืองที่เขียน มีนิสัยที่ดีในการ เขียน รัก
การเขยี นและนำการเขยี นไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจำวนั
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2550 : ภาคผนวก 2/8) ได้ให้ความหมายการเขียน ว่า
หมายถึง การสอื่ สารดว้ ยตวั อกั ษรเพ่ือถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สกึ ประสบการณ์ ข่าวสารและ
จติ นาการ โดยการใชภ้ าษาทีถ่ ูกตอ้ งเหมาะสมตามหลักการใชภ้ าษาและตรงตามเจตนาของ ผเู้ ขียน
วรรณี โสมประยูร (2544 : 139) ให้ความหมายของการเขียนว่าเป็นเคร่ืองมือการ ถา่ ยทอดความรู้สึก
นึกคิดและความต้องการของบุคคลออกมาเป็นสัญลักษณ์หรือตัวอักษร เพื่อสื่อ ความหมายให้ผู้อืน่ ได้เขา้ ใจได้
เพราะการเขียนเป็นทักษะการส่งออกตามหลักของภาษาศิลป์จาก ความหมายของการเขียนดังกล่าว ทำให้
มองเห็นความสำคัญของการเขยี นว่ามีความจำเป็นอย่างยง่ิ ต่อการสือ่ สารในชีวิตประจำวนั เชน่ นกั เรียนใช้การ
เขียนบันทึกความรู้ ทำแบบฝึกหัดและตอบข้อสอบ บุคคลทั่วไปใช้การเขียนเพื่อเขียนจดหมาย ทำสัญญา
14
พินยั กรรม การค้ำประกนั เปน็ ตน้
การสะกดคำเป็นสาขาหน่ึงของการเขยี นและเป็นทักษะที่สำคัญทางภาษาท่ีมีอิทธิพล ต่อการใช้ภาษา
ของมนษุ ยซ์ ึง่
ไพทูลย์ มลู ดี (2546 : 25) ได้อธิบายความหมายของการเขียนสะกดคำคือ การจัดเรียงพยัญชนะ สระ
วรรณยุกต์ ให้เป็นคำที่มีความหมาย และถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราช บัณฑิตสถาน และสามารถนำคำ
ดงั กลา่ วไปใชใ้ นการส่อื สารในชีวิตประจำวันได้
นงเยาว์ เลี่ยมขุนทด (2547 : 22) ได้ให้ความหมายของการเขียน คือกระบวนการคิด ที่ถ่ายทอด
ออกมาเปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษรและถกู ต้องตามหลกั เกณฑ์ทางภาษาสามารถส่อื สารกันได้
การเขียนสะกดคำมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และความเป็นอยู่ของ บุคคลในปัจจุบัน
เพราะการเขยี นสะกดคำที่ถูกจะชว่ ยใหผ้ ู้เขยี น อ่านและเขยี นหนังสือไดถ้ ูกต้อง สื่อ ความหมายไดแ้ จม่ ชัดและมี
ความมั่นใจในการเขียนทำให้ผลงานที่เขียนมีคุณค่าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยัง อาจจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพ
การศึกษาของบุคคลนน้ั อกี ดว้ ย
4.1 ปัญหาของการเขียน
การเขียนสะกดคำ เป็นปัญหาที่สำคัญของนักเรียนและครูสอนภาษาไทยเป็นอย่างมาก และ
จากการศกึ ษาพบวา่ สาเหตขุ องการเขยี นสะกดคำผิดดังนี้
กรรณิการ์ พวงเกษม (2533 : 31-33) ได้อธิบายถึงปัญหาในการสอนเขียน มีหลายลักษณะ
ดงั น้ี
1. การเขยี นพยัญชนะ สระและคำไม่ได้ มกั เปน็ นักเรียนท่ีเร่ิมตน้ เรยี นได้แก่ ช้นั ประถมศึกษา
ปที 4ี่
2. การสะกดคำผิด เช่น วางวรรณยุกต์ไม่ถูกที่ คำพ้องเสียง เขียนคำที่ใช้ ตัวสะกดไม่ตรง
มาตราตัวสะกดผิด เขียนคำที่มีตัวการนั ต์ผดิ คำที่สระเสียงส้ันและเสียงยาวเขียนสลับกัน เขียนคำควบกล้ำผดิ
เขียนพยญั ชนะบางตวั ในคำเบยี ดกนั บางตัวห่างออกไป และเขียนคำที่มาจาก ภาษาต่างประเทศผดิ
3. เว้นวรรคตอนย่อหนา้ ไมถ่ กู ต้อง
4. ใช้คำไม่เหมาะสม นำภาษาพูดมาใช้เปน็ ภาษาเขียน
5. เขยี นคำทีใ่ ชอ้ กั ษรย่อไมถ่ กู ตอ้ ง
6. ลำดับความคดิ ในการเขียนไม่ได้
7. ลายมอื อา่ นยาก
8. ไม่มคี วามคดิ ในการเขียน
จากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาที่สำคัญของการเขียนสะกดคำผิดขึ้นอยู่กับ
ครูผู้สอนตวั นกั เรียนเองและวธิ ีการสอนของครู ดังน้ันผูท้ ี่เกี่ยวข้องจึงควรตระหนกั ถงึ ปัญหาเหล่านัน้ เป็นสำคัญ
เชน (Shane. 1961 : 71) ให้ความเห็นว่าสาเหตุการเขียนสะกดคำผิด มีปัญหา หลายทาง
และแบ่งได้เป็น 2 สาเหตุ คือ ปัญหาโดยทั่วไป ซึ่งเกี่ยวกับนักเรยี นไม่พัฒนาความสามารถ ของตนเอง มีความ
สนใจน้อยและปัญหาเฉพาะบุคคลนั้นเกี่ยวกับความบกพร่องทางสายตา ความสามารถในการอ่านออกเสียง
ความสามารถทางสมอง และใชภ้ าษา 2 ภาษาในขณะเดยี วกนั
พิทซ์เจรัลด์ (Fitzgerald. 1964 : 245) กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้นักเรียนมีปัญหา ในการเขียน
สะกดคำผดิ ว่า มีสาเหตมุ าจากนกั เรยี นไม่สนใจตอ่ การสะกดคำและวธิ สี อนของครูไมม่ ี ประสทิ ธภิ าพ เชน่ ครไู ม่
เตรียมการสอน นักเรยี นไม่ได้รบั การสอนสะกดคำทถี่ ูกต้อง ไม่รวู้ ิธกี ารสะกดคำ
จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยเกี่ยวกับการเขียนสะกดคำผิดเกิดจากหลายสาเหตุ สรุปได้ ดังน้ี
15
1. ความบกพร่องจากสภาพร่างกายของนักเรียน เช่น สุขภาพไม่สมบูรณ์ มีความ บกพร่อง
ด้านการไดย้ ิน การพดู และสายตา
2. นักเรยี นขาดการสังเกต ไมพ่ ิจารณาถงึ หลกั เกณฑ์การเขียนใหร้ อบคอบ
3. นกั เรยี นพบเหน็ คำที่เขยี นผดิ บอ่ ยจากสื่อมวลชนต่าง ๆ
4. วุฒภิ าวะและสมองของนักเรยี น
5. นกั เรียนเขยี นสะกดคำโดยเทยี บเสยี งกับภาษาถิ่น ทำใหเ้ ขียนสะกดผดิ
6. นกั เรียนไมร่ หู้ ลกั ภาษาไทย ไมท่ ราบความหมายของคำ
7. ครขู าดความเอาใจใส่ในการตรวจงานเขยี นของนักเรียน เมื่อพบคำผิดไมแ่ กไ้ ขให้
8. ครูไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการสอนให้นักเรียนเขียนสะกดคำ จึงทำให้นักเรียน ไม่ได้
รับแรงจูงใจในการฝึกเขียนสะกดคำ
4.2 ความสำคัญของการสอนเขยี น
การเขียนนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการสื่อความหมาย อย่างหนึ่งของมนุษย์ สามารถ
ตรวจสอบได้และคงทนถาวร ซง่ึ มนี กั การศึกษาได้ให้ความสำคัญของการเขียนไว้ดังนี้ เรวดี อาษานาม (2537 :
151) ได้สรุปความสำคัญของการเขียนไว้ ดังนี้ คือเด็กที่มี ความสามารถในการอ่านและประสบความสำเรจ็ ใน
การเขียนมาก จะมจี นิ ตนาการในการใช้ภาษาได้ดี เพราะได้มโี อกาสเรียนรู้แนวทางการใช้คำต่างๆ จากสำนวน
ภาษาในหนังสือต่างๆที่อ่านพบ โดยปกติครู มักสอนให้เด็กอ่านได้ก่อนจึงให้เขียนคำที่ตนอ่านได้แต่ทักษะใน
การเขียนเป็นทักษะที่สลับซับซ้อนกว่า ทักษะอื่น เด็กจึงจำเป็นต้องมีความพร้อมโดยฝึกทักษะการฟัง การพูด
และการอ่านได้ก่อนแล้วจึงเริ่ม ทักษะการเขียน ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 มุ่งเน้นทักษะพื้นฐานในการ
เขียนและยั่วยุให้เขียนด้วย ความสนุกสนาน ไม่เบื่อโดยจัดกิจกรรมต่างๆ ให้ฝึกจากง่ายไปหายากและให้
สมั พนั ธ์กบั การพูดและอา่ น
4.3 จุดมุ่งหมายของการเขียน
วรรณี โสมประยูร (วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. 2549 : 103 ) ได้อธิบาย จุดมุ่งหมาย การสอน
ภาษาไทย ดงั น้ี
1. เพื่อคัดลายมอื หรือเขียนใหถ้ ูกต้องตามลักษณะตัวอักษรให้เป็นระเบียบชัดเจนหรือ เข้าใจ
งา่ ย 2. เพ่ือเปน็ การฝึกทกั ษะการเขียนใหพ้ ัฒนางอกงามข้นึ ตามควรแกว่ ัย
3. เพือ่ ให้การเขยี นสะกดคำถูกตอ้ งตามอกั ขรวธิ ี เขียนวรรคตอนถกู ต้อง
4. เพือ่ ให้รู้จกั ภาษาเขยี นทดี่ ี มีคุณภาพเหมาะสมกับบคุ คลและโอกาส
5. เพื่อให้สามารถรวบรวมและลำดับความคิด แล้วจดบันทึก สรุปและย่อใจความเรื่องที่อ่าน
หรือฟงั ได้ 6. เพอ่ื ให้สามารถสังเกตจดจำและเลอื กเฟ้นถ้อยคำหรือสำนวนโวหารให้ถกู ต้อง
7. เพื่อให้มที ักษะการเขยี นประเภทต่างๆ
8. เพ่ือเป็นการใช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์
9. เพื่อให้เห็นความสำคัญและคุณค่าของการเขียนว่ามีประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ
การศกึ ษาหา ความรูแ้ ละอนื่ ๆ
5. แบบฝกึ ทักษะ
5.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝกึ ทักษะ
สวุ ิทย์ มลู คำ และสุนนั ทา สนุ ทรประเสรฐิ (2550 : 53) ได้สรุปความสำคญั ของ แบบฝกึ ทักษะว่าแบบ
ฝกึ ทักษะมีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อย ในการท่ีจะช่วยส่งเสริมสร้างทักษะให้กบั ผ้เู รยี นไดเ้ กิดการเรียนรู้และ
เข้าใจได้เรว็ ขนึ้ ชัดเจนขน้ึ กว้างขวางขน้ึ ทำให้การสอนของครแู ละการ เรียนของนักเรยี นประสบผลสำเร็จอย่าง
16
มีประสทิ ธิภาพ
ไพทูลย์ มูลดี (2546 : 48) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทกั ษะ คือชุดฝึกการเรียนรู้ ที่ครูสร้างขึ้นให้
นกั เรียนได้ทบทวนเนอ้ื หาทีเ่ รยี นรมู้ าแล้วเพ่ือสร้างความรู้ความเขา้ ใจ และช่วยเพม่ิ ทักษะ ความชำนาญและฝึก
กระบวนการคิดให้มากขึ้น ทั้งยังมีประโยชน์ในการลดภาระการสอนให้กับครู อีกทั้งพัฒนาความสามารถของ
ผเู้ รยี น และทำให้ผู้เรียนสามารถมองเหน็ ความก้าวหนา้ จากผลการเรียนรู้ของ ตนเองได้
คมขำ แสนกล้า (2547 : 32) ได้สรุปความสำคัญของแบบฝึกว่า แบบฝึกทักษะ เป็นส่วนสำคญั ในการ
เรียนการสอน เพราะถ้าขาดแบบฝึกทักษะเพื่อใช้ในการฝึกฝนทักษะความรู้ต่างๆ หลังจากเรียนไปแล้ว เด็กก็
อาจจะลืมเลือนความรู้ท่ีเรยี นไปได้ ซึ่งอาจส่งผลใหน้ ักเรยี นไมม่ ีประสทิ ธภิ าพ เทา่ ท่ีควร
ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 75) ได้สรุปถึงความหมายของแบบฝึกทักษะ คือ งาน กิจกรรมหรือ
ประสบการณ์ที่ครูจัดให้นักเรียนได้ฝึกหัดกระทำ เพื่อทบทวนฝึกฝนเน้ือหาความรู้ต่างๆ ท่ี ได้เรียนไปแล้วให้
เกดิ ความจำ จนสามารถปฏบิ ตั ิไดด้ ้วยความชำนาญ และใหผ้ ูเ้ รียนสามารถนำไปใชใ้ น ชีวติ ประจำวนั ได้
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 40) ได้สรุปความหมายและความสำคัญของแบบฝึกได้ว่า แบบ ฝึก คือ
แบบฝึกหดั หรือชุดฝกึ ที่ครจู ดั ใหน้ กั เรียน เพื่อใหม้ ีทักษะเพ่ิมขึ้นหลังจากท่ีได้เรียนรเู้ ร่ืองนั้นๆ มา บ้างแล้ว โดย
แบบฝึกต้องมีทศิ ทางตรงตามจดุ ประสงค์ ประกอบกจิ กรรมทน่ี า่ สนใจและสนกุ สนาน
อกนษิ ฐ์ กรไกร (2549 : 18) ได้สรปุ ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้วา่ แบบฝกึ -ทักษะ หมายถงึ สื่อท่ี
สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างทักษะให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดที่มีกิจกรรมให้ นักเรียนทำโดยมีการ
ทบทวนสิ่งที่เรียนผ่านมาแล้วจากบทเรียน ให้เกิดความเข้าใจและเป็นการฝึกทักษะ และแก้ไขในจุดบกพร่อง
เพื่อใหน้ กั เรยี นไดม้ คี วามสามารถและศักยภาพยิง่ ขึ้นเข้าใจบทเรยี นดีข้ึน
พินิจ จันทร์ซ้าย (2546 : 90) กล่าวถึงแบบฝึกทักษะว่า หมายถึง งาน กิจกรรม หรือ ประสบการณ์ท่ี
ครูผู้สอนจัดให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติเพื่อทบทวนความรู้ที่เรียนมาแล้วนำมาปรับ ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ผู้วิจัยได้ศึกษาความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะแล้วพอสรุปได้ว่า แบบฝึก ทักษะ
หมายถงึ ชดุ ฝกึ ทกั ษะท่ีครูสร้างข้ึนให้นักเรยี นได้ทบทวนเน้ือหาท่ีเรยี นรู้มาแลว้ เพื่อสร้างความ เข้าใจ และช่วย
เพิ่มทักษะความชำนาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากขึ้น ทำให้ครูทราบความเข้าใจของ นักเรียนที่มีต่อ
บทเรียน ฝึกใหเ้ ดก็ มคี วามเชื่อมน่ั และสามารถประเมนิ ผลของตนเองได้ ทงั้ ยังมีประโยชน์ ชว่ ยลดภาระการสอน
ของครู และยงั ชว่ ยพฒั นาตามความแตกต่าง
5.2 ลกั ษณะของแบบฝกึ ท่ดี ี
แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้แก่ผู้เรียน การสร้างแบบฝึกให้มี
ประสิทธิภาพจึงจำเป็นจะต้องศึกษาองค์ประกอบและลักษณะของแบบฝึก เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับระดับ
ความสามารถของนกั เรยี น
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60 -61) ได้สรุปลักษณะ ของแบบฝึกที่ดี
ควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคล้องกับเนื้อหา
รูปแบบนา่ สนใจ และคำสัง่ ชดั เจน และไดส้ รุปลักษณะของแบบฝึกไวด้ ังน้ี
1. ใชห้ ลกั จติ วิทยา
2. สำนวนภาษาไทย
3. ให้ความหมายตอ่ ชวี ิต
4. คิดได้เร็วและสนุก
5. ปลกุ ความนา่ สนใจ
6. เหมาะสมกับวยั และความสามารถ
17
7. อาจศึกษาได้ดว้ ยตนเอง
และได้แนะนำใหผ้ ู้สรา้ งแบบฝึกให้ยดึ ลักษณะของแบบฝึกไวด้ งั นี้
1. แบบฝกึ หัดที่ดีควรมีความชัดเจนท้ังคำสัง่ และวิธที ำคำส่ังหรือตวั อย่างวิธที ำท่ใี ชไ้ ม่ ควรยาว
เกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนสามารถ ศึกษาด้วย
ตนเองไดถ้ ้าต้องการ
2. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดมุ่งหมายของการฝึกลงทุน น้อย
ใชไ้ ดน้ านๆ และทันสมัยอยู่เสมอ
3. ภาษาและภาพท่ีใชใ้ นแบบฝกึ หดั ควรเหมาะสมกับวัยและพน้ื ฐานความรู้ของผเู้ รยี น
4. แบบฝึกหดั ทด่ี ีควรแยกฝึกเป็นเรื่องๆ แต่ละเร่ืองไม่ควรยาวเกนิ ไปแต่ควรมีกิจกรรม หลาย
รูปแบบ เพื่อเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่ายในการทำ และเพื่อฝึกทักษะใด ทักษะหนึ่งจน
เกดิ ความชำนาญ
5. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีทั้งแบบกำหนดให้โดยเสรี การเลือกใช้คำ ข้อความหรือรูปภาพ ใน
แบบฝึกหัด ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความในใจของนักเรียนเพื่อว่าแบบฝึกหัดที่สร้าง ขึ้นจะได้
กอ่ ให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแกผ่ ู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ ไดเ้ ร็วในการกระทำที่ก่อให้เกิดความพึง
พอใจ
6. แบบฝกึ หัดท่ีดคี วรเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียน ไดศ้ กึ ษาดว้ ยตนเองให้รจู้ ักคน้ ควา้ รวบรวม สิ่งที่พบ
เห็นบ่อยๆ หรือที่ตนเองเคยใช้จะทำให้นักเรยี นสนใจเรื่องนั้นๆ มากยิ่งขึ้นและจะรู้จักความรู้ใน ชีวิตประจำวนั
อย่างถูกต้อง มหี ลักเกณฑแ์ ละมองเห็นวา่ ส่ิงท่ีเขาไดฝ้ กึ ฝนน้ันมคี วามหมายต่อเขาตลอดไป
7. แบบฝึกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความ
แตกต่างกันหลายๆด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและประสบการณ์ ฯลฯ
ฉะนั้นการทำแบบฝึกหัดแต่ละเรื่อง ควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับ ตั้งแต่ง่าย ปานกลางจนถึง ระดับ
ค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้งเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกทำได้ตามความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้เด็ก ทุกคน
ประสบความสำเร็จ ในการทำแบบฝึกหดั
8. แบบฝึกหัดที่ดีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ตั้งแต่หน้าปกไปจนถึงหน้า
สุดท้าย
9. แบบฝึกหัดที่ดีควรได้รับการปรับปรุงไปคู่กับหนังสือแบบเรียนอยู่เสมอและควรใช้ได้ ดีทั้ง
ในและนอกบทเรียน
10. แบบฝึกหัดที่ดีควรเป็นแบบที่สามารถประเมิน และจำแนกความเจริญงอกงามของ เด็ก
ได้ดว้ ย
ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 78) ได้เสนอลักษณะที่ดีของแบบฝึก คือ แบบฝึกที่เรียงลำดับจาก
ง่ายไปหายาก มีรูปภาพประกอบ มีรูปแบบน่าสนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาในการ จัด
กิจกรรมหรือจัดแบบฝึกให้สนุก ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย และ ระดับชั้นของนักเรียน มีคำสั่ง คำชี้แจง สั้น
ชัดเจน เข้าใจง่าย มีตัวอย่างประกอบ มีการจัดกิจกรรม การฝึกที่เร้าความสนใจ และแบบฝึกนั้นควร ทันสมัย
อยเู่ สมอ
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 43) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดี คือ ควรมีความ
หลากหลายรูปแบบ เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย และต้องมีลักษณะที่เร้า ยั่วยุ จูงใจ ได้ให้คิดพิจารณา ได้
ศึกษาค้นคว้าจนเกิดความรู้ ความเข้าใจทักษะ แบบฝึกควรมีภาพดึงดูดความสนใจเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน
ตรงกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ มเี น้อื หาพอเหมาะ
18
ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 20) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกหัดและแบบฝึก ทักษะที่ดีไว้
วา่ ดงั น้ี
1. จดุ ประสงค์
1.1 จดุ ประสงคช์ ดั เจน
1.2 สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะตามสาระการเรียนรู้ และกระบวนการ เรียนรู้ของกลุ่ม
สาระการเรียนรู้
2. เน้ือหา
2.1 ถกู ต้องตามหลักวิชา
2.2 ใช้ภาษาเหมาะสม
2.3 มีคำอธบิ ายและคำส่งั ท่ีชดั เจน งา่ ยต่อการปฏบิ ตั ิตาม
2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นำผู้เรียนสู่การสรุปความคิดรวบยอด และหลักการ
สำคญั ของกลุ่มสาระการเรียนรู้
2.5 เป็นไปตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ และความ แตกต่าง
ระหว่างบุคคล
2.6 มีคำถามและกจิ กรรมท่ที ้าทายส่งเสรมิ ทักษะกระบวนการเรียนร้ขู อง ธรรมชาติวิชา
2.7 มีกลยุทธ์การนำเสนอและการตั้งคำถามที่ชัดเจน น่าสนใจปฏิบัติได้ สามารถให้ข้อมูล
ยอ้ นกลับเพอ่ื ปรับปรงุ การเรียนได้อย่างต่อเน่ือง
ผวู้ จิ ัยพอสรุปลักษณะของแบบฝึกที่ดีได้ว่า แบบฝกึ ท่ีดีและมีประสิทธิภาพ ชว่ ยทำให้นักเรียน
ประสบความสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอยา่ งดี และแบบฝึกที่ดีเปรยี บเสมือนผ้ชู ่วยทสี่ ำคัญของครู ทำ ให้ครู
ลดภาระการสอนลงได้ ทำให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถของตนเพื่อความมั่นใจในการเรียนได้เป็น อย่างดี
ดังนั้นครูยังจำเป็นต้องศึกษาเทคนิควิธีการ ขั้นตอนในการฝึกทักษะต่างๆ มีประสิทธิภาพที่สุดอันส่งผลให้
ผเู้ รยี นมีการพฒั นาทักษะต่างๆ ได้อยา่ งเตม็ ที่และแบบฝึกท่ีดนี ้ันจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ หลายๆด้าน ตรง
ตามเนือ้ หา เหมาะสมกบั วัย เวลา ความสามารถ ความสนใจ และสภาพปัญหาของ ผู้เรียน
5.3 ประโยชนข์ องแบบฝกึ ทักษะ
ไพทลู ย์ มูลดี (2546 : 52) ได้อธบิ ายประโยชน์ของแบบฝึกไวด้ ังนี้ คือ แบบฝึก มีความสำคัญ
และจำเป็นต่อการเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในบทเรียนได้ดี ขึ้นสามารถจดจำ
เนือ้ หาในบทเรียนและคำศัพท์ต่างๆ ไดค้ งทน ทำให้เกดิ ความสนกุ สนานในขณะเรยี น ทราบความก้าวหน้าของ
ตนเอง สามารถนำแบบฝึกมาทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเองได้ นำมาวัดผลการ เรียนหลังจากที่เรียนแล้ว
ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียนและนำไปปรับปรุงแก้ไขได้ ทันท่วงที ซึ่งจะมีผลทำให้ครู
ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายและลดภาระได้มาก และยังให้นักเรียนนำภาษาไป ใช้สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วย วรรณภา ไชย
วรรณ (2549 : 41) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกช่วยในการฝึกหรือ
เสรมิ ทกั ษะทางภาษา การใช้ภาษาของนักเรียนสามารถนำมาฝึกซำ้ ทบทวน บทเรียน และผ้เู รยี นสามารถนำไป
ทบทวนด้วยตนเอง จดจำเนื้อหาได้คงทน มีเจตคติที่ดีต่อการเรียน ภาษาไทย แบบฝึกถือเป็นอุปกรณ์การสอน
อย่างหน่ึงซงึ่ สามารถทดสอบความรู้ วัดผลการเรยี นหรือ ประเมนิ ผลการเรียนก่อนและหลงั เรียนได้เป็นอย่างดี
ทำให้ครูทราบปัญหาข้อบกพร่องของผู้เรียนเฉพาะ จุดได้ นักเรียนทราบความก้าวหน้าของตนเอง ครู
ประหยัดเวลา ค่าใชจ้ ่ายและลดภาระได้มาก
19
ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 21) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัดและ แบบฝึก
ทักษะเป็นสื่อการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ปัญหา และการพัฒนาในการจัดการเรียนรู้ ในหน่วยการ
เรยี นรูแ้ ละสามารถเรียนร้ไู ด้ โดยสรุปได้ดังนี้
1. เปน็ สอ่ื การเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ให้แกผ่ เู้ รยี น
2. ผเู้ รยี นมสี ่ือสำหรบั ฝึกทกั ษะดา้ นการอา่ น การคิด การคิดวิเคราะห์ และการเขียน
3. เป็นสือ่ การเรียนรู้สำหรบั การแกป้ ัญหาในการเรยี นรขู้ องผู้เรียน
4. พัฒนาความรู้ ทกั ษะ และเจตคติดา้ นต่างๆ ของผู้เรียน
จากประโยชน์ของแบบฝึกที่กล่าวมา สรุปได้ว่า แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพช่วยทำให้ นักเรียนประสบ
ผลสำเร็จ ในการฝึกทกั ษะได้เปน็ อย่างดี
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53 - 54) ได้สรุปประโยชน์ ของแบบฝึกทักษะได้
ดังนี้
1. ทำให้เข้าใจบทเรยี นดีขน้ึ เพราะเปน็ เครอ่ื งอำนวยประโยชน์ในการเรียนรู้
2. ทำให้ครูทราบความเขา้ ใจของนกั เรยี นที่มตี อ่ บทเรยี น
3. ฝกึ ใหเ้ ด็กมีความเชื่อม่ันและสามารถประเมนิ ผลของตนเองได้
4. ฝึกให้เด็กทำงานตามลำพัง โดยมคี วามรบั ผิดชอบในงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
5. ชว่ ยลดภาระครู
6. ช่วยให้เด็กฝกึ ฝนไดอ้ ย่างเต็มท่ี
7. ช่วยพัฒนาตามความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล
8. ช่วยเสรมิ ใหท้ กั ษะคงทน ซง่ึ ลักษณะการฝึกเพือ่ ช่วยให้เกดิ ผลดงั กล่าวนั้นไดแ้ ก่
8.1 ฝึกทันทหี ลังจากทเี่ ดก็ ได้เรยี นรู้ในเร่อื งนน้ั ๆ
8.2 ฝึกซำ้ หลายๆคร้งั
8.3 เนน้ เฉพาะในเรอ่ื งท่ีผดิ
9. เปน็ เครอื่ งมือวดั ผลการเรยี นหลังจากจบบทเรยี นในแตล่ ะครัง้
10. ใช้เปน็ แนวทางเพ่ือทบทวนด้วยตนเอง
11. ช่วยให้ครมู องเห็นจดุ เด่นหรือปญั หาต่างๆของเดก็ ไดช้ ัดเจน
12. ประหยัดค่าใช้จ่ายแรงงานและเวลาของครู
ผู้วิจัย ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประโยชน์ของแบบฝึกทักษะแล้ว พอสรุปได้ว่าแบบฝึกมี ความสำคัญ
และจำเป็นต่อการเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น สามารถจดจำ
เนอ้ื หาในบทเรยี นและคำศัพท์ตา่ งๆ ไดค้ งทน ทำให้เกิดความสนุกสนาน ในขณะเรยี น ทราบความกา้ วหน้าของ
ตนเอง และครูมองเหน็ จุดเดน่ หรือปญั หาต่างๆ ของเด็กได้ชัดเจน สามารถนำ แบบฝึกทกั ษะมาทบทวนเน้ือหา
เดิมด้วยตนเอง ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียนและ นำไปปรับปรุงได้ทันท่วงที ซึ่งจะมีผลทำ
ใหค้ รปู ระหยัดเวลา ประหยัดค่าใชจ้ า่ ย
5.4 หลักการสร้างแบบฝึก
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 45) ไดส้ รุปหลกั การสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะดังนี้
1. ความใกล้ชิด คือ ถ้าใช้สิ่งเร้าและการตอบสนองเกดิ ขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันจะสร้าง ความ
พอใจให้กับผู้เรยี น
2. การฝกึ คอื การให้นักเรยี นไดท้ ำซ้ำ ๆ เพอ่ื ชว่ ยสร้างความรู้ ความเข้าใจทีแ่ ม่นยำ
20
3. กฎแห่งผล คือ การที่ผู้เรียนได้ทราบผลการทำงานของตนด้วยการเฉลยคำตอบจะ ช่วยให้
ผู้เรยี นทราบข้อบกพร่องเพือ่ ปรับปรุงแก้ไขและเป็นการสรา้ งความพอใจแก่ผเู้ รียน
4. การจงู ใจ คอื การสรา้ งแบบฝึกเรยี งลำดับ จากแบบฝึกง่ายและส้ันไปสแู่ บบฝกึ เรื่อง ที่ยาก
และยาวข้นึ ควรมีภาพประกอบและมีหลายรส หลายรปู แบบ
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 54 - 55) ได้สรุปหลักในการ สร้างแบบ
ฝึกว่าต้องมีการกำหนดเงื่อนไขที่จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนสามารถผ่านลำดับขั้นตอนของทุก หน่วยการเรียนได้
ถ้านักเรียนได้เรียนตามอัตราการเรียนของตนก็จะทำใหน้ ักเรยี นประสบความสำเร็จ มากข้ึน
5.5 ส่วนประกอบของแบบฝกึ
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 61 - 62) ได้กำหนด ส่วนประกอบของ
แบบฝึกทกั ษะไดด้ งั น้ี
1. คู่มือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสำคัญประกอบการใช้แบบฝึก ว่าใช้ เพื่ออะไรและมีวิธีใช้อย่างไร
เช่น ใช้เป็นงานฝึกทา้ ยบทเรียน ใชเ้ ปน็ การบ้าน หรือใชส้ อนซอ่ มเสรมิ ประกอบดว้ ย
1.1 ส่วนประกอบของแบบฝึก จะระบุว่าในแบบฝึกชุดนี้ มีแบบฝึกทั้งหมดกี่ชุด อะไรบ้าง
และมีสว่ นประกอบอน่ื ๆ หรอื ไม่ เชน่ แบบทดสอบ หรอื แบบบนั ทกึ ผลการประเมนิ
1.2 สิ่งที่ครูหรือนักเรียนต้องเตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครูหรือนักเรียน เตรียมตัวให้
พรอ้ มลว่ งหนา้ กอ่ นเรยี น
1.3 จุดประสงค์ในการใชแ้ บบฝึก
1.4 ขั้นตอนในการใช้ บอกข้อตามลำดับการใช้ และอาจเขียนในรูปแบบของแนว การสอน
หรือแผนการสอนจะชดั เจนยิง่ ข้นึ
1.5 เฉลยแบบฝกึ ในแต่ละชุด
2. แบบฝึก เป็นสื่อที่สรา้ งขึ้นเพื่อให้ผูเ้ รยี นฝึกทักษะ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ที่ถาวรควรมีองค์ประกอบ
ดังน้ี
2.1ช่ือชดุ ฝกึ ในแต่ละชดุ ย่อย
2.2จุดประสงค์
2.3คำสั่ง
2.4ตวั อยา่ ง
2.5ชดุ ฝกึ
2.6 ภาพประกอบ
2.7ข้อทดสอบก่อนและหลงั เรียน
2.8แบบประเมนิ บันทกึ ผลการใช้
5.6 รปู แบบการสร้างแบบฝกึ
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 62 - 64) ได้เสนอแนะรูปแบบ การสร้าง
แบบฝกึ โดยอธิบายวา่ การสร้างแบบฝึกรูปแบบก็เป็นส่ิงสำคญั ในการที่จะจูงใจให้ผู้เรียนได้ ทดลองปฏิบัติแบบ
ฝึกจึงควรมีรูปแบบที่หลากหลาย มิใช่ใช้แบบเดียวจะเกิดความจำเจน่าเบื่อหน่าย ไม่ ท้าทายให้อยากรู้อยาก
ลองจึงขอเสนอรูปแบบที่เป็นหลักใหญ่ไว้ก่อน ส่วนผู้สร้างจะนำไปประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบอื่นๆ ก็
แล้วแตเ่ ทคนคิ ของแตล่ ะคน ซึง่ จะเรยี งลำดบั จากง่ายไปหายาก ดงั นี้
1. แบบถูกผิด เป็นแบบฝึกที่เป็นประโยคบอกเล่า ให้ผู้เรียนอ่านแล้วใส่เครื่องหมายถูก หรือ
ผิดตามดุลยพนิ จิ ของผเู้ รียน
21
2. แบบจับคู่ เป็นแบบฝึกที่ประกอบด้วยตัวคำถามหรือตัวปัญหา ซึ่งเป็นตัวยืนไว้ใน สดมภ์
ซ้ายมือ โดยมีที่ว่างไว้หน้าข้อเพื่อให้ผู้เรียนเลือกหาคำตอบที่กำหนดไว้ในสดมภ์ขวามือมาจับคู่กับ คำถามให้
สอดคล้องกัน โดยใชห้ มายเลขหรอื รหัสคำตอบไปวางไว้ท่วี ่างหนา้ ขอ้ ความหรอื จะใชก้ ารโยง เส้นกไ็ ด้
3. แบบเตมิ คำหรือเติมข้อความ เปน็ แบบฝกึ ท่ีมีข้อความไว้ให้ แตจ่ ะเว้นชอ่ งว่างไว้ให้ ผู้เรียน
เติมคำหรือข้อความที่ขาดหายไป ซึ่งคำหรือข้อความทีน่ ำมาเติมอาจให้เติมอย่างอิสระหรือกำหนด ตัวเลือกให้
เติมก็ได้
4. แบบหมายตัวเลือก เป็นแบบฝึกเชิงแบบทดสอบ โดยจะมี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็น คำถาม
ซึง่ จะต้องเปน็ ประโยคคำถามที่สมบูรณ์ ชดั เจนไมค่ ลุมเครือ สว่ นที่ 2 เปน็ ตวั เลอื ก คอื คำตอบซ่ึง อาจจะมี 3-5
ตวั เลอื กกไ็ ด้ ตวั เลอื กท้ังหมดจะมตี ัวเลือกที่ถูกที่สุดเพยี งตวั เลอื กเดียวสว่ นท่ีเหลือเปน็ ตัว ลวง
5. แบบอัตนัย คือความเรียงเป็นแบบฝกึ ทีต่ วั คำถาม ผู้เรียนต้องเขียนบรรยายตอบ อย่างเสรี
ตามความรู้ความสามารถ โดยไม่จำกดั คำตอบ แตก่ ำจดั คำตอบ แตจ่ ำกัดในเรอื่ งเวลา อาจใช้ คำถามในรูปทั่วๆ
ไป หรือเปน็ คำสัง่ ใหเ้ ขียนเร่ืองราวต่างๆ กไ็ ด้
5.7 ขัน้ ตอนการสรา้ งแบบฝึก
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 65) ได้เสนอแนะการสร้างแบบ ฝึกว่า
ขนั้ ตอนการสร้างแบบฝกึ จะคลา้ ยคลึงกับการสรา้ งนวัตกรรมทางการศกึ ษาประเภทอนื่ ๆ ซงึ่ มี รายละเอยี ด
ดงั นี้
1. วิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น - ปัญหาที่เกิดขึ้น
ในขณะทำการสอน - ปัญหาการผ่านจุดประสงค์ของนักเรียน - ผลจากการสังเกตพฤติกรรมที่ไม่พึง
ประสงค์ - ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
2. ศึกษารายละเอียดในหลกั สูตร เพอื่ วเิ คราะหเ์ นื้อหา จุดประสงคแ์ ละกิจกรรม
3. พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อ 1 โดยการสร้างแบบฝึก และเลือก เนื้อหาใน
สว่ นทจ่ี ะสรา้ งแบบฝกึ น้ัน ว่าจะทำเร่อื งใดบา้ ง กำหนดเป็นโครงเรื่องไว้
4. ศึกษารปู แบบของการสรา้ งแบบฝึกจากเอกสารตวั อย่าง
5. ออกแบบชุดฝกึ แตล่ ะชุดใหม้ ีรปู แบบท่หี ลากหลายน่าสนใจ
6. ลงมือสร้างแบบฝึกในแต่ละชุด พร้อมทั้งข้อทดสอบก่อนและหลังเรียนให้สอดคล้อง กับ
เนื้อหาและจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
7. สง่ ใหผ้ ู้เช่ยี วชาญตรวจสอบ
8. นำไปทดลองใช้ แลว้ บนั ทึกผลเพ่ือนำมาปรับปรุงแกไ้ ขสว่ นที่บกพร่อง
9. ปรบั ปรุงจนมีประสทิ ธิภาพตามเกณฑท์ ตี่ ง้ั ไว้
10. นำไปใช้จริงและเผยแพร่ต่อไป
ถวัลย์ มาศจรสั และคณะ (2550 : 21) ไดอ้ ธิบายขั้นตอนการสรา้ งแบบฝึกทกั ษะ ดงั น้ี
1. ศกึ ษาเนื้อหาสาระสำหรบั การจดั ทำแบบฝกึ หัด แบบฝึกทักษะ
2. วเิ คราะหเ์ นอื้ หาสาระโดยละเอียดเพือ่ กำหนดจุดประสงค์ในการจัดทำ
3. ออกแบบการจัดทำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะตามจุดประสงค์
4. สรา้ งแบบฝกึ หัด และแบบฝกึ ทักษะและส่วนประกอบอนื่ ๆ เชน่
4.1 แบบทดสอบก่อนฝึก
4.2 บตั รคำสงั่
4.3 ข้นั ตอนกิจกรรมทผ่ี ูเ้ รียนตอ้ งปฏบิ ตั ิ
22
4.4 แบบทดสอบหลงั ฝึก
5. นำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะไปใช้ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
6. ปรบั ปรงุ พัฒนาให้สมบรู ณ์
5.8 แนวคดิ หลักการทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับแบบฝึกทักษะ
อกนษิ ฐ์ กรไกร (2549 : 17) ไดด้ ำเนนิ การสรา้ งแบบฝึกทักษะ ยดึ หลักให้นักเรยี น ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง
ตามศกั ยภาพของแต่ละบคุ คล ในความคาดหวัง ตอ้ งการให้เด็กทใ่ี ชแ้ บบฝึกทกั ษะมี พฤตกิ รรม ดังนี้
1. Active Responding ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนอยา่ งกระฉับกระเฉง ไม่ว่า จะเป็นคิดในใจ
หรือแสดงออกมาด้วยการพูดหรอื เขียน นักเรียนอาจเขยี นรูปภาพเติมคำแตง่ ประโยคหรือ หาคำตอบในใจ
2. Minimal Error ในการเรียนแต่ละครั้งเราหวังว่า นักเรียนจะตอบคำถามได้ถูกต้อง เสมอ แต่ใน
กรณีทน่ี ักเรียนตอบคำถามผดิ นักเรยี นควรมโี อกาสฝึกฝนและเรียนรู้ในสิ่งท่เี ขาทำผิดเพื่อ ไปสู่คำตอบที่ถูกต้อง
ต่อไป
3. Knowledge of Results เมื่อนักเรียนสามารถตอบถูกต้องเขาควรได้รบั เสริมแรง ถ้านักเรียนตอบ
ผิดเขาควรได้รับการชี้แจง และให้โอกาสที่จะแก้ไขให้ถูกต้องเช่นเดียวกับประสบการณ์ที่ เป็นความสำเร็จ
สำหรบั มนุษย์แลว้ เพยี งไดร้ ู้วา่ ทำอะไรสำเร็จก็ถอื เปน็ การเสรมิ แรงในตัวเอง
4. Small Step การเรียนจะตอ้ งเปิดโอกาสให้นักเรียนไดเ้ รียนรูไ้ ปทีละน้อยดว้ ยตนเอง โดยให้ความรู้
ตามลำดับขั้นและเปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนใคร่ครวญตามซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเรยี นรูข้ องเด็ก อย่างมาก แม้ที่เรียน
อ่อนกจ็ ะสามารถเรียนได้
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 54 - 55) ได้อธิบายแนวคิด และหลักการสร้าง
แบบฝึกว่า การศึกษาในเรื่องจิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่ผู้สร้างแบบฝึกมิควรละเลย เพราะการเรียนรู้จะ
เกิดขนึ้ ได้ตอ้ งข้นึ อยู่กับปรากฏ การณข์ องจิตและพฤติกรรมท่ีตอบสนอง นานาประการ โดยอาศัยกระบวนการ
ที่เหมาะสมและเป็นวิธีที่ดีที่สุด การศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้จาก ข้อมูลที่นักจิตวิทยาได้ทำการค้นพบ และ
ทดลองไวแ้ ล้ว สำหรบั การสรา้ งแบบฝกึ ในสว่ นที่มีความสัมพันธก์ ันดงั นี้
1. ทฤษฎกี ารลองถกู ลองผิดของธอรน์ ไดค์ ซง่ึ ได้สรปุ เป็นกฎเกณฑ์ การเรียนรู้ 3 ประการ คือ
1.1 กฎความพร้อม หมายถึง การเรยี นรจู้ ะเกิดข้ึนเมอ่ื บุคคลพร้อมท่จี ะกระทำ
1.2 กฎผลทีไ่ ดร้ บั หมายถึง การเรยี นรูท้ ีเ่ กิดขน้ึ เพราะบุคคลกระทำซ้ำงา่ ย
1.3 กฎการฝึกหัด หมายถึง การฝึกหัดให้บุคคลทำกิจกรรมต่างๆ นั้น ผู้ฝึกจะต้อง ควบคุม
และจัดสภาพการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตนเอง บุคคลจะถูกกำหนดลักษณะพฤติกรรม ที่
แสดงออก ดังนน้ั ผสู้ รา้ งแบบฝึกจึงจะตอ้ งกำหนดกจิ กรรมตลอดจนคำสง่ั ตา่ งๆ ใบแบบฝกึ ใหผ้ ฝู้ กึ ได้แสดง
พฤตกิ รรมสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคท์ ผ่ี ู้สร้างต้องการ
2. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ ซึ่งมีความเชื่อว่า สามารถควบคุมบุคคลให้ทำ ตามความ
ประสงคห์ รอื แนวทางที่กำหนดโดยไม่ต้องคำนึงถึงความร้สู ึกทางดา้ นจิตใจของบุคคลผู้นนั้ วา่ จะ รู้สึกนึกคิด
อย่างไร เขาจึงได้ทดลองและสรุปว่าบุคคลสามารถเรียนรู้ด้วยการกระทำโดยมีการเสริมแรง เป็นตัวการ
เป็นบุคคลตอบสนองการเร้าของสิง่ เร้าควบคู่กนั ในช่วงเวลาที่เหมาะสม สิ่งเร้านั้นจะรกั ษา ระดับหรือเพ่ิม
การตอบสนองให้เขม้ ขน้ึ
3. วิธกี ารสอนของกาเย่ ซ่ึงมีความเห็นว่าการเรยี นรู้มีลำดับขัน้ และผู้เรียนจะต้อง เรียนรู้เน้ือหาที่ง่าย
ไปหายาก การสรา้ งแบบฝึก จงึ ควรคำนึงถงึ การฝึกตามลำดับจากง่ายไปหายาก
4. แนวคิดของบลูม ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกัน ผู้เรียนสามารถ
เรียนรู้เน้อื หาในหนว่ ยย่อยตา่ งๆ ได้โดยใช้เวลาเรียนทแี่ ตกต่างกัน
23
6. งานวจิ ัยที่เก่ยี วขอ้ ง
6 .1 งานวิจยั ในประเทศ
มะลิ อาจวิชัย (2540 : บทคัดย่อ) ได้ทำการพัฒนาแบบฝึกภาษาไทย เรื่อง การเขียน สะกด
คำไม่ตรงมาตราตัวสะกด แม่กน แม่กด แม่กบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการทดลองพบว่า แบบฝึกทักษะ
ภาษาไทยมีประสิทธิภาพ 84.02/80.26 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียน อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .01
พนมวัน วรดลย์ (2542 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน
87.74/82.11 และมีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนสงู ขึน้ อย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01
บรรจง จันทร์พันธ์ (2548 : 94-100) ได้พัฒนาแผนการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะ ภาษาไทย
เรื่องการสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน
การศึกษาค้นคว้า คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโพธิ์งาม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ร้อยเอ็ด เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2546 จำนวน 26 คนผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการเรียนรู้
และแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรอื่ งการสะกดคำไมต่ รงตาม มาตราตวั สะกด สำหรบั นกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี
3 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.98/82.75 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้และมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากบั
0.692 ซึ่งหมายความว่านักเรียนมีความรู้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.92 และนักเรียนมีความพอใจต่อแผนการเรียนรู้
และแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง การสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด โดยรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง
วิเศษ แปวไธสง (2547 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้และ แบบฝึก
ทักษะประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษา เรื่อง ลูกอ๊อดหาแม่
ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรยี นสามคั คีครุ รุ าษฎรบ์ ำรงุ สำนกั งานเขตพ้นื ที่ การศกึ ษาบุรรี มั ย์เขต 4 ผลการศึกษา
ค้นคว้าพบว่า แผนการเรียนรู้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80.85/85.05 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตัง้ ไว้ แบบฝึกทักษะมี
คุณภาพอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด มีคะแนน เฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ระดบั .05
ประวณี า เอ็นดู (2547 : บทคดั ยอ่ ) ได้ศกึ ษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรภู้ าษาไทย เร่ือง
การอ่านและการเขียนสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านน้อย จังหวัด
นครราชสีมา ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านและการ
เขียนสะกดคำ โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ มีประสิทธภิ าพ 86.11/83.33
วงศเ์ ดือน มีทรพั ย์ (2547 : บทคดั ยอ่ ) ได้ศกึ ษาการพฒั นาแผนการจดั การเรยี นรู้และ แบบฝึก
ทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ครั้งหนึ่งยังจำได้ เครื่องมือที่ ใช้ใน
การศึกษาค้นคว้าได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะ แบบทดสอบ แบบสอบถามความพึง พอใจ ผล
การศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพ 87.09/85.29 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ แบบฝึก
ทกั ษะมีค่าดัชนีประสทิ ธผิ ลเท่ากบั 0.74 และมคี ะแนนหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรยี นอยา่ ง มีนัยทางสถติ ิที่ระดับ05
นลิ วรรณ อคั ติ (2548 : บทคัดยอ่ ) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจดั การเรียนรู้ กลมุ่ สาระ การ
เรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การผันวรรณยุกต์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน ชุมชนภูแล่นช้าง
คเชนทร์พทิ ยาคาร สำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธ์ุ เขต 3 เครื่องมือทใี่ ช้คอื แผนการจดั การเรียนรู้ แบบ
ฝึกทักษะ แบบทดสอบและแบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการศึกษา ค้นคว้าพบว่า แผนและแบบฝึกทักษะมี
ประสิทธิภาพ 87.85/80.91 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย
แบบฝึกทกั ษะอย่ใู นระดบั มาก
24
ผลการศึกษางานวจิ ัยในประเทศแสดงใหเ้ ห็นความสำคัญของการจดั กิจกรรมการ พัฒนาการ
อ่านและการเขียนสะกดคำ เพราะแบบฝึกทักษะเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้ ทำให้ การจัดกิจกรรม
การเรยี นการสอนประสบความสำเรจ็ ตามจุดมงุ่ หมายของหลกั สูตรอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
6.2 งานวิจยั ต่างประเทศ
การ์เซีย (Garcia. 1998 : 3459-A) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการอ่านเขียนสะกด
คำจากรูปแบบการสอนสะกดคำ 2 รูปแบบ คือ การสอนสะกดคำแบบให้นักเรียนฝึกเองกับการสะกดคำ ตาม
หนงั สอื โดยครแู ตล่ ะกลุ่มจะสอนโดยใช้โปรแกรมการสอนอ่านเหมือนกนั และการสอนเขียนทุกวนั ตามเวลาท่ี
กำหนดไว้ การสอบใช้การสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ผลการศึกษาพบว่า การสอนสะกดคำ แบบให้นักเรยี น
ฝึกเองมีผลดกี ว่าการสอนสะกดคำตามตำราในด้านการอ่านคำศพั ท์และการวเิ คราะห์ คำศัพท์ นักเรียนทั้งสอง
กลุ่มมีความแตกต่างกันในเรื่องจำนวนคำศัพท์ที่ใช้ในระดับที่สูงกว่าประถมหนึ่ง ความยาวของประโยคและ
จำนวนหนว่ ยคำนอกจากนีน้ ักเรียนสะกดคำโดยนักเรียนคิดเอง มกี ารอา่ น ทบทวน การเขียนคำ วเิ คราะห์คำที่
ใช้ ตลอดจนมีการช่วยเหลือหรือซักถามเพื่อน เพื่อช่วยในการสะกด คำบ่อยครั้งมากกว่านักเรียนอีกกลุ่มหน่ึง
และนักเรียนที่เรียนสะกดคำจากตำราใช้พจนานกุ รมบ่อยครง้ั มากกว่านกั เรยี นอกี กลมุ่
เบาชาร์ด (Bouchard. 2002 : Web Site) ได้ศึกษาความรู้เรื่องคำของนักเรียน ช้ัน
ประถมศึกษาปที ่ี 3 จากความผดิ พลาดในการอ่านกับการสะกดคำแมว้ ่าเขามีความพยายามอยา่ งมาก ระหว่าง
ระหว่างการอ่านและการสะกดคำแต่การปฏิบัติงานการอ่านและการสะกดคำของนักเรียนก็ มักจะยังแสดงให้
เหน็ ความแตกต่างอย่างมนี ัยสำคัญในความถูกต้องและความผดิ พลาดของคำ การวจิ ยั ครัง้ น้ีได้ศึกษาการสะกด
คำตามความรู้เรื่องคำเชิงพัฒนาใน 4 ด้าน ผลการวิเคราะห์พบว่าการ ปฏิบัติงานการอ่านของนักเรียนดีกว่า
การปฏิบัติงานการสะกดคำอย่างมีนัยสำคัญและพบว่ามีผลของ รายงานอย่างมีนัยสำคัญต่อระดับความรูเ้ รือ่ ง
ของคำของนักเรียน ความผิดพลาดด้านการอ่านและการ เขียนสะกดคำของนักเรียนต่อไปพบว่า ความ
ผิดพลาดเกี่ยวข้องกับลักษณะทางอักขรวิธีที่เหมือนกันใน ทุกงานในที่สุด จากการศึกษาการให้คะแนน
ผลสัมฤทธิ์ทางการสะกดคำและความรูเ้ รื่องคำของทักษะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของครูพบว่า การให้คะแนนมี
ความสมั พนั ธอ์ ย่างมีนยั สำคัญกับการปฏิบัติจริง ของนักเรยี นในผลสัมฤทธิ์ทางการสะกดคำและความรู้เร่ืองคำ
แต่กย็ ังไมเ่ พียงพอสำหรบั การตดั สินใจใน การสอน
จากการศึกษาค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ทราบว่าความสามารถ ใน
การอ่านและการเขียนของนักเรียน เกิดจากวิธีสอนของครูและสื่อการเรียนการสอนที่ชว่ ยให้นักเรยี น เกิดการ
เรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ผู้รายงานได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและ การเขียนสะกดคำ ให้
นักเรียนได้ฝึกทกั ษะการอา่ นและการเขียนให้มปี ระสิทธิภาพ
25
บทที่ 3
วิธีดำเนนิ การ
การศกึ ษาในคร้ังน้ี ผ้วู ิจัยได้ดำเนนิ การรายงานการพัฒนาทักษะการอา่ นและเขยี นคำ พื้นฐานภาษาไทย โดย
ใช้แบบฝึกทกั ษะสาระภาษาไทย ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งสรุปได้ดังน้ี
1. ประชากร
2. เครอื่ งมือทใ่ี ชใ้ นการวิจัย
3. วิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู
4. สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู
มีรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี
1. ประชากร
1.1 ประชากรท่ใี ช้ในการวิจยั ในคร้งั น้ี ได้แก่ นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ี่4 ภาคเรียนที่ 1 ปี
การศึกษา 2565 โรงเรยี นสฤษดเิ ดช อำเภอเมอื ง สำนกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาจันทบรุ เี ขต1
จำนวน 1 หอ้ งเรียน มนี กั เรยี นทั้งหมด 40 คน
1.2 กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีใช้ในการวิจยั คร้ังน้ี ได้แก่ นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี4 ภาคเรยี นท่ี 1 ปี
การศกึ ษา 2565 โรงเรยี นสฤษดเิ ดช อำเภอเมือง จงั หวัดจนั ทบรุ ี สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศึกษา
จนั ทบุรเี ขต1 จำนวน 20 คนซ่ึงได้มาโดยการเลือกสมุ่ แบบเจาะจง (purposive sampling)
2. เครอื่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั
2.1 แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำพ้ืนฐานภาษาไทย ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4 ทผี่ ู้วจิ ัยสร้างขึ้น
เพื่อใชฝ้ ึกปฏิบตั ิดา้ นการอ่านและการเขียน จำนวน 3 ชดุ
2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างด้านการอา่ นและการเขียนคำพ้ืนฐาน กล่มุ สาระการเรยี นรู้
ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เปน็ แบบทดสอบแบบปรนยั ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จำนวน 30 ขอ้
3. วิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
3.1 ขั้นตอนการสร้างและหาคณุ ภาพของเคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการดำเนนิ การวจิ ัย
3.1.1 การสร้างแบบฝึกเสรมิ ทักษะการอา่ นและเขียนคำพน้ื ฐานภาษาไทยดังน้ี
1. ศึกษาสภาพปัญหาการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรง
เรยี นสฤษดิเดช อำเภอเมือง สำนักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาจันทบุรีเขต 1
2. ศึกษาหลกั สูตร คน้ ควา้ ข้อมลู คมู่ ือการจดั การเรียนรูห้ ลกั สูตรโรงเรียนลำปลาย
มาศ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 เกีย่ วกับการจัดทำ
หน่วยการ เรยี นรู้
3. ศกึ ษาการสร้างแบบฝกึ ทกั ษะการอ่านและเขยี นคำพื้นฐานภาษาไทย กลุ่มสาระ
การเรียนรภู้ าษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 จากเอกสารต่าง ๆ
4. ดำเนินการสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะการอ่านและเขียนคำพ้นื ฐานภาษาไทย สาระการ
เรยี นรภู้ าษาไทย ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 1จำนวน 3 ชุด
5. สรา้ งแบบประเมนิ แบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ กลมุ่ สาระการ
เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 โดยถามครอบคลมุ องค์ประกอบของแบบฝกึ ทักษะ 5
ด้านคือ
26
1) จุดประสงค์
2) เนื้อหา
3) รปู แบบ
4) การใชภ้ าษา
5) การวดั และประเมนิ ผล
6. นำแบบฝึกทักษะไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสฤษดเิ ดช จำนวน 3 คน เพื่อดูเวลาที่ ใช้ ความ
เหมาะสมของแบบฝกึ ทักษะ เร้าความสนใจของนกั เรียน สอดคลอ้ งกับเน้อื หา
7. นำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานภาษาไทยไปปรับปรุงแก้ไขแล้ว นำไท
ดลองกับกลุ่มตัวอยา่ ง คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสฤษดิเดช
อำเภอเมอื ง สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเขต 1 จำนวน 20 คน
3.1.2 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เรอื่ ง การอ่านและการเขยี น
คำพืน้ ฐาน ภาษาไทย ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ ผู้วิจยั ได้ดำเนินการสร้างตามลำดบั ดังน้ี
1. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นแบบอิงเกณฑข์ องบุญชม ศรสี ะอาด (2545 : 89-90)
2. ศึกษาหลักสูตร ค่มู ือการวัดผลและประเมินผลตามหลักสูตรโรงเรียนวัดบ่อมะปริง
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551
3. กำหนดเนื้อหาและกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระ
4. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4
ตัวเลอื ก จำนวน 30 ข้อ
5. นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้น เสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดมิ เพื่อพิจารณา ความเที่ยงตรง
ของเนื้อหา ความเหมาะสมของภาษาที่ใช้ และประเมินความสอดคล้องระหว่าง แบบทดสอบกับจุดประสงค์
การเรียนรู้ โดยมเี กณฑก์ ารให้คะแนน ดังน้ี
ให้คะแนน +1 เมือ่ แน่ใจวา่ ข้อสอบน้ันวัดตรงตามจุดประสงค์
ใหค้ ะแนน 0 เมอื่ ไม่แน่ใจว่า ข้อสอบนน้ั วดั ตรงตามจุดประสงค์
ให้คะแนน -1 เมอื่ แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบนั้นวดั ไมต่ รงตามจดุ ประสงค์
6. นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try-Out) กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนลำปลายมาศ อำเภอลำปลายมาศ
สำนกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษาบรุ รี มั ยเ์ ขต 32 จำนวน 3 คน
3.1.3 การสร้างแบบสอบถามความพงึ พอใจ ของนักเรยี นที่มีตอ่ การพฒั นาทกั ษะการอ่านคำพ้นื ฐาน
ภาษาไทย โดยใช้แบบฝกึ ภาษาไทย สำหรับนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ดำเนนิ การสร้างและหาคุณภาพ
ดังน้ี
1) กำหนดกรอบเนื้อหา แนวคดิ และขอบข่ายโครงสรา้ งของคำถาม เพ่ือจะได้ ครอบคลุม
เนอ้ื หาทุกด้าน
2) นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาสรา้ งแบบประเมนิ มีลักษณะเปน็ มาตราสว่ น ประมาณค่า 5
ระดับ คือ เหมาะสมมากทีส่ ุด เหมาะสมมาก เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อย และเหมาะสมน้อยทีส่ ุด
จำนวน 6 ขอ้
27
3) นำแบบสอบถาม จำนวน 6 ข้อ ที่สร้างข้นึ เสนอต่ออาจารย์ทปี่ รึกษาวิจัย เพ่ือตรวจสอบ
ความถกู ต้องและให้ข้อเสนอแนะ
4) นำแบบสอบถามท่ีปรบั ปรุงแก้ไขแล้ว ให้ผู้เชยี่ วชาญชุดเดมิ ตรวจสอบ ดา้ นเนือ้ หา ความ
ถกู ต้อง และความเหมาะสม โดยใชแ้ บบประเมินทีม่ ลี ักษณะเปน็ มาตราส่วน ประมาณคา่ 5 ระดบั (บญุ ชม ศรี
สะอาด. 2545 : 103) ดังนี้
5 คะแนน หมายถงึ มีความเหมาะสมมากทส่ี ดุ
4 คะแนน หมายถงึ มีความเหมาะสมมาก
3 คะแนน หมายถึง มีความเหมาะสมปานกลาง
2 คะแนน หมายถึง มีความเหมาะสมน้อย
1 คะแนน หมายถงึ มีเหมาะสมนอ้ ยทสี่ ุด
โดยกำหนดเกณฑข์ องค่าเฉลีย่ ตัง้ แต่ 3.50 ขึ้นไป เป็นเกณฑ์ตดั สนิ ผลปรากฏว่า ผา่ นเกณฑ์
ทุกข้อ
3.5) นำแบบสอบถามท่ไี ด้จากการตรวจสอบแก้ไขจากผ้เู ช่ียวชาญ มาปรับปรุงแก้ไข และ
เสนอให้อาจารย์ท่ีปรึกษาวจิ ยั และผู้เช่ยี วชาญชดุ เดิม เพอ่ื พิจารณาและตรวจสอบความถูกต้อง ความสอดกลอ้ ง
ของค าถาม ความเหมาะสมในด้านการใช้ภาษาและการสื่อความหมาย เนือ้ หา ครอบคลุมความคดิ เห็นของ
ผู้เรยี นทม่ี ีตอ่ การการพัฒนาทักษะการอา่ นคำพื้นฐานภาษาไทย
3.6) ปรบั ปรงุ แก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชย่ี วชาญ จดั พมิ พ์เป็นแบบสอบถามความ พึงพอใจ
ของนักเรยี นทม่ี ีต่อการการพัฒนาทักษะการอ่านคำพื้นฐานภาษาไทย โดยใช้แบบฝกึ ทักษะคำพน้ื ฐานภาษาไทย
เปน็ ฉบบั จริง เพื่อเป็นเคร่ืองมือใช้กบั กลุ่มตวั อยา่ งต่อไป
4. สถติ ิที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
4.1 สถิติพน้ื ฐาน
4.1.1รอ้ ยละ (Percentage ) ใช้สูตร P ของบญุ ชม ศรสี ะอาด ( 2545 : 104 )
สูตร = 100
เม่อื แทน รอ้ ยละ
แทน ความถ่ีทีต่ ้องการแปลงใหเ้ ป็นร้อยละ
แทน จำนวนความถี่ท้ังหมด
4.1.2 ค่าเฉล่ยี (Arithmetic Mean) ของคะแนน โดยใช้สูตรของ บุญชม ศรี สะอาด (
2545 : 105 )
สตู ร ̅ =
เม่ือ ̅ แทนค่าเฉลีย่
X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมดในกลมุ่
N แทน จำนวนนกั เรยี น
28
4.1.3 สูตรหาประสทิ ธิภาพของแบบฝึกทักษะตามเกณฑ์ 80/80 (กรมวิชาการ, 2545 :
57-58)
1 = ∑ × 100
เม่อื 1 แทน ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ
∑ แทน ผลรวมคะแนนทุกส่วนท่ีนกั เรยี นทุกคนทำได้
N แทน จำนวนทั้งนกั เรยี นทง้ั หมด
A แทน คะแนนเตม็ ทัง้ หมด
2 = ∑ × 100
เมื่อ 2 แทน คะแนนของนักเรยี นที่ไดจ้ ากการทำแบบทดสอบวัดสัมฤทธิ์หลังการเรยี น
∑ แทน คะแนนรวมของนักรียนจากการทดสอบวัดสมั ฤทธิ์หลังการเรียน
N แทน จำนวนทั้งนักเรียนทัง้ หมด
B แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์การเรยี น
29
บทท่ี4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
รายงานการพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำพน้ื ฐานภาษาไทย โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะสาระ ภาษาไทย
ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4 ในคร้งั นี้ ผู้รายงานไดเ้ สนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลตามลำดับขั้น ดังนี้
1. สญั ลักษณท์ ่ีใช้ในการนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
2. ลำดับขั้นในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
3. ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
1. สัญลกั ษณท์ ใี่ ชใ้ นการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
ผู้รายงานได้กำหนดสญั ลักษณ์ท่ีใชใ้ นการแปลความหมายผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ดงั นี้
N แทน จำนวนกลุ่มเป้าหมาย
̅แทน คะแนนเฉล่ีย
X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด
E1 แทน ประสิทธภิ าพของกระบวนการเรียนการสอน
E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์
2. ลำดับขน้ั ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู
ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู ผรู้ ายงานไดด้ ำเนนิ การตามลำดบั ขัน้ ตอน ดงั นี้
ตอนท่ี 1 วเิ คราะห์หาประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทักษะการอ่านและการเขียนคำพนื้ ฐาน กลุ่มสาระการ
เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80
ตอนที่ 2 การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านการอ่านและการเขียนสะกดคำ ก่อนเรยี นและ
หลงั เรยี น โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ
3.ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู
ตอนท่ี 1 การหาประสิทธิภาพของแบบฝกึ ทกั ษะการอ่านและการเขียนคำพนื้ ฐาน กลุ่มสาระการ
เรียนรู้ ภาษาไทย ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์ 80/80 ปรากฏผลดงั ตารางที่ 1
30
ตารางที่ 4.1 คะแนนเฉล่ยี และรอ้ ยละ เพื่อหาประสทิ ธภิ าพของแบบฝึกทักษะการอ่านและเขยี นคำพน้ื ฐาน
ของนักเรยี นชัน้ ประศึกษาปีที่ 4
จำนวน คะแนนระหวา่ งเรยี น (E1) รวมคะแนน
นักเรยี น ระหว่างเรียน
แบบฝกึ ทักษะที่ 1 แบบฝกึ ทักษะท่ี 2 แบบฝึกทักษะที่ 3
1 (10) (10) (10) 26
8 9 9
28 8.5 9 25.5
3 7.5 8 8.5 24
46 8 9 23
57 7.5 9 23.5
67 8 8 23
7 8.5 8 7 23.5
8 6.5 8 8 22.5
99 7 7 23
10 6 8 8 22
11 8 7 6.5 21.5
12 9 8 7.5 24.5
13 6 8 7.5 21.5
14 5 9 8.5 22.5
15 6 7 7.5 20.5
16 8 7.5 8 23.5
16 7 9 7 23
17 7 7.5 8 22.5
18 8 8.5 7 23.5
19 8 7.5 8 23.5
20 9 8.5 9 26.5
รวม 154.5 182.5 167 489
̅̅ 7.73 9.13 8.35 24.45
รอ้ ยละ 12.88 15.20 13.92 20.8
ประสิทธภิ าพของแบบฝึกทกั ษะ(E1)เทา่ กับ 81.50
จากตารางที่ 4.1 แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำพนื้ ฐานภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปีท่ี 4 จำนวน 3 แบบฝึก มคี ะแนนเฉลยี่ 24.45 คดิ เป็นร้อยละ 81.50 ดงั นนั้ แบบฝึกทักษะทส่ี รา้ งขึ้นมี
ประสิทธภิ าพ(E1)เปน็ ไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ทต่ี ั้งไว้
31
ตารางที่ 4.2 ผลคะแนนประสิทธิภาพผลลัพธ์การเรียนร(ู้ E2) เรอื่ ง การอ่านและเขยี นคำพ้นื ฐานภาษาไทย ของ
นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที 4่ี จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน (คะแนนเต็ม 30 คะแนน)
นักเรยี นคนท่ี คะแนนทดสอบหลังเรียน
1 26
2 25
3 26
4 24
5 24
6 26
7 27
8 24
9 26
10 27
11 28
12 24
13 22
14 23
15 26
16 28
17 24
18 26
19 29
20 28
รวม 539
เฉลีย่ 26.95
รอ้ ยละ 89.93
ประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์(E2) เท่ากบั 89.83
จากตารางท่ี 4.2 พบวา่ นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี4 จำนวน 20 ที่ทำแบบทดสอบหลงั เรียนมี
คะแนนหลงั เรียนโดยเฉลีย่ เท่ากับ 26.95 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน แสดงวา่ แบบทดสอบการอา่ นและเขยี น
คำพื้นฐานภาษาไทยมคี ่าประสิทธิภาพกระบวนการ (E2) เท่ากับ 89.83
32
ตารางท่ี 4.3 ผลสัมฤทธิ์ของค่าประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ (E1) และค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของ
การอ่านและเขียนคำพน้ื ฐานภาษาไทย
ประสทิ ธภิ าพ คะแนนเต็ม วิเคราะห์ผลคะแนน
̅̅ ร้อยละ
ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) 30 24.45 81.5
ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์ (E2) 30 26.95 89.83
จากตารางท่ี 4.3 พบว่านกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 20 คน ทที่ ำแบบฝกึ ทักษะการอ่านและ
เขียนคำพื้นฐานภาษาไทย มีประสิทธิภาพทางการเรียนในระหว่างเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 24.45 คิดเป็น
ร้อยละ 81.5 (E1 = 81.5) แสดงว่า การเรียนเรื่องการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย มีประสิทธิภาพ
กระบวนการ (E1) เท่ากับ 81.5 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน
เรื่องการอ่านและเขยี นคำพื้นฐานภาษาไทย พบว่านักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่4 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากบั 26.95
คิดเป็นร้อยละ 89.83 (E2 = 89.83) แสดงว่าการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะมี ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2)
เท่ากับ 89.83 ดังนั้นการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่4 มี ประสิทธิภาพเท่ากับ 81.5/89.83 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (E1/ E2) ที่กำหนดไว้ตาม
เกณฑข์ า้ งต้นคือ 80/80
ตอนที่ 2 วิเคราะห์หาความแตกต่างระหว่างคะแนนบททดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนผลการวิเคราะห์
ข้อมลู ปรากฎในตารางท่ี 4 ดังนี้
ตางราง4.4 วิเคราะห์หาความแตกตา่ งระหว่างคะแนนบททดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน
จำนวนนกั เรยี นคนท่ี แบบทดสอบกอ่ นเรยี น (30) แบบทดสอบหลังเรียน (30)
1 11 26
2 9 25
3 13 26
4 12 24
5 9 24
6 13 26
7 13 27
8 14 24
9 10 26
10 14 27
11 10 28
12 14 24
13 14 26
14 9 27
15 11 26
16 11 28
17 8 25
33
18 9 22
19 10 29
20 12 28
รวม 371 539
เฉลีย่ 18.55 26.95
ร้อยละ 61.83 89.83
จากตารางที่ 4.4 พบว่านักเรียนชั้นปรพถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 20 คน ทำแบบทดสอบก่อนเรียนมี
คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 18.55 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 61.83 และหลังการทำแบบฝึกทักษะ
สามาทำแบบทดสอบหลงั เรยี นได้ มคี ะแนนเฉล่ีย 26.95 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน คิดเปน็ ร้อยละ 89.83
ตารางท่ี 4.5 ตารางแสดงคะแนนเฉลยี่ และคา่ ร้อยละของคะแนนทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน
คะแนน จำนวน คะแนนเต็ม คะแนนรวม คะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ
นกั เรยี น
ก่อนเรียน 20 30 371 18.55 61.83
หลังเรยี น 20 30 539 26.95 89.83
จากตารางที่ 4.5 พบว่าคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทยจากการ
ทดสอบก่อนเรียนเท่ากบั 18.55 คิดเปน็ ร้อยละ 61.83 ทดสอบหลังเรียน เท่ากบั 26.95 คิดเปน็ รอ้ ยละ 89.83
แสดงใหเ้ หน็ ว่านกั เรยี นมีความก้าวหน้าในการอ่านการเขียนคำในภาษาไทยสงู ข้ึน
34
บทท่ี 5
สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ
การศึกษาในครั้งนี้ ผู้รายงานได้พัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย โดยใช้ แบบฝึก
ทักษะสาระภาษาไทย ของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท4่ี ซึง่ สรปุ ไดด้ ังน้ี
1. วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา
2. ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง
3. เครื่องมอื ท่ใี ชใ้ นการศกึ ษา
4. การดำเนินการศกึ ษา
5. สรุปผลการศึกษา
6. อภปิ รายผล
7. ขอ้ เสนอแนะ
1. วัตถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา
1.1 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอ่านและเขียนคำพื้นฐาน
ภาษาไทย ของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4
1.2 เพอื่ พฒั นาแบบฝึกทกั ษะสาระภาษาไทย ให้มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2.1 ประชากร ที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสฤษดิเดช
อำเภอเมือง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขต 1 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565
จำนวน 20 คน
2.2 กลุ่มตวั อยา่ งท่ใี ชใ้ นการศกึ ษา ไดแ้ ก่ นกั เรียนประศึกษาปีที่ 4 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา
2561 จำนวน 20 คน ซึง่ ได้มาโดยการเลอื กสมุ่ แบบเจาะจง (Purposive Sampling)
3. เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการศึกษา
เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการศกึ ษาคร้งั น้ี ประกอบด้วย
3.1 แบบฝกึ ทกั ษะสาระภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 1 จำนวน 3 แบบฝกึ
3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทยชั้น
ประถมศกึ ษาปีที่ 4 เปน็ แบบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ
4. การดำเนินการศกึ ษา การดำเนินการในครง้ั น้ี กลุ่มตัวอยา่ งทีใ่ ช้ในการศึกษาได้มาจากการเลือกสุ่ม
แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผรู้ ายงานไดเ้ ป็นผดู้ ำเนินการเองโดยมีขนั้ ตอนในการดำเนินการ ดงั นี้
4.1 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านและเขียนคำพื้นฐาน ไปทดสอบ
กอ่ นเรยี น (Pretest) กับนักเรยี น จำนวน 20 คน
4.2 จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
จำนวน 3 แบบฝึก
35
4.3 ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านและเขียนคำพื้นฐาน (Posttest) ด้วย
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ชดุ เดียวกบั แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
5. สรุปผลการศึกษา
5.1 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอ่านและเขียนคำพื้นฐาน
ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 80.51./83.33 ซึ่งสูงกวา่ เกณฑ์ 80/80
ท่ตี ัง้ ไว้
5.2 คะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทยจากการทดสอบ
กอ่ นเรียนเทา่ กับ 18.55 คดิ เป็นร้อยละ 61.83 ทดสอบหลงั เรยี น เทา่ กบั 26.95 คิดเปน็ ร้อยละ 89.83
แสดงใหเ้ หน็ ว่านกั เรียนมีความกา้ วหนา้ ในการอา่ นการเขยี นคำในภาษาไทยสงู ขึ้น
5.3 นักเรยี นท่ีเรียนโดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะมีความพงึ พอใจโดยรวมอยรู่ ะดบั มากท่สี ดุ
( = 4.76) เมือ่ พิจารณาเป็นรายขอ้ พบว่า ทุกข้อมีความพึงพอใจในระดบั มากทีส่ ุดเช่นกัน โดยข้อที่มี
ค่าเฉลยี่ สูงสดุ ได้แก่ข้อ 2 ( = 4.92)
6. อภิปรายผล
จากการรายงาน ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอ่านและ
เขยี น คำพนื้ ฐาน ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 พบประเด็นสำคัญที่ควรนำ มา
อภปิ รายผล ดงั นี้
6.1 แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น จำนวน 3 แบบฝึก มีประสิทธิภาพ 80.51./83.33 หมายถึง
นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานทั้ง 3 แบบฝึก คิด
เป็น ร้อยละ 80.51 และได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการ
อ่าน และการเขียนคำพื้นฐาน คิดเป็นร้อยละ 83.33 แสดงว่าการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการอ่าน
และการ เขยี นคำพื้นฐาน กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยใช้แบบฝึกทักษะ
ที่ ผู้รายงานสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้อาจเนื่องมาจากการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะที่ผู้รายงานได้ศึกษาวิธีการและขั้นตอนการสร้างแบบ
ฝึก ทักษะ ได้ผ่านการตรวจ แนะนำ แก้ไขข้อบกพร่องและประเมินความถูกต้องเหมาะสมจาก
ผู้เชี่ยวชาญ ผ่านการทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ก่อนนำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งการ
ทำแบบฝึก ทักษะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น จดจำความรู้ได้นานและคงทน รวมทั้งพัฒนา
ความรู้ทักษะ และเจตคติด้านต่าง ๆ ของนักเรียนให้ดียิง่ ขึ้น ผู้รายงานได้สร้างแบบฝึกทักษะการอ่าน
และการเขียน สะกดคำ กล่มุ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 ตามแนวทางการสร้าง
แบบฝึกทักษะท่ี จัดไว้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่ปัญหาและความต้องการ วิเคราะห์เนื้อหา
และทักษะที่เป็นปัญหาออกเป็นเนื้อหาย่อยแล้วดำเนินการสร้างตามหลักการสร้างแ บบฝึกทักษะที่ดี
ของสวุ ิทย์ มูลคำ และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60-61) กลา่ ววา่
แบบฝึกทักษะที่ดีควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยา การเรียนรู้ ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความ
ครอบคลุม ความสอดคล้องกับเนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ และคำสั่งชัดเจน และ ฐานิยา อมรพลัง
(2548: 78) ได้เสนอลักษณะที่ดีของแบบฝึก คือ แบบฝึกที่เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก มีรูปภาพ
ประกอบ มีรูปแบบน่าสนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาในการจัดกิจกรรมหรือจัด
แบบ ฝึกให้สนุก ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย มีการจัดกิจกรรมการฝึกที่เร้าความสนใจ และแบบฝึกนั้น
ควร ทันสมัยอยู่เสมอ แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
36
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบฝึกทักษะที่ได้นำเอา กิจกรรมต่าง ๆ มาจัดให้
สอดคล้องกัน ซึ่งประกอบด้วยเกม ภาพ เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสาระ ในลักษณะที่จะส่งเสริมสนับสนุน
ซึ่งกันและกัน โดยถือว่าสื่อแต่ละอย่างให้คุณค่าแตกต่างกัน จากเหตุผล ดังกล่าวแบบฝึกทักษะการ
อ่านและการเขียนสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 จึงเป็นแบบฝึก
ทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำที่มีประสิทธิภาพซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พนมวัน วรดลย์
(2542 : บทคดั ยอ่ ) ไดศ้ กึ ษาการสรา้ งแบบฝกึ ทักษะการเขยี นสะกดคำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปี
ที่ 2 พบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 87.74/82.11 และ
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้นมนี ยั สำคัญทางสถิติท่รี ะดบั .01 และตรงกับงานวิจัย ของนิลวรรณ อัคติ
(2548 : บทคัดย่อ) แบบฝึกทักษะและแบบสอบถามความพึงพอใจ พบว่า แบบฝึกทักษะมี
ประสิทธิภาพ 87.85/80.91 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการ
เรียนรู้ด้วยแบบ ฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก เช่นเดียวกับ สมใจ นาคศรีสังข์ (2549 : บทคัดย่อ) ได้
ศึกษาค้นคว้าเรื่อง การ สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำจากแหล่งเรียนรู้ในท้องถ่ิน ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนตลาดเกาะแรต สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครปฐม เขต 2 ในปี
การศึกษา 2549 จำนวน 21 คน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสูงขึ้นกวา่ เป้าหมายทีก่ ำหนดไว้ แบบ
ฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ 83.98/84.46 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึก
ทักษะโดยภาพรวมอย่ใู นระดับ มากที่สุด
6.2 คะแนนแบบทดสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ท่ี ระดบั .05 ซ่งึ เป็นตามสมมตฐิ านท่ีตั้งไว้ แสดงใหเ้ หน็ วา่ การจดั การเรียนรูโ้ ดยใช้แบบฝึกทกั ษะ การ
อ่านและการเขียนสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ทำให้ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น ด้านการอ่านและการเขยี นสะกดคำสงู ขึน้ อาจเนื่องมาจาก
6.2.1 แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 ทีส่ ร้างขึน้ มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 เป็นสาเหตุ
หนงึ่ ทีท่ ำใหน้ ักเรยี นมผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรียนหลังเรยี นสูงขึน้ ได้เรยี นรู้ทลี ะนอ้ ยตามข้ันตอนท่ี
ครูเตรียมการสอนมาแลว้ ทำให้ นกั เรียนมีกำลงั ใจที่จะเรยี นรเู้ นอ้ื หาใหมต่ อ่ ไป
6.2.2 การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานในการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ ได้ยึดหลักการสอนตามความต้องการของผู้เรียน ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการ
เรียนตั้งแต่ เริ่มฟัง อ่าน พูด และเขียน ตลอดถึงขั้นตรวจผลงานด้วยตนเอง นักเรียนเรียนรู้
ด้วยความเข้าใจ ใช้สื่อที่ เป็นรูปธรรมมากกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรมและประกอบกิจกรรมด้วย
ตนเอง ทำงานร่วมกับเพื่อนเป็นกลุ่ม เพื่อใช้ให้นักเรียนเข้าใจการเรียนรู้แบบประสบการณ์
เนื้อหาเหมาะสมกับความสามารถในการรับรู้ของ นักเรยี นระดับประถมศึกษา ทำให้นักเรียน
เกิดความเพลิดเพลินสนุกสนาน มีความกระตือรือร้นที่จะ เรียน เพราะการเรียนการสอนท่ี
นา่ สนใจ ชว่ ยให้ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นการสอนสงู ขึ้น
6.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาทักษะการอ่านคำพื้นฐานโดย
ใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเฉลี่ย โดยรวมเท่ากับ 4.76 ซึ่งอยู่ในระดับ
มากท่ีสดุ ท้งั น้ีอาจเนอ่ื งมาจากแบบฝกึ ทักษะเรื่อง การอ่านคำพืน้ ฐาน ทผี่ วู้ ิจัยสร้างข้ึน มีความชัดเจน
เข้าใจง่ายคำ ศัพท์สอดคล้องกับเน้ือหาท่ีสอน มีความยากง่ายพอเหมาะ สีสันสดใส น่าสนใจ สามารถ
37
นำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาทักษะการอ่านคำพื้นฐานทำให้นักเรียนภาคภูมิใจและเรียนรู้อย่างมีความสุข
สนุกสนาน ซึ่งสมยศ นาวีการ (2545 : 155) กล่าวว่า การดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ความพึง
พอใจ เป็นสิ่งสำคัญทีจ่ ะกระตุ้นให้ผู้เรียนทำงานที่ได้รับมอบหมายหรอื ต้องการปฏบิ ัติให้บรรลุผลตาม
วัตถุประสงค์ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ อันเบิร์ดแมน (Uberman. 3-5 ; อ้างอิงใน
ศาสตรา สืบวงค์. 2552 : 79) และสมบูรณ์ พงศาเทศ (2550 : บทคัดย่อ) กล่าวว่า การใช้เกม
ประกอบการเรียนการสอนมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะสามารถช่วยในการจัดกิจกรรมการเรียน การ
สอนให้ด าเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดในการเรียนรู้ของผู้เรียน ช่วย
กระตุ้นแรงจูงใจ ช่วยให้ผู้เรียนสนุกสนานในการเรียน และสามารถพัฒนาการอ่านคำพื้นฐาน
ภาษาไทย จากผลการวิจัยครั้งนี้ทำให้ทราบว่า การพัฒนาทักษะการอ่านคำพื้นฐานภาษาไทย โดยใช้
แบบฝึกทักษะ สำหรบั ชั้นประถม ท่ีผวู้ จิ ัยสรา้ งขึ้นเปน็ เคร่ืองมือท่ีมี ประสทิ ธิภาพ เหมาะท่ีจะนำมาใช้
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง ฝึกและพัฒนาทักษะการอ่านคำพื้นฐาน
ภาษาไทยของนกั เรียนได้เป็นอยา่ งดี ซ่ึงสง่ ผลให้ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรยี นสงู ขนึ้
7. ขอ้ เสนอแนะ
7.1 ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้
7.1.1 การเลือกเนื้อหาที่นำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญควรคำนึงถึง ความ
เหมาะสมของ เพศ วัย และระดับความสามารถในการเรียนของนักเรียนด้วย หากเนื้อหาใด ที่นักเรียนสนใจ
นกั เรียนจะเกดิ ความกระตอื รอื รน้ การเรียนรู้เพิ่มมากขนึ้
7.1.2 ครูผูส้ อนภาษาไทยควรนำแบบฝึกทักษะการอา่ นและการเขียนสะกดคำ กลมุ่ สาระการ
เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปใช้ประกอบการสอน เนื่องจากแบบฝึกทักษะนี้ มี
ประสิทธิภาพสงู กว่าเกณฑ์ 80/80 ทกี่ ำหนดไว้
7.1.3 ในระหว่างการดำเนินการจัดกิจกรรม ครูควรสังเกตพฤติกรรมนักเรียนที่มี
ความสามารถในการเรียนต่ำ อาจจะไม่เข้าใจหรือเกิดการเรียนรู้ช้า หรือต้องการความช่วยเหลือ ครูควร ใช้
เทคนิคเสรมิ แรงกระตุ้นใหน้ ักเรียนสนใจ หรอื อธบิ ายให้เข้าใจชัดเจนอีกคร้งั
7.2 ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั ครัง้ ตอ่ ไป
7.2.1 ควรมีการสร้างแบบฝึกทักษะในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เนื้อหาที่เข้าใจ ยาก
หรือเนื้อหาที่เป็นปัญหาต่อการเรียนการสอนในกลุ่มทักษะภาษาไทยในแต่ละระดับชั้น เพื่อนำไป ทดลองหา
ประสิทธภิ าพ
7.2.2 ควรมกี ารสรา้ งแบบฝึกภาษาไทย ในหนว่ ยการเรียนรูอ้ ื่นหรือในระดับชน้ั อนื่ ๆ
38
บรรณานกุ รม
กรมวิชาการ. ค่มู อื การจัดการเรยี นรกู้ ลมุ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย. กรงุ เทพฯ : องค์การรับส่งสินคา้
และพัสดุภัณฑ์. 2544.
----------. คู่มือแนวการจดั กจิกรรมการเรียนการสอนสาระการเรียนร้ภู าษาไทย ตามหลกัสตู ร
การศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ ุสภาลาดพร้าว, 2546.
กรรณกิ าร์ พวงเกษม. ปัญหาและกลวธิ กี ารสอนภาษาไทยในโรงเรียนประถม. พิมพค์ ร้ังท่ี1.
กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, 2533.
กระทรวงศึกษาธกิ าร. กรมวชิ าการ. หลกสั ตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานพทุ ธศักราช 2551.
กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย, 2551.
ฉวลี ักษณ์ บุญกาญจน. จิตวิทยาการอ่าน. กรงุ เทพฯ : บริษัท 21 เซน็ จรู จี่ า , 2547.
ถวลั ย์ มาศจรสั และคณะ. แบบฝึกหัด แบบฝึกทกั ษะเพ่อื พฒั นาการเรยี นรผู้ ู้เรียนและการจดั ทำ
ผลงานวชิ าการของขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา. พิมพ์ครง้ั ท่2ี . กรงุ เทพฯ :
ธารอักษร, 2550.
ทองคูณ หนองพร้าว. การพัฒนาแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้และบทเรียนสำเร็จรูป เรือ่ ง
จังหวัด ของเรา (บุรรี ัมย์) กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศกึ ษาศาสนาและวัฒนธรรม ช้ันประถมศกึ ษา
ปที ่ี 4.
การศกึ ษาคน้ ควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2547.
นงเยาว์ เลี่ยมขุนทด. การพัฒนาแผนการเรยี นรภู้ าษาไทย เรอ่ื งการอ่านและการเขยี นสะกดคำโดย
ใช้ แผนผงั ความคดิ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 1. การศึกษาค้นควา้ อสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม :
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2547.
นิรนั ดร์ สขุ ปรีด.ี การศึกษาอัตราความเรว็ และความเขา้ ใจในการอ่านของนักเรียน ช้ัน
ประถมศกึ ษา ปีท่ี 4 ในจงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม :
มหาวทิ ยาลัย มหาสารคาม, 2540.
นิลวรรณ อคั ต.ิ การพฒั นาแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย เร่อื ง การผนั
วรรณยกุ ต์ โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม.มหาสารคาม :
มหาวิทยาลยั
39
มหาสารคาม, 2548.
บรรจง จนั ทรพ์ ันธ์. การพฒั นาแผนการเรยี นรู้และแบบฝกึ ทักษะภาษาไทย เร่ือง การ
เขียนสะกดคำ
ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3. การศึกษาคน้ คว้าอสิ ระ กศ.ม.
มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2548.
บุญชม ศรสี ะอาด. การวจิ ัยเบอื้ งตน้ . พิมพ์ครั้งท่ี 7. กรุงเทพฯ : สวุ รี ยิ าสาสน์ , 2545.
ประทีป วาทิกทนิ กร. ร้อยกรอง. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2542.
ประวณี า เอน็ ด.ู การพฒั นาแผนการจดั การเรยี นรภู้ าษาไทย เรือ่ ง การอ่านและการเขียนสะกดคำ
โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 1 การศกึ ษาคน้ ควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม
: มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2547. เผชิญ กจิ ระการ และ สมนกึ ภทั ยธน.ี “ดัชนีประสิทธิผล”
วารสารการวดั ผลการศึกษา มหาวทิ ยาลัย มหาสารคาม. 12 (8) : 30-36 กรกฎาคม, 2545.
พนมวัน วรดลย.์ การสร้างแบบฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2.
ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. สงขลา : มหาวทิ ยาลัยทักษิณ, 2542.
พนิ จิ จนั ทรซ์ า้ ย. การสร้างหนังสอื และแบบฝกึ ทกั ษะประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรยี นรู้
ภาษาไทย แบบมุ่งประสบการณภ์ าษา ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 เร่ือง บุญผะเหวด
ร้อยเอด็ . วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2546.
พวงผกา โสคำแกว้ . การสอนซ่อมเสริมความเข้าใจการอา่ นกล่มุ ทักษะภาษาไทยด้วยหนังสือ
สง่ เสรมิ
การอา่ น ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4. ขอนแกน่ , 2540.
พวงรตั น์ ทวีรัตน์. วิธีการวิจยั ทางพฤติกรรมศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์. พิมพ์ครง้ั ที่ 7 ฉบับปรบั ปรงุ
ใหม.่ กรุงเทพฯ : สำนักทดสอบทางการศึกษาและจติ วทิ ยา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ
ประสานมติ ร, 2540.
ไพทลู ย์ มูลด.ี การพฒั นาแผนและแบบฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคำท่ไี ม่ตรงตามมาตราตัวสะกด
กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 2. การศึกษาค้นควา้ อิสระ กศ.ม.
มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2546.
มนทิรา ภกั ดีณรงค์. การศึกษาแบบฝึกเสรมิ ทกั ษะกิจกรรมขัน้ ตอนท่ี 5 ทม่ี ีประสิทธิภาพและ
ความคงทนในการเรยี นรู้ เร่ือง ยงั ไม่สายเกินไปวิชาภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2
40
โดยการสอนแบบมุ่งประสบการณภ์ าษา. วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัย
มหาสารคาม, 2540. มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. ประมวลสาระชดุ วชิ าทฤษฏีและ
แนวปฏิบัติในการบรหิ าร
การศกึ ษา. พิมพค์ รัง้ ท่ี 2. นนทบรุ ี : มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช, 2540.
มะลิ อาจวิชัย. การพฒั นาแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง การพัฒนาสะกดคำทไี่ มต่ รงตามมาตรา
ตวั สะกดแม่กน แมก่ ด และแม่กบ สำหรบั นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3. วิทยานิพนธ์ กศ.
ม.
Bouchard, Margarct Pray. “An Imvestigation of Students’ Word Knowledge as
Demonstrated by Their Reading and Spelling Error, ” Dissertation Abstracts
International. 63 (2) :
541-4; August, 2002. http // wwwlib. Umi.com/dissertations/fullcit/3010800
41
ภาคผนวก
42
ภาคผนวก ก
แบบฝึกทกั ษะ กลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
43
แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทยชุดที่ ๑
คำชี้แจง ให้นกั เรียนอา่ นออกเสยี งคำตอ่ ไปนใี้ หถ้ ูกต้อง
๑. กรกฎ ๒. ชุกชี
๓. กรมขุน ๔. พลชี ีพ
๕. กุนฑี ๖. ภรรยา
๗. เรยี บเรยี ง ๘. ปฐมวัย
๙. ร่ืนเรงิ ๑๐. ผนวช
๑๑. ขวนขวาย ๑๒. นคิ หิต
๑๓. ขัดสมาธิ ๑๔. สตรี
๑๕. คนธรรม์ ๑๖. แจ่มแจง้
๑๗. จุนสี ๑๘. สร้างสรรค์
๑๙. ชกั เยอ่ ๒๐. พร้อมเพรยี ง
44
แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นออกเสยี งคำในภาษาไทย ชดุ ท่ี ๒
คำช้แี จง ใหน้ กั เรียนอา่ นประโยคต่อไปนี้ โดยเน้นออกเสยี งคำท่ขี ีดเสน้ ใต้ให้ถูกตอ้ ง
๑. ประเพณีกวนข้าวทพิ ย์เปน็ ประเพณหี นงึ่ ที่คนไทยปฏบิ ัตกิ ันมา เปน็
เวลานาน
๒. สังขท์ องแม้จะเป็นลกู กษตั รยิ แ์ ตต่ อ้ งตกระกำลำบาก
๓. ตำรวจปราบปราม ตรวจตราอย่างแขง็ ขนั
๔. ตกึ หลงั นี้แม้จะสรา้ งใหม่ แตก่ ็มีรอยรา้ วอยหู่ ลายแหง่
๕. ส่ิงปฏิกูลจากบา้ นเรอื นและโรงงานไหลลงแมน่ ้ำลำคลอง
๖. เช้าวนั น้จี ะเริ่มต้นด้วยการบรรยายวชิ าปรชั ญา
๗. ยาบ้าเป็นมหนั ตภยั ทน่ี า่ กลัวและก าลังเตบิ โตไปกับอนาคตของชาติ
๘. พระพุทธรูปปรกั หักพัง เหลอื แตฐ่ านชุกชี
๙. การซื้อพันธบตั รรฐั บาลเปน็ การออมอย่างหนง่ึ
๑๐. น้ำท่วมหรอื ทบี่ างคนเรยี กว่า นำ้ หลากถอื เป็นวัฏจักรธรรมชาต