เเผนการจัดการเรยี นรู้
กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
รายวิชา เคมี 1
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 พนั ธะเคมี
เรื่อง แรงยึดเหนีย่ วระหว่างโมเลกลุ
นายสนธยา ไตรสงั ข์
เลขประจาตวั สอบ 021700001
สานกั งานศึกษาธกิ ารจงั หวัดกรุงเทพมหานคร
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
แผนการจดั การเรยี นรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 พนั ธะเคมี
เร่อื ง แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
โดย
นายสนธยา ไตรสงั ข์
เลขประจำตัวสอบ 021700001
สำนกั งานศึกษาธิการจังหวัด กรุงเทพมหานคร
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2
คำนำ
เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้น เพื่อเป็นเอกสารแสดงข้อมูลประกอบการสอบสาธิตปฏิบัติการสอน การประเมิน
ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่งวิชาชีพ และปฏิบัติงานในสถานศึกษา สำหรับการสอบแข่งขัน
เพื่อบรรจุ และแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย
สังกัดสำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน ปีการศึกษา 2564
ภายในเอกสารฉบับนี้ ประกอบด้วย คำอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการ
เรียนรู้ และสื่อการเรียนการสอนรายเคมี 1 รหัสวิชา ว30222 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และใช้ประกอบการประเมิน
ภาค ค การพัฒนาตนเองและวิชาชีพ และความสามารถด้านการสอน ตำแหน่งครูผู้ช่วย โดยมีการศึกษาและวิเคราะห์
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชวี้ ัดฯ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.
2560) ซงึ่ ได้จัดเรยี งหวั ขอ้ ไวต้ รงตามเกณฑ์การประเมินตำแหนง่ ครผู ้ชู ่วย ภาค ค ในครัง้ นี้
ข้าพเจ้าหวังว่าเอกสารฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ ในการประเมินตำแหน่ง ครูผู้ช่วย ภาค ค ของข้าพเจ้า หากมี
ขอ้ ผดิ พลาดประการใด ขา้ พเจ้าขอน้อมรบั ไว้ และขออภัยมา ณ ท่ีนี้
นายสนธยา ไตรสงั ข์
ผจู้ ัดทำ
กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 3
สารบัญ
เร่ือง หน้า
คำนำ ก
สารบัญ ข
คำอธบิ ายรายวิชา 1
- คำอธิบายรายวชิ าเคมี 1 ภาคเรยี นท่ี 1 4
มาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละตวั ช้วี ัด 10
สาระการเรยี นรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ 12
โครงสรา้ งรายวชิ า 13
หนว่ ยการเรียนรู้ 14
วิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้ 15
วเิ คราะหห์ น่วยการเรยี นรู้ทีใ่ ช้จดั ทำแผนการเรียนร้สู ำหรบั การสอน 19
แผนการจดั การเรยี นรู้ 31
สื่อการเรียนการสอน
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1
คำอธบิ ายรายวิชาเพิม่ เติม
รหัสวชิ า ว 30222 เคมี 1 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา 60 ช่ัวโมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต
ศึกษา สืบค้นข้อมูล ทดลองและอธิบาย เกี่ยวกับข้อปฏิบัติเบื้องต้น และปฏิบัติตนที่แสดงถึงความตระหนัก
ในการทำปฏิบัติการเคมี โดยเลือกและใช้อุปกรณห์ รอื เครื่องมือในการทำปฏิบัติการหรืออุตสาหกรรมนำเสนอแผนการ
ทดลอง ทดลองและเขียนรายงานการทดลองและ ระบุหน่วยวัดปริมาณต่าง ๆ ของสาร การเปลี่ยนหน่วยวัดให้เป็น
หนว่ ยในระบบเอสไอด้วยการใชแ้ ฟกเตอรเ์ ปล่ยี นหน่วย
สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์เปรียบเทียบ การเสนอแบบจำลองอะตอมของนักวิทยาศาสตร์ และอธิบายวิวัฒนาการ
ของแบบจำลองอะตอม เขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ อธิบาย และเขียนการจัดเรียงอิเล็กตรอน ในระดับพลังงาน
หลักและระดับพลงั งานย่อย ความเป็นโลหะ อโลหะ และกงึ่ โลหะ ของธาตเุ รพรีเซนเททีฟและธาตุ แทรนซิชันในตาราง
ธาตุ วิเคราะห์ และบอกแนวโน้มสมบัตขิ องธาตุเรพรีเซนเททีฟตามหมู่และตามคาบ บอกสมบัติของธาตโุ ลหะแทรนซิชัน
และเปรียบเทียบสมบัติกับธาตุโลหะในกลุ่มธาตุเรพรีเซน เททีฟอธิบายสมบัติ และคำนวณครึ่งชีวิตของไอโซโทป
กัมมนั ตรงั สี การนำธาตุ มาใช้ประโยชน์ รวมท้ังผลกระทบต่อสิง่ มชี ีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม
วิเคราะห์ เปรียบเทียบ คำนวณ ทดลอง และอธิบายการเกิดไอออนและการเกิดพันธะ ไอออนิก โดยใช้
แผนภาพหรือสญั ลักษณ์แบบจุดของลวิ อิส เขยี นสูตร และเรียกช่ือสารประกอบไอออนกิ คำนวณพลงั งานท่ีเกี่ยวข้องกับ
ปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบไอออนิกจากวัฏจักร บอร์น-ฮาเบอร์ สมบัติของสารประกอบไอออนิก การเกิดพันธะ
โคเวเลนต์ เขียนสูตร และเรียกชื่อสารโคเวเลนต์ ความยาวพันธะและพลังงานพันธะในสารโคเวเลนต์ คำนวณพลังงาน
ที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของสารโคเวเลนต์จากพลังงานพันธะ คาดคะเนรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ โดยใช้ทฤษฎีการผลัก
ระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ และระบุสภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกลุ
โคเวเลนต์ และเปรียบเทียบจุดหลอมเหลว จุดเดือด และการละลายน้ำของสารโคเวเลนต์ สืบค้นข้อมูล และอธิบาย
สมบัติของสารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่ายชนิดต่าง ๆ การเกิดพันธะโลหะและสมบัติของโลหะ เปรียบเทียบสมบัติ
บางประการของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ สบื ค้นข้อมูลและนำเสนอตัวอย่างการใชป้ ระโยชน์ของ
สารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ ได้อย่างเหมาะสม
โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการสืบค้นข้อมูล อธิบาย เปรียบเทียบ คำนวณ ทดลอง เขียน
กราฟ เขียนแผนภาพ นำเสนอผล ประยุกต์ใช้และแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง ตระหนัก ดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ปลอดภัยและคุ้มค่า เกิดความสามารถในการคิด
ความสามารถในการส่ือสาร ความสามารถในการแกป้ ญั หา ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต และความสามารถในการ
ใชเ้ ทคโนโลยไี ดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2
ผลการเรียนรู้
๑. บอก และอธิบายข้อปฏิบัติเบือ้ งต้น และปฏิบัติตนที่แสดงถึงความตระหนักในการทำปฏิบัติการเคมีเพื่อให้
มีความปลอดภยั ท้งั ตอ่ ตนเอง ผ้อู น่ื และส่งิ แวดลอ้ ม และเสนอแนวทางแก้ไขเมื่อเกดิ อุบตั เิ หตุ
๒. เลือก และใชอ้ ปุ กรณ์หรอื เคร่ืองมือในการทำปฏิบัติการ และวดั ปรมิ าณตา่ ง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
๓. นำเสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขียนรายงานการทดลอง
๔. ระบหุ นว่ ยวัดปรมิ าณต่าง ๆ ของสาร และเปลีย่ นหน่วยวัดให้เป็นหน่วยในระบบเอสไอด้วยการใช้แฟกเตอร์
เปลยี่ นหน่วย
๕. สบื คน้ ขอ้ มลู สมมตฐิ าน การทดลอง หรอื ผลการทดลองที่เปน็ ประจักษ์พยานในการเสนอแบบจำลองอะตอม
ของนกั วทิ ยาศาสตร์ และอธิบายววิ ัฒนาการของแบบจำลองอะตอม
๖. เขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ และระบุจำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอนของอะตอมจาก
สัญลักษณน์ ิวเคลียร์ รวมท้ังบอกความหมายของไอโซโทป
๗. อธิบาย และเขียนการจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอน ในระดับพลังงานหลักและระดบั พลังงานย่อยเมื่อทราบเลขอะตอม
ของธาตุ
๘. ระบหุ มู่ คาบ ความเปน็ โลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ของธาตุเรพรีเซนเททฟี และธาตุ แทรนซชิ ันในตารางธาตุ
๙. วเิ คราะห์ และบอกแนวโนม้ สมบัตขิ องธาตเุ รพรเี ซนเททีฟตามหมแู่ ละตามคาบ
๑๐. บอกสมบตั ิของธาตุโลหะแทรนซชิ นั และเปรยี บเทียบสมบตั ิกับธาตโุ ลหะในกล่มุ ธาตุเรพรีเซนเททีฟ
๑๑. อธบิ ายสมบตั ิ และคำนวณครง่ึ ชวี ิตของไอโซโทปกมั มนั ตรงั สี
๑๒. สืบค้นข้อมลู และยกตวั อยา่ งการนำธาตุ มาใชป้ ระโยชน์ รวมทั้งผลกระทบตอ่ สง่ิ มชี วี ติ และสิ่งแวดล้อม
๑๓. อธิบายการเกิดไอออนและการเกดิ พันธะ ไอออนกิ โดยใช้แผนภาพหรือสญั ลักษณแ์ บบจุดของลิวอิส
๑๔. เขียนสตู ร และเรียกช่อื สารประกอบไอออนิก
๑๕. คำนวณพลังงานที่เกี่ยวข้องกบั ปฏกิ ิรยิ าการเกิดสารประกอบไอออนิกจากวฏั จักร บอรน์ -ฮาเบอร์
๑๖. อธบิ ายสมบัตขิ องสารประกอบไอออนิก
๑๗. อธบิ ายการเกดิ พนั ธะโคเวเลนตแ์ บบพันธะเด่ียว พันธะคู่ และพนั ธะสาม ด้วยโครงสร้างลิวอสิ
๑๘. เขยี นสูตร และเรียกชอ่ื สารโคเวเลนต์
๑๙. วิเคราะห์ และเปรียบเทยี บความยาวพันธะและพลังงานพันธะในสารโคเวเลนต์ รวมทั้งคำนวณพลงั งานท่ี
เกีย่ วข้องกบั ปฏิกิรยิ าของสารโคเวเลนต์จากพลงั งานพนั ธะ
๒๐. คาดคะเนรูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ โดยใชท้ ฤษฎกี ารผลักระหว่างค่อู ิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ และระบสุ ภาพ
ขั้วของโมเลกลุ โคเวเลนต์
๒๑. ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ และเปรียบเทียบจุดหลอมเหลว จุดเดือด และการ
ละลายน้ำของสารโคเวเลนต์
๒๒. สืบคน้ ข้อมลู และอธิบายสมบตั ขิ องสารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่ายชนิดต่าง ๆ
๒๓. อธบิ ายการเกิดพนั ธะโลหะและสมบัตขิ องโลหะ
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 3
๒๔. เปรียบเทียบสมบัติบางประการของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ สืบค้นข้อมูลและ
นำเสนอตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของสารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ ไดอ้ ย่างเหมาะสม
รวมจำนวนผลการเรียนรทู้ ั้งหมด ๒๔ ผลการเรียนรู้
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4
มาตรฐานการเรยี นรู้และตัวช้วี ัด
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
รายวิชา เคมี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4-6
สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายาภาพ เรียนรู้เกย่ี วกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคล่ือนที่ พลงั งาน
และคลน่ื
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร
การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเติม
ม.4 ๑. บอก และอธิบายข้อปฏบิ ัติเบ้ืองตน้ และ การทำปฏิบัติการเคมีต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและ
ปฏบิ ัติตนทแ่ี สดงถงึ ความตระหนักในการทำ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงควรศึกษาข้อ
ปฏิบตั กิ ารเคมเี พ่ือให้มีความปลอดภัยท้ังตอ่ ปฏบิ ตั ิ
ตนเอง ผู้อ่ืนและส่ิงแวดลอ้ ม และเสนอแนว ของการทำปฏิบัติการเคมีเช่นความปลอดภัยในการใช้
ทางแก้ไขเมอ่ื เกดิ อบุ ัตเิ หตุ อุปกรณ์และสารเคมกี ารป้องกันอุบตั ิเหตุ
๒. เลือก และใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือในการ อุปกรณ์และเครื่องมือชั่ง ตวง วัดแต่ละชนิดมีวิธีการใช้
ทำปฏิบัติการ และวัดปริมาณต่าง ๆ ได้อย่าง งานและการดแู ลแตกต่างกัน ซึง่ การวัดปรมิ าณตา่ ง ๆ ให้
เหมาะสม ได้ข้อมูลที่มีความเที่ยงและความแม่นในระดับนัยสำคัญ
ที่ต้องการ ต้องมีการเลือกและใช้อุปกรณ์ในการทำ
ปฏิบัตกิ ารอยา่ งเหมาะสม
๓. นำเสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขียน การทำปฏิบัติการเคมีต้องมีการวางแผนการทดลอง
รายงานการทดลอง การทำการทดลอง การบันทึกข้อมูลสรุปและวิเคราะห์
นำเสนอข้อมูล และการเขียนรายงานการทดลองท่ี
ถกู ต้อง โดยการทำปฏบิ ัติการเคมตี ้องคำนงึ ถึงวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ
จิตวทิ ยาศาสตร์
๔. ระบุหน่วยวัดปริมาณต่าง ๆ ของสาร และ การทำปฏบิ ัติการเคมีต้องมีการวัดปริมาณตา่ ง ๆของสาร
เปลี่ยนหน่วยวัดให้เป็นหน่วยในระบบเอสไอ การบอกปริมาณของสารอาจระบอยู่ในหน่วยต่าง ๆ
ด้วยการใช้แฟกเตอร์เปลยี่ นหน่วย ดังนั้นเพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกัน จึงมีการกำหนดหน่วย
ในระบบเอสไอให้เป็นหน่วยสากล ซึ่งการเปลี่ยนหน่วย
เพื่อให้เป็นหน่วยสากล สามารถทำได้ด้วยการใช้แฟก
เตอรเ์ ปลี่ยนหน่วย
๕. สบื ค้นข้อมูลสมมติฐาน การทดลอง หรือผล นักวิทยาศาสตร์ศึกษาโครงสร้างของอะตอม และเสนอ
การทดลองที่เป็นประจักษ์พยานในการเสนอ แบบจำลองอะตอมแบบต่าง ๆ จากการศึกษาข้อมูล
แบบจำลองอะตอมของนักวิทยาศาสตร์ และ การสังเกต การตั้งสมมติฐาน และผลการทดลอง
อธิบายววิ ัฒนาการของแบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอมมีววิ ัฒนาการ โดยเริ่มจากดอลตนั
กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 5
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเติม
เสนอว่าธาตุประกอบด้วยอะตอมซึ่งเป็นอนุภาคขนาด
เล็กไม่สามารถแบ่งแยกได้ต่อมาทอมสันเสนอว่าอะตอม
ประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุลบ เรียกว่า อิเล็กตรอน
และอนุภาคประจุบวก รัทเทอร์ฟอร์ดเสนอว่าประจุบวก
ที่เรียกว่า โปรตอน รวมตัวกันอยู่ตรงกึ่งกลางอะตอม
เรยี กวา่ นิวเคลยี ส ซึ่งมีขนาดเลก็ มากและมีอิเลก็ ตรอนอยู่
รอบนิวเคลียส โบร์เสนอว่าอิเล็กตรอนเคลื่อนที่เป็น
วงรอบนิวเคลียสโดยแต่ละวงมีระดับพลังงานเฉพาะตัว
ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าอิเล็กตรอนมีการ
เคลื่อนที่รวดเร็วรอบนิวเคลียส และไม่สามารถระบุ
ตำแหน่งที่แน่นอนได้จึงเสนอแบบจำลองอะตอมแบบ
กลุ่มหมอก ซึ่งแสดงโอกาสการพบอิเล็กตรอนรอบ
นวิ เคลียส
๖. เขียนสัญลักษณ์นวิ เคลียร์ของธาตุ และระบุ สัญลกั ษณ์นิวเคลยี ร์ของธาตุ ประกอบดว้ ยสัญลักษณ์ธาตุ
จำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอนของ เลขอะตอมซึ่งแสดงจำนวนโปรตอน และเลขมวลซ่ึง
อะตอมจากสัญลักษณ์นิวเคลียร์ รวมทั้งบอก แสดงผลรวมของจำนวนโปรตอนกับนิวตรอน อะตอม
ความหมายของไอโซโทป ของ
ธาตุชนิดเดียวกันที่มีจำนวนโปรตอนเท่ากัน แต่มีจำนวน
นิวตรอนตา่ งกัน เรียกว่า ไอโชโทป
๗. อธิบาย และเขียนการจัดเรียงอิเล็กตรอน การศึกษาสเปกตรัมการเปล่งแสงของอะตอมแก๊สทำให้
ในระดับพลังงานหลักและระดับพลังงานย่อย ทราบวา่ อเิ ล็กตรอนจัดเรียงอย่รู อบ ๆนิวเคลียสในระดับ
เมอ่ื ทราบเลขอะตอมของธาตุ พลังงานหลักต่าง ๆ และแต่ละระดับพลังงานหลักยัง
แบ่งเป็นระดับพลังงานย่อยซึ่งมีบริเวณที่จะพบ
อิเล็กตรอนเรียกว่า ออร์บิทัล ได้แตกต่างกัน และ
อิเล็กตรอนจะจัดเรียงในออร์บิทัลให้มีระดับพลังงานต่ำ
ท่สี ุดสำหรบั อะตอมในสถานะพ้ืน
๘. ระบุหมู่ คาบ ความเป็นโลหะ อโลหะ และ ตารางธาตุในปัจจุบันจัดเรียงธาตุตามเลขอะตอมและ
กึ่งโลหะ ของธาตุเรพรีเซนเททีฟและธาตุ สมบัติทีค่ ลา้ ยคลึงกันเป็นหมแู่ ละคาบโดยอาจแบ่งธาตุใน
แทรนซชิ ันในตารางธาตุ ตารางธาตุเป็นกลุ่มธาตุโลหะกึ่งโลห และอโลหะ
นอกจากนี้อาจแบ่งเป็นกลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟและกลุ่ม
ธาตแุ ทรนชิชนั
๙. วิเคราะห์ และบอกแนวโน้มสมบัติของธาตุ ธาตุเรพรีเซนเททีฟในหมู่เดียวกันมีจำนวนเวเลนซ์-
เรพรีเซนเททีฟตามหม่แู ละตามคาบ อิเล็กตรอนเทา่ กนั และธาตุที่อยใู่ นคาบเดยี วกันมีเวเลนช์
อิเล็กตรอนในระดบั พลงั งานหลักเดียวกันธาตุเรพรีเซนเท
ทีฟมีสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกันตามหมู่และมีแนวโน้ม
สมบัตบิ างประการเปน็ ไปตามหม่แู ละตามคาบ เชน่ ขนาด
กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 6
ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เตมิ
อะตอม รัศมีไอออนพลังงานไอออไนเซชัน อิเล็กโทร
เนกาตวิ ิตสี มั พรรคภาพอเิ ลก็ ตรอน
๑๐. บอกสมบัติของธาตุโลหะแทรนซิชัน และ ธาตแุ ทรนชิชันเป็นโลหะทส่ี ่วนใหญม่ ีเวเลนซ์-อิเล็กตรอน
เปรียบเทียบสมบัติกับธาตุโลหะในกลุ่มธาตุ เท่ากับ ๒ มีขนาดอะตอมใกล้เคียงกันมีจุดเดือด จุด
เรพรีเซนเททีฟ หลอมเหลวและความหนาแน่นสูงเกิดปฏิกิริยากับน้ำได้
ช้ากว่าธาตุโลหะในกลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟ เมื่อเกิดเป็น
สารประกอบส่วนใหญ่จะมีสี
๑๑. อธิบายสมบัติ และคำนวณครึ่งชีวิตของ ธาตุแต่ละชนิดมีไอโชโทป ซึ่งในธรรมชาติบางธาตุมี
ไอโซโทปกมั มันตรงั สี ไอโซโทปท่ีแผ่รงั สไี ด้เนอ่ื งจากนิวเคลยี สไมเ่ สถยี ร เรยี กว่า
ไอโชโทปกัมมันตรังสีสำหรับธาตุกัมมันตรังสีเป็นธาตุท่ี
ทุกไอโซโทปสามารถแผ่รังสีได้รังสีที่เกิดขึ้น เช่น รังสี
แอลฟารังสีบีตารังสีแกมมา โดยครึ่งชีวิตของไอโซโทป
กัมมันตรังสีเป็นระยะเวลาที่ไอโซโทปกัมมันตรังสี
สลายตัวจนเหลือคร่งึ หน่ึงของปริมาณเดิม ซึ่งเป็นค่าคงท่ี
เฉพาะของแตล่ ะไอโซโทปกมั มันตรังสี
๑๒. สืบค้นข้อมูล และยกตัวอย่างการนำธาตุ สมบัติบางประการของธาตุแต่ละชนิด ทำให้สามารถนำ
มาใช้ประโยชน์ รวมทั้งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ธาตุไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆได้อย่างหลากหลาย
และส่ิงแวดล้อม ทั้งนี้การนำธาตุไปใช้ต้องตระหนักถึงผลกระทบที่มีต่อ
สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะสารกัมมันตรังสีซึ่ง
ต้องมกี ารจดั การอยา่ งเหมาะสม
๑๓. อธิบายการเกิดไอออนและการเกิดพันธะ สารเคมีเกิดจากการยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะเคมีซึ่ง
ไอออนิก โดยใช้แผนภาพหรือสัญลักษณ์แบบ เกี่ยวข้องกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่แสดงได้ด้วยสญั ลกั ษณ์
จดุ ของลิวอิส แบบจุดของลิวอสิ โดยการเกิดพนั ธะเคมสี ่วนใหญ่เป็นไป
ตามกฎออกเตต พันธะไอออนิกเกิดจากการยึดเหนี่ยว
ระหว่างประจุไฟฟ้าของไอออนบวกกับไอออนลบส่วน
ใหญ่
๑๔. เขียนสูตร และเรียกชื่อสารประกอบ -ไอออนบวกเกิดจากโลหะเสียอิเล็กตรอนและไอออนลบ
ไอออนิก เกิดจากอโลหะรับอิเล็กตรอนสารประกอบที่เกิดจาก
พันธะไอออนิก เรียกว่าสารประกอบไอออนิก
สารประกอบไอออนิกไม่อยู่ในรูปโมเลกุล แต่เป็นโครง
ผลึกท่ปี ระกอบด้วยไอออนบวกและไอออนลบจัดเรียงตัว
ต่อเนือ่ งกันไปทั้งสามมติ ิ
- สารประกอบไอออนิกเขียนแสดงสูตรเคมีโดยให้
สญั ลกั ษณ์
- ธาตุที่เป็นไอออนบวกไว้ข้างหน้าตามด้วยสัญลักษณ์
ธาตุที่เป็นไอออนลบ โดยมีตัวเลขแสดงอัตราส่วนอย่าง
ต่ำของจำนวนไอออนท่ีเป็นองคป์ ระกอบ
กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 7
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พิ่มเตมิ
- การเรียกชือ่ สารประกอบไอออนกิ ทำได้โดยเรยี กชือ่
ไ อ อ อ น บ ว ก แ ล ้ ว ต า ม ด ้ ว ย ช ื ่ อ ไ อ อ อ น ล บ ส ำ ห รั บ
สารประกอบไอออนิกที่เกิดจากโลหะที่มีเลขออกซิเดชัน
ไดห้ ลายค่า ตอ้ งระบุเลขออกชิเดชนั ของโลหะด้วย
๑๕. คำนวณพลังงานที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยา -ปฏิกริ ิยาการเกิดสารประกอบไอออนกิ จากธาตเุ กี่ยวข้อง
การเกิดสารประกอบไอออนิกจากวัฏจักร กับปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอน มีทั้งที่เป็นปฏิกิริยาดูด
บอร์น-ฮาเบอร์ พลังงานและคายพลังงานซึ่งแสดงได้ด้วยวัฏจักรบอร์น-
ฮาเบอร์และพลังงานของปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบ
ไอออนิกเป็นผลรวมของพลังงานทกุ ข้นั ตอน
๑๖. อธบิ ายสมบัตขิ องสารประกอบไอออนิก - สารประกอบไอออนิกส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นผลึก
ของแข็งเปราะ มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง ละลาย
น้ำแล้วแตกตัวเป็นไอออนเรียกว่า สารละลายอิเล็กโทร
ไลต์เมื่อเป็นของแข็งไม่นำไฟฟ้า แต่ถ้าทำให้หลอมเหลว
หรือละลายในน้ำจะนำไฟฟ้า
- สารละลายของสารประกอบไอออนิกแสดงสมบัติความ
เป็นกรด-เบส ต่างกัน สารละลายของสารประกอบคลอ
ไรด์มีสมบัติเป็นกลาง และสารละลายของสารประกอบ
ออกไซด์มีสมบัติเป็นเบส
๑๗. อธิบายการเกิดพันธะโคเวเลนต์แบบ -ปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก สามารถเขียนแสดง
พันธะเดี่ยว พันธะคู่ และพันธะสาม ด้วย ด้วยสมการไอออนิกหรือสมการไอออนิกสุทธิโดยที่
โครงสรา้ งลวิ อสิ สมการไอออนิกแสดงสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ทุกชนิดท่ี
แตกตัวได้ในรูปของไอออนส่วนสมการไอออนิกสุทธิ
แสดงเฉพาะไอออนที่ทำปฏิกิริยากัน และผลิตภัณฑ์ท่ี
เกิดขนึ้
๑๘. อธิบายการเกิดพันะโคเวเลนต์แบบพันธะ พันธะโคเวเลนต์เป็นการยึดเหนี่ยวที่เกิดขึ้นภายใน
เดี่ยว พันธะคู่และพันธะสาม ด้วยโครงสร้างลิว โมเลกุลจากการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันของธาตุซึ่ง
อิส ส่วนใหญ่เป็นธาตุอโลหะ โดยทั่วไปจะเป็นไปตามกฎ
ออกเตต สารที่ยึดเหนยี่ วกันดว้ ยพันธะโคเวเลนต์ เรยี กว่า
สารโคเวเลนต์พนั ธะโคเวเลนตเ์ กิดได้ท้ังพนั ธะเดี่ยวพันธะ
คู่และพันธะสาม ซึ่งสามารถเขยี นแสดงได้ด้วยโครงสร้าง
ลิวอิส โดยแสดงอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะด้วยจุดหรือเส้น
และแสดงอิเล็กตรอนคโู่ ดดเดย่ี วของแตล่ ะอะตอมดว้ ยจดุ
กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 8
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เตมิ
๑๙. เขยี นสตู ร และเรียกชือ่ สารโคเวเลนต์
- สูตรโมเลกลุ ของสารโคเวเลนต์โดยทวั่ ไปเขยี นแสดง
ด้วยสญั ลักษณ์ของธาตเุ รยี งลำดบั ตามคา่ อิเล็กโทรเนกาติ
วิตจี ากน้อยไปมากโดยมีตัวเลขแสดงจำนวนอะตอมของ
ธาตุท่มี ีมากกว่า ๑ อะตอมในโมเลกุล
- การเรียกชื่อสารโคเวเลนตท์ ำได้โดยเรียกชอ่ื ธาตุท่อี ยู่
หน้ากอ่ น แลว้ ตามดว้ ยช่อื ธาตทุ ่ีอยู่ถัดมาโดยมีคำนำหนา้
ระบุจำนวนอะตอมของธาตทุ ี่เปน็ องค์ประกอบ
๒๐. วเิ คราะหแ์ ละเปรยี บเทียบความยาวพันธะ - ความยาวพันธะและพลังงานพันธะในสารโคเวเลนต์
และพลังงานพนั ธะในสารโคเวเลนตร์ วมท้งั ขึ้นกับชนิดของอะตอมคู่ร่วมพันธะและชนิดของพันธะ
คำนวณพลังงานที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของ โดยพันธะเด่ียว พันธะค่แู ละพนั ธะสาม มีความยาวพันธะ
สารโคเวเลนตจ์ ากพลงั งานพันธะ
และพลังงานพันธะแตกต่างกัน นอกจากนี้โมเลกุลโคเว
เลนต์บางชนิดมีค่าความยาวพันธะและพลังงานพันธะ
แตกต่างจากของพันธะเดี่ยว พันธะคู่และพันธะสามซ่ึง
สารเหล่านี้สามารถเขียนโครงสร้างลิวอิสที่เหมาะสมได้
มากกวา่ ๑ โครงสร้าง ทเี่ รยี กว่าโครงสร้างเรโชแนนซ์
- พลังงานพันธะนำมาใช้ในการคำนวณพลังงานของ
ปฏิกิริยา ซึ่งได้จากผลต่างของพลังงานพันธะรวมของ
สารตง้ั ต้นกับผลิตภัณฑ์
๒๑. คาดคะเนรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์โดย - รปู ร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์อาจพิจารณาโดยใช้ทฤษฎี
ใช้ทฤฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวง การผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ (VSEPR) ซึ่ง
เวเลนซแ์ ละระบสุ ถาพขั้วของโมเลกลุ โคเวเลนต์ ข้ึนอยูก่ บั จำนวนพันธะและจำนวนอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียว
รอบอะตอมกลางโมเลกลุ โคเวเลนต์มที ั้งโมเลกุลมีขั้วและ
ไม่มีขั้วสภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์เป็นผลรวม
ปริมาณเวกเตอร์สภาพขั้วของแต่ละพันธะตามรูปร่าง
โมเลกุล
๒๒. ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่าง - แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลซึ่งอาจเป็นแรงแผ่
โมเลกุลโคเวเลนต์และเปรียบเทียบจุด กระจายลอนดอน แรงระหว่างขัว้ และพันธะไฮโดรเจน
หลอมเหลวจุดเดือด และการละลายน้ำของ - มีผลต่อจุดหลอมเหลวจุดเดือด และการละลายน้ำของ
สารโคเวเลนต์
สาร นอกจากนี้สารโคเวเลนต์ส่วนใหญ่ยังมีจุด
หลอมเหลวและจุดเดือดต่ำกว่าสารประกอบไอออนิก
เนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีค่าน้อยกว่า
พนั ธะไอออนิก
-สารโคเวเลนต์ส่วนใหญ่มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำ
และไม่ละลายในน้ำ สำหรับสารโคเวเลนต์ที่ละลายน้ำมี
ทั้งแตกตัวและไม่แตกตัวเป็นไอออน สารละลายท่ีไดจ้ าก
สารท่ีไมแ่ ตกตัวเป็นไอออนจะไม่นำไฟฟ้า เรยี กวา่
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 9
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเติม
สารละลายนอนอิเล็กโทรไลต์ส่วนสารละลายที่ได้จาก
สารทีแ่ ตกตวั เป็นไอออนจะนำไฟฟา้ เรียกวา่ สารละลายอิ
เล็กโทรไลต์สารละลายของสารประกอบคลอไรด์และ
ออกไซด์จะมสี มบตั ิเปน็ กรด
๒๓. สบื ค้นขอ้ มูล และอธิบายสมบตั ิของ สารโคเวเลนต์บางชนิดที่มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่
สารประกอบโคเวเลนตโ์ ครงร่างตาข่ายชนิด และมีพันธะโคเวเลนต์ต่อเนื่องเป็นโครงร่างตาข่าย จะมี
ตา่ งๆ จุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง สารโคเวเลนต์โครงร่างตา
ข่ายที่มีธาตุองค์ประกอบเหมือนกัน แต่มีอัญรูปต่างกัน
จะมีสมบัติต่างกนั เชน่ เพชร แกรไฟต์
๒๔. อธบิ ายการเกดิ พนั ธะโลหะและสมบัติของ - พันธะโลหะเกิดจากเวเลนซ์อิเล็กตรอนของทุกอะตอม
โลหะ ของโลหะเคล่ือนที่อย่างอสิ ระไปทั่วท้ังโลหะ และเกิดแรง
ยดึ เหนย่ี วกับโปรตอนในนวิ เคลยี สทกุ ทศิ ทาง
- โลหะส่วนใหญ่เป็นของแข็ง มีผิวมันวาว สามารถตีเป็น
แผ่นหรือดงึ เปน็ เส้นได้นำความรอ้ นและนำไฟฟา้ ได้ดีมีจุด
หลอมเหลวและจุดเดอื ดสงู
25. เปรียบเทียบสมบัติบางประการของ สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์และโลหะมีสมบัติ
สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนตแ์ ละโลหะ เฉพาะตัวบางประการที่แตกต่างกัน เช่นจุดเดือด
สืบค้นข้อมูลและนำเสนอตัวอย่างการใช้ จุดหลอมเหลว การละลายน้ำ การนำไฟฟ้า จึงสามารถ
ประโยชน์ของสารประกอบไอออนิก สารโคเว นำมาใช้ประโยชนใ์ นดา้ นต่าง ๆได้ตามความเหมาะสม
เลนตแ์ ละโลหะ ได้อย่างเหมาะสม
คะแนนเก็บระหว่างเรยี น 50
คะแนนสอบกลางภาค 20
คะแนนสอบปลายภาค 30
รวมคะแนนทงั้ หมดตลอดภาคเรียน 100
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 10
สาระการเรียนร้แู ละมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต
และความสมั พนั ธ์ระหว่างส่ิงมชี ีวิตกับส่งิ มชี ีวติ ต่าง ๆ ในระบบนเิ วศการถ่ายทอดพลังงาน
การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบ
ท่ีมีตอ่ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมแนวทางในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและ
การแกไ้ ขปัญหาสงิ่ แวดลอ้ มรวมท้งั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออกจาก
เซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์
ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ ของอวัยวะต่างๆ ของพืช
ทท่ี ำงานสมั พนั ธก์ นั รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมสารพนั ธุกรรม
การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและ
ววิ ฒั นาการของสง่ิ มีชีวติ รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ
โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี
มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะ
การเคลือ่ นท่ีแบบต่าง ๆ ของวัตถรุ วมท้งั นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๒.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์
ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่
เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมท้งั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
สาระท่ี 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และววิ ัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาว
ฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ
ประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบและความสมั พันธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก
และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้า อากาศและภูมิอากาศโลก
รวมท้งั ผลตอ่ ส่งิ มีชีวติ และสิง่ แวดล้อม
สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง
รวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และ ศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือ
แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และ
สง่ิ แวดล้อม
มาตรฐาน ว 4.2 กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 11
เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอนและ
เป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการ
แก้ปัญหาไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ ร้เู ทา่ ทัน และมีจรยิ ธรรม
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 12
โครงสรา้ งรายวิชา
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว30222 รายวชิ า เคมี 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4
ลำดับ หน่วยการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ เวลา นำ้ หนัก
ที่ (ชั่วโมง) (คะแนน)
1 ความปลอดภยั และทักษะในปฏิบตั กิ ารเคมี ขอ้ 1-2 10 20
- ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี
- อุบัตเิ หตุจากสารเคมี
- การวดั ปรมิ าณสาร
- หนว่ ยวดั
- วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์
2 อะตอมและสมบตั ิของธาตุ ข้อ 3-5 25 40
- แบบจำลองอะตอม
- อนุภาคในอะตอมและไอโซโทป
- การจดั เรยี งอิเล็กตรอนในอะตอม
- ตารางธาตุและสมบัติของธาตหุ มหู่ ลกั
- ธาตุแทรนซิชนั
- ธาตุกัมมนั ตรงั สี
- การนำธาตไุ ปใชป้ ระโยชน์และผลกระทบต่อส่ิงมชี ีวติ
3 พนั ธะเคมี ข้อ 6-10 25 40
- สัญลกั ษณแ์ บบจดุ ของลวิ อิสและกฎออกเตต
- พันธะไอออนิก
- พันธะโคเวเลนต์
- พนั ธะโลหะ
- การใช้ประโยชนข์ องสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์
และโลหะ
รวม ตลอดภาคเรยี น 60 100
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 13
หน่วยการเรียนรู้
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวิชา ว30222 รายวิชา เคมี 1 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4
หน่วยการเรียนรู้ ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ จำนวน
ชว่ั โมง
1. ความปลอดภยั ในการ 1. บอกและอธิบายข้อปฏิบัติเบื้องต้น เลือกและ 3
ทำงานกับสารเคมี ใชอ้ ุปกรณ์หรือเครื่องมือในการทำปฏิบตั ิการ และ 7
11
2. อุบตั เิ หตจุ ากสารเคมี วัดปริมาณต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมปฏิบัติตนที่ 8
6
1. ความปลอดภยั แสดงถึงความตระหนักในการทำปฏิบัติการเคมี
และทกั ษะในการ
ปฏบิ ตั กิ ารเคมี เพื่อให้มีความปลอดภัย ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่นและ
(20 ชัว่ โมง) สิ่งแวดล้อม และเสนอแนวทางแก้ไขเมื่อเกิด
2. อะตอมและ อุบตั เิ หตุ
สมบัตขิ องธาตุ
(25 ชว่ั โมง) 3. การวัดปรมิ าณสาร 2. ระบุหน่วยวัดปริมาณต่างๆ ของสาร และ
4. หน่วยวดั เปลี่ยนหน่วยวัดให้เป็นหน่วยในระบบเอสไอด้วย
5. วิธีการทางเคมี การใชแ้ ฟกเตอร์เปล่ียนหนว่ ย
1. แบบจำลองอะตอม 3. อธิบายวิวัฒนาการของแบบจำลองอะตอม
2. อนุภาคในอะตอมและ เขยี นสัญลกั ษณน์ วิ เคลียรข์ องธาตุ และระบจุ ำนวน
ไอโซโทป โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอนของอะตอม
3. การจดั เรยี งอเิ ลก็ ตรอน รวมทั้งบอกความหมายของไอโซโทป เขียนการ
ในอะตอม จัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลักและ
ระดบั พลงั งานยอ่ ยเม่อื ทราบเลขอะตอมของธาตุ
4. ตารางธาตแุ ละสมบัติ 4. ระบุหมู่คาบ ความเป็นโลหะ อโลหะ และก่ึง
ของธาตุหมหู่ ลัก โลหะ ของกลุ่มธาตุธาตุเรพรีเซนเททีฟ และ
5. ธาตทุ รานซิชัน ธาตแุ ทรนซชิ นั ในตารางธาตุ แนวโน้มสมบัตขิ อ
ธาตุ ตามหมู่และตามคาบ สมบัติของธาตุโลหะ
แทรนชชิ ัน และเปรียบเทยี บสมบตั ิกบั ธาตุโลหะใน
กลุม่ ธาตุเรพรเี ซนเททฟี
6. ธาตกุ มั มันตรังสี 5. อธิบายสมบัติและคำนวณครึ่งชีวิตของ
7. การนำธาตไุ ปใช้ ไอโซโทปกัมมันตรังสี และยกตัวอย่างการนำธาตุ
ประโยชนแ์ ละผลกระทบต่อ มาใช้ประโยชน์ รวมทั้งผลกระทบต่อสิ่งมีชวี ติ และ
สงิ่ มีชีวิต สิง่ แวดลอ้ ม
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 14
หนว่ ยการเรียนรู้ ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ จำนวน
ชัว่ โมง
3. พันธะเคมี
(25 ชัว่ โมง) 1. สญั ลักษณแ์ บบจดุ ของ 6. อธิบายการเกิดไอออนและการเกิดพันธะไอออ 4
ลิวอสิ และกฏออกเตต นิก โดยใช้แผนภาพหรือสัญลักษณ์แบบจุดของลิว
2. พันธะไอออนิก อิส เขียนสูตรและเรียกชื่อสารประกอบไอออนิก
และคำนวณพลังงานที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาการ
เกิดสารประกอบไอออนิกจากวัฏจักรบอร์น-ฮา
เบอร์
3. พันธะไอออนิก 7. อธิบายสมบัติของสารประกอบไอออนิก เขียน 5
สมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุทธิของ
ปฏกิ ริ ยิ าของสารประกอบไอออนิก
4. พันธะโคเวเลนต์ 8. อธิบายการเกิดพันธะโคเวเลนต์แบบพันธะ 6
เด่ียว พนั ธะคู่ และพนั ธะสาม ดว้ ยโครงสร้างลิวอิส
เขียนสูตรและเรียกช่ือสารโคเวเลนตว์ ิเคราะห์และ
เปรียบเทียบความยาวพันธะและพลงั งานพันธะใน
สารโคเวเลนต์ รวมทั้งคำนวณพลังงานที่เกี่ยวข้อง
กับปฎิกิรยิ าของสารโคเวเลนตจ์ ากพลงั งานพนั ธะ
4. พันธะโคเวเลนต์ 9. คาดคะเนรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์และระบุ 6
สภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์ ชนิดของแรงยึด
เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ และ
เปรียบเทียบจุดหลอมเหลวจุดเดือด และการ
ละลายนำ้ ของสารโคเวเลนต์
5. พันธะโลหะ 10. อธิบายการเกิดพันธะโลหะและสมบัติของ 4
โลหะ เปรียบเทียบสมบัติบางประการของ
สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ
สืบค้นข้อมูลและนำเสนอตัวอย่างการใช้ประโยชน์
ของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และ
โลหะ ไดอ้ ย่างเหมาะสม
รวม 60
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 15
วิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้ทใี่ ช้จดั ทำแผนการเรยี นรู้สำหรับการสอน
กล่มุ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา ว30221 เคมี 1 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 พันธะเคมี จำนวน 25 ชวั่ โมง
ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน แผน สาระสำคัญ จดุ ประสงค์ เวลา
การเรียนรู้ การเรียนรู้ การจดั การเรยี นรู้ (ช่ัวโมง)
/ ตวั ช้ีวดั
พนั ธะเคมี
พันธะไอออนิกเป็นพันธะที่ 1.อธิบายถึงการเกิดพันธะไอ 2
เกิดขึ้นจากแรงยึดเหนี่ย ว ออนกิ ได้(K)
ระหว่างไอออนบวกและไอออน 2.สามารถสื่อความหมายและ
การเกดิ พนั ธะ ลบโดยไอออนบวกเกิดจากธาตุ เขียน ลักษณะโครงผลึกของ
ไอออนิก โลหะสูญเสียอิเล็กตรอนและ สารประกอบไอออนิกได้(P)
ไอออนลบเกิดจากธาตุอโลหะรับ
อ ิ เ ล ็ ก ต ร อ น ท ำ ใ ห ้ เ กิ ด
สารประกอบที่มีโครงผลึกขนาด
ใหญข่ นึ้
การเขียนสูตรสารประกอบ 1.อธิบายถึงหลักการเขียนสูตร 2
ว3.1 ไอออนิก เขียนสัญลักษณ์ของ และเรียกชื่อสารประกอบไอ
การเขียนสตู รและการ ธาตุทีเ่ ป็นไอออนบวกไว้ข้างหน้า ออนิกได้(K)
ตามด้วยไอออนลบ แสดง 2.สามารถเขียนสูตรสารประกอบ
เรยี กชื่อ อัตราส่วนอย่างต่ำของจำนวน ไอออนกิ ได้(K)
สารประกอบ ไอออนห้อยท้ายไอออนนั้น โดย 3.สามารถสื่อความหมายและ
ไอออนิก ไอออนบวกและไอออนลบจะ เรียกช่อื สารประกอบไอออนิกได้(P)
รวมกันในอัตราส่วนที่ทำให้
สารประกอบไอออนิกมีประจุ
รวมเปน็ ศูนย์
การเกิดสารประกอบไอออนิกมี 1.อธิบายถึงขั้นตอนการเกิด 2
ปฏิกิริยาเกิดขึ้นหลายขั้นตอน สารประกอบไอออนกิ ได้(K)
แตล่ ะขัน้ ตอนมกี ารเปลยี่ นแปลง 2.เ ร ี ย ง ล ำ ด ั บ แ ล ะ บ ร ร ย า ย
พลงั งานกับการเกิด พลังงานแบบดูดหรือคาย ขั้นตอนการเกิดสารประกอบไอ
สารประกอบ พลงั งาน โดยปฏิกิริยาที่มีการดูด ออนิกได้(K)
ไอออนิก มากกว่าคายพลังงาน จัดเป็น 3.สามารถแก้ปัญหาในการ
ปฏิกิริยาแบบดูดพลังงาน และ คำนวณหาค่าพลังงนในการเกิด
ปฎิกิริยาที่มีการคายมากกว่าดูด สารประกอบไอออนกิ ได้(P)
พลังงาน จัดเป็นปฏิกิริยาแบบ
คายพลังงาน
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 16
ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน แผน สาระสำคัญ จุดประสงค์ เวลา
การเรยี นรู้ การเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ (ชั่วโมง)
/ ตวั ชว้ี ดั
สมบัติของ
สารประกอบ สารประกอบไอออนิกสว่ นใหญ่มี 1.อธิบายถึงสมบัติบางประการ 2
ไอออนิก สถานะเป็นของแข็ง เปราะแตก ของสารประกอบไอออนิกได้(K) 2
ง่ามีจดุ เดอื ดจดุ หลอมเหลวสูง 2.ทำการทดลองเพื่อศึกษา การ 2
ปฏิกิรยิ าของ
สารประกอบ เป็นของแข็งไม่นำไฟฟ้า แต่เม่ือ เ ป ล ี ่ ย น แ ป ล ง พ ล ั ง ง า น ของ 2
หลอมเหลวหรือละลายน้ำจะนำ สารประกอบไอออนิก เมื่อมีการ
ไอออนิก ไฟฟา้ ละลายนำ้ ได้(K)
การเกิดพนั ธะและ ปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบ 1.อธิบายถึงสมการไอออนิกและ
ชนิดของพนั ธะ ไอออนิกเกิดจากไอออนของสาร เขยี นสมการไอออนกิ สุทธไิ ด้(K)
โคเวเลนต์ เข้าทำปฏิกิริยากัน สมการท่ี 2.สามารถสื่อความหมายและ
แสดงไอออนของสารประกอบ สามารถเขียนสมการไอออนิก
การเขียนสูตรและ ไอออนิกที่เข้าทำปฏิกิริยากัน และสมการไอออนิกสทุ ธไิ ด้(P)
การเรยี กชอ่ื
สารประกอบ ครบทุกชนิด เรียกว่า สมการ 3.ทำการทดลองเพื่อศึกษาการ
โคเวเลนต์ ไอออนิกส่วนการเขียนสมการ เกิดปฏิกิริยาของสารประกอบไอ
ไอออนิกสุทธิแสดงเฉพาะ ออนกิ ได้(P)
ไอออนทีเ่ ขา้ ทำปฏิกริ ิยาแล้วเกิด
เ ป ็ น ส า ร ป ร ะ ก อ บ ไ อ อ อ น ิ ก ที่
ไม่ละลายนำ้
พันธะโคเวเลนต์เป็นแรงยึดเห 1.อธิบายการเกดิ พันธะโคเวเลนต์
นี่ยระหว่างอะตอมของอโลหะ และระบชุ นดิ ของพนั ธะได้(K)
โ ด ย อ ะ ต อ ม แ ต ่ ล ะ อ ะ ต อ ม ใ ช้
เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันเป็น 2.บ อ ก ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง
คู่ๆ เพื่อให้มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะและ
ป็นไปตามกฎออกเตต พันธะ อิเล็กตรอนคูโดดเดี่ยว รวมท้ัง
โควเลนต์ แบ่งเป็น 3 ชนิด โดย อธิบาย การเกิดพันธะเดี่ยว
อาศัยจำนวนอิเล็กตรอนคู่ร่วม พันธะคู่ และพนั ธะสามได้(K)
พันธะเป็นเกณฑ์ พันธะเดี่ยว 3.สามารถแสดงความคิดเหน็ และ
พนั ธะคู่ และพนั ธะสาม
สามารถเขียนถึงการเกิดพันธะ
โคเวเลนต์ได้(P)
4.สามารถตัดสินใจและระบุชนิด
ของพนั ธะได(้ P)
การเขียนสูตรโมเลกุลของ 1.เขียนสูตรโมเลกุลและสูตร
สารประกอบโคเวเลนต์ เขียน โครงสร้างลิวอิสของสารประกอบ
สัญลักษณ์ของธาตุเรียงตามค่า โคเวเลนต์ได้(K)
อิเล็กโตรเนกาติวิตีจากน้อยไป
กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 17
ชอื่ หน่วย มาตรฐาน แผน สาระสำคญั จดุ ประสงค์ เวลา
การเรยี นรู้ การเรยี นรู้ การจัดการเรียนรู้ (ช่ัวโมง)
/ ตวั ช้ีวดั
กฏออกเตตความยาว
พนั ธะและพลงั งาน หามาก ธาตุที่มีจำนวนอะตอม 2.เรยี กช่ือสารประกอบโคเวเลนต์
พนั ธะ มากกว่า 1 ให้ระบุจำนวน ได(้ K)
อะตอมไว้ที่มุมด้านล่างขวาของ 3.สามารถสื่อความหมายและ
รปู ร่างโมเลกุล ส ั ญ ล ั ก ษ ณ ์ ก า ร เ ร ี ย ก ชื่ อ
โคเวเลนต์ ส า ร ป ร ะ ก อ บ โ ค เ ว เ ล น ต ์ ใ ห้ สามารถเขียน สูตรโมเลกุลและ
เรียกชื่อธาตุแรกก่อนแล้วตาม สูตรโครงสร้างลิวอสิ ของ
สภาพขว้ั ของโมเลกุล
โคเวเลนต์ ด้วยชื่ออีกธาตุหนึ่งโดยเปลี่ยน สารประกอบโคเวเลนตไ์ ด้(P)
ท้ายเสยี งเปน็ ไรด์ พร้อมท้ังระบุ
จำนวนอะตอมเปน็ ภาษากรกี
ระยะระหว่างนิวเคลียสของ 1.บอกความหมายของพลงั งาน 2
2
อะตอมแต่ละคู่ที่เกิดพันธะต่อ พันธะและความยาวพันธะได้(K) 2
กันรียกว่า ความยาวพันธะ 2.อธบิ ายความสมั พันธ์ระหวา่ ง
พันธะเดี่ยวจะมีความยาวพันธะ ชนิดของพันธะโคเวเลนตก์ ับ
ยาวที่สุด รองลงมาเป็นพันธะคู่ พลังงานพันธะและความยาว
และพันธะสามตามลำดับ ส่วน พนั ธะได้(K)
พลงั งานที่ใช้สลายพันธะระหว่าง 3.สามารถแก้ปัญหาในการ
อะตอมในสถนะแก๊ส เรียกว่า คำนวณหาค่าพลังงานพันธะใน
พลังงานพันธะ โดยพันธะเดี่ยวมี โมเลกุลโคเวเลนตไ์ ด้(P)
พลังงานต่ำ พันธะคู่ และพันธะ
สามมีพลงั งานมากขนึ้ ตามลำดบั
รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์ 1.บอกรปู ร่างโมลกุลโคเวเลนต์
เป็นการจัดเรียงตัวของอะตอม เม่อื ทราบจำนวนอเิ ลก็ ตรอนคู่
ของธาตอุ งค์ประกอบแตล่ ะตวั ร่วมพันธะและอเิ ลก็ ตรอนค่โู ดด
ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนพันธะและ เดยี่ วได้(K)
จำนวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว 2.อธบิ ายและสรุปเกีย่ วกับการ
รอบอะตอมกลาง เกดิ มุมพันธะในโมเลกลุ โคเวเลนต์
ได(้ K)
3.ทำการทดลองเพื่อศึกษาการ
เปรียบเทียบกรจัดตัวของลูกโป้ง
กับทิศทางของพันธะโคเวเลนต์ได้
(P)
สภาพขั้วขอพันธะโคเวเลนต์เกิด 1.อธิบายการเปรียบเทียบค่าอิ
จากอะตอมคู่ร่วมพันธ ะ มี เลก็ โตรเนกาติวิตีของธาตุได้(K)
ค ่ า อ ิ เ ล ็ ก โ ต ร เ น ก า ต ิ ว ิ ค ่ า ( EN)
ต่างกนั
กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 18
ช่อื หน่วย มาตรฐาน แผน สาระสำคญั จุดประสงค์ เวลา
การเรยี นรู้ การเรยี นรู้ การจดั การเรยี นรู้ (ช่ัวโมง)
/ ตวั ชี้วัด
แรงยึดเหนี่ยว
ระหว่างโมเลกุล พันธะโคเวเลนต์ที่เกิดจาก 2 .บ อ ก ช น ิ ด ข อ ง โ ม เ ล กุ ล
โคเวเลนต์ อะตอมที่มีค่า EN ต่างกันเป็น โคเวเลนต์มีขั้วและโมเลกุลไม่มีข้ัว
พันธะโลหะ พันธะมีขั้ว สภาพขั้วของโมเลกลุ ได(้ K)
ขึ้นอยู่กับสภาพขั้วของพันธะ 3.สามารถแสดงความคิดเห็น
และรปู รา่ งโมเลกุล และสามารถเขียนเปรียบเทียบ
ค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของธาตุได้
(P)
4.สามารถส่อื ความหมายแลtระบุ
ชนิดของโมเลกุลโคเวเลนต์มีขั้ว
และโมเลกลุ ไม่มขี ้วั ได้ (P)
สารประกอบโคเวเลนต์อยู่ 1.อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง 2
2
รวมกันเป็นกลุ่มได้เพราะมีแรง จุดหลอมเหลวและจุดเดือดของ
ยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ซึ่ง สารกับแรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ ง
ได้แก่แรงวัลเดอร์วาลส์ พันธะ โมเลกลุ ของสารโคเวเลนต(์ K)
ไฮโดรเจนสารประกอบโตเลนต์ 2.สามารถสื่อความหมายและ
บางชนิดยึดเหนี่ยวกันเป็นโครง ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยว
ผลึกร่างตาข่ายจะมีจุดเดือดจุด ระหว่างโมเลกุลของสารโลลนต์
หลอมเหลวสูงมาก ได้(P)
พันธะโลหะเป็นพันธะที่เกิดในะ 1.อธิบายถึงการเกิดพันธะโลหะ
ตอมของพวกโลหะ เกิดจากการ ได(้ K)
ที่อะตอมของโลหะในผลึกใช้ 2.อธิบายสมบัติของโลหะได้
เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันท้ัง ถกู ตอ้ ง(K)
ก้อนโลหะน้ัน โลหะนำไฟฟ้าได้ดี 3.ทดลองเพื่อศึกษาเกี่ยวกับ
มีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสูง สมบตั ขิ องโลหะ(P)
สามารถตีแผ่เป็นแผ่นบางๆ ได้ 4.สามารถสื่อความหมายและ
และมีผวิ มันวาว เขียนการเกิดพนั ธะโลหะได้(P)
กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 19
แผนการจัดการเรยี นรู้ ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4
จำนวน 1 ช่วั โมง
กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 พนั ธะเคมี ผู้สอน นายสนธยา ไตรสังข์
เรื่อง แรงยึดเหน่ยี วระหว่างโมเลกลุ โคเวเลนต์
1. เป้าหมายการเรียนรู้
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหว่างสมบตั ขิ องสสาร
กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิด
สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
ผลการเรยี นรู้
22. ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ และเปรียบเทียบจุดหลอมเหลว จุดเดือด
และการละลายนำ้ ของสารโคเวเลนต์
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. นักเรียนสามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลกับจุดเดือด
จุดหลอมเหลวและการละลายน้ำของสารประกอบโคเวเลนต์ได้ (K)
2. นกั เรยี นสามารถระบุชนิดของแรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ได้ (K)
3. นกั เรียนสามารถใช้แรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ ทำนายจุดเดือดจุดหลอมเหลวของสารโคเวเลนต์ได้ (P)
4. มวี นิ ยั ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมนั่ ใน การทำงาน (A)
5. นักเรียนสามารถใชเ้ ทคโนโลยใี นการสบื คน้ จุดเดือดและจุดหลอมเหลวของสารประกอบโคเวเลนต์ได้
2. สาระการเรยี นรู้
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล (เกิดเฉพาะในพันธะโคเวเลนต์ ใช้บอกจุดเดือด) เมื่อโมเลกุลหลายๆ โมเลกุลอยู่
รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนได้นั้น จะต้องมแี รงยึดเหนยี่ วระหวา่ งโมเลกุลซ่ึงยดึ แต่ละโมเลกลุ เหล่านั้น แรงยึดเหน่ียวระหว่าง
โมเลกุล แบง่ ออกเปน็ 3 ชนดิ ดงั น้ี
1. แรงลอนดอน (ไม่มขี ้ัว)
2. แรงดงึ ดูดระหวา่ งขัว้
3. พันธะไฮโดรเจน
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลซึง่ อาจเป็นแรงลอนดอน แรงดึงดูดระหว่างขั้ว และพันธะไฮโดรเจน มีผลต่อจุด
หลอมเหลว จุดเดือด และการละลายน้ำของสาร นอกจากนี้ สารโคเวเลนต์ส่วนใหญ่ยังมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือด
ต่ำกวา่ สารประกอบไอออนิก เนือ่ งจากแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกุล มีคา่ น้อยกวา่ พนั ธะไอออนกิ
สารโคเวเลนตส์ ว่ นใหญม่ จี ุดหลอมเหลวและจดุ เดือดตำ่ และไมล่ ะลายในน้ำ สำหรบั สารโคเวเลนต์ที่ละลายน้ำ
มที ง้ั แตกตัวและไม่แตกตัวเปน็ ไอออน สารละลายทไ่ี ด้จากสารทไ่ี ม่แตกตัวเปน็ ไอออนจะไม่นำไฟฟา้ เรยี กว่าสารละลาย-
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 20
นอนอิเล็กโทรไลต์ ส่วนสารละลายที่ได้จากสารที่แตกตัวเป็นไอออนจะนำไฟฟ้า เรียกว่า สารละลายอิเล็กโทรไลต์
สารละลายของสารประกอบคลอไรดแ์ ละออกไซด์จะมีสมบัตเิ ปน็ กรด
3. สาระสำคัญ
สารประกอบโคเวเลนตอ์ ยรู่ วมกันเป็นกลมุ่ ไดเ้ พราะมีแรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกุล ซ่งึ ไดแ้ กแ่ รงแวนเดอร์วาลส์
พันธะไฮโดรเจนสารประกอบโคเลนต์บางชนดิ ยดึ เหนย่ี วกนั เป็นโครงผลกึ รา่ งตาข่ายจะมจี ุดเดือดจดุ หลอมเหลวสงู มาก
4. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
วิธีการสอนโดยเนน้ รูปแบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ข้ันที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 10 นาที
1.1 ครใู หน้ กั เรยี นดูภาพดังนี้
รปู ที่ 1 การแยกช้นั ของน้ำกับนำ้ มัน
ท่มี า : https://sciplanet.org/content/8243
1.2 ครูใชค้ ำถามในการถามความคดิ เห็นเกี่ยวกบั รูปทีใ่ หน้ กั เรยี นดใู นตอนต้น
แนวคำถาม : นกั เรยี นสงั เกตเห็นอะไรในภาพนี้และนกั เรยี นคิดวา่ เหตุการณด์ ังกลา่ วเกิดขึ้นได้เพราะอะไร
แนวคำตอบ : เป็นภาพของน้ำและน้ำมนั ทีแ่ ยกชัน้ ซ่ึงปรากฏการณ์ท่ีขึ้นเนื่องจากสภาพข้ัวของน้ำและ
น้ำมันแตกต่างกนั
คำถาม : น้ำกบั น้ำมนั มสี ภาพขัว้ ทต่ี า่ งกันอย่างไร
แนวคำตอบ : น้ำเป็นโมเลกุลที่มีขั้ว และน้ำมันเป็นโมเลกุลที่ไม่มีขั้ว เพราะฉะนั้นการละลายของ
สารทั้งสองชนดิ จึงไมส่ ามารถละลายเข้ากันได้
1.3 ครูยกตัวอย่างสารท่ีละลายเข้าด้วยกันและสารที่ไม่ละลายเข้าด้วยกัน เช่น น้ำผสมเอทานอล
โดยน้ำเปน็ สารท่ีมีขวั้ และเอทานอลเป็นสารท่ีมีขั้วเชน่ เดียวกัน ดงั นั้นน้ำและเอทานอลจะละลายเข้าด้วยกัน และน้ำมัน
ผสมกับโคโรฟอร์ม โดยน้ำมันเป็นสารที่ไม่มีขั้วและโคโรฟอร์มเป็นสารที่ไม่มีขั้วเช่นเดียวกัน จึงละลายเข้าด้วยกันได้
ดงั น้ันสารทล่ี ะลายเข้าดว้ ยกนั จะเป็นไปตามหลกั การของ like dissolve like
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 21
ขน้ั ท่ี 2 ข้ันสำรวจค้นหา (Exploration) 25 นาที
2.1 ครแู จกใบความรู้ เรื่อง แรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งโมเลกลุ ใหน้ กั เรียนศกึ ษาโดยใชเ้ วลา 5 นาที
2.2 ครใู ห้นกั เรียนจบั คู่ 2 คน โดยใหแ้ ต่ละคสู่ ง่ ตวั แทนเพ่ือมาจับสลากโมเลกุลโคเวเลนต์
2.3 นักเรียนจับสลากโมเลกุลแล้ว ให้นักเรียนแต่ละคู่ทำการศึกษาและสืบค้น โครงสร้างลิวอิส
รูปรา่ งโมเลกุล สภาพขัว้ จุดเดือด และจดุ หลอมเหลว ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ที่จับสลากได้
2.4 ครสู ุม่ นกั เรยี นแต่ละคู่ มาอภิปรายสมบตั ขิ องโมเลกลุ โคเวเลนต์ท่จี ับฉลากได้
2.5 ครทู ำการอธบิ ายเพ่ิมเติมเกย่ี วกบั แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกุลเพ่ือทำใหน้ ักเรียนเกดิ ความเข้าใจ
ความสัมพนั ธ์ของแรงยดึ เหนยื่ วระหวา่ งโมเลกลุ จดุ เดอื ด และจุดหลอมเหลว ดังน้ี
1. แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลไม่มีขั้วกบั ไม่มีขั้ว แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลไม่มีขัว้ กับไม่มีข้ัว
คือ แรงแวนเดอร์วาลสช์ นิด แรงลอนดอน เกิดขึ้นเนือ่ งจากอเิ ลก็ ตรอนมีการเคลือ่ นที่รอบนิวเคลียสตลอดเวลาจึงทำให้
ความหนาแน่นของอิเล็กตรอนรอบ ๆ นิวเคลียสไม่เท่ากัน ทำให้โมเลกุลกลายเป็นโมเลกุลมีขั้วอย่างอ่อน ดังนั้นเม่ือ
โมเลกุลไม่มีขั้วกลายเป็นโมเลกุลมีขั้วจะไปเหนี่ยวนำให้โมเลกุลใกล้เคียงกลายเป็นโมเลกุลมีขั้วด้วย จึงเกิดแรงดึงดูด
ระหว่างโมเลกุล ซ่ึงเรยี กวา่ แรงลอนดอน (London force) แรงนม้ี ีคา่ น้อยมากแตจ่ ะมีคา่ มากขึ้นเม่ือสารมีมวลโมเลกุล
เพิม่ ขึ้น
รูปท่ี 2 แสดงการเกดิ โมเลกุลมขี ้วั อย่างอ่อน ๆ และชกั นำใหโ้ มเลกลุ ใกล้เคียงกลายเปน็ โมเลกุลมีข้ัว
2. แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีขั้วกับโมเลกุลมีขั้ว เป็นแรงแวนเดอร์วาลส์อีกชนิดหนึ่ง ซึ่ง
เรียกชื่อเฉพาะว่า แรงไดโพล – ไดโพล (Dipole - dipole interaction) หรือแรงดึงดูดระหว่างขั้วบวกกับ
ขั้วลบของโมเลกุล แรงไดโพล - ไดโพลนี้ แข็งแรงกว่าแรงลอนดอน เพราะเป็นแรงดึงดูดทางไฟฟ้าระหว่างขั้วบวกของ
โมเลกุลหนึ่งกับขั้วลบของอีกโมเลกุลหนึ่ง แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีขั้ว นอกจากแรงไดโพล ไดโพลแล้วยังมีแรง
ลอนดอนรว่ มอยดู่ ว้ ย
รปู ที่ 3 แสดงการเกิดแรงไดโพล – ไดโพล
กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 22
ดังนั้นสารที่โมเลกุลมีขั้ว เช่น H2S, CO, SO2, CHCI3, HCI ฯลฯ จึงมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงกว่าสารท่ี
โมเลกลุ ไมม่ ขี วั้ ซง่ึ มมี วลโมเลกุลเทา่ กันหรือใกลเ้ คยี งกัน
ตารางท่ี 1 ตารางแสดงสมบตั บิ างประการของสารประกอบโคเวเลนต์
สาร มวลโมเลกลุ สภาพขวั้ ของโมเลกุล จุดหลอมเหลว(℃) จุดเดือด(℃)
-111.8
SiH4 32 ไมม่ ีขัว้ -185 -186
-152
Ar 39.95 ไม่มีขั้ว -189 445
-60.7
Kr 83.80 ไม่มีขัว้ -157 -85
S8 256 ไม่มีขว้ั 113
H2S 34 มขี ั้ว -85.5
HCl 36.5 มขี วั้ -114
3. การเกิดพันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุล แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีขั้วกับมีขั้วนอกจากเป็น
แรงไดโพล - ไดโพล ผสมกับแรงลอนดอนแล้ว โมเลกุลมีขั้วบางชนิดซึ่งมีสภาพขั้วแรงมากจะยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะ
ไฮโดรเจน และมีแรงลอนดอนเป็นแรงเสรมิ
โมเลกุลมขี ้วั ท่ีจะมแี รงยดื เหน่ียวระหวา่ งโมเลกุลเป็นพันธะไฮโดรเจน ส่วนใหญจ่ ะมีลักษณะดังนี้
1. มธี าตุไฮโดรเจน (H) เปน็ องคป์ ระกอบ
2. ธาตไุ ฮโดรเจน เกิดพันธะกับธาตทุ ่ีมคี ่าอเิ ล็กโทรเนกาตวิ ติ ีสูง และขนาดอะตอมเลก็ ได้แก่ ธาตุ F, O หรอื N
3. ที่ธาตุ F, O หรอื N มีอเิ ล็กตรอนค่โู ดดเดยี่ วเหลืออยู่
การเกิดพันธะไฮโดรเจน อธิบายได้ดังนี้ เมื่อ H เกิดพันธะโคเวเลนต์กับธาตุ F, O หรือ N พันธะที่เกิดขึ้นเป็น
พันธะมขี ว้ั และโมเลกุลมขี ้วั ดว้ ย และเป็นโมเลกลุ ที่มสี ภาพมีขว้ั สูง เพราะ H กบั F หรอื O หรือ N มคี ่า EN ต่างกันมาก
และที่ F, O หรือ N มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวเหลืออยู่ ยิ่งทำให้สภาพมีขั้วของโมเลกุลเพิ่มขึ้น โดยทางด้าน H แสดง
อำนาจขั้วไฟฟ้าบวกมาก ส่วนทางด้าน F, O หรือ N แสดงอำนาจขั้วไฟฟ้าลบมาก จึงทำให้เกิดแรงดึงดูดทางไฟฟ้า
ระหว่างโมเลกุลทมี่ ีความแข็งแรงพอท่ีจะเรยี กว่า พันธะไฮโดรเจนได้ พันธะไฮโดรเจนน้แี ข็งแรงกว่าแรงไดโพล - ไดโพล
และแรงลอนดอน
รปู ที่ 4 แสดงการเกดิ พันธะไฮโดรเจนระหวา่ งโมเลกุลของ H2O
กลุม่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 23
พันธะไฮโดรเจน นอกจากเกิดขึ้นระหว่างโมเลกุลของสารชนิดเดียวกันแล้วยังเกิดขึ้นระหว่างโมเลกุลของสาร
ต่างชนิดกนั ก็ได้ เช่น การเกิดพันธะไฮโดรเจนระหวา่ งโมเลกลุ ของนำ้ (H2O) กบั โมเลกลุ ของเอทานอล (C2H5OH)
รูปท่ี 5 แสดงการเกิดพันธะไฮโดรเจนระหวา่ งโมเลกุล C2H2OH กับ H2O
2.6 นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 2-3 คน หรือ เท่า ๆ กัน พร้อมกับให้นักเรียนมารับป้าย แต่ละกลุ่ม
จะได้ปา้ ย 2 ใบ โดยจะมปี ้าย A และป้าย B
2.7 ครูทำการแจ้งองค์ประกอบของแผ่นปา้ ยโมเลกุลโคเวเลนต์ท่ีจะใช้ในกิจกรรมเร่ือง แรงยึดเหน่ยี ว
ระหว่างโมเลกุล (ในป้ายโมเลกุลโคเวเลนต์ 1 ป้าย จะประกอบไปด้วย ชื่อสาร จุดเดือด และรูปโครงสร้าง โดยใช้
โมเลกลุ ทีไ่ มม่ ีความซับซ้อนจำนวน 6 โมเลกุล)
ขนั้ ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ มีดังนี้
1) ครูตดิ แผ่นป้ายโมเลกลุ โคเวเลนต์ 2 แผน่ ปา้ ย ใหแ้ ยกออกเป็น ซา้ ยมอื คือฝง่ั A และด้านขวามอื คอื ฝั่ง B
2) ครูติดป้ายโมเลกุลโคเวเลนต์เรียบร้อยแล้ว ครูให้เงื่อนไขกับนักเรียน (เงื่อนไขคือ โมเลกุลทีม่ ีความ
แข็งแรง โมเลกุลทีไ่ มแ่ ข็งแรง หรอื เงอ่ื นไขอื่นๆตามความเหมาะสม)
3) ครูให้เงื่อนไขกับนักเรียนแล้ว ครูให้นักเรียนร่วมกันพิจารณาสมบัติของโมเลกุลโคเวเลนต์ท่ีครูติด
แผ่นป้ายไว้ โดยใชเ้ วลาในการพิจารณา 1 นาที
4) เมื่อครบ 1 นาที ครูสั่งหมดเวลา และครูให้นักเรียนยกป้าย A หรือ B เพื่อเป็นการเลือกคำตอบ
ตามเงื่อนไขทีค่ รูบอกกบั นักเรยี นในตอนตน้
5) จากน้ันครูเฉลยคำตอบ อธิบายและเปรยี บเทยี บสมบตั ขิ องสารโคเวเลเวนต์ทตี่ ดิ แผ่นป้ายขนึ้ มา
6) ครูทำการติดป้าย โมเลกุลโคเวเลนต์ชุดใหม่ และกระทำเหมือนข้างต้น (จำนวนรอบของการตอบ
ตามความเหมาะสม)
ข้ันที่ 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) 15 นาที
ครตู ั้งคำถามให้นกั เรียนอภปิ ราย เรือ่ ง แรงยดึ เหนย่ี วระหว่างโมเลกุล เช่น
คำถาม : สารโคเวเลนต์ที่กำหนดให้ต่อไปนี้ F2 , HCl , H2O , H2S , CO2 และ CH3COOH
มีแรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งโมเลกุลเป็นแรงชนดิ ใด
แนวคำตอบ : F2 และ CO2 มแี รงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกุลเป็นแรงลอนดอน
HCl และ H2S มแี รงยดึ เหนีย่ วระหว่างโมเลกลุ เป็นแรงดงึ ดูดระหวา่ งขว้ั
H2O และ CH3COOH มีแรงยึดเหนยี่ วระหวา่ งโมเลกุลเปน็ พันธะไฮโดรเจน
กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 24
คำถาม : จงเรียงลำดบั จุดเดือดของสารตอ่ ไปน้ี NH3 , CH4 , PH3 จากสงู ไปต่ำ
แนวคำตอบ : จุดเดอื ดของ NH3 > PH3 > CH4
ข้ันที่ 4 ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration) 5 นาที
4.1 ครูสรุปผลการทำกิจกรรมเรื่อง แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล พร้อมอธิบายให้นักเรียนฟัง
โดยผา่ น PHET Interactive Simulations เพือ่ ใหน้ ักเรยี นเกดิ ความเขา้ ใจมากยิ่งขน้ึ ดงั นี้
ความสัมพนั ธ์ของอุณหภมู แิ ละแรงยดึ เหน่ยี ว ตอ้ งพิจารณาจากการเปลีย่ นสถานะของสารต้องมีการ
ให้ความร้อนแก่สาร เพ่ือให้อนุภาคของสารมีพลังงานจลน์สูงพอที่จะหลุดออกจากกัน แสดงวา่ สารแต่ละสถานะ
มีแรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกลุ ซ่ึงเรยี งลำดบั จากมากไปน้อยดังนี้ ของแขง็ > ของเหลว > กา๊ ซ
การเปลี่ยนสถานะของสารโคเวเลนต์ มีการทำลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเท่านั้น ไม่มีการ
ทำลายพันธะเคมี ดังนัน้ สารท่ีมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสูง แสดงวา่ แรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลสงู
รูปที่ 4 ศึกษาเร่ือง จุดเดอื ดและจดุ หลอมเหลว
ผ่าน PHET Interactive Simulations
4.3 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปราย และเปรียบเทียบคุณสมบัติของโครงสร้างโมเลกุลที่อยู่ในแผ่น
ป้ายเพอ่ื ทำให้นกั เรยี น มีความเข้าใจและสามารถพิจารณาสมบัติของสสารได้อยา่ งถกู ต้อง
ข้ันที่ 5 ขน้ั ประเมิน (Evaluation) 5 นาที
ครปู ระเมนิ การทำกจิ กรรมการเรยี นร้ขู องนักเรียนในทุก ๆ ข้นั ตอน
5.1 ครูประเมินความรดู้ ้วยแบบบันทึกการตรวจงาน เรือ่ ง แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกุล
5.2 ครูประเมินทักษะกระบวนการดว้ ยบนั ทึกการตรวจงาน เร่อื ง แรงยดึ เหน่ียวระหว่างโมเลกุล
5.3 ครูประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ / เจตคติทางวิทยาศาสตร์ ด้วยแบบประเมินคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
5.4 ครูมอบหมายใบงานเรื่อง แรงยึดเหนีย่ วระหว่างโมเลกุล เปน็ การบ้านและส่งในชวั่ โมงถดั ไป
กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 25
5. ตารางการวดั และการประเมนิ ผล
สิ่งที่วัด วิธีการวดั เครอื่ งมอื วัด เกณฑ์การผา่ น
1. ความรู้ (K) ประเมนิ จาก เครื่องมือท่ี 1 ผา่ นเกณฑ์
แบบบนั ทกึ การตรวจงาน คุณภาพ
1.1 อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง 1. การตรวจแบบ เรอ่ื ง แรงยดึ เหนย่ี ว รอ้ ยละ 60
ระหวา่ งโมเลกุล ข้นึ ไป
จุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดของสาร บนั ทกึ กิจกรรม
เคร่อื งมือที่ 1 ผา่ นเกณฑ์
กับแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล 2. การตอบคำถาม แบบบนั ทึกการตรวจงาน คุณภาพ
เรื่อง แรงยึดเหน่ยี ว ร้อยละ 60
ของสารโคเวเลนต์ ระหวา่ งโมเลกลุ ขึน้ ไป
เครื่องมอื ท่ี 1 ผ่านเกณฑ์
1.2 ระบุชนิดของแรงยึดเหน่ียว ประเมนิ จาก แบบบันทกึ การตรวจงาน คณุ ภาพ
เรื่อง แรงยดึ เหน่ียว ร้อยละ 60
ระหว่างโมเลกลุ โคเวเลนต์ได้ 1. การตรวจแบบ ระหวา่ งโมเลกุล ขนึ้ ไป
เครื่องมอื ท่ี 2 ผ่านเกณฑ์
บนั ทกึ กิจกรรม แบบประเมินคุณลักษณะ คณุ ภาพ
อันพงึ ประสงค์ ระดับพอใชข้ ึน้ ไป
2. การตอบคำถาม
2. ทกั ษะกระบวนการ/ทักษะ (P) ประเมินจาก
ใช้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล 1. การตรวจแบบ
ทำนายจุดเดือดจุดหลอมเหลวของ บันทกึ กิจกรรม
สารโคเวเลนตไ์ ด้ 2. การตอบคำถาม
3. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A) ประเมินจาก
มวี นิ ัย ใฝเ่ รยี นรู้ มุ่งมั่นใน การสงั เกตพฤติกรรม
การทำงาน
6. สอื่ และแหลง่ การเรยี นรู้
6.1 สอื่ การเรียนรู้
1) หนังสือเรียนรายวชิ าเพม่ิ เตมิ วิทยาศาสตร์ เคมี 1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3
พันธะเคมี (สสวท.)
2) แผ่นป้ายกิจกรรม เร่ือง แรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ
3) ใบงาน เรอ่ื ง แรงยึดเหน่ยี วระหวา่ งโมเลกุล
4) ใบความรู้ เรื่อง แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
5) สมดุ ประจำตัวนกั เรยี น
6) สลากโครงสรา้ งโมเลกุลโคเวเลนต์
7) Microsoft Power point เร่อื ง แรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งโมเลกลุ
10.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) หอ้ งเรยี น
2) หอ้ งปฏิบตั กิ ารวทิ ยาศาสตร์
กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 26
เคร่ืองมอื ท่ี 1 แบบบนั ทึกการตรวจงานแบบบนั ทกึ กจิ กรรม เรอื่ ง แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกุล
คำช้แี จง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขดี ลงในชอ่ งที่
ตรงกับระดับคะแนน
ประเดน็ ทีป่ ระเมินตามจุดประสงค์
การจัดการเรยี นรู้ เกณฑ์
ด้านความรู้ ดา้ นทักษะ การ
(K) กระบวนการ ตดั สิน
(P)
ลำดับ ช่ือ-นามสกุล คะแนน ี่ทได้
(5 คะแนน)
คะแนน ่ีทไ ้ด
(5 คะแนน)
รวม (10 คะแนน)
คิดเป็นร้อยละ
ผ่าน
ไม่ผ่าน
เกณฑ์การผ่าน ลงช่ือ.........................................................ผปู้ ระเมิน
(นายสนธยา ไตรสังข์)
- คะแนนตามจดุ ประสงคด์ า้ นความรู้ 3 คะแนนขึน้ ไป
.........../..................../...............
- คะแนนตามจดุ ประสงค์ด้านทกั ษะกระบวนการ 3 คะแนนขึน้ ไป
- ผา่ นเกณฑค์ ณุ ภาพรอ้ ยละ 60 ข้นึ ไป
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 27
เครอื่ งมือที่ 2 แบบประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
คำชแ้ี จง :ใหผ้ สู้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในช่อง
ที่ตรงกับระดบั คะแนน
1. มวี นิ ัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. ความมงุ่ มัน่ ในการทำงาน
1.1 1.2 2.1 2.2 3.1 3.2
ลำดับ ชือ่ -สกลุ มคี วามตรง มีความตรง มคี วาม ปรกึ ษาและ มคี วามขยัน มคี วาม รวม
ท่ี ของผ้รู บั การประเมนิ
ตอ่ เวลาใน ตอ่ เวลาใน ต้งั ใจในการ สอบถามครู หม่นั รอบคอบ 18
การทำ การส่งงาน สืบคน้ สมำ่ เสมอ เพียรในการ ในการทำ คะแนน
กจิ กรรม ความรู้ ทำกิจกรรม กจิ กรรม
32103210321032103210 3210
ลงชอ่ื .........................................................ผปู้ ระเมิน
(นายสนธยา ไตรสังข์)
.........../..................../...............
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน เกณฑก์ ารตดั สนิ คุณภาพ
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครงั้ ให้ 3 คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครง้ั ให้ 2 คะแนน
ไม่ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรม ให้ 1 คะแนน 15 - 18 ดีมาก
ให้ 0 คะแนน
11 - 14 ดี
7 - 10 พอใช้
ตำ่ กว่า 7 ปรบั ปรุง
กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 28
บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้
1.ดา้ นความรู้
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................
2.ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................
3.ดา้ นคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................
4.ดา้ นอน่ื ๆ (พฤตกิ รรมเด่น หรอื พฤตกิ รรมท่มี ีปญั หาของนักเรียนเปน็ รายบคุ คล (ถา้ มี))
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................
5.ปญั หา/อุปสรรค
...................................................................................................................................................... ......................................
............................................................................................................................................................................................
6.ข้อเสนอแนะ/แนวทางการแกไ้ ข
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................
ลงช่ือ.....................................................ผสู้ อน
(นายสนธยา ไตรสงั ข์)
บันทึกขอ้ เสนอแนะของผบู้ รหิ ารหรอื ผู้ท่ีได้รับมอบหมาย
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ...................................................................
()
ตำแหนง่ ..............................................................
วิชา เคมี 1 (ว30221) บทท 3 พนั ธะเคมี ครผู ูส้ อน นายสนธยา ไตรสงั ข ์
ใบความรู้
เรอง แรงยดึ เหนยวระหวา่ งโมเลกุล
แรงยดึ เหนยวระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ จําแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดังน
1. แรงแวนเดอร์วาลส์ (Van der Waals force) คือแรงยดึ เหนยวระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนตท์ ุกชนิด
ทงโมเลกุลทไมม่ ีขวและโมเลกุลทมีขว ซงแรงแวนเดอร์วาลส์ จะแปรตามมวลโมเลกุลและขนาดของโมเลกุล
แรงแวนเดอรว์ าลส์มี 3 แบบ ดงั น
1.1 แรงลอนดอน (London force) แรงลอนดอนหรือแรงแผก่ ระจายในโมเลกุลไมม่ ีขว
เนองจากการแผก่ ระจายของกลุม่ หมอกอิเล็กตรอนในโมเลกุล อาจเกิดความหนาแน่นในแตล่ ะดา้ นไมเ่ ทา่ กัน
ทําใหเ้ กิดขวไฟฟ้าและเกิดแรงดงึ ดดู ระหวา่ งโมเลกุล
ปั จจยั ทมผี ลตอ่ แรงลอนดอน
1. มวลโมเลกุล สารทมีมวลโมเลกุลมากขน จะมีขนาดใหญม่ ีจํานวนอิเล็กตรอนมากเมอกลุม่ หมอก
อิเลก็ ตรอนมากและหนาแน่น ทาํ ใหเ้ กดิ อํานาจไฟฟ้าลบและบวกชวคราวได้ จึงมผี ลทาํ ใหแ้ รงลอนดอนสงู ขน
2. ขนาด รปู รา่ งและพนทผวิ ของโมเลกุล สารทมมี วลโมเลกลุ เทา่ กันหรือใกลเ้ คยี งกันสารทมีขนาดใหญ ่
และมพี นผวิ โมเลกุลมาก จะเกดิ แรงลอนดอนมากกวา่ สารทมีขนาดโมเลกุลเลก็ และมพี นผวิ โมเลกุลน้อย
1.2 แรงดึงดูดระหวา่ งขวหรือแรงไดโพล-ไดโพล (Dipole - dipole force) แรงดึงดูดระหวา่ งขว
นนเกิดจากโมเลกุลมขี วถาวร มีดา้ นหนงเป็นขวลบ อีกดา้ นหนงเป็นขวบวก จึงเกิดแรงดึงดูดกันระหวา่ งดา้ นทมี
ขวไฟฟ้าบวกกับดา้ นทมีขวไฟฟ้าลบ ดังน
ในขณะทเกิดแรงดงึ ดดู ระหวา่ งขวทมีประจุไฟฟ้าตา่ งชนดิ กนั จะเกิดแรงผลักระหวา่ งขวทมีประจุเหมอื นกัน
ทาํ ใหร้ ะยะหา่ งระหวา่ งโมเลกลุ คงท
วชิ า เคมี 1 (ว30221) บทท 3 พนั ธะเคมี ครผู สู ้ อน นายสนธยา ไตรสังข ์
1.3 แรงแวนเดอร์วาลส์ ระหวา่ งโมเลกุลมีขวกับโมเลกุลไมม่ ีขว เกิดจากโมเลกลุ โคเวเลนตม์ ีขวเขา้ ใกล้
โมเลกลุ ไมม่ ีขว เกดิ การเหนยวนาํ ทาํ ใหโ้ มเลกลุ ทถูกเหนยวนําเป็นโมเลกลุ มีขวจากการเหนยวนําทําใหเ้ กิดแรงดงึ ดดู
ระหวา่ งขว ดงั น
2. พันธะไฮโดรเจน (Hydrogen bond) พันธะไฮโดรเจนเป็นแรงยดื เหนยวระหวา่ งโมเลกุลมีขวเกิดจาก
การสร้างพันธะของธาตุไฮโดรเจนในโมเลกุลหนงกับธาตุในโมเลกุลอน พันธะไฮโดรเจนจะเกิดกับโมเลกุล
โคเวเลนตท์ ประกอบดว้ ยธาตุทมีคา่ EN สงู จึงเกิดสภาพขวทแรงเชน่ ธาตุ F, O, N ดังน
ตวั อยา่ ง การเกิดพันธะไฮโดรเจนระหวา่ งโมเลกลุ
ลักษณะของพันธะไฮโดรเจน
1. พันธะไฮโดรเจนเป็นการสรา้ งแรงดึงดดู ระหวา่ งโมเลกลุ ทมีขวชนิดหนง มีคา่ พลังงานสงู มาก
2. เป็นแรงดึงดูดทเกดิ ระหวา่ งธาตทุ มีคา่ EN สงู เชน่ F , O , N ซงมีสภาพเป็นขวลบของโมเลกลุ หนงกบั
ธาตุไฮโดรเจนซงมีสภาพเป็นขวบวกของอกี โมเลกลุ หนง
3. ความยาวพันธะของพนั ธะไฮโดรเจนยาวกวา่ พนั ธะโคเวเลนต์
4. สารทมีแรงยึดเหนยวระหวา่ งโมเลกลุ เป็นพันธะไฮโดรเจน จะมจี ุดหลอมเหลวและจุดเดอื ดสงู กวา่ สารทมี
แรงยึดเหนยวโมเลกุลเป็นแรงแวนเดอรว์ าลส์ทมีมวลโมเลกลุ ใกลเ้ คยี งกนั
5. การเกิดพันธะไฮโดรเจนของสารตา่ งชนิดกัน ระบบจะคายพลังงานเสมอ เชน่ การผสมเอทานอลกับนา
เขา้ ดว้ ยกนั จะเกดิ พันธะไฮโดรเจนระหวา่ งโมเลกลุ ของนา กบั เอทานอล อุณหภมู ขิ องสารละลายจงึ สงู กวา่ นา
ใบงาน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 29
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 พนั ธะเคมี เร่ือง แรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุล
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ครผู ู้สอน นายสนธยา ไตรสงั ข์
คำชแ้ี จง ให้นกั เรียนตอบคำถามตอ่ ไปน้ใี หถ้ กู ต้อง
1. จงบอกชนดิ ของแรงยึดเหนยี่ วระหว่างโมเลกุลทีส่ ำคัญของสารที่กำหนดใหต้ ่อไปน้ี
สาร แรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกุล
1. มีเทน (CH4)
2. ไฮโดรเจนซลั ไฟล์ (H2S)
3. กรดไฮโดรคลอรกิ (HCl)
4. น้ำแข็งแหง้ (CO2)
5. กรดแอซตี กิ (CH3COOH)
2. SiH4 มมี วลโมเลกลุ สงู กวา่ NH3 แตม่ ีจุดเดือดต่ำกว่า เพราะเหตุใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………….
3. กำหนดตารางแสดงจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารดังน้ี
สาร จุดหลอมเหลว℃ จุดเดอื ด℃
เอทานอล (CH3CH2OH) -114.1 78.3
เมทอกซมี เี ทน(CH3OCH3) -138.5 -23.0
สารใดน่าจะมพี นั ธะไฮโดรเจนยึดเหนย่ี วระหว่างโมเลกลุ เพราะเหตุใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
เฉลยใบงาน กลุม่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 30
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 พันธะเคมี เรอื่ ง แรงยดึ เหน่ียวระหว่างโมเลกลุ
ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 ครผู สู้ อน นายสนธยา ไตรสังข์
คำชี้แจง ใหน้ ักเรยี นตอบคำถามต่อไปนใ้ี ห้ถกู ต้อง
1. จงบอกชนิดของแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลทีส่ ำคัญของสารท่ีกำหนดใหต้ อ่ ไปน้ี
สาร แรงยึดเหนย่ี วระหว่างโมเลกุล
1. มีเทน (CH4) แรงลอนดอน
2. ไฮโดรเจนซัลไฟล์ (H2S) ดงึ ดูดระหวา่ งขั้ว
3. กรดไฮโดรคลอรกิ (HCl) ดึงดูดระหวา่ งข้ัว
4. น้ำแข็งแหง้ (CO2) แรงลอนดอน
5. กรดแอซีตกิ (CH3COOH) พนั ธะไฮโดรเจน
2. SiH4 มีมวลโมเลกุลสูงกว่า NH3 แต่มีจดุ เดอื ดตำ่ กวา่ เพราะเหตใุ ด
SiH4 เป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเป็นแรงลอนดอนเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ NH3
เป็นโมเลกลุ มีข้ัว แรงยึดเหน่ยี วระหว่างโมเลกุลเปน็ พนั ธะไฮโดรเจน
3. กำหนดตารางแสดงจดุ หลอมเหลวและจดุ เดอื ดของสารดงั น้ี
สาร จุดหลอมเหลว℃ จุดเดอื ด℃
เอทานอล (CH3CH2OH) -114.1 78.3
เมทอกซมี เี ทน(CH3OCH3) -138.5 -23.0
สารใดน่าจะมพี ันธะไฮโดรเจนยดึ เหนย่ี วระหว่างโมเลกุล เพราะเหตุใด
CH3CH2OH เพราะ มีจดุ เดอื ด จุดหลอมเหลวสูง และเมือ่ พิจารณามวลโมเลกุลของสารท้ังสอง ใกล้เคยี งกนั
กล่มุ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 31
ส่ือการเรยี นการสอน
PHET Interactive Simulations สื่อ power point
ใบความรู้ ใบงาน
AB Hydrogen
แผ่นปา้ ยเลือกคำตอบ 20K
แผน่ ป้ายโมเลกลุ โคเวเลนต์