40% OFF ซื้อขาย มาตรา 453 - มาตรา 517 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 40% OFF 651081136 นางสาวธนพร คำ ลอย
คำ นำ หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เรื่อง ซื้อขาย เพื่อนำ ไปใช้ในการ เรียนรู้ การจัดทำ หนังสือเล่มนี้ขึ้นเพื่อ ศึกษาหาความรู้ในเรื่องของสัญญาซื้อขาย ซึ่งจะได้ทราบถึงความหมายของ สัญญาซื้อขาย ประเภทของสัญญาซื้อขาย ตัวอย่างคำ พิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำ ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนต่อไป จัดทำ โดย 651081136 นางสาวธนพร คำ ลอย
สารบัญ เรื่อง หน้าสัญญาซื้อขายคืออะไร 1คำ มั่นจะซื้อจะขาย 5แบบของสัญญาซื้อขาย 6การโอนกรรมสิทธิ์ 8หน้าที่ความรับผิดของผู้ขาย 10หน้าที่ความรับผิดของผู้ซื้อ 19การซื้อขายที่มีลักษณะเฉพาะอย่าง 21บรรณานุกรม 30
1.สัญญาซื้อขายคืออะไร จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาระหว่างบุคคลสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือผู้ขาย อีกฝ่าย หนึ่งคือผู้ซื้อ โดยผู้ขายตกลงโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้นให้แก่ผู้ซื้อและผู้ซื้อตกลงที่จะชำ ระราคาให้แก่ผู้ขาย สัญญาซื้อขายจึงมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน โดยทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์ตอบแทนซึ่งกันและกัน ผู้ขายมีหน้า ที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ ส่วนผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำ ระราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขาย สัญญาซื้อขายจึงเป็นสัญญาที่มี การโอนกรรมสิทธิ์ตอบแทนกับราคา จากมาตรา 453 เราสามารถแยกพิจารณาลักษณะของสัญญาซื้อขายได้ดังนี้ 1) เป็นสัญญาต่างตอบแทน คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่าง มีหนี้ที่จะเรียกร้องให้ปฏิบัติเป็นการตอบแทนซึ่งกันและ กันโดยผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อส่วนผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำ ระราคาให้แก่ผู้ขาย 2) มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ โดยปกติผู้ขายจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น แม้ จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิก็มีสิทธิขายทรัพย์สินนั้นได้ เช่นในกรณีผู้ขายเป็นตัวแทนหรือเป็นผู้ขายทอดตลาด ทรัพย์สินที่จะนำ มาทำ การซื้อขายกันนั้น ได้แก่ ทรัพย์ตามความหมายในลักษณะทรัพย์ อาจเป็นวัตถุมีรูปร่าง หรือไม่มีรูปร่างก็ได้ ได้แก่ สังหาริมทรัพย์ทุกประเภท เช่น รถยนต์ เรือยนต์ แพ สัตว์พาหนะ อสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน ตึก รวมถึงสิทธิต่างๆซึ่งอาจอาจมีราคาและถือเอาได้ เช่น สิทธิในการเก็บรังนก สิทธิในการจับปลา เป็นต้น ปกติ ทรัพย์ที่จะซื้อขายกันจะต้องมีตัวตน และต้องสามารถระบุตัวทรัพย์นั้นได้แน่นอน เว้นแต่ทรัพย์บางอย่างอาจจะยังไม่มี ทรัพย์นั้นในขณะนั้นก็ได้แต่เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าจะมีขึ้นในภายหน้า เช่น ทำ สัญญาซื้อพัดลม 1000 เครื่อง และขณะที่ทำ สัญญาบริษัทอาจจะไม่มีพัดลมอยู่ถึง 1000 เครื่องโดยบริษัทจะเริ่มผลิตให้หลังทำ สัญญาซื้อขายก็ได้ มีทรัพย์สินบาง อย่างที่ไม่อาจนำ มาซื้อขายกันได้ เช่น ทรัพย์นอกพาณิชย์ ซึ่งเป็นซับที่ไม่สามารถถือเอาได้และ ไม่โอนให้กันได้โดยชอบ ด้วยกฎหมาย หรือกฎหมายบัญญัติห้ามเป็นพิเศษไว้ไม่ให้ทำ การซื้อขายหรือโอนให้กัน เช่นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ได้แก่ ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ ที่ดินที่รัฐบาลหวงห้าม 3) ผู้ซื้อตกลงจะใช้ราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขาย ราคาเป็นสาระสำ คัญในการซื้อขาย ราคาจะต้องกำ หนดเป็นตัว เงิน ถ้าไม่มีการให้ราคาแลกกับทรัพย์สินสัญญานั้นก็มิใช่สัญญาซื้อขาย และเงินนั้นจะต้องเป็นเงินตราที่ใช้กันอยู่ใน ปัจจุบัน เป็นเงินไทยหรือเงินต่างประเทศก็ได้ ซึ่งตามมาตรา 453 เพียงแต่ผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ ขาย สัญญาซื้อขายก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่จำ เป็นต้องใช้ราคากันจริงๆ เพราะคู่สัญญาอาจตกลงใช้ราคากันในเวลาอื่นก็ได้ ที่ว่าตกลงใช้ราคานั้น หมายความว่ามีราคา ไม่หมายความถึงขนาดที่ว่าต้องกำ หนดจำ นวนราคาเอาไว้ด้วย ซึ่ง การกำ หนดราคาอาจจะกำ หนดโดยวิธีหนึ่งวิธีใดก็ได้ เช่น กำ หนดไว้ในสัญญา หรือตกลงกันไว้ก็ได้ เช่นให้ถือตามราคา ในท้องตลาด ถ้าไม่ได้กำ หนดราคากันไว้ผู้ซื้อจะต้องใช้ราคาตามสมควร มาตรา 453 อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่ง ทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย สัญญาซื้อขาย 1
ตัวอย่างจริงของการใช้” มาตรา 453” หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 453 ” ในประเทศไทย คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ 2454/2563 หนังสือสำ นักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 19 กันยายน 2554 เรื่องการคืนเงินสำ หรับรถยนต์คันแรก ตามมติคณะ รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่อนุมัติหลักการและแนวทางในการคืนเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่คันแรกกำ หนดว่า ผู้ที่ ได้รับประโยชน์จากโครงการต้องเป็นการซื้อรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 โดยมิได้ระบุ ถึงการจองรถยนต์ไว้ด้วย การที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2555 ให้ขยายเวลาส่งมอบรถยนต์และยื่น เอกสารสำ หรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกโดยบันทึกข้อความของสำ นักมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี 2 ส่วนมาตร ฐานฯ 3 เรื่อง แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับเอกสารใบจองรถยนต์เพื่อการขอใช้สิทธิรถยนต์คันแรกระบุว่า ผู้ขอใช้สิทธิต้องซื้อ หรือจองรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 แต่ไม่สามารถรับมอบรถยนต์หรือไม่สามารถจด ทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกได้ทันภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และไม่สามารถยื่นเอกสารหลักฐานได้ภายในวันสิ้น สุดโครงการ สามารถนำ ใบจองมาขอใช้สิทธิตามโครงการรถยนต์คันแรกได้ แสดงว่าผู้ขอใช้สิทธิตามโครงการที่จองรถยนต์ไว้ แล้วยังจะต้องซื้อหรือทำ สัญญาเช่าซื้อกับผู้ให้เช่าซื้อต่อไปอีกจึงจะมีสิทธิได้รับเงินคืนการที่จำ เลยจองรถยนต์กับบริษัท ต. ผู้ จำ หน่ายรถยนต์เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2554 ก่อนคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการและแนวทางในการคืนเงินแก่ผู้ซื้อ รถยนต์ใหม่คันแรก เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2554 มิใช่เป็นการจองซื้อรถยนต์จากบริษัท ต. ผู้จำ หน่ายรถยนต์โดยตรง หาก แต่เป็นการจองเพื่อนำ รถยนต์ไปทำ สัญญาเช่าซื้อกับบริษัท ล. ผู้ให้เช่าซื้อ โดยบริษัท ล. เป็นผู้ชำ ระราคารถยนต์ส่วนที่เหลือ แก่บริษัท ต. จนครบถ้วนแล้วนำ หลักฐานการซื้อขายรถยนต์ที่ออกโดยบริษัท ต. ไปจดทะเบียนเป็นชื่อบริษัท ล. จากนั้น จำ เลยทำ สัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับบริษัท ล. เจ้าของรถยนต์ จำ เลยจึงเป็นเพียงผู้จองรถยนต์เพื่อนำ รถยนต์ไปทำ สัญญาเช่า ซื้อเท่านั้น หาใช่เป็นผู้ซื้อรถยนต์จากบริษัท ต. โดยตรงไม่ จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าการที่จำ เลยจองรถยนต์เป็นการตกลงซื้อขาย รถยนต์ที่สมบูรณ์ ถือไม่ได้ว่าเป็นการซื้อรถยนต์ตามมติคณะรัฐมนตรีในโครงการรถยนต์คันแรก เมื่อจำ เลยได้รับมอบรถยนต์ ที่จองในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555 และทำ สัญญาเช่าซื้อรถยนต์เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 จึงเป็นการเช่าซื้อรถยนต์ ภายในระยะเวลาของโครงการ จำ เลยย่อมมีสิทธิขอรับเงินค่าภาษีสรรพสามิตที่จ่ายไปคืนตามมติคณะรัฐมนตรี การใช้สิทธิ ขอรับเงินของจำ เลยมิได้ผิดเงื่อนไขอันจะต้องคืนเงินให้แก่โจทก์ ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตราป.พ.พ. ม. 453, ม. 572 คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ 2270/2558 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำ สัญญาซื้อที่ดินพร้อมบ้านจากจำ เลย แต่เมื่อตรวจสอบแนวเขตที่ดินแล้วปรากฏว่า บ้านปลูกสร้างอยู่ ในที่ดินของผู้อื่นบางส่วน เป็นการสำ คัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำ เลยและขอให้ จำ เลยคืนเงิน แต่จำ เลยไม่คืนเงินให้ ถือได้ว่าโจทก์มีข้อโต้แย้งสิทธิกับจำ เลยแล้ว โจทก์จึงมีอำ นาจฟ้อง ข้อเท็จจริงรับฟังว่า บ้านพิพาทที่โจทก์ซื้อจากจำ เลยตั้งอยู่บนที่ดินที่ซื้อบางส่วนและบางส่วนตั้งอยู่บนที่ดินของผู้อื่น กรณีถือ ได้ว่าโจทก์เข้าทำ สัญญาซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสำ คัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สิน ตามปกติถือว่าเป็นสาระ สำ คัญ หากมิได้มีความสำ คัญผิดการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำ ขึ้น สัญญาซื้อขายจึงตกเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 157 โจทก์มีสิทธิบอกล้างโดยการแสดงเจตนาเลิกสัญญาแก่จำ เลยซึ่งเป็นผู้ขายได้และเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำ เลยต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา ป.วิ.พ. ม. 55 ป.พ.พ. ม. 157, ม. 453 2
ประเภทของสัญญาซื้อขาย แบ่งได้ 2 ประเภท 1. สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด 2. สัญญาจะซื้อจะขาย สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อพิจารณาตามมาตรามาตรา 455 คำ ว่าสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด หมายถึงสัญญาซื้อขายสำ เร็จบริบูรณ์ เป็นสัญญาซื้อขายที่เกิดขึ้นจากการตกลงกันของคู่กรณี โดยฝ่ายผู้ขายตกลงโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ ซื้อตกลงชำ ระราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขาย ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ การส่งมอบทรัพย์ การชำ ระราคา อาจทำ ภายหลังได้ เพราะเป็นการปฏิบัติตามสัญญาของคู่กรณีซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากสัญญาซื้อขายได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น ก. ซื้อหนังสือจาก ข. 1 เล่ม ราคา 25 บาท เมื่อตกลงราคากันเรียบร้อยแล้ว สัญญาซื้อขายก็เกิดขึ้นเป็น สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ในสัญญาซื้อขายโดยทั่วๆไปไม่มีแบบ แต่บางอย่างกฎหมายเห็นว่ามีความสำ คัญควรได้กำ หนดวิธีการในการ ซื้อขายไว้เป็นกรณีพิเศษ โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 456 วรรค1 ว่า การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำ เป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพ และสัตว์พาหนะด้วย จะเห็นได้ว่ามาตรา 456 วรรค1 ใช้บังคับบังคับแต่เฉพาะเรื่องการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดโดย ต้องการให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายกัน ดังนั้นถ้าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์ทุกชนิด ต้องทำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ถ้าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดสังหาริมทรัพย์โดยทั่วๆไป ไม่จำ เป็นต้องแบบ คู่สัญญาตกลงกันแล้วก็ใช้ได้ ยกเว้นสังหาริมทรัพย์บางประเภท ได้แก่เรือมีระวางตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไป ซื้อขายแพ หมายความเฉพาะแต่แพที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนเท่านั้น สัตว์พาหนะได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ ลา ล่อ ที่ใช้ ในการขับขี่ ลากเข็น และบรรทุก ถ้าเป็นการขายเสร็จเด็ดขาดสังหาริมทรัพย์เหล่านี้กฎหมายบังคับว่าต้องทำ เป็น หนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนสังหาริมทรัพย์บางอย่างถือว่าเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาไม่ได้เข้าข้อ ยกเว้น มาตรา 455 บัญญัติว่า เมื่อกล่าวต่อไปเบื้องหน้าถึงเวลาซื้อขาย ท่านหมายความว่าเวลา ทำ สัญญาซื้อขายสำ เร็จบริบูรณ์ คำ พิพากษาฎีกาที่ 394 / 2508 จำ เลยขายที่ดินมือเปล่าให้โจทก์ ทำ หนังสือสัญญากันเองทั้งสองฝ่าย โดยมิได้มี เจตนาที่จะไปจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ชำ ระเงินให้จำ เลยครบถ้วนแล้วทุกอย่าง จำ เลยส่งมอบทรัพย์สินให้แล้ว โดยคู่สัญญามิได้มีเจตนาจะไปจดทะเบียนกันเลย ดังนั้น สัญญานี้จึงเป็นสัญญาซื้อ ขายเสร็จเด็ดขาด แต่เนื่องจากสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษต้อง ทำ ตามแบบ ดังนั้น สัญญานี้จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แต่ตกเป็นโมฆะ 3
สัญญาจะซื้อจะขาย หมายความถึง สัญญาซื้อขายที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายกันยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อทันทีขณะที่ทำ สัญญาซื้อ ขายกัน หากแต่มีผลผูกพันให้คู่สัญญาต้องทำ การซื้อขายให้สำ เร็จตลอดไป ทรัพย์สินที่จะนำ มาทำ สัญญาจะซื้อจะขาย กัน มีมาตรา 456 วรรค2 บัญญัติไว้ว่า สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำ มั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ใน วรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำ คัญ หรือได้วาง ประจำ ไว้ หรือได้ชำ ระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ทรัพย์สินที่จะนำ มาทำ สัญญาจะซื้อจะขาย กันควรจะเป็นทรัพย์สินตามมาตรา 456 วรรค1 ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน บ้าน และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ได้แก่ เรือกำ ปั่น เรือมีระวางตั้งแต่ หกตันขึ้นไป แพที่เป็นที่อยู่อาศัย สัตว์พาหนะที่ได้ทำ ตั๋วรูปพรรณแล้ว ดังนั้นหลักเกณฑ์ที่จะเป็นสัญญาจะซื้อจะขายคือ 1. กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อในขณะทำ สัญญา 2. ทรัพย์สินนั้นมักจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ 3. คู่สัญญาแสดงเจตนาที่จะไปโอนกรรมสิทธิ์หรือโอนกันทางทะเบียนในภายภาคหน้า คือมีข้อความที่แสดงให้เห็นว่าคู่ สัญญามีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในภายภาคหน้า สัญญาจะซื้อจะขาย ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิด หรือได้มีการวางประจำ ไว้ โดย ได้ชำ ระหนี้บางส่วนแล้ว จะนำ มาฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ ถ้ามีการฟ้องร้องบังคับคดีก็จะต้องมีหลักฐานอย่างหนึ่ง อย่างใดใน 3 ประการนี้ ถ้าไม่มีเลยก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้ แม้จะมีสัญญาจะซื้อจะขายก็ตาม เช่น ก. ซื้อที่ดินจาก ข. โดยทำ เป็นหนังสือ แต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และทั้ง ก. และ ข. ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียน เช่นนี้สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง ก. และ ข. เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่เป็นโมฆะ แต่ถ้าในกรณีที่ไม่ได้มีการจด ทะเบียน เพราะ ก. และ ข. มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนอีก 7 วันข้างหน้า สัญญานี้ก็เป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย เท่านั้น ซึ่งไม่ต้องทำ ตามแบบ เมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือแล้วสัญญาจะซื้อจะขายนี้บังคับกันได้ คำ พิพากษาฎีกาที่ 656 / 2496 สัญญาขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ผู้ซื้อวางมัดจำ ชำ ระราคาบางส่วนแล้ว ผู้ขาย มอบทรัพย์ให้ผู้ซื้อ สัญญาจะโอนให้ภายหลัง เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย คำ พิพากษาฎีกาที่ 906/ 2513 สัญญาซื้อขายที่ดินระบุว่าผู้ขายจะต้องทำ การรังวัดแบ่งแยกโฉนดให้กับผู้ซื้อและ โอนใส่ชื่อผู้ซื้อ ณ สำ นักงานที่ดิน ถือเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย 4
2.คำ มั่นจะซื้อจะขาย ก่อนที่จะมีการซื้อขาย ในเรื่องคำ มั่นจะซื้อจะขาย บุคคลผู้ให้คำ มั่นอาจจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายก็ได้ เป็นผู้ให้ คำ มั่นฝ่ายเดียวว่าจะซื้อหรือจะขายทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งในราคาที่แน่นอน ซึ่งผู้ให้คำ มั่นแต่ฝ่ายเดียวเท่านั้น เป็นผู้ที่ผูกพัน ต่อเมื่อผู้รับคำ มั่นได้แสดงความจำ นงต่อผู้ให้คำ มั่นว่าจะทำ การซื้อหรือขายแล้ว และคำ บอกกล่าวไปถึงผู้ ให้คำ มั่น จึงมีผลทำ ให้เกิดสัญญาซื้อขายนั้น ผู้ให้คำ มั่นอาจกำ หนดเวลาให้อีกฝ่ายสนองรับหรือหรือไม่กำ หนดเวลาไว้ก็ได้ ถ้าหากว่าคำ มั่นได้กำ หนดเวลา สนองรับไว้เป็นการแน่นอนแล้วจะถอนคำ มั่นนี้ก่อนกำ หนดระยะเวลาไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่ไม่ได้กำ หนดเวลาสนองรับไว้ ผู้ให้คำ มั่นก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ตลอดไป แต่ผู้ให้คำ มั่นมีสิทธิที่ จะกำ หนดเวลาพอสมควร และบอกกล่าวไปยังผู้รับคำ มั่นให้ตอบมาเป็นแน่นอนภายในเวลากำ หนดนั้นก็ได้ ซึ่งผู้รับ คำ มั่นจะต้องสนองต่อภายในเวลานั้น ถ้าไม่ตอบเป็นแน่นอนในเวลากำ หนดดังกล่าวคำ มั่นก็เป็นไร้ผล เช่น ก ให้คำ มั่น กับ ข ว่าจะขายวิทยุให้หนึ่งเครื่องในราคา 1000 บาท โดยไม่ได้กำ หนดเวลาสนองรับไว้ ต่อมา ก. มีสิทธิในการที่จะ บอกไปยัง ข. ว่าถ้าตกลงจะซื้อให้บอกมาภายใน 5 วัน หรือ 10 วัน ซึ่งถ้า ข. ไม่ตอบมาภายในกำ หนดเวลาดังกล่าวนั้น ก. สิ้นความผูกพัน มาตรา 454 การที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งให้คำ มั่นไว้ก่อนว่าจะซื้อหรือขายนั้นจะมีผลเป็นการซื้อขายต่อเมื่ออีก ฝ่ายหนึ่งได้บอกกล่าวความจำ นงว่าจะทำ การซื้อขายนั้นให้สำ เร็จตลอดไปและคำ บอกกล่าวเช่นนั้นได้ไปถึงบุคคลผู้ให้ คำ มั่นแล้ว ถ้าในคำ มั่นมิได้กำ หนดเวลาไว้เพื่อการบอกกล่าวเช่นนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้ให้คำ มั่นจะกำ หนดเวลาพอ สมควรและบอกกล่าวไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งให้ตอบมาเป็นแน่นอนภายในเวลากำ หนดนั้นก็ได้ว่าจะทำ การซื้อขายให้ สำ เร็จตลอดไปหรือไม่ ถ้าและไม่ตอบเป็นแน่นอนภายในกำ หนดเวลานั้นไซร้ คำ มั่นซึ่งได้ให้ไว้ก่อนนั้นก็เป็นอันไร้ผล 5
3.แบบของสัญญาซื้อขาย สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาที่อาศัยความตกลงของคู่สัญญา เมื่อคู่สัญญาตกลงซื้อขายกันด้วยวาจาก็สำ เร็จเป็น สัญญาซื้อขายกันโดยสมบูรณ์ โดยผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินและผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำ ระราคา ถ้าฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งไม่ปฏิบัติหน้าที่ อีกฝ่ายหนึ่งย่อมฟ้องร้องได้ตามกฏหมาย แต่ในการซื้อขายทรัพย์บางอย่าง กฎหมายได้จัดระเบียบ ในการซื้อขายไว้ แบ่งออกได้เป็น 3 กรณีด้วยกันคือ 1) การซื้อขายที่กฎหมายบังคับให้ทำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นไปตามมาตรา 456 วรรค1 บัญญัติไว้ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย มาตรานี้จึงเป็นแบบที่กฎหมายบัญญัติไว้เพื่อให้คู่สัญญาปฏิบัติตาม มิฉะนั้นการซื้อขายเป็นโมฆะ โดยใช้บังคับบังคับ โดยเฉพาะการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ซึ่งต้องการให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายกันทันที ไม่บังคับถึงการทำ สัญญาจะซื้อจะขาย และคำ มั่นในการจะซื้อจะขาย หรือในการซื้อขายทรัพย์สินประเภทอื่น เช่น รถยนต์ ปืน แม้ทรัพย์ นั้นจะมีทะเบียนก็ตาม การซื้อขายทรัพย์สินตามมาตรา 456 วรรค1 ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ทำ ตามแบบนั้น มีข้อสังเกตอยู่ 3 ประการ คือ 1) แบบนั้นเป็นแบบที่กฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งคู่สัญญาต้องปฏิบัติตาม เพื่อความสมบูรณ์ของสัญญา หากไม่ทำ ให้ถูกแบบ สัญญาก็เป็นอันว่าใช้ไม่ได้ ถือเป็นโมฆะ 2) ใช้สำ หรับสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเท่านั้น ไม่รวมถึงสัญญาซื้อขายประเภทอื่น 3) แบบที่กำ หนดไว้คือ ทำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้นต้องทำ ทั้งสองประการ การทำ เป็นหนังสือนั้นมาตรา 9 กำ หนดเอาไว้ว่า เมื่อมีกิจการอันใดซึ่งกฎหมายบังคับให้ทำ หนังสือไซร้ ท่านว่า บุคคลนั้นจะต้องทำ เป็นหนังสือไม่จำ เป็นต้องเขียนเองแต่ต้องลงลายมือชื่อ ซึ่งการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่กฎหมาย บังคับว่าต้องทำ เป็นหนังสือ ก็ควรต้องมีการลงลายมือชื่อทั้งหมดของผู้ขายและผู้ซื้อ ถ้าการลงลายมือชื่อไม่อาจทำ ได้ ก็ อาจจะใช้การพิมพ์ลายนิ้วมือ แกงได หรือเครื่องหมายอื่นๆทำ นองเดียวกัน โดยให้พยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสอง คนตามที่กำ หนดไว้ในมาตรา 9 ก็ได้ คำ พิพากษาฎีกาที่ 253 / 2489 เรือนและครัวไฟซึ่งปลูกสร้างในที่ดินเป็นทรัพย์ติดกับที่ดิน ต้องเป็น อสังหาริมทรัพย์ สัญญาซื้อขายเรือนและครัวไฟถ้ามิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะ คำ พิพากษาฎีกาที่ 303 / 2501 การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยทำ เป็นหนังสือกันเอง และไม่ได้จดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ เมื่อผู้ขายกล่าวอ้างขึ้น ผู้ซื้อต้องคืนทรัพย์แก่ผู้ขายและรับเงินคืนจากผู้ขาย 6
และในการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่าจะต้องไปจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องใน เรื่องนั้น เช่น ถ้าเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์พนักงานที่มีอำ นาจรับจดทะเบียนคือพนักงานที่ดินหรือผู้การแทน โดยในการ จดทะเบียนก็ต้องทำ ตามแบบที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้วางไว้โดยเฉพาะในเรื่องนั้นๆ ซึ่งปกติแล้วแบบต่างๆนั้นว่าไว้โดย ชัดเจน 2) การซื้อขายที่จะฟ้องร้องกันได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือได้วางไว้หรือได้ชำ ระหนี้บางส่วนแล้ว มาตรา 456 วรรค2 สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำ มั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำ คัญ หรือได้วางประจำ ไว้ หรือ ได้ชำ ระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ตามบทบัญญัติมาตรา 456 วรรค2 ไม่ได้บังคับว่าต้องทำ เป็นหนังสือแต่ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ แม้ว่า ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ กฎหมายก็ไม่ได้บอกว่าสัญญาเป็นโมฆะ เป็นแต่ว่าถ้าจะฟ้องร้องบังคับคดีทำ ไม่ได้เท่านั้น ดังนั้นในวรรค2 จึงไม่ใช่เรื่องแบบเพื่อความสมบูรณ์ของสัญญา และสัญญาที่ทำ ขึ้นโดยไม่มีหลักฐาน ก็ไม่ได้เป็นโมฆะ สัญญานั้นก็ยังคงสมบูรณ์อยู่คงขาดแต่อำ นาจในการฟ้องร้องเท่านั้น สัญญาที่ต้องทำ ตามแบบเมื่อทำ ไม่ถูกแบบก็เป็นอันไม่สมบูรณ์ เท่ากับไม่ได้ทำ สัญญากันไว้เลย และคู่สัญญา ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะยกสัญญาที่ทำ ให้ถูกแบบเป็นโมฆะขึ้นกล่าวอ้างเพื่อการใดๆมิได้เลย ส่วนสัญญาที่กฎหมายต้องการ เพียงให้มีหลักฐานจึงจะฟ้องร้องกันได้ เมื่อคู่สัญญาตกลงกันแล้วแต่ไม่ได้มีหลักฐานกันไว้ สัญญานั้นก็ยังสมบูรณ์อยู่ คงขาดแต่อำ นาจฟ้องร้องเท่านั้น หลักฐานเป็นหนังสือ ไม่จำ เป็นต้องทำ ขึ้นในขณะทำ สัญญา จะทำ ขึ้นก่อนหรือภายหลังก็ใช้ได้ แต่ต้องทำ ไว้ ก่อนฟ้องคดี หลักฐานเป็นหนังสือที่จะใช้ในการฟ้องร้องบังคับคดีจะต้องเป็นหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ ต้องรับผิดเป็นสำ คัญ หมายความว่าการลงชื่อจะลงชื่อฝ่ายเดียวก็ได้หรือจะลงชื่อทั้งสองฝ่ายก็ได้ ถ้าลงชื่อทั้งสองฝ่ายก็ อาจฟ้องบังคับคดีซึ่งกันและกันได้ แต่ถ้าลงชื่อฝ่ายเดียว ฝ่ายที่ลงชื่อเท่านั้นที่อาจถูกฟ้องบังคับได้ การวางประจำ หรือการวางมัดจำ การวางประจำ คือการมอบเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นโดยฝ่ายผู้ซื้อหรือผู้ ขายก็ได้ให้ไว้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าทำ สัญญาซื้อขายกันและเป็นประกันในการที่จะปฏิบัติตามสัญญา การวางมัดจำ คือจำ นวนเงินหรือทรัพย์สินที่วางนั้นจะมากน้อยไม่สำ คัญ และเมื่อใดมีการวางมัดจำ แล้วคู่สัญญาฝ่าย หนึ่งฝ่ายใดก็อาจฟ้องให้บังคับคดีได้ การชำ ระหนี้บางส่วน การที่ผู้ซื้อหรือผู้ขายทำ การอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตาม สัญญาซื้อขาย เช่นการส่งมอบทรัพย์สินที่ขาย โดยการส่งมอบที่จะถือว่าเป็นการชำ ระหนี้บางส่วนนั้น ต้องเป็นการที่ผู้ ขายส่งมอบตามสัญญาซื้อขายด้วย และการชำ ระราคาบางส่วน ก็ถือเป็นการชำ ระหนี้บางส่วนได้ ตัวอย่างเช่น สัญญาซื้อขายที่ดินนั้น เมื่อผู้ซื้อได้ชำ ระราคาแล้วไม่จำ เป็นต้องทำ เป็นหนังสือก็ใช้บังคับได้หรือ เช่นที่ผู้ขายส่งมอบที่ดินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อก็ถือได้ว่ามีการชำ ระหนี้บางส่วนแล้ว แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ สัญญานั้นก็ บังคับกันได้ ในเรื่องการวางประจำ หรือชำ ระหนี้บางส่วน ฝ่ายใดจะเป็นผู้วางประจำ หรือชำ ระหนี้บางส่วนก็ตาม ทั้งผู้ซื้อ หรือผู้ขายย่อมยกเอาสัญญาซื้อขายนั้นฟ้องร้องกันได้ ซึ่งต่างกับการทำ สัญญาโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือฝ่ายที่ลง ลายมือชื่อในหลักฐานเป็นหนังสือเท่านั้นที่จะถูกฟ้องร้องได้ แต่จะฟ้องฝ่ายที่ไม่ได้ลงลายมือชื่อไม่ได้ 7
3) การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตกลงราคากันสองหมื่นบาทหรือกว่านั้นขึ้นไป มาตรา 456 วรรค3 บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่ง ตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย ในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตกลงซื้อขายกันเป็นราคาสองหมื่นบาทขึ้นไป ถ้าจะต้องมีการฟ้องร้องบังคับ คดีกันจะต้องนำ มาตรา 456 วรรค2 มาใช้บังคับ คือจะต้องมีหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดใน 3 ประการนี้ คือหลักฐาน เป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้รับผิดเป็นสำ คัญ หรือได้วางประจำ ไว้หรือได้ชำ ระหนี้บางส่วนแล้ว จึงจะฟ้องร้องบังคับ คดีได้ โดยในมาตรา 456 วรรค 3 ใช้คำ ว่าซื้อขาย ซึ่งหมายถึงสัญญาซื้อขายสำ เร็จบริบูรณ์ 4.การโอนกรรมสิทธิ์ เมื่อสัญญาซื้อขายเกิดขึ้นแล้ว โดยทั่วไปกรรมสิทธิ์ก็จะโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อเมื่อได้มีการทำ สัญญากันถูก ต้องตามกฎหมาย มาตรา 458 นี้เป็นหลักโดยทั่วๆไปของสัญญาซื้อขาย หมายถึงสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหรือ สัญญาซื้อขายสำ เร็จบริบูรณ์ โดยไม่คำ นึงถึงว่ามีการส่งมอบหรือชำ ระราคาหรือยัง เพราะสิ่งต่างๆเป็นเรื่องที่คู่สัญญา อาจทำ การหลังจากที่สัญญาเกิดขึ้นแล้วก็ได้ เช่น ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่กฎหมาย บังคับให้ต้องทำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กรรมสิทธิ์จะโอนก็ต่อเมื่อได้มีการทำ เป็นหนังสือและ จดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา สัญญาเกิดขึ้นเมื่อใดกรรมสิทธิ์โอนเมื่อนั้น หลักที่ว่ากรรมสิทธิ์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อทันทีเมื่อสัญญาซื้อขายเกิดขึ้นถือว่าเป็นหลักโดยทั่วๆไป แต่มีบางกรณี แม้ว่าจะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดก็ตาม แต่กรรมสิทธิ์อาจจะยังไม่โอน ดังในกรณีต่อไปนี้ 1) เมื่อสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาบังคับไว้ตามมาตรา 459 บัญญัติไว้ว่า ถ้าสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขหรือ เงื่อนเวลาบังคับไว้ ท่านว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่โอนไปจนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไขหรือถึงกำ หนด เงื่อนไขเวลานั้น เงื่อนไขนั้นเป็นข้อความอันบังคับไว้ให้นิติกรรมเป็นผลต่อเมื่อมีเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นใน อนาคตและไม่แน่นอน ซึ่งสัญญาซื้อขายจะเป็นผลต่อเมื่อเงื่อนไขนั้นสำ เร็จ คำ พิพากษาฎีกาที่ 716-717 / 2493 การซื้อขายรถยนต์โดยฝ่ายผู้ซื้อรับมอบรถไปและตกลง กันว่าผู้ซื้อจะ ต้องชำ ระราคาให้หมดเสียก่อน ผู้ขายจึงจะโอนทะเบียนให้ เป็นเงื่อนไขตามมาตรา 459 ซึ่งซึ่งกรรมสิทธิ์ยังไม่ โอนไปยังผู้ซื้อจนกว่าผู้ซื้อจะชำ ระราคาให้หมดเสียก่อน มาตรา 458 กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้นย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำ สัญญาซื้อขายกัน 8
2) ถ้าทรัพย์สินที่ซื้อขายนั้นยังกำ หนดลงไว้แน่นอน ตามมาตรา 460 วรรค1 บัญญัติว่า ในการซื้อขายทรัพย์สินซึ่ง มิได้กำ หนดลงไว้แน่นอนนั้น ท่านว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปจนกว่าจะได้หมายหรือนับ ชั่ง ตวง วัด หรือคัดเลือก หรือทำ โดยวิธีอื่นเพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็น แน่นอนแล้ว เนื่องจากทรัพย์สินที่ทำ การซื้อขายนั้นยังไม่ได้ กำ หนดเอาไว้แน่นอน เพราะฉะนั้นกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามมาตรา 460 วรรค1 เสียก่อน คือจะ ต้องทำ การอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้รู้ตัวทรัพย์สินนั้นให้แน่นอน กรรมสิทธิ์จึงจะโอน เช่น ซื้อข้าวเปลือก 100 กระสอบ ก็จะต้องตวงข้าวออกจากยุ้ง 100 กระสอบเสียก่อน กรรมสิทธิ์จึงจะโอน 3) มาตรา 460 วรรค2 บัญญัติว่า ในการซื้อขายทรัพย์สินเฉพาะสิ่ง ถ้าผู้ขายยังจะต้องนับ ชั่ง ตวง วัดหรือทำ การ อย่างอื่นหรือทำ สิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเกี่ยวแก่ทรัพย์สิน เพื่อให้รู้กำ หนดราคาทรัพย์สินนั้นแน่นอน ท่านว่ากรรมสิทธิ์ยัง ไม่โอนไปยังผู้ซื้อจนกว่าการหรือสิ่งนั้นได้ทำ แล้ว ในวรรค2 นี้ เป็นการซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่ง คือสามารถกำ หนดตัว ทรัพย์ได้แน่นอนแล้ว แต่ผู้ขายจะต้องนับ ชั่ง ตวง วัด ให้แน่นอนเสียก่อน เพื่อให้รู้กำ หนดราคาของทรัพย์สินนั้น กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปจนกว่าจะได้ทำ สิ่งนั้นแล้ว เช่น ซื้อข้าวทั้งยุ้งราคาเกวียนละ 4000 บาท ก็ต้องเอาเข้าตวงเพื่อให้รู้ ราคาทั้งหมดเสียก่อน กรรมสิทธิ์จึงจะโอน ตัวอย่างเช่น ก. ขายรถยนต์ให้กับ ข. ในราคา 100,000 บาท เมื่อตกลงซื้อขายกันเรียบร้อยแล้วสัญญาก็ เกิดขึ้น กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ก็ตกเป็นของ ข. ทันที โดย ก. และ ข. ตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะมารับและชำ ระราคาให้ ก่อนที่ ข. จะมารับรถยนต์ได้เกิดไฟไหม้บ้าน ก. และรถยนต์คันนั้นได้ถูกไฟไหม้หมดไปด้วย โดยไฟไหม้นั้นไม่ได้เป็นความผิด ของทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ดังนั้นเมื่อรถยนต์สูญหายไปหมด ข. ผู้ซื้อก็ต้องรับบาปเคราะห์ คือ ข. ก็ต้องชำ ระราคารถยนต์ ให้ ก. โดยไม่ได้รถยนต์ไป 9
มาตรา 461 ผู้ขายจำ ต้องส่งมอบทรัพย์สินซึ่งขายนั้นให้แก่ผู้ซื้อ 5.หน้าที่ความรับผิดของผู้ขาย 1. ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ 2. ยึดหน่วงทรัพย์สินที่ขาย 3. ความรับผิดในความชำ รุดบกพร่อง 4. รับผิดในการรอนสิทธิ์ 1.ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้ิอ เพราะฉะนั้นหน้าที่ประการแรกของผู้ขายคือมีหน้าที่ต้องส่งมอบ ทรัพย์การส่งมอบจะเกิดขึ้นก่อนหรือภาย หลังการโอนกรรมสิทธิ์ก็ได้ การส่งมอบจะต้องทำ ตามมาตรา 462 คำ ว่าในเงื้อมมือของผู้ซื้อคือ เป็นการโอนความครอบครองให้กับผู้ซื้อโดยที่ผู้ซื้อมีสิทธิในการใช้สอยดูแลรักษา หรือมีสิทธิ์ที่จะจำ หน่ายจ่ายโอนทรัพย์นั้นได้ การส่งมอบนั้นอาจทำ ได้โดยทางตรงหรือโดยปริยายก็ได้ การส่งมอบโดย ปริยาย หมายความว่าไม่ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายกันในลักษณะที่หยิบยื่นให้โดยตรง แต่การที่ผู้ขายกระทำ การอย่างหนึ่งอย่างใดอันแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะให้ทรัพย์สินนั้นอยู่ในความครอบครองของผู้ซื้อ เช่น การซื้อขาย บ้าน ที่ดิน ผู้เป็นเจ้าของก็ออกไปจากบ้านที่ดินแปลงนั้นให้ผู้ซื้อเข้าไปครอบครอง เช่นนี้ถือว่าเป็นการส่งมอบแล้ว สถานที่ทำ การส่งมอบ ถ้าคู่กรณีตกลงกันไว้ในสัญญาว่าจะให้ส่งทรัพย์สินที่ขายไปยังที่ใดก็ให้ผู้ขายส่งทรัพย์สิน ไปยังสถานที่ที่ได้กำ หนดไว้ในสัญญานั้น ในการส่งมอบถ้าทรัพย์สินเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งปกติ ส่งมอบในสถานที่ที่ทรัพย์ นั้นตั้งอยู่ ถ้าไม่ใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่ง สถานที่ที่ส่งมอบคือสถานที่ที่เป็นภูมิลำ เนาของผู้ซื้อ แต่ถ้าในสัญญากำ หนดให้ เป็นการส่งมอบจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง ให้นำ มาตรา 463 มาใช้บังคับ มาตรา 463 บัญญัติว่า คำ ว่าผู้ขนส่ง หมายถึง ผู้ประกอบธุรกิจในการขนส่ง ซึ่งเป็นการทำ ไปเพื่อบำ เหน็จสินจ้าง (มาตรา 608) เมื่อได้ มอบทรัพย์สินแก่ผู้ขนส่งแล้วถือว่าการส่งมอบนั้นสำ เร็จบริบูรณ์ หากทรัพย์สินเกิดความเสียหายระหว่างทางผู้ขายไม่ ต้องรับผิด มาตรา 462 การส่งมอบนั้นจะทำ อย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้สุดแต่ว่าเป็นผลให้ทรัพย์สินนั้นไปอยู่ ในเงื้อมมือของผู้ซื้อ มาตรา 463 ถ้าในสัญญากำ หนดว่าให้ส่งทรัพย์สินซึ่งขายนั้นจากที่แห่งหนึ่งไปถึงอีกแห่งหนึ่งไซร้ ท่านว่าการส่งมอบย่อมสำ เร็จเมื่อได้ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขนส่ง 10
มาตรา 464 ค่าขนส่งทรัพย์สินซึ่งได้ซื้อขายกันไปยังที่แห่งอื่นนอกจากสถานที่อันพึงชำ ระหนี้นั้นผู้ซื้อพึงออกใช้ ค่าใช้จ่ายในการส่งมอบ โดยหลักทั่วไปแล้ว ค่าใช้จ่ายในการเตรียมทรัพย์เพื่อการส่งมอบผู้ขายเป็นผู้ออก แต่ ถ้าเกิดมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่น เพราะผู้ซื้อย้ายภูมิลำ เนา เช่นนี้ค่าขนส่งให้ผู้ซื้อเป็นผู้ออก ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 325 ว่า เมื่อมิได้มีแสดงเจตนาไว้ในข้อค่าใช้จ่ายในการชำ ระหนี้ ท่านว่าฝ่ายลูกหนี้พึงเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย แต่ถ้าค่าใช้จ่าย นั้นมีจำ นวนเพิ่มขึ้นเพราะเจ้าหนี้ย้ายภูมิลำ เนาก็ดี หรือเพราะการอื่น ใดอันเจ้าหนี้ได้กระทำ ก็ดี ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เท่าใดเจ้าหนี้ต้องเป็นผู้ออก ค่าขนส่ง มาตรา 464 หมายความว่าตามปกติค่าขนส่งผู้ขายเป็นผู้ออก แต่ถ้าการขนส่งทรัพย์ไปยังที่แห่งอื่น นอกจากสถานที่สถานที่ที่ พึงชำ ระหนี้แล้วผู้ซื้อเป็นผู้ออกแต่คู่กรณีอาจจะตกลงกันเป็นอย่างอื่นก็ได้ ทรัพย์สินที่ส่งมอบ เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์ตามที่กฎหมายกำ หนดแล้ว แต่การส่งมอบทรัพย์สินผิดไปจากสัญญา ผลให้ทางกฎหมาย จะแยกพิจารณาได้เป็น 2 กรณีคือ สังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 465 1.1 หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยกว่าที่สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซื้อจะตัดเสียไม่รับเอาไว้เลยก็ได้ แต่ถ้าผู้ซื้อรับเอา ทรัพย์สินนั้นไว้ ผู้ซื้อต้องใช้ราคาตามส่วน เพราะฉะนั้นเมื่อส่งมาน้อยกว่าจำ นวนที่ได้ตกลงกันไว้ เช่น สั่งซื้อสมุด 100 เล่ม แต่ส่งมา 50 เล่ม ผู้ซื้อก็จะบอกปัดไม่รับทั้งหมดหรือจะรับเอาไว้แล้วใช้ราคาตามสวนก็ได้ 1.2 หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์มากกว่าที่ได้สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซื้อจะรับเอาทรัพย์นั้นไว้เพียงตามสัญญา และนอกจาก นั้นปัดเสียก็ได้ หรือจะปัดเสียทั้งหมดไม่รับเอาไว้เลยก็ได้ ถ้าผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินอันส่งมอบเช่นนั้นไว้ทั้งหมด ผู้ซื้อต้อง ใช้ราคาตามส่วน เช่น สั่งซื้อสมุด 100 เล่ม ส่งมอบมา 200 เล่ม เช่นนี้ผู้ซื้อรับไว้เพียง 100 เล่ม นอกนั้นปัดไม่รับก็ได้ หรือจะรับมอบไว้ทั้งหมดก็ได้ โดยใช้ราคาไปตามส่วน มาตรา 465 ในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์นั้น (1) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยกว่าที่ได้สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซื้อจะปัดเสียไม่รับเอาเลยก็ได้ แต่ถ้าผู้ซื้อรับ เอาทรัพย์สินนั้นไว้ผู้ซื้อก็ต้องใช้ราคาตามส่วน (2)หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินมากกว่าที่ได้สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซื้อจะรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้แต่เพียงตาม สัญญา และนอกกว่านั้นปัดเสียก็ได้หรือจะปัดเสียทั้งหมดไม่รับเอาไว้เลยก็ได้ ถ้าผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินอันเขาส่ง มอบเช่นนั้นไว้ทั้งหมดผู้ซื้อก็ต้องใช้ราคาตามส่วน (3) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญาไว้ระคนกับทรัพย์สินอย่างอื่นอันมิได้รวมอยู่ในข้อสัญญาไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะรับเอาทรัพย์สินไว้แต่ตามแต่ตามสัญญาและนอกกว่านั้นปัดเสียก็ได้หรือจะปัดเสียทั้งหมดก็ได้ 11
มาตรา 466 ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้น หากว่าได้ระบุจำ นวนเนื้อที่ทั้งหมดไว้และผู้ขายส่ง มอบทรัพย์สินน้อยหรือมากไปกว่าที่ได้สัญญาไซร้ท่านว่าผู้ซื้อจะปัดเสียหรือจะรับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วน ก็ได้ตามแต่จะเลือก อนึ่ง ถ้าขาดตกบกพร่องหรือล้ำ จำ นวนไม่เกินกว่าร้อยละห้าแห่งเนื้อที่ทั้งหมดอันได้ระบุไว้นั้นไซร้ ท่าน ว่าผู้ซื้อจำ ต้องรับเอาและใช้ราคาตามส่วน แต่ว่าผู้ซื้ออาจจะเลิกสัญญาเสียได้ในเมื่อขาดตกบกพร่องหรือล้ำ จำ นวนถึงขนาดซึ่งหากผู้ซื้อได้ทราบก่อนแล้วคงจะมิได้เข้าทำ สัญญานั้น 1.3 หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามที่สัญญาไว้ละคนกับทรัพย์สินอย่างอื่นอันมิได้รวมอยู่ในสัญญาไซร้ ผู้ซื้อจะรับเอา ทรัพย์สินนั้นไว้ตามแต่สัญญา และนอกจากนั้นปัดเสียก็ได้ หรือจะปัดเสียทั้งหมดก็ได้ เช่น ตกลงซื้อสมุดโดยกำ หนดให้ หน้าปกเป็นลายอย่างหนึ่ง จำ นวน 1000 เล่ม ผู้ขายส่งมอบสมุดหน้าปกเป็นลายอื่นๆรวมมาด้วย ผู้ซื้อมีสิทธิรับเอาไว้ เฉพาะทรัพย์สินตามสัญญาคือสมุดปกตามลายที่ตกลง นอกนั้นปัดเสียก็ได้หรือจะไม่รับไว้ทั้งหมดก็ได้ อสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 466 ตามมาตรา 466 เป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยระบุจำ นวนเนื้อที่ทั้งหมดไว้ แต่ผู้ขายส่งมอบมากหรือ น้อยกว่าสัญญา ผู้ซื้อมีสิทธิบอกปัดหรือรับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ เช่น ตกลงซื้อที่ดินหนึ่งแปลงจำ นวน 10 ไร่ ผู้ขายส่งมอบที่ดินให้เพียง 9 ไร่ เช่นนี้ ผู้ซื้อมีสิทธิที่จะบอกปัด ไม่รับหรือรับไว้และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ แต่ถ้าผู้ขายส่งมอบทรัพย์น้อยกว่าหรือมากกว่าในสัญญาไม่เกินกว่าร้อยละห้าของเนื้อที่ที่ได้ระบุไว้ ผู้ซื้อต้อง รับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วน เช่น ตกลงซื้อที่ดินจำ นวน 100 ตารางวา ผู้ขายส่งมอบมาเพียง 96 ตารางวา เช่นนี้ผู้ซื้อ ต้องรับไว้และใช้ราคาตามส่วนจะปฏิเสธไม่ยอมรับมอบไม่ได้ แต่ถ้าขาดตกบกพร่องหรือล้ำ จำ นวนถึงขนาด ซึ่งหากผู้ซื้อทราบก่อนคงจะไม่เข้าทำ สัญญานั้น ผู้ซื้ออาจบอก เลิกสัญญาได้ เช่น ตกลงซื้อที่ดินจำ นวน 100 ตารางวา โดยผู้ซื้อต้องการซื้อไปเพื่อสร้างตึกแถวจำ นวน 5 ห้องๆละ 20 ตารางวา และได้ทำ แบบแปลนไว้แล้ว ถ้าผู้ขายส่งมอบที่ดินเพียง 96 ตารางวา ซึ่งทำ ให้ไม่อาจก่อสร้างได้ เช่นนี้เรียกว่า ถึงขนาดที่ว่าถ้าผู้ซื้อได้ทราบมาก่อนคงจะไม่เข้าทำ สัญญานั้น ผู้ซื้ออาจบอกเลิกสัญญาได้ 2. ยึดหน่วงทรัพย์สินที่ขาย สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินที่ขายเป็นสิทธิของผู้ขายที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินที่ขายนั้นไว้ก่อน ยังไม่ส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อ จนกว่าจะได้รับการชดใช้ราคาหรือจนกว่าผู้ซื้อจะชำ ระราคา ผู้ขายจะยึดหน่วงได้ในกรณีใดบ้าง มาตรา 468 ถ้าในสัญญาไม่มีกำ หนดเงื่อนเวลาให้ใช้ราคาไซร้ผู้ขายชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สิน ที่ขายไว้ได้จนกว่าจะใช้ราคา 12
เพราะฉะนั้นในกรณีที่ไม่มีกำ หนดเงื่อนเวลาให้ใช้ราคา ถ้าผู้ซื้อยังไม่ชำ ระราคา ผู้ขายมีสิทธิ์ยึดหน่วงทรัพย์ไว้ ก่อนได้ เช่น ก. ขายรถยนต์ให้ ข. 1 คัน ราคา 100,000 บาทโดยไม่ได้กำ หนดเวลาว่าจะชำ ระราคากันเมื่อใด ดังนี้ ก. ยังต้องส่งมอบรถยนต์ให้ ข. จนกว่า ข. จะชำ ระราคา ฉะนั้น แม้ในกรณีที่สัญญามีกำ หนดเวลาให้ใช้ราคาก็ตาม แต่ถ้าเข้าในกรณี 3 ประการตามมาตรา 469 แล้ว ผู้ ขายก็สามารถที่จะยึดยึดหน่วงทรัพย์สินไว้ได้คือ 1) ถ้าผู้ซื้อล้มละลายก่อนการส่งมอบทรัพย์ การที่บุคคลใดก็ตามตกเป็นคนล้มละลายแสดงว่าเป็นบุคคลที่มีหนี้สิน ล้นพ้นตัว เพราะฉะนั้นผู้ขายก็เกิดความไม่แน่นอนแล้วว่าเมื่อถึงกำ หนดเวลาผู้ซื้อจะชำ ระราคาได้หรือไม่ เช่น นาย ก. ขายรถยนต์คันหนึ่งให้กับเพื่อนไปโดยมีกำ หนดเลื่อนเวลาให้ใช้ราคาอีก 3 เดือนข้างหน้า แต่ก่อนที่จะส่งมอบรถยนต์คัน นั้นเพื่อนตกเป็นคนล้มละลาย ดังนั้นแม้จะมีเงื่อนเวลาให้ใช้ราคาก็ตาม นาย ก. มีสิทธิ ในการที่จะยึดหน่วงรถยนต์ไว้ ก่อนได้ ยังไม่ส่งมอบจนกว่าผู้ซื้อจะหาประกันที่สมควรให้ 2) ถ้าผู้ซื้อเป็นคนล้มละลายอยู่แล้วในเวลาซื้อขาย เช่น นาย ก. ขายรถยนต์ให้กับนาย ข. คันหนึ่ง ในขณะที่ซื้อขาย กันนั้น นาย ข. เป็นบุคคลล้มละลายอยู่แล้วแต่นาย ก. ไม่รู้ ดังนั้นเมื่อนาย ก. มารู้เข้าก่อนการส่งมอบทรัพย์ นาย ก. มี สิทธิที่จะยึดหน่วงรถยนต์คันนั้นไว้ก่อนได้ 3)ผู้ซื้อทำ ให้หลักทรัพย์ที่ให้ไว้เป็นประกันเพื่อการใช้เงินนั้นเสื่อมเสีย หรือลดน้อยถอยลง ในการทำ สัญญาซื้อขาย ถ้าเป็นสัญญาที่มีกำ หนดเงื่อนเวลาให้ใช้ราคาบางครั้งผู้ขายก็อาจเกี่ยงให้ผู้ซื้อหาหลักทรัพย์มาเพื่อประกันการใช้ราคา ในทรัพย์สินนั้นก็ได้ ถ้าผู้ซื้อเกิดทำ ให้หลักประกันนั้นลดน้อยถอยลงหรือเสื่อมเสียลง ผู้ขายมีสิทธิที่จะยึดหน่วงทรัพย์สิน นั้นไว้ก่อนได้ เช่น นาย ก. ซื้อรถยนต์จากนาย ข. คันหนึ่ง ตกลงชำ ระราคากันอีก 1 เดือนข้างหน้า โดยนาย ก. นำ แหวนเพชรวางไว้เป็นประกัน ต่อมานาย ข. ทราบว่าเพชรนั้นเป็นเพชรปลอม เพราะฉะนั้นถือว่าหลักทรัพย์ที่ผู้ซื้อให้ไว้ เสื่อมหรือลดน้อยถอยลง ผู้ขายมีสิทธิ ยึดหน่วงทรัพย์สินไว้ก่อนได้ ยังไม่ต้องส่งมอบ เมื่อผู้ขายยึดหน่วงทรัพย์ที่ขายไว้แล้ว จะต้องทำ ตามมาตรา 470 และ 471 มาตรา 469 ถ้าผู้ซื้อล้มละลายก่อนส่งมอบทรัพย์สินก็ดีหรือผู้ซื้อเป็นคนล้มละลายแล้วในเวลาซื้อ ขายโดยผู้ขายไม่รู้ก็ดี หรือผู้ซื้อกระทำ ให้หลักทรัพย์ที่ให้ไว้เพื่อประกันการใช้เงินนั้นเสื่อมเสียหรือลดน้อย ลง ก็ดี ถึงแม้ในสัญญาจะมีกำ หนดเงื่อนเวลาให้ใช้ราคาผู้ขายก็ชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินซึ่งขายไว้ได้เว้น แต่ผู้ซื้อจะหาประกันที่สมควรให้ได้ มาตรา 470 ถ้าผู้ซื้อผิดนัด ผู้ขายซึ่งได้ยึดหน่วงทรัพย์สินไว้ตามมาตราทั้งหลายที่กล่าวมาอาจจะ ใช้ทางแก้ต่อไปนี้ แทนทางแก้ สามัญในการไม่ชำ ระหนี้ได้คือมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้ซื้อให้ใช้ราคากับทั้ง ค่าจับจ่ายเกี่ยวกับการภายในเวลาอันควรซึ่งต้องกำ หนดลงไว้ในคำ บอกกล่าวนั้นด้วย ถ้าผู้ซื้อละเลยเสียไม่ทำ ตามคำ บอกกล่าว ผู้ขายอาจนำ ทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดได้ 13
มาตรา 471 เมื่อขายทอดตลาดได้เงินเป็นจำ นวนสิทธิเท่าใดให้ผู้ขายหักเอาจำ นวนที่ค้างชำ ระ แก่ตนเพื่อราคาและค่าจับจ่ายเกี่ยวการ นั้นไว้ ถ้าและยังมีเงินเหลือก็ให้ส่งมอบแก่ผู้ซื้อโดยพลัน ดังนั้นตามมาตรา 470 และ 471 เป็นทางแก้ของผู้ขาย เมื่อใช้สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินที่ขายไว้ โดยผู้ขายอาจ มีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้ซื้อให้ใช้ราคาพร้อมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับทรัพย์นั้นในเวลาอันควร และเมื่อได้บอกกล่าว แล้ว ผู้ซื้อยังไม่ชำ ระราคาภายในเวลากำ หนดดังกล่าวแล้ว ผู้ขายย่อมมีสิทธิเอาทรัพย์ นั้นออกขายทอดตลาดได้ ได้เงิน จำ นวนเท่าใดให้ผู้ขายหักเอาเป็นค่าทรัพย์สินที่ซื้อขายและค่าใช้จ่ายในการนี้แล้ว หากยังมีเงินเหลืออยู่ให้ส่งมอบแก่ผู้ ซื้อไป แต่ถ้าขายได้จำ นวนเงินไม่พอกับราคาทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายดังกล่าวแล้ว ผู้ซื้อยังต้องรับผิดชอบในราคาที่ยัง ขาดอยู่ 3.ความรับผิดในความชำ รุดบกพร่อง ความชำ รุดบกพร่อง คืออะไร ความ ชำ รุดบกพร่องเป็นเรื่องของความเสื่อมเสียความบกพร่องในตัวทรัพย์ หมายถึง คุณภาพ คุณสมบัติของตัวทรัพย์นั้นไม่ได้เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ ในการทำ สัญญาซื้อขาย ในเรื่องของความชำ รุดบกพร่อง กฎหมายกำ หนดว่าเมื่อมีความชำ รุดบกพร่องเกิดขึ้นผู้ขายต้องเป็นผู้รับผิด มาตรา 472 ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำ รุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อม ราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่าน ว่าผู้ขายต้องรับผิด ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำ รุดบกพร่องมีอยู่ 14
มาตรา 473 ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดั่งจะกล่าวต่อไปนี้คือ (1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำ รุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ ใช้ความระมัดระวังอันพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน (2) ถ้าความชำ รุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบและผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สิน นั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน (3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด แสดงว่าถ้าทรัพย์นั้นมีความชำ รุดบกพร่อง ผู้ขายจะรู้หรือไม่รู้ถึงความชำ รุดบกพร่องก็ตาม ผู้ขายจะต้องรับ ผิด ถ้าความชำ รุดบกพร่องนั้นเป็นเหตุให้ 1) ทรัพย์สินเสื่อมราคา คือความชำ รุดบกพร่องเป็นเหตุให้ราคาของทรัพย์สินนั้นลดน้อยถอยลง เช่น ซื้อรถยนต์ใหม่แต่ ส่งรถยนต์ที่มีรอยถูกชนมาให้ ทำ ให้รถยนต์คันนั้นเสื่อมราคาลง 2) เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ที่จะมุ่งใช้โดยปกติ คือไม่สามารถที่จะใช้ทรัพย์นั้นได้ตามปกติของตัวทรัพย์ ถือว่าทรัพย์มีความชำ รุดบกพร่อง เช่น ซื้อนาฬิกาซึ่งโดยปกติต้องเดินได้ตามกำ หนดเวลา แต่ซื้อมาแล้วปรากฏว่า นาฬิกาไม่เดินหรือเดินช้าไป เป็นต้น 3) เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ที่มุ่งโดยสัญญา คือไม่อาจใช้ได้ตามที่ตกลงกันในสัญญา อาจเป็นกรณีที่คู่สัญญา แสดงความประสงค์เอาไว้ว่าต้องการใช้ประโยชน์ในตัวทรัพย์นั้นๆอย่างไร แต่ทรัพย์ที่ส่งมาผิดไปจากความประสงค์อัน นั้นๆ ถือว่าทรัพย์นั้นเสื่อมความเหมาะสม เช่น ตกลงซื้อหลอดไฟไฟฟ้าสำ หรับใช้กับกำ ลังไฟฟ้า 110 โวลต์ แต่ผู้ขายส่ง มอบหลอดไฟฟ้าชนิดกำ ลังไฟฟ้า 220 โวลต์ ความชำ รุดบกพร่องที่ผู้ขายต้องรับผิด ต้องเป็นความชำ รุดบกพร่องที่มีอยู่ก่อนหรือมีอยู่ในขณะทำ สัญญาซื้อ ขาย หรือในเวลาที่ส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขาย ถ้าเป็นความชำ รุดบกพร่องที่มีขึ้นในภายหลังผู้ขายไม่ต้องรับผิด กรณีใดบ้างที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำ รุดบกพร่อง 1) มาตรา 473 (1) หมายความว่า ในขณะที่ทำ การซื้อขาย ผู้ซื้อรู้แล้วว่าทรัพย์นั้นมีความชำ รุดบกพร่อง หรือควรจะได้ รู้หากได้ใช้ความระมัดระวังเช่นเดียวกับบุคคลที่อยู่ในภาวะเช่นนั้น 2)มาตรา 473 (2) ถ้าความชำ รุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นนั้น ไว้โดยไม่อิดเอื้อน 3) มาตรา 473 (3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด ในการขายทอดตลาดเป็นข้อยกเว้นโดยทั่วไปเนื่องจากการขาย ทอดตลาดเป็นการนำ ทรัพย์ออกมาให้ผู้ซื้อประมูลแข่งขันกัน เพราะฉะนั้นถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ซื้อ ในการที่จะต้อง ตรวจตราทรัพย์สินให้ละเอียดกว่าการซื้อขายธรรมดา 15
4)มาตรา 483 “คู่สัญญาซื้อขายตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำ รุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิ ก็ได้” เพราะฉะนั้นจะเห็นคู่สัญญาตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำ รุดบกพร่องก็ได้ เมื่อตกลงกันแล้วถ้าความ ชำ รุดบกพร่องเกิดขึ้นจะเรียกให้ผู้ขายรับผิดในความชำ รุดบกพร่องไม่ได้ แต่ในกรณีนี้มาตรา 485 บัญญัติเอาไว้อีกว่า ข้อสัญญาว่าไม่ต้องรับผิดนั้นไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำ ไปเอง หรือผลแห่ง ข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย ดังนั้น แม้จะมีข้อตกลงว่าผู้ขายไม่รับผิดในความชำ รุดบกพร่อง แต่ถ้า หากความชำ รุดบกพร่องนั้นมีอยู่และผู้ขายก็ทราบ เช่นนี้มาตรา 483 ก็ไม่อาจคุ้มครองผู้ขายได้เช่นกัน เช่น ซื้อขาย รถยนต์คันหนึ่งผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่รับผิดในความชำ รุดบกพร่อง ซึ่งข้อตกลงเช่นนี้ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าการ ชำ รุดเช่นนั้นเพลาหักซึ่งผู้ขายสร้างความจริงอยู่แล้วข้อตกลงนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้ 5) ความชำ รุดบกพร่องเกิดขึ้นภายหลังการส่งมอบ อายุความฟ้องร้องในเรื่องความชำ รุดบกพร่อง มาตรา 474 เมื่อผู้ซื้อพบว่ามีความชำ รุดบกพร่องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่พบเห็นความชำ รุดบกพร่องนั้น ถ้าพ้น ระยะเวลาดังกล่าว ผู้ขายไม่ต้องรับผิด 4.ความรับผิดในการรอนสิทธิ การรอนสิทธิ คือ การที่บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ผู้ขาย แต่เป็นบุคคลที่มีสิทธิในทรัพย์สิน นั้นเข้ามารบกวนขัดสิทธิ ของผู้ซื้อ ไม่ให้ผู้ซื้อครอบครองทรัพย์สินนั้นโดยปกติสุข ความรับผิดในการรอนสิทธิเกิดขึ้นโดยผลบังคับของกฎหมาย แม้จะไม่ได้มีการตกลงกันไว้ และผู้ขายไม่ทราบ เหตุแห่งการรอนสิทธิ ผู้ขายก็ต้องรับผิด แต่ผู้ขายจะต้องรับผิดแต่เฉพาะกาลรสิทธิอันเนื่องแต่เหตุที่มีอยู่แล้วในเวลาซื้อ ขาย ถ้าเหตุแห่งการรอนสิทธิเกิดขึ้นภายหลังผู้ขายไม่ต้องรับผิด การรอนสิทธิอาจมีต่อทรัพย์ทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนก็ได้ (มาตรา 479) เช่น ก. ขายที่ดินให้ ข. 10 ไร่ แต่ เป็นที่ดินของ ก. จริงๆ เพียง 5ไร่ ส่วนอีก 5 ไร่เป็นที่ดินของ ค. ซึ่งอยู่ติดกัน ค. ทราบเข้าจึงโต้แย้งสิทธิ เช่นนี้ถือว่า ข. ถูกรอนสิทธิแต่เพียงบางส่วน คือที่ดิน 5 ไร่ซึ่งเป็นของ ค. เท่านั้น มาตรา 474 ในข้อรับผิดเพื่อชำ รุดบกพร่องนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่ เวลาที่ได้พบเห็นความชำ รุดบกพร่อง มาตรา 475 หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดย ปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น 16
ตัวอย่างคำ พิพากษาฎีกาที่ 393 / 2521 จำ เลยขายเรือน(ต้องรื้อไป) ให้โจทก์ ต่อมาเจ้าหนี้ตามคำ พิพากษา ของจำ เลยนำ ยึดขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินชำ ระหนี้ ถือว่าเป็นความผิดของจำ เลยผู้ขาย ทำ ให้ผู้ซื้อไม่สามารถ เข้าครอบครองเรือนเพื่อที่จะทำ การรื้อไปได้ ซึ่งจำ เลยจำ เลยผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบเรือนให้โจทก์ เมื่อส่ง มอบไม่ได้เพราะความผิดของจำ เลย จำ เลยต้องรับผิด การรอนสิทธิเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ 1) บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ซื้อขายกันอยู่แล้วในเวลาซื้อขาย เช่น ก. ซื้อรถยนต์จาก ข. โดยสุจริต เมื่อ นำ มาใช้ปรากฏว่ารถยนต์คันนี้เป็นรถยนต์ที่ถูกลักมา เจ้าของติดตามมาเรียกรถยนต์คืนไปจาก ก. เช่นนี้ถือว่า ก. ถูก รอนสิทธิ 2) การรอนสิทธิเกิดขึ้นเนื่องจากความผิดของผู้ขายเอง หมายหมายความว่า ในขณะที่ทำ การซื้อขายกัน สิทธิของ บุคคลภายนอกยังไม่ได้มีเหนือทรัพย์สินที่ซื้อขายนั้น แต่การรอนสิทธินั้นเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ขายเป็นผู้ที่ทำ ให้เกิดการ รอนสิทธิขึ้น ข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิ ปกติแล้วผู้ขายต้องรับผิดในการรอนสิทธิเว้นแต่จะเข้ากรณีดังต่อไปนี้ 1) มีข้อตกลงระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ ว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิ (มาตรา 483) แต่ข้อตกลงนั้นไม่อาจ คุ้มครองผู้ขายให้พ้นจากการที่ต้องส่งเงินคืนตามราคาทรัพย์นั้นให้แก่ผู้ซื้อ เว้นแต่จะได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น (มาตรา 484) และข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลอันผู้ขายได้กระทำ ไปเองหรือ ผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่อยู่แล้วและปกปิดเสีย เช่น ก. ซื้อรถยนต์จาก ข. โดยทำ สัญญาตกลงกันไว้ว่า ข. ไม่ รับผิดในการรอนสิทธิ ต่อมาปรากฏว่ารถยนต์คันนั้นเป็นรถของ ค. ที่หายไป ค. จึงเรียกคืนจาก ก. ก. จะฟ้องเรียกค่า เสียหายไม่ได้ เพราะมีสัญญาจำ กัดความรับผิดในการรอนสิทธิไว้ แต่มีสิทธิ์เรียกราคาคืนจาก ข. ได้ แต่ถ้าในสัญญา จำ กัดความรับผิด ตกลงว่าไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิ และไม่ต้องคืนราคา ก. ก็จะเรียกค่าเสียหายและเรียกคืนราคา ไม่ได้ หรือการที่ ก. ซื้อรถยนต์มาจาก ข. โดย ข. รู้ว่ารถยนต์คันนั้นถูกขโมยมาขาย ข. จึงทำ สัญญาจำ กัดความรับผิดใน การรอนสิทธิไว้ สัญญานี้ไม่อาจคุ้มความรับผิดของ ข. ได้ เพราะถือว่า ข. รู้ความจริงและปกปิดไว้ ดังนั้น ข. ต้องคืน ราคาและใช้ค่าเสียหาย แม้ว่าจะมีข้อตกลงจำ กัดความรับผิดก็ตาม 2) มาตรา 476 เช่น ซื้อทรัพย์ซึ่งกำ ลังอยู่ในระหว่างเป็นคดีกันอยู่ ถ้าผู้ขายแพ้คดี ผู้ชนะคดีมาแลกเอาทรัพย์คืนไปจาก ผู้ซื้อ ผู้ขายไม่ต้องรับผิด เพราะถือว่าผู้ซื้อรู้อยู่แล้วถึงสิทธิของผู้ก่อการรบกวน เช่น นาย ก. เช่าซื้อรถยนต์คันหนึ่งมา จากบริษัท ต่อมานาย ก. ผิดสัญญาเช่าซื้อ บริษัทจึงฟ้องเรียกรถยนต์คืน ระหว่างที่ดำ เนินคดีกันอยู่นั้น นาย ก. ขาย รถยนต์คันนั้นให้กับ นายข. เพราะเห็นว่านาย ข. อยากได้และนาย ข. ยังเป็นพยานให้ฝ่าย นายก. ในคดีนี้ด้วย ต่อมา นาย ก. แพ้คดี บริษัทจึงยึดรถยนต์จากนาย ข. คืนไป เช่นนี้ถือว่านาย ก. ไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิ เนื่องจากผู้ซื้อรู้ ถึงสิทธิของผู้ก่อการรบกวนอยู่แล้วตั้งแต่ในเวลาซื้อขาย มาตรา 476 ถ้าสิทธิของผู้ก่อการรบกวนนั้นผู้ซื้อรู้อยู่แล้วในเวลาซื้อขายท่านว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิด 17
มาตรา 480 ถ้าอสังหาริมทรัพย์ต้องศาลแสดงว่าตกอยู่ในบังคับแห่งภารจำ ยอมโดยกฎหมาย ไซร้ ท่านว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเว้นไว้ แต่ผู้ขายจะได้รับรองไว้ในสัญญาว่าทรัพย์สินนั้นปลอดจากภาร จำ ยอมอย่างใด ๆ ทั้งสิ้นหรือปลอดจากภารจำ ยอมอันนั้น มาตรา 482 ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิเมื่อกรณีเป็นดั่งกล่าวต่อไปนี้ คือ (1) ถ้าไม่มีการฟ้องคดีและผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของผู้ซื้อได้สูญไปโดยความผิดของผู้ซื้อเอง หรือ (2) ถ้าผู้ซื้อไม่ได้เรียกผู้ขายเข้ามาในคดีและผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าถ้าได้เรียกเข้ามาคดีฝ่ายผู้ซื้อจะ ชนะหรือ (3) ถ้าผู้ขายได้เข้ามาในคดี แต่ศาลได้ยกคำ เรียกร้องของผู้ซื้อเสียเพราะความผิดของผู้ซื้อเอง 3) มาตรา 480 เช่น ผู้ขายที่ดินรับรองว่าที่ดินปลอดจากภาระจำ ยอม จึงไม่ต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ เมื่อปรากฏว่าที่ดินนั้น ตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิทางเดิน ซึ่งเจ้าของที่ดินที่ดินแปลงหลังมีสิทธิเดินผ่านเข้าออกได้ 4) ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิที่เกิดขึ้นภายหลังการทำ สัญญาซื้อขาย การรับผิดในการรอนสิทธินั้น เหตุแห่ง การรอนสิทธิจะต้องมีอยู่แล้วในเวลาซื้อขายกัน ถ้าเหตุแห่งการรอนสิทธิไปเกิดขึ้นภายหลังผู้ขายไม่ต้องรับผิด เว้นแต่ จะเกิดเพราะความผิดของผู้ขายเอง เช่น ซื้อขายที่ดินซึ่งผู้ขายละทิ้งปล่อยให้ผู้อื่นเข้าครอบครองมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว และเมื่อซื้อขายแล้วผู้ซื้อยังคงปล่อยให้ผู้นั้นครอบครองติดต่อมาอีกรวมเป็นเวลา 10 ปีจนได้กรรมสิทธิ์ และไม่ยอมให้ผู้ ซื้อเข้าครอบครอง เช่นนี้ผู้ขายไม่ต้องรับผิด เพราะเหตุที่ผู้ซื้อถูกรอนสิทธินั้น ถือว่ามีอยู่แล้วในเวลาซื้อขายไม่ มาตรา 482 (1) ถ้าไม่มีการฟ้องคดีและผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของผู้ซื้อสูญไปโดยความผิดของผู้ซื้อเอง เช่น เมื่อผู้ซื้อถูกบุคคล ภายนอกอ้างสิทธิในทรัพย์สินที่ซื้อ ผู้ซื้อคืนทรัพย์ให้เขาไปโดยไม่ได้โต้แย้งหรือสอบถามให้ได้ความจริง เช่น ผู้ขายอาจ ได้ทรัพย์นั้นมาจากการขายทอดตลาดตามคำ สั่งศาลก็ได้ (2) ผู้ซื้อไม่ได้เรียกผู้ขายเข้ามาในคดี และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าถ้าได้เรียกเข้ามา คดีฝ่ายผู้ซื้อจะชนะ เช่น ผู้ขายพิสูจน์ได้ว่า ได้ทรัพย์สินมาจากการครอบครองโดยปรปักษ์ เป็นต้น (3) ถ้าผู้ขายได้เข้ามาในคดี แต่ศาลได้ยกคำ เรียกร้องของผู้ซื้อเสีย เพราะความผิดของผู้ซื้อเอง เช่น ผู้ซื้อขาดนัด พิจารณา ไม่นำ พยานเข้าสืบ ผู้ซื้อยอมรับสิทธิของโจทก์ เป็นต้น ถ้าผู้ขายถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดีและไม่ยอมเข้าว่าคดีร่วมกับจำ เลย หรือร่วมเป็นโจทก์กับผู้ซื้อ ผู้ขาย ยังคงต้องรับผิด 18
มาตรา 481 ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความกับ บุคคลภายนอกหรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้ ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิ เมื่อพ้นกำ หนดสามเดือนนับแต่วันคำ พิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุดหรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ หรือ วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น เมื่อมีการรอนสิทธิเกิดขึ้นเป็นคดีระหว่างผู้ซื้อกับบุคคลภายนอก ตามมาตรา 477 กำ หนดว่าผู้ซื้อชอบที่ จะขอให้ศาลเรียกผู้ขายเข้ามาเป็นจำ เลยร่วมหรือเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับผู้ซื้อในคดีนั้นก็ได้ ถ้าผู้ขายเห็นเป็นการสมควร จะสอดเข้าไปในคดีเพื่อปฏิเสธการเรียกร้องของบุคคลภายนอกก็ชอบที่จะทำ ได้ด้วย (มาตรา 478) อายุความฟ้องคดีในเหตุแห่งการรอนสิทธิ มาตรา 481 มาตรา 481 ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม โดยผู้ซื้อมิได้เรียกผู้ขายเข้ามาเป็นโจทก์หรือเป็นจำ เลย ร่วมในคดีเดิมที่ผู้ซื้อเป็นความกับบุคคลภายนอกและศาลพิพากษาให้ผู้ซื้อแพ้คดี คดีถึงที่สุดเมื่อใด ผู้ซื้อต้องฟ้องผู้ขาย ภายในสามเดือนนับแต่วันที่คำ พิพากษาถึงที่สุด หรือผู้ซื้อทำ สัญญาประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอก หรือ ยอมความตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ก็จะต้องฟ้องผู้ขายเสียภายในสามเดือนนับนับแต่วันที่ประนีประนอมยอม ความหรือวันที่ยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง 6.หน้าที่และความรับผิดของผู้ซื้อ 1. รับมอบทรัพย์สิน 2. ชำ ระราคา 3. ยึดหน่วงราคา 1. รับมอบทรัพย์สิน มาตรา 486 1.รับมอบทรัพย์สิน เมื่อมีการตกลงทำ สัญญาซื้อขายกันแล้ว ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องรับมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายกัน ดังนั้นเมื่อ ผู้ขายส่งมอบทรัพย์ ผู้ซื้อจึงมีหน้าที่ต้องรับมอบ หากว่าผู้ซื้อไม่ยอมรับมอบทรัพย์สินโดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมาย ผู้ซื้อ ต้องรับผิดชอบในความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นแก่ผู้ขาย และถือว่าผู้ซื้อผิดสัญญา เช่น ก. สั่งซื้อข้าวสารจาก ข. จำ นวน 100 กระสอบ เมื่อ ข. นำ เข้ามาส่งมอบ ก. ไม่ยอมรับมอบ ข. จำ เป็นต้องนำ ข้าวสารกลับคืนไป เช่นนี้ ก. ต้องรับผิดชอบใน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ขาย เช่น ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เป็นต้น มาตรา 486 ผู้ซื้อจำ ต้องรับมอบทรัพย์สินที่ตนได้รับซื้อและใช้ราคาตามข้อสัญญาซื้อขาย 19
มาตรา 490 ถ้าได้กำ หนดกันไว้ว่าให้ส่งมอบทรัพย์สินซึ่งขายนั้นเวลาใดท่านให้สันนิษฐานไว้ ก่อนว่าเวลาอันเดียวกันนั้นเองเป็นเวลากำ หนดใช้ราคา 2.มีหน้าที่ชำ ระราคา ตามมาตรา 490 การชำ ระราคาเป็นสาระสำ คัญในสัญญาซื้อขาย โดยผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำ ระราคาให้แก่ผู้ขาย ซึ่งผู้ซื้อจะต้องใช้ ราคาทรัพย์สินเป็นเงินตรา ราคาที่ต้องชำ ระเป็นเงินตรานี้จะกำ หนดไว้ในสัญญาซื้อขายโดยระบุจำ นวนไว้แน่นอน ซึ่ง จะเป็นเงินไทยหรือเงินต่างประเทศก็ได้ หรือจะตกลงกันไว้ในสัญญาให้กำ หนดราคาโดยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้ เช่น ให้ คนกลางเป็นคนกำ หนด หรือถือเอาตามทางการที่คู่สัญญาเคยปฏิบัติต่อกันก็ได้ ถ้าไม่ได้กำ หนดไว้หรือไม่สามารถ กำ หนดได้โดยวิธีการที่ตกลงกัน ผู้ซื้อต้องใช้ราคาอันสมควร ในการชำ ระราคาผู้ซื้อจะต้องชำ ระราคาตามมาตรา 490 แต่ทั้งนี้มาตรา 490 เป็นเพียงแต่ข้อสันนิษฐาน เบื้องต้น ซึ่งคู่สัญญาอาจตกลงกันอย่างอื่นได้ เช่น ตกลงให้ใช้ราคาก่อนหรือหลังการส่งมอบก็ได้ หรือปฏิบัติตาม ประเพณีที่เคยปฏิบัติต่อกันก็ได้ เป็นต้น 3.ยึดหน่วงราคา คือสิทธิของผู้ซื้อที่ยังไม่ต้องชำ ระราคาให้แก่ผู้ขายโดยผู้ซื้อจะใช้สิทธิยึดหน่วงราคาได้ใน 2 กรณี คือ 1) ถ้าผู้ซื้อพบเห็นความชำ รุดบกพร่องในทรัพย์สินที่ซื้อ ผู้ซื้อยึดหัวราคาที่ยังไม่ได้ชำ ระไว้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนได้ จนกว่าผู้ขายจะหาประกันที่สมควรให้ (มาตรา 488) เช่น นาย ก. ซื้อรถยนต์จากนาย ข. เมื่อนาย ข. ส่งมอบรถยนต์ให้ ปรากฏว่าเป็นรถยนต์ที่มีรอยถูกชนมาแล้ว ซึ่งถือว่าทรัพย์นั้นมีความชำ รุดบกพร่อง นาย ก. ยึดหน่วงราคาไว้ก่อนได้ 2) ถ้าผู้ซื้อถูกผู้รับจำ นองหรือบุคคลผู้เรียกร้องเอาทรัพย์สินที่ขายนั้นขู่ว่าจะฟ้องเป็นคดีเกิดขึ้นหรือมีเหตุอัน สมควรเชื่อว่าจะถูกขู่เช่นนั้น ผู้ซื้อชอบที่จะยึดราคาไว้ทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนจนกว่าผู้ขายจะได้บำ บัดให้ภัยนั้นสิ้น ไป หรือจนกว่าผู้ขายจะได้หาประกันที่สมควรให้ (มาตรา 489) คือในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นได้ถูกจำ นองก่อนแล้ว ต่อมาผู้ขายนำ ทรัพย์ที่ติดจำ นองมาขายให้แก่ผู้ซื้อ เมื่อผู้รับจำ นองจะบังคับจำ นองหรือเรียกร้องเอาทรัพย์สินนั้นก็จะ ต้องฟ้องผู้ซื้อต่อศาล ดังนั้นถ้าผู้รับจำ นองขู่ว่าจะฟ้องบังคับจำ นอง เช่นนี้ ผู้ซื้อชอบที่จะยึดหน่วงราคาไว้ก่อนได้จนกว่า ผู้ขายจะทำ ให้ภัยนั้นสิ้นไป เช่นผู้ขายการให้ทรัพย์นั้นปลอดจำ นองเสียก่อน หรือผู้ขายหาประกันที่สมควรให้ มาตรา 488 ถ้าผู้ซื้อพบเห็นความชำ รุดบกพร่องในทรัพย์สินซึ่งตนได้รับซื้อผู้ซื้อชอบที่จะ ยึดหน่วงราคาที่ยังไม่ได้ชำ ระไว้ได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเว้นแต่ผู้ขายจะหาประกันที่สมควรให้ได้ 20
มาตรา 489 ถ้าผู้ซื้อถูกผู้รับจำ นองหรือบุคคลผู้เรียกร้องเอาทรัพย์สินที่ขายนั้นขู่ว่าจะฟ้องเป็นคดี ขึ้นก็ดี หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะถูกขู่เช่นนั้นก็ดี ผู้ซื้อก็ชอบที่จะยึดหน่วงราคาไว้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ดุจกัน จนกว่าผู้ขายจะได้บำ บัดภัยอันนั้นให้สิ้นไปหรือจนกว่าผู้ขายจะหาประกันที่สมควรให้ได้ 7.การซื้อขายที่มีลักษณะเฉพาะอย่าง 1.ขายฝาก มาตรา 491 ดังนั้น ขายฝากจึงเป็นสัญญาซึ่งเป็นสัญญาซึ่งผู้ซื้อฝากรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินไปจากผู้ขายฝาก โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อผู้ ขายฝากเอาเงินมาไถ่ทรัพย์ทึ่ขายฝากคืนแล้ว กรรมสิทธิ์ก็จะเปลี่ยนมือจากผู้ซื้อฝากกลับมาเป็นของผู้ขายฝากตามเดิม ทรัพย์สินที่ขายฝากนั้นจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ก็ได้ และการทำ สัญญาขายฝากถือว่าเป็นการซื้อ ขายอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นต้องนำ บทบัญญัติในเรื่องซื้อขายมาบังคับด้วย เช่น ขายฝากอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ชนิดพิเศษ เช่น เรือบางชนิด แพ สัตว์พาหนะ เมื่อทำ การขายฝาก ต้องทำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้า หน้าที่ด้วย ตัวอย่าง ทำ สัญญาซื้อขายรถยนต์ โดยมีข้อตกลงกันว่าให้ผู้ขายซื้อคืนได้ ภายในกำ หนด 6 เดือนในราคาที่รับซื้อ เช่นนี้เป็นสัญญา ขายฝากสังหาริมทรัพย์ สัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นโมฆะ การขายฝากเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินไปยังผู้ซื้อฝาก เพราะฉะนั้นในระหว่างที่ยังไม่ได้ทำ การไถ่ทรัพย์คืน ผู้ซื้อฝากอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อฝากมีสิทธิที่จะนำ ทรัพย์นั้นไปจำ หน่ายจ่ายโอน หรือทำ นิติกรรมผูกพัน ทรัพย์สินนั้นอย่างไรก็ได้ ผู้ขายฝากไม่มีสิทธิขัดขวาง คงมีแต่เพียงสิทธิไถ่คืนเท่านั้น แต่ในกรณีถ้าผู้ขายฝากไม่ต้องการให้ ทรัพย์สินที่ ขายฝากจำ หน่ายจ่ายโอนต่อไป เพราะอาจจะเกิดปัญหายุ่งยากในการไถ่คืนได้ ผู้ขายฝากกับผู้ซื้อฝากก็อาจทำ ข้อตกลงไว้ในสัญญาไม่ให้ผู้ฝากจำ หน่ายทรัพย์สินซึ่งขายฝากไว้ก็ได้ ตามมาตรา 493 มาตรา 491 อันว่าขายฝากนั้นคือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อโดยมี ข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้ คำ พิพากษาฎีกาที่ 788 / 2497 สัญญาซื้อขายเรือนกันโดยมีข้อสัญญาว่าผู้ขายอาจซื้อกลับคืนได้ภายใน กำ หนด 2 เดือน ถ้าพ้นกำ หนดแล้วไม่ซื้อคืน ผู้ซื้อจะรื้อเรือไป ดังนี้เป็นสัญญาขายอสังหาริมทรัพย์ เพราะ เรือนจะต้องคงสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์ อยู่จนกว่าผู้ขายจะไม่ซื้อคืน 21
มาตรา 493 ในการขายฝากคู่สัญญาจะตกลงกันไม่ให้ผู้ซื้อจำ หน่ายทรัพย์สินซึ่งขายฝากก็ได้ ถ้าและผู้ซื้อจำ หน่ายทรัพย์สินนั้นฝ่าฝืนสัญญาไซร้ ก็ต้องรับผิดต่อผู้ขายในความเสียหายใดๆ อันเกิดแต่ การนั้น มาตรา 497 สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้นจะพึงใช้ได้แต่บุคคลเหล่านี้คือ (1) ผู้ขายเดิมหรือทายาทของผู้ขายเดิม หรือ (2) ผู้รับโอนสิทธินั้นหรือ (3) บุคคลซึ่งในสัญญายอมไว้โดยเฉพาะว่าให้เป็นผู้ไถ่ได้ แต่ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงบุคคลภายนอกที่ได้รับโอนทรัพย์สินไปโดยสุจริต เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะได้ทราบถึงข้อ จำ กัดในขณะรับจำ หน่ายทรัพย์สินนั้นแล้ว ผู้มีสิทธิในการไถ่ทรัพย์สิน 1) ผู้ขายเดิมหรือทายาทของผู้ขายเดิม หมายถึงตัวผู้ขายฝากเดิม หรือถ้าตัวผู้ขายฝากเดิมตาย สิทธิในการไถ่ถอนตกมา เป็นของทายาท 2) ผู้รับโอนสิทธินั้น สิทธิไถ่คืนเป็นสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินไม่เป็นสิทธิเฉพาะตัวผู้ขายฝาก ดังนั้นผู้ขายฝากจะโอนสิทธิไถ่คืน ไปยังบุคคลอื่นได้ เช่น ก. ขายฝากที่ดินไว้กับนาย ข. ต่อมา ก. โอนสิทธิในการไถ่ให้กับนาย ค. ไป เช่นนี้สิทธิในการไถ่ตก เป็นของนาย ค. 3) บุคคลซึ่งในสัญญายอมไว้โดยเฉพาะว่าให้เป็นผู้ไถ่ได้ เป็นบุคคลซึ่งในสัญญาตกลงกันไว้ให้เป็นผู้ใช้สิทธิไถ่ได้ เช่น ก. ขายฝากที่ดินไว้กับ ข. โดยตกลงไว้ในสัญญาว่าให้นาย ค. เป็นผู้ไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากคืน ตัวอย่างคำ พิพากษาที่ 919 / 2495 เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรม สิทธิในทางทรัพย์สินของผู้ตายย่อม ตกทอดได้แก่ทายาททันที ฉะนั้นทายาทจึงมีสิทธิ ที่จะไถ่ถอนทรัพย์สินที่ผู้ตายขายฝากไว้ได้ โดยไม่ต้อง รอให้รับโอนมรดกก่อน 22
ผู้มีหน้าที่รับไถ่ทรัพย์สิน ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์จะใช้ได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน สำ หรับผู้รับ โอนดังกล่าวดังกล่าวนี้ความจริงเป็นบุคคลภายนอกสัญญา แต่ที่ผูกพันต้องรับไถ่คืนก็เพราะหน้าที่อันติดกับทรัพย์สินที่รับ โอนมา ในกรณีรับโอนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีการขายฝากติดอยู่ก็ต้องรับไถ่คืนเสมอ แต่ถ้ารับโอนสังหาริมทรัพย์ธรรมดาไม่ จำ เป็นต้องรับไถ่คืนเสมอไป คงต้องรับไทยคืนแต่ในกรณีที่ในเวลารับโอนรู้ว่าทรัพย์สินนั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน เพราะสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นทรัพย์ไม่มีทะเบียน เปลี่ยนมือได้โดยง่าย ผู้รับโอนไว้ อาจไม่ทราบว่า ทรัพย์สินติดสัญญา ขายฝากอยู่ก็เป็นได้ กำ หนดเวลาไถ่คืน มาตรา 498 สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้นจะพึงใช้ได้เฉพาะต่อบุคคล เหล่านี้ คือ (1) ผู้ซื้อเดิม หรือทายาทของผู้ซื้อเดิม หรือ (2) ผู้รับโอนทรัพย์สิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์จะใช้ สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน มาตรา 494 ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดั่งจะกล่าวต่อไปนี้ (1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์กำ หนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย (2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์กำ หนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย มาตรา 496 การกำ หนดเวลาไถ่นั้นอาจทำ สัญญาขยายกำ หนดเวลาไถ่ได้แต่กำ หนดเวลาไถ่รวม กันทั้งหมด ถ้าเกินกำ หนดเวลาตามมาตรา 494 ให้ลดลงมาเป็นกำ หนดเวลาตามมาตรา 494 การขยายกำ หนดเวลาไถ่ตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับไถ่ ถ้า เป็นทรัพย์สินซึ่งการซื้อขายกันจะต้องทำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ห้ามมิให้ยกการ ขยายเวลาขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียน สิทธิโดยสุจริตแล้ว เว้นแต่จะได้นำ หนังสือหรือหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวไปจดทะเบียนหรือจดแจ้งต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา 495 ถ้าในสัญญามีกำ หนดเวลาไถ่เกินไปกว่านั้น ท่านให้ลดลงมาเป็นสิบปีและสามปีตาม ประเภททรัพย์ 23
คำ พิพากษาฎีกาที่ 129 / 2501 ในเอกสารสัญญามีความว่าต่ออายุสัญญาขายฝากได้อีก 1 ปี เป็นการชัดแจ้งว่า ตกลงขยายเวลาไถ่ให้ จะแปลเป็นคำ มั่นจะขายที่ดินย่อมฝืนถ้อยคำ ในเอกสารขณะที่แถลงรับกัน ข้อตกลงนั้นเป็น โมฆะ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อฟังว่าเป็นการตกลงขยายเวลาไถ่แล้ว ก็เป็นการขัดแย้งกับมาตรา 496 มาตรา 499 สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำ หนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำ หนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกิน อัตราร้อยละสิบห้าต่อปีให้ไถ่ได้ตามราคาขาย ฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี กำ หนดระยะเวลาในการไถ่ทรัพย์สินนั้น คู่สัญญาอาจจะตกลงกันได้ตามความพอใจ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้ข้อ จำ กัดของมาตรา 494, 495 และ 496 เช่นกรณีไถ่คืนอสังหาริมทรัพย์ กฎหมายห้ามมิให้ไถ่คืนเมื่อพ้นเวลา 10 ปีนับแต่ เวลาขายฝากตามมาตรา 494 ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กฎหมายห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่คืนเมื่อพ้น 3 ปีนับแต่เวลาซื้อขาย ถ้าทำ สัญญาเกินกว่า 3 ปี ให้ลดลงมาเหลือ 3 ปีเท่านั้น สำ หรับสังหาริมทรัพย์ในที่นี้ย่อมหมายถึงสังหาริมทรัพย์ทุกชนิด รวมทั้งสังหาริมทรัพย์ชนิด พิเศษตามมาตรา 456 วรรค1 ด้วย เช่น ขายฝากเรือกำ ปั่นหรือเรือมีระวางตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไป หรือซื้อขายแพและ สัตว์ พาหนะ ระยะเวลาในการไถ่ถอนภายใน 3 ปี ทั้งสิ้นถ้าระยะเวลาในการไถ่ถอนกำ หนดไว้แน่นอนต่ำ กว่า 10 ปีหรือ 3 ปี ตามชนิดของทรัพย์แล้ว ก็ต้องถือตามข้อตกลงนั้นๆ ต่อมาคู่สัญญาจะตกลงขยายเวลาออกไปอีกไม่ได้ (มาตรา 496) สินไถ่ มาตรา 499 ในการขายฝากนั้น ราคาไถ่คืนต้องกำ หนดกันไว้เป็นเงินตรา จะเอาทรัพย์สินอย่างอื่นไถ่แทนไม่ได้ ดังนั้น สินไถ่ ก็คือจำ นวนเงินที่ผู้ไถ่จะต้องชำ ระเพื่อการไถ่คืนทรัพย์สินที่ขายฝากไว้ ซึ่งสินไถ่นี้ แล้วแต่จะได้ตกลงกันไว้ในขณะทำ สัญญา ว่าเป็นเท่าไหร่ อาจจะเป็นจำ นวนตามราคาซื้อฝากเดิมหรือต่ำ กว่าราคาซื้อฝากเดิมก็ได้ หรือจะตกลงกันให้กำ หนดตัวโดย วิธีหนึ่งวิธีใดก็ได้ ถ้าไม่ได้กำ หนดจำ นวนสินไถ่ไว้ มาตรา 499 บัญญัติให้ผู้ไถ่ทำ การไถ่ตามราคาที่ขายฝากไว้ ผลแห่งการไถ่คืน เมื่อมีการไถ่คืน กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายฝากให้กลับคืนไปยังผู้ขายฝากเดิม ซึ่งกฎหมายให้ถือว่าเมื่อมีการไถ่ ทรัพย์คืนแล้ว ถือเสมือนว่ามิเคยมีการขายฝากทรัพย์สินนั้นมาก่อนเลย ดังนั้นผู้ขายฝากจึงไม่ต้องผูกพันตามสิทธิใดๆ ที่ผู้ ซื้อทำ ไว้กับบุคคลภายนอก ระหว่างที่ยังไม่มีการไถ่คืน เว้นแต่ทรัพย์สินที่ขายฝากเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาซึ่งผู้รับโอนได้ รับการคุ้มครอง 24
มาตรา 501 ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่แต่ถ้าหากว่า ทรัพย์สินนั้นถูกทำ ลายหรือทำ ให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหม ทดแทน คำ พิพากษาฎีกาที่ 517 / 2495 ผู้ซื้อฝากช้าง ใช้ช้างทำ งานหนักเกินควร แม้ช้างเจ็บป่วยก็ไม่หยุดพักรักษา กลับใช้ช้างจนตาย ผู้ฝากต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ขายฝาก ตัวอย่าง ก. ขายฝากที่ดินกับ ข. ข. เอาที่ดินแปลงนั้นจำ นองต่อ ค. เมื่อถึงกำ หนดไถ่ ก. ทำ การไถ่คืนที่ดินนั้น ค. ได้ที่ดิน คืนโดยปลอดจากการจำ นอง สภาพของทรัพย์สินที่ไถ่คืน 1) มาตรา 501 ที่ว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ หมายถึง เวลาใช้สิทธิไถ่ของผู้ขายฝาก เพราะสภาพแห่งทรัพย์สินอาจ จะชำ รุดสึกหรอไปได้ตามธรรมชาติของทรัพย์ แต่ถ้าทรัพย์สินที่ไถ่ ถูกทำ ลายหรือทำ ให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อ ผู้ซื้อจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 2)มาตรา 502 ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น บุคคลที่ไถ่ย่อมได้ไปโดยปลอดจากสิทธิใดๆ แต่ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์ออกไปให้เช่า ถ้าการ เช่าทรัพย์สินที่อยู่ในระหว่างขายฝาก โดยได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และการเช่านั้นมิได้ทำ ขึ้น เพื่อจะให้ เสียหายแก่ผู้ขายฝาก กำ หนดเวลาเช่ายังคงมีเหลืออยู่เพียงใดก็ให้เป็นอันสมบูรณ์เพียงนั้น แต่มิให้เกินกว่า 1 ปี เช่น ก. ขายฝากที่ดินให้แก่ ข. ข. นำ ที่ดินไปให้ ค. เช่าเป็นเวลา 2 ปีโดยการเช่านี้ได้ทำ การจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้า หน้าที่ และการเช่านั้นมิได้ทำ ขึ้นเพื่อจะให้เสียหายแก่ผู้ขายฝาก ต่อมาหลังจากที่ทำ สัญญาขายฝากได้ 6 เดือน ก. ไถ่ที่ดิน คืนจาก ข. ดังนี้ ก. ต้องรับเอาสัญญาเช่าที่ ข. ทำ ไว้กับ ค. ต่ออีก 1 ปี มาตรา 502 ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าบุคคลผู้ไถ่ย่อมได้รับคืนไปโดยปลอดจากสิทธิใด ๆ ซึ่งผู้ซื้อเดิม หรือทายาทหรือผู้รับโอนจากผู้ซื้อเดิมก่อให้เกิดขึ้นก่อนเวลาไถ่ ถ้าว่าเช่าทรัพย์สินที่อยู่ในระหว่างขายฝากอันได้จดทะเบียนเช่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วไซร้ ท่านว่าการเช่านั้นหากมิได้ทำ ขึ้นเพื่อจะให้เสียหายแก่ผู้ขายกำ หนดเวลาเช่ายังคงมีเหลืออยู่อีกเพียงใดก็ให้ คงเป็นอันสมบูรณ์อยู่เพียงนั้นแต่มิให้เกินกว่าปีหนึ่ง 25
มาตรา 503 ในการขายตามตัวอย่างนั้นผู้ขายต้องส่งมอบทรัพย์สินให้ตรงตามตัวอย่าง คำ พิพากษาฎีกาที่ 795 / 2471 ในการซื้อขายของตามตัวอย่าง ผู้ขายจำ ต้องส่งมอบทรัพย์สินให้ตรงตาม ตัวอย่าง ถ้าส่งมอบไม่เหมือนตัวอย่าง แม้จะผิดเพี้ยนแต่เล็กน้อยก็ดี ผู้ซื้อมีสิทธิปฏิเสธสัญญารับซื้อได้ 3) ดอกผลของทรัพย์สินที่ขายฝาก ซึ่งจะเป็นดอกผลธรรมดา เช่น ลูกของสัตว์ ผลไม้ หรือดอกผลนิตินัย เช่น ดอกเบี้ย กำ ไร ค่าเช่า ดอกผลของทรัพย์สินที่ขายฝากนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อฝากเพราะระหว่างที่ขายฝากผู้ซื้อฝากอยู่ในฐานะ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ จึงมีกรรมสิทธิ์ในดอกผลนั้นด้วย แต่ถ้าดอกผลเกิดเกิดขึ้นภายหลังจากการใช้สิทธิไถ่แล้ว ผู้ ขายฝากเป็นเจ้าของดอกผลนั้น 2.ขายตามตัวอย่าง ตัวอย่าง โดยปกติก็คือส่วนหนึ่งในทรัพย์สินที่ซื้อขายกัน ซึ่งซึ่งผู้ขายได้แสดงออกเป็นตัวอย่างในเวลาซื้อขาย เพื่อแสดงลักษณะและคุณภาพการขายตามตัวอย่างเป็นการขายที่ผู้ขายจะต้องส่งมอบทรัพย์สินให้ตรงตามตัวอย่าง และให้ ผู้ซื้อมีโอกาสตรวจดูทรัพย์สินนั้นเพื่อเทียบเคียงกับตัวอย่าง การซื้อขายตามตัวอย่างนี้ยังเป็นการซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์แก่กัน จนกว่าผู้ซื้อจะได้ตรวจสอบดูทรัพย์สินและรับ มอบแล้ว อย่างไรก็ตาม ในการที่ผู้ขายเอาตัวอย่างทรัพย์สินให้ผู้ซื้อก่อนนั้น ไม่จำ เป็นจะต้องเป็นการขายตามตัวอย่างเสมอ ไป ต้องดูตามเจตนาของผู้ซื้อด้วยว่าซื้อตามตัวอย่างที่ได้ส่งมาหรือเปล่า ถ้าซื้อก็เป็นการซื้อตามตัวอย่าง เป็นต้น 3.การขายตามคำ พรรณนา เป็นการขายซึ่งตามปกติผู้ซื้อไม่ได้เห็นหรือตรวจตราทรัพย์สินที่ขาย แต่ตกลงซื้อโดยเชื่อในคำ บรรยายถึงลักษณะ รูปพรรณสันฐาน และคุณภาพของทรัพย์สิน ซึ่งในการขายตามคำ พรรณนานั้น เป็นการซื้อขายที่ไม่ได้เจาะจงตัวทรัพย์ เพราะฉะนั้นผู้ขายจะหาทรัพย์ใดๆมาขายก็ได้ และหากผิดเพี้ยนไปจากคำ พรรณนาบ้างเพียงเล็กน้อย ไม่ถือว่าเป็นการผิด สัญญา ในการซื้อทรัพย์สินตามคำ พรรณนา กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายกันยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อจนกว่าผู้ขายจะได้ส่ง มอบทรัพย์สินนั้นให้ตรงตามคำ พรรณนา และผู้ซื้อได้ตรวจจนพอใจแล้ว มาตรา 503 วรรค2 ในการขายตามคำ พรรณนาผู้ขายจำ ต้องส่งมอบทรัพย์สินให้ตรงตามคำ พรรณนา คำ พิพากษาฎีกาที่ 2010 / 2500 การซื้อขายตามแคตตาล็อก และตามคำ พรรณนา เมื่อผู้ขายส่งของไม่ตรง ตามคำ พรรณนา ผู้ซื้อบอกเลิกสัญญาได้ 26
มาตรา 505 อันว่าขายเผื่อชอบนั้นคือการซื้อขายกันโดยมีเงื่อนไขว่าให้ผู้ซื้อได้มีโอกาสตรวจ ดูทรัพย์สินก่อนรับซื้อ มาตรา 506 การตรวจดูทรัพย์สินนั้น ถ้าไม่ได้กำ หนดเวลากันไว้ ผู้ขายอาจกำ หนดเวลาอัน สมควรและบอกกล่าวแก่ผู้ซื้อให้ตอบภายในกำ หนดนั้นได้ว่าจะรับซื้อหรือไม่ กรณีที่ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินไม่ตรงตามคำ พรรณนา ผู้ซื้อก็อาจจะบอกปัดไม่รับทรัพย์สินนั้นไว้หรือบอกเลิก สัญญาและเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ ในข้อรับผิดเพื่อการส่งของไม่ตรงตามตัวอย่างหรือไม่ตรงคำ พรรณนานั้น ท่านห้ามีให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำ หนด ปีหนึ่งนับแต่เวลาส่งมอบ (มาตรา 504) ดังนั้น หากผู้ซื้อเห็นว่าทรัพย์ที่ส่งมอบไม่ตรงตามคำ พรรณนา ผู้ซื้อจะต้องฟ้องคดี ภายในกำ หนด 1 ปีนับแต่วันที่ได้รับมอบทรัพย์สินนั้น 4.ขายเผื่อชอบ การขายเผื่อชอบเป็นการขายโดยมีเงื่อนไขบังคับก่อนว่าผู้ขายต้องให้ผู้ซื้อตรวจดูทรัพย์สินก่อนรับซื้อ ถ้าผู้ซื้อพอใจ จะได้ซื้อ ถ้าไม่พอใจก็ไม่ผูกพันต้องซื้อ การขายเผื่อชอบจึงยังเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในตัวทรัพย์สินที่ซื้อขายกันจนกว่าผู้ซื้อ จะได้แสดงความจำ นงว่าต้องการซื้อทรัพย์สินนั้น ในการให้ผู้ซื้อตรวจทรัพย์สินในการขายเผื่อชอบนั้น ผู้ซื้อจะไปตรวจ ณ สถานที่ที่ขายกันหรือจะให้ผู้ขายส่งไปตรวจ ก็แล้วแต่จะตกลงกัน ระยะเวลาในการตรวจทรัพย์สินที่ขายเผื่อชอบ มาตรา 506 ถ้าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินให้ผู้ซื้อได้ตรวจดู นอกจากผู้ซื้อจะแสดงเจตนาว่าตกลงซื้อแล้ว ยังมีเหตุอีก 4 ประการที่แม้ว่าผู้ซื้อ จะมิได้ตอบรับ แต่ตามมาตรา 508 ถือว่าการซื้อขายเสร็จบริบูรณ์ คือ 1) ถ้าผู้ซื้อไม่ได้บอกกล่าวว่าไม่ยอมรับซื้อภายในเวลาที่กำ หนดไว้โดยสัญญาหรือโดยประเพณีหรือโดยคำ บอกกล่าว หรือ 2) ถ้าผู้ซื้อไม่ส่งทรัพย์สินคืนภายในกำ หนดเวลาดังกล่าวมานั้น หรือ 3) ถ้าผู้ซื้อใช้ราคาทรัพย์สินนั้นสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วน หรือ 4) ถ้าผู้ซื้อจำ หน่ายทรัพย์สินนั้น หรือทำ ประการอื่นอย่างใดอันเป็นปริยายว่ารับซื้อของนั้น 27
มาตรา 509 การขายทอดตลาดย่อมบริบูรณ์เมื่อผู้ทอดตลาดแสดงความตกลงด้วยเคาะไม้หรือ ด้วยกิริยาอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งตามจารีตประเพณีในการขายทอดตลาด ถ้ายังมิได้แสดงเช่นนั้นอยู่ตราบใด ท่านว่าผู้สู้ราคาจะถอนคำ สู้ราคาของตนเสียก็ยังถอนได้ มาตรา 510 ผู้ซื้อในการขายทอดตลาดจะต้องทำ ตามคำ โฆษณาบอกขายและตามความข้ออื่น ๆซึ่งผู้ทอดตลาดได้แถลงก่อนเผดิมการสู้ราคาทรัพย์สินเฉพาะรายไป 5. การขายทอดตลาด การขายทอดตลาด ถือเป็นการซื้อขายอย่างหนึ่ง แต่อาจจะแตกต่างกันในเรื่องของการซื้อขายตามธรรมดา ในเรื่องวิธี การตั้งราคาและการตกลงราคา โดยการขายทอดตลาดเป็นการขายโดยเปิดเผยต่อสาธารณะชน เปิดโอกาสให้บุคคลโดย ทั่วๆไปเข้าทำ การซื้อโดยวิธีประมูลราคา ผู้ใดให้ราคาสูงกว่าผู้นั้นก็มีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นได้ ในการขายทอดตลาดนั้น โดยปกติจะมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ 4 ฝ่ายด้วยกัน คือ ผู้ขาย อาจจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือ ผู้มีอำ นาจทำ การขายทรัพย์สินก็ได้ ผู้ทอดตลาด ผู้สู้ราคา และผู้ซื้อ หลักเกณฑ์ในการขายทอดตลาด มาตรา 509 และ มาตรา 510 เพราะฉะนั้นลักษณะของการขายทอดตลาด ตามมาตรา 509 และมาตรา 510 การขายทอดตลาดจะต้องมีการการ โฆษณาบอกขายทอดตลาด โดยการโฆษณาจะต้องทำ โดยเปิดเผยต่อบุคคลโดยทั่วๆไป ไม่ใช่แสดงความจำ นงจะขายต่อ บุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ เป็นการโฆษณาโดยเปิดโอกาสให้ใครก็ตามซึ่งสนใจในสินค้านั้นเข้ามาซื้อขายประมูลกันได้ ส่วนการตกลงในเรื่องของการขายทอดตลาดตามมาตรา 509 กำ หนดไว้ว่า การขายทอดตลาดย่อมบริบูรณ์เมื่อผู้ ทอดตลาดแสดงความตกลงด้วยเคาะไม้หรือด้วยวิธีอย่างหนึ่งอย่างใดตามประเพณีของการทอดตลาด ดังนั้นเมื่อผู้เข้าประมูล ขานราคา ตามที่ผู้ทอดตลาดเห็นสมควรว่าเหมาะสมกับราคาทรัพย์แล้ว ทอดตลาดก็จะแสดงความตกลงด้วยวิธีเคาะไม้ หรือ ด้วยกิริยาอย่างหนึ่งอย่างใดตามประเพณีของการทอดตลาด ซึ่งถือว่าการทอดตลาดนั้นย่อมบริบูรณ์ แต่ถ้ายังไม่ได้แสดงเช่น นั้นอยู่ตราบใด การทอดตลาดยังไม่สมบูรณ์ ผู้สู้ราคาอาจถอนคำ สู้ราคาของตนได้ ในการขายทอดตลาดเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลโดยทั่วไปเข้ามาสู้ราคาหรือประมูลสู้ราคากัน แต่กฎหมายก็ยัง จำ กัดบุคคลบางประเภท บุคคลเหล่านี้ห้ามมิให้เข้าสู่ราคาในการขายทอดตลาดคือ ในมาตรา 511 ทั้งนี้แม้จะได้บอกกล่าวล่วงหน้าไว้ในคำ โฆษณาว่าจะเข้าสู้ราคาก็ทำ ไม่ได้ มาตรา 511 ได้บัญญัติห้ามไว้โดยเด็ด ขาด ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ทอดตลาดสงวนสิทธิ ได้อย่างใด คำ พิพากษาฎีกาที่ 1345 / 2501 เจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้ขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดเป็นอันสมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 509 จำ เลยขอให้งดขายและขายใหม่ไม่ได้ 28
มาตรา 512 ท่านห้ามมิให้ผู้ขายเข้าสู้ราคาเองหรือใช้ให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าสู้ราคา เว้นแต่จะได้ แถลงไว้โดยเฉพาะในคำ โฆษณาบอกการทอดตลาดนั้นว่าผู้ขายถือสิทธิที่จะเข้าสู้ราคาด้วย ส่วนผู้ขาย มาตรา 512 แต่ในกรณีที่ผู้ขายและผู้ทอดตลาดเป็นคนๆเดียวกัน ก็จะเข้าสู้ราคาไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามมาตรา 511 ในการเข้าสู้ราคานี้ โดยปกติผู้ขายไม่จำ เป็นต้องกระทำ เพราะผู้ขายอาจบอกให้ผู้ทอดตลาดถอนทรัพย์สินออกจาก การขายทอดตลาดได้ในเมื่อเห็นว่าราคาซึ่งมีผู้สู้สูงสุดนั้นยังไม่สมควรกับทรัพย์ แต่ในกรณีที่ผู้ขายไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน การเข้าสู้ราคาย่อมมีผล จึงจำ เป็นที่จะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไว้ในคำ โฆษณาว่าผู้ขายจะเข้าสู้ราคาด้วย การสู้ราคาจะเกิดเป็นการขายทอดตลาดก็ต่อเมื่อผู้ทอดตลาดรับคำ สู้ราคา แต่ก่อนที่ผู้ทอดตลาดจะสนองรับคำ สู้ ราคา ผู้สู้ราคาจะพ้นจากความผูกพันในคำ เสนอราคาได้ด้วยเหตุ 3 ประการคือ 1) เมื่อผู้สู้ราคาสูงกว่า ผู้สู้ราคาต่ำ ก็เป็นอันพ้นจากความผูกพันไป (มาตรา 514) 2) ผู้สู้ราคาถอนคำ สู้ราคาของตนก่อนที่ผู้ทอดตลาดจะสนองรับตามมาตรา 509 3) เมื่อผู้ขายหรือผู้ทอดตลาดถอนทรัพย์สินออกจากการขายทอดตลาด การทอดตลาดนั้นก็เป็นอันยกเลิก ราคาที่ผู้สู้ราคา เสนอไว้ก็เป็นอันพ้นความผูกพัน ในการขายทอดตลาด จะต้องนำ มาตรา 456 มาใช้บังคับด้วยฉะนั้นแม้การขายจะบริบูรณ์ เมื่อผู้ทอดตลาดแสดง ความตกลงตามมาตรา 509 แล้วก็ตาม แต่ถ้าทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 456 วรรคหนึ่งแล้ว ก็ต้องตามแบบคือทำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย การขายทอดตลาดนั้น ตามมาตรา 515 กำ หนดให้ใช้ราคาเป็นเงินสด เมื่อการซื้อขายบริบูรณ์หรือตามเวลาที่กำ หนดกำ หนดไว้ในคำ โฆษณาบอกขาย คือ ถ้าในคำ โฆษณาบอกขายไม่ได้กำ หนดวิธีการใช้ราคากันไว้ว่าเป็นอย่างไรก็ให้ใช้เป็นเงินสด แต่ถ้าในคำ โฆษณากำ หนดวิธีการ ไว้อย่างไรก็ให้ปฏิบัติไปตามคำ โฆษณานั้น เช่น กำ หนดให้วางเงินสดร้อยละ 10 ของราคาทรัพย์ และที่เหลือให้ชำ ระเสร็จ ภายใน 3 เดือน เป็นต้น ถ้าเกิดกรณีผู้ซื้อไม่ใช้ราคา นอกจากจะบังคับตามการฟ้องบังคับชำ ระหนี้ตามธรรมดาในเรื่องหนี้แล้ว ผู้ทอด ตลาดจะเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดซ้ำ อีกครั้งหนึ่งเพื่อเอาเงินที่ขายได้ชำ ระหนี้แทนการบังคับตามธรรมดาก็ได้ และ ถ้าขายได้เป็นเงินสุทธิไม่คุ้มราคากับค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาดครั้งก่อน ผู้ทอดตลาดเรียกร้องให้ผู้ซื้อเดิมที่ผิดสัญญา ชดใช้จนครบได้ (มาตรา 516) มาตรา 515 ผู้สู้ราคาสูงสุดต้องใช้ราคาเป็นเงินสดเมื่อการซื้อขาย บริบูรณ์หรือตามเวลาที่ กำ หนดไว้ในคำ โฆษณาบอกขาย 29
บรรณานุกรม มหาวิทยาลัยรามคำ แหง .สัญญาซื้อขายคืออะไร. เข้าถึงเมื่อ 29 มกราคม 2567. เข้าถึงได้จาก http://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LW215(47)/LW215(47)-5.pdf สถาบันนิติธรรมาลัย. มาตราที่เกี่ยวข้อง. เข้าถึงเมื่อ 29 มกราคม 2567. เข้าถึงได้จาก https://www.drthawip.com/civilandcommercialcode/066 Legardy . ตัวอย่างคำ พิพากษา.เข้าถึงเมื่อ 30 มกราคม 2567. เข้าถึงได้จาก https://www.legardy.com/thai-law/civil-commercial/civil-and-commercial-section453 Advanced Law. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ3. เข้าถึงเมื่อ 31 มกราคม 2567. เข้าถึงได้จาก https://www.advancedlaw9.com/2020/09/08/% สำ นักงานกฎหมาย นพนภัส ทนายความเชียงใหม่. รวมคำ พิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ. เข้าถึงเมื่อ 31 มกราคม 2567. เข้าถึงได้จาก https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/ porjai assets พอใจ แอสเซท.สัญญาซื้อขาย – กฎหมายเกี่ยวกับ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์.เข้าถึงเมื่อ 31 มกราคม 2567. เข้าถึงได้จาก https://www.porjaiassets.com/ 30