ทฤษฎีสี
สี(COLOUR) หมายถึง ลกั ษณะกระทบตอ่ สายตาให้เห็นเป็นสีมีผลถึงจติ วิทยา คอื มี
อานาจให้เกิดความเข้มของแสงท่ีอารมณ์และความรู้สกึ ได้ การที่ได้เหน็ สีจากสายตาสายตาจะสง่
ความรู้สกึ ไปยงั สมองทาให้เกิดความรู้สกึ ตา่ งๆตามอทิ ธิพลของสี เชน่ สดช่ืน ร้อน ต่ืนเต้น เศร้า สีมี
ความหมายอยา่ งมากเพราะศลิ ปินต้องการใช้สีเป็ นส่ือสร้างความประทบั ใจในผลงานของศลิ ปะและ
สะท้อนความประทบั ใจนนั้ ให้บงั เกิดแก่ผ้ดู มู นษุ ย์เก่ียวข้องกบั สีตา่ งๆ อยตู่ ลอดเวลาเพราะทกุ ส่งิ ท่ีอยู่
รอบตวั นนั้ ล้วนแตม่ ีสีสนั แตกตา่ งกนั มากมาย สีเป็นสง่ิ ท่ีควรศกึ ษาเพื่อประโยชน์กบั ตนเองและ ผ้สู ร้างงาน
จติ รกรรมเพราะ เร่ืองราวองสีนนั้ มีหลกั วชิ าเป็นวทิ ยาศาสตร์จงึ ควรทาความเข้าใจวิทยาศาสตร์ ของสีจะ
บรรลผุ ลสาเร็จในงานมากขนึ ้ ถ้าไมเ่ ข้าใจเรื่องสีดีพอสมควร ถ้าได้ศกึ ษาเร่ืองสีดีพอแล้ว งานศลิ ปะก็จะ
ประสบความสมบรู ณ์เป็นอย่างยงิ่
คาจากดั ความของสี
1. แสงที่มีความถ่ีของคล่ืนในขนาดที่ตามนษุ ย์สามารถรับสมั ผสั ได้
2. แมส่ ีท่ีเป็นวตั ถุ (PIGMENTARY PRIMARY) ประกอบด้วย แดง เหลือง นา้ เงิน
3. สีท่ีเกิดจากการผสมของแมส่ ี
คณุ ลกั ษณะของสี
สีแท้ (HUE) คือ สีท่ียงั ไมถ่ กู สีอื่นเข้าผสม เป็นลกั ษณะของสีแท้ท่ีมีความสะอาดสดใส เชน่ แดง เหลือง
นา้ เงิน
สีออ่ นหรือสีจาง (TINT) ใช้เรียกสีแท้ท่ีถกู ผสมด้วยสีขาว เชน่ สีเทา, สีชมพู
สีแก่ (SHADE) ใช้เรียกสีแท้ท่ีถกู ผสมด้วยสีดา เชน่ สีนา้ ตาล
ประวตั ิความเป็นมาของสี
มนษุ ย์เริ่มมีการใช้สีตงั้ แตส่ มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ มีทงั้ การเขียนสีลงบนผนงั ถา้ ผนงั หิน บนพืน้ ผวิ
เคร่ืองปัน้ ดนิ เผา และท่ีอ่ืนๆภาพเขียนสีบนผนงั ถา้ (ROCK PAINTING) เริ่ม ทาตงั้ แตส่ มยั ก่อน
ประวตั ศิ าสตร์ในทวีปยโุ รป โดยคนก่อนสมยั ประวตั ิศาสตร์ในสมยั หนิ เก่าตอนปลาย ภาพเขียนสีที่มีช่ือเสียง
ในยคุ นีพ้ บท่ีประเทศฝรั่งเศษและประเทศสเปนในประเทศ ไทย กรมศลิ ปากรได้สารวจพบภาพเขียนสี
สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์บนผนงั ถา้ และ เพงิ หินในท่ีตา่ งๆ จะมีอายรุ ะหวา่ ง 1500-4000 ปี เป็นสมยั หนิ
ใหมแ่ ละยคุ โลหะได้ค้นพบตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2465 ครัง้ แรกพบบนผนงั ถา้ ในอา่ วพงั งา ตอ่ มาก็ค้นพบอีกซง่ึ มี
อยทู่ ว่ั ไป เชน่ จงั หวดั กาญจนบรุ ี อทุ ยั ธานี เป็นต้นสีที่เขียนบนผนงั ถา้ ส่วนใหญ่เป็นสีแดง นอกนนั้ จะมีสีส้ม
สีเลือดหมู สีเหลือง สีนา้ ตาล และสีดาสีบนเคร่ืองปัน้ ดนิ เผา ได้ค้นพบการเขียนลายครัง้ แรกท่ีบ้านเชียง
จงั หวดั อดุ รธานีเมื่อปี พ.ศ.2510 สีท่ีเขียนเป็นสีแดงเป็นรูปลายก้านขดจิตกรรมฝาผนงั ตามวดั ตา่ งๆสมยั
สโุ ขทยั และอยธุ ยามีหลกั ฐานวา่ ใช้สีในการเขียนภาพหลายสี แตก่ ็อยใู่ นวงจากดั เพียง 4 สี คือ สีดา สีขาว
สีดนิ แดง และสีเหลืองในสมยั โบราณนนั้ ช่างเขียนจะเอาวตั ถตุ า่ งๆในธรรมชาตมิ าใช้เป็นสีสาหรับเขียน
ภาพ เชน่ ดนิ หรือหนิ ขาวใช้ทาสีขาว สีดาก็เอามาจากเขมา่ ไฟ หรือจากตวั หมกึ จีน เป็ นชาตแิ รกท่ีพยายาม
ค้นคว้าเร่ืองสีธรรมชาตไิ ด้มากกวา่ ชาติอื่นๆ คือ ใช้หนิ นามาบดเป็นสีตา่ งๆ สีเหลืองนามาจากยางไม้ รงหรือ
รงทอง สีครามก็นามาจากต้นไม้สว่ นใหญ่แล้วการค้นคว้าเร่ืองสีก็เพื่อที่จะนามาใช้ ย้อมผ้าตา่ งๆ ไมน่ ยิ ม
เขียนภาพเพราะจีนมีคตใิ นการเขียนภาพเพียงสีเดยี ว คือ สีดาโดยใช้หมึกจีนเขียน
สีสามารถแยกออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. สีธรรมชาติ
2. สีท่ีมนษุ ย์สร้างขนึ ้
สีธรรมชาติ เป็นสีท่ีเกิดขนึ ้ เองธรรมชาติ เชน่ สีของแสงอาทิตย์ สีของท้องฟ้ ายามเช้า เยน็ สีของรุ้งกินนา้
เหตกุ ารณ์ท่ีเกิดขนึ ้ เองธรรมชาติ ตลอดจนสีของ ดอกไม้ ต้นไม้ พืน้ ดนิ ท้องฟ้ า นา้ ทะเล
สีที่มนษุ ย์สร้างขนึ ้ หรือได้สงั เคราะห์ขนึ ้ เชน่ สีวทิ ยาศาสตร์ มนษุ ย์ได้ทดลองจากแสงตา่ งๆ เชน่ ไฟฟ้ า
นามาผสมโดยการทอแสงประสานกนั นามาใช้ประโยชน์ในด้านการละคร การจดั ฉากเวที โทรทศั น์ การ
ตกแตง่ สถานที่
แม่สี (PRIMARIES)
สีตา่ งๆนนั้ มีอยมู่ ากมายแหลง่ กาเนดิ ของสีและวธิ ีการผสมของสีตลอดจนรู้สกึ ที่มีตอ่ สีของมนษุ ย์แตล่ ะกลมุ่
ยอ่ มไมเ่ หมือนกนั สีตา่ งๆท่ีปรากฎนนั้ ย่อมเกิดขนึ ้ จากแมส่ ีในลกั ษณะที่แตกตา่ งกนั ตามชนิดและประเภท
ของสีนนั ้
แมส่ ี คอื สีท่ีนามาผสมกนั แล้วทาให้เกิดสีใหม่ ท่ีมีลกั ษณะแตกตา่ งไปจากสีเดิม
แมส่ ี มือยู่ 2 ชนิด คือ
1. แมส่ ีของแสง เกิดจากการหกั เหของแสงผา่ นแทง่ แก้วปริซมึ มี 3 สี คือ สีแดง
สีเหลือง และสีนา้ เงิน อยใู่ นรูปของแสงรังสี ซงึ่ เป็ นพลงั งานชนดิ เดียวท่ีมีสี
คณุ สมบตั ขิ องแสงสามารถนามาใช้ ในการถา่ ยภาพ ภาพโทรทศั น์ การจดั แสงสี
ในการแสดงตา่ ง ๆ เป็นต้น (ดเู ร่ือง แสงสี )
2. แมส่ ีวตั ถธุ าตุ เป็นสีที่ได้มาจากธรรมชาติ และจากการสงั เคราะห์โดยกระบวน
ทางเคมี มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีนา้ เงิน แมส่ ีวตั ถธุ าตเุ ป็นแมส่ ีที่นามาใช้
งานกนั อยา่ งกว้างขวาง ในวงการศลิ ปะ วงการอตุ สาหกรรม ฯลฯ
แมส่ ีวตั ถธุ าตุ เมื่อนามาผสมกนั ตามหลกั เกณฑ์ จะทาให้เกิด วงจรสี ซง่ึ เป็นวงสี
ธรรมชาติ เกิดจากการผสมกนั ของแมส่ ีวตั ถธุ าตุ เป็นสีหลกั ท่ีใช้งานกนั ทวั่ ไป ใน
วงจรสี จะแสดงสิ่งตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี ้
วงจรสี ( Colour Circle)
สีขนั้ ที่ 1 คือ แมส่ ี ได้แก่ สีแดง สีเหลือง สีนา้ เงิน
สีขนั้ ท่ี 2 คือ สีท่ีเกิดจากสีขนั้ ท่ี 1 หรือแมส่ ีผสมกนั ในอตั ราสว่ นท่ีเทา่ กนั จะทาให้
เกิดสีใหม่ 3 สี ได้แก่
สีแดง ผสมกบั สีเหลือง ได้สี ส้ม
สีแดง ผสมกบั สีนา้ เงิน ได้สีมว่ ง
สีเหลือง ผสมกบั สีนา้ เงิน ได้สีเขียว
สีขนั้ ท่ี 3 คือ สีท่ีเกิดจากสีขนั้ ที่ 1 ผสมกบั สีขนั้ ท่ี 2 ในอตั ราสว่ นท่ีเทา่ กนั จะได้สีอ่ืน ๆ
อีก 6 สี คือ
สีแดง ผสมกบั สีส้ม ได้สี ส้มแดง
สีแดง ผสมกบั สีมว่ ง ได้สีมว่ งแดง
สีเหลือง ผสมกบั สีเขียว ได้สีเขียวเหลือง
สีนา้ เงิน ผสมกบั สีเขียว ได้สีเขียวนา้ เงิน
สีนา้ เงิน ผสมกบั สีมว่ ง ได้สีมว่ งนา้ เงิน
สีเหลือง ผสมกบั สีส้ม ได้สีส้มเหลือง
วรรณะของสี คือสีที่ให้ความรู้สกึ ร้อน-เย็น ในวงจรสีจะมีสีร้อน 7 สี และ
สีเย็น 7 สี ซง่ึ แบง่ ท่ี สีมว่ งกบั สีเหลือง ซง่ึ เป็นได้ทงั้ สองวรรณะ
สีตรงข้าม หรือสีตดั กนั หรือสีคปู่ ฏิปักษ์ เป็นสีท่ีมีคา่ ความเข้มของสี ตดั กนั อยา่ ง
รุนแรง ในทางปฏิบตั ไิ มน่ ยิ มนามาใช้ร่วมกนั เพราะจะทาให้แตล่ ะสีไมส่ ดใส
เทา่ ท่ีควร การนาสีตรงข้ามกนั มาใช้ร่วมกนั อาจกระทาได้ดงั นี ้
1. มีพืน้ ที่ของสีหนงึ่ มาก อีกสีหนง่ึ น้อย
2. ผสมสีอื่นๆ ลงไปสีสีใดสีหนงึ่ หรือทงั้ สองสี
3. ผสมสีตรงข้ามลงไปในสีทงั้ สองสี
สีกลาง คือ สีท่ีเข้าได้กบั สีทกุ สี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คือ สีนา้ ตาล กบั สีเทา
สีนา้ ตาล เกิดจากสีตรงข้ามกนั ในวงจรสีผสมกนั ในอตั ราสว่ นท่ีเทา่ กนั สีนา้ ตาลมี
คณุ สมบตั สิ าคญั คือ ใช้ผสมกบั สีอ่ืนแล้วจะทาให้สีนนั้ ๆ เข้มขนึ ้ โดยไมเ่ ปลี่ยน
แปลงคา่ สี ถ้าผสมมาก ๆ เข้าก็จะกลายเป็นสีนา้ ตาล
สีเทา เกิดจากสีทกุ สี ๆ สีในวงจรสีผสมกนั ในอตั ราสว่ นเท่ากนั สีเทา มีคณุ สมบตั ิ
ท่ีสาคญั คือ ใช้ผสมกบั สีอ่ืน ๆ แล้วจะทาให้ มืด หมน่ ใช้ในสว่ นที่เป็นเงา ซง่ึ มีนา้ หนกั
ออ่ นแกใ่ นระดบั ตา่ ง ๆ ถ้าผสมมาก ๆ เข้าจะกลายเป็ นสีเทา
แมส่ ีวตั ถธุ าตุ (PIGMENTARY RRIMARIES)
แมส่ ีวตั ถธุ าตนุ นั้ หมายถึง “วตั ถทุ ่ีมีสีอยใู่ นตวั ” สามานามาระบาย ทา ย้อม และผสมได้เพราะมีเนือ้ สีและ
สีเหมือนตวั เอง เรียกอีกอยา่ งหนง่ึ วา่ แมส่ ีของชา่ งเขียนสีตา่ งๆจะเกิดขนึ ้ มาอีกมากมาย ด้วยการผสมของ
แมส่ ีซง่ึ มีอยดู่ ้วยกนั 3 สีคอื
1. นา้ เงิน (PRUSSIAN BLUE)
2. แดง (CRIMSON LEKE)
3. เหลือง (GAMBOGE TINT)
สีแดง (CRIMSION LAKE) สะท้อนรังสีของสีแดงออกมาแล้วดงึ ดดู เอาสีนา้ เงินกบั สีเหลืองซงึ่ ตา่ ง
ผสมกนั ในตวั แล้วกลายเป็นสีเขียว อนั เป็นคสู่ ีของสีแดง
สีเหลือง (GAMBOGE YELLOW) สะท้อนรังสีของสีเหลืองออกมาแล้วดงึ ดดู เอาสีแดงกบั สีนา้ เงินซง่ึ
ผสมกนั ในตวั แล้วกลายเป็นสีมว่ ง อนั เป็ นคสู่ ีของสีเหลือง
สีนา้ เงิน (PRESSION BLUE) สะท้อนรังสีของสีนา้ เงินออกมาแล้วดงึ ดดู เอาสีแดงกบั สีเหลืองเข้า
มาแล้วผสมกนั ก็จะกลายเป็ นสีส้ม ซงึ่ เป็นคสู่ ีของสีนา้ เงิน
ระบบสี RGB
ระบบสี RGB เป็นระบบสีของแสง ซงึ่ เกิดจากการหกั เหของแสงผา่ นแทง่ แก้วปริซมึ
จะเกิดแถบสีท่ีเรียกวา่ สีรุ้ง ( Spectrum ) ซงึ่ แยกสีตามท่ีสายตามองเหน็ ได้ 7 สี คือ แดง แสด
เหลือง เขียว นา้ เงิน คราม มว่ ง ซง่ึ เป็นพลงั งานอยใู่ นรูปของรังสี ท่ีมีชว่ งคล่ืนท่ีสายตา
สามารถมองเหน็ ได้ แสงสีมว่ งมีความถี่คล่ืนสงู ท่ีสดุ คล่ืนแสงที่มีความถี่สงู กวา่ แสงสีมว่ ง
เรียกวา่ อลุ ตราไวโอเลต ( Ultra Violet ) และคล่ืนแสงสีแดง มีความถ่ีคล่ืนต่าที่สดุ คลื่นแสง
ที่ตา่ กวา่ แสงสีแดงเรียกวา่ อินฟราเรด ( InfraRed) คล่ืนแสงท่ีมีความถี่สงู กวา่ สีมว่ ง และต่า
กวา่ สีแดงนนั้ สายตาของมนษุ ย์ไมส่ ามารถรับได้ และเม่ือศกึ ษาดแู ล้วแสงสีทงั้ หมดเกิดจาก
แสงสี 3 สี คือ สีแดง ( Red ) สีนา้ เงิน ( Blue)และสีเขียว ( Green )ทงั้ สามสีถือเป็นแมส่ ี
ของแสง เมื่อนามาฉายรวมกนั จะทาให้เกิดสีใหม่ อีก 3 สี คือ สีแดงมาเจนต้า สีฟ้ าไซแอน
และสีเหลือง และถ้าฉายแสงสีทงั้ หมดรวมกนั จะได้แสงสีขาว จากคณุ สมบตั ิของแสงนีเ้รา
ได้นามาใช้ประโยชน์ทวั่ ไป ในการฉายภาพยนตร์ การบนั ทกึ ภาพวดิ ีโอ ภาพโทรทศั น์
การสร้างภาพเพ่ือการนาเสนอทางจอคอมพิวเตอร์ และการจดั แสงสีในการแสดง เป็นต้น
การผสมสี วตั ถธุ าตุ
แมส่ ีวตั ถธุ าตุ แดง เหลือง และสีนา้ เงิน นนั้ ผสมกนั แล้วเกิดสีขนึ ้ อีกหลายสีแมส่ ีวตั ถธุ าตุ
(PIGMEMPAR Y PRIMARIES) หรือเรียกอีกอยา่ งหนงึ่ วา่ สีขนั้ ท่ีหนงึ่
ขนั้ ท่ี 1 คือสี
1. นา้ เงิน (PRUSSIAN BLUE)
2. แดง (CRIMSOM LEKE)
3. เหลือง (GAMBOGE TINT)
แมส่ ีทงั้ สามถ้านามาผสมกนั จะไดเั ป็นสีกลาง (NEUTRAL TINT)
สีขนั้ ที่ 2 (SECONTARY HUES) เกิดจากการนาสีแท้ 2 สีมาผสมกนั ในปริมาณเทา่ กนั จะเกิดสีใหม่
ขนึ ้ นา้ เงิน ผสม แดง เป็น มว่ ง (VIOLET)
นา้ เงิน ” เหลือง ” เขียว (GREEN)
แดง ” เหลือง ” ส้ม (ORANGE)
สีขนั้ ท่ี 3 (TERTIARY HUES) เกิดจากการผสมสีขนั้ ท่ี 2 กบั แม่ (สีขนั้ ท่ี 1) ได้สีเพมิ่ ขนึ ้ อีกคือ
เหลือง ผสม เขียว เป็น เขียวออ่ น (YELLOW – GREEN)
นา้ เงิน ” เขียว ” เขียวแก่ (BLUE – GREEN)
นา้ เงิน ” มว่ ง ” มว่ งนา้ เงิน (BLUE – VIOLET)
แดง ” มว่ ง ” มว่ งแก่ (RED – VIOLET)
แดง ” ส้ม ” แดงส้ม (RED – ORANGE)
เหลือง ” ส้ม ” ส้มเหลือง (YELLOW – ORANGE)
แผนภาพสรุปวงจรสี
การผสมกนั ของแมส่ ีชา่ งเขียนได้สีอยู่ 3 ขนั้ ดงั นี ้
สีขนั้ ที่ 1 (Primary Color) ได้แก่
สีแดง สีเหลือง สีนา้ เงิน
สีขนั้ ที่ 2 (Secondary Hues) เป็นการนาเอาแมส่ ีมาผสมกนั ในปริมาณเทา่ ๆ กนั จะได้สีใหมอ่ ีก 3 สี
ดงั นี ้
สีแดง ผสมกบั สีเหลือง เป็น สีส้ม
สีแดง ผสมกบั สีนา้ เงิน เป็น สีมว่ ง
สีเหลืองผสมกบั สีนา้ เงิน เป็ น สีเขียว
สีขนั้ ท่ี 3 (Tertiary Hues) เกิดจากนาเอาแมส่ ีมาผสมกบั สีขนั้ ท่ี 2 โดยจะได้สีใหมเ่ พม่ิ อีก 6 สี ดงั นี ้
สีแดง ผสม สีมว่ ง เป็น สีมว่ งแดง
สีแดง ผสม สีส้ม เป็น สีส้มแดง
สีเหลือง ผสม สีส้ม เป็น สีส้มเหลือง
สีเหลือง ผสม สีเขียว เป็น สีเขียวเหลือง
สีนา้ เงิน ผสม สีมว่ ง เป็น สีมว่ งนา้ เงิน
สีนา้ เงิน ผสม สีเขียว เป็ น สีเขียวนา้ เงิน
วรรณะของสี
วรรณะของสี คือสีท่ีให้ความรู้สกึ ร้อน-เยน็ ในวงจรสีจะมีสีร้อน 7 สี และสีเย็น 7 สี ซง่ึ แบง่ ท่ี สีมว่ งกบั สี
เหลือง ซง่ึ เป็นได้ทงั้ สองวรรณะ แบง่ ออกเป็ น 2 วรรณะ
1.วรรณะสีร้อน (WARM TONE) ประกอบด้วยสีเหลือง สีส้มเหลือง สีส้ม สีส้มแดง สีมว่ งแดงและสี
มว่ ง สีใน วรรณะร้อนนีจ้ ะไมใ่ ชส่ ีสดๆ ดงั ที่เห็นในวงจรสีเสมอไป เพราะสีในธรรมชาติยอ่ มมีสีแตกตา่ งไป
กวา่ สีในวงจรสีธรรมชาติอีกมาก ถ้าหากว่าสีใด คอ่ นข้างไปทางสีแดงหรือสีส้ม เชน่ สีนา้ ตาลหรือสีเทาอม
ทอง ก็ถือวา่ เป็นสีวรรณะร้อน
2.วรรณะสีเยน็ (COOL TONE) ประกอบด้วย สีเหลือง สีเขียวเหลือง สีเขียว สีเขียวนา้ เงิน สีนา้ เงิน สี
มว่ งนา้ เงิน และสีมว่ ง สว่ นสีอื่นๆ ถ้าหนกั ไปทางสีนา้ เงินและสีเขียวก็เป็ นสีวรรณะเย็นดงั เชน่ สีเทา สีดา สี
เขียวแก่ เป็นต้น จะสงั เกตได้วา่ สีเหลืองและสีมว่ งอยทู่ งั้ วรรณะร้อนและวรรณะเย็น ถ้าอยใู่ นกลมุ่ สีวรรณะ
ร้อนก็ให้ความรูสกึ ร้อนและถ้า อยใู่ นกลมุ่ สีวรรณะเยน็ ก็ให้ความรู้สึกเยน็ ไปด้วย สีเหลืองและสีมว่ งจงึ เป็นสี
ได้ทงั้ วรรณะร้อนและวรรณะเยน็
สีเพ่ิมนา้ หนกั ขนึ ้ ด้วยการใช้สีดาผสม ( shade)