แผนการจัดการเรียนรู้
วิชา ฟิสิกส์เพิ่มเติม
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองหานวิทยา
นายจิระวุฒิ ภาวงค์
รหัสประจำตัวนักศึกษา 61100143119
นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ (เน้นฟิสิกส์)
การฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 1
รหัสวิชา ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
แผนการจัดการเรยี นรู้
วิชา ฟสิ ิกสเ์ พิม่ เติม
หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 1 ธรรมชาตแิ ละพัฒนาการทางฟสิ ิกส์
ระดับช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองหานวิทยา
นายจิระวฒุ ิ ภาวงค์
รหัสประจำตวั นกั ศึกษา 61100143119
นักศึกษาฝึกประสบการณว์ ชิ าชพี ครู สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (เน้นฟสิ กิ ส)์
การฝกึ ปฏบิ ตั กิ ารสอนในสถานศึกษา 1
รหสั วิชา ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)
คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุดรธานี
ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565
คำนำ
แผนการจัดการเรยี นร้รู ายวิชาฟิสกิ ส์เพิ่มเติม รหัสวิชา ว31201 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 เลม่ 1 น้ี
จดั ทำข้นึ เพื่อเปน็ แนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสทิ ธิภาพ และใหน้ กั เรยี นบรรลตุ าม
มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวช้ีวัด ทกี่ ำหนดไว้นหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
(ฉบับปรบั ปรุง 2560) ผจู้ ัดทำจึงไดศ้ ึกษาสาระการเรียนรู้ เทคนิค วิธกี ารสอน การวดั และประเมินผล มา
จัดทำแผนการจดั การเรยี นรูใ้ นครัง้ นี้
แผนการจัดการเรียนร้เู ล่มที่ 1 นี้ ประกอบด้วย เปา้ หมายของวทิ ยาศาสตร์ เรียนรู้อะไรใน
วิทยาศาสตร์ สาระฟสิ ิกส์ วทิ ยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ เรยี นรู้อะไรในวิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเตมิ คณุ ภาพผูเ้ รยี น
คณุ ภาพผู้เรยี นเม่ือจบชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ ผลการเรยี นรู้และสาระการเรียนร้เู พ่มิ เตมิ คำอธิบายรายวชิ า
โครงการสอนวชิ า ฟสิ กิ ส์เพ่ิมเตมิ 1 แผนการประเมนิ ผลการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 1
ธรรมชาตขิ องฟสิ ิกส์ เพ่ือใหผ้ ู้เรียนบรรลมุ าตรฐานการเรียนร้ไู ดเ้ ต็มประสิทธภิ าพอย่างแท้จริง
ผจู้ ดั ทำจึงหวังอยา่ งยงิ่ วา่ แผนการจดั การเรยี นรู้ฉบับน้ี จะสามารถนำไปใชป้ ระกอบการจัดการ
เรียนการสอนรายวชิ าฟสิ กิ สเ์ พิ่มเติม นำไปสูก่ ารพัฒนาท่ีถูกต้องและเกดิ ผลแกผ่ เู้ รยี นเป็นอยา่ งดี
นายจริ ะวฒุ ิ ภาวงค์
สารบญั หนา้
เรือ่ ง ก
ก
ตวั ชี้วัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง ก
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ค
ค
บทนาํ ง
เป้าหมายของวทิ ยาศาสตร์ จ
เรยี นรอู้ ะไรในวิทยาศาสตร์ ช
สาระฟสิ ิกส์ ช
วิทยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ ซ
เรียนรูอ้ ะไรในวิทยาศาสตร์เพิ่มเตมิ ฌ
สาระวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม ฌ
คุณภาพผ้เู รยี น ฑ
คุณภาพผเู้ รียนเมื่อจบชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ ณ
ผลการเรยี นรู้และสาระการเรียนรู้เพ่มิ เตมิ ต
คำอธิบายรายวิชา
โครงการสอนวิชา ฟสิ ิกส์เพ่ิมเติม 1 1
แผนการประเมินผลการเรียนรู้
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี1 ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการทางฟสิ ิกส์ 15
แผนการจัดการเรียนรู้ ท่ี 1 เร่ืองบทนำ/ปฐมนิเทศ 37
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 2 การอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ 61
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 3 ปริมาณกายภาพและหนว่ ย 75
แผนการจัดการเรียนรู้ ท่ี 4 ปริมาณกายภาพและหนว่ ย
ข้อสอบเก็บคะแนนบทที่ 1 ธรรมชาตขิ องฟิสกิ ส์
ก
ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
บทนาํ
ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุงพ.ศ.
๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ นไี้ ด้กำหนดสาระการเรียนรู้
ออกเป็น ๔ สาระ ได้แก่ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ สาระท่ี ๓
วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ และสาระท่ี ๔ เทคโนโลยีมีสาระเพิ่มเตมิ ๔ สาระ ไดแ้ ก่ สาระชวี วิทยาสาระ
เคมีสาระฟสิ กิ สแ์ ละสาระโลกดาราศาสตรแ์ ละอวกาศซึ่งองคป์ ระกอบของหลักสูตรทั้งในด้านของเนอ้ื หา
การจัดการเรยี นการสอน และการวดั และประเมินผลการเรียนรนู้ ัน้ มีความสำคัญอยา่ งยิ่งในกาวางรากฐาน
การเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ของผเู้ รียนในแตล่ ะระดบั ชัน้ ใหม้ คี วามตอ่ เนื่องเช่อื มโยงกัน ตงั้ แต่ช้นั ประถมศึกษา
ปีที่ ๑ จนถึงชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ สำหรบั กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรไ์ ด้กำหนดตวั ชี้วัดและสาระ
การเรียนรู้แกนกลาง ทผี่ ูเ้ รยี นจำเป็นต้องเรียนเปน็ พืน้ ฐาน เพ่อื ใหส้ ามารถนาํ ความรู้น้ไี ปใชใ้ นการ
ดำรงชวี ิตหรอื ศึกษาต่อในวิชาชีพทต่ี อ้ งใช้วทิ ยาศาสตร์ไดโ้ ดยจดั เรียงลำดับความยากง่ายของเน้ือหาแต่ละ
สาระในแต่ละระดับชัน้ ให้มกี ารเช่อื มโยงความรกู้ ับกระบวนการเรียนรแู้ ละการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ท่ี
ส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนพฒั นาความคดิ ทัง้ ความคิดเป็นเหตุเปน็ ผล คดิ สรา้ งสรรค์ คดิ วเิ คราะห์วิจารณ์ มที กั ษะที่
สำคัญทัง้ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในการค้นคว้าและสร้างองค์
ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรูส้ ามารถแก้ปญั หาอย่างเป็นระบบ สามารถตดั สินใจ โดยใช้
ขอ้ มลู หลากหลายและประจกั ษ์พยานที่ตรวจสอบได้สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(สสวท.) ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของการจดั การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ที่มงุ่ หวังให้เกดิ ผลสมั ฤทธ์ิตอ่ ผ้เู รียน
มากท่ีสดุ จึงไดจ้ ัดทำตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั
ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ข้นึ เพอ่ื ให้
สถานศกึ ษา ครผู ้สู อนตลอดจนหน่วยงานตา่ ง ๆ ได้ใชเ้ ปน็ แนวทางในการพัฒนาหนังสือเรียน คู่มือครสู ่อื
ประกอบการเรียนการสอน ตลอดจนการวดั และประเมินผล โดยตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั
ข
พ้นื ฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ ท่ีจดั ทำข้นึ น้ีไดป้ รับปรุงเพือ่ ให้มคี วามสอดคลอ้ งและเชอ่ื มโยงกนั ภายในสาระ
การเรียนรู้เดยี วกนั และระหว่างสาระการเรยี นรู้ในกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรต์ ลอดจนการเชื่อมโยง
เน้อื หาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กบั คณิตศาสตร์ดว้ ย นอกจากนย้ี งั ไดป้ รบั ปรุงเพ่ือให้มีความทันสมัยต่อการ
เปลยี่ นแปลง และความเจรญิ กา้ วหนา้ ของวทิ ยาการต่าง ๆ และทัดเทยี มกับนานาชาตกิ ลุ่มสาระการเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตรส์ รุปเป็นแผนภาพไดด้ ังน้ี
สาระที่ ๒
วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
- มาตรฐาน ว ๒.๑ - ว ๒.๓
สาระที่ ๑ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ สาระที่ ๓
วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
- มาตรฐาน ว ๑.๑ - ว ๑.๓ - มาตรฐาน ว ๓.๑ - ว ๓.๒
สาระท่ี ๔
เทคโนโลยี
- มาตรฐาน ว ๔.๑ - ว ๔.๒
ค
วิทยาศาสตร์เพ่ิมเติม • สาระชีววทิ ยา • สาระเคมี • สาระฟสิ ิกส์
• สาระโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ
เปา้ หมายของวิทยาศาสตร์
ในการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ม่งุ เนน้ ใหผ้ ู้เรียนได้คน้ พบความรู้ดว้ ยตนเองมากทส่ี ดุ เพ่ือให้ได้
ทั้งกระบวนการและความรู้จากวิธกี ารสงั เกต การสํารวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนาํ ผลท่ไี ดม้ าจดั ระบบ
เป็นหลักการ แนวคดิ และองค์ความรู้การจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตรจ์ ึงมีเป้าหมายท่สี ำคัญ ดงั นี้
๑. เพื่อใหเ้ ขา้ ใจหลักการ ทฤษฎแี ละกฎที่เปน็ พื้นฐานในวชิ าวิทยาศาสตร์
๒. เพื่อให้เขา้ ใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจํากัดในการศกึ ษา
วิชาวทิ ยาศาสตร์
๓. เพอ่ื ให้มที ักษะทีส่ ำคัญในการศกึ ษาค้นคว้าและคิดค้นทางเทคโนโลยี
๔. เพอ่ื ให้ตระหนักถงึ ความสัมพันธ์ระหวา่ งวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยีมวลมนษุ ย์
และสภาพแวดล้อมในเชงิ ท่ีมีอทิ ธพิ ลและผลกระทบซ่ึงกันและกัน
๕. เพื่อนําความรู้ความเขา้ ใจ ในวชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์
ต่อสังคมและการดำรงชวี ิต
๖. เพอ่ื พัฒนากระบวนการคดิ และจนิ ตนาการ ความสามารถในการแกป้ ญั หา และ
การจัดการ ทักษะในการสือ่ สาร และความสามารถในการตัดสนิ ใจ
๗. เพ่ือให้เปน็ ผู้ที่มจี ิตวทิ ยาศาสตร์ มคี ุณธรรม จริยธรรม และค่านยิ มในการใช้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยอี ย่างสรา้ งสรรค์
เรยี นรูอ้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์มุง่ หวงั ให้ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้วิทยาศาสตร์ ทเ่ี นน้ การเชื่อมโยง
ความรกู้ บั กระบวนการ มีทกั ษะสำคัญในการค้นควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ โดยใชก้ ระบวนการในการสืบ
ง
เสาะหาความร้แู ละแกป้ ัญหาทีห่ ลากหลาย ให้ผูเ้ รียนมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรูท้ ุกข้ันตอน มกี ารทำกจิ กรรม
ด้วยการลงมอื ปฏิบัติจริงอยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดับช้นั โดยกำหนดสาระสำคญั ดังนี้
• วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ เรียนรเู้ ก่ียวกบั ชวี ติ ในสงิ่ แวดลอ้ ม องค์ประกอบของสิ่งมชี วี ิตการ
ดำรงชีวติ ของมนุษยแ์ ละสตั วก์ ารดำรงชีวติ ของพชื พนั ธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและ
วิวฒั นาการของสง่ิ มชี วี ติ
• วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เก่ียวกับ ธรรมชาตขิ องสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร
การเคลอ่ื นท่ี พลังงาน และคลืน่
• วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ เรยี นร้เู ก่ยี วกบั องคป์ ระกอบของเอกภพ ปฏิสมั พันธ์
ภายในระบบสรุ ิยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ยี นแปลงทางธรณีวทิ ยา กระบวนการ
เปลีย่ นแปลงลมฟ้าอากาศ และผลตอ่ สงิ่ มีชวี ิตและสง่ิ แวดล้อม
• เทคโนโลยี
• การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรูเ้ ก่ียวกับ เทคโนโลยีเพ่ือการดำรงชีวติ ในสงั คมทีม่ ีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเรว็ ใชค้ วามรแู้ ละทักษะทางดา้ นวิทยาศาสตรค์ ณติ ศาสตร์และศาสตร์อ่ืน ๆ เพื่อ
แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสรา้ งสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เลอื กใช้
เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชวี ิต สังคม และสิ่งแวดล้อม
• วิทยาการคาํ นวณ เรียนรู้เก่ยี วกบั การคดิ เชงิ คํานวณ การคดิ วิเคราะห์แก้ปญั หา
เปน็ ขน้ั ตอนและเป็นระบบ ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรดู้ ้านวิทยาการคอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการส่ือสาร ในการแก้ปญั หาท่ีพบในชวี ติ จริงไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ
สาระฟสิ ิกส์
๑. เข้าใจธรรมชาตทิ างฟสิ ิกส์ ปรมิ าณและกระบวนการวัด การเคลือ่ นทแี่ นวตรง
แรงและกฎการเคลื่อนทีข่ องนิวตนั กฎความโนม้ ถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวตั ถุ
งานและกฎการอนุรักษ์พลงั งานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรกั ษ์โมเมนตัม การเคล่ือนทแ่ี นวโค้ง
รวมท้งั นําความรู้ไปใช้ประโยชน์
จ
๒. เข้าใจการเคล่อื นทีแ่ บบฮาร์มอนกิ ส์อยา่ งงา่ ย ธรรมชาติของคลนื่ เสยี งและการไดย้ นิ
ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสยี ง แสงและการเห็น ปรากฏการณท์ ่ีเกย่ี วข้องกับแสงรวมท้ังนําความรไู้ ปใช้
ประโยชน์
๓. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคลู อมบส์ นามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟา้ ความจุไฟฟา้ กระแสไฟฟ้า
และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟา้ และกําลงั ไฟฟ้า การเปลย่ี นพลงั งานทดแทน
เป็นพลงั งานไฟฟา้ สนามแมเ่ หล็ก แรงแม่เหลก็ ทก่ี ระทำกบั ประจไุ ฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ การเหนยี่ วนาํ
แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้าและการสือ่ สาร รวมท้ัง
นาํ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
๔. เขา้ ใจความสัมพนั ธข์ องความรอ้ นกับการเปล่ียนอณุ หภมู ิและสถานะของสสาร
สภาพยืดหยนุ่ ของวสั ดแุ ละมอดุลัสของยัง ความดนั ในของไหล แรงพยงุ และหลักของอารค์ ิมดี ีส
ความตึงผิวและแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคตแิ ละสมการแบร์นลู ลีกฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์
ของแกส๊ อุดมคติและพลงั งานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ล็กทริก ทวิภาวะ
ของคล่ืนและอนุภาค กัมมนั ตภาพรังสีแรงนิวเคลียร์ ปฏกิ ริ ิยานิวเคลียร์ พลังงานนวิ เคลยี ร์ ฟสิ ิกส์
อนุภาค รวมทัง้ นาํ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
วทิ ยาศาสตรเ์ พมิ่ เติม
วทิ ยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ จดั ทำขึน้ สำหรบั ผเู้ รยี นในระดับช้นั มัธยมศกึ ษาตอนปลายแผนการเรียน
วทิ ยาศาสตร์ ทจ่ี ำเปน็ ต้องเรียนเนอื้ หาในสาระชีววทิ ยา เคมีฟสิ ิกส์ และโลกดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ซึ่ง
เป็นพ้นื ฐานสำคัญและเพียงพอสำหรบั การศึกษาต่อในระดับอดุ มศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อประกอบ
วิชาชีพในสาขาทใี่ ช้วิทยาศาสตรเ์ ป็นฐาน เชน่ แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ เทคโนโลยีชวี ภาพ เทคนิค
การแพทย์วิศวกรรม สถาปัตยกรรม ฯลฯ โดยมผี ลการเรยี นรู้ทคี่ รอบคลุมดา้ นเนื้อหา ทักษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ รวมทงั้ จิตวิทยาศาสตรท์ ี่ผูเ้ รียนจำเปน็ ต้องมวี ิทยาศาสตร์
เพม่ิ เติมน้ไี ด้มีการปรับปรงุ เพ่ือให้มเี น้ือหาท่ีทดั เทยี มกบั นานาชาติเน้นกระบวนการคิดวิเคราะหแ์ ละการ
แก้ปัญหา รวมท้ังเชื่อมโยงความรสู้ ูก่ ารนําไปใชใ้ นชวี ิตจริง สรุปได้ดงั น้ี
๑. ลดความซ้ำซอ้ นของเนื้อหาระหว่างตวั ช้ีวดั ในรายวิชาพนื้ ฐานและผลการเรยี นรู้รายวิชา
เพิ่มเติม เพ่ือใหผ้ ้เู รยี นได้มีเวลาสำหรบั การเรียนรู้และทำปฏิบัตกิ ารทางวิทยาศาสตร์เพม่ิ ข้ึน
๒. ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาระหว่างสาระชีววทิ ยา เคมีฟิสิกส์และโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ
โดยมกี ารพจิ ารณาเนอื้ หาท่มี ีความซ้ำซ้อนกนั แล้วจดั ใหเ้ รียนท่ีสาระใดสาระหนึ่ง เชน่
ฉ
- เรือ่ งสารชวี โมเลกลุ เดิมเรียนทงั้ ในสาระชวี วทิ ยา และเคมีได้พิจารณาแลว้ จัดใหเ้ รยี นในสาระ
ชีววิทยา
- เรอื่ งปโิ ตรเลียม เดิมเรียนท้งั ในสาระเคมีและโลก ดาราศาสตร์และอวกาศไดพ้ ิจารณาแล้วจัดให้
เรยี นในสาระโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ
- เรอ่ื งกฎของบอยล์กฎของชารล์ ไอโซโทปกัมมันตรังสไี ด้พิจารณาแล้วจัดให้เรียนในสาระเคมี
และเร่อื งพลงั งานนวิ เคลยี ร์จัดให้เรียนในสาระฟสิ กิ ส์ เนอ่ื งจากเดิมเน้ือหาเหล่าน้ที บั ซ้อนกันในสาระเคมี
และฟิสิกส์
- เรื่องการทดลองของทอมสนั และการทดลองของมลิ ลิแกน เดิมเรยี นท้งั ในสาระ
เคมีและฟสิ ิกส์ไดพ้ จิ ารณาแล้วจดั ให้เรียนในสาระเคมี
๓. ลดความซ้ำซ้อนกนั ระหว่างระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และระดับมธั ยมศึกษา
ตอนปลาย เชน่
- เรอ่ื งระบบนเิ วศและส่ิงแวดลอ้ มในสาระชีววทิ ยา ได้ปรบั ให้สาระการเรียนรู้
เน้อื หา และกจิ กรรม มีความแตกต่างกันตามความเหมาะสมของระดับผเู้ รียน
- เรือ่ งเทคโนโลยอี วกาศ การเกิดลม การเปลยี่ นแปลงอุณหภูมิของโลก พายุ
และมรสมุ ไดม้ ีการปรบั ใหส้ าระการเรยี นรู้เน้ือหา และกิจกรรม เรียนต่อเน่ืองกนั จากระดับ
มัธยมศกึ ษาตอนต้นไปสูร่ ะดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เพื่อไม่ใหท้ บั ซอ้ นกัน
๔. ลดทอนเนือ้ หาท่ียากเพือ่ ใหเ้ หมาะสมกับกลุม่ ของผเู้ รียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
๕. มกี ารเพมิ่ เน้ือหาดา้ นต่าง ๆ ที่มคี วามทันสมยั สอดคล้องตอ่ การดำรงชีวิตในปัจจบุ นั และ
อนาคตมากขนึ้ เช่น เรื่องเทคโนโลยที างดีเอ็นเอ ท่ีมตี ่อมนุษย์และส่ิงแวดล้อมในสาระชวี วทิ ยา เร่อื งทักษะ
และความปลอดภยั ในปฏบิ ัตกิ ารเคมีนวัตกรรมและการแกป้ ัญหาที่เน้นการบรู ณาการในสาระเคมี เร่ือง
เทคโนโลยีด้านพลังงานและส่ิงแวดล้อม การส่ือสารด้วยสญั ญาณดิจทิ ลั ทเ่ี หมาะสมกับสงั คมและเศรษฐกิจ
ดจิ ิทลั ในปัจจุบนั รวมท้งั เนือ้ หาเกีย่ วกบั การคน้ คว้าวจิ ัยดา้ นฟสิ กิ สอ์ นภุ าค เพ่ือความสอดคลอ้ งกับ
ความก้าวหน้าของวิชาฟิสกิ ส์ในปจั จุบนั วทิ ยาศาสตร์เพ่ิมเติมน้ีถงึ แม้ว่าสถานศึกษาสามารถจัดใหผ้ เู้ รยี นได้
เรียนตามความเหมาะสมและตามจุดเนน้ ของสถานศกึ ษา แต่ในแนวทางปฏบิ ัตสิ ถานศึกษาควรจัดให้
ผู้เรียนไดเ้ รียนทกุ สาระเพื่อให้มีความรูเ้ พยี งพอในการนําไปใชเ้ พื่อการศกึ ษาต่อ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ เนื้อหา
ของสาระโลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ทส่ี ถานศกึ ษามักมองขา้ มความสำคญั ของการเรียนสาระนซ้ี ึง่ เปน็
การบูรณาการความรทู้ างด้านวิทยาศาสตร์ ทั้งฟสิ ิกส์ เคมแี ละชวี วทิ ยา รวมท้งั ศาสตรอ์ ่นื ๆทีเ่ กยี่ วข้อง
ช
เพื่อมาช่วยในการอธบิ ายและเข้าใจปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ในธรรมชาตทิ ั้งการเปลยี่ นแปลงบนผิวโลก การ
เปลี่ยนแปลงภายในโลก และการเปลี่ยนแปลงทางลมฟ้าอากาศ ซ่งึ กระบวนการเปลย่ี นแปลงท้ังหมด
ดังกลา่ วลว้ นส่งผลซึ่งกนั และกัน รวมท้งั สิ่งมชี วี ิตด้วย และที่สำคญั คือ ความรู้ ในสาระนส้ี ามารถนําไปใช้ใน
การศึกษาต่อเพ่ือประกอบอาชีพในหลาย ๆ ด้าน เชน่ อาชพี ทเ่ี ก่ียวกบั วสั ดุศาสตรก์ ารเดินเรือ การบนิ
การเกษตร การศึกษาประวตั ิศาสตร์วศิ วกร อุตสาหกรรมน้ำมัน เหมือง นักธรณีวิทยา นักอุตนุ ยิ มวิทยา
นกั ดาราศาสตรน์ ักบนิ อวกาศ ดังนน้ั พน้ื ฐานความรู้สาระโลกดาราศาสตร์และอวกาศ จะช่วยเปดิ โอกาส
ทางด้านอาชีพที่หลากหลายให้กับผเู้ รียน เพราะในอนาคตข้างหนา้ นอกจากมนุษย์จะต้องมีความเข้าใจ
เกีย่ วกบั โลกทีต่ ัวเองอาศยั อยู่แลว้ ยงั ตอ้ งพัฒนาตนเองเพื่อศึกษาขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ที่อยนู่ อกโลกเพ่ือนาํ ข้อมลู
เหลา่ นั้นกลับมาพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตใหด้ ขี น้ึ
เรียนรู้อะไรในวิทยาศาสตร์เพ่มิ เตมิ
วิทยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ ผเู้ รียนจะไดเ้ รียนรูส้ าระสำคญั ดงั นี้
• ชีววิทยา เรียนรูเ้ กี่ยวกับ การศึกษาชวี วทิ ยา สารทเ่ี ปน็ องค์ประกอบของส่งิ มีชวี ิต เซลลข์ อง
สิ่งมีชีวิต พนั ธุกรรมและการถ่ายทอด ววิ ัฒนาการ ความหลากหลายทางชีวภาพโครงสรา้ งและการทำงาน
ของสว่ นตา่ ง ๆ ในพชื ดอก ระบบและการทำงานในอวัยวะต่าง ๆ ของสตั ว์และมนษุ ย์และส่งิ มชี วี ติ และ
สิ่งแวดลอ้ ม
• เคมี เรยี นร้เู กีย่ วกับ ปรมิ าณสาร องค์ประกอบและสมบัตขิ องสาร การเปลีย่ นแปลงของสาร
ทักษะและการแกป้ ัญหาทางเคมี
• ฟสิ กิ ส์ เรยี นรเู้ กย่ี วกับ ธรรมชาตแิ ละการค้นพบทางฟสิ กิ ส์แรงและการเคลอ่ื นท่ีและพลังงาน
• โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เรยี นรูเ้ ก่ียวกับ โลกและกระบวนการเปลีย่ นแปลงทาง
ธรณวี ิทยา ข้อมูลทางธรณวี ิทยาและการนําไปใชป้ ระโยชนก์ ารถา่ ยโอนพลังงานความร้อนของโลกการ
เปลีย่ นแปลงลักษณะลมฟ้าอากาศกับการดำรงชวี ติ ของมนุษย์ โลกในเอกภพ และดาราศาสตร์กับมนุษย์
สาระวทิ ยาศาสตร์เพ่ิมเตมิ
สาระฟสิ กิ ส์
๑. เขา้ ใจธรรมชาตทิ างฟิสกิ ส์ ปรมิ าณและกระบวนการวดั การเคลือ่ นท่แี นวตรงแรงและกฎการ
เคลื่อนที่ของนวิ ตัน กฎความโนม้ ถว่ งสากล แรงเสยี ดทานสมดลุ กลของวัตถงุ านและกฎการอนรุ ักษ์
พลังงานกล โมเมนตมั และกฎการอนุรักษโ์ มเมนตัม การเคลือ่ นที่แนวโคง้ รวมทั้งนาํ ความรู้ไปใช้ประโยชน์
ซ
๒. เข้าใจการเคลอื่ นทแี่ บบฮาร์มอนกิ ส์อยา่ งง่าย ธรรมชาติของคล่ืน เสียงและการได้ยิน
ปรากฏการณ์ทเ่ี กีย่ วข้องกับเสยี ง แสงและการเห็น ปรากฏการณท์ เี่ ก่ียวข้องกบั แสงรวมทั้งนาํ ความรู้ไปใช้
ประโยชน์
๓. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบส์ นามไฟฟ้า ศกั ย์ไฟฟา้ ความจุไฟฟา้ กระแสไฟฟ้าและกฎ
ของโอห์ม วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลงั งานไฟฟา้ และกาํ ลงั ไฟฟา้ การเปลยี่ นพลงั งานทดแทนเป็นพลงั งาน
ไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กทีก่ ระทำกับประจุไฟฟา้ และกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนาํ แม่เหล็กไฟฟา้
และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าและการส่ือสาร รวมท้งั นําความรู้ไปใช้
ประโยชน์
๔. เข้าใจความสัมพันธข์ องความรอ้ นกับการเปลยี่ นอุณหภมู ิและสถานะของสสารสภาพยืดหยุน่
ของวสั ดุและมอดลุ สั ของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลกั ของอาร์คมิ ีดีสความตึงผิวและแรงหนดื
ของของเหลว ของไหลอุดมคตแิ ละสมการแบร์นูลลกี ฎของแก๊ส ทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ อุดมคตแิ ละพลงั งาน
ในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทริก ทวิภาวะของคลน่ื และอนุภาค
กัมมนั ตภาพรังสแี รงนิวเคลียร์ ปฏิกิรยิ านวิ เคลยี ร์ พลงั งานนิวเคลียร์ ฟสิ กิ ส์อนภุ าค รวมทั้งนาํ ความรู้ไปใช้
ประโยชน์
คณุ ภาพผ้เู รยี น
ผู้เรียนทเี่ รยี นตามผลการเรยี นรู้ มีคุณภาพดงั น้ี
• เขา้ ใจธรรมชาตขิ องฟิสิกส์กระบวนการวดั ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณทเี่ ก่ียวขอ้ งกับการ
เคลอ่ื นท่ี การเคลือ่ นที่ในแนวตรง แรงลพั ธก์ ฎการเคลอื่ นท่ี แรงเสยี ดทาน กฎความโน้มถ่วงสากล สนาม
โน้มถว่ ง งาน กฎการอนรุ ักษ์พลงั งานกล สมดุลกลของวตั ถุ เคร่ืองกลอยา่ งง่ายโมเมนตมั และการดล กฎ
การอนุรักษ์โมเมนตัม การชน และการเคลื่อนที่ในแนวโคง้
• เขา้ ใจการเคล่ือนทีแ่ บบคล่นื ปรากฏการณ์คลน่ื การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบนและ
การแทรกสอด หลักการของฮอยเกนสก์ ารเคลือ่ นท่ขี องคล่นื เสยี ง ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเสียง ความ
เขม้ เสียงและระดบั เสียง การไดย้ นิ ภาพทเ่ี กิดจากกระจกเงาและเลนส์ปรากฏการณ์ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั แสงและ
การมองเห็นแสงสี
ฌ
• เขา้ ใจสนามไฟฟา้ แรงไฟฟ้า กฎของคลู อมบศ์ กั ย์ไฟฟา้ ตวั เก็บประจุตัวต้านทานและกฎของ
โอหม์ พลังงานไฟฟา้ การเปลี่ยนพลงั งานทดแทนเป็นพลงั งานไฟฟา้ เทคโนโลยีดา้ นพลังงาน
สนามแมเ่ หลก็ ความสัมพันธ์ระหวา่ งสนามแม่เหล็กกบั กระแสไฟฟา้ การเหน่ียวนําแม่เหล็กไฟฟา้ ไฟฟา้
กระแสสลบั คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า และประโยชน์ของคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า
• เข้าใจผลของความร้อนตอ่ สสาร สภาพยดื หย่นุ ความดนั ในของไหล แรงพยุงของไหลอุดมคติ
ทฤษฎีจลนข์ องแก๊ส แนวคดิ ควอนตมั ของพลงั งาน ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ ทวิ
ภาวะของคลนื่ และอนุภาค การสลายของนิวเคลียสกมั มนั ตรังสีกมั มันตภาพ ปฏิกิรยิ านิวเคลียร์ พลังงาน
นิวเคลียรค์ วามสัมพนั ธ์ระหวา่ งมวลและพลังงานแรงภายในนวิ เคลยี ส และการค้นควา้ วิจยั ดา้ นฟสิ กิ ส์
อนุภาค
คุณภาพผเู้ รยี นเมอ่ื จบชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖
1.เขา้ ใจปริมาณทเี่ ก่ยี วกบั การเคลอ่ื นท่ี ความสัมพนั ธ์ระหว่างแรง มวลและความเร่งผลของ
ความเร่งท่ีมีตอ่ การเคลื่อนทแี่ บบต่าง ๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแมเ่ หลก็ ความสมั พันธ์ระหวา่ ง
สนามแม่เหล็กและกระแสไฟฟ้า และแรงภายในนิวเคลยี ส
2.เข้าใจพลงั งานนิวเคลียรค์ วามสัมพันธร์ ะหว่างมวลและพลังงาน การเปลย่ี นพลงั งานทดแทน
เปน็ พลงั งานไฟฟา้ เทคโนโลยีด้านพลงั งาน การสะท้อน การหักเห การเล้ียวเบนและการรวมคลนื่ การได้
ยนิ ปรากฏการณท์ ี่เกี่ยวข้องกับเสยี ง สกี ับการมองเห็นสคี ลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ และประโยชนข์ องคลื่น
แมเ่ หล็กไฟฟา้
ผลการเรยี นรูแ้ ละสาระการเรียนรูเ้ พิม่ เติม
สาระฟิสกิ ส์
๑. เข้าใจธรรมชาตทิ างฟิสิกส์ ปรมิ าณและกระบวนการวัด การเคลอื่ นที่แนวตรงแรงและกฎ
การเคล่ือนที่ของนิวตนั กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวตั ถุ งานและกฎกาอนรุ กั ษ์
พลงั งานกล โมเมนตมั และกฎการอนุรกั ษโ์ มเมนตมั การเคลือ่ นทแี่ นวโค้ง รวมทั้งนาํ ความรูไ้ ปใช้
ประโยชน์
ญ
ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
๑. สืบคน้ และอธบิ ายการคน้ หาความรทู้ างฟิสกิ ส์ • ฟสิ ิกส์เปน็ วทิ ยาศาสตรแ์ ขนงหนง่ึ ทศ่ี ึกษา
ประวัติความเป็นมา รวมทง้ั พัฒนาการของ เกย่ี วกับสสาร พลงั งาน อันตรกริ ิยาระหวา่ งสสาร
หลกั การและแนวคดิ ทางฟสิ กิ ส์ทีม่ ผี ลต่อ กบั พลงั งาน และแรงพนื้ ฐานในธรรมชาติ
การแสวงหาความรู้ใหมแ่ ละการพฒั นาเทคโนโลยี • การค้นควา้ หาความรู้ทางฟิสิกส์ไดม้ าจากการ
สงั เกตการทดลอง และเก็บรวบรวมขอ้ มลู มา
๒. วัด และรายงานผลการวัดปรมิ าณทางฟสิ ิกส์ วเิ คราะห์หรอื จากการสร้างแบบจําลองทาง
ไดถ้ ูกต้องเหมาะสม โดยนาํ ความคลาดเคล่ือน ความคดิ เพื่อสรปุ เปน็ ทฤษฎีหลักการหรือกฎ
ในการวัดมาพิจารณาในการนําเสนอผล รวมทั้ง ความรูเ้ หล่านี้สามารถนาํ ไปใช้อธิบาย
แสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วเิ คราะห์ ปรากฏการณธ์ รรมชาติหรือทํานายสง่ิ ท่ีอาจจะ
และแปลความหมายจากกราฟเสน้ ตรง เกดิ ข้ึนในอนาคต
• ประวตั ิความเปน็ มาและพฒั นาการของหลักการ
และแนวคดิ ทางฟสิ ิกส์เปน็ พ้นื ฐานในการแสวงหา
ความรูใ้ หมเ่ พม่ิ เติม รวมถึงการพัฒนาและ
ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยกี ็มสี ว่ นในการค้นหา
ความรู้ใหม่ทางวิทยาศาสตร์ด้วย
• การทดลองทางฟิสกิ สเ์ กยี่ วกับการวดั ปริมาณ
ตา่ งๆการบนั ทึกปริมาณที่ได้จากการวัดดว้ ย
จำนวนเลขนยั สําคัญทเ่ี หมาะสม และค่าความ
คลาดเคลือ่ นการวิเคราะหแ์ ละการแปล
ความหมายจากกราฟเชน่ การหาความชนั จาก
กราฟเส้นตรง จุดตัดแกนพ้นื ทีใ่ ต้กราฟ เป็นตน้
• การวัดปริมาณตา่ งๆจะมีความคลาดเคล่ือนเสมอ
ขึ้นอยู่กับเคร่ืองมือ วธิ ีการวัด และประสบการณ์
ของผูว้ ดั ซ่งึ ค่าความคลาดเคล่ือนสามารถแสดง
ในการรายงานผลทั้งในรปู แบบตัวเลขและกราฟ
• การวัดควรเลอื กใช้เคร่ืองมือวัดใหเ้ หมาะสมกับ
ส่งิ ทต่ี ้องการวดั เชน่ การวัดความยาวของวตั ถุ
ท่ีตอ้ งการความละเอยี ดสงู อาจใช้เวอร์เนียร์
ฎ
๓. ทดลอง และอธบิ ายความสมั พันธร์ ะหว่าง แคลลเิ ปริ ส์ หรอื ไมโครมเิ ตอร์
ตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง • ฟิสกิ สอ์ าศยั คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมอื ใน
ของการเคล่ือนที่ของวัตถุในแนวตรงทม่ี ีความเร่ง การศึกษาค้นควา้ และการสอ่ื สาร
คงตวั จากกราฟและสมการ รวมท้ังทดลองหาค่า • ปรมิ าณทเ่ี กีย่ วกับการเคลอ่ื นท่ี ไดแ้ กต่ ำแหนง่
ความเร่งโนม้ ถ่วงของโลก และคาํ นวณปริมาณ การกระจัด ความเรว็ และความเรง่ โดยความเรว็
ตา่ ง ๆ ที่เก่ยี วข้อง และความเร่งมที ัง้ ค่าเฉลี่ยและค่าขณะหนง่ึ ซง่ึ คดิ
ในช่วงเวลาสน้ั ๆ สำหรบั ปรมิ าณต่าง ๆ ท่ี
๔. ทดลอง และอธิบายการหาแรงลพั ธ์ของแรง เก่ยี วข้องกับการเคล่อื นทแ่ี นวตรงด้วยความเรง่
สองแรงที่ทำมมุ ตอ่ กัน คงตัวมคี วามสมั พนั ธ์ตามสมการ
V = u + at
∆x = ( + )t
2
∆x = ut+ 1at2
2
V2=u2+2a∆x
• การอธบิ ายการเคลือ่ นที่ของวัตถุสามารถเขยี น
อยใู่ นรปู กราฟตำแหน่งกับเวลา กราฟความเรว็
กับเวลา หรอื กราฟความเร่งกับเวลา ความชนั
ของเส้นกราฟตำแหน่งกบั เวลาเป็นความเรว็
ความชนั ของเสน้ กราฟความเรว็ กบั เวลาเป็น
ความเร่ง และพน้ื ที่ใตเ้ สน้ กราฟความเรว็ กบั เวลา
เป็นการกระจัด ในกรณที ผ่ี สู้ ังเกตมีความเรว็
ความเรว็ ของวัตถุทีส่ งั เกตได้เป็นความเร็วทเ่ี ทียบ
กับผู้สงั เกต
• การตกแบบเสรเี ป็นตัวอยา่ งหน่งึ ของการ
เคลื่อนที่
ในหน่งึ มติ ทิ ี่มีความเร่งเท่ากับความเรง่ โน้มถ่วง
ของโลก
• แรงเป็นปรมิ าณเวกเตอร์จงึ มที ั้งขนาดและ
ทศิ ทาง
ฏ
๕. เขยี นแผนภาพของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุอิสระ กรณีท่ีมีแรงหลาย ๆ แรง กระทำต่อวัตถสุ ามารถ
ทดลอง และอธิบายกฎการเคล่ือนทีข่ องนิวตัน หาแรงลัพธท์ กี่ ระทำตอ่ วตั ถุโดยใชว้ ธิ เี ขียน
และการใช้กฎการเคลื่อนทีข่ องนวิ ตนั กบั สภาพ เวกเตอรข์ องแรงแบบหางต่อหวั วธิ ีสรา้ งรูป
การเคลือ่ นท่ขี องวตั ถุรวมท้ังคํานวณปริมาณตา่ ง ส่ีเหลยี่ มด้านขนานของแรงและวธิ คี าํ นวณ
ๆท่ีเกย่ี วข้อง • สมบตั ิของวัตถุทต่ี า้ นการเปลย่ี นสภาพการ
เคลื่อนท่ี เรยี กว่า ความเฉ่ือย มวลเปน็ ปรมิ าณ
ท่ีบอกให้ทราบว่าวัตถใุ ดมคี วามเฉอ่ื ยมากหรือน้อย
• การหาแรงลัพธท์ ี่กระทำตอ่ วัตถสุ ามารถเขยี น
เป็นแผนภาพของแรงที่กระทำตอ่ วัตถุอิสระได้
• กรณีท่ีไม่มแี รงภายนอกมากระทำ วัตถจุ ะ
ไม่เปลย่ี นสภาพการเคลือ่ นท่ซี ึ่งเป็นไปตามกฎ
การเคลอื่ นท่ีข้อท่หี นง่ึ ของนิวตนั
• กรณที ่มี ีแรงภายนอกมากระทำโดยแรงลพั ธ์
ทก่ี ระทำต่อวตั ถุไมเ่ ป็นศูนย์วัตถุจะมีความเร่ง
โดยความเรง่ มที ิศทางเดยี วกับแรงลพั ธ์
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งแรงลัพธ์มวลและความเรง่
เขยี นแทนได้ดว้ ยสมการ
∑ =
=1
ตามกฎการเคล่อื นท่ีข้อที่สองของนิวตัน
• เม่อื วัตถสุ องกอ้ นออกแรงกระทำต่อกนั แรง
ระหว่างวัตถทุ ง้ั สองจะมขี นาดเท่ากนั แต่มีทศิ
ทางตรงขา้ มและกระทำต่อวตั ถคุ นละกอ้ น
เรียกวา่ แรงค่กู ิริยา-ปฏิกิรยิ า ซ่ึงเป็นไปตามกฎ
การเคล่อื นทีข่ ้อทสี่ ามของนวิ ตัน และเกิดขึน้ ได้ท้ัง
กรณีทีว่ ัตถุทัง้ สองสมั ผัสกนั หรือไม่สัมผสั กันก็ได้
ฐ
๖. อธบิ ายกฎความโนม้ ถว่ งสากลและผลของ • แรงดงึ ดูดระหวา่ งมวลเปน็ แรงทีม่ วลสองก้อน
สนามโนม้ ถว่ งที่ทำใหว้ ตั ถมุ ีน้ำหนกั รวมทง้ั
คาํ นวณปริมาณตา่ ง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้องGm1m2 ดงึ ดดู ซ่ึงกนั และกัน ดว้ ยแรงขนาดเท่ากันแตท่ ศิ
๗. วิเคราะห์อธิบาย และคํานวณแรงเสยี ดทาน ทางตรงข้ามและเปน็ ไปตามกฎความโน้มถว่ ง
ระหวา่ งผวิ สัมผัสของวตั ถุคู่หนึ่ง ๆ ในกรณีทว่ี ัตถุ
หยดุ นิง่ และวัตถุเคลอ่ื นท่ี รวมทั้งทดลองหา สากล เขยี นแทน
สมั ประสิทธคิ์ วามเสียดทานระหว่างผวิ สัมผสั ของ
วัตถุค่หู น่ึงๆและนําความรเู้ ร่ืองแรงเสยี ดทานไปใช้ ไดด้ ้วยสมการ FG=
ในชวี ิตประจำวนั
• รอบโลกมสี นามโน้มถว่ งทำให้เกิดแรงโนม้ ถว่ ง
ซ่ึงเปน็ แรงดงึ ดูดของโลกทก่ี ระทำต่อวัตถุทำให้
วัตถมุ นี ้ำหนัก
• แรงทเ่ี กิดขนึ้ ท่ผี ิวสัมผัสระหว่างวตั ถุสองก้อน
ในทิศทางตรงข้ามกับทศิ ทางการเคลื่อนทหี่ รอื
แนวโน้มที่จะเคล่ือนทีข่ องวตั ถุ เรียกว่า
แรงเสยี ดทาน แรงเสียดทานระหว่างผวิ สมั ผสั คู่
หน่งึ ๆขนึ้ กบั สัมประสิทธคิ์ วามเสียดทานและ
แรงปฏิกริ ิยาตั้งฉากระหวา่ งผิวสมั ผสั คู่น้นั ๆ
• ขณะออกแรงพยายามแตว่ ัตถยุ ังคงอยู่นงิ่
แรงเสียดทานมีขนาดเท่ากับแรงพยายามท่กี ระทำ
ตอ่ วัตถนุ นั้ และแรงเสยี ดทานมคี า่ มากที่สุดเม่ือ
วตั ถเุ ริม่ เคลือ่ นที่ เรียกแรงเสียดทานนว้ี ่า
แรงเสียดทานสถติ แรงเสียดทานท่กี ระทำต่อวตั ถุ
ขณะกาํ ลงั เคล่ือนที่ เรยี กว่าแรงเสยี ดทานจลน์
โดยแรงเสียดทานท่เี กิดระหว่างผวิ สัมผัสของวตั ถุ
คหู่ น่งึ ๆ คาํ นวณได้จากสมการ
fs ≤ µsN
fk = µkN
• การเพ่มิ หรือลดแรงเสียดทานมีผลตอ่ การ
เคลือ่ นที่ของวัตถซุ ง่ึ สามารถนําไปใชใ้ ชีวติ ประจำ
วัน
ฑ
คำอธบิ ายรายวิชา
ว31201 ฟิสิกส์เพิม่ เติม 1
รายวิชาเพิ่มเติม สาระฟิสกิ ส์ กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 4
ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต
ศึกษาการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมทั้งพัฒนาการของหลักการและ
แนวคิดทางฟิสิกส์ท่ีมีผลต่อการแสวงหาความรู้ใหม่และการพัฒนาเทคโนโลยี ปริมาณกายภาพและหน่วย
การวดั ความคลาดเคลอื่ นในการวัดและการทดลองในวชิ าฟสิ กิ ส์ การบอกตำแหน่งของวัตถุ ความสัมพันธ์
ระหว่างปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แนวตรงด้วยความเร่งคงตัว แรงและผลของแรงที่มีต่อ
สภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎแรงดึงดูดระหว่างมวล และแรงเสียดทาน
ระหว่างผิวคู่สัมผัสคู่หน่ึง ๆ ในกรณที ่ีวัตถุหยุดนิ่งและวัตถุเคลื่อนที่ ทดลองความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่ง
การกระจัด ความเร็ว และความเร่งของการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวตรงที่มีความเร่งคงตัวจากกราฟและ
สมการ ทดลองหาค่าความเร่งโน้มถ่วงของโลก และคำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทดลองการหาแรง
ลัพธ์ของแรงสองแรงที่ทำมุมต่อกัน โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบค้นข้อมูล การสำรวจ
ตรวจสอบ เพื่อใหเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจ ความคิด มีความสามารถในการส่ือสารสงิ่ ที่เรยี นรู้ การตัดสินใจ
การนำความรไู้ ปใชใ้ นชีวิตประจำวนั มจี ติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรมและคา่ นยิ มที่เหมาะสม
ผลการเรียนรู้
1. อธิบายความหมายและความสมั พันธ์ของฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปริมาณทางฟิสิกส์ หน่วย
มาตรฐานนานาชาติ(หน่วยระบบ SI ) ของปริมาณนั้นๆ ระบุหน่วยฐานและหน่วยอนุพันธ์ของระบบ
เอสไอ พรอ้ มท้งั อธบิ ายความหมายของตวั นำหนา้ หน่วยเพ่ือทำให้เป็นหนว่ ยที่โตขึน้ หรอื เล็กลงๆได้
2. สำรวจ ตรวจสอบ และแสดงข้อมูลที่กะทัดรัด ชัดเจน ตลอดจนแสดงการวิเคราะห์ด้วยวิธีทาง
คณติ ศาสตร์ รวมถึงการใช้กราฟเส้นตรง เพอ่ื ประกอบการสรุปผลได้อยา่ งรัดกุม
3. ทดลอง และอธิบายวิธีการวัด เครื่องมือที่ใช้วัด ความคลาดเคลื่อนจากการวัด ตลอดจนประมาณค่า
ความคลาดเคล่อื นทอี่ าจเป็นไปได้อย่างเหมาะสมเม่ือทำการวัด
4. อธิบายความหมายของเลขนัยสำคญั และสามารถใชไ้ ด้อย่างเหมาะสม
ฒ
5. สืบค้นข้อมูลและอธิบายการบอกตำแหน่งของวัตถุในแนวตรงและแกนอ้างอิง การบอกตำแหน่งของ
วัตถุในระนาบและแกนอ้างอิง ระยะทางและการกระจัดของอนุภาคหรือวัตถุ เขียนสัญลักษณ์และ
รูปแบบแทนการกระจดั ของอนุภาคหรือวตั ถุ การหาเวกเตอร์ในหน่งึ มติ ิ
6. สืบค้นข้อมูลและอธิบายการหาอัตราเร็ว ความเร็ว ความเร็วสัมพัทธ์ ของอนุภาคหรือวัตถุ และทดลอง
เพ่ือหาอตั ราเร็วของวัตถุ โดยใชเ้ คร่ืองเคาะสญั ญาณเวลา หาความเรง่ ของอนภุ าคหรือวตั ถุ ทดลองเพื่อ
หาความเร่งของวตั ถุทตี่ กแบบเสรี และเขยี นกราฟของความเร็วกับเวลาของวัตถุ
7. สืบค้นข้อมูลและหาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ในแนวตรงด้วย
ความเร็วคงตัว
8. หาความสัมพันธ์ระหว่างแรงที่มากระทำต่อวัตถุกับสภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุ หาแรงลัพธ์เมื่อมีแรง
มากกว่าหนงึ่ แรงมากระทำตอ่ วัตถุ โดยการสรา้ งรปู และการคำนวณ
9. สบื คน้ ข้อมลู สำรวจตรวจสอบ จัดกจิ กรรมและอธิบายเก่ียวกับมวล แรง แรงพืน้ ฐาน แรงลัพธ์ นำหนัก
สภาพเสมอื นไร้นำ้ หนัก แรงกริ ิยา แรงปฏิกิริยา แรงคู่ปฏกิ ิรยิ า ศนู ยก์ ลางมวล ศนู ยถ์ ่วง
10. สำรวจ ตรวจสอบกฎการเคล่ือนทีข่ องนวิ ตนั และนำกฎการเคลื่อนท่ขี องนวิ ตันไปประยกุ ต์ใช้ได้
11. สืบค้นข้อมูลและทดลองการเคลื่อนทีแ่ บบโพรเจกไทล์และแสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างปรมิ าณต่างๆของ
การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ โดยพิจารณาจากแนวการเคลื่อนทีต่ กแบบเสรี และการเคลื่อนที่ในแนว
ระดบั ดว้ ยความเร็งคงท่ี
12. ทดลอง สืบค้นข้อมูลและอธิบายการเคลื่อนที่ในแนววงกลมได้ และแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแรงสู่
ศูนย์กลาง รัศมีวงกลม อตั ราเรว็ และมวลของวัตถซุ ง่ึ เคลอื่ นที่ในแนววงกลม
13. อธบิ ายการเคลื่อนท่ีบนทางโค้งของรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถจักรยานบนถนนราบและถนนเอียง
การเคลอื่ นที่แบบวงกลมในระนาบด่งิ พรอ้ มทง้ั คำนวณหาปริมาณท่เี กี่ยวขอ้ ง
14. อธิบายความหมายของอัตราเร็วเชิงมุม และแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแรงสู่ศูนย์กลางและอัตราเร็ว
เชิงมมุ
15. ประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ในแนววงกลมไปอธิบายการเคลื่อนที่ของดาวเทียมในวงโคจร
รอบโลก และคำนวณหาปริมาณต่างๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ งได้จากสถานการณท์ กี่ ำหนดให้
16. สำรวจ ตรวจสอบและสืบค้นข้อมูล การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย และแสดงความสัมพันธ์
ระหว่างการกระจดั ความเรว็ และความเร่งของการเคล่ือนท่ีแบบฮาร์มอนิกสอ์ ยา่ งง่าย
17. คำนวณหาปรมิ าณต่างๆของการเคลอ่ื นท่แี บบฮาร์มอนิกอยา่ งง่ายที่เกีย่ วข้องได้
รวมทั้งหมด 17 ผลการเรยี นรู้
ณ
โครงการสอนวชิ า ฟิสิกส์เพิ่มเตมิ 1
รหัสวิชา ว31201 ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4 จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต 3 ชวั่ โมง/สปั ดาห์
สปั ดาห์ ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู/้ ชอื่ เร่อื ง น้ำหนัก จำนวน
ที่ คะแนน ช่ัวโมง
1 1. สบื คน้ และอธิบายการคน้ หาความร้ทู าง • ความเปน็ มาและธรรมชาติของ
2-3 ฟสิ ิกส์ ประวัตคิ วามเปน็ มา รวมทง้ั พฒั นาการ ฟสิ ิกส์ 5 3
ของหลกั การและแนวคิดทางฟิสิกสท์ ่มี ีผลต่อการ • พัฒนาการของหลักการ และ 5 3
4-6 แสวงหาความร้ใู หม่และการพัฒนาเทคโนโลยี แนวคดิ ทางฟสิ ิกส์
2. วัด และรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ • กระบวนการวัดและปริมาณทาง 10 10
ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนำความคลาดเคลื่อนใน ฟสิ กิ ส์ ที่สามารถวัดไดด้ ว้ ย
การวัดมาพิจารณาในการนำเสนอผล รวมท้ัง เคร่ืองมอื ระบบเอสไอ เลข
แสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์ นยั สำคัญ
และแปลความหมายจากกราฟเส้นตรง • การทดลองทางฟิสิกสเ์ กย่ี วกับการ
วัดปริมาณต่าง ๆ การบนั ทึก
3. ทดลอง และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง ปรมิ าณท่ีได้จากการวดั ดว้ ยจำนวน
ตำแหนง่ การกระจดั ความเรว็ และความเรง่ ของ เลขนัยสำคัญ และค่าความ
การเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวตรงที่มีความเร่งคง คลาดเคล่ือน
ตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่า • การเลอื กใชเ้ คร่ืองมอื วดั ชนิดตา่ งๆ
ความเร่งโน้มถ่วงของโลก และคำนวณปริมาณ • ปรมิ าณท่เี ก่ียวกับการเคล่ือนที่
ตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่ ตำแหน่ง การกระจัด
ความเร็ว และความเร่ง ทเี่ กีย่ วขอ้ ง
กบั การเคล่ือนที่แนวตรงด้วย
ความเร่งคงตวั
• การเคลือ่ นท่ีของวัตถุสามารถ
เขียนอยใู่ นรปู กราฟตำแหนง่ กับ
เวลา กราฟความเร็วกับเวลาเปน็ ต้น
• การตกแบบอิสระภายใต้แรงโนม้
ถ่วงของโลก
ด
7-9 4. ทดลอง และอธิบายการหาแรงลัพธ์ของแรง • แรง ขนาดและทศิ ทาง แรงลพั ธ์ที่ 5 12
สองแรงทีท่ ำมุมต่อกัน กระทำต่อวัตถุ โดยใช้วิธีเขยี น 20 2
10 10
เวกเตอรข์ องแรงแบบหางต่อหวั วธิ ี
สร้างรปู สเ่ี หลี่ยมดา้ นขนานของแรง
และวิธีคำนวณ
10 สอบกลางภาค
5. เขียนแผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุอิสระ • ความเฉ่อื ย มวลของวตั ถุ
11-14 ทดลอง และอธิบายกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน • การหาแรงลัพธ์ท่ีกระทำต่อวตั ถุ
และการใช้กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันกับสภาพ สามารถเขียนเป็นแผนภาพของแรง
การเคลื่อนท่ขี องวัตถุ รวมท้ังคำนวณปริมาณต่าง ทก่ี ระทำต่อวัตถอุ ิสระได้
ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง • กฎการเคล่อื นที่ของนิวตนั
15-16 6. อธบิ ายกฎความโนม้ ถ่วงสากลและผลของ • แรงดงึ ดูดระหวา่ งมวล 55
สนามโนม้ ถว่ งทีท่ ำใหว้ ัตถุมนี ำ้ หนัก รวมท้งั • แรงโนม้ ถว่ ง 10 10
คำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
30 2
17-19 7. วิเคราะห์ อธิบาย และคำนวณแรงเสียดทาน • แรงเสยี ดทาน 100 60
ระหว่างผวิ สมั ผสั ของวัตถุคู่หนง่ึ ๆ ในกรณีทีว่ ตั ถุ
หยดุ น่ิงและวัตถุเคลอ่ื นท่ี รวมท้งั ทดลองหา
สัมประสิทธค์ิ วามเสียดทานระหวา่ งผวิ สัมผัสของ
วัตถคุ ูห่ นึง่ ๆ และนำความร้เู รื่องแรงเสยี ดทาน
ไปใชใ้ นชีวติ ประจำวัน
20 สอบปลายภาค
รวม
ต
แผนการประเมินผลการเรียนรู้
อัตราสว่ นคะแนน
กอ่ นสอบกลางปี : สอบกลางปี : กอ่ นสอบปลายปี : สอบปลายปี : คุณลกั ษณะจติ พสิ ยั
18 : 20 : 17 : 30 : 15
1. กอ่ นสอบกลางปี
1.1 ทดสอบเก็บคะแนนท้ายหน่วยการเรยี นรู้ที่1 6 คะแนน
1.2 ทดสอบเก็บคะแนนทา้ ยหนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 7 คะแนน
1.3 การทดลองหาคา่ ความเร่งดว้ ยเคร่อื งเตาะสัญญาณเวลา 5 คะแนน
2. ประเมินจากการสอบกลางปี 20 คะแนน
3. กอ่ นสอบปลายปี
3.1 ทดสอบเกบ็ คะแนนทา้ ยหนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 7 คะแนน
3.2 สรุปความร้หู น่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 10 คะแนน
4. ประเมินจากการสอบปลายปี 30 คะแนน
5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
5.1 ตรงต่อเวลา 7 คะแนน
5.2 ความรับผดิ ชอบ 8 คะแนน
รวม 100 คะแนน
1
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 1
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว31201 รายวิชา ฟสิ ิกส์เพิม่ เติม
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 เร่อื ง ธรรมชาติและพฒั นาการทางฟิสิกส์ เวลา 2 คาบ
เร่ือง ปฐมนิเทศ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรียนที่ 1/2565
ผู้สอน : นายจิระวฒุ ิ ภาวงค์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้ / ผลการเรียนรู้
สาระฟิสิกส์
1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรง แรง
และกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกล ของวัตถุ งานและกฎ
การอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์ โมเมนตัม การเคล่ือนท่ีแนวโคง้ รวมท้ังนำความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์
ผลการเรียนรู้
1. สบื ค้นและอธบิ ายการคน้ หาความร้ทู างฟสิ ิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมท้ัง
พฒั นาการของหลักการและแนวคดิ ทางฟิสิกส์ทมี่ ีผลต่อการแสวงหาความรูใ้ หม่และการพัฒนาเทคโนโลยี
ได้
2. สาระสำคญั
การปฐมนิเทศเป็นการพบเจอกันครั้งแรกระหว่างครูผู้สอนและผู้เรียนในชั้นเรียน ซึ่งในครั้งนี้จะ
เป็นการแนะนำผู้สอนและแนะนำวิชาให้แก่ผู้เรียน ตลอดจนการแนะนำขอบข่ายรายวิชา เรื่องที่จะเรียน
สื่ออุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้และการประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อที่ผู้เรียนจะได้มีความเข้าใจในธรรมชาติ
ของวชิ าจะไดม้ กี ารเตรยี มตวั และค้นควา้ หาความรู้เพิ่มเตมิ ตามแหล่งการเรียนรู้ทค่ี รูผูส้ อนไดแ้ นะนำ
3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. นักเรียนได้เข้าใจขอบข่ายรายวิชา เกณฑ์การให้คะแนน รวมไปถึงข้อตกลงร่วมกันของการ
เรยี นรายวิชาฟิสิกส์
2. นักเรยี นและครูผู้สอนไดร้ ู้จกั นกั เรยี นมากขึ้นเป็นรายบุคคล
2
4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้ (Knowledge)
- การเขา้ ใจจดุ บกพร่องของนกั เรียนในการเรยี นวชิ าฟิสิกส์
- สาระการเรยี นรู้ทัง้ 4 ของวิชาฟสิ ิกส์เพม่ิ เติม
4.2 ทกั ษะและกระบวนการ (Skill & Process)
- การวิเคราะหต์ นเองของนักเรยี น
4.3 เจตคติ (Attribute)
- การรู้ถึงขอ้ ผดิ พลาดหรอื ข้อบกพร่องของตัวเองและพร้อมที่จะได้รับการชว่ ยเหลือและ
แกไ้ ข
5. การจัดกระบวนการเรยี นรู้ (นำ-สอน-สรุป)
ขั้นนำเข้าสกู่ ิจกรรม
1. ครูเริม่ แนะนำตนเองแกน่ ักเรยี น ซง่ึ ได้แก่ ชอ่ื -สกุล ช่อื เลน่ มาจากมหาวิทยาลัย ฯลฯ
2. ครูถามคำถามนักเรยี น
- วิชานี้คือวิชาอะไร
(แนวคำตอบ : วิชาฟิสกิ ส์)
- แลว้ นักเรียนรู้หรอื ไม่วา่ วชิ าฟิสกิ สค์ อื อะไร
(แนวคำตอบ : ตามแนวคิดของนักเรียน)
- แลว้ เทอมนี้ นักเรียนอยากได้เกรออะไรกัน
(แนวคำตอบ : เกรด 4)
3. ครูกล่าวกับนักเรียนต่อว่า เดี๋ยวครูจะบอกนักเรียนว่า นักเรียนจะได้คะแนน
จากอะไรบา้ ง ในวิชาฟิสิกส์
อัตราสว่ นคะแนน
ก่อนสอบกลางปี : สอบกลางปี : ก่อนสอบปลายปี : สอบปลายปี : คุณลักษณะจติ พิสัย
18 : 20 : 17 : 30 : 15
1. ก่อนสอบกลางปี
1.1 ทดสอบเกบ็ คะแนนท้ายหน่วยการเรยี นร้ทู ี่1 6 คะแนน
3
1.2 ทดสอบเก็บคะแนนทา้ ยหนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 2 7 คะแนน
1.3 การทดลองหาค่าความเร่งด้วยเครอื่ งเตาะสัญญาณเวลา 5 คะแนน
2. ประเมนิ จากการสอบกลางปี 20 คะแนน
3. ก่อนสอบปลายปี
3.1 ทดสอบเกบ็ คะแนนทา้ ยหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 3 7 คะแนน
3.2 สรุปความรู้หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 3 10 คะแนน
4. ประเมนิ จากการสอบปลายปี 30 คะแนน
5. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
5.1 ตรงต่อเวลา 7 คะแนน
5.2 ความรบั ผิดชอบ 8 คะแนน
รวม 100 คะแนน
ขั้นสอน
1. การสง่ งาน
- ครูกล่าวกับนกั เรียนวา่ งานที่ครูจะให้นักเรียนทำ ส่วนใหญ่จะเป็นใบกิจกรรม
ทท่ี ำภายในหอ้ งเรียน และครจู ะใหน้ ักเรียนสง่ สมดุ ในบางครัง้
2. การสอบ
- ครูกล่าวกับนักเรียนว่า การสอบครูจะสอบนักเรียนอยู่ 2 แบบ คือสอบใหญ่
ของโรงเรยี น และสอบระหว่างบท การสอบใหญ่ของโรงเรยี นจะสอบ 2 คร้ังคือ
กลางภาคและปลายภาค แตก่ ารสอบระหว่างบท จะสอบทุกคร้งั เมื่อเรียนจบใน
แตล่ ะบทซงึ่ ครกู จ็ ะออกตามเน้ือหาท่ีครสู อนเป็นคะแนนช่วยใหน้ ักเรยี น
3. เรื่องการมาเรยี น
-ครูกล่าวกับนักเรียนว่า ครูจะเช็คชือ่ นักเรียนทุกครั้งที่มีการเรียนการสอน โดย
เมอื่ นกั เรียนมาถึงหอ้ งเรียนแล้ว สิ่งแรกคือมาเชค็ ช่อื กับครูทีห่ น้าหอ้ งเรียน
- ถ้าหากนักเรียนขาดเรียนเกิน 20 % นักเรียนจะหมดสิทธิ์สอบ หรือ มส.
น่ันเอง
4.ทำความรจู้ กั กบั นกั เรียน
4
- ครูกล่าวกับนักเรียนว่า ครูต้องการรู้จักนักเรียนรายบุคคลให้มากขึ้น ดังน้ัน
แล้ว ครูจะให้นักเรียนตอบคำถามในใบกิจกรรมรู้จักฉันรู้จักเธอที่ครูแจกให้ จากนั้นให้นำมาส่งครูในคาบ
เรียน แลว้ ครูจะอา่ นพร้อมตอบคำถาม
ใบกจิ กรรม
รู้จักฉนั ร้จู กั เธอ
คำสง่ั : ให้นักเรยี นตอบคำถามต่อไปนี้
ชื่อหรือนามแฝง วิชาทีค่ ิดวา่ งา่ ย กับยาก
อยากถามอะไรครู อยากให้ครูสอนวิชานีแ้ บบไหน
ข้นั สรปุ
- ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันถึงข้อสรุปจากการปฐมนิเทศในครั้งนี้ และเปิดโอกาส
ให้นกั เรยี นซกั ถามหากนกั เรียนมขี ้อสงสยั
5
6. ส่อื อปุ กรณ/์ แหล่งการเรยี นรู้ จำนวน สภาพการใช้
รายการสอ่ื และอุปกรณ์ 1 แผน่ /คน ใช้ในขน้ั สอน
1 เล่ม/คน ใชใ้ นข้นั สอน
1. ใบกิจกรรมรู้จักฉันรูจ้ กั เธอ
2. หนงั สอื เรยี นวชิ าฟิสิกส์
7. การวัดและการประเมินผลการเรยี นรู้
ส่งิ ท่ตี ้องการวัด วิธกี ารวดั เครอ่ื งมือ เกณฑใ์ นการประเมนิ ผล
คำถาม
นักเรียนไดเ้ ขา้ ใจขอบข่าย นกั เรียนตอบคำถาม ได้
ถูกต้องตรงประเด็น ไม่น้อย
รายวิชา เกณฑก์ ารให้ กวา่ ร้อยละ 80 ของนักเรยี น
คะแนน รวมไปถึงข้อตกลง การตอบคำถามของ
นักเรียน ท้งั หมด
รว่ มกันของการเรียนรายวชิ า
ฟสิ กิ ส์
นกั เรียนและครผู สู้ อนได้รู้จัก การตอบคำถามของ ใบกรอกประวัติ นักเรยี นตอบคำถาม ได้
นักเรยี นมากขึน้ เป็น นกั เรยี น ใบกจิ กรรม ถูกต้องตรงประเด็น ไมน่ ้อย
รายบคุ คล กวา่ รอ้ ยละ 80 ของนักเรยี น
สงั เกตพฤติกรรมใน แบบบนั ทกึ การ
มีจติ วิทยาศาสตร์ (A) ช้ันเรยี น สงั เกตพฤติกรรม ทัง้ หมด
ทพ่ี ึงประสงค์ นกั เรียนมีพฤติกรรมท่ีพึง
ประสงค์อยู่ในช่วงคะแนน 1
หรือระดบั คุณภาพดี ขึน้ ไป
ถือวา่ ผ่าน
6
แบบสังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคลชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๔/.....
เรอื่ ง การปฐมนิเทศ
คำชี้แจง จงทำเครื่องหมาย ลงในช่องที่ตรงกับพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออก โดยจำแนกระดับ
พฤติกรรมการแสดงออกไวเ้ ปน็ ๓ คะแนน ดงั นี้
๓ คะแนน หมายถึง ผ้เู รียนมีพฤติกรรมในระดบั ดี
๒ คะแนน หมายถงึ ผู้เรียนมีพฤติกรรมในระดบั ปานกลาง
๑ คะแนน หมายถึง ผเู้ รียนมีพฤติกรรมในระดบั ปรับปรงุ
7
8
เกณฑก์ ารให้คะแนน
ประเด็นท่ปี ระเมนิ เกณฑก์ ารให้คะแนน
๓๒๑
ความใส่ใจในการ เมื่อเกิดปัญหาหรือไม่ ส่วนใหญเ่ มอื่ เกิดปัญหา เมื่อเกิดปัญหาหรือไม่
ทำงาน เข้าใจบทเรียนทุกครั้ง หรอื ไม่เขา้ ใจบทเรยี น เข้าใจบทเรียนทุกคร้ัง
มักซักถามและมีความ ทุกครง้ั มกั ซักถามและมี มักซักถามและมีความ
พยายามในการค้นหา ความพยายามในการ พยายามในการค้นหา
คำตอบอยู่เสมอ คน้ หาคำตอบ คำตอบเปน็ บางครง้ั
การเสนอความคิดเหน็ สว่ นใหญ่เสนอความคิด เสนอความคิดเหน็ กลา้ ไม่เสนอความคิดเห็น
เห็น กล้าแสดงออกที่ แสดงออกทจี่ ะพูดในสิง่ กล้าแสดงออกที่จะพูด
จะพูดในสง่ิ ทถี่ ูกหรอื ดี ท่ีถูกหรือดี บางครั้ง ในส่ิงที่ถกู หรอื ดี
ความรว่ มมือในการ ให้ความร่วมมือในการ ส่วนใหญ่ใหค้ วาม ให้ความร่วมมือในการ
ทำงาน ทำงานกลุ่มและ รว่ มมอื ในการทำงาน ทำงานกลุม่ และ
ปฏิบัติงานที่สมาชิกใน กลุ่มและปฏบิ ตั งิ านที่ ปฏิบัติงานที่สมาชิกใน
กลุ่มมอบหมายด้วย สมาชิกในกลุ่ม กลุ่มมอบหมายได้เป็น
ความเต็มใจทกุ ครั้ง มอบหมายได้ บางคร้ัง
การยอมรับฟงั คนอนื่ ยอมรบั ฟงั ความคดิ เห็น ยอมรบั ฟงั ความคดิ เห็น ไม่ยอมรบั ฟังความ
ท่ีดแี ละมีเหตุผลของ ที่ดแี ละมีเหตผุ ลของ คดิ เหน็ ทีด่ ีและมีเหตุผล
ผู้อ่ืนทุกกครั้ง ไมย่ ึด ผูอ้ ่ืนบา้ ง แตบ่ างครัง้ จะ ของผู้อน่ื มกั ยึดความ
ความคดิ เหน็ ของตนแต่ ยดึ ความคดิ เห็นของตน คิดเห็นของตนแต่ฝา่ ย
ฝ่ายเดยี ว เดยี ว
9
ประเมนิ ทกั ษะการปฏบิ ตั ิการทดลองชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๔/....
คำชี้แจง จงทำเครื่องหมาย ลงในช่องที่ตรงกับทักษะปฏิบัติการทดลอง โดยจำแนกทักษะปฏิบัติการ
ทดลองเปน็ ๓ คะแนน ดงั น้ี
๓ คะแนน หมายถงึ ผเู้ รยี นมีทักษะการปฏิบัติการทดลองในระดับดี
๒ คะแนน หมายถึง ผูเ้ รยี นมีทกั ษะการปฏบิ ัติการทดลองปานกลาง
๑ คะแนน หมายถึง ผู้เรียนมีทักษะการปฏบิ ัติการทดลองในระดับปรบั ปรุง
10
11
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
ประเด็นทีป่ ระเมนิ เกณฑก์ ารให้คะแนน
การทดลองตาม
แผนท่ีกำหนด ๓๒๑
การใช้อปุ กรณ์ ทดลองตามวิธีการและ ทดลองตามวิธกี ารและ ทดลองตามวิธีการและ
และ/หรือเครอื่ งมือ
ขน้ั ตอนท่ีกำหนดไว้ ข้นั ตอนท่ีกำหนดไวโ้ ดย ขั้นตอนที่กำหนดไว้
การบันทกึ ผลการ
ทดลอง อยา่ งถูกต้อง มกี าร ครเู ปน็ ผู้แนะนำใน หรอื ดำเนนิ การขา้ มขั้น-
ปรับ-ปรุงแกไ้ ขเป็น บางส่วน มกี ารปรับปรุง ตอนที่กำหนดไว้ ไม่มี
ระยะ แกไ้ ขบ้าง การปรบั ปรุงแก้ไข
ใชอ้ ุปกรณ์และ/หรือ ใช้อุปกรณ์และ/หรือ ใช้อุปกรณ์และ/หรือ
เครือ่ งมือ ในการ เคร่ืองมอื ในการ เครอื่ งมือ ไม่ถูกตอ้ ง
ทดลองไดอ้ ย่าง ทดลองไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
คลอ่ งแคลว่ และ ตามหลกั การปฏิบัติ แต่
ถกู ต้องตามหลักการ ไม่คล่องแคลว่
ปฏบิ ัติ
บันทกึ ผลเป็นระยะ บันทกึ ผลเป็นระยะ ไม่ บนั ทกึ ผลไม่ครบ ไม่มี
อยา่ งถูกต้อง มรี ะเบียบ ระบุหน่วย ไม่เปน็ การระบหุ น่วย และไม่
และเป็นไปตามการ ระเบยี บ และเปน็ ไป เปน็ ไปตามการทดลอง
ทดลอง ตามการทดลอง
การสรปุ ผลการ สรปุ ผลการทดลองได้ สรปุ ผลการทดลองได้ สรุปผลการทดลองได้
ทดลอง อย่างถูกต้อง กระชบั ถกู ต้อง แต่ยังไม่ ตามความเหน็ โดยไม่
ชัดเจน และครอบคลมุ ครอบคลุมข้อมลู จาก ใชข้ ้อมลู จากการ
ข้อมลู จากการ การวิเคราะห์ทงั้ หมด ทดลอง
วิเคราะหท์ ั้งหมด
12
13
14
15
แผนการจัดการเรียนรู้ ท่ี 2
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว31201 รายวิชา ฟสิ ิกส์เพ่ิมเตมิ
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่ือง ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการทางฟสิ ิกส์ เวลา 2 คาบ
เรือ่ ง การอธบิ ายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นที่ 1/2565
ผ้สู อน :นายจริ ะวฒุ ิ ภาวงค์
1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชวี้ ัด
สาระฟสิ กิ ส์
1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรง แรง
และกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกล ของวัตถุ งานและกฎ
การอนรุ กั ษพ์ ลังงานกล โมเมนตมั และกฎการอนรุ ักษ์ โมเมนตัม การเคลอ่ื นทีแ่ นวโคง้ รวมท้งั นำความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์
ผลการเรยี นรู้
1. สืบค้น และอธิบายการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ประวัตคิ วามเป็นมา รวมท้ังพัฒนาการของ
หลกั การและ แนวคดิ ทางฟสิ ิกสท์ ่มี ผี ลต่อการแสวงหาความรู้ใหม่และการพัฒนาเทคโนโลยี
2. สาระสำคัญ
การอธิบายปรากฏการณธ์ รรมชาติ เป็นความพยายามของมนษุ ย์ทีส่ งสยั อยากท่ีจะเขา้ ใจ
ปรากฏการณต์ า่ งๆทีเ่ กิดข้นึ ในธรรมชาติ ทำใหเ้ กดิ การพฒั นาความรทู้ ีเ่ กิดจากการสังเกต การบนั ทกึ ขอ้ มลู
และการวเิ คราะหข์ ้อมูลท่ีได้ เพอื่ สรปุ หาความรแู้ ละความสัมพันธร์ ะหวา่ งสงิ่ ต่างๆทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
ฟิสกิ ส์ เปน็ วิชาท่ีเกย่ี วข้องกับการวดั หาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปรมิ าณกายภาพแล้วสรปุ เปน็
หลกั การทฤษฎี กฎ นำไปสกู่ ารสรา้ งเครอ่ื งมอื อุปกรณ์ วิธีการและความรู้ที่เกีย่ วข้องกบั ศาสตรแ์ ละ
เทคโนโลยีต่างๆ
3. ผลการเรียนรทู้ ี่คาดหวัง
อธิบายเกี่ยวกบั การหาความรู้ อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติและธรรมชาตขิ องวชิ าฟสิ ิกส์
4. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายเกย่ี วกบั การคน้ หาความรู้และการอธบิ ายปรากฏการณ์ธรรมชาติ (K)
2. เขา้ ใจเกีย่ วกบั ธรรมชาติของวชิ าฟสิ กิ ส์ และสามารถเชือ่ มโยงความสัมพันธร์ ะหวา่ งวิชาฟสิ กิ ส์
กับเทคโนโลยี (P)
16
3. มีจติ วิทยาศาสตร์ (A)
5. สาระการเรยี นรู้
- ปรากฏการณต์ า่ งๆทเี่ กิดขน้ึ ตามธรรมชาติ
- การพฒั นาความรู้ของมนุษย์เกิดขน้ึ จากการสังเกต การบนั ทกึ ข้อมลู และการวิเคราะหข์ ้อมูลท่ไี ด้
เพ่ือสรปุ หาความรแู้ ละความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสิง่ ต่างๆทเี่ กี่ยวขอ้ งกนั
- ฟิสิกส์เปน็ วิชาที่เก่ยี วขอ้ งกับการวดั หาความสมั พันธร์ ะหว่างปรมิ าณกายภาพแลว้ สรุปเป็น
หลกั การ ทฤษฎี กฎ นำไปสกู่ ารสร้างเครือ่ งมอื อุปกรณ์
6. กจิ กรรมการเรียนรู้ (ใช้กระบวนการเรยี นการสอนแบบ 5Es)
6.1.ขน้ั สรา้ งความสนใจ
1) ครูใชค้ ำถามเพือ่ กระตุ้นความสนใจนกั เรยี นดงั นี้
- นักเรียนรู้ไหมว่าคำวา่ ธรรมชาตคิ อื อะไรและฟิสิกสค์ ืออะไร
(แนวคำตอบ : ตามแนวความคิดของนักเรยี น)
- “ในสมยั โบราณ คนสมยั กอ่ นไม่มีความรู้เทา่ สมยั นี้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีดว้ ย
ก็ตาม ทำให้ไม่สามารถบอกหรือรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ จึงได้มีการตั้งหรือแต่งเรื่อง
ข้ึนมาวา่ สิงที่เกดิ ขึ้น นั้นเปน็ ส่งิ ทพ่ี ระผเู้ ป็นเจ้าเป็นคนสร้างหรือทำให้เกิดขึ้น ตัวอย่างใน
ไทยก็จะมีให้เห็นเช่น เมขลาล่อแก้ว ราหูอมจันทร์ต่างๆ แล้วนักเรียนคิดว่าเป็นไปจริง
ตามที่คนโบราณว่าไว้ไหม?
เพอ่ื ทจี่ ะหาความจริงที่เกดิ ขนึ้ จึงมีผูค้ นจงึ ทำการทดลองเพือ่ ศกึ ษาหาความจรงิ
คนเหล่านนั้ เราเรยี กเขาว่านักวทิ ยาศาสตร์”
(แนวคำตอบ :ตอบตามแนวคิดนักเรียน)
- ระหว่างคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ กับ คำพูดของคนแก่หรือคนโบราณ นักเรียนเชื่อ
ใครมากกวา่ กนั เพราะเหตใุ ด
(แนวคำตอบ : คำพูดของนกั วทิ ยาศาสตร์ เพราะมีความน่าเชอื่ ถือกวา่ )
2. ครูกลา่ วกบั นักเรียนเพอ่ื นำเข้าสู่บทเรยี นว่า นคี่ ือจุดเร่ิมต้นของวชิ า
วทิ ยาศาสตร์ และเปน็ จุดเริ่มต้นของวชิ าฟิสิกส์ การท่ีคำตอบของนักวิทยาศาสตร์มคี วาม
นา่ เช่อื ถือมากกวา่ เพราะวา่ กว่าท่ีนักวิทยาศาสตร์จะได้คำตอบของสง่ิ ใดสิ่งหน่งึ นั้น ต้อง
ผ่านขนั้ ตอน ซึ่งเรยี กว่า กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
17
6.2.ข้ันสำรวจและค้นหา
1) ครูให้นักเรียนศึกษาใบความรู้ พร้อมทำแบบทดสอบก่อนเรียน โดยบอกว่า
เป็นการวัดความรู้เบ้ืองต้น ไมม่ กี ารคิดคะแนน
6.3.ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป
1) ครสู ่มุ ถามคำตอบของนักเรียน และอภิปรายคำตอบพร้อมกับนักเรยี นตาม
2) ครูสรปุ รวบยอดจากแนวคิดของแตล่ ะคน
3) ครใู ชค้ ำถามอภิปรายร่วมกับนกั เรยี นอีกคร้ัง ดงั น้ี
- นักเรียนคิดว่าคำพูดของคนโบราณ หรือคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ มีความน่าเชื่อถือ
มากกวา่ กัน
(แนวคำตอบ : นักวทิ ยาศาสตร์)
- เพราะเหตุใดคำอธิบายของนักวทิ ยาศาสตร์ถึงนา่ เชื่อถือมากกวา่
(แนวคำตอบ : เพราะนักวิทยาศาสตร์ มีการสังเกต ทดลอง บันทึกผล
เพื่อสรปุ หาความรแู้ ละความสัมพนั ธร์ ะหว่างสิ่งตา่ งๆที่เก่ยี วข้องกัน)
4) ครูกล่าวตอ่ วา่ ที่เราทำกนั มาข้างต้นนั้นคือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึง
ฟสิ กิ สก์ เ็ ปน็ วิชาหน่ึงวทิ ยาศาสตร์ นอกเหนอื จากวิชาเคมแี ละชีวะ
5) ครถู ามคำถามนักเรียน วา่ นกั เรยี นรู้หรือไม่ว่าฟิสกิ สน์ ้ันเรยี นเกี่ยวกบั อะไร
(แนวคำตอบ : ฟิสิกส์เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับการวัด หาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณ
กายภาพแล้วสรปุ เป็นหลกั การทฤษฎี กฎ นำไปสกู่ ารสรา้ งเคร่ืองมือ อุปกรณ์ วธิ กี ารและ
ความรูท้ ี่เกี่ยวข้องกับศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี)
6.4.ข้นั ขยาย
1) ครกู ลา่ วกับนักเรยี นวา่ สิ่งของต่างๆ รอบตัวเราล้วนใช้ความรู้จากวิชาฟิสิกส์
ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่นหลอดไฟ ก็ใช้ความรู้เรื่องกระแสไฟฟ้าในการสร้าง โทรทัศน์ก็ใช้
ความรูเ้ ร่ืองคลื่นแสง และอน่ื ๆ มาใช้ในการสรา้ ง เป็นต้น
2) ครูให้นักเรียนทำแผงผังความคิด เรื่อง ฟิสิกส์และเทคโนโลยี โดยในแผนผัง
ความคิดครูจะให้ความรู้ทางฟิสิกส์มาว่ามีอะไรบ้าง แล้วให้นักเรียนบอกว่า ความรู้เรื่อง
น้นั ๆสามารถนำไปสรา้ งเทคโนโลยหี รืออปุ กรณอ์ ะไรได้บา้ ง
18
นกั เรยี น 6.5 ขั้นประเมิน
1. ให้นกั เรียนบนั ทึกส่ิงที่ไดจ้ ากการเรยี นรู้จากการทำกิจกรรมลงในสมดุ ของ
2. ประเมินจากการตอบคำถามในใบกจิ กรรมของนักเรยี น
3. ประเมินจากพฤติกรรมระหว่างเรียนของผู้เรยี น
7. สอื่ /อปุ กรณก์ ารเรียนการสอน
รายการสอ่ื และอุปกรณ์ จำนวน สภาพการใช้
ใชใ้ นขั้นสำรวจและค้นหา
1. ใบความรู้ 1 แผน่ /คน ใชใ้ นขัน้ สำรวจและค้นหา
ใชใ้ นขั้นขยาย
2. แบบทดสอบก่อนเรียน 1 แผ่น/กล่มุ
3. กระดาษใบงานแผนผงั ความคดิ เร่ือง ฟิสกิ ส์ 1 แผน่ /กลมุ่
และเทคโนโลยี
8. แหลง่ เรยี นรู้
1. อนิ เตอร์เน็ต
2. ใบความรู้
3. หนังสือเรียนฟสิ กิ ส์ เลม่ 1
19
แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คลช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔/.....
เรื่อง การอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
คำชี้แจง จงทำเครื่องหมาย ลงในช่องที่ตรงกับพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออก โดยจำแนกระดับ
พฤติกรรมการแสดงออกไวเ้ ป็น ๓ คะแนน ดงั นี้
๓ คะแนน หมายถึง ผเู้ รยี นมีพฤติกรรมในระดบั ดี
๒ คะแนน หมายถึง ผ้เู รยี นมีพฤติกรรมในระดับปานกลาง
๑ คะแนน หมายถงึ ผเู้ รียนมีพฤติกรรมในระดบั ปรบั ปรุง
20
21
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
ประเดน็ ทปี่ ระเมนิ เกณฑก์ ารให้คะแนน
๓๒๑
ความใส่ใจในการ เมื่อเกิดปัญหาหรือไม่ ส่วนใหญเ่ มือ่ เกิดปัญหา เมื่อเกิดปัญหาหรือไม่
ทำงาน เข้าใจบทเรียนทุกคร้ัง หรือไมเ่ ขา้ ใจบทเรยี น เข้าใจบทเรียนทุกคร้ัง
มักซักถามและมีความ ทกุ ครัง้ มักซักถามและมี มักซักถามและมีความ
พยายามในการค้นหา ความพยายามในการ พยายามในการค้นหา
คำตอบอยเู่ สมอ ค้นหาคำตอบ คำตอบเปน็ บางคร้ัง
การเสนอความคิดเหน็ ส่วนใหญ่เสนอความคดิ เสนอความคิดเห็น กลา้ ไม่เสนอความคิดเห็น
เห็น กลา้ แสดงออกที่ แสดงออกท่ีจะพดู ในส่ิง กล้าแสดงออกที่จะพูด
จะพูดในสิง่ ท่ถี ูกหรือดี ท่ถี กู หรือดี บางคร้ัง ในส่งิ ทถี่ กู หรอื ดี
ความรว่ มมือในการ ให้ความร่วมมือในการ สว่ นใหญใ่ หค้ วาม ให้ความร่วมมือในการ
ทำงาน ทำงานกล่มุ และ รว่ มมอื ในการทำงาน ทำงานกลมุ่ และ
ปฏบิ ัติงานท่สี มาชกิ ใน กลุ่มและปฏบิ ัติงานท่ี ปฏิบัติงานที่สมาชิกใน
กลมุ่ มอบหมายดว้ ย สมาชกิ ในกลุม่ กลุ่มมอบหมายได้เป็น
ความเตม็ ใจทกุ คร้ัง มอบหมายได้ บางคร้งั
การยอมรับฟงั คนอ่นื ยอมรับฟงั ความคิดเห็น ยอมรับฟงั ความคิดเห็น ไมย่ อมรบั ฟังความ
ทด่ี ีและมีเหตผุ ลของ ที่ดีและมีเหตผุ ลของ คิดเห็นทีด่ ีและมีเหตุผล
ผู้อ่ืนทุกกคร้งั ไม่ยดึ ผอู้ ่ืนบ้าง แต่บางครัง้ จะ ของผู้อื่น มกั ยึดความ
ความคดิ เห็นของตนแต่ ยดึ ความคิดเห็นของตน คิดเห็นของตนแต่ฝา่ ย
ฝา่ ยเดยี ว เดยี ว
22
ประเมินทกั ษะการปฏบิ ตั กิ ารทดลองช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๔/....
คำชี้แจง จงทำเครื่องหมาย ลงในช่องที่ตรงกับทักษะปฏิบัติการทดลอง โดยจำแนกทักษะปฏิบัติการ
ทดลองเป็น ๓ คะแนน ดงั น้ี
๓ คะแนน หมายถึง ผู้เรยี นมีทกั ษะการปฏิบัติการทดลองในระดบั ดี
๒ คะแนน หมายถงึ ผู้เรียนมีทักษะการปฏิบัติการทดลองปานกลาง
๑ คะแนน หมายถึง ผู้เรียนมีทักษะการปฏิบตั ิการทดลองในระดับปรับปรุง
23
24
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
ประเด็นทีป่ ระเมนิ เกณฑก์ ารให้คะแนน
การทดลองตาม
แผนท่ีกำหนด ๓๒๑
การใช้อปุ กรณ์ ทดลองตามวิธีการและ ทดลองตามวิธกี ารและ ทดลองตามวิธีการและ
และ/หรือเครอื่ งมือ
ขน้ั ตอนท่ีกำหนดไว้ ข้นั ตอนท่ีกำหนดไวโ้ ดย ขั้นตอนที่กำหนดไว้
การบันทกึ ผลการ
ทดลอง อยา่ งถูกต้อง มกี าร ครเู ปน็ ผู้แนะนำใน หรอื ดำเนนิ การขา้ มขั้น-
ปรับ-ปรุงแกไ้ ขเป็น บางส่วน มกี ารปรับปรุง ตอนที่กำหนดไว้ ไม่มี
ระยะ แกไ้ ขบ้าง การปรบั ปรุงแก้ไข
ใชอ้ ุปกรณ์และ/หรือ ใช้อุปกรณ์และ/หรือ ใช้อุปกรณ์และ/หรือ
เครือ่ งมือ ในการ เคร่ืองมอื ในการ เครอื่ งมือ ไม่ถูกตอ้ ง
ทดลองไดอ้ ย่าง ทดลองไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
คลอ่ งแคลว่ และ ตามหลกั การปฏิบัติ แต่
ถกู ต้องตามหลักการ ไม่คล่องแคลว่
ปฏบิ ัติ
บันทกึ ผลเป็นระยะ บันทกึ ผลเป็นระยะ ไม่ บนั ทกึ ผลไม่ครบ ไม่มี
อยา่ งถูกต้อง มรี ะเบียบ ระบุหน่วย ไม่เปน็ การระบหุ น่วย และไม่
และเป็นไปตามการ ระเบยี บ และเปน็ ไป เปน็ ไปตามการทดลอง
ทดลอง ตามการทดลอง
การสรปุ ผลการ สรปุ ผลการทดลองได้ สรปุ ผลการทดลองได้ สรุปผลการทดลองได้
ทดลอง อย่างถูกต้อง กระชบั ถกู ต้อง แต่ยังไม่ ตามความเหน็ โดยไม่
ชัดเจน และครอบคลมุ ครอบคลุมข้อมลู จาก ใชข้ ้อมลู จากการ
ข้อมลู จากการ การวิเคราะห์ทงั้ หมด ทดลอง
วิเคราะหท์ ั้งหมด
25
26
27
28
ใบความรู้
ฟสิ กิ ส์ ( physics) มาจากภาษากรีก ทมี่ คี วามหมายวา่ ธรรมชาติ (nature)
ดังน้ัน ฟสิ กิ ส์ หมายถึงเรอื่ งราวที่เก่ียวกับปรากฎการณท์ างธรรมชาติทั้งหลาย ความสัมพนั ธข์ องสสารกบั
พลงั งานโดยสว่ นใหญเ่ ก่ยี วข้องกบั ส่งิ ท่ีไมม่ ีชวี ติ โดยศกึ ษาจากการสงั เกต รวบรวมข้อมลู ต่างๆ เพือ่ หา
ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิง่ ต่างๆ จนสรุปเปน็ ทฤษฎีและกฎ นอกจากนีค้ วามรู้ทางฟิสิกสย์ งั ไดม้ าจาก
จนิ ตนาการโดยการสร้างแบบจำลอง (model) ทางความคิดโดยใช้หลกั การของฟิสิกส์ซึ่งนำไปสกู่ ารสรปุ
เปน็ ทฤษฎแี ละมีการทดลองเพอ่ื ตรวจสอบทฤษฎนี ั้นๆ
ความรู้ทางฟิสกิ ส์เกดิ จาก
1. คอื จากการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาตแิ ละการทดลอง
2. การสรา้ งแบบจำลองทางความคิดหรือสรา้ งทฤษฎีใหม่ขน้ึ มา เชน่ แบบจำลองอะตอม การสร้าง
แบบจำลองของรถยนตป์ ระหยัดพลงั งาน แล้วทดลองใช้จนได้ผล จึงนำไปประดิษฐห์ รือสรา้ งเปน็ รถยนต์
ควรรู้ - ทฤษฎี คอื สมมติฐานท่ีได้พิสจู น์ไวแ้ ล้วว่าเปน็ จริงและมีความถกู ต้องภายใต้
เงอ่ื นไขนั้น
- กฎ คือทฤษฎที ี่ใช้ได้และเป็นจริงเสมอ เช่น กฎการสะท้อนแสง กฎการเคลือ่ นท่ี
ของนิวตัน
ขอบเขตของวิชาฟสิ กิ ส์
ขอบเขตของวชิ าฟิสกิ ส์ หมายถงึ ความเช่ือถอื ได้ของความรู้ฟิสกิ ส์ในเวลาใดเวลาหน่งึ นั้น ข้ึนอยกู่ ับ
ขีดจำกัดของการสงั เกต และประสทิ ธิภาพของเคร่ืองมือ เช่น การใชเ้ ครอ่ื งชงั่ มวลแบบดิจิตอลวัดมวลได้
ละเอียดกว่าเครอ่ื งช่ังสปริง
สาขาต่างๆทางฟิสิกส์อาจแบง่ ไดเ้ ป็น 2 กลุ่มคือ
1. ฟสิ กิ ส์แผนเดิม (classical physics) เป็นความรทู้ เี่ กิดขึ้นกอ่ นไดแ้ ก่ ความร้อน
(heat)แสง (light) เสียง(sound) แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ (electromagneticsm)และกลศาสตร
(mechanics)เปน็ ตน้
2. ฟิสิกสแ์ ผนใหม่(modern physics) เชน่ ฟสิ ิกสอ์ ะตอมและฟิสิกส์นิวเคลยี ร์
เป็นตน้