สรุป 5 อาณาจักจัรสิ่ง สิ่ มีชี มี วิ ชี ต วิ KING DOM นางสาวพรวลัย แสงแก้วเขียว จัดทำ โดย
วิชา ชีวะวิทยา จัดทำ โดย นางสาวพรวลัย แสงแก้วเขียว ชั้น ม.5/12 เลขที่ 22 นำ เสนอ นายจิรายุ หาญประชุม ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 2 โรงเรียนบึงกาฬ รายงาน
สารบัญ เนื้อหา หน้า อาณาจักรทั้ง 5 0 อาณาจักรมอเนอรา (KINGDOM MONERA) 1-4 อาณาจักรเห็ดรา (KINGDOM FUNGI) 5-6 อาณาจักรโพรทิสตา (KINGDOM PROTISTA) 7-9 อาณาจักรพืช (KINGDOM PLANTAE) 10-12 อาณาจักรสัตว์ (KINGDOM ANIMALIA) 13-16
อาณาจักรทั้ง5 สิ่งมีชีวิตที่มีอยู่บนโลกของเรานั้น มีจำ นวนมากมายจนนับไม่ถ้วนเลยล่ะค่ะ นักวิทยาศาสตร์ จึงต้องทำ การแยกสิ่งมีชีวิตออกเป็นกลุ่ม เพื่อที่จะจัดให้เป็นระเบียบ และแยกประเภทด้วย ซึ่ง เราเรียกระบบการจำ แนกกลุ่มสิ่งมีชีวิตนี้ว่า " ระบบอาณาจักรทั้ง5 " ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตหลักๆ 5 กลุ่ม ที่สามารถแยกประเภทได้นั่นเอง ใช้พื้นฐานการจำ แนก โดยดูจากความแตกต่างทาง เซลล์ของสิ่งมีชีวิต ทั้ง 5 กลุ่ม นั่นก็คือ กลุ่มที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ง่ายที่สุด ลักษณะเด่นก็คือ เซลล์ของมันจะไม่มีนิวเคลียส หรือใจกลางของเซลล์ เช่นแบคทีเรีย สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำ เงิน ที่ขึ้นในน้ำ เป็นต้น กลุ่มที่สองคือ สิ่งมีชีวิตประเภทเซล์เดียวเช่นตัวอมีบา และสาหร่ายเล็กๆ สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ จะมี การดำ รงชีวิตได้เหมือนสัตว์ คือต้องหาอาหาร หรือบางชนิดยังดำ รงชีวิตแบบพืช คือใช้แสง อาทิตย์ในการสร้างอาหาร เพื่อเป็นพลังงานให้ตัวมันเอง กลุ่มที่สามคือสิ่งมีชีวิตจำ พวกเห็ดและรา ซึ่งดำ รงชีวิตโดยการดูดซึมสารเคมีที่ปล่อยออก มาจากซากพืชและสัตว์ที่เน่าเปื่อย กลุ่มที่สี่คือพืช ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ การจับแสงอาทิตย์มาช่วยในการสร้างอาหาร หรือที่เรา เรียกว่าการสังเคราะห์แสง พลังงานแสงอาทิตย์ จะถูกใช้ในการเชื่อมสารเล็กๆ ที่มีอยู่ในพืช ให้เป็นอาหารที่มีโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้น เช่น คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน นอกจากนี้พืชยังแบ่งเป็น ชนิดต่างๆ ได้มากมายตั้งแต่สาหร่ายทะเล มอส เฟิร์น ดอกไม้ และต้นไม้ค่ะ กลุ่มที่5คือสิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์ ที่ดำ รงชีวิตโดยการย่อยสลายสิ่งมีชีวิต ประเภทอื่นๆ ให้ เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อที่จะทำ ให้เป็นพลังงานเพื่อร่างกายต่อไป ซึ่งพลังงานดังกล่าวก็คืออาหาร นั่นเอง แมลง ปลา นกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดจัดอยู่ในกลุ่มที่เป็นสัตว์ทั้งสิ้นค่ะ ปัจจุบันมีสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการจำ แนกชนิดประมาณ 2 ล้านชนิด โดยจำ แนกออกเป็นอาณาจักร (KINGDOM) ต่าง ๆกันถึง 5 อาณาจักร ซึ่งเป็นระบบที่นิยมกันมากที่สุดในปัจจุบัน การจำ แนกชนิดของสิ่งมีชีวิตนั้นอาศัยลักษณะสำ คัญที่เป็นลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตแต่ละกลุ่ม โดยการแบ่งตามลำ ดับชั้นจากกลุ่มใหญ่ที่สุดลงไปถึงชนิดดังนี้ อาณาจักร (KINGDOM) ไฟลัม (PHYLUM) ของสัตว์ หรือดิวิชัน (DIVISION) ของพืช ชั้น (CLASS) อันดับ (ORDER) วงศ์ (FAMILY) สกุล (GENUS) ชนิด (SPECIES) 0
การจำ แนกอาณาจักรสิ่งมีชีวิต ออกเป็น 5 อาณาจักรดังนี้ 1.) อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom Monera) 2.) อาณาจักรเห็ดรา (Kingdom Fungi) 3.) อาณาจักรโพรทิสตา (Kingdom Protista) 4.) อาณาจักรพืช (Kingdom Plantae) 5.) อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia) 0
อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom Monera) สิ่งมีชีวิตวิที่อยู่ในอาณาจักรนี้ คือสิ่งมีชีวิตวิชนิดที่เซลล์ยังไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส สารพันธุกรรมจึงกระจายอยู่ทั่วเซลล์ซึ่งเซลล์ลักษณะนี้ เรียรีกว่าว่เซลล์โพรคาริ โอต (prokaryotic cell) ส่วนสิ่งมีชีวิตวิอาณาจักรอื่นมีเซลล์ที่มีเยื่อหุ้ม นิวเคลียสซึ่งเรียรีกเซลล์เหล่านี้ว่าว่เซลล์ยูคาริโริอต (eukaryotic cell) อาณาจักรมอเนอรา ประกอบด้วย สิ่งมีชีวิตวิพวกแบคทีเรียรีและสาหร่ายสี เขียวแกมน้ำ เงินหรือรืไซยาโนแบคทีเรียรีแบคทีเรียรีส่วนใหญ่เป็นพวกเซลล์ เดียวซึ่งมีลักษณะดังนี้ คือมีเซลล์ขนาดเล็กโดยทั่วไปมีความยาว 2-10 ไมโครเมตรกว้าว้ง 0.2-2.0 ไมโครเมตร มีรูปร่าง 3 แบบ คือ ทรงกลม เรียรีกว่าว่ค็อกคัส (coccus, เอกพจน์ cocci = พหูพจน์) รูปท่อน เรียรีกว่าว่บาซิลลัส (bacillus, เอกพจน์ bacilli, พหูพจน์) เป็นเกลียว เรียรีกว่าว่สไปริลริลัม (spirillum, เอกพจน์ spirilli, พหูพจน์) เซลล์รูปร่างต่าง ๆ มีการเรียรีงตัวทำ ให้เกิดลักษณะเฉพาะ เช่น 1. 2. 3. - เซลล์ทรงกลม 2 เซลล์เรียรีงต่อกันเรียรีก ดิโพลค็อกไค (diplococci) - เซลล์ทรงกลมหลายเซลล์เรียรีงต่อกันเป็นลูกโซ่เรียรีก สเตรปโตค็อก ไค(streptococci) - เซลล์ทรงกลมเรียรีงเป็นกลุ่มคล้ายพวงองุ่นเรียรีก สแตฟิโลด็อก ไค(staphylococci) - เซลล์ทรงกลม 8 เซลล์เรียรีงเป็นลูกบาศก์เรียรีก ซาร์สินา (sarcina) ส่วนพวกที่ขดเป็นเกลียวมักไม่อยู่เป็นกลุ่มแต่อยู่เป็นเซลล์เดี่ยว ๆ แต่ละ ชนิดมีความโค้งของเซลล์มากน้อยต่างกัน 4. บางชนิดสังเคราะห์ด้วยแสงได้เพราะมีแบคเทอริโริอคลอโรฟิลล์ (bacteriochlorophyll) บางชนิดสังเคราะห์เคมีได้ จึงสร้างอาหารได้เอง 5. ส่วนใหญ่อาศัยอาหารจากสิ่งมีชีวิตวิอื่นบางชนิดอยู่เป็นอิสระหรือรืดำ รงชีวิตวิแบบ saprophyteบางชนิดเป็นปรสิต 6. พบทั่วไปทั้งในดินมหาสมุทรในอากาศ 7. บางชนิดต้องการออกซิเจนบางชนิดไม่ต้องการออกซิเจนบางชนิดอยู่ได้ทั้งที่มี หรือรืไม่มีออกซิเจน 1
อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom Monera) ภาพที่ 1 เซลล์แบคทีเรียรูปร่างต่าง ๆ 2
ผนังเซลล์ (CELL WALL) มีความแข็งแรงล้อมรอบทำ ให้เซลล์คงรูปร่างอยู่ได้ ผนังเซลล์ประกอบด้วยสารพอลิแซ็กคาไรด์ โปรตีน และไขมัน เรียกว่า เพปติโด ไกลแคน (PEPTIDOGLYCANS) เกิดจากสาร 2 ตัวจับกันคือ NAG (NACETYLGLUCOSAMINE) และ NAM (N-ACETYLMURAMIC ACID) 1. 2. เยื่อหุ้มเซลล์ (PLASMA MEMBRANE) อยู่ถัดผนังเซลล์ ทำ หน้าที่ ลำ เลียงสาร เข้าสู่เซลล์โดยกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ต (ACTIVE TRANSPORT) 3. แคปซูล (CAPSULE) เป็นชั้นล้อมรอบผนังเซลล์อีกที่หนึ่งอาจประกอบด้วพอลิ แซ็กคาไรด์ กาแล็กโทส ฟรักโทส กลูโคส กรดยูโรนิก และกรดอะมิโน พบแคปซูลใน แบคทีเรียบางชนิดเท่านั้น แบคทีเรียที่มีแคปซูลมักทำ ให้เกิดโรครุนแรง โครงสร้างของแบคทีเรีย รี ภาพที่ 2 โครงสร้างของ PEPTIDOGLYCAN (A) โครงสร้างของ PEPTIDOGLYCAN ในแบคทีเรียแกรมบวก (B) ผนังเซลล์ของแบคทีเรียแกรมบวก 3
4. แฟลเจลลา (FLAGELLA) เป็นโครงสร้างใช้ในการเคลื่อนที่แบคทีเรียส่วนใหญ่เป็นพวกที่เคลื่อนที่ ได้ (MOTILE) แฟลเจลลาประกอบด้วยเส้นใยเล็ก ๆ (FIBRIL) เส้นเดี่ยว ๆ รวมเป็นมัดแบคทีเรียอา จมีแฟลเจลลา 1 เส้นจนถึงหลายร้อยเส้น ตำ แหน่งของแฟลเจลลาอาจอยู่ที่ปลายข้างหนึ่งของเซลล์ หรือที่ปลายทั้งสองข้างหรืออยู่รอบ ๆ เซลล์ 5. เอนโดสปอร์ (ENDOSPORE) เป็นโครงสร้างที่พบในแบคทีเรียบางชนิดเอนโดสปอร์มีผนังแข็ง แรงสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้เช่นความร้อนความแห้งแล้งสารเคมีต่าง ๆ ใน ขณะที่เซลล์ปกติ (VEGETATIVE CELL) จะตายเสียก่อนเมื่อเอนโดสปอร์ตกในสภาพแวดล้อมเหมาะ สมจะเจริญเป็นเซลล์ปกติได้การสร้างเอนโดสปอร์จะสร้างเพียง 1 เอนโดสปอร์ต่อ 1 เซลล์ ดังนั้นจึง ไม่ถือว่าเป็นการสืบพันธุ์ของแบคทีเรีย 6. พลาสมิด (PLASMID) เป็น DNA ที่อยู่นอกโครโมโซมของแบคทีเรียพลาสมิดมีหลายชนิดบาง ชนิดควบคุมการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมบางชนิดควบคุมการดื้อยาปฏิชีวนะต่าง ๆ เช่น ยาเพนิซิ ลลิน สเตรปโตมัยซิน กานามัยซิน เป็นต้น ลักษณะของพลาสมิดเป็น DNA วงแหวนและเป็นเกลียวคู่ สามารถจำ ลองตัวเองได้และสามารถถ่ายทอดไปสู่แบคทีเรียอื่น ๆ ได้ด้วย ภาพที่ 3 ตำ แหน่งของแฟลเจลลา (A) รอบ ๆ เซลล์ (B) 1 ขั้ว 1 เส้น (C) 1 ขั้ว หลายเส้น (D) มีอยู่ทั้ง 2 ขั้ว ที่มา: TORTORA, FUNKE, AND CASE, (2019) 4
อาณาจักรเห็ดรา (Kingdom Fungi) อาณาจักรฟังไจ (Kingdom Fungi) สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรฟังใจเป็น เซลล์ยูคาริโอต สร้างอาหารเองไม่ได้ (Heterotroph) ส่วนใหญ่ดำ รงชีวิต แบบภาวะย่อยสลาย (Saprophytism) โดยการปล่อยเอนไซม์ออกมา ย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตแล้วดูดซึมเข้าไป กำ เนิดของฟังไจ ข้อมูลจากบรรพชีวินวิทยาและข้อมูลในระดับ โมเลกุลเสนอว่า ฟังไจและสัตว์เป็นอาณาจักรที่อยู่ใกล้ชิดกันมากกว่า ใกล้ชิดกับพืชหรือยูคาริโอตอื่น ๆ ภาพที่ 1 เห็ดที่มีบทบาทเป็นผู้ย่อยสลายในระบบนิเวศ ลักษณะรูปร่างและการดำ รงชีวิตของฟังไจ ลักษณะของฟังใจส่วนใหญ่ ประกอบด้วยหลายเซลล์เรียงต่อกันเป็นเส้นใยเรียกว่า ไฮฟา(hypha) กลุ่มของเส้นใยเรียกว่า ไมซีเลียม(Mycelium) ทำ หน้าที่ยึดเกาะอาหาร และส่งเอนไซม์ไปย่อยสลายอาหารภายนอกเซลล์และดูดซึมสารอาหาร ที่ย่อยได้เข้าสู่เซลล์ไมซีเลียมของฟังใจบางชนิดจะเจริญเป็นส่วนที่โผล่ พ้นดินออกมาเรียกว่า ฟรุตติงบอดี(Fruiting body) เพื่อทำ หน้าที่สร้างส ปอร์ ส่วนพวกที่เป็นเซลล์เดียว ได้แก่ ยีสต์ เส้นใยของฟังใจประกอบ ด้วย ผนังเซลล์ (ประกอบด้วยสารไคติน(Chitin) เป็นส่วนใหญ่มีส่วน น้อยที่เป็นเซลลูโลส) เยื่อหุ้มเซลล์และโพรโทพลาซึม 5
เส้นใยไม่มีผนังกัน (Non Septate Hypha หรือ Coenocytic Hypha) เส้นใยมีลักษณะเป็นท่อทะลุถึงกันหมดโดยไม่มีผนัง (Septum) กั้นกั้ซึ่งเกิดจากการแบ่งนิวเคลียสโดยไม่แบ่งไซโทพลา ซึม ทำ ให้ไซโทพลาซึมและนิวเคลียสติดต่อกันได้หมด เส้นใยแบบที่มีผนังกั้น กั้ (Septate Hypha) มีผนังกั้นกั้แบ่งแต่ละ เซลล์ โดยภายในเซลล์อาจมีนิวเคลียสอันเดียว หรือมีนิวเคลียส หลายอันในแต่ละเซลล์ ผนังที่กั้นกั้ระหว่างเซลล์เป็นผนังที่ไม่ สมบูรณ์ เพราะมีรูอยู่ที่ผนัง อาจมีรูเดียวหรือหลายรูที่ผนัง ทำ ให้ ไรโบโซม ไมโทคอนเดรีย หรือนิวเคลียสไหลจากเซลล์หนึ่งไปอีก เซลล์หนึ่งได้ เส้นใยของรา แบ่งเป็น 2 แบบ 1. 2. ภาพที่ 2 ไคทริดที่ถ่ายผ่านกล้องจุลทรรศน์ชนิดต่าง ๆ 6
อาณาจักรโพรทิสตา (Kingdom Protista) สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้อาจมีเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์เป็นเซลล์ ชนิดยูคาริโอต (Eukaryote) คือมีเยื่อหุ้มนิวเคลียสแต่เซลล์เหล่านั้นนั้ ยังไม่รวมตัวกันเป็นเนื้อเยื่อและมีลักษณะของพืชและสัตว์รวมกัน เช่น มีการเคลื่อนที่ได้อันเป็นลักษณะของสัตว์มีการสังเคราะห์ด้วย แสงโดยใช้คลอโรฟิลล์เช่นเดียวกับพืช ภาพที่ 1 กลุ่มสิ่งมีชีวิตพวก protist ภาพที่ 2 ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตใน อาณาจักรโพรทิสตา 7
โพรโทซัว (Protozoa) เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็กมากมองดูด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูจึงจะเห็นได้โพรโทซัวอาจอยู่เป็นเซลล์ เดี่ยวๆ เช่น ยูกลีนา อะมีบา พารามีเซียม หรืออยู่รวมกันเป็นโคโลนี เช่น วอลวอกซ์ (Volvox) แหล่งที่อยู่อาศัยมีทั้งทั้อยู่อย่างอิสระในดินใน น้ำ จืดในน้ำ เค็มหรืออยู่ในสภาพปรสิตกับสิ่งมีชีวิตอื่นเช่น เชื้อพลาสโม เดียม(Plasmodiumsp.)ทำ ให้เกิดโรคมาลาเรียเชื้อEntamoeba histolytica ซึ่งทำ ให้เป็นโรคบิดมีตัวเกิดอาการท้องร่วงลำ ไส้อักเสบบาง ชนิดอาจจะอาศัยอยู่ในลำ ไส้ใหญ่ของสัตว์ชั้นชั้สูงหลายชนิดรวมทั้งทั้คนแต่ ไม่ทำ อันตรายเพราะพวกนี้ย่อยกากอาหารทำ ให้มีแก๊สเกิดขึ้นใน ลำ ไส้ใหญ่พวก Entamoeba coli โพรโทซัว Entamoeba gingivalis อาศัยอยู่ที่โคนฟันคอยกินแบคทีเรียในปากไม่ทำ ให้เกิดโทษ โพรโทซัวมีรูปร่างแตกต่างกันมากมายมีการเคลื่อนที่โดยใช้อวัยวะต่าง กันจำ แนกโพรโทซัวออกตามอวัยวะในการเคลื่อนที่คือ 1. กลุ่มแฟลเจลลาตา (Flagellata) เป็นโพรโทซัวที่เคลื่อนที่ด้วย แฟลเจลลัม (flagellum) เช่น ยูกลีนาซึ่งอาศัยหากินอย่างอิสระในน้ำ ทริ พาโนโซมา (Trypanosoma) เป็นโพรโทซัวที่มีแฟลเจลลาอาศัยอยู่ใน เลือด ทำ ให้คนเป็นโรคเหงาหลับ (African sleeping sickness) ซึ่งมี แมลง tsetse fly เป็นพาหะ วอลวอกซ์ที่อยู่ร่วมกันเป็นโคโลนี้ก็เป็นโพรโท ซัวพวกมีแฟลเจลลา โพรโทซัวมีหนวดพวก Trichonympha อาศัยอยู่ใน ลำ ไส้ปลวกโดยอยู่ร่วมกันแบบภาวะพึ่งพา ภาพที่ 3 Trypanosoma sp. 8
2. กลุ่มซิลิอาตา (ciliata) เป็นโพรโทซัวที่เคลื่อนที่ด้วยซิเลีย (cilia) ซึ่งเป็นขนสั้นสั้ๆ มีจำ นวนมากอาจเรียกโพรโทซัวพวกนี้ว่า ซิลิเอต (ciliates) ตัวอย่างเช่น พารามีเซียม (Paramecium) รูปร่างคล้าย รองเท้าแตะ วอร์ดีเซลลา (Vorticella) รูปร่างคล้ายกระดิ่ง สเตน เตอร์ (Stentor) เป็นต้น ซิลิเอตโดยทั่วทั่ ไปมีนิวเคลียส 2 ชนิด คือ นิวเคลียสขนาดใหญ่ (macronucleus) ทำ หน้าที่ควบคุมกระบวนการ ต่าง ๆ นอกจากการสืบพันธุ์ และนิวเคลียสขนาดเล็ก (micronucleus) ทำ หน้าที่ควบคุมการสืบพันธุ์ ภาพที่ 4 กลุ่มสิ่งมีชีวิตพวกซิลิอาตา 3. กลุ่มซาร์โกดินาหรือไรโซโพดา (Sarcodina or Rhizopoda) เป็นโพรโทซัวที่เคลื่อนที่ด้วยขาเทียมหรือซูโดโพเดียม (pseudopodium) ที่เกิดจากการไหลของไซโทพลาซึมเข้าไปข้างใด ข้างหนึ่งของเซลล์เยื่อหุ้มเซลล์ทางด้านนั้นนั้จะปูดออกทำ ให้ตัวมัน เคลื่อนที่ตามทิศทางที่ขาเทียมได้ปูดออกไปพบทั้งทั้ ในน้ำ จืดน้ำ เค็ม ได้แก่ อะมีบา พวกอยู่ในทะเลมักมีเปลือก (test) หุ้ม เช่น ฟอรามินิ เฟอรา (Foruminifera) เรดิลาเรีย (Radiolaria) ซึ่งเปลือกจะมี ลวดลายสวยงามเนื่องจากมีสารต่าง ๆ มาสะสมอยู่ 9
อาณาจักรพืช (Kingdom Plantae พืชให้ประโยชน์กับมนุษย์อย่างมากมายนับตั้งตั้แต่ให้อากาศบริสุทธิ์ สำ หรับหายใจให้เงาอันร่มเย็นเป็นตัวทำ ให้เกิดต้นน้ำ ลำ ธารเป็นอาหาร เป็นเครื่องนุ่งห่มเป็นยารักษาโรค ฯลฯ แต่พืชบางชนิดก็ให้โทษ เช่น แย่งอากาศหายใจในตอนกลางคืนบางชนิดจับแมลงกินเป็นอาหาร บาง ชนิดเป็นยาเสพติดสภาพแวดล้อมที่พืชขึ้นแตกต่างกันมากมายปัจจุบัน รู้จักพืชประมาณ300,000สปีชีส์ซึ่งรวมทั้งทั้พืชน้ำ พืชบก เป็นต้น คลอโรพลาสต์มีจุดกำ เนิดร่วมกันพลาสติดของสาหร่ายคล้ายกับ คลอโรพลาสต์ของพืชมาก ผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลูโลสเหมือนกัน มีเพอรอกซิโซม (peroxisome) ที่เหมือนกัน มีแฟรกโมพลาสต์ (phragmoplast) ซึ่งเป็นถุงเล็ก ๆ ที่เกิดจากก อลจิคอมเพล็กซ์มาเรียงกันอยู่ที่กลางเซลล์ที่กำ ลังแบ่งเซลล์ทำ ให้ มีการสร้างเซลล์เพลต (cell plate) กั้นกั้ระหว่างเซลล์ มีโครงสร้างสเปิร์มแบบเดียวกันพืชจำ นวนมาก การเปรียบเทียบในระดับโมเลกุลโดยเปรียบเทียบลำ ดับเบสของ DNA ในคลอโรพลาสต์และยีนในนิวเคลียส มีหลักฐานสนับสนุน ว่าพืชและคาโรไฟต์มีบรรพบุรุษร่วมกัน พืชเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์แบบยูคาริโอตเป็นพวกที่สังเคราะห์ด้วย แสงได้และสร้างสารอินทรีย์จากสารอนินทรีย์ได้ พืชมีความสัมพันธ์ ใกล้ชิดกับกลุ่มสาหร่ายสีเขียวพวกคาโรไฟซีน (charophycean) หรือ พวกคาโรไฟต์ (charophyte) หรือสาหร่ายไฟ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด กับพืชมากที่สุด กำ เนิดของพืชบกมีหลักฐานทางสายวิวัฒนาการเชื่อมโยง ระหว่างพืชบกกับคาโรไฟต์ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 10
ลักษณะที่มีเฉพาะในพืชบก ได้แก่ 1.การมีเนื้อเยื่อเจริญที่ปลาย (apical meristem) ทำ ให้สร้าง เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของพืชได้ พืชจะต้องมีการปรับตัวทางด้านโครงสร้าง คือ รากและลำ ต้น โดยการยืดตัวยาวออกและแตกกิ่งก้านของราก และลำ ต้นให้มากที่สุด เพื่อให้ไปสัมผัสกับแหล่งปัจจัยที่ต้องการคือ คาร์บอนไดออกไซด์ แสง น้ำ และแร่ธาตุ การที่พืชจะเพิ่มความยาว ของรากและลำ ต้นได้ ก็โดยการแบ่งเซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญที่ปลาย ยอด ปลายกิ่ง ปลายรากแล้วมีการเจริญเปลี่ยนแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อ ต่าง ๆ รวมทั้งทั้เอพิเดอร์มิสที่ปกคลมป้องกันพืช 2. พืชส่วนใหญ่มีโครงสร้างที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ เรียกว่า แกมีแทน เจียม (gametangium) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีหลายเซลล์ แกมีแทนเจียม ของพืชมีชั้นชั้ของเซลล์ที่เป็นหมัน (sterile cell) ล้อมรอบและป้องกัน เซลล์สืบพันธุ์ (เซลล์ไข่และสเปิร์ม) ไว้ ไข่ที่ถูกปฏิสนธิเจริญเป็น เอ็มบริโอที่มีหลายเซลล์ และอยู่ใน แกมีแทนเจียมเพศเมีย เอ็มบริโอจึง ได้รับการปกป้องในขณะที่กำ ลังเจริญ 3. มีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ (alternation of generation) พืชมีช่วงชีวิตที่ เป็นระยะแกมีโทไฟต์ (gametophyte) สลับกับช่วงชีวิตระยะสปอโรไฟต์ (sporophyte) แกมีโทไฟต์ เป็นระยะที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์หรือแกมีต (gamete) คือไข่และสเปิร์มที่มีโครโมโซมชุดเดียว (n) เมื่อเกิดการปฏิสนธิ ระหว่างไข่กับสเปิร์มจะได้ไซโกต (zygote) ที่มีโครโมโซมเป็นดิพลอยด์ (2n) หลังจากนั้นนั้ ไซโกตแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสกลายเป็นเอ็มบริโอและต้น อ่อน ซึ่งเป็นระยะสปอโรไฟต์ เมื่อสปอโรไฟต์เจริญเต็มที่ จะแบ่งเซลล์แบบ ไมโอซิสเพื่อสร้างสปอร์ (spore) ที่มีโครโมโซมแฮพลอยด์ (n) สปอร์แบ่ง เซลล์แบบไมโทซิสเพื่อเจริญเป็นระยะแกมีโทไฟต์อีก ระยะแกมีโทไฟต์จึง มีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์อีกสลับกันไป 11
4. สปอร์ที่มีผนังหุ้มเกิดอยู่ในสปอแรนเจียม ระยะสปอโรไฟต์ ของพืชมีอวัยวะสปอแรนเจียม (sporangium) เป็นโครงสร้างที่สร้าง สปอร์ภายในสปอแรนเจียมสปอร์มาเทอร์เซลล์ (Spore mother cell) จะแบ่งไมโอซิสได้สปอร์ที่มีโครโมโซม n ส่วนเนื้อเยื่อของสปอแรน เจียมก็ช่วยป้องกันสปอร์ที่กำ ลังพัฒนาจนกว่าจะปลิวไปในอากาศ กา รมีสปอแรนเจียมจึงเป็นการปรับตัวของพืชบก 5. มีแกมีแทนเจียมที่มีหลายเซลล์ (multicellular gametangium) ระยะแกมีโทไฟต์ของพืชพวกไบรโอไฟต์ (bryophyte) เทอริโดไฟต์ (pteridophyte) และจิมโนสเปิร์ม (gymnosperm) สร้าง แกมีตอยู่ใน อวัยวะแกมีแทนเจียม โดยแกมีแทนเจียมเพศเมียเรียกว่า อาร์ดีโก เนียม (archegonium) มีรูปร่างคล้ายคนโท ทำ หน้าที่สร้างไข่ ส่วน แกมีแทนเจียมเพศผู้เรียกว่า แอนเทอริเดียม (antheridium) สร้าง สเปิร์มซึ่งจะปล่อยออกสู่ภายนอก เมื่อเจริญเต็มที่แล้วสเปิร์มของพืช พวกไบรโอไฟต์ เทอริโอไฟต์ และจิมโนสเปิร์มบางชนิดมีแฟลเจลลา ใช้ว่ายน้ำ ได้ จึงว่ายไปหาไข่และปฏิสนธิกับไข่ในอาร์คีโกเนียม ไข่ที่ ถูกปฏิสนธิเจริญเป็นไซโกตแล้วพัฒนาไปเป็นเอ็มบริโอ ภาพ ป่ามอสส์ 12
เป็นเซลล์ชนิดยูคาริโอต (Eucaryotic Cell) เป็นผู้บริโภคตลอดชีวิตเพราะสังเคราะห์อาหารเองไม่ได้ มีหลายเซลล์ (Multicellular) บางพวกยังไม่มีเนื้อเยื่อแต่ส่วน ใหญ่หลายเซลล์รวมกันเป็นเนื้อเยื่อเป็นอวัยวะ และเป็น ระบบอวัยวะ การเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ตอบสนองสิ่งเร้าได้อย่างรวดเร็ว บางชนิดอาจมีการเคลื่อนที่บางช่วงของชีวิต เช่น ฟองน้ำ ใน ระยะเป็นตัวอ่อนจึงจะมีการเคลื่อนที่ กำ เนิดของสัตว์อาณาจักรสัตว์ การศึกษาเสนอว่าบรรพบุรุษของ สัตว์มีวิวัฒนาการจากบรรพบุรุษของฟังใจ โดยบรรพบุรุษร่วมอาจ มีลักษณะคล้ายโคแอนโนแฟลเจลเลต (Choanoflagellate) ใน ปัจจุบัน แต่หลักฐานแรกทางซากดึกดำ บรรพ์ของสัตว์ที่ยอมรับได้ มีลักษณะคล้ายสัตว์ในไฟลัมไนดาเรีย (Cnidaria) พบ ซากดึกดำ บรรพ์มากขึ้นในต่อ ๆ มาซึ่งเกิดจากการแพร่กระจาย ของสัตว์อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีแก๊สออกซิเจนมากพอที่สัตว์ใช้ ในการดำ รงชีวิต ทำ ให้สัตว์ต้องปรับตัวเพื่อการอยู่รอด ลักษณะของสัตว์ โดยทั่วทั่ ไปเราสามารถแยกสิ่งมีชีวิตที่ เป็นสัตว์ได้โดยใช้ลักษณะดังต่อไปนี้ 1. 2. 3. 4. อาณาจักรสัตว์ Kingdom Animalia 13 ภาพ ความหลากหลาย ของอาณาจักรสัตว์
ลักษณะต่าง ๆ ที่ใช้แยกกลุ่มของสัตว์ ลักษณะโครงสร้างภายนอก หากมีลักษณะเหมือน ๆ กันจัดไว้ กลุ่มเดียวกัน เนื้อเยื่อสัตว์ บางชนิดยังไม่แยกเนื้อเยื่อออกเป็นชั้นชั้ๆ เช่น ฟองน้ำ สัตว์ บางพวกมีเนื้อเยื่อ 2 ชั้นชั้(Diploblastic) บางพวกมี เนื้อเยื่อ 3 ชั้นชั้(Triploblastic) 1. 2. พวกที่มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้นชั้แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้โดยใช้ช่องว่างลำ ตัว (Coelom; coel =ช่องว่าง) ก. พวกที่ไม่มีช่องว่างในลำ ตัว (Acoelomate) คือ ไม่มี ช่องว่างในชั้นชั้ของเนื้อเยื่อหรือระหว่างชั้นชั้ของเนื้อเยื่อ ได้แก่ หนอน ตัวแบน ข. พวกที่มีช่องว่างเทียมในลำ ตัว (Pseudocoelomate; pseudo = เทียม) คือ ช่องว่างที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อเยื่อชั้นชั้กลาง (Mesoderm) ช่องว่างนั้นนั้อาจอยู่ระหว่างเนื้อเยื่อชั้นชั้นอก (Ectoderm) กับเนื้อเยื่อชั้นชั้กลาง หรืออยู่ระหว่างเนื้อเยื่อชั้นชั้กลาง กับเนื้อเยื่อชั้นชั้ ใน (Endoderm) สัตว์ในกลุ่มนี้ได้แก่ หนอนตัวกลม บางพวกมีเนื้อเยื่อ 2 ชั้นชั้ ได้แก่ หนอนตัวกลม โรติเฟอร์ (Rotifer) ค. พวกที่มีช่องว่างที่แท้จริง (Coelomate) หมายถึง สัตว์ที่มีช่องว่างอยู่ระหว่างเนื้อเยื่อชั้นชั้กลาง (mesoderm) ได้แก่ กุ้ง ปู แมลง หอย ไส้เดือนดิน และสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นต้น 3.สมมาตร (Symmetry) การแบ่ง 2 ซีกที่มีลักษณะเหมือนกันเรียก ว่า สมมาตร แบ่งได้ 2 ชนิด คือ ก. สมมาตรแบบครึ่งซีกหรือแบบด้านข้าง (Bilateral Symmetry) สัตว์พวกนี้ผ่าได้ในแนวเดียวเท่านั้นนั้ที่ให้ซีกซ้ายและซีก ขวาเหมือนกัน พบใน ไส้เดือนดิน หอย สัตว์ที่มีขาเป็นปล้อง (Arthropod) หนอนตัวกลม หนอนตัวแบน และสัตว์มีกระดูกสันหลัง ทุกชนิด ข. สมมาตรแบบรัศมี (Radial Symmetry) แบ่งตามรัศมี แล้วได้สมมาตรทุกครั้งรั้สัตว์เหล่านี้จะมีรูปโคน (Cone Shape) หรือรูป กรวยหรือรูปจาน ได้แก่ แมงกะพรุน ไฮดรา หวีวุ้น 14
4. โครงร่างแข็งหรือกระดูก (skeleton) บางชนิดมีโครงร่างแข็งอยู่ นอกร่างกาย (Exoskeleton) เช่น กุ้ง ปู บางชนิดมีโครงร่างแข็งอยู่ ภายในร่างกาย (Endoskeleton) เช่น สัตว์มีกระดูกสันหลัง 5. การมีปล้อง (Segmentation) ที่เกิดจากเนื้อเยื่อชั้นชั้กลางสัตว์ที่ ไม่มีปล้อง ได้แก่ ฟองน้ำ แมงกะพรุน เป็นต้น ส่วนสัตว์ที่มีปล้อง ได้แก่ ไส้เดือนดิน อาร์โทรพอด (Arthropod) คอร์เดท (Chordate) 6. ทางเดินอาหาร ทางเดินอาหารของสัตว์สามารถใช้เป็นเกณฑ์แบ่ง กลุ่มสัตว์ได้ ก. ใช้ช่องทางเดินน้ำ แทนทางเดินอาหาร (Spongocoel) พบในฟองน้ำ ข. ทางเดินอาหารที่มีทางเข้าออกทางเดียวกันช่องว่างนี้ เรียกว่าช่องแกสโตรวาสคูลาร์ (Gastrovascular Cavity) ทำ หน้าที่ ย่อยอาหาร ลำ เลียง หายใจ และขับถ่าย ได้แก่ ไฮดรา ปะการัง แมงกะพรุน ค. ทางเดินอาหารชนิดสมบูรณ์มีทางเข้าทางหนึ่งและ ทางออกอีกทางหนึ่ง ทำ หน้าที่ย่อยอาหารอย่างเดียว ส่วนใหญ่พบใน สัตว์ที่มีสมมาตรชนิดครึ่งซีก ยกเว้นหนอนตัวแบน 7. การสืบพันธุ์ มีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศในสัตว์ชั้นชั้ต่ำ เช่น ฟองน้ำ ไฮดรา แมงกะพรุน ในสัตว์ชั้นชั้สูงจะมีการสืบพันธุ์โดยอาศัย เพศ 8. การเปลี่ยนแปลงของบลาสโทพอร์ (Blastopore) บลาสโทพอร์ ที่เกิดในระยะแกสตรูลา (Gastrula) ของตัวอ่อน จะมีการ เปลี่ยนแปลง 2 แบบ คือ แบบโพรโทสโทเมีย (Protostomia) คือ พวกที่บลาสโทพอร์เจริญไปเป็นปาก และแบบดิวเทอโรสโทเมีย (deuterostomia) คือพวกที่บลาสโทพอร์เจริญไปเป็นทวารหนัก 15
ไฟลัมพอริเฟอรา (Porifera) ได้แก่ ฟองน้ำ (Sponges) ไฟลัมซีเลนเทอราตา (Coelenterata) หรือไนดาเรีย (Cnidaria) เช่น ไฮดรา แมงกะพรุน กัลปังหา ปะการัง เป็นต้น ไฟลัมแพลทีเฮลมินทิส (Platyhelminthes) เช่น พลานาเรีย พยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้ เป็นต้น ไฟลัมนีมาเทลมินทิส (Nemathelminthes) หรือนีมาโทดา (Nematoda) เช่น หนอนตัวกลมชนิดต่าง ๆ พยาธิแส้ม้า พยาธิ ปากขอ พยาธิโรคเท้าช้าง เป็นต้น ไฟลัมแอนเนลิดา (Annelida) เช่น ไส้เดือนดิน ปลิง ทากดูด เลือด แม่เพรียง เป็นต้น ไฟลัมมอลลัสคา (Mollusca) เช่น หมึก หอยฝาเดียว หอยสอง ฝา ลิ่นทะเล เป็นต้น ไฟลัมอาร์โทรโพดา (Arthropoda) ได้แก่ แมลงชนิดต่าง ๆ กุ้ง ปู แมงมุม แมงดาทะเล หมัด เห็บ เพรียงหิน กิ้งกิ้กือ ตะขาบ เป็นต้น ไฟลัมเอไดโนเดอร์มาตา (Echinodermata) เช่น ดาวทะเล เม่น ทะเล ปลิงทะเล พลับพลึงทะเล อีแปะทะเล (เหรียญทะเล) เป็นต้น ไฟลัมคอร์ดาตา (Chordata) ได้แก่ เพรียงหัวหอม และสัตว์มี กระดูกสันหลังชนิดต่าง ๆ 9. การเจริญในระยะตัวอ่อน ในสัตว์พวกโพรโทสโทเมียมีการ เจริญของตัวอ่อน 2 แบบ คือ แบบที่มีตัวอ่อน (Larva) ระยะโทรโค ฟอร์ (Trochophore) เรียกว่าพวกโลโฟโทรโคซัว (Lophotrochozoa) และกลุ่มที่มีการลอกคราบ (Ecdysis) ระหว่าง การเจริญเติบโต เรียกว่าพวกเอกไดโซซัว (Ecdysozoa) นักชีววิทยาเชื่อว่าสัตว์ต่าง ๆ มีวิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิต ที่มีเซลล์เดียว ปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้ถึง 9 ไฟลัม ดังนี้ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 16
THE END