The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ying230840, 2022-12-09 14:12:08

โครงงานชอล์กสมุนไพรเปลือกไข่ไล่มดจากใบสาบเสือ

E-B00k

Keywords: โครงงานชอล์กสมุนไพรเปลือกไข่ไล่มดจากใบสาบเสือ

E-Book 1

โครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภททดลอง
ชอล์กสมุนไพรเปลอื กไขไ่ ลม่ ดจากใบสาบเสอื

โดย
เด็กหญงิ อิสรพร ยินดีฉาย
เด็กหญิงวาสนา ดาทอง
เดก็ ชายพงษ์กร พงษพ์ รรณนา

ครูทป่ี รกึ ษา
คณุ ครูจรี าวรรณ์ เพ็ชรแวว
คุณครูศศิมา แสนกลา้

โรงเรยี นบ้านชมุ แสง
สำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษาสรุ นิ ทร์ เขต 1

ก2

กิตตกิ รรมประกาศ

ในการจัดทำโครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทส่ิงประดิษฐ์ เรื่องชอลก์ สมนุ ไพรเปลอื กไขไ่ ล่มดจากใบ
สาบเสือ ได้รับความร่วมมือ และความชว่ ยเหลือเป็นอยา่ งดีจากคณะครูโรงเรยี นบา้ นชมุ แสง รวมทงั้ เพ่ือนๆที่
ช่วยเหลอื ด้านเอกสารท่ีเกยี่ วข้อง

ขอบพระคุณครูจรี าวรรณ์ เพ็ชรแวว ท่ปี รกึ ษาโครงงานกลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ที่ใหค้ วาม
ชว่ ยเหลือแนะนำและให้คำปรึกษา ขอบคุณระบบสาระสนเทศเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ ห้องสมุด ห้อง
วทิ ยาศาสตร์ ของโรงเรยี นท่ีใหแ้ หลง่ ศกึ ษาข้อมลู เกย่ี วข้อง ขอบคุณทา่ นผู้อำนวยการโรงเรยี นบา้ นชุมแสง ที่
อนมุ ัติงบประมาณสนบั สนนุ จึงทำให้โครงงานนี้สำเร็จดว้ ยดี คณะผู้จดั ทำโครงงาน จึงขอขอบพระคุณเป็น
อย่างสูงมา ณ โอกาสน้ดี ้วย

คณะผู้จัดทำ


3

ชอื่ โครงงาน ชอล์กสมุนไพรเปลอื กไข่ไลม่ ดจากใบสาบเสอื
ผ้จู ดั ทําโครงงาน
เด็กหญิงอสิ รพร ยินดฉี าย
ทป่ี รกึ ษาโครงงาน เด็กหญิงวาสนา ดาทอง
สถานศกึ ษา เดก็ ชายพงษก์ ร พรรณนา
คณุ ครจู รี าวรรณ์ เพ็ชรแวว คุณครศู ศิมา แสนกลา้
โรงเรยี นบา้ นชมุ แสง

บทคดั ยอ่

มดเป็นแมลงชนดิ หนง่ึ มีมากมายหลากหลายชนิด อาทิ มดแดง มดคันไฟ มดดาํ มดตะนอย เปน็ ต้น
มี ขนาดเลก็ อาศยั อยตู่ ามทตี่ า่ งๆ แมแ้ ตใ่ นบ้านของเรา และทีส่ าํ คญั มักสรา้ งความเดอื ดร้อนใหแ้ ก่ผู้คน กลุ่ม
ของ ข้าพเจา้ จึงได้ทดลองการทาํ ชอล์กสมุนไพรเปลือกไข่ไล่มด มจี ดุ ประสงคเ์ พื่อ 1) เพอื่ ทำชอลก์ สมนุ ไพรไล่
มด 2) เพื่อศึกษาประสทิ ธิภาพ ของชอลก์ สมุนไพรไล่มด

จากการรายงานการศึกษาคน้ ควา้ พบวา่ จากการทดลองใช้สมุนไพรพนื้ บา้ นที่มตี ามท้องถ่ินอย่างใบ
สาบเสือมาพัฒนาเปน็ ชอล์กสมนุ ไพรเปลอื ก ไข่ไลม่ ดในครง้ั น้ี ปรากฏวา่ จากการศึกษาประสทิ ธภิ าพของใบ
สาบเสอื ในการไลม่ ดนนั้ สามารถไลม่ ดไดจ้ ริงและมี ประสทิ ธภิ าพไดเ้ ทียบเคียงกบั ชอลก์ ไลม่ ดจากสารเคมี

4ค

สารบัญ

บทที่ เรอื่ ง หนา้

กติ ติกรรมประกาศ ................................................................................................ ก

บทคดั ย่อ ............................................................................................................... ข

สารบัญ ..............................................................................................,.................. ค

บทท่ี 1 บทนำ ..................................................................................................................... 1

ทมี่ าและความสำคัญ ............................................................................................. 1

วตั ถุประสงค์ของโครงงาน…………........................................................................... 1

สมมุติฐานของโครงงาน ....................................................................................... 1

ตัวแปรทเ่ี กย่ี วข้อง ……………………………………………………………………………………… 1

ขอบเขตของโครงงาน ............................................................................................. 1

นยิ ามศัพท์เฉพาะ …………………………………………………….……………………..………….. 2

บทที่ 2 เอกสารท่ีเกย่ี วข้อง ................................................................................................. 3

เปลือกไข่..……………………………………….................................................................... 3

ใบสาบเสอื ……………………..................................................................................... 3

มด ……………………………………………………………………………………………………………. 3

บทท่ี 3 วัสดอุ ุปกรณ์ และวธิ ีดำเนินการ ........................................................................... 7

วัสดุอุปกรณ์ ............................................................................................................ 7

วิธดี ำเนินการข้ันทดลอง………………...................................................................... 7

ขน้ั นำไปใช้ 8

บทที่ 4 ผลการดำเนนิ การ ................................................................................................. 9

ผลการทดลอง ……………………………………………………………………….……………..…….. 9

บทที่ 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล ประโยชน์ของโครงงาน และข้อเสนอแนะ ........................ 11

สรปุ ผล ................................................................................................................... 11

อภิปราย ................................................................................................................. 11

ข้อเสนอแนะ .......................................................................................................... 11

บรรณานุกรม ........................................................................................................ 12

ภาคผนวก ............................................................................................................. 13

1

บทท่ี 1

บทนาํ

ทีม่ าและความสำคญั

มดเปน็ แมลงทีม่ ขี นาดเล็ก อยู่ร่วมกันเป็นสงั คมมกั สร้างความรําคาญและนาํ ความเดือดร้อนใหแ้ กผ่ คู้ น
มักอาศัยตามทตี่ า่ งๆ โดยเฉพาะบริเวณบ้าน สาํ หรับวิธกี ารฆา่ มดบางคนอาจจะใชน้ ำ้ ร้อนเทหลุมของมด แต่
บาง คนก็อาจจะใชว้ ธิ ที ่ีรวดเรว็ และสะดวกยิ่งขึน้ โดยใชส้ ารเคมอี ย่างเชน่ สเปรยห์ รอื ชอล์กฆา่ มดซงึ่ มีอันตราย
ตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มและร่างกายของตัวเราเอง

เราจงึ คดิ ค้นสตู รชอล์กสมนุ ไพรไล่มด โดยนาํ เอาสมนุ ไพร ท้องถิน่ อย่างใบสาบเสอื โหระพา และ
ตะไครห้ อม ผสมกับเปลอื กไข่ พัฒนาใหเ้ ป็นแท่งชอล์กสมุนไพร และมปี ระสิทธภิ าพในการกําจัดมดไดม้ าก
ทีส่ ดุ

วัตถุประสงค์ของโครงงาน

1. เพ่ือทำชอลก์ สมนุ ไพรไล่มด
2. เพื่อศึกษาประสิทธภิ าพ ของชอลก์ สมนุ ไพรไลม่ ด

สมมติฐานของโครงงาน

ชอล์กสมุนไพรไลม่ ด สามารถไล่มดได้และมีประสทิ ธิภาพเทียบเคียงกับ ชอล์กไล่มดจากสารเคมี

ตวั แปรทเี่ กีย่ วข้อง

ตัวแปรตน้
- ชอล์กสมนุ ไพร

ตวั แปรตาม
- ความสามารถในการไลม่ ด

ตวั แปรควบคมุ
- อัตราส่วน
- ระยะเวลา
- ชนดิ ของมด,จำนวนมด

2

ขอบเขตของโครงงาน

1. กลุม่ เป้าหมาย มดบรเิ วณหมูบ่ ้านชมุ แสง ตาํ บลชุมแสง อําเภอจอมพระ จงั หวดั สุรนิ ทร์
2. ระยะเวลาดําเนนิ การ
3. สถานทีด่ าํ เนินการ โรงเรียนบ้านชุมแสง ตาํ บลชุมแสง อําเภอจอมพระ จงั หวดั สรุ นิ ทร์

นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ

มด เปน็ สตั ว์ในวงศ์ Formicidae อนั ดบั Hymenoptera มจี าํ นวนชนดิ มากกว่า 12,000 ชนิด โดย
พบ มากในเขตร้อนของโลก

เปลือกไข่ สว่ นนอกของฟองไข่ของสตั วบ์ างประเภท เช่น ไก่ นก งู มีลกั ษณะแข็งแตเ่ ปราะ หุ้มสว่ นท่ี
เป็นของเหลวซึ่งจะเจรญิ เติบโตเปน็ ตัวตอ่ ไป

ใบสาบเสือ เป็นไม้ล้มลกุ แตกก่งิ กา้ นสาขามากมายจนดเู ปน็ ทรงพุม่ ลาํ ตน้ และกงิ่ กา้ นปกคลมุ ดว้ ยขน
อ่อนนุ่ม ก้านและใบเมื่อขยีจ้ ะมีกล่นิ แรงคล้ายสาบเสือ มลี ําต้นสูง 1 - 2 เมตร

ขม้นิ เปน็ ไม้ล้มลุกอายหุ ลายปี สงู 30 - 95 ซม.เหง้าใต้ดนิ รปู ไขม่ ีแขนงรูปทรงกระบอกแตกออก
ดา้ นข้าง 2 ด้านตรงกนั ข้ามเน้ือในเหง้าสีเหลอื งสม้ มกี ล่ินเฉพาะ ใบเดีย่ วแทงออกมาเหงา้ เรยี งเปน็ วงซ้อนทบั
กนั รูปใบหอก กวา้ ง 12-15 ซม. ยาว 30-40 ซม.ดอกช่อแทงออกจากเหง้า แทรกข้นึ มาระหวา่ งก้านใบ รูป
ทรงกระบอกกลบี ดอกสเี หลอื งออ่ น ใบประดับสีเขยี วอ่อนหรอื สีนวล บานครั้งละ 3-4 ดอก ผลรูปกลมมี 3 พู

ปูนปลาสเตอร์ ทํามาจากแรย่ ิปซมั ซึง่ มีช่อื ทางเคมีว่า แคลเซียมซัลเฟตไดไฮเดรต ในโครงผลึกจะมนี ํ้า
2 หน่วยตอ่ แคลเซยี มซัลเฟต 1 หน่วย

ดนิ สอพอง มอี งค์ประกอบทางเคมีเป็นแคลเซยี มคารบ์ อเนตหรอื โคลนหรือหินโคลนท่ีอุดมไปด้วยเน้ือ
ปูนท่มี อี งค์ประกอบท่ีแปรผันของแรเ่ คลยแ์ ละอาราโกไนต์

ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ

1. ได้ชอล์กไล่มดจากใบสาบเสือทมี่ ปี ระสิทธิภาพเทียบเคยี งกบั ชอล์กไล่มดจากสารเคมี
2. ประหยดั ค่าใชจ้ ่ายในการซ้ือสารเคมีมากําจัดมด
3. ได้ชอลก์ ไล่มดทีป่ ราศจากสารเคมที ี่ทาํ ใหเ้ กิดอันตรายต่อมนษุ ย์ สัตว์ ส่ิงแวดลอ้ ม

3

บทที่ 2

เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกีย่ วขอ้ ง

ในการศึกษาและทดลองเร่ือง ชอล์กสมุนไพรเปลอื กไข่ไล่มดจากใบสาบเสอื ผู้ศึกษาไดร้ วบรวมแนวคดิ
และหลักการต่างๆ จากเอกสารท่ีเกย่ี วข้องดังต่อไปนี้

1. เปลือกไข่

ชํานาญ ทองเกียรติกุล (2558) รายงานวา่ เปลือกไข่ (Shell) มีส่วนประกอบเกือบท้งั หมดเปน็
แคลเซยี มคารบ์ อเนต(CaCO3) รูเปลอื กไข่ด้านในจะตดิ สนิทอยกู่ ับเย่ือเปลือกไข่โครงสร้างช้ันในสด เรียกว่า
basal cap ฝงั ติดอย่ใู นเยอ่ื เปลือกไข่ชน้ั นอกสุด โดยชัน้ นอกสดุ ของเปลอื กไขจ่ ะมี สารอินทรีย์ (organic
material) ซง่ึ เรยี กว่า cuticle เคลือบทผี่ วิ ของฟองไข่ทั้งหมด

ประโยชนข์ องเปลือกไข่

- เปลือกไข่อดุ มดว้ ยธาตเุ หล็ก นําเปลือกไขม่ าลา้ งใหส้ ะอาดอบยางใหร้ ้อนแล้วทาํ ใหเ้ ป็นผงละเอียด
นาํ ไปหุงปนกับข้าวสารเปน็ อาหารท่ีมีคุณค่าบํารงุ ดีมากและสารอาหารท่ีจะไดร้ ับจากเปลือกไขก่ ็คอื แคลเซียม

- ประโยชนใ์ ชส้ อยในดา้ นเป็นเครื่องมอื ทําความสะอาดสามารถนําไปใช้ขัดลา้ ง อา่ งล้างหน้าอา่ ง
อาบนำ้ และเครื่องใช้เซรามิคทงั้ หลาย

- ใชแ้ ทนแปรงล่างขวดหรือภาชนะทม่ี ีปากแคบ

-ใช้เป็นปุย๋ ให้ตน้ ไม้ได้ - เปลอื กไข่ทเ่ี ผาแล้วบดละเอยี ดจะมีสารแคลเซยี มไฮดรอกไซตม์ ีฤทธ์เิ ป็นเบส
สามารถ ไล่มดได้

- เปลอื กไขส่ ดมแี คลเซยี มและกํามะถนั โดยใช้เปลือกไขค่ รอบปลายหลกั ไมป้ ากไว้ใน แปลงเพาะปลูก
พืชซ่งึ เปลอื กไข่เม่ือถูกแสงแดดจะทําให้กล่นิ กาํ มะถนั ระเหยออกมาสามารถไล่เพลย้ี ไฟได้ดี

4

กลา่ วไดว้ า่ เปลือกไข่มสี ่วนประกอบเกือบทง้ั หมดเป็นแคลเซยี มคาร์บอเนต เม่ือนาํ เปลือกไข่ไปเผาแลว้
บดละเอยี ดจะมสี ารแคลเซยี มไฮดรอกไซด์ที่มีฤทธ์ิเป็นเบส และสามารถไลม่ ดได้นอกจากนเ้ี ปลอื กไขส่ ดยงั มี
แคลเซยี มและกํามะถนั เมื่อถูกแสงแดดจะทําให้กล่นิ กํามะถันระเหยออกมาสามารถไล่เพล้ยี ไฟไดด้ ีอกี ดว้ ย

2. ใบสาบเสอื

วทิ ย์ เทยี่ งบรู ณธรรม (2559) กล่าววา่ สาบเสือ มชี อ่ื วิทยาศาตร์วา่ Eupatorium odoratum L. วงศ์
Compositaeจดั เปน็ วัชพชื รา้ ยแรงอายหุ ลายปีลําต้นและก่ิงกา้ นปกคลุมดว้ ยขนอ่อนนุ่มก้านและใบเม่ือขยจ้ี ะมี
กลิน่ แรงคลา้ ยสาบเสือ ก้านและใบ รสสุขมุ ฉุนเลก็ น้อย ใช้ฆา่ แมลงหา้ มเลอื ดแกแ้ ผลทแี่ มลงบางชนิดกดั แล้ว
เลือดไหลไมห่ ยุดใช้ใบสดตําพอกปากแผลหรืออาจใช้ใบสดตํากับปูนกนิ หมากพอกแผลห้ามเลอื ดไดห้ รอื ใชใ้ บสด
ขยป้ี ดิ ปากแผลเลือดออกเลก็ น้อยได้ดีผลทางเภสชั วิทยาน้ำตม้ สกดั จากใบและต้นมีฤทธ์กิ ระตุ้นการบีบตวั ของ
ลําไส้เลก็ ท่ีแยกออกจากตัวของหนูตะเภาแตล่ ดการบีบตัวของลาํ ไสเ้ ลก็ ท่ีแยกออกจากตวั ของกระต่ายน้ำตม้
สกัด และผลึกสารท่สี กัดไดจ้ ากต้นนไ้ี ม่มีผลอยา่ งเดน่ ชดั ตอ่ มดลูกทแ่ี ยกออกจากตวั ของกระตา่ ยหากนาํ ไปฉีด
เข้าช่อง ท้องของหนูเล็กพบมีความเปน็ พิษเพียงเลก็ น้อยสารเคมที ่ีพบทั้งต้นมนี ำ้ มันระเหย นอกจากนเ้ี มือ่ นํามา
สกัดด้วย ไอน้ำจะได้สารท่มี ีคุณสมบัติกระตุ้นการงอกของเมลด็ พืชไดห้ ลายชนิด และใบมะมว่ งที่เป็นเชือ้ ราดาํ ก็
สามารถ กําจัดไดไ้ ล่แมลงพวกปากดดู พวกเพล้ียจักจั่นช่อมะม่วงเพล้ยี ไฟในพริกในกหุ ลาบ สามารถนํามาใช้
เป็นนำ้ ยาถู พ้นื ทาํ ให้ใช้ไลแ่ มลงคลาน เชน่ แมลงสาบ มด กําจัดไรฝนุ่ ตามพ้นื บา้ น เช็ดตามต้โู ตะ๊ เก้าอี้
เฟอรน์ ิเจอรแ์ ลว้ ป้องกันเชอ้ื รามาเกาะได้

สรปุ ได้วา่ ใบสาบเสือมีน้ำมนั หอมระเหยซึง่ มสี ารยบั ยง้ั การเจริญเตบิ โตของเช้ือโรค และยงั สามารถ
นาํ มาใช้เปน็ นำ้ ยาถูพนื้ ไลม่ ด และแมลงคลานได้

จิราพร เพชรรัตน์ (2559) พบวา่ สาบเสือมสี ารทอ่ี อกฤทธิ์ในการควบคุมแมลงศัตรพู ชื ที่พบในสาบเสอื
ได้แก่ Pinene, Limonene และ Nepthaquinoneซ่งึ พบท้ังในสว่ นของดอกและใบ ใช้ได้ผลกับหนอนชนิด
ตา่ งๆ เช่น หนอนใยผกั หนอนกระทผู้ ัก เพลี้ยอ่อน ดว้ งเขียว และแมลงตา่ งๆ เชน่ มด

กลา่ วไดว้ ่า ใบสาบเสือมสี ารท่ีมคี ุณสมบัติในการควบคมุ แมลงศตั รพู ืชได้

5

3. มด

มด เป็นแมลงในวงศ์ Formicidae อันดบั Hymenoptera มดมีการสรา้ งรังเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่
บางรังมจี ำนวนประชากรมากถึงลา้ นตวั มีการแบ่งวรรณะกันทำหนา้ ท่ีคือ วรรณะมดงาน เปน็ มดเพศเมียเปน็
หมัน ทำหน้าที่หาอาหาร สรา้ งและซ่อมแซมรัง ปกป้องรงั จากศตั รู ดแู ลตัวอ่อน และงานอืน่ ๆ ทั่วไป เปน็
วรรณะที่พบได้มากทีส่ ุด วรรณะสบื พนั ธ์ุ เป็นมดเพศผู้ และราชินี เพศเมยี มีหน้าท่ีสืบพันธ์ุ เนื่องจากมดเปน็
สัตวใ์ นวงศ์ Formicidae จึงสามารถผลิตกรดมดหรอื กรดฟอรม์ กิ ไดเ้ ป็นลกั ษณะเฉพาะของสัตวใ์ นวงศ์น้ี

ส่วนหวั
สว่ นหวั มด เป็นส่วนแรกของลำตวั มีรปู ร่างหลายแบบ เชน่ ห้าเหลยี่ ม สเ่ี หลย่ี ม วงกลม วงรี หรือ

หัวใจ เปน็ ที่ตง้ั ของอวยั วะทส่ี ำคัญบางชนดิ ได้แก่
หนวด
หนวด เปน็ ลกั ษณะหนึง่ ที่แตกต่างไปจากแมลงกลุ่มอื่น คือ เปน็ แบบหักข้อศอก (geniculate)

โดยท่ัวไปจำนวนปล้องหนวดของมดงานอยใู่ นช่วง 4-12 ปลอ้ ง ส่วนใหญ่มี 12 ปล้อง ปล้องแรกเรียกว่า ฐาน
หนวด (scape) มีลักษณะค่อนขา้ งยาวกว่า ปล้องที่เหลือรวมกนั พบได้ในมดงานและราชินี สว่ นเพศผู้
ส่วนมากมีฐานหนวดสั้นมากกวา่ ปลอ้ งที่เหลอื รวมกนั ปล้องที่เหลอื จากฐานหนวดเรียกว่า ปล้องหนวด
(funiculus) มจี ำนวน 3-11 ปล้อง แต่ละปล้องโดยทวั่ ไปสั้นกว่ามากเม่อื เทยี บกับฐานหนวด หนวดส่วนใหญ่ทำ
หนา้ ที่ในการส่ือสารตา่ งๆ จดั เป็นอวยั วะทส่ี ำคัญทสี่ ดุ ในการรับความรู้สกึ - ตา แบ่งออกไดเ้ ปน็ ตาเดย่ี วกับตา
รวม มดสว่ นใหญจ่ ะมีตารวม บางชนดิ ไมม่ ีตารวม ตง้ั อยู่บริเวณสว่ นหน้าหรือด้านขา้ ของส่วนหัว มีขนาดต้งั แต่
เป็นจุดเล็กๆจนถงึ ขนาดใหญ่ ส่วนมากเป็นรูปวงกลม มีบา้ งที่เป็นรปู วงรหี รอื รูปไต มีหนา้ ทีส่ ำหรับการมองเหน็
สว่ นตาเด่ยี ว โดยทว่ั ไปมี 3ตา อย่เู หนือระหวา่ งตารวม ส่วนมากพบในเพศผูแ้ ละราชนิ ี สำหรบั มดงานพบมาก
ในมดเขตหนาวไม่ได้ใช้ในการมองเห็น [6][7]

ตา
แบ่งได้เปน็ สองประเภท คือ ไม่มตี ารวมและตาเดยี่ ว
ตารวม คือ ตาที่มีอยเู่ ปน็ คู่ อาจมีลักษณะอ่นื ๆ ด้วย เช่น ตาเปน็ มตี า 2 คู่ และไมจ่ ำเป็นต้อง

อยบู่ รเิ วณขา้ งหน้าเสมอไป มดส่วนใหญ่จะมีตาเปน็ ประเภทตารวม
ตาเดีย่ ว คอื ตาทไี่ มไ่ ด้มอี ยู่เป็นคู่ ส่วนใหญจ่ ะมีสามตา และอยบู่ รเิ วณล่างของหนวด

มดสว่ นใหญ่จะมีตารวม บางชนิดไม่มีตารวมต้ังอยู่บรเิ วณส่วนหนา้ หรือด้านขา้ งของสว่ นหัว มีขนาดตง้ั แตเ่ ป็น
จดุ เลก็ ๆ จนถงึ ขนาดใหญ่ ส่วนมากเปน็ รปู วงกลม มบี า้ งท่ีเปน็ รปู วงรหี รอื รูปไต มีหนา้ ทีส่ ำหรับการมองเหน็
สว่ นตาเดีย่ วโดยทัว่ ไปมี 3 ตา อย่เู หนอื ระหวา่ งตารวม สว่ นมากพบในเพศผแู้ ละราชินี สำหรบั มดงาน พบมาก
ในมดเขตหนาว ไมไ่ ด้ใช้ในการมองเห็น

6

ปาก
ปากของมดจะมอี ยู่สองลักษณะ คือ แบบกดั กิน (Thorix) และปากแบบลกั ษะดูด (Thorase)
ปากแบบกดั กนิ จะมีลักษณะเปน็ ฟันสองซ่ี จะคมมาก มกี รามที่แข็งแรงและขนาดใหญ่ เป็น

ส่วนท่เี หน็ ชัดทส่ี ุดรปู สามเหลย่ี ม กึ่งสามเหล่ียมหรือเปน็ แนวตรงถือเป็นอวยั วะทส่ี ำคัญในการจับเหยือ่ และ
ปอ้ งกนั ตวั ทำให้มดสว่ นใหญ่เปน็ พวกกินสตั ว์ พบไดใ้ นมดงาน

ปากแบบลักษณะดดู จะมไี วส้ ำหรบั ดูดน้ำหวาน ตามเกสร พบในมดเพศเมีย และมดราชนิ ี
ร่องพกั หนวด เปน็ ร่วมหรือแอ่งยาวคล้ายรอยพิมพ์ อยบู่ รเิ วณหน้าของส่วนหัว เปน็ ทเ่ี ก็บหนวด
ขณะที่ไม่ใด้ใช้ โดยทั่วไปมี 1 คู่ มีลักษณะแตกต่างกนั ตง้ั แต่เป็นรอ่ งต้ืน ๆ ไปถึงร่องลกึ เห็นชดั เจน บางชนดิ ไมม่ ี
รอ่ งพักหนวดนี้
ส่วนอก
ส่วนอกเป็นส่วนท่เี ช่อื มต่อระหว่าง สว่ นทอ้ ง และสว่ นหวั โดยมากจะเป็นทรงกระบอก อาจมีตมุ่ หนาม
อยู่ดว้ ย เป็นสว่ นท่ีสองของลำตัวมดเป็นรูปทรงกระบอก อกของมดจะไมใ่ ชค้ ำวา่ thorax แตจ่ ะใช้ alitrunk
แทน เน่อื งจากอกของมดประกอบด้วย อกปลอ้ งแรก อกปล้องที่ 2 และอกปลอ้ งที่ 3 แต่อกปลอ้ งท่ี 3 น้ีจะรวม
กับท้องปล้องท่ี 1 ซ่งึ เรยี กวา่ propodeum สว่ นอกจะเปน็ ที่ตัง้ ของสว่ นขาและปีก (สำหรบั ราชนิ ีและมดเพศผู้)
มดงานจะมสี ่วนอกปกติ ยกเว้นมดราชนิ มี ีอกขนาดใหญ่กวา ปกี จะพบท่มี ดเพศผู้และมดเพศเมยี เท่านั้น มดบาง
ชนิดอกปล้องท่ี 1 อกปล้องท่ี 2 เช่ือมตดิ กันเชอ่ื มติดกนั เช่นเดยี วกบั อกปล้องท่ี 3 กบั ปล้องท่ี 1 มดบางชนิด
สนั หลังอกมีหนามหรอื ตุ่มหนาม บางชนิดอาจเปน็ แผน่ คลา้ ยโล่ห์ ขาของมดสว่ นมากค่อนข้างยาว ทำให้
เคลอื่ นไหวไดค้ ล่องแคล่ววอ่ งไวมาก ความยาวของขาและรูปรา่ งของมดนน้ั จะถูกกำหนดโดยพฤติกรรมตา่ งๆ

ส่วนท้อง
เปน็ สว่ นทอี่ ยูท่ า้ ยสดุ ของมด บางชนดิ จะแตกออกเป็น 2 สว่ น เรียกว่า Wasted twin ซึ่งมดบาง

ชนดิ อาจมีเหลก็ ใน และบางชนิดกม็ ชี อ่ งไวป้ ลอ่ ยสารป้องกันตวั เป็นส่วนท่ี 3 มดมี 1 หรือ 2ปล้องขึ้นอยู่กบั
กลุ่มมด อาจมี 1ปลอ้ งคือ Petioleเปน็ ปลอ้ งท่ี 2 ของสว่ นท้องอาจเป็นปุม่ หรือแผ่น ส่วนถา้ มี 2 ปล้องคือ
Petiole และ Postpetiole เป็นปลอ้ งท่ี 2กบั ปล้องที่ 3 Postpetiole อาจเปน็ ปุ่มหรอื รูปทรงกระบอกก็ได้ มด
บางชนิด petiole มหี นาม 1 คู่ สว่ นท้ายของลำตัว เรยี ก gaster โดยทั่วไปมรี ูปรา่ งกลม แต่บางชนิดเป็นรูป
หวั ใจ หรือรูปทรงกระบอก ปลายส่วนท้องของมดงานสว่ นใหญม่ เี หลก็ ไน บางชนิดสามารถทำให้เกดิ อาการ
เจบ็ ปวดได้ สำหรบั บางชนดิ ไมม่ ีเหล็กไน ก็จะเปิดเปน็ ชอ่ ง สำหรับขบั สาร

7

บทท่ี 3

วัสดอุ ุกรณ์ และวิธีดําเนนิ การ

1. วสั ดุ - อปุ กรณ์ท่ีใช้ในการศึกษาและทดลอง
1.1 ปนู ปลาสเตอร์
1.2 ดินสอพอง
1.3 พริกปน่
1.4 ใบสาบเสอื
1.5 เปลอื กไข่บดละเอียด
1.6 ครกหรือเครอ่ื งป่นั
1.7 มีด เขยี ง
1.8 ชาม
1.9 กระชอน
1.10 ชอ้ นโตะ๊
1.11 หลอดชาไข่มกุ
1.12 ขมิ้น

2. วิธกี ารดาํ เนินการ

1.ขัน้ ทดลอง
1.2.1 นําเปลือกไขไ่ ปล้างน้ำให้สะอาดแล้วนําไปฝั่งแดดใหแ้ ห้งจากนั้นกน็ ําเปลือกไข่ที่ แห้ง

แลว้ มาบดให้ละเอยี ด
1.2.2 คน้ั นำ้ ใบสาบเสอื
1.2.3 นําขมน้ิ มาบดแล้วคนั้ เอาน้ำ
1.2.4 ตวงปูนปลาสเตอร์ 10 ช้อนโตะ๊ เปลือกไขบ่ ดละเอียด 5 ชอ้ นโต๊ะ น้ำใบสาบเสอื 8

ช้อนโตะ๊ พริกป่น 3 ชอ้ นโต๊ะ นำ้ ขมิ้น 2 ช้อนโตะ๊ และดินสอพอง 4 ก้อนใส่ลงไปในชามท่ี เตรยี มไว้
1.2.5 คนส่วนผสมทัง้ หมดใหเ้ ขา้ กัน

8

1.2.6 นาํ ส่วนผสมทเ่ี ข้ากนั แล้วใสล่ งไปในหลอดชาไข่มุก

1.2.7 นําไปตากแดดให้ปนู ปลาสเตอรแ์ ข็งตัวกจ็ ะได้ชอล์กสมนุ ไพรเปลอื กไข่ไลม่ ดจากใบ

สาบเสอื

2. ขั้นนำไปใช้

หลงั จากท่ใี ชช้ อลก์ ขดี บริเวณที่มีมดอยู่บนพ้ืนทข่ี นาด 10 ตารางเซนติเมตร เม่ือเวลาผ่านไป
10 นาที พบว่ามีมดจํานวนลดลงเม่ือเทยี บ กบั ในตอนแรก ต่อมาทงิ้ ไว้เปน็ ระยะเวลา 25 นาที ปรากฏว่า
บรเิ วณนั้นแทบจะไม่มีมดอยเู่ ลย แตม่ ีอยนู่ ้อยมากประมาณ 5 – 8 ตวั แลว้ บนั ทกึ การปฏิบัติกจิ กรรมทดลองใช้
ขอร์กสมนุ ไพรเปลือกไขไ่ ลม่ ดจากใบสาบเสือ

9

บทที่ 4

ผลการทดลอง
ผลการทดลอง

จากการทดลองในการทาํ ซอร์กสมนุ ไพรเปลือกไข่มดจากใบสาบเสือ ได้อตั ราสว่ นของส่วนผสมท่ี
เหมาะสมและมปี ระสทิ ธภิ าพท่สี ดุ ดังน้ี

1) ปนู ปลาสเตอร์ 10 ชอ้ นโต๊ะ
2) เปลอื กไข่ 5 ชอ้ นโต๊ะ
3) ดนิ สอพอง 4 กอ้ น
4) พรกิ ป่น 2 ชอ้ นโต๊ะ
5)น้ำขม้นิ 3 ชอ้ นโต๊ะ
6)นำ้ ใบสาบเสือ 8 ชอ้ นโต๊ะ

จากการทีผ่ ู้ศึกษาได้ทาํ การทดลองเปรยี บเทยี บประสิทธิภาพของการใชช้ อลก์ สมนุ ไพรเปลอื กไข่จาก
ใบสาบเสือและชอล์กไลม่ ดจากสารเคมี ผลปรากฏว่าขอล์กทง้ั สองชนิดมปี ระสิทธิภาพในการกําจดั มดใกล้เคียง
กนั ดังตารา

ตารางท่ี 1 ตารางบันทกึ ผลการใชช้ อล์กสมนุ ไพรเปลอื กไข่จากใบสาบเสอื และชอล์กไล่มดจากสารเคมี

ชนดิ ของชอล์ก ผลการทดลอง

ชอลก์ สมุนไพรเปลอื กไขไ่ ล่ หลงั จากทีใ่ ชช้ อลก์ ขีดบริเวณทม่ี ีมดอย่บู นพน้ื ทข่ี นาด 10 ตาราง
มดจากใบสาบเสือ เซนติเมตร เม่ือเวลาผ่านไป 10 นาที พบว่ามีมดจํานวนลดลงเม่อื
เทียบ กับในตอนแรก ตอ่ มาท้ิงไวเ้ ปน็ ระยะเวลา 25 นาที ปรากฏ
ชอลก์ ไล่มดจากสารเคมี วา่ บริเวณนั้นแทบจะไมม่ ีมดอยูเ่ ลย แต่มีอยนู่ ้อยมากประมาณ 5 –
8 ตวั

หลังจากท่ใี ชช้ อลก์ ขีดบริเวณที่มมี ดอยบู่ นพื้นทข่ี นาด 10 ตาราง
เซนติเมตร เมื่อเวลาผา่ นไป 10 นาที พบว่ามีมดจํานวนลดลงเมื่อ
เทียบ กบั ในตอนแรก ตอ่ มาทิ้งไว้เป็นระยะเวลา 25 นาที ปรากฏ
วา่ บริเวณ นนั้ แทบจะไมม่ ีมดอยูเ่ ลย แต่มีอยูน่ ้อยมากประมาณ 3 -
5 ตวั

10

บทท่ี 5

สรปุ ผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ

สรุปผล
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง ชอลก์ สมนุ ไพรเปลือกไลม่ ดจากใบสาบเสือมวี ตั ถปุ ระสงค์ในการทาํ

โครงงานครัง้ น้ี เพ่ือทดลองทําชอล์กกันมดจากวสั ดธุ รรมชาติ ซึ่งกค็ ือ ใบสาบเสือแลว้ บอกได้วา่ ชอล์กจากใบ
สาบเสือกบั ชอล์กตามทอ้ งตลาดมปี ระสทิ ธิภาพใกลเ้ คยี งกนั หรอื ไม่ หากผลใกล้เคียงกนั ก็จะมีผลติ ภัณฑ์ทีก่ ําจดั
มดได้โดยไม่ต้องใชส้ ารเคมีที่เป็นอันตรายของมนุษย์ สัตว์และสง่ิ แวดลอ้ มเพ่ือเป็นการประหยัดคา่ ใชจ้ ่าย

จากการทดลองใช้สมนุ ไพรพื้นบ้านท่มี ีตามท้องถิน่ อย่างใบสาบเสอื มาพัฒนาเปน็ ชอล์กสมนุ ไพรเปลือก
ไขไ่ ล่มดในครั้งน้ี ปรากฏว่าจากการศึกษาประสทิ ธภิ าพของใบสาบเสอื ในการไล่มดน้ันสามารถไลม่ ดไดจ้ ริงและ
มี ประสิทธภิ าพได้เทยี บเคยี งกบั ชอลก์ ไลม่ ดจากสารเคมี

อภิปราย

ชอล์กสมนุ ไพรเปลือกไขไ่ ล่มดจากใบสาบเสอื สามารถใช้ในการกาํ จัดมดแทนการใช้ชอล์กกาํ จัด มด
จากสารเคมีได้ ทำให้เกดิ ความปลอดภัย และยงั สนับสนนุ ทฤษฎีเศรษฐกจิ พอเพยี ง โดยการบรู ณาการ
เศรษฐกิจพอเพียง ดงั น้ี

หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง 3 หว่ ง 2 เง่ือนไข

ความพอประมาณ ใชว้ สั ดุจากธรรมชาติ ของเหลือใชแ้ ละจากสมุนไพรในครัวเรือน

ความมีเหตผุ ล ชว่ ยกนั หาวิธแี ก้ไขปัญหา แบ่งกันคดิ ค้นวิธที าํ งานโดยไม่เอาเปรยี บกัน

มภี ูมิคุม้ กันในตวั แก้ไขปัญหาที่มีในการทาํ โครงงานได้สาํ เรจ็ ลุล่วง

เงอ่ื นไขความรู้ ไดร้ ้วู า่ ใบสาบเสอื เปลือกไข่ พรกิ ป่น ขมิน้ สามารถนาํ มาใชป้ ระโยชน์อะไร
ไดบ้ ้างอีกทั้งยังชว่ ยประหยัดค่าใช้จา่ ยเพราะไม่ตอ้ งไปซื้อชอรก์ ไล่มดจาก
สารเคมมี าใช้

เงอื่ นไขคุณธรรม มีความขยนั และอดทนในการทํางานจนสาํ เร็จและไดเ้ รียนรู้ความสามคั คี
ของคนในกลมุ่ และชว่ ยกนั แก้ปญั หาจนสําเร็จลลุ ่วงด้วยดี

11

ข้อเสนอแนะ
1. ขอ้ เสนอแนะในการนาํ ผลการศึกษาไปใช้
- ควรพฒั นาชอลก์ ให้สามารถใชไ้ ลแ่ มลงชนิดอื่นไดด้ ้วย
- ชว่ ยสร้างอาชพี และรายได้ให้แกป่ ระชาชน
2. ขอ้ เสนอในการทําโครงงานครงั้ ตอ่ ไป
- พัฒนาประสิทธภิ าพของชอลก์ สมุนไพรเปลือกไข่ไล่มดจากใบสาบเสือใหเ้ พ่ิมขึ้น
- ควรพฒั นารูปแบบของชอล์กให้เป็นทนี่ ่าสนใจ

12

บรรณานกุ รม

กติ ติพนั ธ์ ตนั ตระรุง่ โรจน.์ (2543). การพัฒนาตํารบั ยาทากันยุงจากสมุนไพร รวมบทคดั ย่องานวจิ ยั การแพทย์
แผนไทยและทิศทางการวจิ ยั ในอนาคต สถาบันการแพทย์แผนไทย

กิตตพิ ันธ์ ตันตระรุ่งโรจน์ และวรรณภา สุวรรณเกดิ . (2537), การศึกษาประสิทธภิ าพของน้ำมันหอมระเหย
จากสมุนไพรในการป้องกันยงุ กดั . วารสารโรคติดต่อ

ชอลก์ เปลือกไข่ไลม่ ด (ออนไลน์), เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.thaiagrinews.com/ สืบค้นเม่อื 8/11/2020
ดินสอพอง (ออนไลน)์ . เข้าถึงไดจ้ าก http://th.wikipedia.org/wiki/ดินสอพอง สืบค้นเมื่อ 16/11/2020
เตม็ สมิตินนั ทน.์ (2544), ชือ่ พรรณไม้แหง่ ประเทศไทย, สว่ นพฤกษาศาสตรป์ ่าไม้ สาํ นักวิชาการป่าไม้

กรมป่าไม้
ใบสาบเสือไลม่ ดได้อย่างไร (ออนไลน์), เข้าถงึ ได้จาก http://sarakased.blogspot.com/ สบื ค้นเม่ือ

9/11/2020
ใบสาบเสือไลม่ ดได้อยา่ งไร (ออนไลน)์ , เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.gotoknow.org/posts/ สบื ค้นเมือ่

9/11/2020
เปลือกไข่ (ออนไลน)์ . เข้าถึงได้จาก http://thaiehow.blogspot.com/ สบื ค้นเมอ่ื 17/11/2013
เปลอื กไข่ไล่มดได้อย่างไร (ออนไลน)์ , เขา้ ถึงไดจ้ าก

http://info.matichon.co.th/techno สบื คน้ เมอ่ื 8/11/2020
เปลอื กไข่ไล่มดได้อย่างไร (ออนไลน)์ . เขา้ ถึงได้จาก

http://www.kasetporpeang.com/ สืบคน้ เม่ือ 8/11/2020
มด (ออนไลน์), เขา้ ถึงได้จาก http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet4/may11/ant.htm

สบื คน้ เม่ือ 8/11/2020
วิทย์ เท่ยี งบูรณธรรม. (2548), พจนานกุ รมสมนุ ไพรไทย, พิมพค์ รงั้ ที่ 6. กรงุ เทพ : รวมสาสน์ ปนู ปลาสเตอร์

(ออนไลน)์ , เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.material.chula.ac.th/ สบื ค้นเม่ือ 17/11/2020

13

ภาคผนวก

14

15

16

17


Click to View FlipBook Version