หน่วยที่ 7 จรรยาบรรณและ
กฎหมายเกี่ยวกับ
การใช้สื่อสังคมออนไลน์
สื่อนำเสนอ จรรยาบรรณและ
กฏหมายเกี่ยวกับการใช้สื่ออออนไลน์
เสนอ
ครูปรียา ปันธิยะ
จัดทำโดย
นางสาวณัฐธิชา เปี้ ยสาย
เลขที่ 10 สาขาวิชาการจัดการสำนักงาน
สื่อนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา 30001-2003 เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการ
อาชีพ
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง
ความหมายของจรรยาบรรณ
จรรยาบรรณ คือ ประมวลความ
ประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงาน
แต่ละอย่างกำหนดขึ้น เพื่อรักษาและ
ส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียงและฐานะ
ของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลักษณ์
อักษรหรือไม่ก็ได้
จริยธรรม หมายถึง หลักการที่มนุษย์ในสังคมยึดถือปฏิบัติ
เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขในสังคม และเมื่อนำไปใช้กับอินเทอร์เน็ต
ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่นิยมใช้มากที่สุดของมนุษย์ในขณะนี้ ย่อมหมายถึง
มนุษย์จะต้องมีจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต เพราะในการใช้อินเทอร์เน็ต
มนุษย์ย่อยต้องมีสังคม ซึ่งประกอบด้วยคนหลายคนทั่วโลก ดังนั้น
จึงสมควรที่จะมีการวางกรอบให้มนุษย์ประพฤติ เพื่อการใช้อินเทอร์เน็ต
ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยการกำหนดแนวทางในการปฏิบัติหรือควบคุม
การใช้ ซึ่งเมื่อพิจารณาจริยธรรมเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว
จรรยาบรรณ หมายถึง ประมวลกฎเกณฑ์
ความประพฤติหรือประมวลมารยาทของผู้
ประกอบอาชีพต้องเป็นเอกลักษณ์ทางวิชาชีพ
ใช้ความรู้ มีองค์กรหรือสมาคมควบคุม
(จรวยพร ธรณินทร์, 2554)
ความหมายของจรรยาบรรณ
วิชาชีพ
จรรยาบรรณวิชาชีพ หมายถึง มาตรฐาน
ของคุณค่า แห่งความดีงาม ของการกระทำ
หนึ่ง ๆ หรือพฤติกรรมโดยรวม ของผู้ประกอบ
วิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง
( มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช. 2549 : 300)
จรรยาบรรณวิชาชีพ อาจถูกกำหนดขึ้น เป็น
ลายลักษณ์อักษร โดยหน่วยงานของรัฐ หรือ
เอกชน อาทิเช่น จรรยาบรรณแพทย์ โดย
แพทยสภา จรรยาบรรณครู โดยคุรุสภา เป็นต้น
โดยเฉพาะวิชาชีพ ที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพ และ
ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ของ
ประชาชน
ความหมายของจรรยาบรรณ
ของสื่อมวลชน
จรรยาบรรณของสื่อมวลชน หมายถึง
หลักคุณธรรมของผู้ประกอบอาชีพนักสื่อสาร
มวลชน ที่สร้างขึ้นมาเพื่อ"เป็นแนวทางปฏิบัติ
แก่ผู้ประกอบอาชีพนักสื่อสารมวลชนให้มี
ความรับผิดชอบต่อสังคม" ไม่ละเมิดสิทธิ
ผู้อื่ นรวมถึงก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมสูงสุด
ความหมายของจรรยาบรรณ
สื่อสากล 13 ข้อ
1. ต้องเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านแก่ผู้รับสาร
(The truth and the whole truth)
การสื่อสารอย่างเป็นกลาง ถือเป็นเรื่องสำคัญในฐานะนักสื่อสาร
เพราะการนำเสนอข้อมูลไม่ว่าด้านไหนก็ตามเพียงด้านเดียว
อาจทำให้คนที่ดูสื่อตัดสินใจไปแล้วเรียบร้อย (และความเชื่อแบบ
ปักใจนั้นก็เปลี่ยนได้ยากเสียด้วย) ทางที่ดีคือนำเสนอแบบทุก
มุมมอง แล้วให้ประชาชนตัดสินใจด้วยวิจารณญาณดีกว่า
2. ไม่ก้าวก่ายสิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่น
(Do not to invade the private rights)
เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่บ่อยครั้งกับการนำเสนอ
เรื่องราวต่างๆ ที่อาจเป็นการละเมิดสิทธ์ส่วนบุคคล
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในวงการบันเทิง หรือเรื่องอื่นๆ
ก็ตาม ดังนั้นหากมีความจำเป็นต้องเล่า ก็ควรเล่า
อย่างมีความรับผิดชอบทางจริยธรรม คือ มีความ
ยุติธรรมต่อบุคคลที่ตกเป็นข่าว นำเสนอข้อมูลและ
ข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง
3. ซื่อสัตย์ต่อบุคคลที่นำมากล่าวถึงใน
คอลัมน์ (Play fair with persons
quoted in its columns)
บุคคลที่นำมากล่าวถึงในคอลัมน์ ถือเป็นบุคคลที่
3 การนำเรื่องราวมาเล่าต่อ หรือเป็นการอ้างถึง
ควรเอ่ยตามที่ได้ยินมา ซึ่งเป็นความจริง ไม่
บิดเบือน หรือเล่าตามที่ได้ตกลงกันไว้เท่านั้น
4. สร้างความสัมพันธ์อันดีแก่ชุมชน
(Seek to build its community)
คอนเทนต์ที่เราสร้าง ไม่ควรเป็นการทำให้ชุมชน
แตกแยก และเพิ่มความเข้าใจในการอยู่ร่วมกัน
ในชุมชนมากขึ้น
5. คำนึงว่าการหย่าร้าง การฆ่าตัวตาย
นั้น เป็นปัญหาสังคมสิ่งหนึ่งที่ไม่ควร
เสนอข่าวไปในเชิงไม่สุภาพ
(To recognize divorce, suicide as an
unfortunate social problem)
ไม่ว่าคาแรคเตอร์ หรือมู้ดในการนำเสนอ
คอนเทนต์เราจะเป็นแบบไหนก็ตาม แต่หากหัวข้อ
ที่นำเสนอนั้นเป็นด้านลบ ก็ควรนำเสนอด้วยความ
เคารพ สุภาพ และกระชับ ที่สำคัญควรขึ้น Trigger
Warning (การเตือนว่าคอนเทนต์เทนต์มีเนื้อหา
เกี่ยวกับอะไร) เพื่อเป็นการคำนึงถึงคนที่มี
บาดแผลในจิตใจกับเรื่องราวด้านนี้ด้วย
6. อย่ากล่าวโจมตีคู่แข่ง (Do not attack on
competitive)
แม้จะเกิดเคสนี้บ่อยที่ต่างประเทศในวงการโฆษณา ดูเป็นการ
แข่งขันที่ท้าทายและสนุกสนาน แต่ก็มักเป็นการบอกใบ้หรือบลัฟ
กันแบบอ้อมๆ เท่านั้น เพราะการกล่าวโจมตีคู่แข่งโดยตรง
อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาท และเป็นการใส่ร้ายแบรนด์อื่นๆ ได้ โดย
ยังไม่มีการพิสูจน์หรือมีหลักฐานได้
7. อย่าหัวเราะเยาะความวิกลจริต จิตทราม หรือพลาด
โอกาสของบุคคล (Do not ridicule the insane or the
feebleminded or misfortunes)
พฤติกรรมที่แปลกไปอันเกิดจากความไม่ตั้งใจของตัวบุคคล
ไม่ว่าจะเป็นเพราะการเจ็บป่วย ความเข้าใจผิด หรือแม้แต่การพลั้ง
พลาดใดๆ ก็ตาม ไม่ควรนำมาเล่าหรือถ่ายทอดเป็นเรื่องขำขัน
8. เคารพนับถือวัด โบสถ์ เชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์
ของบุคคล (Respect churches, nationalities
and races)
ความเชื่อนั้น ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล แม้จะนับถือไม่
เหมือนกัน ก็ควรเคารพและไม่ล่วงเกินในสิ่งที่คนอื่น
ยึดถือและศรัทธา คิดในทางกลับกัน เราก็ไม่ชอบใจ
หากสิ่งที่เราชื่ นชมถูกคนอื่ นล้อเลียนหรือแสดงความ
ไม่เคารพใช่ไหมล่ะ
9. แก้ไขข้อผิดพลาดที่พบในทันที (Be prompt in
correcting errors)
หากคอนเทนต์ที่เรานำเสนอไปแล้วนั้น ดันมีข้อผิด
พลาดขึ้น สิ่งที่ควรทำคือรีบแก้ไข ดูว่ามีใครได้รับความ
เสียหายจากข้อมูลที่ผิดบ้าง และดำเนินการชดเชยตาม
ความเหมาะสม เพื่อลดโอกาสในการเกิดความขัดแย้ง
10. จำไว้ว่าข่าวที่นำเสนอนั้น มีเยาวชนชาย
หญิงอ่านด้วย (Remember that the new
is read by young boys and girls)
Content Creator ทุกคนมีวิธีการสร้างคอนเทนต์
ของตัวเอง เพื่อสร้างการจดจำที่แตกต่างกัน
หลายคนเน้นไปที่การให้ข้อมูล ขณะที่หลายคนก็เน้น
ไปที่มู้ดและโทนในการถ่ายทอด จึงอาจจะมีการเผลอ
ใช้คำพูดที่รุนแรง หรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะ
สมออกมา แต่เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว ข้อมูลที่
ถ่ายทอดออกไปนั้น เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครจะได้รับ
สารเหล่านั้นบ้าง ดังนั้นก็ควรจะพิจารณาดูว่าคอน
เทนต์ที่เรากำลังจะสร้างอันตราย หรือต้องใช้
วิจารณญาณแค่ไหน หลีกเลี่ยงได้หรือไม่ หรือหาก
ถ่ายทำหรือสร้างไปแล้ว ก็อาจใช้วิธีการขึ้นป้ายเตือน
11.ไม่ควรขายข่าว ขายคอลัมน์เพื่อเงิน หรือ
ความพอใจส่วนตัว (Do not “sell” its news
colums for money or courtesies)
12. ละเว้นจากการเข้าร่วมพรรคการเมือง
(Refrain from allowing party politics)
13. ต้องบริการคนส่วนรวม มิใช่บริการคน
กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (Serve the whole
society, not just one “class”)
จรรยาบรรณ
การใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์
ให้ระมัดระวังการละเมิดหรือสร้าง
ความเสียหายให้ผู้อื่ น
ให้แหล่งที่มาของข้อความ ควรอ้างอิง
แหล่งข่าวได้
ไม่กระทำการรบกวนผู้อื่ นด้วยการ
โฆษณาเกินความจำเป็น
ดูแลและแก้ไขหากตกเป็นเหยื่อจาก
โปรแกรมอันไม่พึงประสงค์
เพื่ อป้องกันมิให้คนอื่ นเป็นเหยื่ อ
มารยาทที่พึงปฏืบัติร่วมกันใน
การใช้สื่อสังคมออนไลน์
ไม่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการทำร้าย
หรือรบกวนผู้อื่ น
ไม่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการทำผิด
กฎหมายหรือผิดศีลธรรมไม่เจาะ
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของ
ตนเองและผู้อื่ น
ไม่ใช้บัญชีอินเทอร์เน็ตของผู้อื่ น
และไม่ใช้เครือข่ายที่ไม่ได้รับ
อนุญาต
การติดต่อสื่ อสารกับผู้อื่ นบน
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตต้องให้
เกียรติซึ่งกันและกัน
จริยธรรมที่ดีในการใช้สื่อ
สังคมออนไลน์
ปัจจุบันมีสมาชิกเข้าใช้สังคมออนไลน์กันอย่างกว้างขวาง
ทุกเพศทุกวัย ดังนั้นทุกคนที่ใช้งานต้องมี วิจารณญาณในการ
เข้าใช้งาน มีจรรยาบรรณ มีคุณธรรมจริยธรรม ควบคู่กับการใช้
ลินดา เฮอร์นดอน (Linda Herndon) ได้กล่าวถึงบัญญัติ
สิบประการของการใช้คอมพิวเตอร์ไว้ ดังนั้นสามารถ นำมา
ประยุกต์ใช้กับการใช้งานสังคมออนไลน์อย่างมีคุณธรรม
จริยธรรม 7 ประการ ดังนี้
1. ไม่ใช้สังคมออนไลน์ท าร้ายผู้อื่น
2. ไม่ใช้สังคมออนไลน์รบกวนผู้อื่น
3. ไม่ใช้สังคมออนไลน์เพื่อการลักขโมย
4. ไม่ใช้สังคมออนไลน์เพื่อเป็นการเท็จหรือพยานเท็จ
5. ไม่ใช้สังคมออนไลน์ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
6. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของการใช้สังคมออนไลน์
7. ใช้สังคมออนไลน์ด้วยความใคร่ครวญและเคารพต่อผู้อื่น
กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อ
สังคมออนไลน์
ความหมายของกฏหมาย
กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ คำสั่ง หรือข้อบังคับ
ที่ถูกตั้งขึ้นโดยรัฐหรือผ็มีอำนาจสูงสุดเพื่อใช้
เป็นเครื่อง มือสำหรับดำเนินการให้บรรลุเป้า
หมายอย่างหนึ่งอย่างใดของสังคม และมี
สภาพบังคับเป็นเครื่องมือในการทำให้บุคคล
ในสังคมต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ คำสั่ง
หรือข้อบังคับนั้น
ที่มาของกฏหมาย
นักนิติศาสตร์ได้ศึกษาถึงแหล่งที่มาของกฎหมายอย่างกว้างขวาง และ
ในที่สุดสามารถสรุปได้ว่าในปัจจุบันมีแหล่งที่มาของกฎหมายอยู่ 10
ทางด้วยกัน กล่าวคือ
1. ขนบธรรมเนียม (Custom)
2. การออกกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติ (Legislation)
3. คำสั่งของฝ่ายบริหาร (executive Decree)
4. คำพิพากษาของศาล (Judicial Decisions)
5. บทความทางวิชาการกฎหมาย (Commentaries)
6. รัฐธรรมนูญ (Constitution)
7. สนธิสัญญา (Treaties)
8. ประมวลกฎหมาย (Condification)
9. ประชามติ (Referendum)
10. หลักความยุติธรรม (Equity)
จุดประสงค์และความสำคัญของกฏหมาย
จุดประสงค์ของการบัญญัติกฏหมายขึ้นมาก็เพื่อ จัด
ระเบียบให้กับสังคม ทั้งยังช่วรักษาความมั่นคงให้รัฐ ระงับข้อ
พิพาท ประสานผลประโยชน์ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม ช่วย
พัฒนาสังคมให้ก้าวหน้า โดยใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือในการ
รักษาระเบียบของสังคม เมื่อสังคมมีระเบียบจะทำให้ง่ายต่อการ
พัฒนาให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
จากจุดประสงค์ของการบัญญัติกฏหมายขึ้นมาข้างต้น สามารถ
สรุปความสำคัญของกฏหมายได้ดังนี้
เป็นเครื่องมือในการควบคุมและกำหนด
แนวทางพฤติกรรมของคนในสังคมให้เป็น
ระเบียบและเพื่อความสงบเรียบร้อย
เป็นเครื่องมือในการกำหนดและปกป้อง
คุ้มครองสิทธิเสรีภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ
และสังคมแก่ประชาชนในรัฐ
เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ต่างๆ ภายในรัฐ
เป็นเครื่องมือในการรักษาความปลอดภัยและ
ปกป้องอันตรายและภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับ
สังคมหรือรัฐ
เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์และพัฒนา
สังคมให้เจริญรุ่งเรืองฯ
กฎหมายและสื่อควบคุม
ประเภทสื่อ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
วิทยุและโทรทัศน์ พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.
2551
สิ่งพิมพ์ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุ
ภาพยนต์ กระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553
อินเทอร์เน็ต
พ.ร.บ. จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550
พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551
พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
สืบเนื่องจากพัฒนาการทางสังคมโลกอินเทอร์เน็ตตลอดจน
เทคโนโลยีที่มีความเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง กระแสความสนใจในเรื่อง
“Social Media” หรือ “สังคมออนไลน์” เป็นสิ่งที่สังคมให้ความสนใจและ
กล่าวถึงกันอย่างแพร่หลาย Social Media มีตั้งแต่ Blog Twitter
Facebook Youtube Photo Sharing, ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของ
แต่ละคนที่จะเลือกใช้ Social Media ในรูปแบบใด
บุคคลสาธารณะ คือ
บุคคลที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนทั่วไป ซึ่ง
บุคคลประเภทนี้ถือว่าได้สละสิทธิที่จะดำเนินชีวิตโดย
ปราศจากการสังเกตจับตามองของสื่อมวลชน และจะได้รับ
ความคุ้มครองทางกฎหมายในความเป็นส่วนตัวน้อยกว่า
บุคคลทั่วไป เช่น ดารา นักร้อง นักแสดง นักการเมือง
นักกีฬา
แต่ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ Social Media ด้วย
วัตถุประสงค์อะไร สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้ยังอาจขาดความระมัดระวัง
คือ เรื่องการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ “บุคคล
สาธารณะ (Public Figures)” ผ่านสื่อต่างๆ จึงเกิดคำถามว่า
คนทั่วไปสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นในเชิงวิพากษ์
วิจารณ์บุคคลเหล่านี้ได้หรือไม่ เพียงใดจึงจะไม่เป็นหมิ่น
ประมาท
โดยพื้นฐาน บุคคลทุกคนมี “สิทธิและเสรีภาพในการแสดง
ความคิดเห็น” ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้ให้การรับรอง
และคุ้มครองไว้อย่างชัดเจน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ.2550 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง
“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การ
เขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น...”
อย่างไรก็ดี มิใช่ว่าคุณมีสิทธิและเสรีภาพแล้ว คุณจะใช้ได้อย่าง
เสรีเสียจนไร้ขอบเขต กฎหมายจะให้ความคุ้มครองแต่เฉพาะการ
แสดงความคิดเห็นที่อยู่บนพื้นฐานของความสุจริตและต้องไม่
เป็นการใช้สิทธิของตนเองไปละเมิดสิทธิของผู้อื่ นด้วย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ.2550 มาตรา 35
“สิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง ตลอดจน
ความเป็นอยู่ส่วนตัว ย่อมได้รับความคุ้มครอง
การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความหรือภาพไม่ว่าด้วย
วิธีใดไปยัง สาธารณชน อันเป็นการละเมิดหรือกระทบถึงสิทธิ
ของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่
ส่วนตัว จะกระทำมิได้ เว้นแต่กรณีที่เป็นประโยชน์ต่อ
สาธารณะ...”
เพราะแม้ว่าบุคคลสาธารณะจะเป็นบุคคลที่สังคมให้ความ
สนใจและสามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่จะต้องไม่ลืมว่า ใน
ความเป็นบุคคลสาธารณะนั้น เขายังมีอีกสถานะหนึ่ง
คือ“ความเป็นบุคคล” ไม่ต่างจากคนทั่วๆไป ที่ย่อมมีสิทธิที่จะได้
รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน
แหล่งอ้างอิง
http://smforedu.blogspot.com
https://sites.google.com
https://www.presscouncil.or.th
https://college.rmutl.ac.th
https://sites.google.com
https://lifestyle.campus-star.com
https://sites.google.com
https://tcsd.go.th
http://www.satit.up.ac.th
Thank you for
listening!