การเผาในพื้นที่การเกษตรเป็นปัญหาส าคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคุณภาพชีวิต ของประชาชนในวงกว้าง แม้ว่าการเผาจะเป็นวิธีที่เกษตรกรใช้มาอย่างยาวนานเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ก าจัดวัชพืช และเศษซากพืช แต่วิธีการดังกล่าวก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจและหัวใจ ปัญหามลพิษจากการเผาในพื้นที่การเกษตรทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดสภาวะ หมอกควันปกคลุมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคที่มีจุดความร้อน (Hot spot) ที่มีความปกติอยู่ในล าดับต้นๆ ของประเทศ ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อสุขภาพประชาชนแล้ว ยังส่งผลต่อ การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในภาพรวม อีกทั้งการเผาในพื้นที่การเกษตรยังเป็นสาเหตุส าคัญของการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก การแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตร จ าเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการส่งเสริมและ สนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ไปสู่แนวทางที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการไถกลบตอซัง การผลิตปุ๋ยหมัก การท าเชื้อเพลิงชีวมวล หรือการสร้างมูลค่าเพิ่ม จากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เอกสารฉบับนี้มุ่งน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุและผลกระทบของการเผาในพื้นที่ทางการเกษตร แนวทาง มาตรการ และนโยบายในการแก้ไขปัญหาของการเผาในพื้นที่การเกษตร และผลได้จากการลดการเผา ในภาคเกษตร และตัวอย่างผลการศึกษาการน าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบของการเผา และส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกรไปสู่ การท าการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อันจะน าไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน และการพัฒนาภาคการเกษตรที่ยั่งยืนของประเทศไทยต่อไป ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 3
สารบัญ หน้า บทที่ 1 บทน า 1 ⚫ ความส าคัญของปัญหา ⚫ สาเหตุและผลกระทบของการเผาในพื้นที่การเกษตร บทที่2 แนวทางการแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตร 6 ⚫ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ⚫ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร บทที่ 3 นโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา 11 ⚫ มาตรการทางกฎหมายและการบังคับใช้ ⚫ มาตรการจูงใจ ⚫ โครงการส าคัญของรัฐบาล ⚫ ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่อง มาตรการบริหารการจัดการป้องกัน และแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) บทที่ 4 ประโยชน์จากการลดการเผาในภาคการเกษตร 13 ⚫ ด้านสิ่งแวดล้อม ⚫ ด้านเศรษฐกิจ ⚫ ด้านสุขภาพ ⚫ ด้านภาพลักษณ์ของประเทศ บทที่5 ตัวอย่างวิธีการสร้างรายได้เพิ่มจากการไม่เผาพื้นที่ทางการเกษตร 15 ⚫ ฟางข้าว บรรณานุกรม 22
1.1 ความส าคัญของปัญหา การเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในไร่นา เช่น ฟางและตอซังข้าว ใบอ้อย และตอซังข้าวโพดเป็นสาเหตุหนึ่ง ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร ในรายงานความก้าวหน้ารายสองปีฉบับที่ 4 (Forth Biennial Update Report) (ส านักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2566) ระบุว่า เมื่อปี 2562 ภาคเกษตร ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 56.8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยเป็นการปล่อยที่มาจากกิจกรรมการเผาวัสดุ เหลือใช้ทางการเกษตร 1.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือร้อยละ 2.5 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งหมดของภาคเกษตร (ส านักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2566) ถึงแม้ว่าการเผาวัสดุ เหลือใช้ทางการเกษตรจะปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นสัดส่วนที่ต ่าเมื่อเทียบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมอื่น แต่การเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองและหมอกควันที่สร้างผลกระทบทางลบ ต่อสังคมไทยหลายประการ เช่น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการป้องกันมลพิษทางอากาศของคนในชุมชน ความเสียหาย ต่อสุขภาพหรือการเจ็บป่วยของคนในชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง น ามาซึ่งการสูญเสียโอกาสในการท างานและหารายได้ ซึ่งส่งผลต่อการลดทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวในที่สุด (Tantiwat etal., 2021) และแม้ว่า ประเทศไทยยังไม่มีการศึกษาเพื่อประเมินมูลค่าความเสียหายทางศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้น จากฝุ่นละอองและหมอกควัน จากสาเหตุการเผาในภาคเกษตร แต่การศึกษาของ Attavanich (2021) พบว่า ในปี2562 ครัวเรือนไทยได้รับ ความเสียหายของจากฝุ่น PM 2.5 ที่มาจากทุกแหล่งก าเนิด รวมทั้งจากการเผาของภาคเกษตร มีมูลค่าสูงถึง 2.173 ล้านล้านบาท รายงานของส านักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ระหว่างปี2563 - 2566 พบว่า สถานการณ์การเผาวัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตรยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากข้อมูล จ านวนจุดความร้อน ซึ่งจ าแนกตามการใช้ประโยชน์ที่ดิน พบว่า ในปี2566 มาจากพื้นที่ป่าไม้ร้อยละ 70 จากพื้นที่เกษตร ร้อยละ 26 และจากพื้นที่อื่น ๆ เช่น ชุมชน และริมทางหลวง ร้อยละ 4 และเมื่อพิจารณาจุดความร้อนเฉพาะพื้นที่เกษตร พบว่า ในปี2566 จ านวนจุดความร้อนจากการเผาในพื้นที่เกษตรเพิ่มขึ้นจากปี2564 และ 2565 ถึงร้อยละ 12 และร้อยละ 84 ตามล าดับ ในจ านวนนี้โดยเป็นการเผาจากพื้นที่นาข้าวมากที่สุด หรือร้อยละ 39 รองลงมาเป็น ข้าวโพดและพืชไร่หมุนเวียน ร้อยละ 24 จากไร่อ้อย ร้อยละ 9 และพื้นที่เกษตรอื่น ๆ ร้อยละ 28 สถานการณ์การเผาในพื้นที่เกษตรที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่า กฎหมาย มาตรการ และแนวทางที่ใช้ อยู่ในปัจจุบัน อาจยังไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจให้เกษตรกรลดหรือการหยุดการเผาได้ และแม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมาย เพื่อควบคุมการเผาในที่โล่ง ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 ที่ก าหนดโทษของการเผา ในพื้นที่เกษตรกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกิน 7 ปี บทที่1 บทน า 1
และปรับไม่เกิน 140,000 บาท แต่ในทางปฏิบัติกฎหมายดังกล่าวแทบจะไม่ถูกน ามาบังคับใช้ได้จริงในพื้นที่เกษตรกรรม (Sereenonchai and Arunrat, 2022) เนื่องจากเหตุผลว่า เกษตรกรถือเป็นผู้มีความเปราะบาง ดังนั้น ภาครัฐ จึงได้ด าเนินมาตรการบังคับใช้ทางกฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมการส่งเสริมการน าเครื่องจักรและเทคโนโลยี มาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และการเสริมสร้างความรู้ให้กับเกษตรกรเกี่ยวกับผลกระทบ จากการเผา และการใช้วิธีการที่ยั่งยืนในการจัดการวัสดุการเกษตร โดยในเนื้อหาฉบับนี้ ประกอบด้วย เนื้อหาส าคัญ ได้แก่ สาเหตุและผลกระทบของการเผาในพื้นที่ทางการเกษตร แนวทางการแก้ไขปัญหาของการเผาในพื้นที่การเกษตร นโยบายและมาตรการรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการเผาพื้นที่ทางการเกษตร ผลได้จากการลดการเผาในภาคเกษตร และตัวอย่างผลการศึกษาการน าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร 1.2 สาเหตุและผลกระทบของการเผาในพื้นที่การเกษตร การเผาในพื้นที่การเกษตรเกิดจากหลายปัจจัยที่ส าคัญ ดังนี้ 1) การก าจัดเศษวัสดุทางการเกษตรอย่างรวดเร็ว เกษตรกรมักเลือกวิธีการเผาเพราะเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดในการก าจัดเศษซากพืช เช่น ฟางข้าว ตอซังข้าว หรือเศษวัชพืชต่างๆ หลังการเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะเมื่อต้องเตรียมพื้นที่เพาะปลูกรอบใหม่ในเวลาอันจ ากัด การเผา ท าให้พื้นที่สะอาดและพร้อมส าหรับการเพาะปลูกครั้งต่อไปได้ทันที 2) ความเชื่อเรื่องการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน เกษตรกรหลายพื้นที่ยังมีความเชื่อแบบดั้งเดิมว่าการเผาจะช่วยปลดปล่อยแร่ธาตุในเศษวัสดุการเกษตรลงสู่ดิน ท าให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น เถ้าที่เกิดจากการเผาจะกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติและยังเชื่อว่าความร้อนจากการเผา ช่วยก าจัดเชื้อโรคและแมลงศัตรูพืชในดิน แม้ว่าในความเป็นจริงการเผาจะท าลายจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน และลดความอุดมสมบูรณ์ในระยะยาว 2
3) ต้นทุนต ่าเมื่อเทียบกับวิธีอื่น การเผาเป็นวิธีที่มีต้นทุนต ่าที่สุดเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่นๆ เช่น การไถกลบ ซึ่งต้องใช้เครื่องจักรกลการเกษตร ที่มีค่าใช้จ่ายทั้งค่าเช่าเครื่อง ค่าน ้ามัน และค่าแรงงาน หรือการน าเศษวัสดุไปแปรรูปที่ต้องมีต้นทุนในการขนส่ง และการจัดการ ดังนั้น การเผาจึงเป็นวิธีการที่เร็วที่สุด และแทบไม่มีต้นทุนและประหยัดเวลาท างาน ท าให้เกษตรกร ที่มีรายได้น้อยมักเลือกวิธีนี้ 4) การขาดความรู้และทางเลือกในการก าจัดวัสดุการเกษตร เกษตรกรหลายรายไม่มีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวของการเผา และไม่ทราบถึงทางเลือกอื่น ในการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร นอกจากนี้ในหลายพื้นที่ยังขาดเทคโนโลยีและเครื่องมือที่เหมาะสมส าหรับการจัดการเศษวัสดุ โดยไม่ใช้ไฟหรือการเข้าถึงตลาดรับซื้อวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรยังมีจ ากัด ท าให้การเผายังคงเป็นทางออกที่ง่ายที่สุดส าหรับเกษตรกร สาเหตุเหล่านี้ต่างเชื่อมโยงกันและเป็นปัจจัยที่ท าให้การเผาในพื้นที่การเกษตรยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยาก จ าเป็นต้องมีการแก้ไขแบบบูรณาการทั้งด้านความรู้เทคโนโลยีเศรษฐกิจ และสังคม 1.3 ผลกระทบที่ส าคัญของการเผาในพื้นที่การเกษตร 1) มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 การเผาในพื้นที่การเกษตรก่อให้เกิดการปล่อยอนุภาคฝุ่นละอองขนาดเล็กสู่บรรยากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก เนื่องจาก 1.1) คุณสมบัติของฝุ่น PM 2.5: มีขนาดเล็กมาก จนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า สามารถลอยตัว อยู่ในอากาศได้นาน และแพร่กระจายในระยะไกล 1.2) องค์ประกอบอันตราย: นอกจากฝุ่นละอองแล้ว การเผายังปล่อยสารพิษหลายชนิด เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์(SO2) และสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) 1.3) ความรุนแรงตามฤดูกาล: ในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือ ช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน มักเกิดวิกฤตหมอกควัน เนื่องจาก เป็นช่วงที่มีการเผาเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ประกอบกับสภาพอากาศที่นิ่ง ความชื้นต ่า ท าให้มลพิษสะสมในอากาศ 1.4) การเกินค่ามาตรฐาน: ในช่วงวิกฤต ค่า PM 2.5 ในหลายพื้นที่สูงเกินมาตรฐานความปลอดภัย ที่องค์การอนามัยโลกก าหนด (ไม่ควรเกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในเวลา 24 ชั่วโมง) บางครั้งสูงถึง 5-10 เท่าของค่ามาตรฐาน 2) ผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน (โรคระบบทางเดินหายใจ) มลพิษจากการเผาส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ ของประชาชน โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ ดังนี้ 2.1) ผลกระทบเฉียบพลัน: การระคายเคืองตา จมูก ล าคอ การไอ หายใจล าบาก แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ 2.2) ผลกระทบระยะยาว: โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ภูมิแพ้ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และหลอดเลือด และมะเร็งปอด 3
2.3) กลุ่มเสี่ยง: เด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์และผู้ที่มีโรคประจ าตัวอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบรุนแรง 2.4) ภาระทางสาธารณสุข: ในช่วงวิกฤตฝุ่น โรงพยาบาลและสถานพยาบาล มีผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญ เพิ่มภาระให้ระบบสาธารณสุข 2.5) ข้อมูลทางสถิติ: จากการศึกษาพบว่า ช่วงที่มีค่า PM 2.5 สูง จ านวนผู้ป่วยทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น 20-30% และมีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้นเช่นกัน 3) ความเสียหายต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ การเผาในพื้นที่การเกษตรส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อระบบนิเวศโดยรอบ ดังนี้ 3.1) ท าลายสิ่งมีชีวิตในดิน: จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน ไส้เดือน แมลงที่ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุ ถูกท าลายจากความร้อน ท าให้กระบวนการตามธรรมชาติถูกรบกวน 3.2) ผลกระทบต่อแมลงผสมเกสร: แมลงผสมเกสรเช่น ผึ้ง ผีเสื้อ ซึ่งมีความส าคัญต่อการขยายพันธุ์พืช ได้รับผลกระทบจากควันพิษและการสูญเสียที่อยู่อาศัย 3.3) อันตรายต่อสัตว์ป่า: การเผาท าให้สัตว์ป่าขนาดเล็กเสียชีวิตโดยตรง และกระทบต่อแหล่งอาหาร ของสัตว์ขนาดใหญ่ 3.4) การลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ: พื้นที่ที่ถูกเผาซ ้าซากมักมีชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ลดลง เนื่องจากเหลือเพียงชนิดที่ทนไฟได้การรบกวนระบบนิเวศป่าไม้: เมื่อไฟลุกลามจากพื้นที่เกษตรไปยังพื้นที่ป่าสามารถท าลาย ระบบนิเวศป่าไม้ที่มีความซับซ้อนและใช้เวลาฟื้นฟูยาวนาน 4) ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน การเผาในพื้นที่การเกษตรน าไปสู่ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน ที่ซับซ้อน และส่งผลกระทบในวงกว้าง ดังนี้ 4.1) การแพร่กระจายในวงกว้าง: หมอกควันจากการเผา สามารถเคลื่อนตัวได้ไกลหลายร้อยกิโลเมตร ขึ้นอยู่กับทิศทางลมและสภาพอากาศ 4.2) ปัญหาระดับภูมิภาค: ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบร่วมกัน โดยเฉพาะไทย เมียนมา ลาว กัมพูชา และ เวียดนาม ในฤดูการเผา 4.3) ความท้าทายในการแก้ปัญหา: ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ การบังคับใช้กฎหมาย และนโยบายที่สอดคล้องกัน 4.4) ความขัดแย้งระหว่างประเทศ: บางครั้งน าไปสู่ความตึงเครียด ทางการทูต เมื่อประเทศหนึ่งได้รับผลกระทบจากการเผาในอีกประเทศหนึ่ง 4.5) ข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน : แม้จะมีข้อตกลงระดับภูมิภาคแล้ว แต่การบังคับใช้ยังมีข้อจ ากัด 4
5) การสูญเสียธาตุอาหารในดินและความเสื่อมโทรมของดินในระยะยาว แม้การเผาจะดูเหมือนวิธีที่ง่ายและประหยัด แต่ส่งผลเสียต่อคุณภาพดินของดิน ในระยะยาว ดังนี้ 5.1) การสูญเสียอินทรียวัตถุ: การเผาท าให้อินทรียวัตถุในดินถูกท าลาย ทั้งที่อินทรียวัตถุเป็นส่วนส าคัญ ในการอุ้มน ้าและเก็บรักษาธาตุอาหารในดิน 5.2) การสูญเสียธาตุอาหารหลัก: ไนโตรเจนและซัลเฟอร์ระเหยไปกับควันไฟ ท าให้ดินสูญเสียธาตุอาหารหลัก ที่จ าเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดิน: ความร้อนจากการเผาท าให้อนุภาคดินแน่นตัว ลดช่องว่างในดิน ส่งผลให้การระบายน ้าและอากาศในดินแย่ลง 5.3) การเพิ่มความเป็นกรด-ด่างของดิน: เถ้าจากการเผามีฤทธิ์เป็นด่าง ท าให้ค่า pH ของดินเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชและกิจกรรมของจุลินทรีย์ 5.4) การพังทลายของดิน: เมื่อเผาจนพื้นที่โล่งเตียน ดินมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกชะล้างเมื่อเกิดฝนตก โดยเฉพาะในพื้นที่ลาดชัน 5.5) ต้นทุนการฟื้นฟู: ต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากในการฟื้นฟูคุณภาพดินที่เสื่อมโทรมจากการเผาซ ้าๆ ต้องเพิ่มการใช้ปุ๋ย ทั้งอินทรีย์และเคมีเพื่อทดแทนธาตุอาหารที่สูญเสียไป ผลกระทบเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การเผาในพื้นที่การเกษตรส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อสุขภาพมนุษย์สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงจ าเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องมีการบูรณาการมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง 5
2.1 การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร 1) การไถกลบตอซังแทนการเผา การไถกลบตอซังเป็นวิธีการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีประโยชน์ต่อดินในระยะยาว 1.1) กระบวนการและเทคโนโลยีที่ใช้ (1) เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ - เครื่องไถกลบตอซัง (Stubble Incorporation Machine) เครื่องจักรที่ออกแบบ มาเฉพาะส าหรับการตัดและฝังกลบเศษซากพืช - เครื่องไถดินแบบจาน (Disk Plough) ช่วยตัดและพลิกกลับเศษวัสดุลงใต้ดิน - เครื่องไถดินแบบผาล (Moldboard Plough) เหมาะส าหรับพลิกกลับหน้าดิน และฝังกลบเศษวัสดุได้ลึก - ไถระเบิดดินดาน (Subsoiler) ช่วยเพิ่มการระบายน ้าและอากาศในดินหลังการไถกลบ (2) ขั้นตอนการไถกลบ (2.1) การเตรียมพื้นที่โดยการตัดเศษซากพืชให้มีขนาดเล็กลง (2.2) การไถกลบเศษวัสดุลงในดินที่ความลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร (2.3) การปล่อยให้เศษวัสดุย่อยสลายตามธรรมชาติก่อนการเพาะปลูกรอบใหม่ (ประมาณ 2-4 สัปดาห์) 1.2) ประโยชน์ของการไถกลบตอซัง (1) ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรม - เพิ่มอินทรียวัตถุในดินซึ่งช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน - เพิ่มความสามารถในการอุ้มน ้าของดิน ลดการระเหยของน ้า - เพิ่มธาตุอาหารในดินจากการย่อยสลายของเศษวัสดุ(ฟางข้าว 1 ตัน มีธาตุไนโตรเจน 5-8 กิโลกรัม ฟอสฟอรัส 1-2 กิโลกรัม และโพแทสเซียม 10-15 กิโลกรัม) - ส่งเสริมกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน เช่น แบคทีเรียย่อยสลาย และเชื้อราไมคอร์ไรซา บทที่2 แนวทางการแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตร 6
(2) ประโยชน์ทางด้านสิ่งแวดล้อม - ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับการเผา - ลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ - เพิ่มปริมาณคาร์บอนในดิน (Carbon Sequestration) ช่วยลดภาวะโลกร้อน 1.3) ข้อจ ากัดและแนวทางการส่งเสริม (1) ข้อจ ากัด - ต้นทุนสูงในการซื้อหรือเช่าเครื่องจักร โดยเฉพาะส าหรับเกษตรกรรายย่อย - ใช้เวลานานกว่าการเผา (ประมาณ 2-4 สัปดาห์ส าหรับการย่อยสลาย) - อาจเป็นแหล่งสะสมของโรคและแมลงศัตรูพืชหากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม (2) แนวทางการส่งเสริม - โครงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต ่าส าหรับการซื้อเครื่องจักร - การจัดตั้งธนาคารเครื่องจักรกลการเกษตรในชุมชน - การอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการไถกลบที่ถูกต้อง 2) การใช้เครื่องย่อยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร การย่อยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการจัดการซากพืชอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการลดขนาดเพื่อเร่งการย่อยสลายหรือการน าไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น 2.1) ประเภทของเครื่องย่อยและการท างาน (1) เครื่องย่อยวัสดุแบบต่างๆ - เครื่องสับย่อย (Shredder) เหมาะส าหรับวัสดุที่มีเนื้ออ่อน เช่น ใบพืชเศษพืชผัก - เครื่องบดย่อย (Grinder) เหมาะส าหรับวัสดุที่แข็งกว่า เช่น กิ่งไม้ล าต้นพืช - เครื่องบดแบบค้อน (Hammer Mill) มีประสิทธิภาพสูงในการบดย่อยวัสดุ ที่แข็งให้มีขนาดเล็กมาก - เครื่องอัดฟาง (Baler) ไม่ใช่เครื่องย่อยแต่ช่วยในการรวบรวมและอัดเศษวัสดุ ให้เป็นก้อนเพื่อสะดวกในการขนย้าย (2) ระดับของเทคโนโลยี - แบบพกพา ขนาดเล็ก เหมาะส าหรับครัวเรือนหรือเกษตรกรรายย่อย ราคาประมาณ 5,000-30,000 บาท 7
- แบบติดรถแทรกเตอร์เหมาะส าหรับพื้นที่ขนาดกลาง ท างานได้รวดเร็ว ราคาประมาณ 50,000-200,000 บาท - แบบอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ ก าลังผลิตสูง เหมาะส าหรับการใช้งานในระดับชุมชน หรืออุตสาหกรรม ราคาตั้งแต่200,000 บาทขึ้นไป 2.2) การน าวัสดุที่ย่อยแล้วไปใช้ประโยชน์ (1) การใช้ประโยชน์ในพื้นที่เกษตร - วัสดุคลุมดิน (Mulch) ช่วยลดการระเหยของน ้า ควบคุมวัชพืช และรักษาอุณหภูมิดิน - วัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยหมัก - วัสดุปรับปรุงดินโดยตรง ช่วยเพิ่มการระบายน ้าและอากาศในดิน (2) การใช้ประโยชน์ด้านอื่น - วัตถุดิบส าหรับท าเชื้อเพลิงอัดแท่ง (Pellet) - วัตถุดิบส าหรับเพาะเห็ด - วัสดุรองพื้นในการเลี้ยงสัตว์ 2.3) ข้อดีและข้อจ ากัด (1) ข้อดี - เร่งกระบวนการย่อยสลายวัสดุการเกษตร - สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศษวัสดุทางการเกษตร - ลดพื้นที่ในการจัดเก็บเศษวัสดุ - ลดความเสี่ยงในการเกิดเพลิงไหม้จากการกองเศษวัสดุ (2) ข้อจ ากัด - ต้นทุนในการซื้อหรือเช่าเครื่องย่อย - ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในการท างานของเครื่อง - ต้องการแรงงานในการจัดการและดูแลรักษาเครื่อง 3) การน าวัสดุเหลือใช้มาแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือวัสดุปรับปรุงดิน การแปรรูปวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือวัสดุปรับปรุงดินเป็นการใช้ประโยชน์ สูงสุดจากวัสดุเหลือใช้และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร (1) เทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ (1.1) การท าปุ๋ยหมัก (Composting) - วิธีกองปุ๋ยแบบธรรมดา การน าวัสดุมากองเป็นชั้นๆ สลับกับมูลสัตว์หรือเศษอาหาร - การท าปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกลับกอง ใช้ท่อพีวีซีเจาะรูเพื่อเพิ่มการระบายอากาศ 8
- การท าปุ๋ยหมักด้วยไส้เดือน (Vermicomposting) ใช้ไส้เดือน ช่วยย่อยสลายวัสดุอินทรีย์ - เทคโนโลยีการหมักแบบเร่งด่วน ใช้เครื่องหมักที่ควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นสามารถผลิตปุ๋ยได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ (1.2) การผลิตน ้าหมักชีวภาพ - น ้าหมักจากเศษพืช ใช้เศษพืชหมักร่วมกับกากน ้าตาล - น ้าหมักจากเศษผลไม้มีธาตุอาหารและฮอร์โมนพืชสูง - น ้าหมักปลา มีธาตุไนโตรเจนสูง เหมาะส าหรับการเร่งการเจริญเติบโตของพืช (1.3) การผลิตถ่านชีวภาพ (Biochar) -เตาเผาถ่านชีวภาพแบบลดควัน เตาที่ออกแบบให้เกิดการเผาไหม้แบบจ ากัดออกซิเจน - ถ่านชีวภาพจากฟางข้าว มีคุณสมบัติในการดูดซับและกักเก็บธาตุอาหาร - ถ่านชีวภาพผสมปุ๋ยหมัก (Compost-Biochar Mixture) เพิ่มประสิทธิภาพ ของปุ๋ยหมัก (2) ประโยชน์ของการแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ (2.1) ประโยชน์ต่อเกษตรกร - ลดต้นทุนการซื้อปุ๋ยเคมี(เกษตรกรสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้30-50%) - ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารเคมีสามารถจ าหน่ายในราคาที่สูงขึ้น - สร้างรายได้เสริมจากการจ าหน่ายปุ๋ยอินทรีย์หรือน ้าหมักชีวภาพ (2.2) ประโยชน์ต่อดินและสิ่งแวดล้อม - เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน - เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น ้าในการเกษตร - เพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน - ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับการเผา - ช่วยในการกักเก็บคาร์บอนในดิน (ถ่านชีวภาพสามารถกักเก็บคาร์บอน ได้นานหลายร้อยปี) การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านื้ในการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร แทนการเผาไม่เพียงช่วยลดมลพิษทางอากาศ แต่ยังสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ในระยะยาว ซึ่งจะน าไปสู่ความยั่งยืนในภาคการเกษตรของประเทศไทย 9
2.2 การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมีศักยภาพสูงในการน ามาแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาขยะ ทางการเกษตรแต่ยังสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรอีกด้วย ต่อไปนี้คือวิธีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร : 1) การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ - การแปรรูปเป็นหัตถกรรม เช่น การน าฟางข้าว ใบไม้หรือเปลือกผลไม้มาท าเป็นงานหัตถกรรม กระดาษหรือบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม - ผลิตภัณฑ์จากเส้นใยธรรมชาติการน าเส้นใยจากต้นกล้วย ต้นปอ หรือเส้นใยมะพร้าว มาทอเป็นผ้าหรือผลิตภัณฑ์สิ่งทอ 2) การใช้ประโยชน์ทางพลังงาน - ไบโอแก๊ส การหมักวัสดุเหลือใช้เช่น มูลสัตว์เศษพืช เพื่อผลิตก๊าซชีวภาพใช้ในครัวเรือน หรือชุมชน - เชื้อเพลิงอัดแท่ง การน าเศษวัสดุเหลือใช้เช่น แกลบ ซังข้าวโพด มาอัดเป็นแท่งเชื้อเพลิง ทดแทนฟืนหรือถ่าน 3) การใช้ประโยชน์ทางการเกษตร - ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยหมัก การน าเศษพืช มูลสัตว์มาหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง - วัสดุปรับปรุงดิน การใช้แกลบ ขี้เลื่อย หรือขุยมะพร้าวเป็นวัสดุปรับโครงสร้างดิน 4) นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง - การผลิตวัสดุชีวภาพ เช่น พลาสติกชีวภาพจากแป้งมันส าปะหลังหรือข้าวโพด - สารสกัดมูลค่าสูง การสกัดสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากเศษเหลือทางการเกษตร เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องส าอางหรือยา การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ไม่เพียงแต่สร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกร แต่ยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม จากการเผาท าลาย และส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาที่ยั่งยืน ในภาคการเกษตรอีกด้วย 10
3.1 มาตรการทางกฎหมายและการบังคับใช้ - พระราชบัญญัติการสาธารณสุข มาตรา 25 ว่าด้วยการควบคุมเหตุร าคาญ รวมถึงการเผา ที่อาจก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ โดยให้อ านาจเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการสั่งระงับเหตุและด าเนินการแก้ไขได้ - พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ว่าด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่า ก าหนดบทลงโทษผู้จุดไฟ เผาป่า และระบุวิธีการจัดการพื้นที่ป่าเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดไฟป่า - การประกาศเขตห้ามเผาในพื้นที่วิกฤตของชุมชน โดยการก าหนดพื้นที่ควบคุมพิเศษที่ห้าม มีการเผาโดยเด็ดขาด มีการตรวจตราและลงโทษผู้ฝ่าฝืนอย่างเข้มงวด - การใช้มาตรการ Single Command เชื่อมบูรณาการการแก้ไขปัญหาระหว่างหน่วยงานต่างๆ ให้มีเอกภาพ ในการบริหารจัดการ มีศูนย์สั่งการเดียวเพื่อความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา 3.2 มาตรการจูงใจ - โครงการส่งเสริมสินเชื่อดอกเบี้ยต ่าส าหรับการซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรทดแทนการเผา ช่วยให้เกษตรกร เข้าถึงเครื่องจักรที่ช่วยจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรโดยไม่ต้องเผา - การให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ชุมชนที่สามารถลดการเผาได้ สร้างแรงจูงใจให้ชุมชนร่วมกันดูแล และตรวจตราไม่ให้มีการเผาในพื้นที่ - การรับซื้อเศษวัสดุทางการเกษตรในราคาที่เหมาะสม ช่วยสร้างมูลค่าให้กับเศษวัสดุเหลือใช้ ท าให้เกษตรกรเห็นประโยชน์จากการไม่เผา - มาตรการสนับสนุนตลาดเกษตรที่ผลิตวัสดุเหลือใช้ในแปรรูป ส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ที่ใช้วัสดุเหลือทางการเกษตรเป็นวัตถุดิบ 3.3 โครงการส าคัญของรัฐบาล - โครงการชุมชนปลอดการเผา สนับสนุนให้ชุมชนบริหารจัดการปัญหาการเผาด้วยตนเอง โดยมีการจัดตั้ง คณะกรรมการระดับชุมชนเพื่อเฝ้าระวังและป้องกัน - โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อลดการเผาในพื้นที่ เกษตรกรรม พัฒนาระบบการจัดการวัสดุเหลือใช้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การเก็บรวบรวม การขนส่ง และการน าไปใช้ ประโยชน์ - โครงการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและการผลิตที่เป็นมิตร ส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิตที่ลดการเกิด ของเสียและมลพิษ รวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยจัดการเศษวัสดุ - แผนปฏิบัติการชุมชนต้นแบบระดับชาติ "การแก้ไขปัญหาหมอกควันด้วยต้นเองของชุมชน สร้างชุมชนต้นแบบในการจัดการปัญหาหมอกควันอย่างยั่งยืน และขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ บทที่ 3 นโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา 11
3.4 ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง มาตรการบริหารการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ขนาดเล็ก ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ก าหนดแนวทางปฏิบัติส าหรับหน่วยงานในสังกัดและเกษตรกรในการลดปริมาณฝุ่นละออง ขนาดเล็กที่เกิดจากกิจกรรมทางการเกษตร โดยเฉพาะการเผาในพื้นที่เกษตร มาตรการส าคัญตามประกาศ: 1. วันที่ 17 มกราคม 2568 - 31 พฤษภาคม 2568 "ห้ามเผาในพื้นที่เกษตรทุกชนิด" เพื่อป้องกัน การเกิดมลพิษทางอากาศในช่วงที่สภาพอากาศมีแนวโน้มท าให้เกิดการสะสมของฝุ่นละออง 2. เกษตรกรที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว จะไม่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการสนับสนุนหรือช่วยเหลือต่างๆ เพื่อเป็นมาตรการบังคับทางอ้อมให้เกษตรกรปฏิบัติตาม 3. ให้หน่วยงานทุกหน่วยขยายพื้นที่และส่งเสริมโครงการที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพ เกษตรกร ท าหน้าที่ผลักดันให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมว่า "ต้องไม่เป็นผู้ที่ปฏิบัติผิดการห้ามเผาในพื้นที่การเกษตร ตามประกาศนี้" ประกาศ ณ วันที่ 17 ม.ค. 68 หมายเหตุ: • “การเผาในพื้นที่การเกษตร” หมายความว่า การเผาที่เกิดจากการกระท าของเกษตรกร หรือใช้ หรือก่อให้ผู้อื่นเผาในพื้นที่การเกษตรของตน หรือพื้นที่การเกษตรที่เกษตรกรมีสิทธิครอบครองหรือใช้ ประโยชน์ในที่ดินในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2568 - 31 พฤษภาคม 2568 • “โครงการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพเกษตรกร” หมายความว่า มาตรการ โครงการ กิจกรรม หรือการด าเนินงานอื่นใดที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือหน่วยงานในสังกัดจัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนหรือส่งเสริมการพัฒนาด้านการเกษตร และช่วยเหลือเกษตรกรทุกโครงการ ยกเว้นการช่วยเหลือ เกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร "เกษตรกรยุคใหม่ หยุดเผาวันนี้ ผลผลิตดี รายได้เพิ่ม" 12
การลดการเผาในภาคการเกษตรมีความส าคัญอย่างยิ่ง ถือเป็นการสร้างอนาคตการเกษตรที่ยั่งยืนให้แก่ ประเทศ ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการไม่เผาในพื้นที่ทางการเกษตร ประกอบด้วย ด้านสิ่งแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ ด้านสุขภาพ และด้านภาพลักษณ์ของประเทศ ดังนี้ 4.1 ด้านสิ่งแวดล้อม 4.1.1 การลดมลพิษทางอากาศ การเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชน การลดการเผาจะช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศท าให้ อากาศสะอาดขึ้น ส่งผลให้ประชาชนในประเทศคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 4.1.2 การชะลอภาวะโลกร้อน การเผาท าให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์(CO2) และมีเทน (CH4) เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน การลดการเผาจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ซึ่งจะช่วยชะลอ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงขึ้น และเกิดภัยธรรมชาติที่เป็นผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4.1.3 การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การเผาเป็นการท าลายที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืช รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น จุลินทรีย์ซึ่งการ ลดการเผาจะช่วยรักษาระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งจุลินทรีย์ยังช่วยท าให้ดินมีคุณภาพ โดยมี ธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ส่งผลให้พืชที่ปลูกบนดินที่ดีมีความเจริญงอกงามตามไปด้วย 4.2 ด้านเศรษฐกิจ 4.2.1 การเพิ่มมูลค่าทางการเกษตร หากไม่ท าการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เกษตรกรสามารถน ามาใช้ประโยชน์เพื่อสร้าง มูลค่าให้มากขึ้น เช่น การน าฟางข้าวไปเพาะเห็ดและเป็นอาหารสัตว์การท าปุ๋ยชีวภาพ การน าไปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรมากขึ้น บทที่ 4 ประโยชน์จากการลดการเผาในภาคการเกษตร 13
4.2.2 การสร้างงาน สร้างรายได้ การส่งเสริมการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้อย่างยั่งยืนจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และการแปรรูปเศษวัสดุเหลือใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าจะสร้างงานและรายได้ให้กับชุมชน ช่วยลดความเหลื่อมล ้า ทางเศรษฐกิจและสังคมลงได้รวมทั้งเพิ่มความร่วมมือกันในการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้เสริมสร้างความสามัคคีและ ความเข้มแข็งในชุมชนให้มากขึ้น 4.2.3 การลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข มลพิษทางอากาศที่เกิดจากการเผาส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ท าให้เกิดโรคต่างๆ เป็นภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ประชาชนและประเทศต้องแบกรับ ซึ่งการลดการเผาจะช่วยลดค่าใช้จ่าย ด้านสาธารณสุข ลงได้ 4.2.4 การกระตุ้นเศรษฐกิจสีเขียว การส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เกษตรอินทรีย์จะเพิ่มโอกาสในการ ส่งออกสินค้าเกษตร และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ รวมถึงส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีสุขภาพดีมากขึ้น 4.3 ด้านสุขภาพ 4.3.1 การป้องกันรักษาสุขภาพ มลพิษจากการเผาส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจของประชาชน เช่น ท าให้เกิดโรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรัง และมะเร็งปอด เป็นต้น ซึ่งการลดการเผาจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคดังกล่าว และช่วยลด ความเสี่ยงของการเกิดโรคอื่น ๆ ในระยะยาว เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมองขาดเลือด เป็นต้น 4.3.2 คุณภาพชีวิตของประชาชน อากาศที่สะอาดขึ้นส่งผลให้สุขภาพกายและใจของประชาชนดีขึ้น ท าให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และสามารถท าเรื่องอื่นที่ส าคัญได้อย่างเต็มที่ เช่น การท างาน เที่ยว ดูแลครอบครัว เป็นต้น ซึ่งเป็นการกระตุ้น เศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง 4.4 ด้านภาพลักษณ์ของประเทศ การลดการเผาแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ท าให้ประเทศได้รับการยอมรับในเวทีโลกมากขึ้น รวมถึงเป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสอดคล้องกับข้อตกลง ปารีส (Paris Agreement) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติเป็นต้น ซึ่งจะ ช่วยการยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศ 14
บทที่5 ตัวอย่างวิธีการสร้างรายได้เพิ่มจากการไม่เผาพื้นที่ทางการเกษตร การไม่เผาพื้นที่ทางการเกษตร โดยการจัดการใช้ประโยชน์ฟางข้าวและซังข้าวเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ ในการลดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม จากการศึกษาในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี หนองคาย หนองบัวล าภู นครพนม สกลนคร และบึงกาฬ พบว่าการน าฟางข้าวไปใช้ประโยชน์สามารถช่วยลดปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ทั้งยังสร้าง รายได้เสริมให้แก่เกษตรกร และสนับสนุนการท าการเกษตรแบบยั่งยืน ลดมลพิษทางอากาศ และยกระดับคุณภาพ ชีวิตของเกษตรกรและชุมชนโดยรอบ (ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 3, 2565) พอสรุประเด็นส าคัญได้ดังนี้ 5.1 รูปแบบการจัดการโซ่อุปทานฟางข้าว 5.1.1 โครงสร้างโซ่อุปทานฟางข้าวของจังหวัดอุดรธานีหนองคาย หนองบัวล าภูนครพนม สกลนคร และบึงกาฬ การศึกษาโซ่อุปทานสินค้าฟางข้าว มีวัตถุประสงค์เพื่อ เพื่อให้ทราบถึงเส้นทางการเคลื่อนย้าย สินค้าฟางข้าวจากแหล่งผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว (ต้นน ้า) ไปจนถึงตลาด หรือผู้ใช้ประโยชน์(ปลายน ้า) โดยพบว่ามีผู้ที่ เกี่ยวข้อง ได้แก่ เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ผู้ประกอบการรวบรวมฟางข้าว และผู้ใช้ประโยชน์สินค้าฟางข้าว โดยผลผลิตฟาง ข้าวของเกษตรกรสมาชิกแปลงใหญ่ข้าวทั้งหมด แบ่งเป็น ฟางข้าวที่เก็บไว้ใช้ประโยชน์เอง ร้อยละ 65.82 และฟางข้าว เพื่อการค้า ร้อยละ 34.18 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้(ภาพที่5.1) 1) ต้นน ้า ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและนาปรังที่เป็นสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่ โดยหลังจากที่เกษตรกรด าเนินการปลูกข้าวและเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว จะได้ฟางข้าวซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ในนาข้าวของตนเอง ซึ่งการจัดการฟางข้าวของเกษตรกรเริ่มจากการปล่อยฟางข้าวไว้ในนาข้าวเพื่อตากแดดให้แห้งประมาณ 2 - 3 วัน หลังจากนั้น จ้างรถอัดฟางของกลุ่มแปลงใหญ่ และเก็บฟางไว้ใช้ประโยชน์เองทั้งรูปแบบอัดก้อนและไม่ได้ อัดก้อน โดยน าไปเลี้ยงปศุสัตว์และประมงของตนเอง ร้อยละ 48.56 ไถกลบในนาข้าวเพื่อบ ารุงดินร้อยละ 17.26 และ จ าหน่ายฟางอัดก้อน ให้แก่ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ร้อยละ 17.8 ผู้ประกอบการรวบรวมฟางข้าว ร้อยละ 12.64 และกลุ่มแปลงใหญ่ที่ตนสังกัด ร้อยละ 3.65 2) กลางน ้า ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 2.1) ผู้ประกอบการ รวบรวมฟางข้าว ท าหน้าที่ในการรับซื้อฟางข้าว จากเกษตรกร ร้อยละ 12.64 ของผลผลิตฟางข้าวทั้งหมด โดยจะเข้าไปรับซื้อฟางข้าวหลังจากที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว ส าหรับราคารับซื้อขึ้นอยู่กับความชื้นของฟางข้าวและพันธุ์ข้าวที่ใช้ปลูก เช่น ฟางข้าวที่จะน าไปเลี้ยงโคนมต้องเป็นฟาง ข้าวพันธุ์ข้าวหอมคุณภาพดีการรับซื้อเป็นลักษณะเหมาไร่ มีราคาอยู่ในช่วง 20 - 80 บาทต่อไร่ หรือจ่ายให้กับ 15
เกษตรกรตามจ านวนฟางก้อนที่อัดได้ โดยมีราคาอยู่ในช่วง 2 - 10 บาทต่อก้อน ขึ้นอยู่กับการตกลงซื้อขาย ระหว่างผู้ประกอบการรวบรวมและเกษตรกร หลังจากนั้น จะใช้รถอัดฟางเป็นก้อนตามขนาดบล็อกของเครื่องอัดฟาง และน าฟางอัดก้อนไปจ าหน่ายให้แก่ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ร้อยละ 11.62 ของผลผลิตทั้งหมด ผู้เพาะเห็ด ร้อยละ 0.77 และผู้ผลิตปุ๋ยหมัก ร้อยละ 0.25 2.2 กลุ่มแปลงใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนเครื่องอัดฟางก้อนจากภาครัฐภายใต้ โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ท าหน้าที่ในการรับซื้อฟางข้าวจากเกษตรกร และให้บริการอัดฟางก้อนในนาข้าวให้แก่เกษตรกร โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 12 - 18 บาทต่อก้อน (ไม่รวมค่าขนส่ง) คิดเป็นฟางข้าว ร้อยละ 3.65 ของผลผลิตทั้งหมดของเกษตรกร เมื่อกลุ่มแปลงใหญ่อัดฟางก้อนเรียบร้อยแล้วจะน าไป จัดเก็บไว้ที่โกดังหรือโรงเรือนของกลุ่ม เพื่อรอจ าหน่ายให้กับผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์ซึ่งพบว่า มีการจ าหน่ายให้กับ ผู้เลี้ยงปศุสัตว์มากที่สุด ร้อยละ 2.76 รองลงมาเป็นผู้เพาะเลี้ยงปลา ร้อยละ 0.64 ผู้เพาะเห็ด ร้อยละ 0.18 และ ผู้ผลิตปุ๋ยหมัก ร้อยละ 0.07 3) ปลายน ้า เป็นผู้ใช้ประโยชน์ฟางข้าว ได้แก่ 3.1) ผู้เลี้ยงปศุสัตว์เป็นผู้รับซื้อฟางข้าวอัดก้อนร้อยละ 32.27 ของผลผลิตทั้งหมด เพื่อน าไป ใช้เป็นอาหารสัตว์ได้แก่ โคเนื้อ โคนม กระบือ และแพะ โดยรับซื้อจากเกษตรกรมากที่สุดร้อยละ 17.89 รองลงมา รับซื้อจากผู้ประกอบการรวบรวมฟางข้าวร้อยละ 11.62 และรับซื้อจากกลุ่มแปลงใหญ่ร้อยละ 2.76 3.2) ผู้เพาะเห็ด รับซื้อสินค้าฟางข้าวอัดก้อน ร้อยละ 0.95 ของผลผลิตทั้งหมด โดยรับซื้อ จากผู้ประกอบการรวบรวมฟางข้าวมากที่สุดร้อยละ 0.77 รองลงมา รับซื้อจากกลุ่มแปลงใหญ่ร้อยละ 0.18 3.3) ผู้เพาะเลี้ยงปลา รับซื้อสินค้าฟางข้าวอัดก้อน ร้อยละ 0.64 ของผลผลิตทั้งหมด โดยรับซื้อจากกลุ่มแปลงใหญ่ทั้งหมด 3.4) ผู้ผลิตปุ๋ยหมัก รับซื้อสินค้าฟางข้าวอัดก้อน ร้อยละ 0.32 ของผลผลิตทั้งหมด โดยรับซื้อ จากผู้ประกอบการรวบรวมฟางข้าวมากที่สุดร้อยละ 0.26 รองลงมา รับซื้อจากกลุ่มแปลงใหญ่ร้อยละ 0.06 3.5) เกษตรกรเก็บฟางข้าวอัดก้อนไว้ใช้ประโยชน์เอง ร้อยละ 48.56 ของผลผลิตทั้งหมด โดยน าไปเลี้ยงสัตว์ร้อยละ 30.47 ปลูกพืช ร้อยละ 15.47 เพาะเห็ด ร้อยละ 1.67 และท าปุ๋ยหมัก ร้อยละ 0.95 ทั้งนี้เกษตรกรในพื้นที่ส่วนใหญ่มีการปลูกข้าวร่วมกับการเลี้ยงปศุสัตว์จึงเก็บฟางข้าวอัดก้อนไว้เลี้ยงสัตว์เพื่อช่วย ลดต้นทุนด้านอาหารสัตว์ 16
ภาพที่5.1 โซ่อุปทานสินค้าฟางข้าวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีหนองคาย หนองบัวล าภูนครพนม สกลนคร และบึงกาฬ ปี2565 ที่มา : จากการส ารวจ 17
5.1. ผลได้จากการน าฟางข้าวมาใช้ประโยชน์ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีหนองคาย หนองบัวล าภูนครพนม สกลนคร และบึงกาฬ ปี2565 1) เกษตรกร กรณีอัดฟางก้อนจ าหน่าย สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกรเฉลี่ย 365.34 บาทต่อไร่ โดยราคาฟางอัดก้อนที่เกษตรกรจ าหน่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 30.05 บาทต่อก้อน ต้นทุนค่าอัดฟางก้อน 15.12 บาทต่อก้อน และจ านวนฟางอัดก้อนของเกษตรกรเฉลี่ย 24.47 ก้อนต่อไร่ (ฟางอัดก้อนมีน ้าหนักเฉลี่ย 15.21 กิโลกรัมต่อก้อน) 2) ผู้น าฟางข้าวไปใช้ประโยชน์ได้แก่ 2.1) ผู้เลี้ยงโคเนื้อและกระบือ (1) กรณีน าฟางข้าวร่วมกับหญ้าเนเปียร์ไปเลี้ยงโคเนื้อและกระบือ ขนาดน ้าหนัก ตัวประมาณ 250 กิโลกรัม เกษตรกรจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 54.13 บาทต่อตัวต่อวัน (ใช้ฟาง 0.5 ก้อนต่อตัวต่อวัน ราคาฟางเฉลี่ยก้อนละ 38.93 บาท และใช้หญ้าเนเปียร์10.90 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ราคาหญ้าเนเปียร์เฉลี่ย กิโลกรัมละ 3.18 บาท) เปรียบเทียบกับกรณีให้หญ้าเนเปียร์เป็นอาหารอย่างเดียว เกษตรกรจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 111.30 บาทต่อตัวต่อวัน (ใช้หญ้าเนเปียร์35.00 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ราคาหญ้าเนเปียร์เฉลี่ย กิโลกรัมละ 3.18 บาท) แสดงให้เห็นว่า การใช้ฟางข้าวร่วมกับหญ้าเนเปียร์ในการเลี้ยงโคเนื้อและกระบือ จะท าให้สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ 57.17 บาทต่อตัวต่อวัน (2) กรณีน าฟางข้าวมาเป็นส่วนผสมร่วมกับอาหารข้น (Total Mixed Ration: TMR) เพื่อต้องการเพิ่มโปรตีนให้กับสัตว์เกษตรกรจะมีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงโคเนื้อขนาดน ้าหนักตัวประมาณ 250 กิโลกรัม จะอยู่ที่ 60 บาทต่อตัวต่อวัน (ใช้ฟางผสม TMR ในปริมาณ 20 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ราคาฟางผสม TMR เฉลี่ย กิโลกรัมละ 3.00 บาท) เปรียบเทียบกับกรณีให้อาหารส าเร็จรูปอย่างเดียว เกษตรกรจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่100.00 บาท ต่อตัวต่อวัน (ใช้อาหารส าเร็จรูป 10.00 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ราคาอาหารส าเร็จรูป เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.00 บาท) แสดงให้เห็นว่า การใช้ฟางข้าวเป็นส่วนผสมร่วมกับอาหารข้น TMR ในการเลี้ยงโคเนื้อ จะท าให้สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ 40.00 บาทต่อตัวต่อวัน 2.2) ผู้เลี้ยงโคนม กรณีน าฟางข้าวร่วมกับอาหารข้น TMR ไปเลี้ยงโคนม เกษตรกรจะมี ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 77.22 บาทต่อตัวต่อวัน (ใช้ฟาง 0.5 ก้อนต่อตัวต่อวัน ราคาฟางเฉลี่ยก้อนละ 38.93 บาท ร่วมกับ อาหารข้น TMR 10.50 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ราคาอาหารข้น TMR เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.50 บาท) เปรียบเทียบกับ กรณีให้หญ้าเนเปียร์ร่วมกับอาหารข้น TMR ในการเลี้ยงโคนม เกษตรกรจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่89.55 บาทต่อตัวต่อวัน (ใช้หญ้าเนเปียร์10.00 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ราคาหญ้าเนเปียร์เฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.18 บาท ร่วมกับอาหารข้น TMR 10.50 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ราคาอาหารข้น TMR เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.50 บาท) และกรณีให้อาหารส าเร็จรูป อย่างเดียว เกษตรกรจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 120.00 บาทต่อตัวต่อวัน (ใช้อาหารส าเร็จรูป 8.00 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ราคาอาหารส าเร็จรูปเฉลี่ยกิโลกรัมละ 15.00 บาท) แสดงให้เห็นว่า การใช้ฟางข้าวเป็นส่วนผสมร่วมกับอาหารข้น TMR ในการเลี้ยงโคนม เมื่อเทียบกับการให้หญ้าเนเปียร์เลี้ยงโคนมร่วมกับอาหารข้น TMR จะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ 12.33 บาทต่อตัวต่อวัน และหากเทียบกับการให้อาหารส าเร็จรูปอย่างเดียวสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ 42.78 บาท ต่อตัวต่อวัน 18
2.3) ผู้เพาะเห็ดฟาง ทั้งแบบโรงเรือนขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 4 เมตร สูง 2 เมตรและแบบกองเตี้ย ในพื้นที่1 ไร่ มีการใช้ฟางข้าวเฉลี่ย6,500 กิโลกรัมต่อปีราคาฟางเฉลี่ย1.39 บาทต่อกิโลกรัม (ราคาคุณภาพปานกลาง) จึงมีค่าใช้จ่ายในการใช้ฟางข้าวเพาะเห็ดฟางเฉลี่ย 9,035 บาทต่อปี ขณะที่การใช้เปลือกมันส าปะหลังเพาะเห็ดฟาง จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 12,000 บาทต่อปีดังนั้น การใช้ฟางข้าวในการเพาะเห็ดฟางจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อเปลือกมัน ส าปะหลังได้เฉลี่ย 2,965 บาทต่อปี 2.4) ผู้เพาะเลี้ยงปลา กรณีน าฟางข้าวหมักด้วยปุ๋ยคอกทิ้งไว้ในบ่อน ้าเพื่อให้เกิดไรน ้าเป็นอาหารปลา จะใช้ฟางข้าว 500 กิโลกรัมต่อไร่ต่อเดือน หรือ 6,000 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ราคาฟางเฉลี่ย 1.39 บาทต่อกิโลกรัม (ราคาคุณภาพปานกลาง) จึงมีค่าใช้จ่ายในการใช้ฟางข้าวเป็นอาหารปลา 8,340 บาทต่อไร่ต่อรุ่น (การเลี้ยงปลา 1 รุ่น ใช้เวลาประมาณ 8 - 12 เดือน) ขณะที่การใช้อาหารส าเร็จรูปเลี้ยงปลาเพียงอย่างเดียว จะมีค่าใช้จ่าย 22,183.20 บาทต่อไร่ต่อรุ่น ดังนั้น การหมักฟางข้าวเป็นอาหารปลา จะช่วยลดค่าใช้จ่าย 13,843.20 บาทต่อไร่ต่อรุ่น ดังแสดง ในตารางที่5.1 ตารางที่5.1 เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของเกษตรกรในการน าฟางข้าวไปใช้ประโยชนในรูปแบบต่าง ๆ จังหวัดอุดรธานีหนองคาย หนองบัวล าภูนครพนม สกลนคร และบึงกาฬ ปี2565 19 หมายเหตุ: เปรียบเทียบเฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นของเกษตรกร แต่ไม่เปรียบเทียบประสิทธิภาพการน าฟางข้าวมาทดแทนวัสดุเดิม ที่มา : จากการส ารวจ / 111.30 / / 100.00 / / +TMR 89.55 / / 120.00 / / 12,000 / 22,183 / / + 54.13 / / +TMR 60.00 / / +TMR 77.22 / / 9,035 / + 8,340 / / 57.17 / / 40.00 / / 12.33 / / 42.78 / / 2,965 / 13,843 / /
ข้อมูลการใช้ประโยชน์/สร้างรายได้จากฟางข้าว ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ต้นน ้า คือ ผู้ผลิตฟางข้าว นั่นคือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าว หากเกษตรกรน าฟางข้าวมาอัดก้อนจะ สามารถจ าหน่ายได้ในราคาเฉลี่ย 30.05 บาทต่อก้อน ซึ่งผลผลิตฟางข้าวเฉลี่ย 24.47 ก้อนต่อไร่ หรือสามารถ สร้างรายได้ประมาณ 735 บาทต่อไร่ ทั้งนี้ หากเกษตรกรจ าหน่ายฟางข้าวอัดก้อนให้ผู้ประกอบการรวบรวมโดยตรง จะสามารถขายได้ในราคาอยู่ในช่วง 20.15 - 46.11 บาท/ก้อน ขึ้นอยู่กับคุณภาพและวัตถุประสงค์ในการน าไปใช้ และฟางข้าวในจังหวัดอุดรธานีมีปริมาณทั้งสิ้น 856,752.00 ตัน กลางน ้า จากฟางข้าวทั้งหมดในจังหวัดอุดรธานี 856,752.00 ตัน กระจายไปตามผู้ผลิต/ ผู้รวบรวม/ผู้ใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ประกอบด้วย 1) เกษตรกรน าฟางข้าวไปใช้ประโยชน์เอง คิดเป็นร้อยละ 48.56 ของฟางข้าวทั้งหมด โดยสามารถช่วยลดรายจ่ายจากการใช้ฟางข้าวแทนวัสดุชนิดอื่น 2) เกษตรกรขายให้ ผู้ใช้ประโยชน์โดยตรง คิดเป็นร้อยละ 17.89 ของฟางข้าวทั้งหมด โดยขายในราคาเฉลี่ย 30.05 บาท/ก้อน 3) ไถกลบในนาข้าว คิดเป็นร้อยละ 17.26 ของฟางข้าวทั้งหมด โดยจะท าให้ดินได้ธาตุอาหารจากฟางข้าว และเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ในดิน 4) ผู้ประกอบการรวบรวมฟางข้าว คิดเป็นร้อยละ 12.64 ของฟางข้าวทั้งหมด โดยสามารถจ าหน่ายให้ผู้ใช้ประโยชน์ ราคาอยู่ระหว่าง 35.25 - 60.45 บาท/ก้อน ขึ้นอยู่กับคุณภาพ และวัตถุประสงค์ในการน าไปใช้ และ 5) กลุ่มแปลงใหญ่ คิดเป็นร้อยละ 3.65 ของฟางข้าวทั้งหมด โดยสามารถ จ าหน่ายให้กลุ่มแปลงใหญ่ราคาอยู่ระหว่าง 35.25 - 60.45 บาท/ก้อน ขึ้นอยู่กับคุณภาพและวัตถุประสงค์ ในการน าไปใช้ ปลายน ้า ประกอบด้วย จากฟางข้าวทั้งหมดในจังหวัดอุดรธานี856,752.00 ตัน กระจายไปตาม ผู้ใช้ประโยชน์ประกอบด้วย 1) จ าหน่ายให้ผู้เลี้ยงปศุสัตว์คิดเป็นร้อยละ 32.27 ของฟางข้าวทั้งหมด โดยสามารถ จ าหน่ายให้ผู้ใช้ประโยชน์ ราคาอยู่ระหว่าง 35.25 - 60.45 บาท/ก้อน ขึ้นอยู่กับคุณภาพและวัตถุประสงค์ ในการน าไปใช้2) น าฟางข้าวไปเลี้ยงสัตว์ของตนเอง คิดเป็นร้อยละ 30.47 ของฟางข้าวทั้งหมด ช่วยลดค่าใช้จ่าย ในการเลี้ยงโค/กระบือได้ 40.00 - 57.17 บาท/ตัว/วัน และลดรายจ่ายในการเลี้ยงโคนมได้12.33 - 42.78 บาท/ตัว/วัน 3) ไถกลบในนาข้าว คิดเป็นร้อยละ 17.26 ของฟางข้าวทั้งหมด ท าให้ดินได้ธาตุอาหารจากฟางข้าว และเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ในดิน 4) น าฟางข้าวไปปลูกพืชของตนเอง คิดเป็นร้อยละ 15.47 ของฟางข้าวทั้งหมด ช่วยลดการระเหยของน ้าจากดิน และได้รับน ้าอย่างสม ่าเสมอ 5) น าฟางข้าวไปเพาะเห็ดของตนเอง คิดเป็นร้อยละ 1.67 ของฟางข้าวทั้งหมด ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเพาะเห็ดได้2,965 บาท/ปี6) จ าหน่ายให้ผู้เพาะเห็ด คิดเป็น ร้อยละ 0.95 ของฟางข้าวทั้งหมด 7) น าฟางข้าวไปท าปุ๋ยหมักของตนเอง คิดเป็นร้อยละ 0.95 ของฟางข้าวทั้งหมด โดยฟางข้าวเป็นปุ๋ยชั้นดี อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และไนโตรเจน เป็นต้น 8) จ าหน่ายให้ผู้เพาะเลี้ยงปลา คิดเป็นร้อยละ 0.64 ของฟางข้าวทั้งหมด และ 9) จ าหน่ายให้ผู้ผลิตปุ๋ยหมัก คิดเป็นร้อยละ 0.32 ของฟางข้าวทั้งหมด 20
ตารางที่5.2 การใช้ประโยชน์/สร้างรายได้จากฟางข้าว ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี 21 กลุ่ม ผู้ผลิต/ผู้รวบรวม/ ผู้ใช้ประโยชน์ ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น ปริมาณฟาง (ต้น) ร้อยละฟาง ข้าว ต้นน ้า เกษตรกร -จ าหน่ายให้ผู้ใช้ประโยชน์เฉลี่ย 30.05 บาท/ก้อน -จ าหน่ายให้ผู้ประกอบการรวบรวม 20.15 - 46.11 บาท/ก้อน 856,752.00 100.00 กลางน ้า เกษตรกรน าฟางข้าว ไปใช้ประโยชน์เอง ช่วยลดรายจ่ายจากการใช้ฟางข้าวแทนวัสดุชนิดอื่น 416,038.77 48.56 เกษตรกรขายให้ ผู้ใช้ประโยชน์โดยตรง ราคาเฉลี่ย 30.05 บาท/ก้อน 153,272.93 17.89 ไถกลบในนาข้าว ดินได้ธาตุอาหารจากฟางข้าว และเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ ในดิน 147,875.40 17.26 ผู้ประกอบการรวบรวม ฟางข้าว จ าหน่ายให้ผู้ใช้ประโยชน์ 35.25 - 60.45 บาท/ก้อน 108,293.45 12.64 กลุ่มแปลงใหญ่ จ าหน่ายให้ผู้ใช้ประโยชน์ 35.25 - 60.45 บาท/ก้อน 31,271.45 3.65 ปลายน ้า จ าหน่ายให้ผู้เลี้ยง ปศุสัตว์ ราคา 35.25 - 60.45 บาท/ก้อน 276,473.87 32.27 น าฟางข้าวไปเลี้ยงสัตว์ ของตนเอง ผู้เลี้ยงโค/กระบือ: ลดค่าใช้จ่ายได้ 40.00 - 57.17 บาท/ตัว/วัน ผู้เลี้ยงโคนม: ลดรายจ่ายได้ 12.33 - 42.78 บาท/ตัว/วัน 261,052.33 30.47 ไถกลบในนาข้าว ดินได้ธาตุอาหารจากฟางข้าว และเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ ในดิน 147,875.40 17.26 น าฟางข้าวไปปลูกพืช ของตนเอง ช่วยลดการระเหยของน ้าจากดิน และได้รับน ้า อย่างสม ่าเสมอ 132,539.53 15.47 น าฟางข้าวไปเพาะเห็ด ของตนเอง ลดค่าใช้จ่ายได้ 2,965 บาท/ปี 14,307.76 1.67 จ าหน่ายให้ผู้เพาะเห็ด - 8,139.14 0.95 น าฟางข้าวไปท าปุ๋ยหมัก ของตนเอง ฟางข้าวเป็นปุ๋ยชั้นดี อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และไนโตรเจน เป็นต้น 8,139.14 0.95 จ าหน่ายให้ผู้เพาะเลี้ยง ปลา - 5,483.21 0.64 จ าหน่ายให้ผู้ผลิต ปุ๋ยหมัก - 2,741.61 0.32
บรรณานุกรม กรมพัฒนาที่ดิน. (2554). การไถกลบตอซังเพื่อปรับปรุงดินและเพิ่มผลผลิตข้าว. [ออนไลน์]. สืบค้นข้อมูลวันที่ 3 มีนาคม 2568 เข้าถึงได้จากเว็บไซ https://www.ldd.go.th/menu_moc/POSTER/rice/rice.htm ส านักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2566). รายงานความก้าวหน้ารายสองปี ฉบับที่ 4 (Forth Biennial Update Report). กรุงเทพฯ: กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (2566). การป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ปี 2565/66. [ออนไลน์]. สืบค้นข้อมูลวันที่ 3 มีนาคม 2568 เข้าถึงได้จากเว็บไซต์. https://www.opsmoac.go.th/songkhla-dwl-files-442991791198 ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร. (2567). การจัดการโซ่อุปทาน และแนวทางการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มมูลค่าวัสดุ เหลือใช้ทางการเกษตร กรณีศึกษาฟางข้าว. กรุงเทพฯ: กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (2567). สรุปผลการด าเนินงาน การขับเคลื่อนการพัฒนา เศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตร ปี 2564 – 2566 [ออนไลน์]. สืบค้นข้อมูลวันที่ 3 มีนาคม 2568 เข้าถึงได้จากเว็บไซต์ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/bcg/bcgagriculture-summary-2021-2023-01.pdf ศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต. (2567). แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อลดการเผาในภาคการเกษตร. [ออนไลน์]. สืบค้นข้อมูลวันที่ 3 มีนาคม 2568 เข้าถึงได้จากเว็บไซต์ https://think.moveforwardparty.org/article/agriculture/4243/?utm_source=chatgpt.com ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง มาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ไม่ เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ภาคการเกษตร. (2568, 3 กุมภาพันธ์). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 142 ตอน พิเศษ 43 ง. หน้า 11 คณะกรรมการพลังงานหอการค้าไทย. (2568). เปิด 6 มาตรการลดเผา วัสดุเหลือใช้การเกษตร เชื้อเพลิงชีวมวล ไม่เผาเรารับซื้อ. [ออนไลน์]. สืบค้นข้อมูลวันที่ 3 มีนาคม 2568 เข้าถึงได้จากเว็บไซต์ https://energy-thaichamber.org/open-6-measures-to-reduce-burning/?utm_source=chatgpt.com Tantiwat, W., Gan, C., & Yang, W. (2021). The Estimation of the Willingness to Pay for AirQuality Improvement in Thailand. Sustainability. Witsanu Attavanich. (2021). Willingness to pay for air quality in Thailand: An analysis of multiple pollutants. Research Paper No.15/2021. Department of Economics, Faculty of Economics, Kasetsart University. Sereenonchai S. & Arunrat N. (2022). Farmers’ Perceptions, Insight Behavior and Communication Strategies for Rice Straw and Stubble Management in Thailand. Agronomy, 12(1), 200. 22