ทฤษฎีการวิจัยตามแนวพระพุทธศาสนา เสนอ พระครูวินัยธรวุฒิชัย ชยวุฑฺโฒ, (เพ็ชรทองมา) ดร. จัดท าโดย 1. นางสาวปัทวรรณ บุญจันทร์ รหัสนักศึกษา 6620640432006 2. นายพงษธา วิเศษสมบัติ รหัสนักศึกษา 6620640432015 3. นางสาวจีรวรรณ เพ็งคง รหัสนักศึกษา 6620640432018 4. นางสาวอรพินท์ สังฉิม รหัสนักศึกษา 6620640432022 5. นางสาวชลธิดา หนูทองแก้ว รหัสนักศึกษา 6620640432023 รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาสารัตถะพุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีธรรมาโศกราช อ าเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช
ค าน า รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา สารัตถะพุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก ED41103 โดยมี จุดประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ในด้านพระไตรปิฎกหรือที่เรียกว่าพระไตรปิฎกเป็นชุดศักดิ์สิทธิ์ของพระ คัมภีร์ทางพุทธศาสนาที่มีความส าคัญอย่างมากในประเพณีทางพุทธศาสนา ถือเป็นการรวบรวมค าสอนที่มี อ านาจและครอบคลุมมากที่สุดซึ่งมาจากพระพุทธเจ้า ตามหลักศาสนาพุทธ ทฤษฎีการวิจัยครอบคลุมการ ส ารวจและตรวจสอบความรู้ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกันของสรรพสิ่ง พระพุทธศาสนาเน้นเรื่องการแสวงหาปัญญา ความกรุณา และการหลุดพ้นจากทุกข์ ในบริบทของทฤษฎี การวิจัยทางพุทธศาสนาสนับสนุนวิธีการแบบองค์รวม ที่ครอบคลุมจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ โดย อาศัยการเจริญสติ การวิปัสสนา และการบ่มเพาะปัญญาและสามารถเข้าใจธรรมชาติของความเป็นจริง น าไปสู่ความผาสุกของสรรพสัตว์ได้ ในขอบเขตของการวิจัยเชิงวิชาการทางพุทธศาสนาเสนอมุมมองเฉพาะเกี่ยวกับทฤษฎีและวิธีการ ทางศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นประเพณีทางจิตวิญญาณที่มีต้นก าเนิดในอินเดียโบราณและแพร่หลายไปทั่วโลก ตั้งแต่นั้นมา ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับธรรมชาติของความเป็นจริง จิตส านึกของมนุษย์ และการ แสวงหาความรู้ ค าสอนของพระพุทธศาสนาเน้นความส าคัญของการสังเกตโดยตรง การไต่สวนอย่างมี วิจารณญาณ และประสบการณ์ส่วนตัวเป็นเครื่องมือส าคัญในการท าความเข้าใจโลก ในการจัดท ารายงานประกอบสื่อการเรียนรู้ในครั้งนี้ผู้จัดท าขอขอบคุณ พระครูวินัยธรวุฒิชัย ชยวุฑโฒ,(เพ็ชรทองมา)ดร. ที่ให้ความรู้และแนวทางการศึกษาเพื่อให้ความรู้และความช่วยเหลือมาโดย ตลอด คณะผู้จัดท าหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน คณะผู้จัดท า ก
สารบัญ เรื่อง หน้า ค าน า ก สารบัญ ข 1. ทฤษฎี 1.1 ความหมายของทฤษฎี 1 1.2 ลักษณะของทฤษฎี 1 1.3 คุณสมบัติของทฤษฎี 1 2. การวิจัย 2.1 ความหมายการวิจัย 1 2.2 ประเภทของการวิจัย 2 2.3 ขั้นตอนของการท าวิจัย 5 2.4 คุณสมบัติของนักวิจัย 15 2.5 จรรยาบรรณนักวิจัย 16 3. ทฤษฎีการวิจัย 3.1 ความหมายทฤษฎีการวิจัย 18 3.2 ความส าคัญ 18 4. ทฤษฎีการวิจัยตามแนวพระพุทธศาสนา 4.1 วิธีวิจัยของพระพุทธเจ้า 18 4.2 กระบวนการวิจัย 19 4.3 สมมติฐานของการวิจัย 20 4.4 วิธีด าเนินการวิจัย 21 บรรณานุกรม 23 ข
1 ทฤษฎีการวิจัยตามแนวพระพุทธศาสนา 1. ทฤษฎี 1.1 ความหมายของทฤษฎี ทฤษฎี คือ ความรู้ที่เกิดจากกระบวนการคิดวิเคราะห์และสรุปผลของมนุษย์น ามาใช้ในการ อธิบายสิ่งต่างๆ ในสถานการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อท าความเข้าใจในปรากฏการณ์นั้น ๆ 1.2 ลักษณะของทฤษฎี 1.2.1 เกิดจากวิธีการ และขบวนการของการแสวงหาอย่างเป็นระบบ 1.2.2 เป็นแนวคิด หรือความจริงที่ผ่านการพิสูจน์อย่างมีระบบมาแล้วหลายครั้ง 1.2.3 ทฤษฎีอาจเปลี่ยนแปลงได้ เพราะทฤษฎีไม่ใช่สัจธรรมสูงสุด ถูกทดสอบและถูกท้าทาย หรือถูกโค่นล้มได้ 1.2.4 ทฤษฎีอาจถูกพิสูจน์ได้ว่าไม่ถูกต้อง หรือผิดพลาด โดยอาศัยกระบวนการพิสูจน์และการ อธิบายอย่างเป็นระบบ 1.3 คุณสมบัติของทฤษฎี 1.3.1 ยืดหยัดต่อการพิสูจน์ 1.3.2 น่าเชื่อถือ โดยวิธีการแสวงหา และการวิเคราะห์นั้นจะต้องเป็นที่ยอมรับในชุมชนวิชาการ ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง และให้ค าตอบแบบเดียวกันเมื่อน าไปใช้โดยใครก็ตาม 1.3.3 เป็นค าอธิบายที่มีลักษณะเที่ยงตรง และรัดกุม 1.3.4 ค าอธิบายจะต้องมีเอกภาพ คือ ต้องมีโครงสร้างขององค์ความรู้ แม้ว่าจะมีหลาย ๆ แนวคิดในทฤษฎีเดียวกัน ก็ต้องมีความสอดคล้องไปในแนวหรือทิศทางเดียวกัน 2. การวิจัย 2.1 ความหมายการวิจัย การวิจัย คือ กระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริง หรือการพยายามค้นหาค าตอบ หรือหาความรู้ ความเข้าใจในปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม โดยใช้วิธีการศึกษาอย่างมีระเบียบและมีหลักเกณฑ์ ทางวิทยาศาสตร์ (scientific methods) (นันทวัน สุชาโต, 2537: 7) การวิจัย คือกระบวนการแสวงหาหรือพัฒนาองค์ความรู้ที่มีลักษณะเป็นนัยทั่วไปอย่างมีระบบ แบบแผนโดยวิธีการอันเป็นที่เชื่อถือได้ (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2540: 2)
2 การวิจัย หมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่ต้องการศึกษา มี การเก็บรวบรวมข้อมูล การจัดระเบียบ ข้อมูล การวิเคราะห์และการตีความหมายผลที่ได้จากการ วิเคราะห์ ทั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งค าตอบอันถูกต้อง (สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์, 2540: 1) การวิจัยเป็นวิธีการแสวงหาความรู้ที่เป็นระบบ และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในปัจจุบัน นักวิชาการได้ให้ความหมายของการวิจัยไว้มากมาย ดังนี้ สามารถสรุปได้ว่า การวิจัยหมายถึง กระบวนการศึกษาหาความรู้อย่างเป็นระบบ ข้อเท็จจริง ของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ประยุกต์กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งค าตอบโดยใช้หลักของ เหตุผล อ้างอิงหลักการเพื่อหาข้อสรุปและน าไปใช้อย่างเป็นประโยชน์ในการด าเนินการต่าง ๆ 2.2 การวิจัยมีกี่ประเภท การจ าแนกประเภทของการวิจัยสามารถจัดท าได้หลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับผู้จ าแนกว่าจะอาศัย เกณฑ์หรือหลักการใดในการจ าแนก ซึ่งแนวทางในการจัดจ าแนกตามเกณฑ์ต่าง ๆ มีดังนี้ (บุญธรรม กิจ ปรีดาบริสุทธิ์, 2535: 17-21) ประเภทของการวิจัยแบ่งตามประโยชน์ของการน าผลไปใช้ แบ่งตามเกณฑ์นี้จะมี 3 ประเภท ได้แก่ 2.2.1 การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (basic or pure research) การวิจัยแบบนี้เป็นการ ท าวิจัยเพื่อขยายขอบเขตของความรู้ให้กว้างขวางออกไป เป็นการสร้างทฤษฎีและแนวความคิดใหม่ ๆ เสริมสร้างวิชาการให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น การวิเคราะห์มุ่งหาสารอาหารในกล้วย โดยมุ่งหาว่ากล้วย ประกอบด้วยสารอาหารอะไรบ้างเท่านั้น การวิจัยแบบนี้มักจะใช้เวลานาน และใช้ประโยชน์ได้ต่อเมื่อไป วิจัยต่อ 2.2.2 การวิจัยประยุกต์ (applied research) การวิจัยแบบนี้มุ่งน าผลไปใช้เพื่อปรับปรุงสภาพ ของสังคมและความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้ดีขึ้น เช่น จากผลการวิจัยพื้นฐานพบว่า การสอนด้วยวิธีการใช้ สไลด์ประกอบจะท าให้นักเรียนสนใจการเรียนและจ าได้นาน ครูก็ลองน าผลการวิจัยนี้ไปทดลองและหา ประสิทธิภาพของการสอนดูว่าท าให้นักเรียนสนใจมากขึ้น และนักเรียนจ าเรื่องราวที่สอนได้นานจริง หรือไม่ ถ้าปรากฏว่ามีประสิทธิภาพก็จะท าให้ครูน าไปใช้ในการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์แก่นักเรียน ต่อไป 2.2.3 การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) การวิจัยแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา ทักษะใหม่ๆ หรือวิธีการใหม่ ๆ และน ามาใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในการท างานโดยตรง เป็นการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ในการท างาน โดยหวังที่จะปรับปรุง แก้ไขสภาพการท างานให้ดีขึ้นกว่าเดิม การ
3 วิจัยแบบนี้แท้จริงเป็นการวิจัยประยุกต์ลักษณะหนึ่ง แต่ต่างกับการวิจัยประยุกต์ทั่วไปตรงที่การวิจัยเชิง ปฏิบัติการจะศึกษาเฉพาะที่ เฉพาะหน่วยงาน ผลการวิจัยน าไปใช้สรุปอ้างอิงไปยังกลุ่มอื่นหรือประชากร ไม่ได้ประเภทของการวิจัยแบ่งตามวัตถุประสงค์และวิธีการเสนอข้อมูล การวิจัยที่แบ่งตามเกณฑ์นี้อาจ แบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ 1. การวิจัยขั้นส ารวจ (exploratory research) เป็นการวิจัยที่ต้องการรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน เบื้องต้น เพื่อหาข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นเท่านั้น ไม่มีการตั้งสมมติฐาน และไม่มีการวิเคราะห์ เปรียบเทียบข้อมูลในลักษณะตัวแปรที่แตกต่างกัน 2. การวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research) เป็นการวิจัยที่ต้องการหาค าตอบว่าอะไรและ อย่างไรมากกว่าที่ต้องการหาค าตอบว่าท าไม รวมทั้งไม่มีการคาดคะเนปรากฏการณ์ในอนาคตแต่อย่างไร การวิเคราะห์ข้อมูลอาจจะมีการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่ศึกษาด้วย 3. การวิจัยเชิงอรรถาธิบาย (explanatory research) เป็นการวิจัยที่พยายามชี้หรืออธิบายให้ เห็นว่าตัวแปรใดมีความสัมพันธ์ หรือเกี่ยวข้องกับตัวแปรใดบ้าง และความสัมพันธ์นั้นมีลักษณะอย่างไร เป็นเหตุผลของกันและกันหรือไม่ 4. การวิจัยเชิงคาดคะเน (predictive research) เป็นการวิจัยที่พยายามชี้ให้เห็นหรือคาดคะเน เหตุการณ์ในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา 5. การวิจัยเชิงวินิจฉัย (diagnostic research) เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น จะได้น าไปแก้ไขป้องกันได้ถูกต้อง ประเภทของการวิจัยแบ่งตามความสามารถในการควบคุมตัวแปร การวิจัยที่แบ่งตามเกณฑ์นี้ อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยจัดสร้างสถานการณ์และ เงื่อนไขต่าง ๆ ขึ้นมาทดลอง โดยพยายามควบคุมตัวแปรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ต้องการให้มีผลกับการวิจัยนั้น ออกไป แล้วสังเกตหรือวัดผลการทดลองออกมา 2. การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (quasi experimental research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยสามารถสร้าง สถานการณ์ และเงื่อนไขเพื่อใช้ในการทดลองได้บ้างเป็นบางประเด็นและสามารถควบคุมตัวแปรที่ เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ต้องการให้มีผลกับการวิจัยนั้นได้เพียงบางตัวเนื่องจากไม่สามารถสุ่มตัวอย่างให้เท่ากันได้ 3. การวิจัยเชิงธรรมชาติ (naturalistic research) เป็นการวิจัยที่ไม่มีการจัดสร้างสถานการณ์ หรือเงื่อนไขใด ๆ เลย ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ผู้วิจัยไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อการวิจัยที่ได้นั้นเลย ประเภทของการวิจัยแบ่งตามระเบียบวิธีการวิจัย การวิจัยที่แบ่งตามเกณฑ์นี้จะแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (historical research) เป็นการวิจัยที่ใช้ระเบียบวิธีทาง วิทยาศาสตร์ในลักษณะของการศึกษาหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เพื่อสืบประวัติความเป็นมาเชิง
4 วิชาการในสาขาวิชาการต่าง ๆ ท าความเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น และหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ใน อดีตปัจจุบัน เพื่อใช้ท านายเหตุการณ์ในอนาคต 2. การวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research) เป็นการวิจัยที่ใช้ระเบียบวิธีการบรรยาย ปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าคืออะไร และมีลักษณะอย่างไร ซึ่งมุ่งศึกษาหาข้อเท็จจริงและ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนั้น รวมทั้งศึกษาหาความสัมพันธ์ของการปฏิบัติ แนวคิดหรือเจตคติโดยเน้นถึง เรื่องราวในปัจจุบันเป็นส าคัญ 3. การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) เป็นการศึกษาหาข้อเท็จจริงด้วยการทดลอง ภายใต้การควบคุมตัวแปรที่เกี่ยวข้องอย่างมีระเบียบแบบแผนและมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอนและสามารถ กระท าซ้ าเพื่อพิสูจน์หรือทดสอบผลอีกได้ ประเภทของการวิจัยแบ่งตามระเบียบวิธีการวิจัยทั่วไป การวิจัยอาจแบ่งตามระเบียบวิธีการวิจัย ทั่ว ๆ ไป ซึ่งแบ่งเป็น 6 ประเภท ดังนี้ 1. การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) 2. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (historical research) 3. การวิจัยเชิงย้อนรอย (expost facto research) เป็นการวิจัยที่ศึกษาจากผลไปหาเหตุ ซึ่งทั้ง ผลและเหตุเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว วิธีการศึกษาจะเริ่มจากก าหนดผลหรือตัวแปรตามก่อนแล้วค่อยค้นหา สาเหตุ ซึ่งเป็นตัวแปรอิสระที่ท าให้เกิดผล ตัวแปรตามนั้น เช่น การศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการไป ประกอบอาชีพในประเทศตะวันออกกลางของชายไทย ผลที่เกิดขึ้นก็คือการไปประกอบอาชีพในประเทศ ตะวันออกกลางของชายไทย ซึ่งเดินทางไปแล้ว จากนั้นตามไปศึกษาว่าท าไมเขาจึงต้องเดินทางไปท างาน ยังประเทศตะวันออกกลาง มีเหตุหรือมีปัจจัยอะไรบ้างที่ท าให้เขาไป 4. การวิจัยเชิงส ารวจ (survey research) เป็นการศึกษาค้นคว้าข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่มีอยู่ว่า เป็นอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นบ้างแล้วบรรยายสถานภาพที่ปรากฏอยู่ มีอยู่นั้นให้ทราบและอาจจะ เปรียบเทียบกับสถานภาพที่มีอยู่ ปรากฏอยู่ในลักษณะต่าง ๆ หรือเงื่อนไขต่างกันและจะเปรียบเทียบกับ สถานภาพที่เป็นมาตรฐานก็ได้ โดยไม่สนใจว่า ท าไมจึงมีสถานภาพปรากฏอยู่ มีอยู่อย่างนั้น 5. การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณา (ethnographic research) เป็นการวิจัยที่มุ่งอธิบายสภาพการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรวม ๆ ว่ามีความเป็นมาและพัฒนาการไปอย่างไร มีลักษณะคล้ายกับการวิจัย เชิงคุณลักษณะดังกล่าวแล้ว 6. การวิจัยเชิงประเมินผล (evaluative research) เป็นการวิจัยที่มุ่งพิจารณาก าหนดคุณค่าหรือ ระดับความส าเร็จของกิจกรรม และเสนอแนะส าหรับการด าเนินกิจกรรมต่อไป ปกติการวิจัยเชิง ประเมินผลจะมุ่งหาค าตอบของปัญหาหลัก 3 ประการ คือ 6.1 โครงการนั้นประสบผลส าเร็จเพียงใด 6.2 โครงการนั้นมีประสิทธิภาพเพียงใด
5 6.3 กิจกรรมที่ท าตามโครงการนั้นควรจะท าต่อไปหรือไม่ ประเภทของการวิจัยแบ่งตามลักษณะของข้อมูล แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. การวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) หมายถึงการวิจัยที่เน้น (ก) ข้อมูลที่เป็น ตัวเลขเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของข้อค้นพบและข้อสรุปต่าง ๆ ของเรื่องที่ท าการศึกษา และ (ข) ความใช้ได้กว้างขวางทั่วไปของข้อค้นพบ (สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์,2540:24-25) 2. การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นอธิบายปรากฏการณ์ทาง สังคมและความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์กับสภาพแวดล้อม โดยอาศัยมิติทางสังคมและวัฒนธรรมเป็น หลักในการศึกษาและวิเคราะห์ปรากฏการณ์นั้น การวิจัยเป็นการศึกษาที่ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักการในการด าเนินการวิจัย ซึ่ง กระบวนการในการท าวิจัยนี้ อุทุมพร จามรมาน (2533: 3) กล่าวว่าเปรียบเสมือนลูกโซ่ แต่ละลูก ส าคัญเท่ากัน เริ่มตั้งแต่การเลือกปัญหามาวิจัย การก าหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย การท าวิจัย การ สรุปผลการวิจัยและการอภิปรายผลวิจัย 2.3 ขั้นตอนการวิจัยโดยทั่วไป ประกอบด้วยลักษณะการด าเนินงานที่ส าคัญ 7 ขั้นตอนดังนี้ 2.3.1 การก าหนดปัญหาการวิจัย 2.3.2 การทบทวนเอกสาร บทความ ต ารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.3.3 การตั้งสมมติฐานของวิจัย 2.3.4 การออกแบบการวิจัย 2.3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูลและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 2.3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 2.3.7 การเขียนรายงานการวิจัย 2.3.1. การก าหนดปัญหาการวิจัย พรทิพย์พิมลสินธุ์(2551:67) ได้ให้ความหมายของปัญหาการวิจัย หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้น จากความสงสัย ความอยากรู้ในข้อเท็จจริงหรืออยากค้นหาทางที่จะแก้ไขได้ถูกต้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ปกติจะมี ขึ้นในใจของบุคคลทุกคน จะต่างกันที่ว่าจะมีมากมีน้อย ธรรมดาหรือพิสดาร ส าคัญหรือไม่ส าคัญ เท่านั้น Kerlinger (1986: 16 อ้างใน ประทุม ฤกษ์กลาง, 2553:23) ปัญหาในการวิจัย คือ ประโยคค าถามหรือข้อความที่ถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัวหรือมากกว่าซึ่งเป็นปัญหา ที่ สามารถหาค าตอบจากกระบวนการวิจัย
6 ลักษณะของปัญหาวิจัยที่ดี Wimmer and Dominick (1994: 21-24 อ้างใน ประทุม ฤกษ์กลาง, 2553:24) ปัญหาวิจัยที่ดีควรมีคุณค่าเพียงพอที่จะช่วยให้นักวิจัยศึกษาวิจัยได้ส าเร็จลุล่วงด้วยดีและได้รับผลการวิจัย ที่เป็นค าตอบหรือค าอธิบายสภาพปัญหาที่ถูกต้องเชื่อถือได้ปัญหาวิจัยที่ดีควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1. เป็นปัญหาที่ไม่กว้างหรือแคบจนเกินไปปัญหาบางอย่างที่มีคุณค่าแต่ถ้าหากกว้างเกินไปจนไม่ สามารถศึกษาหาค าตอบในงานวิจัยเดียวได้ไม่ควรเลือกมาท าวิจัย วิธีการแก้ไขปรับปรุงปัญหาให้ เล็กลงก็ คือการเขียนปัญหาอย่างเป็นทางการแล้วพยายามเลือกค าถามให้เล็กลงมา 2. เป็นปัญหาที่สามารถศึกษาวิจัยได้ ปัญหาบางอย่างอาจไม่มีค าตอบหรือไม่อาจค้นคว้าหาข้อมูล ที่เป็นหลักฐานยืนยันค าตอบของปัญหาได้ 3. ปัญหาวิจัยที่ดีควรเป็นปัญหาที่สามารถพิสูจน์ได้ สามารถรวบรวมข้อมูลที่น่าเชื่อถือและ เที่ยงตรงเป็นค าตอบได้ 4. ปัญหาที่ดีควรเป็นปัญหาที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาทฤษฎีหรือเป็นแนวทางในการน าผลการวิจัย ไปประยุกต์ใช้ปฏิบัติงานหรือปรับปรุงการท างาน อาจพิจารณาจากผลวิจัยและความรู้ที่ได้มีอยู่แล้วหรือไม่ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้มีส่วนช่วยให้เข้าใจปัญหาและข้อค าถามในสาขาวิชานั้น ๆ หรือไม่ 5. ปัญหาที่ดีควรเป็นปัญหาที่ได้ค าตอบหรือผลการวิจัยที่จะสามารถน าไปใช้อ้างอิงได้ทั่วไป (Generalization) หรือมีความเที่ยงตรงภายนอก (External Validity) คือ สามารถน าผลวิจัยไปใช้อ้างอิง ในสถานการณ์อื่น ๆ ในท านองเดียวกันได้ 6. ปัญหาวิจัยที่ดีไม่ควรใช้เงินและเวลาในการท าวิจัยมากมายจนเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเป็น งานวิจัยประยุกต์ ไม่ควรใช้ระยะเวลาท าวิจัยยาวนานจนท าให้ผลการวิจัยไม่ทันต่อเหตุการณ์ 7. ปัญหาวิจัยที่ดีควรมีคุณสมบัติสอดคล้องเหมาะสมกับผู้วิจัยกล่าวคือเป็นเรื่องที่ผู้วิจัยมีความ สนใจอยากศึกษาหาค าตอบด้วยความกระตือรือร้นเป็นปัญหาที่ผู้วิจัยมีพื้นฐานความรู้ความสามารถและ ประสบการณ์ เป็นปัญหาที่ผู้วิจัยมีแหล่งสนับสนุนการท าวิจัย เช่น เงินทุนการท าวิจัยหรือเป็นปัญหาการ วิจัยที่ใช้ค าใช้จ่ายไม่สูงเกินความสามารถของผู้วิจัยที่จะท าวิจัย 8. ปัญหาในการวิจัยที่ดีควรเป็นปัญหาที่ริเริ่มสร้างสรรค์แปลกใหม่ยังไม่เคยมีผู้ใดศึกษามาก่อน สรุปได้ว่าปัญหาการวิจัยเป็นจุดเริ่มต้นในการวิจัยเป็นการก าหนดขอบเขตการศึกษา เพื่อน าเสนอ ให้เหตุภูมิหลังที่มาของปัญหาท าให้ผู้ที่ศึกษาได้ทราบและมีความเข้าใจในการออกแบบการวิจัยได้อย่าง เหมาะสม
7 2.3.2. การทบทวนเอกสาร บทความ ต ารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง Schumacher and McMillan, 1993: 112-113 กล่าวว่าการทบทวนวรรณกรรม เป็นการสรุปและสังเคราะห์ เนื้อหาต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัย กล่าวได้ว่าเป็นการวิพากษ์ วิจารณ์ องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ท าวิจัยเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ผู้อ่านงานวิจัยมีความรู้ความ เข้าใจใน วัตถุประสงค์ของการวิจัยและสนับสนุนผลการวิจัย แหล่งค้นคว้าเพื่อการทบทวนวรรณกรรมสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้ 2.1 ส่วนข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) หมายถึง แหล่งข้อมูลพื้นฐานจากเจ้าของ ข้อมูล ได้แก่ ต้นฉบับข้อมูล ข้อมูลของตัวบุคคล ซึ่งส่วนมากเป็นข้อมูลจากการสัมภาษณ์ สอบถาม มี รายละเอียดมาก และเป็นข้อมูลเชิงลึก 2.2 ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) เป็นข้อมูลที่มีผู้รวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูล ความรู้ที่มีอยู่ไว้เรียบร้อยแล้ว มีทั้งข้อมูลความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีและหลักฐานเชิงประจักษ์ เช่น หนังสือ ต ารา เอกสาร รายงานวิธีการทบทวนวรรณกรรม Schumacher and McMillan (1993: 116- 117,138 อ้างถึงใน ประทุม ฤกษ์กลาง, 2553: 32-33) การทบทวนวรรณกรรมควรกระท าเป็น ขั้นตอนเรียงตามล าดับอันจะช่วยให้นักวิจัยมีความรู้ความเข้าใจใน ปัญหาที่ศึกษาวิจัยเพิ่มขึ้น นักวิจัยควรท าตามขั้นตอนดังนี้ 1. ท าการวิเคราะห์ปัญหาในการวิจัย ในแง่แนวคิดและตัวแปรที่ต้องการศึกษา 2. ค้นคว้าและอ่านวรรณกรรมในแหล่งทุติยภูมิ เพื่อทบทวนอย่างย่นย่อในประเด็นหัวข้อที่ ก าลังท าวิจัยซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยนิยามปัญหาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 3. คัดเลือกรายชื่อของแหล่งบริการและฐานข้อมูลซึ่งมีข้อมูลปฐมภูมิอยู่ 4. แปลงปัญหาวิจัยเป็นค าหลัก อาจเป็นค าหลักของแนวคิดส าคัญหรือชื่อตัวแปร ทั้งนี้เพื่อการ น าค าหลักไปศึกษาค้นคว้าข้อมูล 5. ศึกษาค้นคว้าข้อมูลทั้งด้วยตนเองในห้องสมุดและค้นผ่านระบบคอมพิวเตอร์ในฐานข้อมูล 6. อ่านเอกสารและวรรณกรรมที่รวบรวมมาได้และจดโน้ตย่อลงในกระดาษแข็งพร้อมจด บรรณานุกรม 7. จัดระบบเรียบเรียงโน้ตย่ออาจเรียงข้อมูลได้หลายวิธี เช่น เรียงตามประวัติหรือช่วงระยะเวลา หรือเรียงตามตัวแปรที่ใช้ศึกษา 8. เขียนรายงานการทบทวนวรรณกรรม โดยควรแยกเป็น บทน า บทวิจารณ์และการสรุป
8 การทบทวนวรรณกรรมจึงมีความส าคัญต่อการท าวิจัยทุกครั้ง เนื่องจากจะเป็นหลักการที่ส าคัญ ทางทฤษฎี แนวคิดต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้วิจัยได้มีแนวคิดที่สอดคล้องกับหลักการที่ถูกต้องและแสดงให้เห็น ถึงการศึกษาค้นคว้าในการหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนงานวิจัยของตนเอง 2.3.3. การตั้งสมมติฐานของการวิจัย ณรงค์โพธิ์พฤกษานันท์ (2551:143) ได้สรุปความหมายของสมมติฐานการวิจัย หมายถึง ข้อเสนอ Proposal ที่เป็นข้อสมมติที่ผู้วิจัยคาดคะเนหรือคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้า สมมติฐานจึง เปรียบเสมือนค าตอบที่คาดคะเนไว้ล่วงหน้า สมมติฐานการวิจัยนี้จะมีความสัมพันธ์กับปัญหาวิจัย ปัญหา วิจัยเปรียบเสมือนค าถามที่ผู้วิจัยก าหนดขึ้น เตือนจิตต์ จิตต์อารี (2537:30) ได้ให้ความหมายของสมมติฐานการวิจัย หมายถึง ค าตอบหรือแนวทางในการวิจัยที่ผู้วิจัยคาดว่าหรือเดาเอาว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้เพื่อเป็นการช่วย ก าหนดขอบเขตการจัดหาข้อมูลให้กระทัดรัดและมีจ านวนตัวแปรตามความจ าเป็น พรทิพย์ พิมลสินธุ์ (2551:74-75) ได้แบ่งสมมติฐานของการวิจัยเป็น 2 ประเภท คือ 1. สมมติฐานการวิจัย (Research Hypothesis) เป็นข้อความที่บอกว่าหรือคาดคะเน ว่าตัวแปรที่จะศึกษานั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร โดยมีเจตนาที่จะคาดคะเนว่าค าตอบของปัญหาวิจัยนั้น คืออะไร 2. สมมติฐานสถิติ (Statistical Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่ได้เปลี่ยนข้อความ ของสมมติฐานการวิจัยมาเป็นสัญลักษณ์และความหมายทางสถิติเพื่อพร้อมจะน าไปพิสูจน์ทางสถิติ สมมติฐานการวิจัยจึงเปรียบเสมือนการคาดคะเนทางการวิจัยของผู้วิจัยล่วงหน้าเพื่อแสวงหาค าตอบ ทางการวิจัยที่ถูกต้องและมีทิศทาง กระชับ ชัดเจนและยังช่วยสนับสนุนในการอภิปรายผลการวิจัย 2.3.4. การออกแบบการวิจัย ณรงค์ โพธิ์พฤกษานันท์ (2551:103) ได้ให้ความหมายของการออกแบบงานวิจัย หมายถึงการวางแผนการด าเนินการวิจัยอย่างเป็นระบบและใช้ระเบียบวิธีการวิจัยให้เหมาะสม นิศากร สิงหเสนี (2546:31) ได้ให้ความหมายของการออกแบบงานวิจัย หมายถึง การวางแผนวิจัยให้ครอบคลุมโครงการที่จะท าการศึกษาและก าหนดเค้าโครงหรือโครงสร้างของตัวแปร ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรเหล่านั้นกับการก าหนดยุทธวิธีหรือวิธีการ เพื่อให้ได้มาซึ่งค าตอบที่ต้องการทราบจากการวิจัย
9 ขั้นตอนการออกแบบการวิจัย การออกแบบการวิจัยนั้นกระท าหลังจากนักวิจัยได้ก าหนดชื่อเรื่องวิจัย สมมติฐานและ วัตถุประสงค์แล้วจากนั้นจึงมาออกแบบด าเนินการวิจัยในเชิงปฏิบัติ การออกแบบการวิจัยนี้จะต้องท าให้ ครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่“เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล การแปรผล การสรุปผล และการ จัดท ารายงานการวิจัย”การออกแบบการวิจัยเป็นกระบวนการวางแผนโครงการวิจัยหรือเค้าโครงการวิจัย ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ (ณรงค์โพธิ์พฤกษานันท์, 2551:105-106) 1. การก าหนดขอบเขตการวิจัยควรกลับไปทบทวนว่าเรื่องหรือประเด็นปัญหาการวิจัย ข้อค าถาม วัตถุประสงค์ สมมติฐาน การก าหนดตัวแปรและกรอบแนวคิดว่าเป็นที่พอใจหรือยังจะปรับปรุง อะไรให้หนักแน่นขึ้นเพื่อยืนยันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ของเรื่องวิจัยและตัดสินใจวางแผนการวิจัยให้ สอดคล้องกับเรื่องวิจัย 2. การก าหนดระเบียบวิธีการวิจัย จากขอบเขตของเรื่องวิจัยจะช่วยให้นักวิจัยซึ่งจะเป็น สถาปนิกออกแบบการวิจัยตัดสินใจว่าจะเลือกวิธีการวิจัยอย่างไรโดยทั่วไปแล้วการก าหนดระเบียบวิธีการ วิจัย มีดังต่อไปนี้ 2.1 การเลือกประเภทการวิจัย 2.2 การศึกษาข้อมูล คือ การศึกษาข้อมูลทุติยภูมิจากวรรณกรรมต่าง ๆ และ ข้อมูลปฐมภูมิจากประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างเป็นต้น 2.3 เลือกประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นใคร กลุ่มไหน อยู่ที่ไหน จะคัดเลือก อย่างไรวิธีการสุ่มอย่างไรและใช่จ านวนท าใดเพื่อสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ 2.4 เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ถ้าหากเป็นการวิจัยเชิงส ารวจและเชิง คุณภาพจะใช่เครื่องมืออะไรเก็บข้อมูล โดยพิจารณาถึงระดับการศึกษาของกลุ่มตัวอย่างด้วย 2.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ถ้าเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณต้องระบุชนิด สถิติที่ใช้มาตรวัดตัวแปรและโปรแกรมที่ใช้วิเคราะห์ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพก็ต้องระบุว่าจะวิเคราะห์เนื้อหา เพื่อการสร้างรูปแบบ เป็นต้น 3. การก าหนดแผนกิจกรรม การระบุกิจกรรม และขั้นตอนการด าเนินการวิจัยตั้งแต่ เริ่มต้นจนส าเร็จ 4. การก าหนดทรัพยากรที่ใช้ ประกอบด้วยบุคลากร เงินงบประมาณ และวัสดุอุปกรณ์ที่ จ าเป็นต้องใช้อย่างชัดเจน 5. การจัดท าโครงการวิจัย เมื่อออกแบบการวิจัยตามขั้นตอนต่าง ๆ เหมาะสมแล้วก็ จัดท าหรือเตรียมโครงการวิจัยให้สมบูรณ์ เพื่อใช้ส าหรับเสนอขอทุนการวิจัยหรือเป็นคู่มือของนักวิจัย ต่อไป
10 2.3.5. การเก็บรวบรวมข้อมูลและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเพื่อน าไปวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลการวิจัยว่า เป็นไปตาม สมมติฐานหรือขัดแย่งกับสมมติฐานการวิจัยนั้นสามารถกระท าได้ โดยใช้เครื่องมือในการวิจัย เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือในการวิจัยมีด้วยกันหลายชนิด เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบสังเกต โดยมีเทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบบทดสอบ (Testing) คือ การใช้ชุดของข้อค าถามที่สร้างขึ้นเพื่อใช้วัดความรู้ สติปัญญาสมรรถนะ บุคลิกภาพและพฤติกรรมในรูปแบบต่าง ๆ แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ 1.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางความรู้ ความเข้าใจหรือผลสัมฤทธิ์ต่าง ๆ 1.2 แบบทดสอบวัดความถนัดและสติปัญญา 1.3 แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพ ได้แก่แบบทดสอบวัดทัศนคติ แบบวัดความ คิดเห็นแบบทดสอบวัดความพึงพอใจ 2. แบบสอบถาม (Questionnaire) คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ส่งไปให้กลุ่มตัวอย่างตอบเป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะเป็นวิธีที่ท าได้ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายได้จ านวนมากสะดวกต้อการวิเคราะห์และการเก็บไว้เป็นหลักฐานได้นานสามารถ แบ่งได้2 ประเภท คือ 2.1 แบบสอบถามแบบปลายเปิด (open ended questionnaire) เป็น แบบสอบถามที่ตั้งค าถามอย่างกว้าง ๆ เปิดโอกาสให้ผู้ตอบตอบได้อย่างอิสระโดยผู้วิจัยน าผลการสอบถาม ประมวลในลักษณะการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) 2 .2 แบบสอบถามแบบปลายปิด (close ended questionnaire) เป็น แบบสอบถามที่ผู้สร้างมีจุดมุ่งหมายในการก าหนดค าตอบและจัดเตรียมค าตอบไว้ล่วงหน้าแล้วมีการให้ ตัวเลือกที่หลากหลายค าตอบโดยให้ผู้ตอบเพียงเลือกค าตอบที่ก าหนดให้เท่านั้น 3. การสัมภาษณ์(Interview) คือ วิธีการในการส ารวจข้อเท็จจริงจากผู้ที่ให้ข้อมูลหรือ ผู้เชี่ยวชาญ โดยการพบปะสนทนามีจุดมุ่งหมายระหว่างผู้ที่ต้องการทราบเรื่องราวซึ่งเรียกว่าผู้สัมภาษณ์ (interviewer) กับผู้ให้เรื่องราวซึ่งเรียกว่า ผู้ให้สัมภาษณ์(interviewer) โดยลักษณะการสัมภาษณ์จะเป็น วิธีการพบปะกับผู้ให้ข้อมูลโดยตรง (face to face) ประเภทของการสัมภาษณ์สามารถแบ่งออกตาม โครงสร้างของการสัมภาษณ์ได้เป็น 2 ประเภทคือ 3 .1 ก ารสัมภ าษณ์ แบบมีโครงส ร้าง (structured interview) เป็นการ สัมภาษณ์ที่ก าหนดหรือเตรียมค าถามไว้ล่วงหน้าอย่างเรียบร้อยในลักษณะเป็นแบบสัมภาษณ์หรือ แบบสอบถามซึ่งเป็นค าถามและมีแนวค าตอบไว้ให้เลือกสัมภาษณ์ตามแบบสัมภาษณ์
11 3.2 การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (unstructured interview) เป็นการ สัมภาษณ์ที่ไม่มีแบบก าหนดตายตัวโดยที่ผู้สัมภาษณ์ตั้งค าถามที่เปิดโอกาสให้ผู้สัมภาษณ์ได้แสดงความ คิดเห็นของตนเองเป็นค าถามแบบปลายเปิด 4. การสังเกต (Observation) คือ การศึกษาให้ทราบถึงลักษณะปัจจัยหรือความ แปรเปลี่ยนของสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับปัญหาในการวิจัยหรือเรื่องที่จะวิจัย กล่าวโดยย่อ การ สังเกต คือการพิจารณาปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ผู้วิจัยจ าเป็นต้องคงถึงความตั้งใจในการสังเกตปราศจาก ความล าเอียง และการแปลความหมายในการสังเกต ตลอดจนแสดงความสัมพันธ์ในการสังเกต มีการ บันทึกรายละเอียดต่าง ๆ อย่างชัดเจน 5. การสนทนากลุ่ม (Focus group discussion) คือ กระบวนการสนทนากลุ่ม เป็นการ ตั้งประเด็นค าถาม โดยผู้วิจัยเป็นผู้น าการสนทนา (Moderator) ร่วมกับผู้ให้ข้อมูลประมาณ 6-12 คน ใน การให้ข้อมูลในเชิงลึกเป็นการสื่อสารแบบเผชิญหน้าและตอบโต้ประเด็นหาข้อสรุปเพื่อให้ทราบข้อมูลได้ ในทันที การหาคุณภาพเครื่องมือ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีคุณลักษณะแตกต่างกันจึงขึ้นอยู่กับการออกแบบ การวิจัยที่ผู้วิจัยต้องการทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึกสิ่งที่ส าคัญของเครื่องมือในการวิจัยคือกระบวนหา คุณภาพของเครื่องมือสามารถอธิบายได้ดังนี้ 1. ความเที่ยงตรง (Validity) เป็นการทดสอบคุณสมบัติของเครื่องมือนั้น มีสามารถวัด ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะวัด เช่น ตรงกับเนื้อหา ตรงตามเกณฑ์ที่จะวัด ตรงตามโครงสร้าง 2. ความเชื่อมั่น (Reliability) เป็นการทดสอบคุณสมบัติเครื่องมือที่มีการวัดผลได้คงที่มี ความสม่ าเสมอ กล่าวได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถวัดซ้ าได้อย่างคงเส้นคงวาใครก็สามารถน าไปใช้วัดผลได้ 2.3.6. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยเพื่อศึกษาน าไปสู่ข้อสรุปผลทั้งในเชิงปริมาณและ คุณภาพกล่าวได้ว่าเป็นการประมวลผลการศึกษาโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จึงควรค านึงถึงการ วิเคราะห์ข้อมูลที่ง่ายต่อความเข้าใจ มีความชัดเจน ไม่ซับซ้อน และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางการวิจัย โดยการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถแบ่งประเภทได้ ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน คือการจ าแนกข้อมูล ตามสภาพการณ์จากผลข้อมูลที่ ค้นพบโดยแสดงค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ เป็นต้น 2. การวิเคราะห์ข้อมูลในกรณีที่มีการตั้งสมมติฐานที่ต้องพิสูจน์ผู้วิจัยมีความจ าเป็นต้อง ใช้สถิติเพื่อการทดสอบสมมติฐาน เช่น t-test, z-test, F-test, ANOVA, ACOVA, MANOVA เป็นต้น
12 โดยการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยจึงควรจัดท าเป็นตารางและมีการแปลผลเพื่อให้เกิดความ ง่ายต่อการเข้าใจ ดังนั้นผู้วิจัยจึงจ าเป็นต้องศึกษาหลักการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติเพื่อเลือกการตอบโจทย์ การวิจัยที่ถูกต้องและชัดเจน 2.3.7 การตีความหมายข้อมูล การตีความหมายข้อมูล (Interpretation) หมายถึงการน าความหมายหรือการอธิบาย ผลของการวิเคราะห์ข้อมูล การตีความหมายนี้เป็นการอธิบายในรายละเอียดเพิ่มขึ้นจากผลการวิเคราะห์ ข้อมูล สรุปผลขอมูลในแต่ละประเด็นโดยเน้นหลักการตีความหมายเพื่อสร้างความเข้าใจ ทั้งนี้ควรค านึงถึง ข้อมูลที่มีอยู่ในการวิจัยมาใช้เพียงอย่างเดียว ไม่มีการเอาความคิดเห็นส่วนตัวหรือประสบการณ์เข้ามาร่วม ในการตีความจะท าให้เกิดความเอนเอียงในการวิจัยได้ 2.3.8 การเขียนรายงานการวิจัย การเขียนรายงานการวิจัย คือการรายงานผลการวิจัยอย่างเป็นระบบมีการก าหนดรูปแบบ ทางการเขียนรายงานไว้เป็นสากล เพื่อให้มีความง่าย ชัดเจนและเป็นระบบ ในการน าเสนอของผู้วิจัยจึงมี จุดมุ่งหมายในการบอกให้ผู้ศึกษางานวิจัยได้ทราบถึงปัญหาและกระบวนการแก้ปัญหาโดยน าเสนอเป็น รายงานต่าง ๆ ดังนี้ การเขียนรายงานการวิจัยทางสังคมศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนน า ส่วนเนื้อหา และส่วนท้าย ดังมีรายละเอียดดังนี้ 1. ส่วนน า ประกอบด้วย - ปกนอก ประกอบด้วย ชื่อเรื่องวิจัย ชื่อผู้วิจัย หน่วยงานในการท าวิจัย แหล่งทุนวิจัยสนับสนุน ปีที่จัดพิมพ์ - ปกใน จะมีรายละเอียดเหมือนปกนอก - บทคัดย่อ (Abstract) เป็นการสรุปงานวิจัย เพื่อให้ผู้ศึกษางานวิจัยสามารถ เข้าใจงานวิจัยได้อย่างชัดเจน ซึ่งประกอบด้วย วัตถุประสงค์กระบวนการวิจัย เครื่องมือ และผลการวิจัย โดยน าเสนอทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวประมาณ 200-300 ค า - กิตติกรรมประกาศ เป็นส่วนผู้วิจัยที่จะแสดงความคิดเห็นขอบคุณผู้ให้ความ ช่วยเหลือ แรงจูงใจการท าวิจัย ปัญหาอุปสรรค ซึ่งสามารถเขียนได้อย่างอิสระ - สารบัญ เป็นส่วนการแสดงหัวข้อโดยน าเสนอเป็นบท และมีเลขหน้าก ากับเพื่อ ความชัดเจนและสะดวกในการศึกษา และควรมี สารบัญตาราง สารบัญแผนภูมิ สารบัญภาพ ประกอบด้วยเช่นเดียวกัน
13 2. ส่วนเนื้อหา ในการวิจัยทางสังคมศาสตร์โดยทั่วไปมักจะมีการน าเสนอเป็น 5 บท ดังนี้ บทที่ 1 บทน า - ความเป็นมาของปัญหาการวิจัย (อธิบายถึงที่มาของการวิจัย เช่น นโยบาย ปัญหา แนวทางการแก่ปัญหา ข้อสรุปในการท าวิจัย) - วัตถุประสงค์การวิจัย (ก าหนดสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา มีลักษณะเป็นรายข้อ) - ค าถามการวิจัย (หากมี) เป็นการตั้งค าถามเพื่อเตือนผู้วิจัยในการศึกษาโดยมี ความสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์การวิจัยอาจมีมากกว่าวัตถุประสงค์ก็เป็นไปได้ - สมมติฐานการวิจัย(การก าหนดแนวทางการตอบวัตถุประสงค์หรือผลการที่ คาดการไว้ล่วงหน้า โดยมักสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย) - ขอบเขตของงานวิจัย (ประชากร กลุ่มตัวอย่าง ข้อจ ากัดการวิจัย นิยามศัพท์ ที่เกี่ยวข้อง) - กรอบแนวคิดทางการวิจัย (ทฤษฏี ตัวแปรที่ต้องการศึกษาและมีความ เกี่ยวข้องเชื่อมโยงและมีเหตุมีผลสัมพันธ์ต่อกันน าเสนอในรูปแบบแผนภูมิที่ง่ายต่อความเข้าใจ) - ประโยชน์ของการวิจัย บทที่ 2 วรรณกรรมงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นการน าทฤษฎีมาสนับสนุนการวิจัยเพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ โดยแสดง แนวคิดต่าง ๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับงานวิจัย ทั้งนี้ผู้วิจัยควรมีการเรียบเรียง อ้างอิง และสรุปเอกสารให้มี ความชัดเจนตามหลักการอย่างเหมาะสมน าเสนอเป็นหัวข้อย่อยประกอบด้วย - แนวคิด ทฤษฎี เอกสาร บทความ - งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (ในประเทศและต่างประเทศ) บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย - ขั้นตอนการด าเนินการวิจัย (มีลักษณะเป็นหัวข้อย่อยอธิบายถึงแผนการ ด าเนินการวิจัยตั้งแต่ต้นจนจบผลงาน) - เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา (แบบสัมภาษณ์แบบประเมิน แบบสังเกต ฯลฯ) - การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ (ความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของ เครื่องมือโดยมีการใช้สถิติเพื่อก าหนดคุณภาพตามระเบียบการวิจัย) - ขั้นการด าเนินการทดลอง หรือการเก็บรวบรวมข้อมูล (แสดงให้เห็นถึงการ ได้มาของการวิจัยที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ โดยคุณภาพจะประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ ประสิทธิภาพ ประเมินจากกลุ่มตัวอย่าง)
14 - การเก็บรวบรวมข้อมูล (อธิบายการได้มาของข้อมูลน าเสนอเป็นรายข้อ) - การวิเคราะห์ข้อมูล (พิจารณาให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์) บทที่ 4 วิเคราะห์ข้อมูล - เป็นการน าผลของการวิเคราะห์ข้อมูลและตีความหมายโดยน าเสนอเป็น ตอน ๆ ตามวัตถุประสงค์โดยใช้ตาราง แผนภูมิ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและชัดเจน บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ เป็นการสรุปภาพรวมการวิจัยโดย ย่อประกอบด้วย - วัตถุประสงค์การวิจัย การด าเนินการวิจัย วิธีการด าเนินการวิจัย - สรุปผลของการวิจัย (น าเสนอเป็นรายข้อ) - อภิปรายผลการวิจัย(การค้นพบจากการวิจัยสอดคล้องกับทฤษฏีและ งานวิจัยอื่น ๆ อย่างไร) - เสนอแนะ ประกอบด้วย ข้อเสนอแนะทั่วไป คือการเสนอแนะในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับข้อค้นพบในการวิจัย และเสนอแนะหัวข้อหรือประเด็นสมควรที่จะมีการท าวิจัยต่อไป ส่วนท้าย - บรรณานุกรม เป็นการรวบรวมรายเจ้าของผลงาน บทความ ต ารา หนังสือ เอกสาร งานวิจัยที่ผู้วิจัยอ้างอิง ทั้งงานของประเทศไทยและต่างประเทศ โดยน าเสนอในรูปแบบที่เป็น ม าต รฐานส ากล เช่น APA Style (American Psychological Association) MLA Style (Modern Language Association) Chicago Style Vancouver Style Harvard Style เป็นต้น - ภาคผนวก ซึ่งได้แก่ รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่างแบบสอบถาม แบบ ประเมิน ผลการวิเคราะห์เครื่องมือ ตัวอย่างเครื่องมือ จดหมายติดต่อ หรือส าเนาเอกสารที่ส าคัญและ เกี่ยวข้อง - ประวัติผู้วิจัย เป็นข้อมูลส่วนบุคคลอย่างสังเขปของผู้วิจัย สามารถสรุปได้ว่าการวิจัยคือการแสวงหาความรู้อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะน าเสนอตามวัตถุประสงค์ ที่ผู้วิจัยได้ก าหนดซึ่งเป็นประโยชน์การศึกษาค้นคว้าของตนเอง หรือองค์กร เป็นการตอบปรากฏการณ์ สภาพการ การแก้ปัญหา หรือการประเมิน ซึ่งมีการก าหนดกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยที่สามารถอ้างอิงได้ โดยใช้เครื่องมือในการประเมินอย่างมีคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้หลักการตามกระบวนการวิทยาศาสตร์ ผ่านการตีความหมายอย่างถูกต้องและเกิดความเข้าใจ ตลอดจนน าเสนอในรูปแบบรายงานที่มีรูป แบบอย่างสมบูรณ์และเป็นสากล ซึ่งมีส่วนส าคัญประกอบด้วยความส าคัญและปัญหาของการวิจัย วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิธีการด าเนินการวิจัย ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สรุป อภิปรายและ
15 ข้อเสนอแนะเป็นสิ่งที่ส าคัญจะช่วยให้นักวิจัยได้ทราบถึงสภาพปัญหาปัจจุบัน ความต้องการ แนวทางการ พัฒนาที่จะช่วยให้การศึกษามีความสมบูรณ์ขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อองค์กรต่อไป 2.4 คุณสมบัติของนักวิจัย นักวิจัยที่ดีคือผู้ที่รู้เนื้อหาที่จะวิจัยอย่างดี รู้วิธีการวิจัย มีจรรยาบรรณและความซื่อสัตย์ใน การท าวิจัย มีความคิดที่กระจ่าง ชัดเจน เป็นระบบ มีขั้นตอน และมีความสามารถในการสื่อความหมายที่ กระชับ ชัดเจน ถูกต้อง (precise) ตรงเวลาและตัดสินใจเป็น (เรื่องเดียวกัน: 4) เนื่องจากงานวิจัยเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่งกระท าได้ไม่ง่ายนัก นักวิจัยจึงควรมี คุณลักษณะบางประการในการด าเนินการวิจัยเพื่อให้ผลของการวิจัยถูกต้อง น่าเชื่อถือ ดังนี้ (จรัส สุวรรณเวลา, 2528:13-15) คุณลักษณะประการแรก คือ การมีความสงสัย หรือเป็นผู้ที่มีแนวความคิดในการไม่เชื่อ สิ่งต่าง ๆ ง่าย ๆ จ าเป็นต้องมีหลักฐานและมีเหตุผล อันนี้จะตรงกันข้ามกับคนบางจ าพวกที่มีความเชื่อเป็น ตัวตั้ง และสามารถจะเชื่อสิ่งต่างๆ ได้ง่าย นักวิจัยจ าเป็นจะต้องพิจารณาสิ่งต่าง ๆ โดยมีวิจารณญาณ ฟังหูไว้หู เมื่อมีสิ่งใดใหม่ก็ต้องพิจารณาด้วยเหตุผลให้ถ่องแท้ก่อนจึงจะเชื่อ คุณลักษณะประการที่สอง ที่มาประกอบกับลักษณะดังกล่าว คือ การมีวิจารณญาณ นักวิจัยจะต้องมีความสามารถในการใช้เหตุผล ความสามารถในการไตร่ตรองเพื่อจะพิจารณาแยกแยะสิ่งที่ ควรเชื่อกับสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ สิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ในการใช้วิจารณญาณนั้นจ าเป็นต้องมีความรู้ พื้นฐานในแต่ละเรื่องที่พิจารณาและมีความสามารถในการใช้เหตุผลไตร่ตรอง ทั้งในเชิงตรรกวิทยาและใน เชิงของวิธีใช้ความคิดด้านอื่น ๆ คุณลักษณะประการที่สาม คือ การมีใจกว้าง ไม่ยึดมั่นในความคิดของตนเองว่าต้องถูก เสมอไป จะต้องเป็นผู้ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นหรือข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมและหากหลักฐานนั้น เป็นที่เชื่อถือได้ มีเหตุผลเพียงพอ ก็ไม่มีทิฐิที่จะยึดความเชื่อเดิม มีความสามารถที่จะยอมเปลี่ยน แนวความคิดของตนเองได้ ความเป็นผู้มีใจกว้างนี้จะต้องครอบคลุมไปถึงความสามารถในการรับฟัง ความเห็นผู้อื่น ตลอดจนความสามารถที่จะได้ความคิดเห็นในสิ่งต่าง ๆ โดยปราศจากอคติ หรือมีอคติ น้อยที่สุด คุณลักษณะประการที่สี่ คือ ความเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ การวิจัยมิใช่เป็นการเก็บข้อมูล เท่านั้น แต่เป็นการใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่หรือแนวคิดใหม่ขึ้น ผู้วิจัยจะต้องสามารถเอาข้อมูล หรือสิ่งต่าง ๆ มาปะติดปะต่อวิเคราะห์ แล้วในที่สุดสังเคราะห์ขึ้นเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติหรือเป็นสิ่งที่ จะขยายความสิ่งที่เรียกว่าเป็นความรู้หรือข้อเท็จจริงได้ ในการริเริ่มสร้างสรรค์นี้ จ าเป็นต้นอาศัยความสามารถที่จะคิดอย่างต่อเนื่อง สามารถจะ กระท าอย่างต่อเนื่องโดยเป้าหมายที่ชัดเจน จะต้องไม่มีลักษณะของการจับจดหรือท าสิ่งหนึ่งยังไม่ทัน
16 เสร็จก็จับอีกสิ่งหนึ่ง อย่างนี้ก็จะไม่สามารถท าการวิจัยได้ส าเร็จ จ าเป็นจะต้องยึดกับสิ่งที่กระท าไปจน ส าเร็จตามเป้าหมาย คุณลักษณะประการที่ห้า คือ ความเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จ าเป็นต้องพิจารณาข้อมูลตลอดจนความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้อยู่ในรูปที่ปราศจากอคติ ไม่พยายามผัน แปรข้อมูลเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่น จะต้องมุ่งมั่นที่จะได้ความจริงของธรรมชาติโดยแท้จริง จ าเป็นที่จะต้องพูดหรือกระท าโดยยึดความจริงของธรรมชาติอย่างแท้จริง จ าเป็นที่จะต้องพูดหรือกระท า โดยมีความซื่อสัตย์ คุณลักษณะประการที่หก คือ ความเป็นผู้มีความขยัน หมั่นเพียร มีความมานะอุตสาหะ ที่จะด าเนินการจนเป็นผลส าเร็จได้ เพราะว่าการวิจัยมักจ าเป็นต้องใช้ความพยายาม ในบางกรณีต้องใช้ ความพยายามมากขึ้นเป็นพิเศษ จึงจะสามารถให้ได้ข้อเท็จที่ถูกต้องยิ่งขึ้น การพยายามน้อยอาจจะท าให้ ข้อเท็จจริงที่ได้มีความคลาดเคลื่อนมากเกินไปก็ได้ การที่ผู้วิจัยจะต้องเป็นผู้มีความมานะอุตสาหะนี้ อาจจะขยายความไปถึงความเป็นผู้ที่มีความละเอียดลออ ต้องท างานโดยละมุนละม่อม มีความละเอียดใน การสังเกต ใช้สายตา ใช้มืออย่างละเอียดถี่ถ้วน ตลอดจนถึงความคิดที่ละเอียด มองทุกแง่ทุกมุม ไม่ท า หรือคิดอย่างหยาบแล้วทิ้ง รายละเอียดบางอย่างที่จะเป็นประโยชน์ไป คุณลักษณะประการสุดท้าย ผู้วิจัยควรเป็นผู้ที่มีความสุขกับการท างาน เป็นผู้ที่เกิดปีติ จากการที่ได้ท าการศึกษาและค้นพบ การที่ “ตถตา” มีความหมายว่า “มันเป็นเช่นนั้นโว้ย” เป็นอุทาน แสดงว่าเกิดความพอใจขึ้นจากการค้นพบ เช่น อาคีเมดีส มีความตื่นเต้นและดีใจ เมื่อสามารถค้นหาวิธี ใหม่ในการวัดปริมาตรได้ สภาพของความปีติที่เกิดขึ้นจากการค้นพบนี้ เป็นลักษณะพิเศษของนักค้นคว้า หรือนักวิจัยทั้งหลาย 2.5 จรรยาบรรณนักวิจัย จรรยาบรรณนักวิจัย หมายถึง หลักเกณฑ์ควรประพฤติปฏิบัติของนักวิจัยโดยทั่วไป เพื่อให้การด าเนินงานตั้งอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม ตลอดจนประกัน มาตรฐานของการศึกษา ค้นคว้าให้เป็นไปอย่างสมศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของนักวิจัย (ส านักงาน คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2541: 2) จรรยาบรรณในการวิจัยเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญของระเบียบวิธีวิจัย เนื่องด้วยใน กระบวนการค้นคว้าวิจัย นักวิจัยจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับสิ่งที่ศึกษา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ มีชีวิต การวิจัยจึงอาจส่งผลกระจายในทางลบต่อสิ่งที่ศึกษาได้ หากผู้วิจัยขาดความรอบคอบระมัดระวัง ส านักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (2541: 3-13) จึงก าหนด “จรรยาบรรณ นักวิจัย” ไว้ 9 ประการเพื่อเป็นแนวทางส าหรับนักวิจัยยึดถือปฏิบัติ อันจะท าให้การด าเนินงานวิจัย ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ จริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม ดังนี้
17 นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ นักวิจัยต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่น าผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่ลอกเลียน งานของผู้อื่น ต้องให้เกียรติ และอ้างถึงบุคคลหรือแหล่งที่มาของข้อมูลที่น ามาใช้ในงานวิจัย ต้องซื่อตรงต่อ การแสวงหาทุนวิจัย และมีความเป็นธรรมเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้จากการวิจัย นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการท าวิจัย ตามข้อตกลงที่ท าไว้กับหน่วยงานที่ สนับสนุนการวิจัย และต่อหน่วยงานที่ตนสังกัด นักวิจัยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีและข้อตกลงการวิจัยที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน อุทิศเวลาท างานวิจัยให้ได้ผลดีที่สุดและเป็นไปตามก าหนดเวลา มีความรับผิดชอบ ไม่ละทิ้งงานระหว่าง ด าเนินการ นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ท าการวิจัย นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาที่ท าวิจัยอย่างเพียงพอ และมีความรู้ ความ ช านาญ หรือมีประสบการณ์เกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่ท าวิจัย เพื่อน าไปสู่งานวิจัยที่มีคุณภาพ และเพื่อป้องกัน ปัญหาการวิเคราะห์ การตีความ หรือการสรุปที่ผิดพลาด อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่องานวิจัย นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต นักวิจัยต้องด าเนินการด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และเที่ยงตรงในการท าวิจัยที่ เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ พืช ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม มีจิตส านึกและมีปณิธานที่จะ อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย นักวิจัยต้องไม่ค านึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการจนละเลยและขาดความเคารพในศักดิ์ศรี ของเพื่อนมนุษย์ ต้องถือเป็นภาระหน้าที่ที่จะอธิบายจุดมุ่งหมายของการวิจัยแก่บุคคลที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยไม่หลอกลวงหรือบีบบังคับ และไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิด โดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการท าวิจัย นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิด ต้องตระหนักว่า อคติส่วนตน หรือความล าเอียงทาง วิชาการ อาจส่งผลให้มีการบิดเบือนข้อมูลและข้อค้นพบทางวิชาการ อันเป็นเหตุให้เกิดผลเสียหายต่อ งานวิจัย นักวิจัยพึงน าผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ นักวิจัยพึงเผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางวิชาการและสังคม ไม่ขยายผลข้อค้นพบ จนเกินความเป็นจริง และไม่ใช้ผลงานวิจัยไปในทางมิชอบ นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น นักวิจัยพึงมีใจกว้าง พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลและขั้นตอนการวิจัย ยอมรับฟังความ คิดเห็นและเหตุผลทางวิชาการของผู้อื่น และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขงานวิจัยของตนให้ถูกต้อง นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ
18 นักวิจัยพึงมีจิตส านึกที่จะอุทิศก าลังสติปัญญาในการท าวิจัย เพื่อความก้าวหน้าทาง วิชาการ เพื่อความเจริญและประโยชน์สุขของสังคมและมวลมนุษยชาติ 3. ทฤษฎีการวิจัย 3.1 ความหมายทฤษฎีการวิจัย แนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวแปรทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษา ซึ่ง ได้จากการทบทวนเอกสาร ทฤษฎี และ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่าง เช่น ผู้วิจัยมีความสนใจจะศึกษา ความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่ง ดังนั้นผู้วิจัยจะต้องเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ของตัวแปร ทั้งหมดที่มีความสัมพันธ์กับปรากฏการณ์นั้น ทั้งที่เป็นความสัมพันธ์ทางตรงและทางอ้อม ที่ ส่งผลหรือมีความสัมพันธ์กับอีกปรากฏการณ์หนึ่งหรืออีกตัวแปรหนึ่ง (สมมุติให้เป็นตัวแปร Y) 3.2 ความส าคัญ การก าหนดกรอบความคิดเชิงทฤษฎีที่ชัดเจนและครอบคลุม ปรากฏการณ์จะช่วยให้ผู้วิจัย สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่มีตัวแปร ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะท าการศึกษานั้นหลายตัวแปร ถ้ามีกรอบความคิดเชิงทฤษฎีที่ดีจะช่วยลดความ ซ้ าซ้อนในการเลือกใช้ตัวแปรซึ่งจะช่วยลดความยุ่งยากและซับซ้อน ในการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ ทางสถิติ 4. ทฤษฎีการวิจัยตามแนวพระพุทธศาสนา 4.1 การวิจัยกับพระพุทธศาสนา ค าว่า “วิจัย”มาจากค าว่า วิจโย หมายถึง “ปัญญา” การท าวิจัยเป็นลักษณะหนึ่งของการใช้ ปัญญา การท าวิจัยท าให้เกิดปัญญา ท าให้ปัญญา ตามรูปศัพท์แล้ว “วิจัย” แปลว่า “เฟ้น” คือการค้นหา สืบค้น ตรวจสอบพิสูจน์ ซึ่งมีระดับ ได้แก่ 1. ค้นหาความจริง 2. ค้นหาสิ่งที่ดี สิ่งที่ต้องการ สิ่งที่เป็นประโยชน์ 3. ค้นหาทางที่จะท าให้ดี หรือหาวิธีการที่จะท าให้ดี 4. ค้นหาที่จะท าให้ส าเร็จ เพื่อประโยชน์ต่อชีวิตและสังคมอันกลมกลืนกับธรรมชาติ สังเกตได้ว่าการวิจัยในระดับที่ 4 จะยากที่สุด เพราะผลวิจัยเป็นรูปธรรมมาก น าไปปฏิบัติจริงได้ ในขณะที่งานวิจัยทั่วไปจะให้ข้อเสนอแนะที่เป็นแนวทางที่ดี (อยู่ในระดับที่ 3) จะไม่สามารถรับรองได้ว่า ทางที่ดีนั้นจะท าได้จริงมากน้อยเพียงใดในทางปฏิบัติ
19 การวิจัยตรงกับค าภาษาอังกฤษว่า Research เกิดจากค า 2 ค ามารวมกันคือค าว่า RE+SEARCH จากรากศัพท์เดิมว่า การค้นหาซ้ าแล้วซ้ าอีกให้เกิดความมั่นใจ นอกจากนี้นักจิตวิทยาด้านการวิจัย ออกแบบแนวคิดอธิบายค าว่า “Research”ได้แยกอธิบายความหมายไว้ดังนี้ R = Recruitment & Relationship หมายถึง การฝึกตนให้มีความรู้ รวมทั้งรวบรวมผู้ที่มีความรู้ เพื่อปฏิบัติตามงานรวมกัน ติดต่อสัมพันธ์และประสานงานกัน E = Education & Efficiency หมายถึง ผู้วิจัยจะต้องมีการศึกษา มีความรู้และสมรรถภาพสูงใน การวิจัย S = Sciences & Stimulation หมายถึง เป็นศาสตร์ที่ต้องมีการพิสูจน์ค้นคว้า เพื่อหาความจริง และผู้วิจัยต้องมีความกระตุ้นในด้านความคิดริเริ่มกระตือรือร้นที่จะท าวิจัย E = Evaluation & Environment หมายถึง รู้จักประเมินผลว่ามีประโยชน์สมควรจะท าต่อไป หรือไม่ และต้องรู้จักใช้เครื่องมือต่างๆ ในการวิจัย A = Aim & Attitude หมายถึง มีจุดหมายหรือเป้าหมายที่แน่นอน และมีทัศนคติที่ดีต่อการ ติดตามผลการวิจัย R = Result หมายถึง ผลการวิจัยที่ได้มาเป็นผลอย่างไรก็ตามจะต้องยอมรับผลการวิจัยนั้นอย่าง ดุษฎี และเป็นผลที่ได้จาการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบ C = Curiosity หมายถึง ผู้วิจัยจะต้องมีความอยากรู้อยากเห็น มีความสนใจและขวนขวายในการ วิจัยอยู่ตลอดเวลา H = Horizon หมายถึงว่า เมื่อผลการวิจัยปรากฏออกมาแล้วย่อมท าให้ทราบและเข้าใจในปัญหา เหล่านั้นได้เหมือนกับการเกิดแสงสว่างขึ้น แต่ถ้ายังไม่เกิดแสงสว่าง ผู้วิจัยจะต้องด าเนินการต่อไป จนกว่า จะพบแสงสว่าง ในทางสังคมแสงสว่าง หมายถึง ผลการวิจัยก่อให้เกิดสุขแก่สังคม 4.2 กระบวนการวิจัย กระบวนการวิจัย มี 5 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ 1) การก าหนดปัญหาวิจัย 2) การก าหนดสมมติฐานการวิจัย 3) การรวบรวมข้อมูล 4) การวิเคราะห์ข้อมูล 5) การสรุปผลและอภิปรายผลวิจัย พระพุทธเจ้านั้น ใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) โดยใช้พระองค์เอง เป็น เครื่องมือในการทดลอง เพื่อสร้างบารมี (คุณความดี) ให้กับพระองค์ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า พระพุทธองค์ได้ประพฤติปฏิบัติบ าเพ็ญบารมีมา ๕๐๐ ชาติ โดยในแต่ละชาติจะบ าเพ็ญ ไม่ซ้ ากัน หรือ
20 แม้กระทั่ง ๑๐ ชาติที่พระองค์ทรงทดลองอย่างยิ่งยวดก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมา- สัมพุทธเจ้า คือ ใน ชาติที่เสวยชาติเป็น พระเตมีย์ (บ าเพ็ญเนกขัมมบารมี) พระมหาชนก (บ าเพ็ญ วิริยบารมี) สุวรรณสาม (บ าเพ็ญเมตตาบารมี) พระเนมิราช (บ าเพ็ญอธิษฐานบารมี) มโหสถบัณฑิต (บ าเพ็ญปัญญาบารมี) พระภูริทัต (บ าเพ็ญศีลบารมี) พระจันทกุมาร (บ าเพ็ญขันติบารมี) พระนารท- กัสสปะ (บ าเพ็ญอุเบกขาบารมี) วิฑูรบัณฑิต (บ าเพ็ญสัจจบารมี) พระเวสสันตร (บ าเพ็ญทานบารมี) จากการที่พระองค์ทรงบ าเพ็ญบารมีนั้นพระองค์ทรงมี/ตั้งวัตถุประสงค์โดยเปล่งพระวาจาบุพนิมิต แห่ง พระโพธิญาณว่า “อคฺโคหสฺมิ โลกสฺส, เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส, เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ : นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว”4 เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก การ เกิด ของเราในครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย การเกิดต่อไปไม่มีอีกแล้ว พระวาจาที่พระองค์ทรงเปล่งออกมานั้น เป็นพระวาจาที่พระองค์ทรงเปล่งออกมาหลังจากที่พระองค์ประสูติออกจากพระครรภ์ของพระนางสิริมหา มายา ณ ลุมพินีวัน ซึ่งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ กับกรุงเทวทหะ ณ วันพุธขึ้น ๑๕ ค่ าเดือน ๖ ปีจอ เวลา สายใกล้เที่ยง 4.3 สมมติฐานของการวิจัย ตลอดระยะเวลา ๒๙ ปีที่พระองค์ด ารงเพศเป็นฆราวาส พระโพธิญาณ ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่ พระองค์ทรงตั้งไว้นั้น มิได้จางหายจากพระหทัยของพระองค์เลย อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์มีพระประสงค์จะ เสด็จทอดพระเนตรโลกภายนอกพระราชวัง จึงทรงขออนุญาตจาก พระราชบิดา เมื่อออกไปภายนอก พระราชวัง ณ ที่แห่งหนึ่ง ทรงทอดพระเนตรเห็น คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ซึ่งพระองค์ไม่เคยเห็นมา ก่อน จึงตรัสถาม ฉันนะว่า “ฉันนะ ทุกคนจะต้องเป็นเช่นนี้ ด้วยกันทั้งนั้นหรือ” ฉันนะ “ทูลกระหม่อม ทุกคนจะต้องเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด” เจ้าชายสิทธัตถะ “ทุกคนเชียวหรือ ฉันนะ เธอด้วย ฉันด้วย พ่อ แม่ ชายาของฉันด้วย จะต้อง เป็นอย่างนี้หรือ “ฉันนะ” ทูลกระหม่อม ทุกคน เมื่อนานเข้าจะต้องเป็น เช่นนี้ ไม่มียกเว้นเลย” ทรงระลึกถึงพระองค์ว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นบ้าง จึงทรงตั้งสมมติฐานในใจว่า “จะต้องมีอุบายแก้ทุกข์ทั้งสามได้บ้าง” ต่อมาได้พบ สมณะ พระองค์ทรงสนพระทัยในสมณะที่ได้ ทอดพระเนตรเห็น จึงทรงตั้งสมมติฐาน อีกว่า “การสละโลกออกไปอยู่ที่สงบอย่างสมณะนั้น จะท าให้
21 พระองค์ได้รับความสุขสงบ (พระโพธิญาณ)” พระองค์ได้ตัดสินใจออกผนวชเมื่อวันเพ็ญเดือน ๘ ปีเถาะ ก่อนพุทธศก ๕๑ ปี ณ ริมฝั่งแม่น้ าอโนมา 5 4.4 วิธีด าเนินการวิจัย 4.4.1 การวิจัยของพะพุทธองค์นั้น เป็นการศึกษาด้วยพระองค์เอง วัดผลหลังการทดลอง (The One-Shot Case Study)6 ตัวแปรอิสระหรือสิ่งทดลองคือ พระองค์เอง ตัวแปรตามคือ การสังเกต หรือวัดผลของการทดลอง จากการศึกษาด้วยพระองค์เอง 4.4.2 การศึกษาหรือรวบรวมข้อมูล พระองค์ได้มุ่งตรงไปยังส านักของอาฬารดาบส กาลาม โคตร ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ เจ้าลัทธิที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองราชคฤห์ พระองค์ได้ส าเร็จ สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน อรูปฌาน ๓ ในเวลาอันรวดเร็ว จนหมดความรู้ของอาจารย์ ทรงด าริว่า สมาบัติ ๘ ไม่ใช่ทางตรัสรู้แน่นอน จากนั้น ได้ทรงเสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ส านักของอุททกดาบส รามบุตร ทรงส าเร็จ อรูปฌาน ๔ ทรงพบว่า ธรรมที่เราศึกษานี้ไม่ใช่ทางน าออกจากทุกข์ (ตรัสรู้ พระสัพพัญญุตญาณ) 4.4.3 ศึกษาทดลองด้วยพระองค์เอง :พระองค์ได้เสด็จด าเนินไปยังต าบลอุรุเวลาเสนานิคม อยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ าเนรัญชรา ซึ่งเป็นสถานที่สงบเงียบ ทรงเริ่มบ าเพ็ญเพียร (บ าเพ็ญทุกรกิริยา) ด้วยการ อดอาหาร กดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุ ด้วยพระชิวหา กลั้นลมหายใจเข้าออก ท าอยู่ อย่างนั้น จนพระกายซูบผอม กระดูกปรากฏทั่วพระวรกาย ทรงพระด าริว่า การทรมานร่างกายคงไม่ สามารถที่จะ ออกจากทุกข์ได้ ท้าวสักกเทวราช ได้ทราบพระด าริ จึงทรงดีดพิณ ๓ สายให้พระองค์สดับ สายที่หนึ่ง หย่อน เกินไป ย่อมให้เสียงไม่น่าฟัง สายที่สอง ตึงเกินไปก็จะขาด สายที่สาม ไม่หย่อนมาก ไม่ตึงมาก ย่อม มี เสียงไพเราะจับใจ ทรงพบว่า การบ าเพ็ญทุกรกิริยาไม่ใช่ทางตรัสรู้ 7จึงทรงตั้งสมมติฐานใหม่ว่า “การบ าเพ็ญเพียรทางจิตยึดมัชฌิมาปฏิปทาเป็นข้อปฏิบัติ จะเป็นหนทางน าไปสู่การพ้นทุกข์ได้” ผลการศึกษา จากสมมติฐานดังกล่าว พระองค์ทรงเริ่มปฏิบัติตนดังนี้ 1. ทรงเริ่มบริโภคอาหาร เพื่อให้มีพระวรกายแข็งแรง 2. ทรงบ่ายพระพักตร์ไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นที่เงียบสงัด ประทับนั่งบนหญ้าคา ๘ ก าที่โสตถิยพราหมณ์ถวาย ทรงอธิษฐานจิตอย่างอุกฤษฏ์ ว่า “แม้ว่าเลือดจะเหือดแห้งไป เนื้อจะหมด ไป เหลือแต่หนังเอ็นกระดูก ก็ตามที ตราบใดที่ยัง ไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เราจะไม่ลุกจากนี้ตราบนั้น” 3. ตั้งสติด ารงเฉพาะหน้า มีพระทัยดิ่งสู่สมาธิ แล้วทรงบรรลุ (ค้นพบ) พระสัมมาสัมโพธิ ญาณ ด้วยพระองค์เอง ตามล าดับดังนี้ ปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ญาณที่เป็นเหตุให้ระลึกชาติได้ มัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ คือ ญาณเป็นเหตุให้เกิดการหยั่งรู้การเกิดและ การตายของสัตว์ทั้งปวง
22 ปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันเป็นการบรรลุพระสัพพัญญุตญาณอย่างสมบูรณ์ แนวทางวิธีวิทยาการวิจัยส าหรับพุทธศาสนศึกษาในสังคมปัจจุบัน พุทธวิธีการวิจัยหรือวิธี วิทยาการวิจัยส าหรับพุทธศาสนศึกษาเป็นกระบวนการแสวงหา ความรู้ความจริงของพระพุทธเจ้าอันเป็น วิธีการเข้าถึงความรู้ความจริงในทางพระพุทธศาสนา โดยมีพื้นฐานทางปรัชญามาจากเหตุผลนิยม ปรากฏการณ์นิยม ประจักษ์นิยม และสัจนิยม โดย มีวิธีวิทยาการวิจัยส าหรับพุทธศาสนศึกษาในสังคม ปัจจุบันโดยมีกระบวนการ 2 ระยะ คือ 1. การคิดหัวข้อเป็นระยะที่ 1 ในกระบวนการวิจัยโดยเริ่มจากทุกข์ (ผล) เป็นขั้น ก าหนดปัญหา คืออะไร อยู่ที่ไหน และมีขอบเขตแค่ใดอันเป็นผลที่ผู้วิจัยอยากรู้ค าตอบ และหา สาเหตุของปัญหาด้วย สมุทัย (เหตุ) เป็นขั้นสืบสาวสาเหตุของปัญหาโดยใช้วิธีการของปรโตโฆสะและวิธีการคิดแบบโยนิโส มนสิการในการคิดวิเคราะห์เก็บรวบรวมข้อมูล และสร้างข้อสรุป อุปนัยเป็นผลการศึกษาในระยะที่ 1 เรียกว่าทฤษฎี (ทิฏฐิ) 2. การอธิบายการแก้ปัญหาเป็นระยะที่ 2 ในกระบวนการวิจัยโดยเริ่มจากนิโรธ (ผล) เป็นขั้นเก็ง นิโรธหรือการตั้งสมมติฐานที่นิรนัยมาจากทฤษฎี (ทิฏฐิ) ในระยะที่ 1 ให้เห็น กระบวนการแก้ปัญหาที่ เป็นไปได้อันเป็นผลที่ผู้วิจัยอยากรู้ค าตอบ และหาสาเหตุของการ แก้ปัญหาด้วยมรรค (เหตุ) เป็นขั้นหา เหตุแนวทางแก้ปัญหาเป็นกระบวนการแสวงหาข้อพิสูจน์ การตรวจสอบ และน าไปสู่การแก้ปัญหา โดยมี วิธีการเริ่มจากสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) ที่ได้มาจากทฤษฎี (ทิฏฐิ)ในระยะที่ 1 และต่อมาด้วยสัมมา สังกัปปะ อันเป็นส่วนของปัญญาใน ไตรสิกขา สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ อันเป็นส่วนของ ศีลในไตรสิกขา สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อันเป็นส่วนของสมาธิในไตรสิกขา ซึ่งมรรคนั้นเมื่อ สรุปย่อ ก็คือหลักไตรสิกขาเป็นการศึกษาในทางพระพุทธศาสนา และสัมมาทิฏฐิมีปัจจัยมาจากปรโตโฆ สะและโยนิโสมนสิการ แนวทางวิธีวิทยาการวิจัยส าหรับพุทธศาสนศึกษาในสังคมปัจจุบันกระบวนการของ อริยสัจเป็น กระบวนการวิจัย ด าเนินการวิจัยใน 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 กระบวนการค้นหา ปัญหาเป็นการคิดหัวข้อ การวิจัยโดยใช้หลักการอุปนัยในการก าหนดปัญหา (ทุกข์) และสืบสาวปัญหา (สมุทัย) แล้วสรุปเป็นอุปนัย และระยะที่ 2 กระบวนการแก้ปัญหาใช้หลักการนิรนัยจาก ระยะที่ 1 ออกมาเป็นสมมติฐาน (นิโรธ) แล้ว ไปเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการแสวงหาข้อพิสูจน์ ตรวจสอบและน ามาวิเคราะห์ (มรรค) ทั้งนี้เป็นเพราะ กระบวนการเข้าสู่ความรู้ความจริงตาม หลักอริยสัจ 4 เป็นหลักธรรมส าคัญที่ครอบคลุมค าสอนทั้งหมดใน พระพุทธศาสนา
23 บรรณานุกรม กนก วงษ์ตระหง่าน. (2564). ครูลาออกทนภาระงานเอกสารไม่ไหวสะท้อนระบบการศึกษา การวิจัยเชิงปริมาณ ชุด 7. [online] เข้าถึงได้จาก www.sut.ac.th/ist/Courses/204301/การวิจัยเชิง ปริมาณ%20ชุด7.ppt (วันที่ค้นข้อมูล: 20 กรกฎาคม 2566). ณรงค์โพธิ์พฤกษานันท์. ระเบียบวิธีวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: บริษัท ส.เอเซียเพลส (1989) จ ากัด, 2551. ดร.กุลชญา ลอยหา. เข้าถึงได้จาก : https://www.ubu.ac.th/web/files_up/08f2016052410 413999.pdf (วันที่ค้นข้อมูล: 19 กรกฎาคม 2566). เตือนจิตต์จิตต์อารี. การวิจัยการประชาสัมพันธ์. กรุงเทพฯ: ม.ป.พ., 2537. นิศากร สิงหเสนี. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราช วิทยาลัย, 2546. ประทุม ฤกษ์กลาง. การวิจัยเพื่อการประชาสัมพันธ์. พิมพ์ครั้งที่ 15. กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, 2553. พรทิพย์พิมลสินธุ์. การวิจัยเพื่อการประชาสัมพันธ์. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2551. อาจารย์ดร.เอกนฤน บางท่าไม. เข้าถึงได้จาก : https://www.sc.su.ac.th/knowledge/research.pdf. (วันที่ค้นข้อมูล: 20 กรกฎาคม 2566).