The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by worachol200, 2023-07-28 05:03:28

การคิดแยกแยะระหว่าง ประโยชน์ส่วนตนประโยชน์ส่วนรวม

การแยกแยะผลประโยชน์ต่างๆ

การคิดแยกแยะระหว่าง ประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชน์ส่วนรวม


การแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ส่วนตน (private interest) คือ การที่บุคคลทั่วไปในสถานะเอกชนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ใน สถานะเอกชนได้ทำ กิจกรรมหรือได้กระทำ การต่างๆ เพื่อประโยชน์ ส่วนตน ครอบครัว เครือญาติพวกพ้อง หรือของกลุ่มในสังคมที่มี ความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่างๆ ประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ สาธารณะ (public interest) คือ การที่บุคคลใดๆ ในสถานะที่เป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐ (ผู้ดำ รงตำ แหน่งทางการเมือง ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใน หน่วยงานของรัฐ) ได้กระทำ การใดๆ ตามหน้าที่ หรือได้ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการ ดำ เนินการในอีกส่วนหนึ่งที่แยกออกมาจากการดำ เนินการตาม หน้าที่ในสถานะของเอกชน ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจากความเห็น แก่ตัว ความต้องการอยากได้อยากมี โดยไม่คำ นึงถึงว่าจะกระทบ ต่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างไร


ประโยชน์ส่วนตน (Private interest) หมายถึง ผลประโยชน์ที่บุคคล ได้รับรั โดยอาศัยตำ แหน่งหน้าที่ของตน หาผลประโยชน์จากบุคคลหรือรื กลุ่มบุคคล ผลประโยชน์ส่วนตนมีทั้งที่เกี่ยวกับเงินทองและไม่ได้เกี่ยว กับเงินทอง เช่น ที่ดิน หุ้น หุ้ ตำ แหน่ง หน้าที่ สัมปทาน ส่วนลด ของ ขวัญ หรือรืสิ่งที่แสดงน้ำ ใจไมตรี อื่นๆ การลำ เอียง การเลือกปฏิบัติ เป็นต้น


ประโยชน์ส่วนรวม (Public interest) หมายถึง สิ่งใด ก็ตามที่ให้ประโยชน์สุขแก่บุคคลทั้งหลายในสังคม ผล ประโยชน์สาธารณะยังหมายถึง หลักประโยชน์ต่อมวล สมาชิกในสังคม


ประ โยชน์ส่วนตน ผลประ โยชน์ส่วนรวม รับประ โยชน์จากสัมปทาน รับผลประ โยชน์จากส่วนลดในการซื้อของ ใช้ตำ แหน่งหน้าที่เพื่อผลประ โยชน์ของตนเอง การให้สิทธิพิเศษต่างๆ ละ เว้นการปฏิบัติ ลำ เอียง เลือกปฏิบัติ บอกความลับหรือข้อมูลลับเพื่อพวกพ้อง ญาติ มิตร และคนอื่นๆ บริษัทสนับสนุนเงินให้ข้าราชการไปเที่ยวทั้งในและต่างประ เทศ หน่วยงานราชการรับเงินบริจาคจากบริษัทเอกชนหรือบุคคลอื่นๆ รับของขวัญ เงินทอน จากการจัดซื้อจัดจ้าง ใช้อำ นาจหน้าที่เรียกค่าตอบแทน รับงานภายนอก เช่น เจ้าหน้าที่ด้านภาษีเป็นตัวแทนประกันชีวิต ใช้ตำ แหน่งหน้าที่ฝากญาติมิตรเป็น BOARD ในรัฐวิสาหกิจ ซื้อขายตำ แหน่งเพื่อผลประ โยชน์ตนและผลประ โยชน์ผู้อื่น ทำ งานเต็มกำ ลังความสามารถและ เต็มเวลา ทำ งานตามกรอบและมาตรฐานทางจริยธรรม ให้ความสำ คัญเป็นลำ ดับแรกแก่ประ โยชน์สาธารณะหรือมีจิตสาธารณะ หลีกเลี่ยงการกระทำ ที่ทำ ให้เกิดผลประ โยชน์ส่วนตน ไม่เผยหรือนำ ข้อมูลที่เป็นความลับของทางราชการไปเป็นประ โยชน์แก่บุคคลอื่น ไม่นำ ทรัพย์สิน สิ่งของ ของทางราชการไปเป็นประ โยชน์ส่วนตน เห็นบุคคลอื่นทุจริต ประพฤติมิชอบ รีบแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาหรือหน่วยงานอื่นๆ ทราบทันที ไม่ลำ เอียง หรือเลือกปฏิบัติในการให้บริการ ไม่เอาผลประ โยชน์ส่วนตัวไปผูกพันเกี่ยวข้องในการตัดสินใจอันเป็นสาเหตุทำ ให้เกิด ประ โยชน์แก่ตนเองและแก่ผู้อื่น มีความเกรงกลัวและละอายที่จะประพฤติมิชอบ ทุจริต คดโกง และคอร์รัปชั่น ความแตกต่างระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม


ระบบคิดฐานสิบ (Analog) ระบบคิด “ฐานสิบ (Analog)” เป็นระบบการคิด วิเคราะห์ข้อมูล ที่มีตัวเลขหลายตัว และอาจ หมายถึงโอกาสที่จะเลือกได้หลายทาง เกิดความคิดที่ หลากหลาย ซับซ้อน หากนำ มาเปรียบเทียบกับการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะทำ ให้เจ้าหน้าที่ ของรัฐต้องคิดเยอะ ต้องใช้ดุลยพินิจเยอะอาจจะนำ ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมมาปะปนกันได้ แยกประโยชน์ ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมออก จากกันไม่ได้


ระบบคิดฐานสอง (Digital) ระบบคิด “ฐานสอง(Digital)” เป็นระบบการ คิดวิเคราะห์ข้อมูลที่สามารถเลือกได้ เพียง 2 ทางเท่านั้น คือ 0 (ศูนย์) กับ 1 (หนึ่ง) และอาจหมายถึงโอกาสที่จะเลือกได้เพียง 2 ทาง เช่น ใช้กับ ไม่ใช้, จริง กับ เท็จ, ทำ ได้กับ ทำ ไม่ได้, ประโยชน์ส่วนตน กับ ประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น จึงเหมาะกับการ นำ มาเปรียบเทียบกับการปฏิบัติงานของเจ้า หน้าที่ของรัฐที่ต้องสามารถแยกเรื่องตำ แหน่ง หน้าที่กับเรื่องส่วนตัว ออกจากกันได้อย่างเด็ดขาดและไม่กระทำ การ ที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชน์ ส่วนรวม


ความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ ส่วนรวม (Conflict Of Interests) เป็นสถานการณ์ที่บุคคลใน ฐานะพนักงานหรือรืเจ้าหน้าที่ของรัฐรั ใช้ตําแหน่งหรือรือ านาจ หน้าที่ในการแสวงประโยชน์แก่ตนเอง กลุ่มหรือรืพวกพ้อง ซึ่งซึ่ เป็นการละเมิดทางจริยริธรรมและส่งผลกระทบหรือรืความเสีย หายต่อประโยชน์สาธารณะ คําอื่นที่มีความหมายถึงความขัด แย้งกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม ได้แก่ การมีผล ประโยชน์ทับซ้อ ซ้ น ความขัดกันระหว่างผลประโยชน์ของผู้ดํา รงตําแหน่งสาธารณะ และรวมถึงคอร์รัร์ ปรัชั่นชั่เชิงนโยบาย คอร์รัร์ ปรัชั่นชั่สีเทา


ความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วน ตนและประโยชน์ส่วนรวม


1.การรับผลประโยชน์ต่างๆ (Accepting benefits) เช่น การรับของขวัญจากบริษัทธุรกิจ บริษัทขายยาหรืออุปกรณ์แพทย์สนับบสนุนค่า เดินทางให้ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่ไปประชุมเรื่องอาหารและยาที่ต่างประเทศ หรือ หน่วยงานราชการรับเงินบริจาคสร้างสำ นักงานจากธุรกิจที่เป็นลูกค้าของหน่วยงาน หรือ แม้กระทั่งในการใช้งบประมาณของรัฐเพื่อจัดซื้อจัดจ้างแล้วเจ้าที่ได้รับของแถม หรือ ประโยชน์อื่นๆตอบแทนเป็นต้น


2.การทำ ธุรกิจกับตนเอง (Self-dealing) หมายถึง สถานการณ์ที่ผู้ดำ รงตำ แหน่งสาธารณะ มีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำ กับหน่วย งานที่ตันเองสังกัด ตัวอย่างเช่น การใช้ตำ แหน่งหน้าที่ทำ ให้หน่วยงานสัญญา ซื้อ สินค้าจากบริษัทของตัวเอง หรือจ้างบริษัทตนเอเป๋นที่ปรึกษาหรือซื้อที่ดินขอตนเองใน การจัดสร้าบสำ นักงาน สถานการณ์เช่นนี้เกิดบทบาทที่ขัดแย้ง เช่น เป็นทั้งซื้อและผู้ ขายในเวลาเดียวกัน


3. การทำ งาน การทำ งานหลังจากออกจากตำ แหน่งหน้าที่สาธารณะ หรือหลังเกษียณ (post-employmen) หมายถึงการที่บุคคลลาออกจากหน่วยงานของรัฐได้ไปทำ งานหมายถึงการที่บุคคลลา ออกจากหน่วยงานของรัฐได้ไปทำ งานในบริษัทเอกชน ที่ดำ เนินธุรกิจ ที่ดำ เนินธุรกิจ ประเภทเดียวกัน เช่นผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กรการอาหารและยาลาออกจาก งานราชการและไม่ทำ งาน เช่นผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กรการอาหารและยาลา ออกจากงานราชการและไปทำ งานบริษัทผลิตในบริษัทผลิต หรือขายยาหรือผู้บริหาร กระทรวงคมนาคมหลังเกษียณออกไปทำ งาน หรือขายยาหรือผู้บริหารกระทรวง คมนาคมหลังเกษียณออกไปทำ งานเป็นผู้บริหารของบริษัทธุรกิจสื่อสาร


4.การทำ งานพิเศษ (Outside employment or moonlighting ในรูปแบบนี้มีได้หลายลักษณะเช่นผู้ดำ รงตำ แหน่งในรูปแบบนี้มีได้ หลายลักษณะเช่นผู้ดำ รงตำ แหน่งสาธารณะตั้งบริษัทดำ เนินธุรกิจ ที่ เป็นการแข่งขันกับหน่วยงานหรือองค์กรการสาธารณะที่ตนสังกัดหรือการ รับจ้างเป็นที่ปรึกษาโครงการโดยอาศัยตำ แหน่ง คิดเองก็คือขายกับ หน่วยงานหรือองค์กรการสาธารณะที่ตนสังกัดหรือการรับจ้างเป็นที่ ปรึกษาโครงการโดยอาศัยตำ แหน่งราชการสร้างความน่าเชื่อถือ ว่า โครงการของผู้ว่าจ้างฉันไม่มีปัญหาติดขัดในการพิจารณาจากหน่วยงาน ที่ปรึกษาสำ คัญอยู่ว่าโครงการของผู้ว่าจ้างฉันไม่มีปัญหาติดขัดในการ พิจารณาจากหน่วยงานที่ปรึกษาสังกัดอยู่


5.การรู้ข้อมูลภายใน (Inside information) หมายถึงสถานการณ์ที่ผู้ดำ รงตำ แหน่งสาธารณะประโยชน์ใช้ประโยชน์จากการรู้ ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ของตนเอง เช่นสวาลมีการตัดถนนผ่านบริเวณใดก็จะ เข้าไปซื้อที่ดินนั้นในนามของภรรยาหรือทราบว่าจะมีการซื้อขายที่ดินเพื่อทำ เช่น สวาลมีการตัดถนนผ่านบริเวณใดก็จะเข้าไปซื้อที่ดินนั้นในนามของภรรยาหรือ ทราบว่าจะมีการซื้อขายที่ดินเพื่อทำ โครงการของรัฐก็จะเข้าไปซื้อจริงๆเงินเพื่อเก็ง กำ ไรและขายให้กับรัฐในราคาสูงขึ้น


6.การใช้ทรัพย์สินของราชการเพื่อประโยชน์ธุรกิจส่วนตัว (Using your employ’s proerty for private advantage) เช่น การนำ เครื่องใช้สำ นักงานต่างๆกลับมาใช้ที่บ้าน การนำ รถยนต์ราชการไปใช้ในงานส่วนตัว


7. การนำ โครงการสาธารณะลงในเขตเล่อกตั้งเพื่อประโยชน์ทางการเมือง (pork barreling) เช่น การที่รัฐมนตรีอนุมัติโครงการไปลงพื้นที่หรือบ้านเกิดของตัวเองหรือการใช้ งบประมาณสาธารณะเพื่อหาเสียง


8. การใช้ตำ แหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์แก่เครือญาติ หรือพวกพ้อง (Nepotis) ”ระบบอุปถัมภ์พิเศษ’’ เช่นการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อิทธิพลหรือใช้ อำ นาจเช่นการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อิทธิพลหรือใช้อำ นาจหน้าที่ทำ ให้ หน่วยงานองค์กรเข้าทำ สัญญากับบริษัทของพี่น้องของตน


9. การใช้อิทธิพลเข้าไปมีผลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่รัฐหรือ หน่วนงานขอรัฐอื่น (influence) เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง เช่น เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ ตำ แหน่งเช่นเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำ แหน่งหน้าที่ของครูผู้แทนบังคับบัญชาให้ หยุดทำ การทดสอบบริษัทหรือเครือข่ายญาติของตนเอง ดังนั้นจำ เป็นอย่างยิ่งที่คุณทุกวัยทุกระดับในสังคมต้องจัดการระบบการคิด สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ ส่วนรวมแซงคงทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันลดพื้นที่สีเทาที่เกิดจากการขัดกันระหว่าง ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมประเทศชาติอันนำ ไปสู่การทุจริต คอรัปชั่นอย่างมหาศาลก่อให้เกิดแซงสิไม่อ่านประเมินค่าได้จากเทชั่นใน อนาคต


ประเภทของผลประโยชน์ทับซ้อน ผลประโยชน์ทับซ้อนมีด้วยกัน 3 ประเภท ได้แก่ 1. ผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกิดขึ้นจริง (actual) คือ มีความทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและสาธารณะเกิดขึ้น 2. ผลประโยชน์ทับซ้อนที่เห็น (perceived & apparent) เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่คนเห็นว่ามี แต่จริงๆอาจไม่มีก็ได้ถ้า จัดการผลประโยชน์ทับซ้อนประเภทนี้อย่างขาดประสิทธิภาพ ก็อาจ นำ มาซึ่งผลเสียไม่น้อยกว่าการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกิดขึ้น จริง ข้อนี้แสดงว่าเจ้าหน้าที่ไม่เพียงแต่จะต้องประพฤติตนอย่างมี จริยธรรมเท่านั้นแต่ต้องทำ ให้คนอื่นๆ รับรู้ และเห็นด้วยว่าไม่ได้รับ ประโยชน์เช่นนั้นจริง 3. ผลประโยชน์ทับซ้อนที่เป็นไปได้ (potential) ผลประโยชน์ส่วนตนที่มีในปัจจุบันอาจจะทับซ้อนกับผลประโยชน์ สาธารณะได้ในอนาคต


แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน “ความขัดแย้งระหว่างบทบาท” (Conflict of roles) หมายความว่า บุคคลดำ รงตำ แหน่งที่มี บทบาทสองบทบาทขัดแย้งกัน เช่น นายสมชายเป็น กรรมการสอบ คัดเลือกบุคคลเข้าทำ งานโดยที่บุตรสาว ของสมชายเป็นผู้สมัครสอบคนหนึ่งด้วย ซึ่งในกรณีนี้ถือว่า เกิด “การดำ รงตำ แหน่งอันหมิ่นเหม่ต่อการเกิด ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน” แต่ในกรณีนี้ถือว่ายังมิได้นาไป สู่การกระทำ ความผิดแต่ประการใด (เช่น การสอบคัดเลือกบุคคลยังมิได้เกิดขึ้นจริง หรือมีการ สอบเกิดขึ้นแล้วแต่นายสมชายสามารถวางตัวเป็นกลางมิได้ ช่วยเหลือ บุตรสาวของตนแต่ประการใด เป็นต้น) กระนั้น ก็ตามการดำ รงตำ แหน่งอันหมิ่นเหม่ต่อการเกิด ปัญหา ผลประโยชน์ทับซ้อนดังกล่าว ถือเป็นสถานการณ์ล่อ แหลมที่อาจจูงใจ/ชักนำ ให้เกิดการกระทำ


1. การมีจิตใจสุจริต 2. ตัวเองจะต้องไม่ประพฤติ ปฎิบัติ หรือทำ การทุจริต 3. ตัวเองจะต้องไม่สนับสนุนหรือส่งเสริมให้คนอื่นทุจริต 4. หากพบเห็นการทุจริตต้องช่วยกันตักเตือน แนะน าหรือแจ้งเบาะแส 5. ฝึกวินัยในตนเอง สร้างคุณธรรมในจิตใจ 6. ไม่ทำ การทุจริตทั้งทางตรงและทางอ้อม 7. ไม่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้อื่นทุจริต 8. ไม่เลือกคนทุจริตหรือเคยทุจริตเข้าสภา 9. เมื่อพบเห็นการทุจริตให้ตักเตือนแนะนำ หรือดำ เนินการอย่างอื่น แนวทางการป้องกันการทุจริต


สรุป ผลประโยชน์ส่วนบุคคล กับ ผลประโยชน์ส่วนรวม ขัดกัน เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ จึงต้อง ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง 1. การใช้ตำ แหน่งไปดำ เนินการเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง โดยตรง 2. ใช้ตำ แหน่งไปช่วยเหลือญาติสนิทมิตรสหาย 3. การรับผลประโยชน์โดยตรง 4. การแลกเปลยนผลประโยช์โดยใช้ตำ แหน่งหน่าที่การงาน 5. การนำ ทรัพย์สินของหน่วยงานไปใช้สวนตัว 6. การนำ ข้อมูลอันเป็นความลับของหน่วยงานมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว 7. การทำ งานอีกแห่งหนึ่ง ที่ขัดแย้งกับแห่งเดิม 8. ผลประโยชน์ทับซ้อนจากการเปลี่ยนสถานที่ทางาน 9. การปิดบังความผิด


ข้อเสนอแนะ 1.ควรให้ความรู้แก่เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน เกี่ยวกับ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ด้านการปราบปรามทุจริต ประพฤติมิชอบ โดย การฝึกอบรม บรรยาย อภิปราย แจกคู่มือ จัดนิทรรศการ และอื่นๆ 2.บรรจุเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนไว้ในหลักสูตรของสถาบันการศึกษา หรือ สถานศึกษาต่างๆ ตามความเหมาะสมแก่วัยและระดับสติปัญญาของผู้เรียน 3.ให้รางวัล เกียรติบัตร เงิน และค่าตอบแทนอื่นๆ แก่ผู้แจ้งเบาะแสการ ทุจริต ประพฤติมิชอบ 4.ลงโทษผู้ทุจริต คอร์รัปชั่น และประพฤติมิชอบด้วยความยุติธรรม เสมอ ภาค เท่าเทียมกัน


สมาชิกในกลุ่ม 1. น.ส.พัชรี แนงวงค์ ม.5/4 เลขที่ 8 2. นาย วรชล ท่าเข ม.5/4 เลขที่ 9 3. นาย ปณตกร โสดามุข ม.5/4 เลขที่ 12 4. น.ส.ณัฏฐณิชา น่วมเจิม ม.5/4 เลขที่ 19 5. น.ส.วรพรรณ อินค้า ม.5/4 เลขที่ 22 6. นาย กันตโชค พ้นทุก ม.5/4 เลขที่ 25 7. น.ส.ชาลิสา เดชสองแพรก ม.5/4 เลขที่ 35 8. น.ส.เมริศา บำ รุง ม.5/4 เลขที่ 37 9. น.ส.สุดารัตน์ กล้ำ ทอง ม.5/4 เลขที่ 39 10. น.ส.ชุติกาญจน์ สุดสังข์ ม.5/4 เลขที่ 40 เสนอ คุณครู สามารถ ใยบัว


Click to View FlipBook Version