รายงาน เรื่อง กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือกบฏ 18 ศพ จัดทำโดย นางสาวกัญญ์วรา จันสำเร็จ 6516209001007 นายจัตตริน มีกาย 6516209001009 นางสาวชนรดี อักษรกูล 6516209001012 นางสาวนุชศรา หมาดหลี 6516209001025 นางสาวบัณฑิตา กลางรักษ์ 6516209001026 นางสาวปวันรัตน์ แก้วศิริ 6516209001029 กลุ่มเรียน 65022.071 เสนอ อาจารย์อยับ ซาดัดคาน รายงานฉบับบนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา การเมืองการปกครองและหลักรัฐธรรมนูญ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีการศึกษา 2/2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
รายงาน เรื่อง กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือกบฏ 18 ศพ จัดทำโดย กัญญ์วรา จันสำเร็จ จัตตริน มีกาย ชนรดี อักษรกูล นุชศรา หมาดหลี บัณฑิตา กลางรักษ์ ปวันรัตน์ แก้วศิริ กลุ่มเรียน 65022.071 เสนอ อาจารย์อยับ ซาดัดคาน รายงานฉบับบนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา การเมืองการปกครองและหลักรัฐธรรมนูญ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีการศึกษา 2/2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
ก คำนำ รายงานเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาการเมืองการปกครองและหลักรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้ ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับ กบฏพระยาทรงสุรเดช ( กบฏ 18 ศพ ) ประวัติพระยาทรงสุรเดช ชีวิตครอบครัว หน้าที่การงานและตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ ผลงานที่สำคัญในทางการเมือง เริ่มต้นเหตุการณ์สาเหตุ เรื่องราวเหตุการณ์เหตุการณ์กบฏพระยาทรงสุรเดช ( กบฏ 18 ศพ ) รายชื่อผู้ต้องหา นักโทษประหาร และการ ลงโทษ การจัดทำรายงานฉบับนี้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ไปด้วยดี ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณ อาจารย์อยับ ซาดัดคาน ที่ท่านได้ให้คำแนะนำการเขียนรายงานฉบับนี้จนทำให้รายงานฉบับนี้สมบูรณ์ในด้าน แผนปฏิบัติศึกษาการทำรายงาน การเรียบเรียงเนื้อหา การเขียนเรียบเรียงบรรณานุกรมได้สำเร็จลุล่วงไปได้ ด้วยดี คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาคุณธรรม จริยธรรมสำหรับผู้นำ คณะผู้จัดทำ
ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ประวัติพระยาทรงสุรเดช 1 - 2 ชีวิตครอบครัว หน้าที่การงานและตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ ผลงานที่สำคัญในทางการเมือง 22-3 4-5 เริ่มต้นเหตุการณ์ 6 สาเหตุ 6 เรื่องราวเหตุการณ์กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือกบฏ 18 ศพ 6 - เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 1 - เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 2 - เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 3 - เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 4 - เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 5 - เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 6 - เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 7 - เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 8 - เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 9 - เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 10 678 9 -10 10 -11 11 12 -13 13 14 15 รายชื่อผู้ต้องหา นักโทษประหาร การลงโทษ 15 -16 17 -18 18 อ้างอิง 19
1 กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือกบฏ 18 ศพ ประวัติพระยาทรงสุรเดช เทพ พันธุมเสน เกิดที่บ้านพักฝ่ายบิดาริมถนนเจริญกรุง จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของร้อย โทไท้ พันธุมเสน นายทหารปืนใหญ่ เทพเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยทหารบกเมื่อพ.ศ. 2447 โดย พี่ชายต่างมารดาซึ่งเป็นนายทหารคือ พันตรี หลวงนฤสารสำแดง (วัน พันธุมเสน) เป็นคนฝากเข้า เรียน ในระหว่างที่ศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก เขาเริ่มเล็งเห็นความไม่เท่าเทียมกันทางชน ชั้น เทพสังเกตเห็นว่านักเรียนที่เป็นเจ้าจะมีอาหารมาส่งจากวังพญาไทและมีโต๊ะเสวยแยกจาก นักเรียนทั่วไป นักเรียนที่เป็นเจ้าสามารถนั่งรถยนต์ไปฝึกภาคสนาม แต่นักเรียนทั่วไปต้องเดินเท้า ไปจากโรงเรียนเท่านั้น นักเรียนที่เป็นเจ้าสามารถไปเรียนเช้าเย็นกลับจากวังของตน แต่นักเรียน ทั่วไปต้องพักอยู่ในโรงนอน ในช่วงนี้เองบิดามารดาของเทพได้เสียชีวิตลง เทพจึงได้รับการอุปการะ จากพี่ชายที่เป็นทหาร เทพจบจากโรงเรียนนายร้อยด้วยคะแนนดีเป็นอันดับต้นของรุ่นและเลือกทุนไปศึกษาวิชา ทหารช่างที่จักรวรรดิเยอรมันเมื่อปีพ.ศ. 2450 หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนการสงครามปรัสเซีย (Preußische Kriegsakademie) เขาได้ประจำการเป็นนายสิบทหารช่างในมัคเดอบวร์คและเริ่ม ปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพปรัสเซีย เทพได้รับยศร้อยตรีของสยามเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2456[6] เทพเดินทางกลับสยามในปีพ.ศ. 2458 และได้รับยศร้อยโทเมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี เดียวกัน
2 เทพในยศร้อยโทเริ่มรับราชการในกรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ และเจริญก้าวหน้า ตามลำดับ เทพในยศร้อยเอกได้บรรดาศักดิ์ หลวงณรงค์สงคราม เมื่อพ.ศ. 2461 จากนั้นได้เลื่อน เป็นพันตรีประจำกองพันทหารช่างรถไฟที่โคราช และได้รับมอบหมายภารกิจคุมการสร้างทาง รถไฟช่วงอุโมงค์ขุนตาน–เชียงใหม่, ช่วงแปดริ้ว–อรัญประเทศ และช่วงโคราช–ท่าช้าง ต่อมาได้ เลื่อนเป็นพันโทและได้บรรดาศักดิ์ พระทรงสุรเดช เมื่อพ.ศ. 2467 ตำแหน่งผู้บังคับกรมทหารปืน ใหญ่อยุธยา ก่อนที่จะถูกย้ายมาเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาทหารกรมยุทธศึกษาในปีเดียวกัน พระทรงสุรเดชเป็นผู้แต่งตำราจำนวนมาก ทั้งวิชายุทธวิธี วิชาทหารช่าง วิชาศาสตราวุธ และวิชาทหารบก จึงเป็นที่นับถือโดยลูกศิษย์จำนวนมาก เมื่อพันโทพระทรงสุรเดชได้รับภารกิจไป ดูงานที่ยุโรปร่วมกับพันโท พระศรีสิทธิสงคราม ในพ.ศ. 2473 ก็ได้พบกับร้อยโทประยูร ภมรมนตรี ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พระทรงสุรเดชถูกชักชวนจากร้อยโทประยูรให้ก่อการเปลี่ยนแปลง การปกครองและเกิดความสนใจร่วมด้วย ชีวิตครอบครัว พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) สมรสกับคุณหญิงทรงสุรเดช (ห่วง พันธุมเสน) มีบุตรธิดารวม ทั้งสิ้น 3 คน ได้แก่ นายทศ พันธุมเสน นางเทพี เศวตนาค (พันธุมเสน) และนายทวีวงศ์ พันธุมเสน พระยาทรง สุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ถึงแก่อนิจกรรมลงในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2487 ที่บ้านพักในกรุงพนมเปญ ประเทศ กัมพูชาด้วยอาการโลหิตเป็นพิษ สิริรวมอายุ 52 ปี หน้าที่การงานและตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) เข้ารับราชการประจำกรมทหารบกช่างที่ 1 รักษาพระองค์ ในปี พ.ศ. 2457 ต่อมาได้รับการเลื่อนยศขึ้นเป็น ร้อยเอก ในปี พ.ศ. 2459 และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในปี พ.ศ. 2561 ตามลำดับ ในปีเดียวกันนั้นพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้รับคำสั่งย้ายจากกรุงเทพฯ ให้ไป ประจำที่จังหวัดนครราชสีมา ในตำแหน่งผู้บังคับกองพันที่ 2 ช่างรถไฟ กรมทหารบกช่างที่ 3 พระยาทรงสุร เดช (เทพ พันธุมเสน) ได้รับผิดชอบการวางทางรถไฟใน 3 เส้นทาง ได้แก่ ทางรถไฟสายเหนือ จากถ้ำขุนตาล ถึงเชียงใหม่, ทางรถไฟสายตะวันออก จากแปดริ้วถึงอรัญประเทศ และทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ จาก โคราชถึงท่าช้าง พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้รับการเลื่อนยศเป็นพันตรีในปี พ.ศ. 2463 และยศพัน โทในปี พ.ศ. 2466 ขณะที่ดำรงตำแหน่งอยู่ที่นครราชสีมา หลังจากประจำตำแหน่งที่นครราชสีมาได้ 5 ปีเศษ พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้ย้ายมา ประจำกรมทหารช่างที่ 2 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 2467 พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้ ฝึกฝนวิชาทหารอย่างจริงจัง และได้เรียบเรียงนำแนวสอนยุทธวิธีจากตำรายุทธวิธีของเยอรมันมาถ่ายทอดเป็น ภาษาไทย หลังจากประจำตำแหน่งที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ 6 เดือนเศษ กระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งย้าย พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) เข้ามาเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการทหาร กรมยุทธศึกษาทหารบกในเดือน
3 ตุลาคม พ.ศ. 2467 พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) เป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนในแบบดั้งเดิม อย่างจริงจังเป็นคนแรก กล่าวคือพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ผู้เรียนต้อง “ท่องจำ” ให้เป็นการให้ผู้เรียนได้ “คิด” ตามหลักเหตุและผล ต่อมาในปี พ.ศ. 2470 พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้เดินทางไปดูและศึกษาการทหารในต่างประเทศร่วมกับพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) โดย ใช้เวลาประมาณ 3 ปี พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) กลับเข้ารับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการทหาร ตามเดิมในปี พ.ศ. 2473 หลังจากเดินทางกลับจากการศึกษาการทหารในต่างแดน พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) รับราชการในตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการทหารเรื่อยมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2473 จนกระทั่งถึงหลังเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หลังการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้รับการ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการราษฎร (รัฐมนตรี) โดยคณะผู้ก่อการฯ ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทยฉบับถาวรฉบับแรก และพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ก็ได้เข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรัฐมนตรีลอย อีกครั้งหนึ่ง ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีลอยพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ยังดำรงตำแหน่งข้าราชการ เป็นรองผู้บัญชาการทหารบก โดยมีพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นผู้บัญชาการทหารบก ต่อมาเค้าโครงการเศรษฐกิจที่หลวงประดิษฐ์มนูญธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ร่างขึ้นนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ อย่างมาก เป็นเหตุให้รัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้รับ เลือกให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการเช่นกัน ภายหลังเมื่อคณะกรรมการหาข้อยุติไม่ได้จึงได้เสนอเรื่องเข้าไปยัง รัฐสภา อย่างไรก็ดีรัฐบาลเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายและก่อความรุนแรงในรัฐสภา รัฐบาลจึงให้มีการตรวจค้น อาวุธก่อนเข้าประชุม โดยผู้ที่ได้รับคำสั่งคือพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) จากเหตุการณ์นี้ทำให้พระยา ทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ถูกกล่าวหาว่าได้ใช้อำนาจทางทหารเพื่อจะครอบงำพลเรือน พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้ลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองและการทหารเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2476 โดย เหตุผลด้านสุขภาพประกอบกับบ้านเมืองพ้นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว เมื่อไม่มีตำแหน่งผูกมัดในช่วงเวลาดังกล่าว พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) และพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) จึงได้ออกเดินทางไปต่างประเทศ ระหว่างนั้นได้เกิดเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” ขึ้นในประเทศไทย แม้ไม่ได้อยู่ในประเทศยังมีเสียงว่าพระยาทรง สุรเดช (เทพ พันธุมเสน) รู้เรื่องกบฏอยู่แล้ว เพราะเป็นเพื่อนสนิทกับพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้งในเดือนเมษายน พ.ศ. 2479 ใน ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนรบ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในสมัยรัฐบาลของพระยาพหลฯ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2481 ทางราชการ (รัฐบาลในสมัยหลวงพิบูลสงคราม) ได้มีคำสั่งให้พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) และนายทหารอีก 2 นาย ออกจากราชการโดยไม่ได้รับเบี้ยหวัด พร้อมกันนี้ทางการยังได้จับกุม ผู้ต้องหาจำนวน 40 กว่านายในข้อหาเป็นกบฏ เช่นนั้นแล้วพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) จึงตัดสินใจ เดินทางออกนอกประเทศไปยังเขมร (ประเทศกัมพูชา) พร้อมกับ ร้อยเอก สำรวจกาญจนสิทธิ์ ผู้เป็นนายทหาร คนสนิท
4 ผลงานที่สำคัญในทางการเมือง ผลงานของพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) สามารถแบ่งได้เป็น ช่วงหลัก ๆ ได้แก่ ก่อนการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475, การวางแผนและยุทธศาสตร์ที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และ หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) เข้ารับราชการ ประจำกรมทหารบกช่างที่ 1 รักษาพระองค์ ในปี พ.ศ. 2457 ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้รับคำสั่งย้ายจากกรุงเทพฯ ให้ไปประจำที่จังหวัดนครราชสีมา และได้รับผิดชอบการวางทาง รถไฟใน 3 เส้นทาง ได้แก่ ทางรถไฟสายเหนือ จากถ้ำขุนตาลถึงเชียงใหม่, ทางรถไฟสายตะวันออก จากแปดริ้ว ถึงอรัญประเทศ และทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ จากโคราชถึงท่าช้าง พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุม เสน) เข้ามาเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการทหาร กรมยุทธศึกษาทหารบกในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2467 พระยา ทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ถือเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนในแบบดั้งเดิมอย่างจริงจังเป็นคนแรก คือให้ผู้เรียนได้ “คิด” ตามหลักเหตุและผล แทนที่จะ “ท่องจำ” ดังเช่นที่ผ่านมา พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) เป็นทั้งผู้รับผิดชอบด้านยุทธศาสตร์ทางการทหารและชักชวน พรรคพวกเข้าร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) เห็นว่าลักษณะกองทัพ ไทยในสมัยนั้นฝึกทหารให้เป็นเครื่องจักร ต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เห็นดังนี้แล้วพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) จึงใช้วิธีเกลี้ยกล่อมชักชวนให้นายทหารชั้นผู้บังคับบัญชากองพันและผู้บังคับการกรมเข้าเป็น พรรคพวก โดยเริ่มแรกได้ปรารภถึงสถานการณ์บ้านเมืองโดยทั่ว ๆ ไป ต่อมาจึงได้ชี้ให้เห็นข้อดี ข้อเสีย โดย เปรียบเทียบกับในต่างประเทศ หลังจากดูท่าทีของพรรคพวกที่ไปชักชวนแล้วพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุม เสน) จึงได้ถามความเห็นในการแก้ไขปัญหา และชักชวนเข้าร่วมในกลุ่มผู้ก่อการ ในด้านยุทธศาสตร์ทางการทหาร พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้รับมอบหมายในการประชุม พบปะกันระหว่างหัวหน้าสายที่สำคัญในปลายปี พ.ศ. 2474 ให้เป็นผู้วางแผนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพื่อนำมาเสนอต่อที่ประชุมในคราวต่อไป โดยแผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผนแรกที่พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) เสนอต่อที่ประชุมคือคณะผู้ก่อการ “จำต้องได้องค์ประมุข-พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวมาไว้เป็นองค์ประกันเสียก่อน! แล้วจากนั้นเรื่องอื่น ๆ ก็จะได้ดำเนินการตามมาภายหลัง” โดยต้องใช้ กำลังทหารบุกแบบสายฟ้าแลบเพื่อให้ได้องค์ประมุขและถวายอารักขาแก่พระองค์ท่านไว้ไจนกว่าเหตุการณ์จะ เรียบร้อยอย่างไรก็ดีพระยาฤทธิอัคเนย์ได้คัดค้านแผนการนี้ โดยให้เหตุผลว่าหากคณะผู้ก่อการดำเนินการตาม แผนดังกล่าวจะต้องเกิดการนองเลือดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อมาพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) จึงได้เสนอแผนการยึดอำนาจมาให้ที่ประชุมได้พิจารณา พร้อมกันถึง 3 แผน โดยที่ประชุมได้ลงมติเลือกแผนปฏิบัติการอันดับที่ 3 คือ ลวงเอากำลังทหารไปปราบกบฏ โดยชุมนุมที่ลานพระบรมรูปแล้วอ่านประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองที่นั่น และกำหนดให้กำลังอีกหน่วยทำ การเชิญเสด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ มาประทับยังพระที่นั่งอนันต์ฯ เพื่อเป็นองค์ประกันความปลอดภัย ของคณะผู้ก่อการ
5 ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้รับการแต่งตั้งให้ เป็นกรรมการราษฎร (รัฐมนตรี) โดยคณะผู้ก่อการฯ ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ พระราชทานรัฐธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทยฉบับถาวรฉบับแรก และพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ก็ได้เข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรัฐมนตรีลอย อีกครั้งหนึ่ง ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีลอยพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ยังดำรงตำแหน่งข้าราชการ เป็นรองผู้บัญชาการทหารบก โดยมีพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นผู้บัญชาการทหารบก ต่อมาพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการในการพิจารณาเค้า โครงการเศรษฐกิจที่หลวงประดิษฐ์มนูญธรรม (ปรีดี_พนมยงค์) อย่างไรก็ตามคณะกรรมการไม่สามารถหาข้อ ยุติได้จึงได้เสนอเรื่องเข้าไปยังรัฐสภา รัฐบาลเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายและก่อความรุนแรงในรัฐสภา รัฐบาล จึงให้มีการตรวจค้นอาวุธก่อนเข้าประชุม โดยผู้ที่ควบคุมการตรวจค้นคือพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) จากเหตุการณ์นี้ทำให้พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ถูกกล่าวหาว่าได้ใช้อำนาจทางทหารเพื่อจะครอบงำ พลเรือน พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้ลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองและการทหารเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2476 โดยเหตุผลด้านสุขภาพประกอบกับบ้านเมืองพ้นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว เมื่อไม่มีตำแหน่ง ผูกมัดในช่วงเวลาดังกล่าว พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) และพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) จึงได้ ออกเดินทางไปต่างประเทศ ระหว่างนั้นได้เกิดเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” ขึ้นในประเทศไทย แม้ไม่ได้อยู่ใน ประเทศยังมีเสียงว่าพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) รู้เรื่องกบฏอยู่แล้ว เพราะเป็นเพื่อนสนิทกับพระยาศรี สิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้งในเดือนเมษายน พ.ศ. 2479 ใน ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนรบ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในสมัยรัฐบาลของพระยาพหลฯ ต่อมาในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2481 รัฐบาลภายใต้หลวงพิบูลสงคราม ได้มีคำสั่งให้พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) และ นายทหารอีก 2 นาย ออกจากราชการโดยไม่ได้รับเบี้ยหวัด พร้อมกันนี้ทางการยังได้จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 40 กว่านายในข้อหาเป็นกบฏ นักโทษเหล่านั้นถูกจำคุกในเรือนจำบางขวาง และ 18 นายถูกพิพากษาประหารชีวิต เหตุการณ์ในครั้งนี้รู้จักกันในชื่อ “กบฏพระยาทรงสุรเดช” หรือ “กบฏ_18_ศพ” อย่างไรก็ตามคำพิพากษา ดังกล่าวนั้นมาจากศาลพิเศษที่หลวงพิบูลสงครามตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาคดีนี้โดยเฉพาะจึงไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีความผิดจริงหรือไม่ หากแต่หลวงพิบูลสงครามเชื่อว่ากลุ่มคนเหล่านั้นมีแนวคิดต่อต้านตน เช่นนั้นแล้วพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) จึงตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศไปยังเขมร (ประเทศ กัมพูชา) พร้อมกับ ร้อยเอก สำรวจ กาญจนสิทธิ์ ผู้เป็นนายทหารคนสนิท โดยครอบครัวของพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ได้ตามมาในภายหลังพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ดำรงชีพในพนมเปญโดยการค้าขาย และรับซ่อมจักรยาน จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2487 อัฐิของท่านจึงมีโอกาสได้กลับมายังประเทศไทย
6 เริ่มต้นเหตุการณ์ เมื่อพันเอกหลวงพิบูลสงครามได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 พันเอกพระยาทรงสุรเดชขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่ ได้นำนักศึกษาไปฝึกภาคสนามที่จังหวัดราชบุรี ได้ถูกคำสั่งให้พ้นจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัด บำนาญ และบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งก็คือเขมรโดยทันที พร้อมด้วยร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ ท.ส. ประจำตัว ได้มีการกวาดล้างโดย หลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จับตายนายทหารคนสนิทของพระยาทรงสุรเดช 3 คน จับกุมผู้ที่ต้องสงสัย จำนวน 51 คน เมื่อเวลาเช้ามืดของ วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481 ประกอบด้วย สาเหตุ กบฏพระยาทรงสุรเดช เป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2482 เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างตัวของพันเอกหลวงพิบูลสงครามกับพันเอกพระยาทรงสุรเดช ตั้งแต่ก่อนการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475, การสนับสนุนพระยามโนปกรณ์นิติธาดา, กรณีกบฏบวรเดช และ เหตุการณ์พยายามลอบสังหารหลวงพิบูลสงครามติดต่อกันหลายครั้งก่อนหน้านั้น คือ การลอบยิง 2 ครั้ง ครั้ง แรกเกิดขึ้นที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 โดย นายพุ่ม ทับสายทอง ขณะที่เป็น ประธานพิธีการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษ, ครั้งที่ 2 ที่บ้านพักของตนเอง ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 โดย นายลี บุญตา คนรับใช้ที่สนิท ขณะที่หลวงพิบูลสงครามกำลังจะแต่งกายไปร่วมงานเลี้ยง และวางยาพิษ 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ปีเดียวกัน ขณะรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับครอบครัว เรื่องราวเหตุการณ์กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือกบฏ 18 ศพ เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 1 ปลายปี 2480 ทันทีที่หลวงพิบูลสงครามได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากพระยาพหล โดยมติสภา เพียงไม่นาน ก็ได้ออกคำสั่งให้พระยาทรงสุรเดชพ้นจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญและบังคับให้ลี้ภัยไป เขมรพร้อมคนสนิท จากนั้นหลวงพิบูลสงครามได้เริ่มกวาดล้างกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่เป็นทั้งอดีตนายทหารและ ขุนนาง ในข้อหาก่อกบฏและการลอบสังหารจนกระทั่งนำไปสู่การประหารทั้งหมดทั้ง 18 ศพรวดด้วยการ ตัดสินคดีภายในศาลเดียวไม่มีอุทธรณ์เบื้องหลังความเด็ดขาดครั้งนี้ต้องมีความในที่ซ่อนอยู่เป็นแน่
7 เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 2 “…ผู้ที่ทราบความจริงเเห่งรายละเอียดของการปฏิวัติครั้งนี้มีอยู่เพียงไม่มากนัก เเละในจำนวนนี้ยังไม่ พูดความจริงเสียอีกส่วนหนึ่งด้วย…” พันเอก พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเเสน) “ความจริง”เป็นสิ่งที่ถูกอ้างถึงอยู่ตลอดเวลาเมื่อต้องบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เเต่ ข้อเท็จจริงเพียงด้านเดียวนั้นไม่พอเราจำต้องค้นหาหลายๆด้าน เพื่อมิให้ความจริงสูญหาย ความจริงที่ เลือนลางของ“คณะราษฎร”ก็ไม่ต่างกัน เรื่องราวของพระยาทรงสุรเดช ผู้เฉลียวฉลาด ผู้เป็นหนึ่งในสี่เสือ คณะราษฎร ผู้ทรงอิทธิพลฝ่ายทหารบกคนสำคัญเเต่กลับทำให้เลือนหายไปตามกาลเวลา ย้อนความกับไปถึง จุดเริ่มต้นความขัดเเย้งภายในของกลุ่มคณะราษฎร เมื่อครั้งที่นายปรีดีเสนอร่างเค้าโครงเศรษฐกิจเเละ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงคัดค้านนั้นฝ่ายคณะราษฎรมีความพยายามอย่างมาก ที่จะ ผลักดันเเผนเค้าโครงเศรษฐกิจในครั้งนั้นให้สำเร็จ เเต่สุดท้าย ก็ถูกปัดตกไปด้วยการยุบสภา โดยฝ่ายพระยามโนฯ ซึ่งมีพระยาทรงสุรเดชหนุนหลัง ทำให้คณะราษฎรเเตกหักเป็นสองฝ่ายในทันที นับเป็นจุดเริ่มต้นความขัดเเย้งที่เปลี่ยนชีวิตของพระยาทรงสุรเดชไปโดยปริยาย เมื่อพระยาพหลฯทำ รัฐประหารซ้อนขึ้น ทำให้พระยามโนฯต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ ส่งผลให้พระยาทรงสุรเดช ที่เเม้จะมีความ เก่งกาจจนเป็นที่ยอมรับ เเต่กลับไม่เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจ เพราะเคยหนุนหลังพระยามโนฯมาก่อน พระยาทรงฯ ถูกคำสั่งทางราชการให้ต้องไปอยู่ต่างประเทศช่วงหนึ่ง จึงมิได้เข้าร่วมกับฝ่ายคณะราษฎร ในเหตุการณ์กวาด ล้างคณะกู้บ้านกู้เมืองของพระเจ้าบวรเดช เเต่ภายหลังเข้ารับราชการอีกครั้งในเดือนเมษายน พ.ศ.2479 ในตำ เเหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนรบ ที่จังหวัดเชียงใหม่
8 เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 3 ในช่วงเวลาแห่งความผันผวนทางการเมือง ทำให้คณะราษฎรสั่นคลอนไปบ้าง แต่มีบุคคลหนึ่งที่ได้ถือ โอกาสเถลิงอำนาจเหนือผู้ใด นั่นคือ “หลวงพิบูลสงคราม” เดิมทีเป็นสามัญชนลูกหลานชาวสวนในจังหวัด นนทบุรี แต่เรียนเก่งจนได้ทุนไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อกลับสยาม ก็ได้เข้าร่วมกับคณะราษฎรเพื่อ เปลี่ยนแปลงการปกครอง ด้วยความที่หลวงพิบูลสงครามเป็นคนมีความมั่นใจในตนเอง จึงมักจะมีปากเสียงกับ นายทหารในคณะราษฎรอยู่เสมอ หนึ่งในนั้น คือ พระยาทรงสุรเดช ที่เป็นนายทหารยศสูงกว่า เส้นทางทาง การเมืองของหลวงพิบูล โดดเด่นขึ้นมาจากการเป็นผู้กุมกำลังหลักในการช่วยพระยาพหล ยึดอำนาจจากพระ ยามโน ได้สำเร็จ ผลงานในครั้งนั้น ยิ่งทำให้คณะราษฎรมีความเชื่อมั่นในฝีมือของหลวงพิบูลมากขึ้น จนกระทั่ง ทำผลงานโดดเด่นในการปราบคณะกู้บ้านกู้เมือง จึงมีวาสนาขั้นถึงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย แต่ อย่างไรก็ตาม หลวงพิบูลเป็นคนมีศัตรูคู่ขัดแย้งมาก ทำให้ตกเป็นเป้าลอบสังหารอย่างน้อยถึง 3 ครั้ง แต่ก็รอด มาได้ทุกครั้งราวกับปฏิหาริย์ การลอบสังหารครั้งแรกในปี 2477 ขณะที่หลวงพิบูลดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และได้เลื่อนยศเป็นพันเอก เพราะผลงานการปราบกบฏบวรเดช ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2477 หลังจากที่หลวง พิบูล ไปมอบถ้วยรางวัลให้แก่ทีมชนะเลิศฟุตบอลทหาร ที่สนามหลวง เมื่อเสร็จพิธีกำลังกลับเดินไปขึ้นรถ ท่ามกลางผู้ติดตาม และองครักษ์คุ้มกัน ในระหวางนั้น มีชายคนหนึ่งแหวกฝูงชนเข้ามาแล้วเหนี่ยวไกลั่นกระสุน 2 นัดใส่หลวงพิบูล ขณะที่กำลังขึ้นรถ “กระสุนนัดหนึ่งทะลุแก้มซ้ายออกทางต้นคออีดนัดเข้าไหล่ขวา ด้านหน้า” หลังเกิดเหตุ หลวงพิบูลส่งตัวไปรับการรักษาอย่างเร่งด่วนที่โรงพยาบาลทหารบก ถนนพญาไท จาก การตรวจสอบของแพทย์พบว่ากระสุนสังหารไม่ถูกที่สำคัญทั้ง 2 นัด ทำให้อาการโดยรวมปลอดภัย
9 เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 4 รอดจากการลอบสังหารครั้งนี้ไปแล้ว คุณหลวงพิบูล ได้รับฉายาว่า “คุณหลวงกระดูกเหล็ก” เพราะ ถูกยิงจ่อๆก็ยังรอดมาได้ แต่จริงๆการลอบสังหารเหล่านี้ก็เหมือนเป็นสิ่งที่ช่วยให้หลวงพิบูล มีอำนาจบารมีมากขึ้นแทนที่จะ เสื่อมถอยลงเพราะผู้คนฮือฮากันถึงวาสนาบารมีที่ผิดธรรมดา ส่วนมือปืนที่จับกุมได้คือ นายพุ่ม ทับสายทอง เป็นนักเลงอยู่แถวสุพรรณ เคยติดคุกมาแล้ว 7 ครั้ง เมื่อสอบสวน นายพุ่มได้ให้การวกไปวนมา แต่ไม่นาน นาย พุ่มก็ได้รับการสารภาพ ซัดทอด พันตำรวจเอก พระยาธรณีนฤเบศร์ อดีตผู้บังคับการตำรวจกลาง ที่ถูก คณะราษฎรปลดออกจากราชการ ศาลจึงพิพากษา ให้ประหารชีวิต พระยาธรณีนฤเบศร์ แต่มีเหตุอันควร จึง ลดโทษให้เป็นจำคุกตลอดชีวิต ส่วนนายพุ่ม มือปืนรับจ้าง พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต แต่ลดโทษให้เหลือ 20 ปี เพราะให้การเป็นประโยชน์ต่อคดี หลังจากนั้น ในเหตุการณ์กบฏนายสิบ หลวงพิบูลก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ ถูกวางให้จับตาย แต่รัฐบาลรู้ทันจึงปราบปรามได้ก่อนจะเริ่มก่อการ การสอบสวนในครั้งนั้น มีการบีบให้ฝ่ายกบฏซัดทอดให้พระยาทรงสุรเดชเองว่าเป็นผู้บงการอยู่ เบื้องหลัง เพราะฝ่ายหลวงพิบูลตั้งสมมุติฐานกันเอาเองว่ามูลเหตุจูงใจการก่อกบฏในครั้งนี้ อาจจะเป็นการล้าง แค้นภายในคณะราษฎรก็ได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดที่จะซัดทอดไปถึงผู้อื่นได้
10 การลอบสังหารอีก 2ครั้ง เกิดขึ้นในบ้านของหลวงพิบูลเอง ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2481 ก่อนการ เลือกตั้งครั้งสำคัญ ขณะที่หลวงพิบูลกับภรรยา กำลังแต่งตัวจะไปงานเลี้ยง ที่กระทรวงกลาโหม นายลี บุญตา คนสวนที่บ้าน หยิบปืนพกจากรถยนต์ ที่จอดรอหลวงพิบูลอยู่ เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 5 ขึ้นไปยิงหลวงพิบูลย์ถึงห้องนอนชั่นบน1นัดจากนั้นก็ได้ยินเสียงหลวงพิบูลตะโกนว่า “ตาลียิง” แล้วก็มี เสียงปืนอีก1นัดดังขึ้นตำรวจทีอารักขาประกอบด้วย ส.ต.ท.ผล ส.ต.ทเปล่ง จ.ส.ตทองดี และ ร.ต.อเผ่า ศรียา นนท์ วิ่งตามเสียงปืนไป พบหลวงพิบูลวิ่งออกมาจากห้องแต่งตัว กระจกโต้ะเครื่องแป้งแตกฝ่ายนายลีก็ตามมา ยิงอย่างติดๆ ตำรวจได้ช่วยกันแย่งปืนจากนายลีสำเร็จ และคุมตัวไปสอบสวน ซึ่งตาลีไม่ยอมรับสารภาพว่าใคร เป็นผู้บงการ เหตุลอบสังหารครั่งสุดท้าย เกิดขึ้นในวันที่9ธันวาคม2481 หลวงพิบูลถูกแม่ครัวในบ้านลอบใส่ยา พิษในอาหารกลางวัน ซึ่งรับประทานร่วมกับคนสนิทหลายคนร่วมทั่ง ร.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ผลคือทำให้โดน วางยาทั้งคณะและเมื่อรุ้ตัวว่าโดนยาพิษ ก็ได้รีบไปล้างท้องที่โรงพยาบาลทหารบกได้ทัน และมีการจับกุม แม่บ้านดังกล่าว แต่สุดท้ายแม่บ้านก็ไม่ซัดทอดผู้วานจ้างเช่นเดียวกัน เมื่อถึงคราวที่หลวงพิบูลได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่16ธันวาคม2481 หลวงพิบูลก็ได้เถลิงอำนาจ ด้วยการมอบหมายให้ หลวงอดุมเดชจรัส เร่งปราบปรามพวกที่ต้องสงสัยเป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาล
11 การกวาดล้างได้เปิดฉากขั้นตอนเข้าวันที่ 24 มกราคม 2482 โดยเร่งไลล่าผู้ต้องสงสัยจำนวนมากทันที บุคคลที่ถูกจับรายแรกคือกรมขุนชัยนาทนเรนทร โดยควบคุมพระองค์ที่สถานีตำรวจพระราชวัง จากนั้นมี พล โท พระยาเทพหัสดินทร์ พระสิทธิเรืองเดชพล พันเอกหลวงมหิทธิโยธี พันตรีหลวงสงครามวิจารณ์ ร้อยโท ณ เณร ตาละลักษณ์ ผู้แทนราษฏรจังหวัดพระนคร นายเลียง ไชยการและคนอื่นๆ อีกรวมทั้งเกือบครึ่งร้อย หนึ่ง ในรายชื่อผู้ต้องสงสัย ยังมี พันเอก พระยาทรงสุรเดช เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 6 ร้อยเอก ชลอ เอมะศิริ หลานของพระยาอัคเนย์ และหลวง ชำนาญยุทธศิลป์ ที่เป็นสมาชิกราษฎรคน สำศัญ อีกด้วย ผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตรายแรกจากการกวาดล้างครั่งนี้คือหลวง ราญรณกาจ ซึ่งผู้สันติการกาหัวใว้ นานแล้วว่า เป็นฝ่ายเจ้า ในเช้าวันนั้น หลวงราณฯ พึ่งตื่นจากนอนอยู่ในชุดโสร่ง ฝ่ายตำรวจ นำโดย ร.ต.อ หลวงจุลกะรัตนกร พากำลังไปจับคุมและเกิดการยิงกันในบ้าน ส่งผลให้ หลวงราญฯ ถึงแก่ความตายต่อหน้าลูก เมีย ทางครอบครัว หลวงราญฯ ยืนยันว่า หลวงราญฯได้ขอไปเปลี่ยนชุดจากนั้นตำรวจก็เดินตามเข้าไปยิง ทาง รายงานตำรวจกลับระบุว่า หลวงราญฯตาอสู้ขัดขืน จึงเกิการยิงขึ้น ไม่มีใครทราบว่าหลวงราญฯได้ไปทำ ความผิดอะไร ที่ถูกตำรวจออกหมายจับ รู้เพียง หลวงราญฯ เป็นอดีตผู้บังคับการทหารมหาดเล็ก ซึ่งไม่เห็น ด้วยกับคณะราษฎร์ จึงถูกให้ออกจากราชการ จนต่อมา ศาลพิเศษ2482 มีคำพิพากษาตอนหนึ่งระบุว่า หลวง ราญฯ ร่วมกับนายดาบพวง พลนาวี พี่เมียของพระยาสุรเดช จ้างวานนายยัง ประไพรศรี ให้ดักยิงหลวงพิบูล ที่ ตลาดศรีย่าน แต่กระทำไม่สำเร็จตำรวจสืบทราบและได้ไปดักรออยู่นายยังจึงได้หลบหนีไปแล้วภายหลังถูก ตำรวจจับที่จังหวัดนนท์บุรี นายยังต่อสู้กับตำรวจจึงถูกยิงตาย แม้เรื่องนี้จะปิดคดีไปแล้วแต่ก็ยังเต็มไปด้วย คำถามมากมาย เช่นหลวงราญฯ มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ จะไปร่วมกับ นายดาบพวง พลนาวี ข้าราชการรถไฟ พี่ชายของภรรยาพรายาทรงฯ เพื่อจ้างวาน นายยัง ประไพรศรี ผู้เป็นมือปืนได้อย่างไร อีกทั้ง ศาลพิเศษพิจารณาหลังฐานได้อย่างไร ในเมื่อจำเลยสองในสามถูกวิสามัญไปตั่งแต่ก่อนขึ้นศาล คำถามเหล่านี้ ยังคงเป็นปริศนาที่ยังไม่ถูกเปิดเผย
12 เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 7 หลังจากที่ตำรวจได้กวาดล้างจับกุมผู้ต้องสงสัยทั้งหมด หลวงพิบูลฯ จึงได้จัดตั้งขึ้นศาลพิเศษขึ้น เพื่อ พิจารณาคดีเป็นการเฉพาะโดยมีหลวงพรหมโยธีเป็นประธานคำพิพากษาศาลพิเศษนี้ ได้ตัดสินผู้ต้องสงสัย ทั้งหมดว่าร่วมกันเตรียมการยึดอำนาจโดยมีพระยาทรงฯเป็นผู้นำ เเละตัดสินลงโทษประหารชีวิตนักโทษ จำนวน 18 ศพ จำคุกตลอดชีวิตจำนวน 28 คน ปล่อยตัวพ้น ข้อหาจำนวน 7 คน ในกรณีของ หลวงชำนาญยุทธศิลป์ ซึ่งเป็นสมาชิกคณะราษฎร ที่ใกล้ชิดพระยาทรงฯ ก็ได้ ถูกจับกุมในข้อหาก่อกบฏต่อรัฐบาลหลวงพิบูลฯ เช่นกัน เรื่องนี้หลวงชำนาญฯ อาจจะเกิดความเข้าใจผิด เเต่ สุดท้ายก็ถูกพิพากษาประหารชีวิต โดยตั้งข้อหาว่าเป็นผู้จ้างวาน ทับสายทองไปยิง หลวงพิบูลฯ ที่สนามหลวง สุดท้ายเเล้วนักโทษข้อหากบฏได้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำบางขวาง ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปใช้เเรงงานที่ทันฑสถาน เกาะตะรุเตา ในภายหลังส่วนนักโทษประหารชีวิตถูกทยอยนำออกมาประหารในเวลาเช้ามืด ด้วยการยิงเป้า วันละ 4 คน จนครบจำนวน 18 คน จนเป็นที่มาของชื่อ “กบฏ 18 ศพ” ในหนังสือ “เบื้องเเรกประชาธิปไตย” บันทึกความทรงจำของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์สมัย พ.ศ. 2475 - 2500” บท “ข้าพเจ้าเห็นการยิงเป้า” เล่าไว้ว่า “หลังจากโจทย์พยายามพิสูจน์ว่า ร้อยโท ณ เณร ตาละ
13 ลักษณ์ เป็นตัวการวางยาพิษ พระสุวรรณชิต เป็นตัวการวางเเผนให้ นายลี บุญตา ใช้ปืนยิงในบ้าน หลวง ชำนาญ เป็นตัวการจ้างนายพุ่ม ยิงที่สนามหลวง” เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 8 วันที่ 3 ธันวาคม 2483 คนใต้หอรักษาการณ์ได้ยินเสียงเพลง รื่นเริงสุขสำราญดังมาจากเเดน6 ขณะผู้ คุมไปเบิกตัวนักโทษประหารชุดสุดท้าย เสียงเพลงจบ เสียงกริ๊กๆ เเกร๊กๆ ของโซ่กระทบตรวนก็ดังตามมา จน เห็นตัวนักโทษเดินเรียงเเถวชัดเจน ร้อยโท ณ เณร ตาละลักษณ์ เดินหิ้วตรวนนำหน้า หวีผมเรียบเเปล้ทาเเป้ง หน้านวล ท่าทางองอาจ ใบหน้ายิ้มระรื่น พอเห็นนายลี บุญตา ผู้ชัดทอดว่า ร.ท.ณ เณร เป็นผู้จ้างวานต่อหน้า ผู้เกี่ยวข้องการประหารมากมาย ร.ท.ณ เณรถามนายลีว่า “ไหน เราจะตายจากกันอั๊วขอถามจริงๆต่อหน้าพระพุทธรูป ต่อหน้าพระสงฆ์ ลื้อกับอั๊ว เคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า” นายลี หลบสายตาก้มหน้ามองดินเเล้วบอกด้วยเสียงเเผวเบาว่า “ไม่ เคย” ร.ท.ณ เณร กับนายลี เข้าหลักประหารคู่กัน ถูกยิงพร้อมกันสิ้นเสียงปืนชุดเเรก ทางนายลีเงียบ เเต่ทาง ร.ท.ณ เณร มีเสียงร้องว่า “ยังไม่ตายครับ ยิงซ้ำอีก” ตั้งเเต่มีการยิงเป้ากันมา ไม่เคยปรากฎ เรื่องอย่างนี้เลย นายทิพย์ มียศ เพชรฆาต มือไม้สั่นยิงต่อไม่ได้ นายเหรียญเพิ่มกำลังเมือง เพชรฆาตมือสองเข้า ทำหน้าที่เเทน กระสุนชุดที่สองลั่น กระบวนการประหารชีวิตก็จบลง ทุกวันนี้ยังไม่เป็นที่เเนชัดว่าผู้ถูกลงโทษ ทั้งหมด กระทำผิดจริงหรือไม่ เพราะถูกตัดสินโดยศาลพอเศษที่บรรดาผู้พิพากษาคือ บุคคลที่รัฐบาลเเต่งตั้ง เเละไม่มีทนายจำเลยตามหลักกระบวนการยุติธรรม กบฎพระยาทรงสุรเดช คือการเป็นกบฎที่รัฐบาลประกาศ ว่าเป็น ทั้งๆที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายเเรงต่อบ้านเมืองนอกจากเหตุการที่เกิดกับหลวงพิบูลฯ 3 ครั้งดังกล่าว ข้างต้น
14 เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 9 จึงมีความชัดเจนว่าอุบัติการนี้ถูกจัดฉากสร้างขึ้นเพื่อหาเรื่องกำจัดบุคคลที่หลวงพิบูลฯ คิดเอาเองว่า น่าจะเป็นศัตรูของตนเท่านั้น ในที่สุด สี่ผู้ก่อการปฏิบัติ 2475 ก็ได้แตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทางส่วน ในกรณี พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) นั้นถูกตั้งข้อสงสัยทั้งที่เคยถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในคณะศาล พิเศษ เพื่อพิจารณาในคดีคณะบวรเดชและถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมราธทัณฑ์แต่เมื่อปลายปี 2481 พระยาฤทธิอัคเนย์ถูกเชิญไปวังปารุสก์และถูกกล่าวหาว่ามีส่วน รู้เห็นเกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือ ในการก่อ กบฏบวรเดชเมื่อปี2476 และยังจุนเจือแก่พวกกบฏด้วยประการต่างๆ เช่นสนับสนุนให้กบฏที่พ้นโทษแล้วได้ กลับเข้ารับราชการตามเดิมและกล่าวหาว่าพระยาฤทธิ์ฯ รู้เห็นและเป็นตัวการว่าจ้างให้นายพุ่มยิงหลวงพิบูลฯ ที่ท้อง สนามหลวงเมื่อปลายปี 2477 และกล่าวหาว่าพระยาฤทธิ์ฯ ร่วมสมคบคิดกับพระยาทรงฯ เพื่อวางแผนล้มล้างรัฐบาลซึ่งหลวงพิบูลฯ ได้อ้างว่าอธิบดีกรมตำรวจมีหลักฐานที่พระยาฤทธิ์ฯ เกี่ยวข้องกับคดีเหล่านี้ไว้พร้อมแล้วทันที ที่ได้ฟังถ้อยแถลง ของหลวงพิบูลฯ พระยาฤทธิ์ก็ตระหนักชัดว่าได้มีการสร้างสถานการณ์เพื่อกำจัดบุคคลที่ไม่พึงปราถนาออกไป จากวงการเมืองขึ้นแล้วเมื่อหลวงพิบูลฯ แถลงข้อหาของพระยาฤทธิ์ฯ จบ ก็พูดต่อไปว่า “ในฐานะที่ท่านเป็น ผู้ต้องหาเช่นนี้ทางตำรวจเขาเห็นสมควรจะฟ้องศาลแต่เนื่องจากท่านเป็นผู้ก่อการชั้นผู้ใหญ่ในที่ประชุมของ ผู้ก่อการจึงเห็นสมควรที่ท่านจะพิจารณาเป็น 2 ประการคือ 1. ลาออกจากราชการแล้วเดินทางไปอยู่นอก ประเทศเสีย 2. ยอมให้ศาลพิสูจน์ข้อเท็จจริง ตามที่พนักงานอัยการศาลพิเศษสุดท้ายพระยาฤทธิอัคเนย์จึง ตัดสินใจลี้ภัยการเมืองไปพำนัก(อาศัย)ที่เมืองปีนังประเทศมาเลเซียพร้อมร้อยเอก ชลอ เอมะศิริ หลานชาย
15 เรื่องราวเหตุการณ์ช่วงที่ 10 สำหรับพันเอกพระยาทรงสุรเดช หลวงรณสิทธิ์พิชัยและร้อยเอกกาญจนสิทธิ์ นายทหารคนสนิทถูก ตำรวจสันติบาลควบคุมตัวขึ้นรถไฟไปอรัญประเทศเพื่อเนรเทศออกไปยังอินโดจีนเป็นอันว่าบทบาททางการ เมืองของพระยาสุรเดช ได้สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้เหลือเพียงข่าวที่ทราบภายหลังว่าบุคคลผู้นี้ใช้ชีวิตในต่างแดน ด้วยความยากแค้นลำเค็ญแม้แต่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายหมดลงก็ยังหาญาติมิตร จนกระทั่งโลงใส่กายก็ไม่มี นับเป็นธีวิตของนักปฏิวัติที่อาภัพที่สุดผู้หนึ่งร้อยเอก สำรวจ กาญจนสิทธิ์ คนสนิทได้เล่าถึงความอาภัพของพระ ยาสุรเดชเอาโว้ในหนังสือ “ชีวิตของพระยาสุรเดบ”ว่า “…มีข่าวลือในเมืองไทยว่าผู้ก่อการ 24 มิ. ย บางคนได้ ส่งเงิน ให้ท่านก้อนหนึ่ง ไว้กินไว้ใช้ในฐานที่ถูกขับไสไล่ส่งออกนอกประเทศข่าวอัปมงคล เช่นนี้ ปราศจากความ จริงแม้แต่น้อยโปรดพิจารณาจดหมายของท่านพันเอกทุกๆ ฉบับอย่าว่าแต่พวกก่อการ 24 มิ.ย. 75 จะให้เงิน ทองเลยแม้ชีวิตเลือดเนื้อเขาก็จะทำลายให้สิ้นตายไปเสียโดยเร็วการที่เริ่มเดินทางจากประเทศเมืองเกิดมาก็ แทบจะเอาชีวิตมิรอดหวุดหวิดจะถูกเขาปลิดทั้งระหว่างทางความเมตตาปราณีน่ะหรือจะหาได้จากพวกเผด็จ การเหี้ยมโหด” ชีวิตพระยาทรงสุรเดชที่กัมพูชาไม่มีทรัพย์สินเงินทองเหลือติดตัวอยู่เลยต้องหาเลี้ยงชีพการทำ ขนมกล้วยขายพร้อมกับภรรยาซึ่งต้องลงมือโม้แป้งด้วยตนเองรวม ทั้งรับจ้างซ้อมจักรยานพระยาทรงสุรเดช ได้ เขียนคำสารภาพอันแสนปวดร้าวขณะที่ลี้ภัยอยู่ในกัมพูชาว่า “ไม่มีความผิดครั้งใดในชีวิตของกันจะใหญ่หลวง เท่ากับการนำ “คนหิวเงิน คนหิวอำนาจ” เข้าเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24มิ.ย. 75 พันเอก พระยาทราสุรเดช (เทพ พันธุมเสนา) รายชื่อผู้ต้องหา 1. นายพันโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร 2. นายพลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) - อดีตแม่ทัพไทยในสงครามโลกครั้งที่ 1 อดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร 3. พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์ (หม่อมราชวงศ์ประยูร อิศรศักดิ์) - อดีตรัฐมนตรี 4. พระวุฑฒิภาคภักดี (หอมจันทร์ สรวงสมบูรณ์) 5. นายพันเอก พระสิทธิเรืองเดชพล (แสง พันธุประภาส) - อดีตรัฐมนตรี 6. นายพันโท พระสุวรรณชิต (วอน กังสวร)
16 7. นายร้อยโท ณเณร ตาละลักษณ์ - นายทหารกองหนุน อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร ผู้เคย อภิปรายโจมตีพระยาพหลพลพยุหเสนาในสภา อย่างรุนแรง 8. นายร้อยเอก หลวงภักดีภูมิวิภาค (ตุ้ม รัตนภาณุ) 9. นายร้อยโท ชิต ไทยอุบล 10 หลวงสิริราชทรัพย์ (ไชย โมรากุล) 11. นายดาบ ผุดพันธ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา - บุตรชายพระยาเทพหัสดิน 12. นายร้อยโท เผ่าพงศ์เทพหัสดิน ณ อยุธยา - บุตรชายพระยาเทพหัสดิน 13. นายดาบ พวง พลนาวี - ข้าราชการกรมรถไฟ พี่เขยพระยาทรงสุรเดช 14. นายพันเอก หลวงมหิทธิโยธี (สุ้ย ยุกติวิสาร) - ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกราชบุรี 15. นายร้อยตรี บุญมาก ฤทธิ์สิงห์ - นายทหารประจำการ 16. นายพันเอก หลวงชำนาญยุทธศิลป์ (เชย รมยะนันท์) - อดีตรัฐมนตรี 17. นายร้อยเอก ขุนคลี่พลพฤนท์ (คลี่ สุนทราชุน) - นายทหารประจำกองบังคับการโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่ 18. นายพันตำรวจตรี ขุนนามนฤนาท (นาม ประดิษฐานนท์) - นายตำรวจประจำการ 19. นายพันตรี หลวงไววิทยาศร (เสงี่ยม ไววิทย์) - นายทหารประจำการ 20. นายทหารฝึกหัดราชการโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่ ลูกศิษย์พระยาทรงสุรเดช - 1. นายร้อยเอก จรัส สุนทรภักดี - 2. นายร้อยโท แสง วัณณะศิริ - 3. นายร้อยโท สัย เกษจินดา - 4. นายร้อยโท เสริม พุ่มทอง - 5. นายร้อยโท บุญลือ โตกระแสร์ 21. นายร้อยเอก ชลอ เอมะศิริ - หลานชาย พันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์ 1 ใน 4 ทหารเสือ 22. นายพลตรี หม่อมเจ้าวงศ์นิรชร เทวกุล 23. นายโชติ คุ้มพันธ์ - อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร 24. พระยาวิชิตสรไกร (เอี่ยม ขัมพานนท์) ต่อมามีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 20 กว่าคน เช่น นายเลียง ไชยกาล, นายมังกร สามเสน และ นายทหารจากโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่
17 นักโทษประหาร หลวงพิบูลสงครามได้จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นพิจารณาคดีเป็นการเฉพาะ มีหลวงพรหมโยธีเป็นประธาน ศาลพิเศษนี้ได้ตัดสินว่า มีการเตรียมการยึดอำนาจโดย พระยาทรงสุรเดช เป็นผู้นำและตัดสินลงโทษประหาร ชีวิตนักโทษ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482 จำนวน 21 คน คือ 1. นายลี บุญตา - คนรับใช้ในบ้านหลวงพิบูลสงคราม ที่เคยใช้ปืนไล่ยิงหลวงพิบูลสงคราม เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 2. นายพันโท พระสุวรรณชิต 3. นายร้อยโท ณเณร ตาละลักษณ์ 4. นายดาบ พวง พลนาวี 5. นายพลโท พระยาเทพหัสดิน 6. นายดาบ ผุดพันธ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา 7. นายร้อยโท เผ่าพงศ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา 8. นายร้อยตรี บุญมาก ฤทธิ์สิงห์ 9. นายทง ชาญช่างกล 10. นายพันเอก หลวงมหิทธิโยธี 11. นายพันโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร 12. นายพันเอก หลวงชำนาญยุทธศิลป์ 13. นายร้อยเอก ขุนคลี่พลพฤนท์ 14. นายพันตำรวจตรี ขุนนามนฤนาท 15. นายพันตรี หลวงไววิทยาศร 16. นายพันเอก พระสิทธิเรืองเดชพล 17. จ่านายสิบตำรวจ แม้น เลิศนาวี 18. นายร้อยเอก จรัส สุนทรภักดี 19. นายร้อยโท แสง วัณณะศิริ 20. นายร้อยโท สัย เกษจินดา 21. นายร้อยโท เสริม พุ่มทรง ศาลพิเศษตัดสินปล่อยตัวพ้นข้อหาจำนวน 7 คน จำคุกตลอดชีวิตจำนวน 25 คน โทษประหารชีวิต จำนวน 21 คน แต่ให้เว้นการประหาร คงเหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต 3 คน เนื่องจากเคยประกอบคุณงามความ ดีให้กับประเทศชาติ คือ
18 1. นายพันโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร 2. นายพลโท พระยาเทพหัสดิน 3. นายพันเอก หลวงชำนาญยุทธศิลป์ การลงโทษ นักโทษการเมืองทั้งหมดถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำบางขวาง โดยนักโทษประหารชีวิต ถูกทยอยนำตัว ออกมาประหารด้วยการยิงเป้าวันละ 4 คน (วันสุดท้ายยิงเป้านักโทษ 6 คน) ในเวลาเช้ามืด ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม พ.ศ. 2482 จนครบจำนวน 18 คน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ กบฏ 18 ศพ จนถึงทุกวันนี้ ยัง ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ถูกลงโทษทั้งหมด มีผู้ใดกระทำผิดจริงหรือไม่ เพราะถูกตัดสินโดยศาลพิเศษ ที่บรรดาผู้ พิพากษาคือผู้ที่รัฐบาลแต่งตั้ง และไม่มีทนายจำเลยตามหลักยุติธรรม กบฏพระยาทรงสุรเดช คือการกบฏที่ รัฐบาลประกาศว่าเป็นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไร นอกจากเหตุการณ์ที่เกิดกับหลวงพิบูลสงคราม 3 ครั้งดังกล่าวข้างต้น จึงมีความชัดเจนว่าอุบัติการนี้สร้างขึ้นเพื่อหาเรื่องกำจัดบุคคลที่หลวงพิบูลสงครามเห็นว่า น่าจะเป็นศัตรูของตนเท่านั้น นักโทษการเมืองที่เหลือได้รับอภัยโทษ เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2487 เมื่อนายควง อภัยวงศ์ ขึ้น เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อจากหลวงพิบูลสงครามที่หมดอำนาจลงก่อนจะสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนพระยาทรง สุรเดชถึงแก่กรรมอย่างยากไร้ในเขมร ก่อนหน้านั้นไม่นาน
19 อ้างอิง - http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=พันเอกพระยาทรงสุรเดช(เทพพันธุมเสน) - https://th.wikipedia.org/wiki/กบฏพระยาทรงสุรเดช - https://www.youtube.com/watch?v=tHdPBZpZoFg