รายงาน
เรื่อง ความเชอื่ เรอื่ งนรกสวรรค์ ท่ีมอี ิทธิพลกับคนไทยต้งั แตอ่ ดตี จนถงึ ปัจจบุ ัน
เสนอ
คุณครู สายฝน โหจันทร์
โดย
นางสาว พุทธพร ทองสอดแสง ช้นั ม.๖/๓ เลขท่ี ๓๒
นางสาว ชนันท์ภทั ร์ ณชั ญาทินันท์ ชั้น ม.๖/๓ เลขที่ ๑
นางสาว อภสิ รา จนิ ตนสนธิ ชน้ั ม.๖/๓ เลขท่ี ๔
นางสาว ศภุ ิสรา สราญวฒั น์ ชนั้ ม.๖/๓ เลขท่ี ๑๕
นางสาว เสาวรกั ษ์ ยงศริ วิ รรณ ชั้น ม.๖/๓ เลขที่ ๓๔
รายงานนี้เป็นส่วนหนงึ่ ของวชิ าภาษาไทยพน้ื ฐาน (ท๓๓๑๐๑)
ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕
โรงเรยี นมารยี อ์ ปุ ถัมภ์ อ.สามพราน จ.นครปฐม
ก
คำนำ
รายงานเลม่ นี้จัดทาข้ึนโดยมจี ุดมงุ่ หมายเพ่อื การศึกษาหาความรู้ที่ได้จากเร่ืองความเชื่อสวรรค์นรกท่ีมี
อิทธิพลต่อการดารงชีวิตของคนไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน ขอบข่ายเนื้อหามีดังน้ี ความหมายของความเช่ือ
ความสาคัญของความเชือ่ นรก สวรรค์ เเละตัวอยา่ งความเชอื่ นรกสวรรค์ในต่างประเทศ โดยไดศ้ กึ ษาผ่าน
เเหลง่ ความรู้จากเวบ็ ไซตต์ ่างๆ และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพ่ือเป็นประโยชน์กบั การเรยี นมากย่งิ ข้ึน
ผู้จัดทาหวังอย่างยิ่งว่า การจัดทารายงานเล่มนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับนักเรียน หรือผู้ที่สนใจ
ศกึ ษาความเช่อื สวรรค์นรก หากมีขอ้ เสนอเเนะประการใด ผู้จัดทาขอน้อมรบั ไว้ ณ ท่นี ี้
คณะผ้จู ดั ทา
๑๑/๐๘/๒๕๖๕
สำรบญั ข
เรอื่ ง หนา้
คานา ก
สารบญั ข
บทนา ค
๑. ความเช่อื ๒
๒
๑.๑ ความหมายของความเชื่อ ๓
๑.๒ ความสาคญั ของความเช่ือ ๕
๒. นรก ๕
๒.๑ ความหมายของนรก ๖
๒.๒ ประเภทของนรก ๘
๒.๓ ความเชื่อเกย่ี วกบั นรก ๙
๒.๔ อิทธพิ ลของความเชื่อเรอ่ื งนรกตั้งแต่อดีตจนถึงปจั จุบัน ๑๑
๑๒
๒.๔.๑ อิทธพิ ลจากวรรณคดีไทย ๑๒
๒.๔.๒ อทิ ธพิ ลจากแนวคิดตา่ งชาติ ๑๒
๓. สวรรค์ ๑๓
๓.๑ ความหมายของสวรรค์ ๑๖
๓.๒ ประเภทของสวรรค์ ๑๗
๓.๓ ความเช่อื เกี่ยวกับสรรค์ ๒๒
๓.๔ อิทธพิ ลของความเชื่อเรอื่ งสวรรค์ตัง้ แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จบุ นั ๒๒
๔. ตวั อยา่ งความเชื่อนรกสวรรค์ในตา่ งประเทศ ๒๓
๔.๑ ตวั อย่างเกย่ี วกบั ความเช่อื เรอื่ งนรกสวรรค์ในประเทศญี่ปนุ่ ๒๖
๔.๒ ตวั อยา่ งเก่ียวกบั ความเชื่อเรอ่ื งนรกสวรรคใ์ นประเทศจีน ๒๗
บทสรุป
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
ค
บทนำ
ในอดีตมีความเชือ่ มากมายที่สืบทอดมาถึงในยุคปัจจุบัน ความเชื่อเรื่องนรกและสวรรค์ มีอิทธิพลตอ่
คนไทย โดยส่วนมากหากไม่มคี วามเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ ทุกคนก็จะสามารถกระทาความที่ผดิ และถูกได้ แต่ถ้า
หากเรามีความเชื่อ เรื่องนรก-สวรรค์ ทุกคนก็จะสามารถรู้ได้ว่า การกระทาใดถูก และ การกระทาใดผิด
เนื่องจากหลักความเชื่อทางพระพุทธศาสนา มีหลักธรรมคาสอนที่ปลูกฝงั ให้เรามั่นกระทาความดีละเว้นความ
ชว่ั คนทกี่ ระทาความดจี ะได้ขึ้นสวรรค์
จึงเป็นที่มาของการทารายงานเล่มน้ี เนื่องจากรายงานเล่มนี้เป็นทางเลือกอีกหนึ่งทางสาหรับคนที่มี
ความเช่ือเร่ืองนรก-สวรรค์ น้นั จึงเป็นความสนใจสว่ นตัวของผู้จัดทารายงาน ทีอ่ ยากจะศึกษาเรื่องนรก-สวรรค์
ซงึ่ มเี นอ้ื หาเกี่ยวกับความเชอ่ื และอทิ ธิพลของความเชื่อเรอ่ื งนรก-สวรรค์ ดงั น้นั ผู้จดั ทาจึงได้มีความคิดท่ีจะ
นาเอารปู แบบความเช่ือมาใชใ้ นการเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวสผู่ ูท้ ่สี นใจต่อไป
ภาพท่ี สำรบญั ภำพ ๒
ภาพท่ี ๑
ภาพท่ี ๒ นรก หนา้
ภาพท่ี ๓
ภาพท่ี ๔
ภาพที่ ๕
ภาพท่ี ๖
ภาพที่ ๗
ภาพที่ ๘
ภาพที่ ๙
ภาพท่ี ๑๐
ภาพที่ ๑๑
ภาพที่ ๑๒
ภาพที่ ๑๓
ภาพที่ ๑๔
๓
รายงานเรือ่ ง ความเชอื่ นรกสวรรคท์ ี่มอี ิทธิพลต่อการดารงชวี ติ ของคนไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน มหี ัวข้อหลกั
หัวขอ้ ยอ่ ยดังน้ี
หวั ข้อหลัก
๑.ความเชือ่
๒. นรก
๓. สวรรค์
๔. ตัวอยา่ งความเชือ่ เกย่ี วกบั นรกสวรรคใ์ นตา่ งประเทศ
หัวขอ้ ย่อย
๑.๑ ความหมายของความเช่ือ
๑.๒ ความสาคญั ของความเชื่อ
๒.๑ ความหมายของนรก
๒.๒ ประเภทของนรก
๒.๓ ความเชอ่ื ของนรก
๒.๔ อทิ ธพิ ลของนรกท่มี ีต่อคนไทยในอดีตและปัจจุบนั
๓.๑ ความหมายของสวรรค์
๓.๒ ประเภทของสวรรค์
๓.๓ ความเชอ่ื ของสวรรค์
๓.๔ อทิ ธพิ ลของสวรรคท์ ่ีมีต่อคนไทยในอดตี และปัจจบุ ัน
๔.๑ ตัวอยา่ งเก่ียวกับความเชื่อเรื่องนรกสวรรคใ์ นประเทศญี่ป่นุ
๔.๒ ควตวั อย่างเกย่ี วกบั ความเชือ่ เรื่องนรกสวรรคใ์ นประเทศจนี
๔.๓ ตวั อยา่ งเกีย่ วกับความเช่ือเร่อื งนรกสวรรค์ของประเทศในแถบยุโรป
๑. ความเชอ่ื
๑.๑ ความหมายของความเช่อื
มานิต มานิตเจริญ (๒๕๑๔) ได้ให้ของคาว่า "ความเชื่อ" ว่ามีความหมายอยู่หลายความหมาย
นักวิชาการและผู้รู้ได้ให้ความหมายของความเชื่อไว้ในแง่มุมต่างๆ ดังนี้ ความเชื่อ คือ การยอมรับว่าสิ่งใดส่ิง
หนึ่งเป็นความจริงหรือเป็นสิ่งที่เราไว้ใจ ความจริงหรือความไว้วางใจที่เป็นรูปของความเชื่อนั้น ไม่จาเป็นว่า
จะต้องเป็นความจริงที่ตรงตามหลักเหตุผลหรือหลักวิทยาศาสตร์ใดๆ คนที่เชื่อในฤกษ์ยามก็จะถือว่า วันเวลา
การโคจรของดวงดาวจะก่อให้เกิดผลต่อตัวมนุษย์ คนที่เชื่อเครื่องรางของขลังก็จะมีความยึดมั่นว่า เครื่องราง
ของขลังให้คุณให้โทษแก่ตนได้จริง ตัวอย่างของความเชื่อ ได้แก่ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ โชคลาง ของขลัง ผี
สาง นางไม้ ความเชื่อ อานาจลึกลับ สงิ่ ศักด์สิ ิทธิ์ อิทธฤิ ทธิ์ปาฏหิ ารยิ ์ เหลา่ น้ีเปน็ ต้น
๔
ความเชื่อ หมายถึง เห็นตามด้วย มั่นใจ ไว้ใจ นับถือ และในลักษณะคล้ายกันนี้ มานิต มานิตเจริญ
กล่าวว่าความเชื่อหมายถึง เห็นจริงด้วย วางใจ ไว้ใจ มั่นใจ และนับถือ อนึ่ง พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา
อังกฤษ – ไทย ให้ความหมายเก่ยี วกบั ความเชอ่ื ไว้ ๒ นัยดว้ ยกนั คือ
๑. การยอมรบั ขอ้ เสนอข้อใดข้อหน่ึงไดว้ ่าเปน็ ความจริง การยอมรับเช่นนโี้ ดยสารตั ถะสาคญั แล้วเป็นการรับเชิง
พุทธิปัญญา แม้ว่าจะมีอารมณ์สะเทือนใจเข้ามาประกอบร่วมด้วย ความเชื่อจะก่อให้เกิดภาวะทางจิตขึ้นใน
บุคคลซึ่งอาจจะเป็นพื้นฐาน สาหรับการกระทาโดยสมัครใจของบุคคลนั้น ความเชื่ออาจจะมีพื้นฐานจาก
หลกั ฐานขอ้ เท็จจริงทเ่ี ชื่อไดห้ รือมีพ้ืนฐานจากความเดียดฉันท์จากการนึกรู้เอาเอง หรือจากลกั ษณะที่ทาให้เกิด
ความเขา้ ใจไขว้เขวก็ได้ เพราะฉะน้ัน ความเชอ่ื จงึ มิได้ข้ึนอยู่กับความจริงเชงิ วัตถุวสิ ัยในเน้ือหาความเชื่อแปลก
วิตถารก็ได้ คนเราอาจจะกระทาการอย่างแข็งขันจริงจัง หรืออย่างบ้าคลั่งด้วยความเชื่อที่ผิดได้เท่าๆ กับที่ทา
ด้วยความเชื่อที่ถูกต้อง อย่างไรก็ดี การทาที่ใช้สติปัญญาใดๆ ก็ตาม ย่อมต้องอาศัยความเชื่ออยู่ด้วยเสมอ แต่
สตปิ ัญญาเองนั้นอาจใช้มาทดสอบความเชือ่ และตรวจดคู วามสมบูรณถ์ ูกต้องพน้ื ฐานความเชื่อนน้ั ได้
๒. การยอมรบั ขอ้ เสนอขอ้ ใดขอ้ หน่งึ วา่ เป็นจรงิ โดยทีย่ ังมิไดพ้ สิ จู นไ์ ด้โดยวธิ กี ารของวิทยาศาสตร์
จากคาจากัดความต่างๆ ข้างต้น จึงพอสรุปความหมายของความเชื่อไว้ว่า "ความเชื่อ" หมายถึง การยอมรับ
ตา่ งๆ วา่ เปน็ จริง มอี ยจู่ รงิ และมีอานาจที่จะบนั ดาลใหเ้ กดิ ผลดีหรอื ผลรา้ ยตอ่ การดารงชวี ิตของมนษุ ย์ ถึงแม้ว่า
ส่ิงนั้นจะไมส่ ามารถพิสูจนไ์ ดว้ า่ เป็นความจริงด้วยเหตผุ ล แตเ่ ป็นท่ยี อมรบั กนั ในกลุ่มชนหรอื สงั คม
ทศั นยี ์ ทานตวณชิ (๒๕๒๓) กล่าววา่ “ความเชื่อคือการยอมรับนบั ถือว่าเป็นความจริง หรือมีอยู่จริง
การยอมรับหรือการยึดมั่นนี้ อาจมีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ หรืออาจไม่มีหลักฐานพิสูจน์สิ่งนั้นให้เห็น
จริงได”้
สนุ ทรี โคมิน (๒๕๓๙) กล่าวว่า “ความเชอ่ื เป็นความนึกคิดยึดถือ โดยทีเ่ จ้าตัวจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
เป็นส่งิ ทีส่ ามารถจะศกึ ษาและวดั ไดจ้ ากคาพดู และการกระทาของคน”
สถาพร ศรสัจจงั (๒๕๓๓) ให้ความหมายของความเช่ือไว้ว่า “ความเชื่อหมายถงึ การยอมรับข้อเสนอ
อย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นความจริง การยอมรับนี้อาจจะเกิดจากสติปัญญา เหตุผลหรือศรัทธา โดยไม่ต้องมี
เหตผุ ลใดๆมารองรบั กไ็ ด้”
ธวัช ปุณโณทก (๒๕๒๘) ได้กล่าวถึงความเชื่อไว้ว่า ความเชื่อ คือ การยอมรับอันเกิดอยู่ในจิตสานึก
ของมนุษย์ต่อพลังอานาจเหนือธรรมชาติ ที่เป็นผลดีหรือผลร้ายต่อ มนุษย์น้ันๆ หรือสังคมมนุษย์นั้นๆ แม้ว่า
พลงั อานาจเหนอื ธรรมชาตเิ หล่านั้นไมส่ ามารถทจ่ี ะพิสูจน์ไดว้ ่าเปน็ ความจริง แตม่ นุษย์ในสังคมหนึง่ ยอมรับและ
ให้ความเคารพเกรงกลัวส่ิงเหล่านี้ เรยี กวา่ ความเช่ือ ฉะนนั้ ความเชื่อจึงมีขอบเขตกวางขว้างมาก ไม่เพียงแต่จะ
หมายถึงความเช่อื ในดวงวิญญา ไม่เพียงแตจ่ ะหมายถึงความเชือ่ ในดวงวิญญาณทงั้ หลาย (belief in spiritual
beings) ภูตผี คาถาอาคม โชคลาง ไสยเวท ตา่ งๆ ยงั รวมถึงปรากฏการณ์ธรรมชาตทิ ี่มนุษย์ยอมรับนับถือ เช่น
ตน้ ไม้ (ตน้ โพธ์ิ ต้นไทร) ปา่ เขา
๕
สรุปไดว้ ่า ความเชื่อ หมายถงึ ความคดิ ความเข้าใจและการยอมรบั นับถือ เชื่อมั่นในส่ิงหน่ึงสิ่งใด
โดยไม่ต้องมีเหตุผลใดมาสนับสนุนหรือพิสูจน์ ทั้งนี้บางอย่างอาจมีหลักฐานอย่างเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ หรือ
อาจจะไมม่ ีหลักฐานท่จี ะนามาใชพ้ สิ จู น์ใหเ้ ห็นจริงเก่ียวกบั ส่ิงน้นั กไ็ ด้
๑.๒ ควำมสำคญั ของควำมเช่อื
ลัญจกร นิลกาญจ์ (๒๕๖๑) ได้กล่าวไว้ว่า วัฒนธรรมความเชื่อ เป็นแนวการดาเนินชีวิตในกรอบ
ความคิดตามความศรัทธาต่อความเชื่อ และยอมรับในพลังอานาจเหนือธรรมชาติของบุคคล กลุ่มคนที่อยู่ใน
ชุมชนท่มี ีความศรัทธา เป็นพลังกล่มุ ใหเ้ ขา้ รว่ ม กิจกรรมหรือแสดงพฤติกรรมตามความเชื่อ จะเข้ามามีบทบาท
ในการจัดการเก่ียวกับบรเิ วณพื้นที่ กระบวนการตามข้ันตอนทีค่ วรจะเป็น ซึ่งความเข้มข้นของพลงั ศรทั ธาจะมี
ผลต่อรูปแบบการจัดการ รวมถึงการจัดเตรียมปัจจัยที่เกีย่ วขอ้ งกับความเชือ่ การจัดการศรทั ธาของชุมชนจงึ มี
ความสาคัญทีจ่ ะสง่ ผลตอ่ เน่อื งระยะยาวในชุมชน
ความเชื่อในพลงั อานาจเหนอื ธรรมชาติที่มีผลต่อสภาพจิตใจและมบี ทบาทในการกาหนดพฤตกิ รรม การกระทา
ต่าง ๆ ในทิศทางของความเชื่อนั้น เป็นสิ่งปรากฏอยู่ในกลุ่มคน และในกลุ่มพื้นที่ พลังความเชื่อมีผลต่อความ
ศรัทธาที่มีระดับตั้งแต่ไม่มากนัก จนถึงขั้นมากชนิดที่ยอมเสียสละทุกอย่างที่มี รวมถึงยอมตายเพื่อปฏิบัติตาม
ความเช่ือนน้ั
ความเชื่อในชุมชนจะเป็นปัจจัยสาคัญอย่างหนึ่งที่กาหนดให้กลุ่มคนที่มีความเชื่อนั้นแสดงพฤติกรรม หรือทา
กิจกรรมต่าง ๆ ชุมชนเป็นเขตพื้นทที่ ่ีมีครอบครวั จานวนมากมาตัง้ บ้านเรือนพักอาศัย ชุมชนแต่ละแห่งมักจะมี
ลักษณะสาธารณูปโภค และบริการสาธารณะตามความจาเป็นพื้นฐานของชีวิต แต่จะมีลักษณะเฉพาะตาม
บริบททางสังคม แต่ละชุมชนจะมีการเรียนรู้ พัฒนาและปรับตัว สร้างวัฒนธรรมชุมชนขึ้นมา กาหนดวิถีการ
ดาเนินชีวติ ในชุมชน ในส่วนนี้จะมีความเชอื่ เขา้ มามีอิทธิพลตอ่ สมาชิกในชุมชนอยู่ดว้ ย
ความเชื่อมีมาตั้งแต่มีเริ่มมีมนุษยชาติ แล้วค่อยๆพัฒนามาเป็นระบบความเชื่อที่ชัดเจน เป็นเรื่องของอานาจ
เหนือธรรมชาติ ที่มีอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์และยอมรับในพลังอานาจด้วยการเคารพบูชา ประกอบ
พิธีกรรม และประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบกติกาที่เห็นว่าเหมาะสมกับความเชื่อนั้น อิทธิพลและพลังของ
ความเชอื่ อาจจะผนั แปรไปตามสถานการณ์ทางสังคมบ้างแต่บทบาท ของความเช่ือจะอยู่ในจติ สานึกของกลุ่ม
คนทม่ี คี วามเชือ่ น้นั ค่อนข้างยาวนาน
นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ (๒๕๖๐) ได้กล่าวไว้ว่า จากการศึกษาทางด้านมานุษยวิทยาของ Brain Morris
(๒๕๔๙) ในประเดน็ ความเช่ือเรอื่ งส่ิงศักดสิ์ ทิ ธ์ิ ไดพ้ บวา่ ความเชื่อเป็นปจั จัยสาคัญทสี่ ่งผลต่อกระบวนทัศน์ของ
สงั คม ดังนี้
๑. กระบวนทัศนห์ น้าทน่ี ิยม
ในสงั คมชนเผ่าความเชื่อในรูปแบบของเวทมนตร์คาถาทาให้มนุษยร์ ู้สึกสบาย ใจในส่งิ ท่คี วบคุมไม่ได้ ในขณะท่ี
Alfred Radcliffe-Brown ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ความเชื่อมีหน้าที่ในการจัดระเบียบสังคมให้เกิดเป็นเอกภาพ
จึงสรุปได้วา่ ความเช่อื ถกู ใชเ้ พื่อแก้ปญั หาตา่ งๆท่ีเกดิ ขึ้นในชวี ิต
๒. กระบวนทศั น์จิตวิเคราะห์
๖
มนุษย์ยังคงหวาดกลัวต่อสิ่งที่มีอานาจเหนือกว่า ไม่สามารถเข้าใจได้ และเป็นนามธรรม การจัดตั้งพิธีกรรม
การเซน่ ไหวต้ ามความเชื่อ ก็สามารถกาจัดความรสู้ ึกหวาดกลัวและวติ กกงั วลของมนุษย์ได้ จึงสรุปได้ว่า มนุษย์
ไดใ้ ช้ความเชอ่ื เพ่อื สร้างความรู้สกึ มัน่ คง มั่นใจและปลอดภัยจากสิ่งทม่ี องไมเ่ หน็
๓. กระบวนทศั น์โครงสร้างนยิ ม
ความเชื่อชว่ ยจัดระเบียบทางสังคมได้ทัง้ หมด ๓ ลกั ษณะ ได้แก่ ความคิด, การกระทา และการแสดงออก ช่วย
ใหม้ นุษยส์ ามารถอธิบายหลักปรัชญาชีวิตทซ่ี ับซอ้ นได้และสรา้ งความม่ันใจในตนเองได้ จงึ สรปุ ไดว้ ่า ความเช่อื มี
บทบาทในการสรา้ งกฎเกณฑแ์ ละระเบยี บภายในสงั คม
๔. กระบวนทศั น์สญั ลกั ษณน์ ิยม
ความเชื่อในหลายครั้งถูกนาไปใช้ในรูปแบบของสัญลักษณ์ เพื่อแสดงอารมณ์ ความรู้สึก และความปรารถนา
และแรงบันดาลใจในการจัดระเบยี บชีวติ ของตน จึงสรุปได้วา่ ความเช่อื สามารถออกมาในรูปแบบรูปธรรมเพื่อ
สรา้ งความมนั่ ใจให้กบั มนษุ ย์
๕. กระบวนทศั นน์ ิเวศนว์ ัฒนธรรม
เนอื่ งจากความเช่ือเปลยี่ นแปลงไปตามวัฒนธรรม และสงิ่ แวดล้อมที่แตกต่างกนั ในพ้ืนที่ต่างๆทว่ั โลก ความเช่ือ
จงึ ทาใหท้ ราบวา่ สิ่งแวดล้อมของสังคมนัน้ ๆเปน็ อย่างไร
๖. กระบวนทศั น์อานาจ/ความรู้
การอธิบายเร่ืองทีซ่ ับซอ้ น เช่นการมชี ีวิต การดารงอยู่จาเป็นที่จะต้องมีความเชอ่ื เข้ามาเก่ียวข้อง
ภรมิ า วินธิ าสถิตยก์ ุล และ พระมหาจริ ฉันท์ จริ เมธี (๒๕๕๘) ไดก้ ลา่ วไวว้ ่า ความสาคัญและบทบาท
ของความเช่ือมีดังนี้
๑. ความเชื่อชว่ ยใหท้ ราบถึงสภาพสังคม การดารงชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ มของสงั คมน้ันๆตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจบุ นั
จากการสบื ทอดรุ่นสู่รนุ่
๒. ความเชื่อหลายครั้งถูกนามาใช้ในการอบรมสั่งสอนคนรุ่นหลัง โดยส่วนมากจะปรากฎในรูปแบบของกุศโล
บาย
๓. ความเชือ่ ถกู ใช้เปน็ เครื่องมือในการสร้างความเป็นเอกภาพ ความสามมัคคี และความภาคภูมิใจให้กับสังคม
นนั้ ๆ
๔. ความเชื่อช่วยในการสร้างความมั่นใจให้สมาชิกในสังคมนั้นๆ เป็นที่ยึดเหนี่ยวที่ช่วยคลี่คลายความรู้สึก
เครียด ความรสู้ ึกไม่ปลอดภัย และความวิตกกังวลได้
๕. ความเช่อื ช่วยควบคุมสังคมและจดั ระเบยี บสังคม สรา้ งค่านิยมใหเ้ ปน็ ไปตามบรรทัดฐานตามความเชื่อนน้ั ๆ
ความเชื่อนั้นอยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาตั้งแต่เริ่มต้น มนุษย์ไม่อาจใช้ชีวิตโดยขาดความเชื่อได้ เนื่องจาก
ความเชื่อนั้นมีบทบาทสาคัญต่อสภาพจิตใจ การตัดสินใจ และการจัดระเบียบของสังคมมนุษย์เป็นอย่างมาก
ส่วนใหญ่ความเชื่อนั้นจะอยู่ในประเด็นของอานาจเหนือธรรมชาติ เนื่องจากเมื่อมนุษย์ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่
ตนควบคุมไม่ได้ก็จะนาความรู้หรือประสบการณ์และจนิ ตนาการเท่าที่ทราบมาอธิบายเร่ืองที่ไม่เข้าใจเหล่าน้นั
เพื่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย และสบายใจ นอกจากความเชื่อในระดับบุคคลแล้ว ความเชื่อในระดับสังคมยงั
๗
เป็นปจั จยั สาคัญทส่ี ร้างกฎเกณฑ์ และคา่ นิยมเพ่ือให้ไปสอดคล้องกบั บรรทัดฐานของความเช่ือนั้นๆ จากข้อมูล
ข้างต้นที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ชัดว่าความเชื่อนั้นมีบทบาทสาคัญ และอิทธิพลต่อสังคมมนุษย์เป็นอย่าง
มาก โดยหนึ่งในนั้นก็มีประเทศไทยเช่นกัน ความเชื่อส่วนมากที่ถูกสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน และมีอิทธิพล
มากที่สุด คงไม่พ้นจากเรื่องภูติ ผี เทวดา ปีศาจที่ได้รับมาจากศาสนาต่างๆ แต่หากจะกล่าวถึงความเชื่อท่ี
มีอิทธอิพลต่ออสภาพจิตใจ การตัดสินใจ และการจัดระเบียบสังคมของมนุษย์ ก็คงเป็นเรื่องของนรกและ
สวรรค์ ที่ผูกพนั ธ์และตดิ ใจคนไทยมาจากพทุ ธศาสนามากทีส่ ุด
๒. นรก
๒.๑ ควำมหมำยของนรก
พงษ์ เจริญ (๒๕๕๕) ได้กวา่ ไวว้ า่ คาวา่ “นรก” ตามความหมายของรปู ศัพท์และทัศนะของนักวิชาการ
ทางพระพทุ ธศาสนา นรก (นะ-) น. แดนหรอื ภูมทิ ่ีเชื่อกันว่าผู้ทาบาปจะต้องไปเกิดและถูกลงโทษ, โดย ปริยาย
หมายถงึ แดนท่มี แี ต่ความทุกข์ทรมาน
นิรย (ปุ) ประเทศที่มีความเจริญออกแล้ว, ประเทศมีความเจริญไปปราศแล้ว, ประเทศ ไม่มีความเจริญ,
ประเทศปราศจากความเจริญ, ภพไม่มคี วามเจริญ, ภพไม่มีความสุข, โลกไมม่ คี วาม เจรญิ ,โลกไม่มีความสุข.วิ.อ
โยอิฏฺฐผล,โสนิคฺคโตอสฺมาตินิรโย (ผลที่ปรารถนาชื่อว่าความ เจริญ, ความเจริญนั้น ไปปราศแล้ว จากภพน้ี
เหตนุ ั้น ภพนี้ ชือ่ ว่า เป็นท่ไี ปปราศแลว้ จากความ เจริญ)
คาว่า “นรก” มาจากคาบาลี “นิรยะ” แปลว่า สภาพที่ไม่มีความเจริญ สภาพที่ไม่มี ความสุข สภาพหรือภูมิท่ี
ไม่มีความยินดี ไม่มีความเบาใจ นรกคือภูมิเป็นที่เสวยทุกข์ของคนผู้ทาบาปตายแล้วไปเกิด เป็นเหวแห่งความ
ทกุ ข์ ไรเ้ สียซ่งึ ความสุขและความเจรญิ เปน็ ภาวะทีร่ อ้ นรน
(๒๕๖๐) ได้กล่าวว่า นรก เป็นคาแปลของศัพท์ว่านิรยะซึ่งแปลว่าภูมิคือภพที่ไร้ความสาราญไร้ความ
ยินดี หรือไร้ความเจริญไร้ความสุขลาพังคาว่า “นรก” แปลว่า “เหว” เท่านั้น แต่ใช้เป็นคาแปลนิรยะที่เข้าใจ
กนั ดี กลา่ วโดยเนอ้ื ความก็คือ ภูมิภพทไี่ มม่ ีส่ิงอันเป็นท่ีน่ารักใครป่ รารถนาพอใจเสยี เลยทีเดยี ว ถ้าเป็นรูปก็เป็น
รูปที่พึงเกลียดพึงชัง ถ้าเป็นเสียงก็เป็นเสียงที่พึงกลัว ถ้าเป็นกลิ่นก็เป็นกลิ่นที่พึงรังเกียจ ถ้าเป็นรสก็เป็นรสที่
เป็นพิษแรงร้าย ถ้าเป็นสิ่งที่กายถูกต้องก็เป็นสิ่งที่ทาให้เจ็บปวดรวดร้าว รวมความว่าล้วนเป็นสิ่งที่ไม่พึงยินดี
พอใจ ไมเ่ ป็นสง่ิ ท่สี าราญตา หู เป็นตน้ ทง้ั สน้ิ เป็นสงิ่ ท่ที าใหเ้ กิดความทุกขแ์ ตส่ ่วนเดยี ว
ศิรพิ จน์ เหลา่ มานะเจริญ (๒๕๖๐) ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ “นรก” ก็เป็นประดิษฐกรรมทางความคิดอีกชิ้นหน่ึง
ที่ค่อยๆ ถูกแต่งเติมตอ่ ยอดตลอดมาควบคู่กับประวัติศาสตรข์ องมนษุ ยชาตินับแตอ่ ดีต มนุษย์มักจะหมกม่นุ ใน
เรื่องของชีวิตหลังความตายน่าสังเกตว่าเราเชื่อว่าเมื่อสิ้นลมหายใจไปแล้วเราก็ยังมี “ชีวิต” อยู่ แต่เป็นชีวิตท่ี
อยู่ใน “โลก” อีกมิติหนึ่งซึ่งโลกในมิติที่ว่าสามารถเชื่อมโยงเข้ากับโลกในมิติปัจจุบันด้วยวิถีทางใดวิถีทางหนึ่ง
ตวั อย่างเช่น ความตอนต้นในพงศาวดารล้านชา้ งอา้ งว่า “กาลเมอื่ ก่อนนั้น ก็เปน็ ดนิ เป็นหญ้าเปน็ ฟา้ เปน็ แถน ผี
แลคนเที่ยวไปมาหากันบ่ขาด”“ผี” ในที่นี้ไม่ได้เที่ยวแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกใครๆ เหมือนในหนังนะครับ ข้อมูล
ในวรรณคดียุคเก่าแก่หลายเรื่องแสดงให้เห็นว่า ผีอาจเป็นได้ทั้งเทวดาหรือชีวิตใหมข่ องบรรพบุรุษที่อยู่ในโลก
อีกมิตหิ นึ่งจงึ เห็นได้ชัดว่าในโลกทัศน์ของชาวอษุ าคเนย์ (อย่างนอ้ ยทีส่ ุดก็ในกลุ่มคนท่ีพูดภาษาตระกูลไท-ลาว)
๘
ในยุคเก่าก่อนที่จะยอมรับเอาวัฒนธรรมศาสนาพุทธ-พราหมณ์จากชมพูทวีปมานั้น พื้นที่สาหรับคนตายยังไม่
ถูกแยกออกไปต่างหากจากโลกของคนเปน็ ผที ตี่ ายไปแล้วสามารถให้คณุ ใหโ้ ทษกับลูกหลานที่ยังมชี ีวิตอยู่ได้ ไม่
ต่างอะไรกับเทวดาถ้าเซ่นไมด่ ีพลีไม่ถกู และแนน่ อนว่ายิ่งไม่มีพื้นที่จาแนกเฉพาะสาหรับผีทีก่ ่อนตายประพฤตดิ ี
และผที ก่ี ่อนตายประพฤติช่ัวอย่าง “สวรรค์” หรอื “นรก”
นรก เปน็ ท่อี ยู่ของคนทาบาปทีจ่ ะต้องไปเกดิ เพอ่ื ถกู ลงโทษ นอกจากนน้ี รกยงั แบง่ ออกเป็นหลาย
ประเภทอีกด้วย
๒.๒ ประเภทของนรก
พงษ์ เจริญ (๒๕๕๕) ได้กล่าวไว้ว่า นรกที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกโดยมากจะกระจัดกระจายอยู่
ตามพระสตู รต่าง ๆ ท่ี ปรากฏเปน็ ชอ่ื ของนรกโดยตรงกม็ ี เชน่ โลหกมุ ภีนรก เป็นตน้ กลา่ วถงึ สภาพของนรกก็มี
เช่น แม่ น้าเวตตรณี มีน้าเป็นกรด หยาบแข็ง เผ็ดร้อน ข้ามได้ยาก ปกคลุมไปด้วยบัวเหล็กมีใบคมไหลไป อยู่
เป็นต้น ทาให้ยากต่อการศึกษาค้นคว้าและเรียงลาดับจัดประเภท ที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา
และปกรณ์วิเสสศึกษาเข้าใจได้ง่ายกว่าและสามารถบอกประเภทและจานวนได้ด้วย มี หลักฐานเกี่ยวกับมหา
นรก ๘ ขุม อุสสทนรก ซึ่งเป็นบริวารของมหานรก และยมโลกนรก ปรากฏ ในคัมภีร์ปกรณ์วิเสสประเภท
จักรวาลวิทยาแนวพุทธ ดังนี้
นรกอันน่าสะพรึงกลัวนัก เป็นแดนสยดสยอง ๘ ขุมเหล่านี้ คือ สัญชีวนรก ๑, กาฬ สุตตนรก ๑, สังฆาตนรก
๑, โรรุวนรก ๑, มหาโรรุวนรก ๑, ตาปนนรก ๑, มหาตาปนนรก ๑, อเวจีนรก ๑ นรกเหล่านี้ ๔ มุม ๔ ประตู
จาแนกไว้เป็นสัดส่วน มีกาแพงเหล็กล้อม โดยรอบ ถูกครอบมิดชิดด้วยเหล็ก พื้นของนรกเหล่านั้นปูด้วยแผ่น
เหล็ก มไี ฟรุ่งเรอื ง ประกอบด้วยความรอ้ นแผ่ไปถึง ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ ดารงอยู่ในกาลทัง้ ปวง เกลือ่ นกล่น ดว้
ยผู้มีกรรมชั่ว แต่ละขุมมีอุสสทนรก ๑๖ ขุม อนึ่ง ภายในของนรกเหล่านั้น โดยกว้าง โดย ยาวและส่ว นสูง
ปรมิ าณโดยรอบมีถึง ๘๐๐ โยชน์ทเี ดียว บัณฑติ พงึ ทราบอย่างนี้ แผน่ ฝามี ส่วนหนาประมาณ ๙ โยชน์ ข้างบน
มีแผ่นกระเบื้องทาด้วยเหล็ก แม้ข้างล่างก็มีพื้นเหล็ก ขนาดนั้น โดยรอบกับอุสสทนรกแต่ละขุมมีประมาณ
๑๐,๐๐๐ โยชน์ นรกเหล่านั้นมี ประมาณ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ทีเดียว นรกเหล่านี้พึงมี ๓,๖๐๐ ขุมโดยอานาจการ
รวมทั้งหมด อนึ่ง ในทิศทั้ง ๔ ของนรกทั้ง ๘ ขุมเหล่านี้ แต่ละทิศมียมโลก (นรก) อยู่ทิศละ ๑๐ แห่ง ยมโลก
(นรก) ๑๐ เหล่านี้ คือ หม้อโลหะ (โลหกุมภีนรก), ป่าไม้งิ้ว (ลิมพลีวันนรก), สัตว์ มีเล็บเป็นดาบ (อสินขนรก)
น้าทองแดง (ตามโพทกนรก), สวนเหล็กแดง (อโยคุฬนรก), ภูเขาเนื้อ (ปิสสปัพพตนรก), แม่น้าแกลบ (ถุสนที
นรก), แม่น้าเย็น (สีตโลลิตนรก), หมา นรก (สุนขนรก), แผ่นศิลายนต์ (ยันตปาสาณนรก), อนึ่งในทิศแม้ทั้ง ๔
ของมหานรก ๘ ขุมเหล่านี้ มียมราช ๔ ท่าน แม้อามาตย์ชื่อสิริคุตก็มีจานวน ๔ ท่านเท่ากัน พยายมและ อา
มาตยส์ ิริคตุ พจิ ารณาเรอ่ื งควรและไม่ควร ตัดสินไปตามกรรม”
(๒๕๕๙) “นรก” ในคัมภีร์พระไตรปิฎก มีทั้งหมด ๘ ขุม ได้แก่ สัญชีวนรก กาลสูตรนรก สังฆาฏนรก
โรรุวนรก มหาโรรวุ นรก ตาปนรก มหาตาปนรก และมหาอเวจีนรก มหานรก ๘ ขุมนัน้ มสี ณั ฐานกว้างและยาว
ได้ ๗ โยชน์ดุจกัน มีฝาแลผนังแลพื้นก็แล้วไปด้วยเหล็กมีประตูทั้ง ๔ ทิศ มีพญายมราชเป็นใหญ่อยู่ทิศละองค์
พญายมราชนั้นจะมีแตอ่ งค์เดยี วหามิได้ มหานรกทั้ง ๘ ขุมนั้นมีพญายมราชอยู่ขุมละ ๔ พระองค์ สิริเป็นพญา
๙
ยมราชถงึ ๓๒ พระองค์ มีนริ ยคุตอามาตย์สาหรับถือบญั ชีอยู่องค์ละคนๆ และพญายมราชน้ันกน็ ับเป็นเวมานิก
เปรตจาพวกหนึ่ง เหตุที่บางครั้งก็ได้เสวยทิพสมบัติเป็นเทวดาอยู่ในวิมานแก้ววิมานทอง บางคราวก็ต้องไป
เท่ียวตรวจตราว่ากลา่ วสตั ว์นรก กิจแห่งพญายมราชอันจะต้องเทย่ี วไปเอาใจใสด่ ว้ ยพระองค์เองนนั้ มกี าหนดแต่
ในยมโลกนรก อันเปน็ บรวิ ารแห่งมหานรกชนั้ นอก
ศรัณย์ ทองปาน (๒๐๒๐) ได้กล่าวไว้ว่า ตามคติจักรวาลแบบเขาพระสุเมรุ พื้นที่ของนรกภูมิ
ประกอบด้วย “นรกใหญ่” หรือ “มหานรก” แปดขุม ซ้อนกันเป็นชั้นๆ จากสูงสุดสู่ต่าสุด หรืออีกนัยหนึ่งคือ
เป็นนรก “แนวดิ่ง” ทานองเดยี วกับสวรรค์ ตง้ั ซ้อนๆ กันอยูเ่ หมือนถาดลูกช้ินถาดผกั ในรา้ นสุกี้ ไล่เรยี งจากนรก
ช้นั สญั ชวี ะท่ีอย่บู นสุด ไปจนถงึ อเวจีอนั อยูล่ ึกล่างสุด ดงั น้ี
๑. สัญชีวะ หรือสัญชีพ (คืนชีวิตขึ้นเอง) นิรยบาลถืออาวุธคอยสับฟันทิ่มแทง เมื่อสัตว์นรกตายตกไปแล้วจะมี
ลมพัดมาใหก้ ลับฟื้นคนื ชวี ิต
๒. กาฬสุตตะ (เส้นดา) สัตว์นรกถูกจับมัดติดกับพื้น แล้วนิรยบาลเอา “สายบรรทัดเหล็กใหญ่เทา่ ลาตาล” ดีด
ลงเหมอื นเปน็ ช่างไม้ ถกู ตรงไหนรา่ งกายกแ็ ตกตลอดแนว ไม่ก็ถกู ขวานถากผา่ เป็นชน้ิ ๆ “ดจุ ถากไม”้
๓. สังฆาฏะ (กระทบกัน) สัตว์นรกมีร่างกายเป็นคน หัวเป็นสัตว์ ถูกทรมาทรกรรมเหมือนคนเฆี่ยนตีสัตว์
พาหนะตา่ งๆ นอกจากนั้นยังมภี ูเขาเพลงิ กลง้ิ หลุนๆ เข้ามาบดรา่ งใหแ้ หลกละเอยี ด
๔. โรรวุ ะ (ร้องครวญคราง) สัตวน์ รกบงั เกิดในดอกบัวเหลก็ ที่ลุกเปน็ ไฟ มหี นามแหลมคม
๕. มหาโรรุวะ (ร้องมากขึ้นอีก) นรกดอกบัวเหล็กอกี ขุมหนึ่ง ยง่ิ ออ้ื องึ ดว้ ยเสยี งรอ้ งครวญครางมากขนึ้ ไปอีก
๖. ตาปนะ (ร้อน) มีหลาวเหล็กไว้เสียบแทงสัตว์นรก “ดุจเนื้ออันเสียบไม้” พอสุกได้ที ประตูนรกจะเปิด มีฝูง
หมาตัวเท่าช้าง เข้ยี วเป็นเหลก็ เข้ามารมุ กนิ บุฟเฟต์จนสิ้นเลือดส้ินเนอื้ แลว้ ก็กลับไปเกดิ ใหม่อีก
๗. มหาตาปนะ (รอ้ นจัด) นริ ยบาลไล่ตอ้ นสัตว์นรกให้หนีข้นึ เขาที่มีลมพัดแรง พลดั ตกลงมาก็ถูกหลาวเหล็กลุก
เป็นไฟเสยี บอีก
๘. อวีจิ หรืออเวจี (ไม่มีระหว่าง หรือไม่เว้นว่าง) สัตว์นรกถูกหลาวเหล็กเสียบตรึงไว้จนขยบั ไม่ได้ ทุกหนแห่งมี
เปลวเพลิงลกุ ทว่ มตลอดเวลา
นรกมีการแบ่งออกเป็นหลายขมุ แต่ละขุมจะได้รบั โทษอยา่ งรนุ แรงตามกรรมท่ีเคยกระทาไว้ ตาม
ความเช่ือของคนไทย
๒.๓ ควำมเช่อื เกี่ยวกับนรก
ศสิวิมล เต็มเจรญิ กจิ (๒๕๖๑) ได้กลา่ วไวว้ า่ ความเช่อื เร่อื งนรก ท่มี ผี ลต่อการกระทาความผิด โดยพบ
ความแตกตา่ งดังนี้
๑.) กลมุ่ ตวั อย่าง ซงึ่ เป็นผ้ไู มเ่ คยมปี ระวตั ิในการกระทาผดิ มีความเชื่อในเรอ่ื งการกระทาไม่ดยี ่อมสง่ ผลต่อ โลก
หลังความตาย คือการลงนรก และการกระทาความดีเพื่อขึ้นสวรรค์ จะมีอัตราการกระทาความผิด ที่น้อยกว่า
กลุ่มตวั อย่างท่เี ป็นผตู้ ้องขงั ในเรือนจา
๒.) กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้ต้องขังในเรือนจาก่อนหน้าที่ได้ กระทาความผิดยังเกิดความสับสนในเรื่องความเช่ือ
ตามหลกั ศาสนา และเม่ือได้รับการอบรมโดยมเี ง่ือนไข ในการอบรมเพอ่ื ปรบั ชน้ั นกั โทษ เพอ่ื ขอลดหย่อนโทษ ก็
๑๐
พบว่าผตู้ ้องขงั ได้มกี ารปรับพฤติกรรมดีขน้ึ แต่อาจ เป็นแคเ่ พยี งชว่ั คราวเท่าน้ัน หากเมอ่ื ผตู้ อ้ งขังพ้นโทษออกไป
เมื่อเจอสภาพส่ิงแวดล้อมแบบเดิมมาเป็นส่ิงเร้า ก็อาจทาให้ไม่มีภูมิคุ้มกันทางด้านความยับยั้งชั่งใจ และหัน
กลับมาสู่เส้นทางในการกระทาความผิด ซ้าซากได้ ดังน้ันการให้ความสาคัญในเรื่องศาสนาที่เป็นส่ิงยึดเหนี่ยว
ทางด้านจิตใจ สร้างความเข้าใจ ทางศาสนาในแบบท่ีทุกคนสามารถเข้าถึงและสามารถปฏิบัติได้ สื่อให้เห็นวา่
ศาสนาไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่สิ่งที่ไกลตวั ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มผู้ต้องขังในเรือนจา หรือ ผู้ท่ีไม่เคยมีประวัติใน
การกระทาความผิด ซึ่งเป็นส่ิงสาคัญบนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ที่มนุษย์ทุกคนควรมี เพื่อทาให้มนุษย์มีความ
สมบูรณ์มากขึ้น เพื่อส่ิงที่ประกอบการตัดสินใจในการกระทาทุกๆ การกระทา ที่อาจจะส่งผลท้ังในโลกนี้และ
โลก หลงั ความตายความความเช่ือของศาสนาทต่ี นได้นับถือ
เบญจมาศ ขุนประเสริฐ (๒๕๖๒) ได้กล่าวไว้ว่า ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์ของ
พญาลิไทย เป็นวรรณคดีทางพุทธศาสนาท่ี สาคัญ เล่มหนึ่งของไทย แสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถและ
อัจฉรยิ ภาพของบรรพบรุษไุ ทยในการนิพานธ์ วรรณคดีทสี่ ดงขอ้ คดิ เหน็ เก่ยี วกับหลักในพุทธศาสนาตลอดจนให้
เหน็ ถึงผลบาปและผลบุญ ทีค่ นทงั้ หลายไดก้ ระทาไว้ ไตรภูมพิ ระร่วงเปน็ วรรณคดีท่ีนอบน้อมจิตใจประชาชนให้
ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมความ ดีตามหลักธรรมะ ด้วยเหตุน้ีแม้หนังสือเรื่องไตรภูมิพระร่วงนี้จะเกิดข้ึนในสมัย
โบราณนานนับร้อยปีแล้ว แต่คุณค่าสาระ ของหนังสือเรื่องนี้น่าศึกษา น่าค้นคว้า เพราะนอกจากจะให้ความรู้
ทางศาสนา แลว้ ยงั ใหค้ วามรู้ทางดา้ นอักษรศาสตร์ ภาษาศาสตร์ จารีตประเพณี และวฒั นธรรมอนื่ ๆอีกเป็นอัน
มาก พญาลไิ ทยทรงพระราชนิพนธ์ข้ึนเพือ่ เทศนาแก่พระราชมารดาและมุง่ สอนศาสนาแก่ประชาชน ทว่ั ไป ไตร
ภูมิกถานี้มีที่มาจากพระอรรถกถา อรรถฎีกา พระอภิธรรมมาวดาร พระอภิธรรมสังคห พระ อรรถกถาฎีกา
พระวินยั พระธรรมบท พระมลิ ินทปัญหา พระธรรมชาดก ฯ ซ่ึงนาเอาพระธรรมเหล่าน้ี มาสมมตชิ ือ่ วา่ ไตรภูมิ
กถา
นรกภูมใิ นไตรภมู กิ ถา
ฝงู สตั วท์ ่ตี ้องไปเกดิ ในนรก ผลของการกระทาบาปโดยอกุศลจิต ๑๒ ดวง คือ
๑. กระทากรรมท่ีไม่ร้วู ่าเปน็ บาปดว้ ยใจทยี่ ินดี
๒. กระทากรรมท่ีไม่รูว้ ่าเป็นบาปเมือ่ มีผชู้ ักชวน
๓. กระทากรรมทร่ี ้วู ่าเปน็ บาปและกระทาดว้ ยใจทยี่ นิ ดี
๔. กระทากรรมทร่ี วู้ ่าเปน็ บาปและกระทาด้วยใจท่ยี นิ ดเี ม่อื มีผชู้ กั ชวน
๕. กระทากรรมท่ีไม่รวู้ ่าเป็นบาปและกระทาดว้ ยใจท่ีวางเฉยไม่ยนิ ดยี นิ ร้าย
๖. กระทากรรมที่ไม่รวู้ ่าเป็นบาปเม่อื มีผู้ชักชวนและกระทาด้วยใจที่วางเฉย
๗. กระทากรรมทีร่ วู้ ่าเป็นบาปและกระทาดว้ ยใจท่วี างเฉย
๘. กระทากรรมที่ร้วู า่ เป็นบาปเมอ่ื มีผู้ชักชวนและกระทาด้วยใจทวี่ างเฉย
๙. กระทาบาปด้วยความโกรธและกระทาด้วยใจทีย่ ินดีและใจร้าย
๑๐. กระทาบาปดว้ ยความโกรธกระทาเมื่อมีผ้ชู ักชวน
๑๑. กระทาบาปโดยไมเ่ ชือ่ ในบาปบุญและกระทาด้วยใจทวี่ างเฉย
๑๑
๑๒. กระทาบาปด้วยจิต ฟุ้งซ่านเปรียบเหมือนเอาก้อนหินทุ่มทิ้งลงกองเถาให้ฟุ้งกระจายและกระทาด้วยใจ ที่
วางเฉย
อกศุ ลจิตทงั้ ๑๒ ดวงน้หี ากเกิดแกผ่ ู้ใด คนนัน้ ไปเกิดในที่ที่ทุกข์ทรมาน ซึ่งเรียกวา่ อบายภูมิ 4 เหตุท้ังท่ีให้สัตว์
ทั้งหลายมีใจร้ายยและทาให้สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในอบายภมู ิ 4นั้น มี อยู่ 3 ประการ คือ ความโลภ ความโกรธ
และความหลง ซึ่งชักจูงใหค้นทาบาป ความโลภ คอื ความอยากได้ในทรัพย์สนิ ของผูอ้ ื่น จึงฆ่าหรือทาร้ายผ้อู ื่น
เพ่อื แย่งเอาทรัพยส์ นิ ความโกรธ คือ ความขดั เคืองผอู้ ื่น ความเกลียด ชังผอู้ ื่น ความเบียดเบยี นผ้อู น่ื การจับผิด
ใสร่ ้ายผอู้ ่ืน ความหลง คือ ความไมร่ ใู้ นพระธรรม มีจติ ใจเป็น พาล หลงงมงาย ใจบาป ไม่ยตุ ิธรรม และความไม่
รจู้ ักอม่ิ
ว.วชิรเมธี (๒๕๖๒) ได้กล่าวไว้ว่า นรก – สวรรค์ในมิติจิตใจ คือ สภาวะของจิตใจที่เกิดขึ้นอยู่ใน
ปัจจบุ ันขณะ เช่น ถา้ กาลงั รสู้ ึกมคี วามสุข ความปลอดโปรง่ โลง่ เบา
นรกในมิติสถานที่ในชีวิตนี้ คือ สถานที่ใดก็ตามที่คนชั่วกาลังได้รับผลแห่งกรรมชั่วของตนอยู่ในที่นั้น สถานท่ี
เช่นน้เี อง คือ นรก
นรก ในมิติหลังจากตายแล้ว คือ สภาพชีวิตที่เราแต่ละคนได้ประสบในภพนั้น ๆ หลังจากล่วงลับดับ
ขันธ์ไปแล้ว ความเชื่ของคนไทยมีมาตั้งแต่อดีต ทาให้คนไทยกลัวที่จะกระทาผิดจึงส่งผลต่ออิทธิพลในการใช้
ชีวิตของคนไทยในอดตี จนถึงปัจจุบัน
๒.๔ อทิ ธพิ ลของควำมเชอื่ เร่ืองนรกตัง้ แต่อดตี จนถึงปัจจุบัน
เบญจวรรณ ชยางกรู (๒๕๕๙) ไดก้ ลา่ วไว้ว่า การอธบิ ายนรกและสวรรค์ของสังคมไทยในอดีต แนวคิด
เรื่องนรกและสวรรค์ตามทปี่รากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนามุ่งเน้นเป็นอุทาหรณ์สอนธรรมใหค้นละชั่วและทา
ความดซี ่ึง เป็นแนวคิดทีส่ อดคลอ้ งกบั ความเชอ่ื หรอื อดุ มคติของคนในยุคนน้ั แต่เมื่อสังคมมนุษย์เขา้ สู่ยุคของการ
เปลยี่นแปลงความรู้ทางโลกวิทยาศาสตร์ของฝากคิดตะวันตกได้แทรกซึมสู่กระแสความคิดของคนไทยในยุค
ปัจจุบัน ทั้งนี้พัฒนาการความคดิการอธิบายนรก และสวรรค์ได้มีแนวโน้มมาตั้งแตส่มัยสุโขทัยอยุธยารตั นโกสิ
นทรจ์นถงึ สังคมปัจจุบันโดยมรี ายละเอียด ดังนี้
๑. สมัยสุโขทัย พระพุทธศาสนามคีวามสาคัญต่อการดาเนินชีวิตของคนไทยมาตัง้ แตส่ มัย สุโขทัยดังปรากฏใน
วรรณคดีไทยเรื่อง เตภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่าง ที่พระมหาธรรมราชาลิไทยทรงพระราชนิพนธ์เพื่อปลูกฝัง
ศรัทธาในศาสนาโดยใช้อบรมและปลูกฝงั จิตสานึกของประชาชนในการทากรรมดลี ะเว้นกรรมชัว่ เกดิ เป็นเอ
กลกั ษณข์ องสงั คมไทยในเรื่องการทาบุญ ให้ทาน รักษาศีล มี ความกตญัญูยกย่องและเกรงใจผู้มีอาวุโสมีใจ
เมตตากรณุายกย่องคนดีตลอดจนทานุบารุงพระพุทธศาสนาไตรภูมิพระร่วงได้ร้บ การถ่ายทอดเป็นรูปธรรม
ด้วยการวาดภาพเป็นจิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์และวิหารเป็นสื่อปลูกฝังความเช่ือเรื่องนรกสวรรค์และ กรรม
ในสังคมสุโขทัยพระพุทธศาสนามีความสาคัญ ในการสร้างความสงบสุขและมั่นคง หลักธรรม คาสอนทาง
พระพุทธศาสนาที่ สร้างไว้อย่างเป็นระบบในสมัยพระมหาธรรมราชาลไิิทยไดร้ับถ่ายทอดมาสู่สงัคมสมัย
อยธุ ยา
๑๒
๒. สมยั อยธุ ยา ความเช่อื เรื่องกรรมมีอิทธิพลตอ่ การด าเนนิ ชีวติ ประจา ผ้ทู ที่ ากรรมดี มเี ปา้ หมายของชีวิตที่ดี
ในชาตติ อ่ ๆไป และการดบั ทกุ ข์ ละกิเลส บรรลุพระนพิ พาน หรือปรารถนาการถึงความ เปน็ พระพุทธเจ้า(เร่ือง
เดยี วกนั , หนา้ ๔๕) ดังมหี ลกั ฐาน ปรากฏในวรรณคดไี ทย เชน่ ลิลิตพระลอ พระมาลัยคาหลวงและมหาชาติคา
หลวง เรื่องพระมาลัยคาหลวง เป็นวรรณคดีทีที่เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับนรกและสวรรค์ มีอิทธิพลต่อความรู้สึก
ของคนไทยในเรื่องบาป บุญ นรกและสวรรค์ เช่นเดียวกับไตรภูมิพระร่วงต่อมาสังคมไทยได้รับความเชื่อจาก
ศาสนาพราหมณ์และไสยศาสตร์เข้ามาผสมผสานกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเพ่อื สนอง ความต้องการของ
สังคม โดยมีการผสมผสานอิทธิปาฏิหาริย์เข้าไปในหลักธรรมเกดิการยอมรับว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลัก
พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยากล่าวได้ว่าสมัยอยุธยาการอธิบายเรื่องนรกและสวรรค์กก็ยังคงอาศัยการผ่าน
เรื่องเล่าวรรณคดีซึ่ง สะท้อนให้เห็น บาป บุญ คณุ โทษ ทั้งนี้ แนวคิดดังกล่าวยังถูกแฝงเรน้ ไปด้วยความเชื่อ
ของศาสนาพราหมณ์ เน้นเรื่อง อิทธิปาฏิหาริย์ และผลที่จะได้รับจากการทาทาน ประกอบกับอิทธิพลทาง
ตะวนั ตกท่มี งุ่ เน้นด้านวัตถุ
๓. สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรตั นโกสินทร์ สมัยกรุงธนบุรีและสมัยกรงุ รัตนโกสินทรส์ มัยกรุงธนบรุ แี ละ รัชกาลท่ี
๑-๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ทรงนา”ไตรภูมิพระร่วง”มาเป็นแนวทางในการหลักธรรมเรื่องกรรมเพื่อให้เกิด
ความละอายชั่วกลัวบาปเป็นการควบคุมพฤติกรรมของประชาชนให้อยู่ในศีลธรรมเช่นเดยี วกับ สมัยสุโขทัย
และอยธุ ยา และในสมัยรัชกาลท่ี ๒ คาวา่ “กรรม” ได้ กลายเป็นคาทมี่ ีความหมายถึงผลของการ กระทาท่ีเป็น
การกระทาที่ไม่ดี และทาไว้ในอดีตชาติ เช่น “ตามกรรมที่ทาไว้” “กรรม สิ่งใดเลย ซัดมาให้” และ “ชะรอย
กรรมเวรตามมาทัน” ดังที่มีปรากฏอยู่ในวรรณคดี เรื่อง “อิเหนา”และ”รามเกียรติ์”สมัยรัชกาลที่ ๔–๗ ใน
สมัยรัชการที่ ๔ ทรงได้รับอิทธิพลทางความคิดจากวิทยาการทางตะวันตก สมัยใหม่ที่เข้ามาจึงไม่ยอมรับเรื่อง
ไตรภูมิพระรว่ งทาให้เกดิ การปฏิเสธไตรภูมพิ ระร่วงในทางด้านภมู ศิ าสตรแ์ ต่ยังทรงคงยอมรับสาระเร่ืองของการ
เวียนว่ายตายเกิดซึ่งเชื่อเรื่อง กรรมและผลของกรรมที่ให้ผลในชาตินี้และ ชาติหน้า โดยให้ความสาคัญของ
กรรมในชาติปัจจุบัน มากที่สุด โดยผลของบุญหรือบาป นั้นอยู่ที่ใจของ ผู้กระทาดังที่รัชกาลที่ ๔ ตรัสไว้ว่า
“สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ที่ใจ รัชกาลที่ ๕ นาหลักกรรมมาเป็นพื้นฐานการดารงชีวิตในลักษณะเดยีวกับสมัย
รัชกาลท4ี่ หลกั ธรรมเร่อื งกรรมในสมัยนถี้ ูกนามาสอนในลักษณะผลของกรรมท่ีเก่ียวเนื่องกบั ความสุขและความ
ทกุ ข์ของบุคคลและ สงั คมในชาตปิ จั จบุ ัน ยอมรับกรรมที่เปน็ กระแสการเวียนวา่ ยตายเกิดอนั เปน็ ความเช่อื
พ้ืนฐานของสังคมไทย และในสมยั นมี้ ีการขยายตวั ทางการศึกษาเพ่อื พฒั นาสงั คมและชาติตามกระแสวิทยาการ
ตะวันตก ด้วยการปรับ โครงสร้างทางสังคมและขยายตัวทางการศึกษา ทาให้มีคนเข้ารับราชการเป็นจานวน
มาก จึงมีผลให้มีการเลื่อน ชั้นทางสังคมหลักธรรมเรื่องกรรมได้ถูกนามาสอนเพื่อให้เกิ ดสานึกในฐานะและ
หน้าที่ของตนที่จะต้องปฏิบัติ ต่อสังคม และในความหมายที่บุคคลจะ เจริญขึ้นหรือเสื่อมลงได้ เพราะการ
กระทาของตนเอง ทาให้เกิดปรัชญา ทางการศึกษาไทยขึ้น ใหม่ คือ “ความรู้คู่ คุณธรรม”แทน“ความรูค้ ือคณุ
ธรรม”สมัยรัชกาลที่6-7เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงกับระบบการปกครองของไทยเป็นอย่างมากและ ความ
เจริญตามกระแสตะวันตกเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการพัฒนาด้านวัตถุ ตลอดจนกระแสวตั ถุนิยมตาม
รูปแบบตะวันตกการอธิบายหลักธรรมเรื่องกรรมที่เกี่ยวกับการได้รับความทุกข์หรือความสุขนั้นมากจากการ
๑๓
ประพฤติชั่วและการประพฤติดีของตนเองจึงไม่เพียงพอ ความขัดแย้งกับหลักคาสอนในสิ่งท่ีคนไทยพบเห็น
ตามความเป็นจริงในสังคม ทาให้คนไทยบางส่วนไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ผลที่ตามมาสังคมเกิดความเดือดร้อน
วุ่นวาย ด้วยผู้คนไม่เกรงกลัวและละอายต่อบาป แต่ทาทุกอย่างเพื่อประโยชน์ตน ตลอดจนการศึกษาไทยใน
ปรัชญาใหม่ ไม่มีการสอนพระพุทธศาสนาในโรงเรียนคนไทยรุ่นใหม่ห่างไกลจากหลักคาสอนในพุทธศาสนา
เป็นสาเหตุให้รัชกาลที่ ๗ ทรงให้ความสาคัญของหลักธรรมเรื่องกรรม ที่ควรได้รับการสอนและปลูกฝังให้กับ
เด็กไทย ดังที่พระองค์ตรสั ไว้ว่า “. . .สาหรับพระพุทธศาสนานั้น ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า สิ่งที่เราจะสอนให้
เข้าใจและใหเ้ ชือ่ มน่ั เสีย
ตั้งแต่ต้นทีเดียว คือ สิ่งที่เป็นหลักสาคัญของพระพุทธศาสนานั่นคือ วัฏสงสาร และ กรรม ทาดีไดัดี ทาชั่วได้
ชัว่ ... เพราะหนทางปฏบิ ัตขิ องพระพุทธศาสนากเ็ พื่อให้พน้ จากวฏั สงสาร... แตส่งิ ที่ดี ประเสรฐิ ยิ่ง คอื ความเชื่อ
ในกรรม แต่ จะสอนเฉพาะเรื่องกรรมอย่างเดียว ไม่สอนเรื่องวัฏสงสารด้วยก็ไม่ สมบูรณ์ ความเชื่อในเรื่อง
กรรม
๒.๔.๑ อทิ ธิพลจำกวรรณคดไี ทย
พระพุทธศาสนา มีความสาคัญตอ่ การดาเนินชวี ติ ของคนไทยมาต้ังแตส่ มัยสโุ ขทัย ดงั ปรากฎ
ในวรรณคดีไทย เรื่อง เตภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง ที่พระมหาธรรมราชาลิไทยทรงพระราชนิพนธ์ เพ่ือ
ปลูกฝังศรัทธาในศาสนา โดยใช้อบรมและปลูกฝังจิตสานึกของประชาชนในการทากรรมดีละเว้นกรรมชั่ว การ
นาหลักนรกและสวรรค์มาเผยแผผ่ ่านววรรณคดี เรือ่ งเลา่ ช่วยให้สามารถอธบิ ายลักษณะนรกและ สวรรค์ใหก้ ับ
ประชาชน ซึ่งในยุคนั้น การศึกษายังไม่ทั่วถึง จาเป็นต้องสร้างเรื่องเพื่ออธิบายให้คนทั่วไปสามารถ เข้าใจถึง
บาป บุญ คุณ โทษ ได้โดยง่าย ความเชื่อเรื่องกรรมมีอิทธิพลต่อการดาเนินชีวิตประจาวันผู้ที่ทากรรมดี มี
เป้าหมายของชีวิตที่ดีในชาติตอ่ ๆ ไป และการดับทุกข์ ละกิเลส บรรลุพระนิพพาน หรือปรารถนาการถึงความ
เป็นพระพุทธเจ้า เช่น ลิลิตพระลอ พระมาลัยคาหลวงและมหาชาติคาหลวงเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับนรกและ
สวรรค์มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ความรู้สกึ ของคนไทยในเร่ืองบาป บุญ นรกและสวรรค์
จะเห็นได้วา่ ในอดตี แนวคดิ เรอ่ื งนรกและสวรรค์ สืบทอดผา่ นวรรณคดี โดยเฉพาะวรรณคดี
ชิ้นเอก ไตรภูมิพระร่วงซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องหลักกรรม ทาให้คนในสมัยนั้น จะคิดทาการใดๆก็เกรงกลัว
เร่ืองเวรกรรมตามทนั
๒.๔.๒ อิทธิพลจำกแนวคิดตำ่ งชำติ
ว.วชริ เมธี (๒๕๖๒) เมอื่ ระดบั ผนู้ าประเทศได้รบั อิทธิพลทางการศกึ ษาจากวิทยาการตะวันตก
ซงึ่ มีความเช่อื เรอื่ งการใชเ้ หตุผลมากกวา่ ความเชอ่ื ทีเ่ กิดจากศรทั ธาส่งผลให้ระบบการศึกษาและการปลูกฝังได้
เปลี่ยนแปลงไปเป็นการอธิบายเรื่องแนวคิด นรกและสวรรค์ เชื่อมโยงกับปัจจุบันเป็นหลัก แนวคิดเรื่อง
คุณธรรมกับการศึกษาได้ถูกแยกออกจากกัน นั่นหมายถึง หลักคาสอนทางพระพุทธศาสนาได้ถูกแยกออกจาก
สังคม เป็นเรื่องของอุดมคติ ซึ่งไม่สามารถจับต้องได้ ประกอบ กับอิทธิพลพัฒนาการของโลกตะวันตก ความ
เจริญทางด้านวัตถุและการศึกษาได้แทรกซึมสู่กระบวนการศึกษาของไทย จึงส่งผลให้ความเชื่อเรื่องนรกและ
สวรรคข์ องคนไทยได้เลอื นหายไปตามกาลเวลา
๑๔
อิทธพิ ลสง่ ผลต่อการใชช้ วี ิตของคนไทย เนื่องจากคนไทยถูกปลูกฝังใหก้ ลัวการกระทาบาปจึง
ไมก่ ล้าทจ่ี ะกระทาผิด
๓.สวรรค์
๓.๑ ควำมหมำยของสวรรค์
(๒๕๖๕) ได้กล่าวไว้ว่า สวรรค์ในความเชื่อทางศาสนาพุทธ แปลว่า ภูมิหรือดินแดนที่มีอารมณ์เลิศ
ด้วยดี เป็นที่อยู่ของเทวดา เหตุที่ทาให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่อ
อุบัตขิ ึ้นก็ตั้งอยู่ในวยั หนมุ่ สาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกวา่ จะถงึ เวลาจุติ ไม่มีความแกบ่ งั เกิดข้นึ เหมอื นใน
เมืองมนษุ ย์
(๒๕๖๔) สวรรค์ชัน้ ทีร่ ู้จักกันมากท่ีสดุ คอื สวรรค์ช้ันดาวดึงสแ์ ละสวรรค์ชนั้ ดสุ ิต สวรรค์ช้ันดาวดึงส์เป็น
สวรรค์ที่พระอินทร์เป็นผู้ปกครอง มีจุฬามณีเจดีย์อยู่ที่สวรรค์ชั้นนี้ ส่วนสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นสวรรค์ที่สถิตของ
พระโพธสิ ตั วก์ ่อนทจี่ ะจตุ ิลงมาเปน็ พระพทุ ธเจ้า
ไพบลู ย์ พลับบริชชงิ (๒๕๖๕) สวรรค์ คอื สภาพของชีวติ นิรนั ดรท่มี ีสว่ นรว่ มเป็นหน่ึงเดียวกับพระเจ้า
และทุกคนที่มีส่วนร่วมในชีวิตของพระองค์ ในสวรรค์เราจะได้รับ “ปัญญาญาณที่ให้บรมสุข”( the beatific
vision) เราจะ “เห็น” พระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงเป็น และการมองเห็นนี้จะนาความสุขมาให้เรา พระเจ้า
ทรงสร้างเราให้มีส่วนร่วมในชวี ิตพระเจา้ และพระเจ้าทรงสร้างเราเพื่อให้มีความสุขช่ัวนิรันดร สวรรค์คือการ
บรรลุเป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นสภาพความเป็นอยู่ที่ทาให้เราได้เป็นไปตามที่เราถูกมงุ่
หมายไวอ้ ย่างสมบรู ณ์ ด้วยการมีความยนิ ดเี บกิ บานช่ัวนิรนั ดร
สรุปได้ว่าสวรรค์คือสถานที่ เรารู้จักกันมานาน สวรรค์ในความเชื่อทางศาสนาพุทธ แปลว่า ภูมิหรือ
ดินแดนที่มีอารมณ์เลิศด้วยดี เป็นที่อยู่ของเทวดา เหตุที่ทาให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เม่ือ
ครงั้ ยังเป็นมนุษย์ เมอ่ื อุบัตขิ ึ้นก็ต้งั อยู่ในวัยหน่มุ สาวทนั ที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มคี วามแก่
บังเกดิ ขึน้ เหมอื นในเมอื งมนุษย์ และยังเป็นทจ่ี ุตลิ งมาของพระพทุ ธเจา้ อีกดว้ ย
๓.๒ ประเภทของสวรรค์
อารยา ธงรัตกมั พล (๒๕๖๑) ไดก้ ล่าวว่า พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ได้ใหค้ วามหมายของ สวรรค์
ไว้ว่า โลกของเทวดา, เมืองฟ้า อาจหมายความว่า “สวรรค์” อยู่บนฟ้าและเป็นที่พานักของเทวดา ซึ่งหนังสือ
ไตรภูมพิ ระร่วงกไ็ ดอ้ ธิบายวา่ สวรรคม์ อี ยู่หกช้ัน ทง้ั หมดน้ีเรียกวา่ “ฉกามาพจร”
ฉกามาพจร ทง้ั ๖ ชนั้ มีชือ่ ดังน้ี
ชั้นที่ ๑ จาตุมหาราชิกา มที า้ วจตุโลกบาลดแู ลรกั ษาโลกท้ังส่ีทิศ
ชน้ั ที่ ๒ ดาวดงึ ส์ (หรอื ไตรดรึงษ)์ เปน็ ท่ีอยขู่ องพระอนิ ทร์ ผ้เู ปน็ ใหญก่ วา่ เทวดาท้ังหลาย
ชน้ั ที่ ๓ ยามา อยู่สงู กวา่ วิถโี คจรของพระอาทติ ย์ มีแต่เวลาหรอื ยามดตี ลอดไปไม่มคี า่
ชัน้ ท่ี ๔ ดสุ ิต เปน็ ทอี่ ยู่ของพระโพธสิ ัตวผ์ สู้ รา้ งสมภารอนั จะลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจา้
ชัน้ ท่ี ๕ นมิ มานรดี เหลา่ เทวดาในชน้ั นถ้ี ้าปรารถนาส่งิ ใดก็เนรมิตได้เองดังใจ ไมต่ ้องให้มีใครถวาย
ชน้ั ท่ี ๖ ปรนมิ มิตวสวัตดี เป็นที่อยขู่ องเทวดาและมารดว้ ย สามารถจะเนรมติ สง่ิ ที่ปรารถนาเองหรือจะให้ผู้อนื่
๑๕
เนรมติ แทนกไ็ ด้
“ฉกามาพจร” มกี ารเกดิ และดบั ไดอ้ ยู่เชน่ เดยี วกับโลกมนุษย์ เทวดาทอ่ี ยบู่ นสวรรคเ์ มื่อส้ินบุญแล้วกต็ อ้ งจุติไป
เกดิ ตามกรรมของตน ตามพระพุทธวจั นะทีเ่ ร่อื งกามนิตได้อ้างไว้
โอฬาร เพียรธรรม (๒๕๕๙) ได้กลา่ วไวว้ ่า ๑.ชัน้ จาตุมหาราชกิ า สวรรคช์ ัน้ นี้อยู่ใกลช้ ิดมนุษย์มากท่ีสุด
ประกอบด้วยเทวดาหลากหลายประเภท มผี ปู้ กครอง ๔ องค์ เรยี ก จตุโลกบาล โดยองคแ์ รกคอื ท้าวกเุ วร หรือ
เวสสวุ ณั อย่ดู ้านทศิ เหนอื ผู้ปกครององคท์ ่ี ๒ คอื ท้าววิฬหุ ก อยูด่ า้ นทศิ ใต้ ผู้ปกครององคท์ ่ี ๓ ชอื่ ท้าววริ ูปักษ์
อยู่ทิศตะวันตก ผู้ปกครององค์ที่ ๔ ชื่อ ท้าวธตรัฐ อยู่ทิศตะวันออก ปกครองพวก คนธรรพ์ รุกขเทวดา ภูมิ
เทวดา และอากาศเทวดา สวรรคช์ ั้นนี้ครอบคลมุ ต้งั แต่พนื้ โลกมนุษย์ข้ึนไปถงึ ระยะประมาณ ๒๑,๐๐๐ โยชน์
(คูณด้วย ๑๖ จะออกมาเปน็ กิโลเมตร )
๒.ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ชั้นที่คนไทยคุ้นชื่อมากที่สุด และมีการพรรณนาถึงความงดงามของสวรรค์ชั้นนี้กัน
มากมาย ในชั้นนี้มีสมเด็จพระอมรินทราธิราช หรือ พระอินทร์ เป็นผู้ปกครอง มีสวนสวรรค์อยู่ ๔ แห่ง
ครอบคลุมทั้ง ๔ ทิศ มีช่อื ว่า นันทะ จติ รลดา สกั กะ และผรสุ กะ ส่วนทต่ี ัง้ ของช้ันดาวดึงสก์ อ็ ยู่สูงขึ้นไปจากโลก
ประมาณ ๔๒,๐๐๐ โยชน์
๓.ชั้นยามา เป็นสวรรค์ท่ีเพียบพร้อมดว้ ยความงาม และความสุข มากกว่าชั้นดาวดึงส์หลายเทา่ ทิพยปราสาท
เป็นเงินและทอง มีรัศมีสว่างไสว กายทิพย์ของเทวดาก็มีรัศมีแผ่รอบกายเช่นกัน ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ช่ือ
สมเดจ็ พระสยามเทวาธริ าช สาหรับสถานที่ตง้ั ก็อย่สู งู ขึ้นไปจากสวรรค์ชัน้ ดาวดงึ ส์อกี ประมาณ ๔๒,๐๐๐ โยชน์
๔.ชั้นดุสิต เป็นสวรรค์ชั้นที่มีความงดงามตระการตาเพิ่มขึ้นจากสวรรค์ชั้นยามาอีกมากมาย ที่สาคัญก็
คือ สวรรค์ชั้นนี้ เป็นสถานที่ที่พระโพธิสัตว์ ผู้ตั้งใจบาเพ็ญบารมี เพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะมาเกิดที่นี่
๕.ชั้นนิมมานรดี เป็นสวรรค์ชั้นมีความงดงาม ประณีต เหนือกว่าสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไปอีก ซึ่งยากจะบรรยาย
โดยใช้ภาษาที่พวกเราใช้กันตามปกติ เทพในชั้นนี้รัศมีเรืองรองสว่างไสว และความพิเศษของเทพในชั้นนี้ก็คือ
สามารถเนรมิตเอาอะไรก็ได้ ตามแต่ใจปรารถนา ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระสุนิมมิตเทวาธิราช
๖.ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เป็นสวรรค์ชัน้ สูงสุดในฝ่ายเทวโลก เป็นชั้นที่เทพผู้มาเกิดเสวยสุขที่ละเอียดอ่อนยิ่งกวา่
ชั้นอื่นใด อยากได้อะไรก็จะมีเทพผู้เป็นบริวารมาคอยเนรมิตให้ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระปรนิม
มติ วสวตั ดเี ทวาธริ าช สถานทตี่ ้งั กอ็ ยู่สงู ขึน้ ไปจากสวรรคช์ ั้นนิมมานรดอี ีกประมาณ ๔๒,๐๐๐ โยชน์
วิโรจน์ ค้มุ ครอง (๒๕๖๕) ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ ความปรารถนาของมนุษย์ระดับสวรรคช์ ้ันกามาวจรภูมิ ๕ ชั้น
มนุษย์ทกุ คน เมอ่ื ทาคณุ งามความดีแล้วก็มักปรารถนาสวรรคส์ มบัติในระดบั
กามาวจรภูมิ ๕ ชั้น เปน็ เบ้อื งต้น ไดแ้ ก่
๑. เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นสวรรค์ชั้นแรกของเหล่าเทวดา ผู้เล่นสนุกสนานด้วยกามคุณ ๕ เทวดาผู้เปน็
ใหญ่ในการปกครองสวรรคช์ ้ันน้ีมี ๔ ทา่ น จึงเรียกวา่ จาตมุ หาราชิกา แต่ละทา่ นล้วนมีบรวิ าร ผู้อยู่ใตก้ ารบงั คับ
บญั ชาแตกตา่ งกนั ไปในทิศทัง้ ๔ คอื
๑.) ท้าวธตรฐ เปน็ มหาราชผทู้ รงยศเป็นเจา้ เปน็ ใหญ่ ปกครองดา้ นทิศตะวนั ออก มพี วก คนธรรพเ์ ปน็ บรวิ าร
๑๖
แวดล้อม
๒.) ทา้ ววิรฬุ หก เป็นมหาราชผทู้ รงยศเป็นเจา้ เป็นใหญ่ ปกครองด้านทิศใต้ มีพวกกุมภัณฑ์ เปน็ บริวารแวดลอ้ ม
๓.) ทา้ ววริ ูปักษ์ เป็นมหาราชผทู้ รงยศเป็นเจ้าเปน็ ใหญ่ ปกครองด้านทศิ ตะวนั ตก มีพวกนาค เป็นบรวิ าร
แวดล้อม
๔.) ทา้ วเวสสวุ ัณ เป็นมหาราชผ้ทู รงยศเปน็ เจา้ เป็นใหญ่ ปกครองดา้ นทิศเหนือ มีพวกยักษ์ เปน็ บรวิ ารแวดล้อม
เหลา่ บรวิ ารของท้าวมหาราชท้ัง ๔ นั้น แมว้ ่าจะอยู่ในสวรรค์ชัน้ เดียวกัน แตย่ งั มีระดับช้ันต่าง ๆ กันออกไปอีก
เช่น พวกยักษ์ที่เป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณมหาราชปรากฏว่า มีการแบ่งเป็นยักษ์ชั้นสูง ชั้นกลาง และชั้นต่า
ยกั ษ์ท้ังสามระดับนี้ บางพวกเลือ่ มใสต่อพระผู้มีพระภาค บางพวกไมเ่ ล่ือมใสพวกท่ีไม่เล่ือมใส เป็นเพราะพระผู้
มพี ระภาคทรงแสดงธรรมเพื่องดเวน้ จากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสมุ ิจฉาจาร มสุ าวาท การด่ืมน้าเมาคือ
สุราและเมรัยอันเป็นที่ถึงแห่งความประมาท พวกยักษ์ ส่วนมากมิได้งดเว้นจากสิ่งเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม
ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าและพระสาวก มีวิธีสัมพันธ์แบบฉันมิตรมีไมตรีจิตกับยักษ์เหล่านั้น ด้วย
การเจริญอาฏานาฏิยรักขาทาให้ยักษ์เหล่านั้น เกิดความเลื่อมใสหันมาคุ้มครองรักษาไม่เบียดเบียนทาให้ภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อยู่เป็นสุข โดยทั่วกัน เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกานี้มีความพิเศษในด้านต่าง ๆ เป็น
ต้นว่า มีเครื่องประดับสวยงาม ร่างกายสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน สามารถเนรมิตกายให้ใหญ่โตหรือเล็ก
เท่าไรก็ได้ตามความ ประสงค์ มีอาหารทิพย์ทกุ มื้อ ไม่รู้จักป่วยไข้ มีแต่ความสุขสาราญใจตลอดเวลา อยู่กับลกู
เมียดว้ ย ความสขุ เบิกบานช่วั กาลนาน นอกจากน้ยี ังมนี ้าท่ใี สยง่ิ กวา่ แก้ว มีดอกบวั ชนิดบานอยใู่ นสระน้า มีกล่ิน
หอมราวอบไว้ มีดอกไมท้ ีส่ วยงาม และต้นไมท้ ีง่ ามเลศิ มผี ลไม้รสอรอ่ ยยง่ิ นัก ตน้ ไม้ดงั กล่าวนอ้ี อกดอก ออกผล
ตลอดท้ังปีไมร่ ู้โรย
๒. เทวดาชนั้ ดาวดงึ ส์ เป็นทีอ่ ยู่ของเหลา่ เทวดาทเ่ี ป็นกามาพจร ตัง้ อยเู่ หนือเขาสเิ นรรุ าช ภายใน สวรรค์ช้นั นี้
ประดับดว้ ยอุทยานและสระโบกขรณี มีปราสาทชอื่ เวชยันต์ สูง ๗๐๐ โยชน์ ประดบั ดว้ ย รัตนะทั้ง ๗ มตี น้ ไม้
ชอ่ื ปาริฉัตตกะ มปี รมิ ณฑลแผไ่ ป ๑๐๐ โยชน์ ทโ่ี คนต้นไมม้ ีแทน่ ศลิ าชื่อ บัณฑุกัมพล มีสดี า ดอกชยั พฤษ์ สี
ครงั่ และสบี ัวโรย ยาว ๖๐ โยชน์ กวา้ ง ๕๐ โยชน์ หนา ๑๕ โยชน์ ยุบลงในเวลา ประทับนง่ั ฟูขึน้ อกี เต็มที่ใน
เวลาเสด็จลุกข้ึน มชี ้างทรงชื่อ เอราวณั เปน็ เทพบุตรเนรมิตกายเป็นชา้ ง จอมเทพผปู้ กครองสวรรคช์ ั้นน้ที รง
พระนามวา่ ทา้ วสักกเทวราช สมดงั ขอ้ ความที่พระผมู้ ีพระภาครับสัง่ กบั ภกิ ษุทง้ั หลายว่า
“ครั้งนน้ั ทา้ วสักกะ ผเู้ ปน็ จอมแหง่ เทวดา ตรัสเรียกเทวดาช้ันดาวดงึ สม์ าสัง่ วา่ ทา่ นผ้นู ิรทกุ ข์ ทั้งหลาย หาก
ความกลวั กด็ ี ความหวาดเสยี วก็ดี ความขนพองสยองเกล้ากด็ ี จะบงั เกิดมีแก่พวกเทวดา ผ้ไู ปในสงครามไซร้
สมัยนน้ั พวกทา่ นจึงดูยอดธงของเราทเี ดยี ว เพราะเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของเราอยู่ ความกลวั ความ
หวาดระแวง หรอื ความขนพองสยองเกลา้ ทีจ่ ักเกิดขนึ้ จักหายไป” และมขี ้อความดังท่ปี รากฏในอรรถกถา
อธิบายถงึ ท้าวสกั กะ ผูเ้ ป็นจอมแห่งเทวดาท้ังหลาย เสวย ราชสมบตั ิเป็นอิสรยิ าธิปตั ย์แห่งเทพทัง้ หลายชั้น
ดาวดงึ ส์ ฉะนัน้ จงึ เรียกว่า “เทวานมันทะ” ผู้เปน็ จอม แห่งเทวดาทั้งหลาย และวา่ “ทา้ วมฆวาน” ประเสริฐ
ทีส่ ดุ ในหมู่เทวดา
๑๗
สวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ มคี วามหมายวา่ แดนท่ีอยแู่ ห่งเทพ ๓๓ ตน มที ้าวสกั กะหรือพระอินทร์ เป็นจอมเทพ บางที
เรยี กว่า ไตรตรงึ ส์ พระมเหสขี องท้าวสักกะมี ๔ พระองค์ คอื นางสุธรรมา, นางสุนันทา, นางสุจติ รา และนาง
สุชาดา
พระอนิ ทร์ไดเ้ สดจ็ ไปนมัสการพระเจดีย์พร้อมหม่เู ทพยดาและนางฟ้าบรวิ ารทงั้ หลาย และทรง กระทา
ประทกั ษิณพระเจดยี ท์ ุกวัน กิจกรรมท่สี าคญั ย่ิงประการหนึ่งของเทวดาชั้นดาวดึงส์ กค็ ือ การฟังธรรมโดยใชส้ ุ
ธรรมเทวสภาเปน็ ทฟี่ งั ธรรม มพี ระพรหมและเทวดาผู้รู้ธรรมผลดั กนั เทศนาธรรม ตามวาระ ที่จรงิ แลว้ เทวสภา
ท่ีชอื่ ว่าสุธรรมาน้ีเกิดด้วยบญุ ของนางฟา้ ทบี่ งั เกิดบนสวรรคช์ นั้ น้ี คือ นางสุธรรมาผทู้ าบญุ ไว้เมือ่ คร้ังเปน็ มนุษย์
พอตายแลว้ ก็ไปเกิดในภพดาวดึงส์ และเทวสภาชอ่ื วา่ สุธรรมา มปี ระมาณ ๕๐๐ โยชน์ ได้เกดิ แลว้ แกน่ าง ณ ท่ี
นน้ั ท่ีสภาแหง่ นี้มีการฟังธรรมของเหลา่ เทวดาในวนั อฏั ฐมี (ดิถที ่ี ๔) แห่งเดือน เมื่อถึงวาระการฟงั ธรรม สนัง
กมุ ารพรหมจะลงมาจากพรหมโลกเพื่อเทศนา ธรรมใหเ้ ทวดาทั้งหลายได้รับฟงั ในบางครัง้ ทีห่ นงั กมุ ารพรหมไม่
มาแสดงธรรม เหล่าเทพทง้ั หลาย ก็จะเชญิ เทวดาที่รธู้ รรมให้แสดงธรรม และบางครงั้ ทา้ วสกั กเทวราชผเู้ ปน็
จอมแห่งเทวดาทง้ั หลาย ทรงแสดงธรรมเอง
สวรรคช์ น้ั ดาวดึงสจ์ ัดวา่ มีความพิเศษตา่ งจากสวรรค์ชัน้ อื่นตรงที่มธี รรมสภาของเทวดา มีการ แสดงธรรม การ
ฟงั ธรรมอยู่เปน็ ประจา แมพ้ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เคยเสดจ็ ไปจาพรรษาและแสดงธรรม บนสวรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์
กลา่ วคอื ในพรรษาท่ี ๗ หลังจากตรสั รูอ้ นตุ ตรสัมมาสมั โพธิญาณ พระพทุ ธเจ้า ทรงทายมกปาฏหิ ารยิ ์ในวันขนึ้
๑๕ ค่า เดือน ๘ ณ กรงุ สาวตั ถี หลังจากทรงทายมกปาฏหิ ารยิ ์แลว้ ไดเ้ สดจ็ ไปจาพรรษาบนสวรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์
ทรงแสดงพระอภธิ รรมปฎิ กโปรดพระพุทธมารดาเปน็ เวลา ๓ เดือน ในเวลาแสดงธรรมจบ เทวดา ๔ หมน่ื โกฏิ
ได้บรรลุธรรมสว่ นพระพุทธมารดาได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบนั
๓. เทวดาชั้นยามา คอื สวรรค์ช้ันที่ ๓ มชี ือ่ ว่า ยามา แปลวา่ แดนแห่งเทพผูป้ ราศจากความทุกข์ เปน็ สวรรคท์ ี่
ปราศจากความลาบากโดยประการทั้งปวง เหลา่ เทวดาผูอ้ ยู่บนสวรรค์ชนั้ นี้เป็นผถู้ ึงซ่งึ ความสุขอนั เป็นทพิ ย์
จอมเทพผู้ปกครองสวรรค์ชัน้ ยามามนี ามวา่ ท้าวสุยามเทพบตุ ร สถานท่ตี ัง้ ของ สวรรคช์ น้ั ยามานอ้ี ยเู่ หนือ
สวรรคช์ ั้นดาวดึงสข์ ้ึนไปเบ้ืองบนไกล ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทเงนิ ปราสาท ทองเปน็ วิมานทอ่ี ยขู่ องเหลา่
เทพยดาและปราสาทวิมานนั้นสวยงามวิจติ รตระการตากว่าชัน้ ดาวดงึ ส์ มกี าแพงแกว้ ล้อมรอบวิมาน มีอุทยาน
และสระโบกขรณีอนั เปน็ ทิพย์ ท่ีสวรรค์ช้ันยามานี้ไม่เหน็ แสงพระอาทติ ยเ์ ลย เพราะอยูส่ ูงกวา่ พระอาทติ ย์มาก
นัก เหล่าเทวดามองเห็นได้ดว้ ยแสงรัศมจี ากแก้ว ทงั้ หลาย และรศั มีจากตวั ของเทวดาน่ันเอง ส่วนจะรู้ว่าเชา้
หรือค่าไดก้ ็อาศัยดูจากดอกไม้ทพิ ย์ ถา้ เหน็ วา่ ดอกไมท้ ิพย์บานจึงรวู้ า่ ร่งุ เช้า ถา้ เหน็ วา่ ดอกไมน้ ้ันหบุ จงึ รวู้ า่ เปน็
ยามกลางคืน๕. สวรรค์ช้ันนมิ มานรดี คอื สวรรค์ชัน้ ที่ ๕ เป็นท่ีอยู่ของเทวดาเหล่ากามาวจร คาวา่ นิมมานรดี
แปลวา่ แดนท่ีอยแู่ ห่งเทพผู้มีความยินดใี นการเนรมิตถือกนั วา่ เทวดาชั้นนี้ปรารถนาสิ่งหนงึ่ สง่ิ ใดก็เนรมิต ไดเ้ อง
จอมเทพผ้ปู กครองสวรรคช์ ัน้ น้ีคือ ทา้ วสนุ มิ มิตเทพบตุ ร ที่ตง้ั ของสวรรค์ชัน้ นิมมานรดอี ยู่เหนอื ช้นั ดุสติ ข้นึ ไป
๓๓๖,๐๐๐ โยชน์ มีวมิ านเป็นปราสาทแกว้ ปราสาททอง มกี าแพงแก้วกาแพงทอง ล้อมรอบ มีแผน่ ดนิ เปน็ ทอง
ราบเรยี บเสมอกันทุกแหง่ มีสระน้ามสี วนแก้วสวยงามย่งิ ขน้ึ ไปกว่าสวรรค์ ช้นั ดสุ ิต และนอกจากอาภรณ์ทิพย์ท่ี
๑๘
มอี ย่โู ดยปกติแล้วหากปรารถนาสิง่ ใดก็สามารถเนรมติ สิ่งน้ันข้นึ มาเองตามใจปรารถนาได้ทกุ ประการ เทวดา
ท้งั หลายในสวรรคช์ ้นั นี้ตา่ งสนุกสนานอยกู่ ับนางฟา้ ท้ังหลาย ด้วยใจนนั่ เองจงึ เรยี กสวรรค์นี้ว่านิมมานรดี
สรปุ ได้วา่ “สวรรค์” อยู่บนฟ้าและเป็นท่พี านักของเทวดา ซ่งึ หนังสือไตรภมู พิ ระร่วงกไ็ ดอ้ ธบิ ายวา่
สวรรค์มอี ยหู่ กชน้ั ท้ังหมดนเี้ รียกวา่ “ฉกามาพจร”
ฉกามาพจร ท้งั ๖ ชนั้ มีชือ่ ดังน้ี
ชน้ั ท่ี ๑ จาตุมหาราชิกา มที า้ วจตุโลกบาลดแู ลรกั ษาโลกทั้งส่ีทศิ
ชัน้ ท่ี ๒ ดาวดงึ ส์ (หรอื ไตรดรึงษ)์ เปน็ ที่อยูข่ องพระอนิ ทร์ ผูเ้ ปน็ ใหญก่ ว่าเทวดาทั้งหลาย
ชน้ั ท่ี ๓ ยามา อยสู่ งู กวา่ วิถโี คจรของพระอาทติ ย์ มีแตเ่ วลาหรือยามดตี ลอดไปไม่มีค่า
ช้นั ที่ ๔ ดสุ ิต เป็นทอ่ี ยู่ของพระโพธสิ ตั ว์ผ้สู รา้ งสมภารอนั จะลงมาตรสั เป็นพระพุทธเจา้
ชน้ั ท่ี ๕ นมิ มานรดี เหล่าเทวดาในช้ันน้ีถา้ ปรารถนาสง่ิ ใดก็เนรมติ ได้เองดังใจ ไมต่ ้องให้มีใครถวาย
ชั้นท่ี ๖ ปรนมิ มิตวสวัตดี เปน็ ที่อย่ขู องเทวดาและมารดว้ ย สามารถจะเนรมิตสิง่ ท่ปี รารถนาเองหรอื จะให้ผู้อืน่
เนรมติ แทนก็ได้
๓.๓ ควำมเชือ่ เกี่ยวกบั สวรรค์
ประยุทธ์ ปยุตโต (๒๕๔๗) นรก-สวรรค์หลังจากตายนี้มักจะมีในรูปเอ่ยถึง เอ่ยถึงแล้วไม่ค่อยมีคา
บรรยาย พระไตรปิฎกเรื่องนี้หาได้ทั่วไป ในแง่สวรรค์บอกว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก หมายความว่า
เมือ่ แตกกายทาลายขันธ์ล่วงลับดบั ชพี ไปแล้ว ก็จะเข้าถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค์ นี่ฝ่ายดี
ดุษฎี โยเหลา (๒๕๒๖) ในปัจจบุ ันมีหลายคนคลางแคลงใจว่า ทาดีไดด้ ี ทาชวั่ ไดช้ ่ัว จริงหรอื ในเม่ือคน
ประพฤติชวั่ หลายรายล้วนแตร่ ่ารวยเงินทอง ยศ วาสนา เหน็ ได้อยมู่ ากมาย นน่ั เป็นแต่เพยี งผล ชั่วคราวในเวลา
นี้ ซง่ึ อาจจะเป็นไปไดว้ า่ กรรมดีที่เขาเคยทามาในอดีตอยู่บ้างยังสง่ ผลอยู่ แตค่ วามชวั่ ที่เขาทาในปจั จุบันย่อมจะ
ส่งผลร้ายให้แก่เขาจนได้ในอนาคต อย่างน้อยที่สุดก็ไม่สามารถใช้ทรัพย์สิน เงินทองที่ได้มาโดยทุจริตนั้นได้
อย่างสนิทใจ วงศ์ตระกูลลูกหลานก็เป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของ ต่อให้ร่ารวย มียศวาสนาเพียงใดก็ตามก็หนี
กรรมท่ีตนเองเป็นผกู้ อ่ ไว้ไม่พน้
เตชปญฺโญ ภิกขุ ได้กล่าวไว้วา่ พอเวลาจะตายกใ็ ห้นิมนต์พระมาให้เรารบั ศลี เรารับศลี เสร็จ เราขาดใจ
ตายจิตมนั กไ็ ปหนว่ งเหนี่ยวอารมณท์ ่ีเป็นความดี เพราะฉะนัน้ เวลาเราขาดใจตายเราก็ไปเกิดสมมติว่าไปเกิดใน
ดาวดึงส์อย่างนี้มีอายุพันปีทิพย์ แต่ที่นี้บุญเรามันไม่ถึงเราสรา้ งไม่เต็มอัตราศึกของ ๑๐๐๐ ปีทิพย์มันก็ไม่ถึง
เกดิ ไดไ้ มน่ านแล้วกต็ ้องจุติใหม่ พอจุตเิ ราก็ตอ้ งมาชดใชก้ รรมตามทเี่ ราเคยสรา้ งไว้ เพราะฉะนัน้ ท่านท้ังหลาย
ไม่ต้องไปไปรู้สึกสับสนกับเรื่องของเวรกรรม บางคนบอกทาดีได้ดีมีที่ไหนทาชั่วได้ดีมีถมไป ดูสิฆ่าสัตว์ตัดชีวติ
มามากมาย ทาไมเวลาตายตายแล้วขึ้นสวรรค์มันต้องตกนรกซิ อันนี้ต้องดูด้วยว่าเขาทาอนันตริยกรรม คือ
การฆา่ แม่ ฆ่าพ่อ ฆา่ พระอรหันต์ ทารา้ ยพระพุทะเจ้าจนห้อเลือด รึทาลายสงฆ์ให้แตกกนั รึเปล่า ถ้าเขาทา
๕ กรรมนี้ เวลาตายนี่ลงนรกสถานเดียว แต่ถ้าไม่ได้ทากรรมพวกนี้มันก็ไม่แน่ ภพชาติมันไม่แน่ บางคนทาช่ัว
ตายแล้วขน้ึ สวรรค์ คนทาดแี ล้วตกนรก ต้องดูตอนจิตกาลังจะขาดใจตาย ถ้าเกดิ ทาความดีไว้นิดเดียว เช่น
รับศีลก่อนตาย ตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์มัน ก็ไม่ถึงอยู่ได้ไม่นานเขาเรียกว่า สิ้นบุญ บุญทามานิดเดียว อีก
๑๙
อันหนึ่งก็คือเสพกามมากเกินนี่อันนี้สาคญั เทวดาพอเวลาไปเกิด มีนางฟ้าเยอะๆบางทีก็เสพกามเยอะพอเสพ
กามมากๆ ลมื กินอาหารทา่ นท้ังหลายเทวดาเขากนิ อาหารทพิ ย์เรยี กวา่ สุธาโภชนา อาหารทิพย์ถ้าลมื กนิ มัน
ก็แย่เหมือนกัน รา่ งกายเทวดาก็จะแยเ่ หมือนกนั กม็ าจุตไิ ด้เหมอื นกนั
สรุปได้ความเชื่อของสวรรค์ ทุกคนคงได้ยินคาสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า การทาดีได้ดี ทาชั่วได้ชั่ว ซ่ึง
หมายความว่า คนเราทาอย่างไรก็ได้อย่างนั้น คาสอนนี้เป็นคาสอนต้นๆที่ฉันเชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้มาตั้งแต่
เด็กจนถึงปัจจุบัน หากเราหมั่นขยันทาความดี ละเว้นความเชื่อเราก็จะได้ขึ้นไปอยู่ที่สวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่ ท่ี
เขาว่ากันว่ามีความสงบร่มเย็น ต่างจากในนรกอย่างมาก คนที่มีความเชื่อเกี่ยวกับสวรรค์และนรกจึงหมั่นทา
ความดี สร้างสะสมบุญกศุ ลเพื่อให้ตัวเองได้ข้ึนไปอยูท่ ีส่ วรรค์ ซ่ึงคนที่มีความเช่อื เร่ืองสวรรค์นรกเลา่ ขานว่า บน
สวรรค์ เป็นสถานที่แห่งความสขุ ข้างบนนนั้ มอี าหารใหก้ นิ เรารบั ประทานอยา่ งสุขสาราญ ซ่งึ อาหารพวกน้ันมา
จากการทาบญุ ของพวกเราท้ังส้นิ
๓.๔ อิทธิพลของควำมเชอื่ เร่ืองสวรรค์ตัง้ แต่อดีตจนถงึ ปจั จุบนั
ธมมทินโน พงษ์เจริญ (๒๕๕๕) พุทธศาสนิกชนมีความเชื่อเรื่องนรกและสวรรค์ตามคาสอน
พ ร ะ พ ุ ท ธ ศ า ส น า อ ิ ท ธ ิ พ ล ค า ส อ น เ ร ื ่ อ ง น ร ก แ ล ะ ส ว ร ร ค ์ ท ี ่ ม ี ต ่ อ ส ั ง ค ม ไ ท ย น ั ้ น ด ั ง น้ี
๑. มีอิทธิพลด้านความเชื่อ คือทาให้พุทธศาสนิกชนมีความเชื่อว่านรกเป็นภาวะลงโทษ ผู้ทาความชั่ว สวรรค์
เปน็ สถานท่ีสขุ สบายของผ้ทู ากรรมดี ซึง่ สอดคลอ้ งกับงานศึกษาวิจัยเร่ือง การศึกษาเชงิ วเิ คราะหเ์ รอ่ื งกรรมและ
สงสารวัฏในพุทธปรัชญาเถรวาทที่มีต่อการดาเนินชีวิตของ พุทธศาสนิกชนไทยในปัจจุบัน ว่า
พุทธศาสนิกชนไทยในปัจจุบันมีความเชื่อเรื่องกรรมและสงสารวัฏ เนื่องจากได้รับ อิทธิพลจากพระไตรปิฎก
และจากวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาต่าง ๆ ได้แก่ ไตรภูมิ พระร่วงและภูมิวิลาสินี วรรณกรรมเหล่านี้ได้
กลา่ วถงึ เร่ืองนรกและสวรรค์อันเปน็ สถานท่ี อยอู่ าศยั ของสตั ว์ทัง้ หลายหลังจากตายไปแลว้ โดยแสดงให้เห็นว่า
นรกเป็นสถานที่ทรมาน สัตว์ที่ทาความชั่ว สวรรค์เป็นสถานที่สุขสบายของสัตว์ที่ทาความดี...๗๔
๒. มีอิทธิพลดา้ นพฤติกรรม คอื ทาใหม้ ีการละเวน้ ความชัว่ เพราะกลัวการถกู ลงโทษใน นรก และขวนขวายใน
การทาบญุ เพราะตอ้ งการไปสวรรค์
๓. มอี ิทธิพลด้านวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกบั นรกและสวรรค์ เช่น จักรวาล ทีปนี, ไตรภูมิพระรว่ ง,
ประเพณีสบิ สองเดือน (เกย่ี วกับการทาบญุ ) เปน็ ต้น
๔. มีอิทธิพลด้านการเมืองการปกครอง ซึ่งสอดคล้องกับงานศึกษาวิจัยเรื่อง อิทธิพลของ พระพุทธศาสนาเถร
วาททีม่ ีต่อแนวคดิ ทางการเมืองการปกครองของพระเจา้ ลิไท วา่ ”ไตรภมู พิ ระ ร่วงแมจ้ ะกล่าวว่าเปน็ วรรณกรรม
ทางพระพุทธศาสนาดังปรากฏอยู่ในบานแพนกถึงจุดมุ่งหมายของ การแต่ง แต่ก็เป็นพื้นฐานของสังคม เป็น
พื้นฐานของศีลธรรมและจริยธรรม ซึ่งนาไปสู่แนวความคิด ทางการเมืองและการปกครอง”
๕. มีอทิ ธิพลดา้ นจิตกรรมเกี่ยวกับนรกและสวรรค์ คือ ภาพวาดเกย่ี วกับการเสวยกรรม ของสัตว์นรก,
ภาพเขยี นเก่ียวกับการบาเพ็ญทานของพระเวสสันดร เป็นต้น
๖. มอี ทิ ธิพลดา้ นประติมากรรม คอื รูปปนั้ เก่ยี วกบั นรกและสวรรค์ เช่น รปู ป้นั เทพบตุ ร นางฟ้า เป็นต้น
๒๐
เจญจวรรณ ชยางกูร ณ อยุธยา (๒๕๕๙) แนวคิดเรื่องนรกและสวรรค์ ตามที่ปรากฏในคัมภีร์
พระพุทธศาสนา มุ่งเนน้ เปน็ อุทาหรณ์สอนธรรมให้คน ละช่ัวและทาความดี ซึ่งเป็นแนวคิดทีส่ อดคล้องกับความ
เชือ่ หรืออดุ มคตขิ องคนในยคุ นั้น แต่เม่อื สงั คมมนษุ ย์เข้าสู่ ยคุ ของการเปลย่ี นแปลง ความรู้ทางโลกวทิ ยาศาสตร์
ของฝากคิดตะวันตกได้แทรกซึมสู่กระแสความคิดของคนไทย ในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้ พัฒนาการความคิดการ
อธิบายนรกและสวรรคไ์ ด้มแี นวโน้มมาตั้งแต่สมัยสโุ ขทยั อยุธยา รัตนโกสินทร์ จนถงึ สงั คมปัจจุบนั โดยมี
รายละเอยี ด ดังนี้
๑. สมัยสุโขทัย พระพุทธศาสนามีความสาคัญต่อการดาเนนิ ชีวิตของคนไทยมาตั้งแตส่ มัยสุโขทยั ดังปรากฏใน
วรรณคดีไทย เรื่อง เตภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่าง ที่พระมหาธรรมราชาลไิ ทยทรงพระราชนิพนธ์ เพื่อปลูกฝัง
ศรัทธาในศาสนา โดยใช้อบรมและปลูกฝังจิตสานึกของประชาชนในการทากรรมดีละเว้นกรรมชั่ว เกิดเป็น
เอกลักษณ์ของสังคมไทยในเรื่องการทาบุญ ใหท้ าน รกั ษาศีล มคี วามกตัญญูยกย่องและเกรงใจผู้มี อาวุโส มีใจ
เมตตากรุณา ยกย่องคนดี ตลอดจนทานบุ ารุงพระพทุ ธศาสนา ไตรภมู ิพระรว่ งได้รับการถ่ายทอด เป็นรูปธรรม
ดว้ ยการวาดภาพเป็นจิตรกรรมฝาผนงั ตามโบสถแ์ ละวิหารเปน็ สื่อปลูกฝังความเช่อื เรื่อง นรก สวรรค์ และกรรม
ในสังคมสุโขทัยพระพุทธศาสนามีความสาคัญในการสร้างความสงบสุขและมั่นคง หลักธรรม คาสอนทาง
พระพุทธศาสนาที่สร้างไว้อย่างเป็นระบบ ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย ได้รับถ่ายทอดมาสู่ สังคมสมัย
อยุธยา (สุภาพรรณ ณ บางช้าง, พุทธธรรมที่เป็นรากฐานสังคมไทย ก่อนสมัยสุโขทัยถงึ ก่อนการ เปลี่ยนแปลง
การปกครอง. (กรงุ เทพมหานคร: โครงการเผยแพร่ผลงานวจิ ัย ฝา่ ยวจิ ยั จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๓๖),
หน้า ๔๕)
การนาหลักนรกและสวรรค์มาเผยแผ่ผ่านววรรณคดี เรื่องเล่า ช่วยให้สามารถอธิบายลักษณะนรกและ สวรรค์
ใหก้ ับประชาชน ซงึ่ ในยคุ นน้ั การศกึ ษายงั ไม่ทวั่ ถงึ จาเป็นตอ้ งสร้างเร่อื งเพื่ออธิบายให้คนท่ัวไปสามารถ เข้าใจ
ถึงบาป บุญ คุณ โทษ ได้โดยง่าย แนวทางการอธิบายและการเผยแผ่เป็นการมุ่งเน้นให้ประชาชนรู้จักการ ทา
ทาน ในฐานะเคร่อื งมือไปสูส่ วรรค์ เป็นกระบวนการปลูกฝงั ศรัทธาและความเช่ือ ซง่ึ มอี ิทธิพลสอดรับกับ สงั คม
ยคุ นั้น ได้เป็นอย่างดี
๒. สมัยอยธุ ยา ความเช่อื เร่อื งกรรมมีอิทธพิ ลต่อการดาเนนิ ชวี ิตประจา ผูท้ ีท่ ากรรมดี มเี ป้าหมายของชีวติ ท่ีดีใน
ชาติต่อๆ ไป และการดับทุกข์ ละกิเลส บรรลุพระนิพพาน หรือปรารถนาการถึงความ เป็นพระพุทธเจ้า (เรื่อง
เดยี วกนั , หน้า ๔๕) ดังมีหลักฐานปรากฏในวรรณคดไี ทย เชน่ ลิลิตพระลอ พระมาลยั คา หลวงและมหาชาติคา
หลวง เรื่องพระมาลัยคาหลวง เป็นวรรณคดที ดี่ ี เปน็ เรื่องเล่าเกีย่ วกบั นรกและสวรรค์ มอี ิทธพิ ลตอ่ ความรสู้ กึ
ของคนไทยในเรือ่ งบาป บญุ นรกและสวรรค์ เช่นเดยี วกบั ไตรภูมพิ ระรว่ ง
ต่อมาสังคมไทยได้รับความเชื่อจากศาสนาพราหมณ์และไสยศาสตร์เข้ามาผสมผสานกั บหลักธรรม ใน
พระพุทธศาสนาเพื่อสนองความต้องการของสังคม โดยมีการผสมผสานอิทธิปาฏหิ าริย์เข้าไปในหลักธรรม เกิด
การยอมรับว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา มีการค้าขายกับชาวต่างชาติ ทั้งชาติ
ตะวันตกและตะวนั ออก ทาให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขุนนางและผู้เกี่ยวข้องกับการค้ามีฐานะดีขึ้น ได้รับ
การยอมรับ ยกย่อง และการเล่อื นชน้ั ทางสงั คม เกิดการแยง่ ชงิ ผลประโยชน์ทางวตั ถุ ความเชือ่ เร่ืองกรรม เร่มิ
๒๑
เปล่ยี นไป “ทาดีได้ดี ทาชว่ั ไดช้ ว่ั
๓. สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยกรุงธนบุรีและ รัชกาลที่ ๑-๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงนา”
ไตรภูมิพระร่วง” มาเป็นแนวทางในการหลักธรรมเรื่องกรรม เพื่อให้เกิดความละอายชั่ว กลัวบาป เป็นการ
ควบคมุ พฤติกรรมของประชาชนให้อยใู่ นศลี ธรรมเชน่ เดียวกับ สมัยสโุ ขทยั และอยุธยา และในสมยั รชั กาลท่ี ๒
คาว่า “กรรม” ได้กลายเป็นคาที่มีความหมายถึงผลของการ กระทาที่เป็นการกระทาที่ไม่ดี และทาไว้ใน
อดีตชาติ เช่น “ตามกรรมที่ทาไว้” “กรรมสิ่งใดเลย ซัดมาให้” และ “ชะรอยกรรมเวรตามมาทัน”
สมัยรัชกาลที่ ๔ – ๗ ในสมัยรัชการท่ี ๔ ทรงได้รับอิทธิพลทางความคิดจากวิทยาการทางตะวันตก สมัยใหม่ท่ี
เข้ามา จงึ ไมย่ อมรบั เรอื่ งไตรภมู พิ ระรว่ ง ทาใหเ้ กดิ การปฏิเสธไตรภูมิพระร่วงในทางด้านภมู ิศาสตร์ แต่ยงั ทรงคง
ยอมรับสาระเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรมที่ให้ผลในชาติน้ีและ ชาติหน้า
โดยใหค้ วามสาคัญของกรรมในชาตปิ จั จุบนั มากท่สี ดุ โดยผลของบุญหรอื บาปน้ันอยู่ท่ีใจของ ผกู้ ระทา ดงั ที่
รัชกาลท่ี ๔ ตรัสไว้ว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ทีใ่ จ”
รชั กาลท่ี ๕ นาหลักกรรมมาเป็นพ้นื ฐานการดารงชวี ติ ในลักษณะเดียวกบั สมัยรัชกาลที่ ๔ หลกั ธรรม เรื่องกรรม
ในสมัยนี้ถูกนามาสอนในลักษณะผลของกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับความสุขและความทุกข์ของบุคคลและ สังคมใน
ชาติปัจจุบัน ยอมรับกรรมที่เป็นกระแสการเวียนว่ายตายเกิดอันเป็นความเชื่อพื้นฐานของสังคมไทย และใน
สมัยนี้มีการขยายตัวทางการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชาติตามกระแสวิทยาการตะวันตก ด้วยการปรับ
โครงสรา้ งทางสงั คมและขยายตัวทางการศึกษา ทาให้มคี นเขา้ รับราชการเป็นจานวนมาก จงึ มผี ลให้มีการเล่ือน
ชั้นทางสังคม หลักธรรมเรื่องกรรมได้ถูกนามาสอนเพื่อให้เกิดสานึกในฐานะและหน้าที่ของตนที่จะต้องปฏิบัติ
ตอ่ สังคม และในความหมายท่บี ุคคลจะ เจริญขึน้ หรอื เสื่อมลงได้ เพราะการกระทาของตนเอง ทาใหเ้ กิดปรัชญา
ทางการศึกษาไทยขน้ึ ใหม่ คอื “ความรูค้ ่คู ุณธรรม” แทน “ความรคู้ ือคุณธรรม”
สมัยรชั กาลที่ ๖ - ๗ เปน็ ชว่ งทม่ี ีการเปล่ียนแปลงกบั ระบบการปกครองของไทยเปน็ อยา่ งมากและ ความเจริญ
ตามกระแสตะวันตกเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการพัฒนาด้านวัตถุ ตลอดจนกระแสวัตถุนิยมตาม รูปแบบ
ตะวันตก การอธิบายหลักธรรมเรอื่ งกรรมทเี่ ก่ยี วกับการไดร้ ับความทุกข์หรอื ความสุขนนั้ มากจากการ ประพฤติ
ชั่ว และการประพฤติดีของตนเองจึงไม่เพียงพอ ความขัดแย้งกับหลักคาสอนในสิ่งที่คนไทยพบเห็น ตามความ
เป็นจริงในสังคม ทาให้คนไทยบางส่วนไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ผลที่ตามมาสังคมเกิดความเดือดร้อน วุ่นวาย ด้วย
ผู้คนไม่เกรงกลัวและละอายต่อบาป แต่ทาทุกอย่างเพื่อประโยชน์ตน ตลอดจนการศึกษาไทยใน ปรัชญาใหม่
ไม่มีการสอนพระพุทธศาสนาในโรงเรียน คนไทยรุ่นใหม่ห่างไกลจากหลักคาสอนในพุทธศาสนา เป็นสาเหตุให้
รัชกาลที่ ๗ ทรงให้ความสาคัญของหลักธรรมเรื่องกรรม ที่ควรได้รับการสอนและปลูกฝังให้กับ เด็กไทย ดังที่
พระองค์ตรัสไว้ว่า “. . .สาหรับพระพุทธศาสนานั้น ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า สิ่งที่เราจะสอนให้ เข้าใจและให้
เชื่อมั่นเสียตั้งแต่ต้นทีเดียว คือ สิ่งที่เป็นหลักสาคัญของพระพุทธศาสนานั่นคือ วัฏฏสงสาร...และ
กรรม ทาดีได้ดี ทาชั่วไดช้ ว่ั ... เพราะหนทางปฏิบตั ขิ องพระพุทธศาสนากเ็ พ่ือให้พ้นจากวฏั ฏสงสาร... แต่สิ่งที่ดี
ประเสริฐยิ่ง คือความเชื่อในกรรม แต่จะสอนเฉพาะเรื่องกรรมอย่างเดียว ไม่สอนเรื่องวัฏฏสงสารด้วยก็ไม่
สมบูรณ์ ความเชื่อในเรื่องกรรม ข้าพเจ้าเห็นว่า เป็นของประเสริฐยิ่ง ควรเพราะให้มีขึ้นในใจของคนทุกคน...
๒๒
ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ถ้าคนเราเชื่อเรื่องกรรมแล้ว ควรจะได้ความสุขไม่น้อยโดยที่ไม่ทาให้รู้สกึ ท้อถอยแต่อย่างไร
ขา้ พเจ้าเหน็ วา่ เราควรพยายามสอนเด็กให้เขา้ ใจ และให้เชือ่ มัน่ ในกรรมเสยี แต่ตน้ ทีเดยี ว ยงิ่ ใหเ้ ช่ือได้มากเท่าไร
ยิ่งดี ควรให้ฝังเป็นนิสัยทีเดียวจะเห็นได้ว่า จากสมัยกรุงธนบุรี จนถึง กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น แนวคิดเรื่อง
สวรรค์ สืบทอด ผ่านวรรณคดี โดยเฉพาะวรรณคดีชิน้ เอก ไตรภูมิพระร่วง ซึ่งถูกเชื่อมโยงกบั แนวคดิ เรื่องหลัก
กรรมทาให้คนใน สมัยนั้น จะคิดทาการใดๆ ก็จะเกรงกลัวเรื่องเวรกรรมตามทัน แต่ต่อมาเมื่อระดับผู้นา
ประเทศได้รับอิทธิพล ทางการศึกษาจากวิทยาการตะวันตก ซ่ึงมีความเชื่อการใช้เหตุผลมากกว่าความเชื่อท่ี
เกิดจากศรัทธาส่งผลให้ ระบบการศึกษาและการปลกู ฝงั เรื่องหลักกรรมได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นการอธิบายเร่อื ง
แนวคิดสวรรค์ เชอื่ มโยงกับปัจจบุ ันเป็นหลักและ ความเขา้ ใจในเร่อื งสังสารวฏั ฏได้เรม่ิ เล่อื นหายจากสังคม มอง
นรกและ สวรรคเ์ ป็นเรอ่ื งทไ่ี กลตัว มุ่งเนน้ แตป่ ระโยชนใ์ นชาตปิ ัจจบุ นั
ไตรภมู ิกถาทรงพระราชนิพนธ์ขน้ ึโดยพญาลิไทยหรือพระมหาธรรมราชาลไิ ทยแต่คร้ังยังเป็น พระลกู หลวงกนิ
เมืองศรีสชั นาลัยเมอื่ พ.ศ.๑๘๘๘กอน่ ขนึ้ครองราชย์เปน็ พระมหากษัตรยิ ์สโุ ขทยั ๖ปี เม่ือ พ.ศ. ๑๙๐๔ ก่อนหนา้
นพ้ี ระองค์ทรงศึกษาอกั ษรวธิ อี ย่างแตกฉานทั้งภาษาไทยและภาษามคธ (บาล)ี จนสามารถแปลพระไตรปิฎก
อรรถกถา ฎกี า อนุฎีกา และปกรณ์วเิ สส มวี สิ ุทธิมรรคและโล กปุ ปัตติเป็นต้น ทงั้ ทรงพระราชนพิ นธ์ฉันท์มคธ
ได้อยา่ งชา่ ชองดว้ ย อนั เปน็ ผลท่ไี ดท้ รงศึกษาในสานกั พระสงฆ์และราชบณั ฑติ หลายทา่ นองค์มาก่อน ได้ทรง
พระราชนิพนธ์เรื่องไตรภูมิกถาขน้ึ เพื่อถวาย พระราชชนนีศรธี รรมราชมาตา และสั่งสอนไพร่ฟาู ประชาชนดว้ ย
เม่อื พิเคราะหถ์ งึ เหตุปจั จัย ที่ทาให้ ทรงพระราชนพิ นธเ์ รื่องน้พี อสรปุ ได้ ๔ ประการคือ (๑) ปัจจัยดา้ นการเมือง
การปกครอง ที่ พระมหากษัตรยิ ใ์ นประเทศกลุ่มเถรวาทเร่มิ แตอ่ นิ เดยี ลังกา พม่า ไทยล้านนา และไทยภาค
กลาง ทรงยดึ หลกั ทศพิธราชธรรม นาการปกครองประเทศ และกล่มุ ประเทศเหลา่ นีม้ ีปฏิสมั พนั ธก์ ันบนพื้นฐาน
พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี (๒) ปจั จัยด้านวรรณกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าส่ปู ระเทศไทย เคียง
ขนานกบั การเมืองการปกครองในยุคนน้ั มีการตดิ ต่อระหวา่ งกนั ในหมู่พระสงฆ์ การศึกษาพระ ปรยิ ตั ธิ รรม การ
ถา่ ยทอดคมั ภรี ์พระพทุ ธศาสนา จนเกิดมปี ระเพณีพธิ กี รรมและเทศกาลตา่ งๆ คลา้ ยคลึงกัน (๓) ปจั จยั ด้าน
ศลิ ปกรรมมีการถ่ายทอดเลยี นแบบปรบั ปรุงพฒั นาใหเ้ ข้าถึงอัตลักษณ์ ของตนเอง จะเห็นได้ชดั ท้ังทาง
สถาปตั ยกรรม ปฏมิ ากรรม จิตรกรรม และ (๔) หลกั ธรรมเพือ่ ความดี งามของสงั คม มีทศพธิ ราชธรรม ราช
สังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร และวชั ชีอปริหานยิ ธรรม เปน็ ตน้ ปจั จยั ตา่ งๆเหลา่ นเี มีทั้งอิทธิพลต่อพระมหาธรรม
ราชาลไิ ทยและที่พระองค์ทรงมตี ่อพระมหากษัตรยิ ์ ไทยในสมยั ต่อๆ มาทัง้ สมัยกรุงศรีอยุธยา สมยั กรงุ ธนบุรี
และสมยั กรุงรัตนโกสินทรต์ อนตน้ ดังจะเหน็ ไดจ้ ากการสร้างสรรคส์ ถาปตั ยกรรม ปฏิมากรรม จติ รกรรม
และวรรณกรรมต่างๆ เพื่อให้ประชาชน ท่วั ไปเข้าใจหลักคาสอนทางพระพทุ ธศาสนาอยา่ งลึกซงึ้ จะไดป้ ฏบิ ัติ
ตนให้ถกู ต้อง และสร้างสรรค์ ศิลปกรรม นาฏกรรม และวรรณกรรมอนั มคี ุณคา่ ต่อสงั คมตอ่ ไป
สรุปได้ว่าอิทธิพลเรื่องสวรรค์ของคนไทยในสมยั อดีตและปัจจุบัน ในสมัยอดีต นรกและสวรรค์เผยแผ่
ผ่านววรรณคดี เรื่องเล่า ช่วยให้สามารถอธิบายลักษณะนรกและ สวรรค์ให้กับประชาชน ซึ่งในยุคน้ัน
การศึกษายังไม่ทั่วถึง จาเป็นต้องสร้างเรื่องเพื่ออธิบายให้คนทั่วไปสามารถ เข้าใจถึงบาป บุญ คุณ โทษ ได้
โดยง่าย แนวทางการอธบิ ายและการเผยแผ่เปน็ การมงุ่ เนน้ ใหป้ ระชาชนรจู้ ักการ ทาทาน ในฐานะเครอื่ งมือไปสู่
๒๓
สวรรค์ เป็นกระบวนการปลูกฝังศรัทธาและความเชื่อ ซึ่งมีอิทธิพลสอดรับกับ สังคมยุคนั้น ได้เป็นอย่างสมั ย
อยุธยา ความเชื่อเรื่องกรรมมีอิทธิพลต่อการดาเนินชีวิตประจา ผู้ที่ทากรรมดี มีเป้าหมายของชีวิตที่ดีในชาติ
ต่อๆ ไป และการดับทุกข์ ละกิเลส บรรลุพระนิพพาน หรือปรารถนาการถึงความ เป็นพระพุทธเจ้า ดังมี
หลักฐานปรากฏในวรรณคดีไทย เช่น ลิลติ พระลอ พระมาลยั คา หลวงและมหาชาตคิ าหลวง เร่ืองพระมาลัยคา
หลวง เป็นวรรณคดีที่ดี เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับนรกและสวรรค์ มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของคนไทยในเรื่องบาป
บุญ นรกและสวรรค์ เช่นเดียวกับไตรภูมิพระร่วงต่อมาสังคมไทยได้รับความเชื่อจากศาสนาพราหมณ์และไสย
ศาสตร์เข้ามาผสมผสานกับหลักธรรม ในพระพุทธศาสนาเพื่อสนองความต้องการของสังคม โดยมีการ
ผสมผสานอิทธิปาฏิหาริย์เข้าไปในหลักธรรม เกิดการยอมรับว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาใน
สมยั อยธุ ยา มีการคา้ ขายกับชาวต่างชาติ ทงั้ ชาติตะวันตกและตะวนั ออก ทาให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขุน
นางและผู้เกีย่ วข้องกบั การคา้ มีฐานะดีข้ึน ไดร้ บั การยอมรบั ยกย่อง และการเลื่อนชั้นทางสงั คม เกิดการแย่งชิง
ผลประโยชน์ทางวัตถุ ความเชื่อเรื่องกรรม เริ่มเปลี่ยนไป “ทาดีได้ดี ทาชั่ว ได้ชั่ว สมัยกรุงธนบุรีและสมัยกรุง
รัตนโกสินทร์ สมัยกรุงธนบุรีและ รัชกาลที่ ๑-๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงนา”ไตรภูมิพระร่วง” มาเป็น
แนวทางในการหลักธรรมเรื่องกรรม เพื่อให้เกิดความละอายชั่ว กลัวบาป เป็นการควบคุมพฤติกรรมของ
ประชาชนให้อยู่ในศีลธรรมเช่นเดียวกับ สมัยสุโขทัย และอยุธยา จะเห็นได้ว่า จากสมัยกรุงธนบุรี จนถึง กรุง
รัตนโกสินทร์ตอนต้น แนวคิดเรื่องสวรรค์ สืบทอด ผ่านวรรณคดี โดยเฉพาะวรรณคดีชิ้นเอก ไตรภูมิพระร่วง
ซงึ่ ถูกเชอ่ื มโยงกบั แนวคดิ เรอื่ งหลักกรรมทาให้คนใน สมยั นั้น จะคิดทาการใดๆ ก็จะเกรงกลัวเร่อื งเวรกรรมตาม
ทัน แต่ต่อมาเมื่อระดับผู้นาประเทศได้รับอิทธิพล ทางการศึกษาจากวิทยาการตะวันตก ซึ่งมีความเชื่อการใช้
เหตุผลมากกว่าความเชื่อที่เกิดจากศรัทธาส่งผลให้ ระบบการศึกษาและการปลูกฝังเรื่องหลักกรรมได้
เปลี่ยนแปลงไปเป็นการอธิบายเรื่องแนวคิดสวรรค์ เชื่อมโยงกับปัจจุบันเป็นหลักและ ความเข้าใจในเรื่อง
สังสารวัฏฏได้เริ่มเลื่อนหายจากสังคม มองนรกและ สวรรค์เป็นเรื่องที่ไกลตัว มุ่งเน้นแต่ประโยชน์ในชาติ
ปัจจุบัน ทั้งนี้ เป็นเพราะขณะนั้นประเทศไทย กกลังเข้าสู่ยุคของการแข่งขันและพัฒนา แนวคิดเรื่องคุณธรรม
กบั การศึกษาไดถ้ กู แยกออกจากกัน นนั่ หมายถงึ หลักคาสอนทางพระพุทธศาสนาไดถ้ ูกแยกออกจากสงั คม เป็น
เรอื่ งของอดุ มคติ ซ่ึงไม่สามารถจบั ต้องได้ ประกอบ กับอิทธิพลพฒั นาการของโลกตะวันตก ความเจริญทางดา้ น
วัตถุและการศึกษาได้แทรกซึมสู่กระบวนการศึกษา ของไทย วัดแยกออกจากโรงเรียน จึงส่งผลให้ความเชื่อ
เรอื่ งนรกและสวรรคข์ องคนไทยได้เลือนหายไปตาม กาลเวลา แต่อยา่ งไรกต็ ามในยคุ ปัจจุบนั นักวชิ าการไทยได้
พยายามส่ือสาร ถา่ ยทอดแนวคิดเร่ืองนรกและ สวรรค์ ใหส้ อดคล้องกับบรบิ ทสงั คมยคุ ใหม่
แนวคดิ ความเช่ือนรกและสวรรค์ไม่ได้อยเู่ คียงคู่กับประเทศไทยเพียงเทา่ นั้น นอกจากนย้ี ังคงมีหลายประเภทท่ี
ได้รับอิทธิพลความเชื่อและมีแนวคิดที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับความเชื่อสวรรค์นรก การใช้ชีวิตในโลกหลังความ
ตาย การชดใช้กรรม และการเกดิ ใหม่
๔. ตวั อยำ่ งเกยี่ วกบั ควำมเชื่อเร่ืองนรกสวรรคใ์ นตำ่ งประเทศ
๔.๑ ตัวอย่ำงเกี่ยวกับควำมเชือ่ เร่ืองนรกสวรรค์ในประเทศญี่ปุน่
๒๔
น้าใส ตันติสุข ได้กล่าวไว้ว่า ในศาสนาพุทธมีแนวคิดเกี่ยวกับทุคติภูมิอันเป็นภพที่คนบาปถูกลงทัณฑ์
หนึ่งในนั้นคือ นรกภูมิ ในพระสูตรและคัมภีร์ต่างๆ มักบรรยายลักษณะว่าเป็นภูมิอันร้อนยิ่ง เต็มไปด้วยไฟอัน
ร้อนแรงและมีเครื่องทรมานมากมายรอลงทัณฑ์เหล่าคนบาปสาหรับพระพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่นก็พบ
แนวคิดเกี่ยวกับนรกภูมิสืบทอดมาถึงปัจจุบัน โดยมิได้มีเพียงหลักฐานลายลักษณ์อักษรเท่านั้น หากยังพบ
ภาพเขียนหลายรูปแบบอันมีฉากเป็นนรกภูมิดว้ ยในบทความชิน้ นีจ้ ะเรียกภาพทีว่ าดนรกภูมิว่า ภาพนรก ภาพ
นรกในประเทศญี่ปุ่นที่เก่าแก่ที่สุดสืบเนื่องไปถึงสมัยศตวรรษที่ 8 อันเป็นยุคที่ศาสนาพุทธเข้ามาเผยแพร่แล้ว
และได้รับความนิยมจากชนชั้นสูงที่มีอิทธิพลทางการเมือง ภาพนรกได้รับการสร้างสรรค์สืบเนื่องต่อมาโดยมัก
ใช้เป็นสื่อเผยแพร่แนวคิดพระพุทธศาสนานิกายต่างๆโดยเริ่มพบมากขึ้นหลังศตวรรษที่10 สันนิษฐานว่าเป็น
เพราะสภาพการเมืองสมัยนั้นที่ขาดความมั่นคง ทั้งยังมีภัยพิบัติทางธรรมชาติและโรคระบาดมาก ทาให้ผู้คน
สมัยนั้นมีประสบการณ์พบเห็นความตายที่เกี่ยวข้องกับตนและผู้อื่นอย่างใกล้ชิด สภาพสังคมเช่นนี้จึงน่าจะมี
ส่วนใหค้ วามเชื่อและภาพลกั ษณ์
ชนัญ วงศ์วิภาค(๒๕๖๕) พระพุทธศาสนากับลัทธิชินโตเริ่มกลมกลืนเขา้ กันได้บ้างแล้ว ครั้นถึงยุคกรงุ
เฮอนั นี้ โดยเฉพาะนบั แต่กลางยุคเป็นตน้ มา ท้งั สองศาสนากผ็ สมผสานเข้ากนั เปน็ อย่างดี เทพเจ้าเก่าๆ ในลัทธิ
ชินโตมีสร้อยพระนามเพิม่ ขึน้ ว่า เป็นพระโพธิสัตว์ และเรียกชื่อว่าเป็น “งองเง็น” ซึ่งแปลว่า “รูปกายชั่วคราว
(ของพระพุทธเจ้า) ที่สาแดงพระองค์ในโลกนี้” ถือกันว่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ได้มาสาแดงพระองค์ใน
ประเทศญี่ปุ่น โดยปรากฏรูปเป็นเทพเจ้าของญี่ปุ่น เพื่อช่วยนาประชาชนไปสูอ่ ริยมรรค พระเทวีอะมะเตระสุ-
โอมิ-กามิ ซึ่งถือว่าเป็นผู้สร้างประเทศญี่ปุ่น ก็พลอยถูกเชื่อวา่ เป็นอวตารของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตวไ์ ปด้วย
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาทั้งสองนี้ ได้กลายเป็นความแตกแยกกันอีกครั้งหนึ่ง เพราะนโยบายการ
ปกครองของประเทศในสมยั พระจักรพรรดเิ มอิจิ
พุทธศาสนาฝ่ายมหายานเป็นลทั ธทิ ี่ใหญ่และมีศรัทธามากล้นจากทั่วโลกการเผยแผ่ลัทธิเซนนี้เริ่มจาก
ประเทศจีนก่อนเป็นลาดับแรก แล้วแผ่ขยายไปยังประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และได้แผ่หลายลงมา
ทางตอนใต้คือ ไทย สิงค์โปร์ และข้ามทวีปไปที่ อเมริกา อังกฤษ และอีกหลาย ประเทศในยุโรป สาหรับ
ประเทศไทยของเรา เซนยังได้รับการนิยมไม่กว้างขวางเท่าไหร่นัก อันเนื่องศาสนาพุทธของประเทศเรานั้น มี
นิกายหนิ ยานหรอื เถรวาทเปน็ นิกายหลักประจาชาติอยู่แลว้ แต่ทว่าเรื่องของการกีดก้นั มิให้ศาสนพุทธมหายาน
ลัทธิเซนเข้ามามีบทบาทนั้นมิอาจพึงกระทาได้ เนื่องจากเราเป็นประเทศประชาธิปไตยที่เปิดกว้างทุกเชื้อชาติ
และศาสนา แตก่ ็มหี ลายคนหลายกลุ่มทีเ่ ร่ิมหนั มาศึกษาพุทธศาสนาในเซนมากกวา่ เดิมส่งิ แตกต่างทง้ั สองนิกาย
นน้ั มีอยู่หลาย ๆ ประการด้วยกนั แต่สาหรบั ความเป็นนกิ ายเซนน้นั สิง่ ที่แตกต่างก็มปี รากฏอยู่ แตผ่ ูเ้ ขียนแอบ
มีศรัทธาคือ แนวทางการสอนของเซนที่ว่าเน้นสอนให้อยู่กับความจริง ในการยอมรับตัวเองและศึกษาธรรม
พิจารณาธรรม โดยอาศัยธรรมชาตขิ องชีวิตเปน็ สิง่ ที่สอน โดยมีจุดหมายสูงสุดด้วยการบรรลุธรรม ตัดสิ้นกเิ ลส
ตัณหา อปุ าทานขันธส์ งิ่ น้ตี า่ งหากทค่ี ิดวา่ เหมาะกับยุคสมยั หรือรว่ มสมัยหรือร่วมสมัย
สรุปได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานในวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นมาร่วมสหัสวรรษ และใน
พันปกี วา่ นชี้ าวญี่ปนุ่ ยงั ไดเ้ ชื่อมโยงความเช่ือของพุทธศาสนาบางส่วนเข้าผสมผสานกับปรัชญาหลักคาสอนของ
๒๕
ศาสนาชินโตพื้นบ้าน เช่น ความเชื่อในเรื่องของพระโพธิสัตว์และทวยเทพในศาสนาพุทธ ซึ่งได้ผนวกเป็นเทพ
เจ้าที่ได้รับการเคารพนับถือในศาสนาชินโตสาหรับพระพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่นก็พบแนวคิดเกี่ยวกับนรก
ภูมิสืบทอดมาถึงปัจจุบัน โดยมิได้มีเพียงหลักฐานลายลักษณ์อักษรเท่านั้น หากยังพบภาพเขียนหลายรูปแบบ
อันมีฉากเป็นนรกภูมิด้วยในบทความชิ้นนี้จะเรียกภาพที่วาดนรกภูมิว่า ภาพนรก ภาพนรกในประเทศญี่ปุ่นท่ี
เก่าแกท่ ่ีสดุ สบื เน่อื งไปถงึ สมัยศตวรรษท่ี ๘
๔.๒ ตวั อย่ำงเกี่ยวกับควำมเชอื่ เรื่องนรกสวรรค์ในประเทศจีน
(๒๕๖๕) ความเชอื่ นรกสวรรคม์ ีความสาคญั อย่างมาก แลว้ มอี ทิ ธพิ ลอย่างมากกับคนจนี แลว้ ทาให้เกิด
วนั มากมายวันสารทจนี ตรงกบั วนั ท่ี ๑๒ สงิ หาคม ซ่งึ เปน็ วนั ท่ี ชาวไทยเชือ้ สายจีน หรอื ชาวจีน เชื่อว่าจะเป็น
วันที่ลกู หลานชาวจีนได้แสดงถึงความกตัญญู โดยมีการจดั พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ลว่ งลบั ไปแล้ว เนื่องจากเชอื่
กันว่าเป็นวันที่ประตูนรกเปดิ ให้วิญญาณคนตายกลับมาโลกมนุษย์เพื่อรับบุญกุศลวันสารทจีน ตามตานานเปน็
วันประตูนรกเปิดมีความเชื่อตามตานานที่เล่าสืบทอดต่อกันมาว่าวันสารทจีนเป็นวันที่เงี่ยมล้อเทียนจือ
(ยมบาล) จะตรวจดบู ัญชวี ิญญาณคนตาย เพ่อื สง่ วญิ ญาณดีขน้ึ สวรรค์ และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ทาให้ชาวจีน
ทง้ั หลายรู้สกึ สงสารวิญญาณร้ายจึงทาบญุ อุทิศส่วนกุศลให้ ดังนัน้ เพอ่ื ให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึง
ต้องมกี ารเปิดประตูนรกนนั่ เอง
(๒๕๖๕) พระพุทธศาสนาในประเทศจีนส่วนใหญ่เป็นนิกายมหายาน ซึ่งมีประเพณี คาสอน และหลัก
ความเชื่อที่แตกต่างจากนิกายเถรวาท เช่น เถรวาทเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว แต่มหายานเชื่อว่ามี
พระพุทธเจ้ามากมายมหาศาลเปรียบเสมือนเม็ดทรายบนชายหาด หรือการปรับกฏระเบียบต่างๆ และความ
เชื่อเรื่องพระโพธิสัตว์ แต่โดยเนื้อแท้แล้วทั้งสองนิกายก็มุ่งสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ แสวงหาการหลุดพ้น
พระพุทธศาสนานั้นอยู่คู่กับแผ่นดินจีนมาโดยตลอด มีการสร้างวัดวาอารามต่างๆ มากมาย ทั้งที่เป็นวัดหลวง
และวัดราษฏร์ บางช่วงที่พระจักรพรรดิสนับสนุนพระพุทธศาสนาก็เจริญขึ้นสลับกับลัทธิอื่นๆ จนมาถึงสมัย
สาธารณรัฐจีน รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังโจมตีและลดบทบาทอีกด้วย มีการนาวัดวา
อารามไปใช้เป็นที่ทาการ สถานที่ราชการ จนพระอาจารย์ไท้สู ได้ริเริ่มฟื้นฟูพระพุทธศาสนา และมีการก่อต้ัง
พุทธสมาคมแห่งประเทศจีนขึ้น จึงเริ่มมั่นคงข้ึนในระดับหน่ึง เมื่อประเทศจีนเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐประชาชน
จีน ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งหลักการดังกล่าวขัดกับพระพุทธศาสนาหลายประการ แต่ในช่วงแรก
ศรัทธาของประชาชนยังมมี าก ทางรัฐบาลจึงไม่ใช้ความรุนแรงแต่เมื่อเวลาผา่ นไปจึงมีการออกมาตรการหลาย
อย่างบีบบังคับให้พระภิกษุต้องลาสิกขา ริบทรัพย์สินวัดวาอารามเพ่ือเป็นสถานที่ราชการ และยิ่งเลวร้ายขึ้น
เมื่อช่วงปี พ.ศ. ๒๔๐๙-๒๕๑๒ที่รัฐบาลได้ยึดวัดเป็นของราชการ ห้ามประกอบศาสนกิจต่างๆ การเผยแผ่
พระพุทธศาสนาถือเป็นความผิดกฎหมาย พระภิกษุถูกบังคับให้ลาสิกขา พระคัมภีร์ต่างๆ ถูกเผา พระพุทธรูป
และวัดถูกทาลายไปเป็นอันมาก ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ ทาให้พระพุทธศาสนาเกือบสูญสิ้นไปจากประเทศจีน
จนกระทัง่ ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหมา เจ๋อ ตงุ ถงึ แก่อสัญกรรม รัฐบาลใหมจ่ งึ ค่อยคลายความเข้มงวด
ลง และใหเ้ สรีภาพในการนับถอื ศาสนามากข้ึนจนถงึ ปัจจุบัน
(๒๕๖๕) สานักงานราชบณั ฑิตยสภา ให้ความหมายของคา เชง็ เมง้ วา่ เปน็ เทศกาลท่คี นจีนไปไหว้
๒๖
บรรพบรุ ษุ ณ ทฝ่ี ังศพหรือฮวงซุ้ยในชว่ งเดือน ๓ ของจนี
โดยคาวา่ เช็ง แปลว่า สะอาด บริสทุ ธิ์ สว่ นคาวา่ เมง้ แปลวา่ สวา่ ง
คาว่า "เช็งเม้ง" คือ ช่วงเวลาแห่งความแจ่มใส ท้องฟ้าใสสว่าง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาในฤดูใบไม้ผลิของจีน
ตน้ ไมใ้ บหญา้ เขียวชอมุ่ สวยงาม จึงเป็นชว่ งเวลาที่เหมาะกบั การไปไหว้บรรพบุรุษ ณ ที่ฝังศพ แทนการไหว้ป้าย
วิญญาณในบ้าน ทั้งน้ี “วันเชง็ เม้ง” ถือว่าเป็นประเพณีทีส่ าคัญมากทสี่ ดุ ของของชาวจนี เนอ่ื งจากเปน็ ประเพณี
ไหวบ้ รรพบุรษุ ที่สุสาน เพือ่ แสดงความกตัญญตู ่อบรรพบุรุษ
ที่มาของวันเชง็ เมง้ น้นั มาจากพระเจา้ ฮัน่ เกาจู ผู้สถาปนาราชวงศฮ์ ั่น ทีร่ ะลึกถึงบดิ ามารดาท่เี สยี ชวี ติ ไปแล้ว จึง
เดินทางไปยังบ้านเกิด แต่จาสุสานของบิดามารดาของตนไม่ได้ จึงอธิษฐานต่อเทพบนสวรรค์ด้วยการโปรย
กระดาษสีขึ้นฟ้า เพื่อให้กระดาษปลิวไปตกยังป้ายสุสานใดจะถือว่าสุสานน้ันเป็นสุสานของบิดามารดาสาหรับ
วันเช็งเม้งในประเทศจีนนั้น จะเริ่มต้นช่วงวันที่ ๔-๕เมษายน ไปจนถึงวันที่ ๑๙-๒๐เมษายน ซึ่งช่วงเวลา
ดงั กลา่ วถือวา่ เข้าสู่ฤดใู บไมผ้ ลิ ท่ีอากาศจะเร่มิ เข้าสคู่ วามอบอุน่ มฝี นตกปรอย ๆ มบี รรยากาศสดช่ืน ทอ้ งฟ้าใส
สว่างอย่างที่กล่าวในตอนแรกว่า “วันเช็งเม้ง” คือวันแสดงความเคารพถึงบรรพบุรุษ ซึ่งการแสดงความเคารพ
เปรียบเสมือนความกตัญญู ซึ่ง "ความกตัญญู" นี้นับว่าเป็นหลักธรรมพื้นฐานที่ทาให้มนุษย์ รู้จักการกระทา
หน้าที่อันเหมาะสมของตนเอง ซึ่งเริ่มจากความรับผิดชอบต่อตนเอง ความรับผิดชอบต่อ ห น้าที่ในสถาบัน
ครอบครัว โดยบิดามารดาทาหน้าที่ในฐานะบุพการีและบุตรธิดาปฏิบัติหน้าที่ต่อบิดามารดานอกจากน้ี
ประโยชน์ของการไปไหว้บรรพบุรุษ วันเช็งเม้ง ยังประกอบไปด้วยเพื่อราลึกถึงคุณความดีที่บรรพบุรุษของเรา
ไดก้ ระทาไว้ ไดด้ ูแลเรา ลาบากเพ่ือใหเ้ รามคี วามเป็นอยู่ท่ีดี เป็นแบบอย่างการดาเนินชวี ิต "เราสบาย เพราะพ่อ
แม่ บรรพบุรษุ ลาบาก"เป็นศูนย์รวมตระกลู ผังตระกูล โดยทั่วไป การไหว้ทดี่ ีทส่ี ดุ ตอ้ งนดั หมายไปไหวพ้ ร้อมกัน
(วนั และเวลาเดยี วกัน) ทาใหล้ กู หลานท่อี ยู่กระจายกันไป ไดม้ าพบปะสงั สรรค์กันพรอ้ มหน้า เปน็ การสร้างความ
สามคั คี สร้างจุดศนู ยร์ วม กล่าวได้ว่าเปน็ "วันรวมญาติ"เป็นกรอบถนนชีวิตของลูกหลานทุกคน "พอ่ แม่ตายแล้ว
ยังกาหนดชะตาชีวิตลูกหลาน" เป็นแบบอย่างในการดาเนินชีวิต เน้นความกตัญญูที่มีต่อบุพการี และลูกหลาน
ควรปฏิบัติตามเป็นการเตือนสติตน ความตายต้องเกิดขึ้นกับทุกคน และเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนส่วนข้อ
ปฏิบตั ิในวนั เช็งเม้ง ท่วี ่านี้ เปน็ อยา่ งไร "ซนิ แสนตั โตะ" ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านโหราศาสตรจ์ ีน แนะนาว่า เคลด็ ลบั
พเิ ศษ ๕ ข้อในการไปไหว้เชงเม้ง เพื่อป้องกันพลงั งานไมด่ ี
๑. ใหพ้ กทา้ วเวสสวุ รรณติดตัวไปดว้ ย
๒. อยา่ ไปนั่งทีส่ สุ านคนอน่ื และอย่าเดินไปทั่วตามสสุ านคนอ่ืนท่ีคุณไมร่ จู้ ัก
๓. เวลาไปไหวบ้ รรพบรุ ษุ ใหพ้ ูดแตส่ ่ิงดๆี หา้ มทะเลาะเบาะแวง้
๔. คนทไี่ ปไหว้ เวลาไปและกลับ คยุ กันใหเ้ รียกชื่อ มีการขานรบั ห้ามพดู ลอยๆ เช่น กลบั บา้ นกัน กินขา้ วกนั
มาน่ังด้วยกันซิ
๖. เวลาจุดประทดั ห้ามจดุ ตาแหนง่ ทศิ เหนือของสุสาน จะเปน็ การระเบิดพลังรา้ ยเพยี งเท่าน้ี ดวงชะตาของคุณ
จะยงั คงเฮงรับวนั เชง็ เมง้ อย่างแนน่ อน
๒๗
สรุปความได้ว่า ความเชื่อนรกสวรรค์มีความสาคัญอย่างมาก ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อคนจีน และ
ประเทศจีน ซึ่งประเทศก็มีการนับถือพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับประเทศไทย พระพุทธศาสนาในประเทศจนี
ส่วนใหญ่เป็นนิกายมหายาน ซึ่งมีประเพณี คาสอน และหลักความเชื่อที่แตกต่างจากนิกายเถรวาท จนมาถึง
สมัยสาธารณรัฐจนี รัฐบาลไมไ่ ดส้ นบั สนนุ พระพุทธศาสนา อีกทั้งยังโจมตแี ละลดบทบาทอกี ด้วย มีการนาวัดวา
อารามไปใช้เป็นที่ทาการ สถานที่ราชการ จนพระอาจารย์ไท้สู ได้ริเริ่มฟื้นฟูพระพุทธศาสนา และมีการก่อต้ัง
พุทธสมาคมแห่งประเทศจีนขึ้น เมื่อพระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายศาสนาเข้ามาในประเทศจีนทาให้ประเทศจีน
ได้รับอิทธิพลความเชื่อด้านสวรรค์และนรก และเกิดเทศกาลต่างๆมากมาย ตัวอย่างเช่นตรงกับวันที่ 12
สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ ชาวไทยเชื้อสายจีน หรือชาวจีน เชื่อว่าจะเป็นวันที่ลูกหลานชาวจีนได้แสดงถึงความ
กตัญญู โดยมีการจัดพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เนื่องจากเชื่อกันว่าเป็นวันที่ประตูนรกเปิดให้
วิญญาณคนตายกลับมาโลกมนุษย์เพ่ือรบั บุญกศุ ลวนั สารทจนี "เช็งเม้ง" คือ ช่วงเวลาแห่งความแจ่มใส ท้องฟ้า
ใสสว่าง เนือ่ งจากเปน็ ชว่ งเวลาในฤดใู บไม้ผลิของจีน ต้นไมใ้ บหญา้ เขยี วชอ่มุ สวยงาม จงึ เปน็ ช่วงเวลาทีเ่ หมาะ
กบั การไปไหว้บรรพบุรุษ ณ ที่ฝงั ศพ แทนการไหวป้ ้ายวญิ ญาณในบา้ น
ทัง้ น้ี “วนั เช็งเม้ง” ถอื ว่าเปน็ ประเพณีทส่ี าคัญมากท่ีสุดของของชาวจีน เนอื่ งจากเป็นประเพณีไหว้บรรพบุรุษที่
สุสาน เพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่มาของวันเช็งเม้งนั้น มาจากพระเจ้าฮั่นเกาจู ผู้สถาปนาราชวงศ์
ฮั่น ที่ระลึกถึงบิดามารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว จึงเดินทางไปยังบ้านเกิด แต่จาสุสานของบิดามารดาของตนไม่ได้
จึงอธิษฐานต่อเทพบนสวรรค์ดว้ ยการโปรยกระดาษสีขึ้นฟ้า เพื่อให้กระดาษปลิวไปตกยังป้ายสุสานใดจะถือว่า
สุสานนั้นเป็นสุสานของบิดามารดาสาหรับวันเช็งเม้งในประเทศจีนนั้น จะเริ่มต้นช่วงวันที่ ๔-๕ เมษายน ไป
จนถึงวันที่ ๑๙-๒๐ เมษายน ซึ่งช่วงเวลาดังกลา่ วถือว่าเขา้ สูฤ่ ดูใบไม้ผลิ ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วน
หนง่ึ ของความเช่อื สวรรค์นรกในตา่ งประเทศ
๔.๓ ตวั อยำ่ งเก่ียวกับควำมเชอ่ื เรื่องนรกสวรรค์ประเทศในแถบยโุ รป
(๒๕๖๓) ในศาสนายวิ ซงึ่ เป็นรากฐานของครสิ ต์ศาสนา คัมภรี ์โตราห์ (Torah) หรือทส่ี ว่ นหนึ่งกลายเป็น
คัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมของศาสนาคริสต์ ไม่ได้กล่าวอย่างละเอียดนักว่ามนุษย์ประสบพบเจอกับอะไรหลัง
ความตาย นรกและสวรรค์ดูคลมุ เครือไม่ชดั เจนมากนัก รางวัลของคนดีมธี รรมมักได้รับกันในโลกมนุษย์เลยคอื
การมชี วี ิตยนื ยาว เราจงึ พบว่า บรรดาบุคคลในพระคัมภีรม์ ีชีวิตยืนยาวเกินมนุษยส์ ามัญทัว่ ไป เชน่ อายุ 400 ปี
900 ปี เป็นภาษาของพระคัมภีร์ที่พยายามสื่อสารว่า ผู้ที่ดาเนินชีวิตตามนา้ พระทัยของพระเป็นเจ้าย่อมได้รับ
พระพรให้มีชีวิตยนื ยาว
และหากพิจารณาถึงช่วงเวลาราวๆ 5,000 – 6,000 ปกี อ่ น มนษุ ยย์ ุคเหล็กที่มีอายเุ กิน 40 ปีขนึ้ ไป โดย
ไม่ตายจากโรคภัยไข้เจ็บ ภัยธรรมชาติ สัตว์ร้ายกัดตายหรืออุบัติเหตุ ย่อมมีน้อยแสนน้อย การมีชีวิตที่ยืนยาว
ย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกคน การได้เห็นลูกหลานมากมายจึงเป็นเสมือนรางวัลของพระเจ้า ที่ตอกย้าไว้ใน
พระสัญญากับอับราฮัมว่าจะให้เขามีลูกหลานมากมายเหมือนดวงดาว สะท้อนความต้องการลึกๆ ของมนุษย์
โบราณท่อี ยากสืบทอดเผา่ พนั ธข์ุ องตน ทา่ มกลางชีวติ ทีล่ าบากยากแคน้ ไวใ้ ห้นานและมากท่สี ุด
๒๘
สว่ นชวี ิตหลงั ความตายในพนั ธสัญญาเดิมที่ระบวุ า่ มนุษย์เราตายแล้วไปไหน มกี ารลงโทษหรือให้รางวัล
ไหม ลักษณะคลุมเครือ บ่อยครั้งใช้คาว่า Sheol ซึ่งหมายถึง ‘หลุมฝังศพ’ หรือ ‘โลกใต้พื้นดิน’ ซึ่งกล่าวถึง
อย่างคร่าวๆ ว่าเป็นสถานที่อาศัยของคนบาปที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีพรรณนาโวหารถึงการลงโทษในสถานที่หรือ
สภาวะนี้ ส่วนสวรรค์นั้น ก็กล่าวไว้คร่าวๆ ว่า เป็นที่ประทับของพระเจ้าท่ามกลางวิญญาณของผู้ชอบ
ธรรม อย่างไรก็ดี ชาวคริสต์ในยุคหลังที่ต่อยอดจักรวาลวิทยาจากชาวยิว จะพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับโลกหลัง
ความตายใหร้ ายละเอียดชดั เจนยิ่งขึน้
พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้าทรงเผยแสดงแน่ชัดว่า มีชีวิตหลังความตาย มีการลงโทษ
สาหรับคนบาป และมีรางวัลนริ ันดรสาหรับคนดี กระนั้นพระองค์ไม่ได้ตรัสถึงรายละเอียดของนรกและสวรรค์
มากมายนัก ทรงกล่าวเพียงว่า นรกนั้นเป็นที่ที่มี “หนอนไม่รู้ตายและไฟไม่รู้ดับ” ส่วนสวรรค์นั้นเป็นเสมือน
บา้ นของพระบดิ า คนดที กุ คนจะได้รบั ความสขุ ตลอดนิรันดรท่นี ่นั
มจี ดุ นา่ สนใจว่า พระองคท์ รงคืนความยุติธรรมให้กบั คนยากจนด้วย ทรงยกตวั อย่างลาซารสั คนขอทาน
ยากไร้ที่เข้าสู่สวรรค์และอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม ส่วนเศรษฐีใจดานั้นต้องทรมานในนรก มีเหวลึกกั้นกลาง
ระหวา่ งสองพน้ื ท่นี ้นั คงเป็นการเผยแสดงเรอ่ื งนรก-สวรรค์อยา่ งส้ันๆ จากพระวาจาของพระครสิ ตโ์ ดยตรง
ส่วนศัพท์ที่ใช้เรียกนรกในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่นั้น เนื่องจากเป็นหนังสือที่แต่งโดยใช้ภาษา
กรีก จึงใช้คากรีกแทนคาฮีบรูบางคา คือคาว่า Hades และยังใช้คาว่า Tartarus อันเป็นนรกขุมลึกแบบกรีก
ปะปนเข้ามาอีกด้วย นอกจากนั้นยังใช้คาว่า Gehenna อันเป็นสถานที่ทิ้งขยะของเน่าเสียนอกกาแพงเมือง
เป็นที่อาศยั ของคนโรคเร้ือนและคนทุพพลภาพท่ีถูกทอดท้งิ จึงเป็นอุปลักษณ์ของนรกอนั เป็นสถานที่ที่มนุษย์ผู้
มีเสรีภาพในการเลือกทาดีและชั่ว เลือกที่จะดารงตนออกห่างจากพระเจ้า พวกเขาจึงถูกทอดทิ้งอยู่อย่าง
โศกเศร้าโดดเดยี่ ว นรกในพนั ธสัญญาใหมจ่ ึงใหภ้ าพเหมอื นสถานท่ีมืด มีแตเ่ สียงร้องไห้ และขบเขยี้ วเค้ยี วฟนั
ส่วนรายละเอียดของสวรรค์นั้นปรากฏอยู่มากในพระคัมภีร์วิวรณ์ ซึ่งทานายเรื่องราวในยุคสุดท้าย
หนา้ ตาของสวรรค์เหมือนกบั กรุงเยรูซาเล็มสวา่ งไสว เพราะพระเป็นเจ้าทรงเป็นเสมือนดวงอาทิตย์ภายในเมือง
นั้น (หากสนใจรายละเอียดอันมีมากมาย อ่านได้ในพระคัมภีร์หนังสือวิวรณ์ ซึ่งกวีดันเตก็ได้พรรณนาเพิ่มเติม
จนภาพลักษณ์ของสวรรค์จากนิยาย Divina Commedia ของเขากลายเป็นที่จดจากันในยุคกลางลงมา
ภาพลักษณ์ของสวรรค์ในโลกตะวันตกจึงมีรายละเอียดมากมายเพิ่มเติมจากวรรณกรรมเล่มนี้) วิวรณ์ยังให้
รายละเอยี ดเกีย่ วกบั ภัยพิบตั ติ ่างๆ ท่จี ะเกดิ ขึ้นในโลก ทงั้ แผ่นดินไหว สงคราม และโรคระบาด Antichrist หรอื
ผตู้ ่อตา้ นพระครสิ ต์ และการพิพากษาครัง้ สุดทา้ ย
ชาวคริสต์เชอ่ื ตามพระคัมภรี ์วา่ มนษุ ย์เกดิ และตายเพยี งครั้งเดียว ดงั นนั้ จงึ ไมม่ แี นวคิดเร่ืองการเวียนว่าย
ตายเกิด (ซึ่งก็มีการแทรกแนวคิดอยู่บ้างจากอิทธิพลของกรีก) หลังความตายมนุษย์ทุกคนจะถูกพิพากษาตาม
ความดีและความชั่วของตน แนวคิดเรื่องการพิพากษาปรากฏในศาสนาโบราณจานวนมาก เช่น ศาสนาใน
อยี ปิ ต์โบราณ
๒๙
ส่วนศาสนาคริสต์ พระเยซูทรงตรัสเรื่องนี้อย่างละเอียดโดยพระองค์เอง ว่าวันสุดท้ายจะมาถึงอย่างไม่
คาดฝันเหมือนขโมย (ความตายก็เช่นกนั ) ในเวลานั้น พระคริสต์จะประทับนั่งบนบลั ลังก์ จะทรงแยกคนดีและ
คนชั่วออกจากกนั คนดีจะได้รบั รางวัลในสวรรค์ ส่วนคนชวั่ จะรับการลงทณั ฑ์ในนรก
การพิพากษานั้นแบ่งเป็น 2 ช่วง คือหลังความตายของมนุษย์ทุกคน และวันพิพากษาครั้งสุดท้ายในวัน
สิ้นโลก (The Last Judgement) ซึ่งไม่มีบาปใดของมนุษย์ที่จะถูกปิดบังเป็นความลับได้อีกต่อไป ทุกสิ่งจะ
เปดิ เผยออกมาทงั้ สิ้นทั้งความดแี ละความชวั่
วันพิพากษาดูจะเป็นวันที่น่ากลัวมากสาหรับผู้คนในยุคกลาง จนเรียกกันว่า ‘วันแห่งพระพิโรธ’ มีคา
ทานายเหลวไหลออกมามากมายว่าวันแห่งพระพิโรธนี้จะเกิดขึ้นในปีนั้นปีนี้ โดยเฉพาะปีที่ครบพันปี หรือห้า
ร้อยปี ชาวบ้านก็แตกตื่นแห่ออกไปจาศีลภาวนาตามป่าเขากันสักที พอเรื่องแผ่ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็กลับเข้า
เมอื งมากนั อีก
ความตาย สงคราม โรคระบาด ความอดอยาก และอากาศหนาวทารุณในยุคกลาง ดูจะเป็นตัวเร่ง
ปฏิกริยาให้ความเชอ่ื เรื่องวนั พพิ ากษาดสู มจริงสมจงั มากยิง่ ขึน้ เร่อื งราวของการพพิ ากษาจงึ ถูกถ่ายทอดออกมา
เป็นคริสตศลิ ปจ์ านวนมาก ภาพพระครสิ ตป์ ระทับบนบัลลงั ก์กลางฟ้า พระพักตร์ดุดนั ดา้ นข้างมีผูเ้ ป็นทนายแก้
ต่างให้มนุษย์ (Deësis-ผู้ภาวนาต่อพระเจ้า) คือพระนางมารีย์พระมารดา และนักบุญจอห์น บัปติสต์ คอย
บรรเทาพระพิโรธ บรรดาเทวดาต่างเปา่ แตรปลุกผตู้ ายขึ้นมาจากหลมุ ศพเพ่ือรบั การพิพากษา
เชื่อกันว่าทุกคนจะกลับคืนชีพในช่วงอายุเท่าๆ กันคือ 33 ปี เท่ากับอายุของพระคริสต์เมื่อทรง
สิ้นพระชนม์ จากนั้น อัครเทวดามีคาแอลจะถือตาชั่งคอยชั่งบุญและบาปของมนุษย์ ผู้ชอบธรรมจะถูกแยกไป
ทางขวาของพระเป็นเจ้า ส่วนคนบาปถูกแยกออกไปทางซ้าย เหมือนสานวนในพระคัมภีร์ว่า “ทรงแยกแพะ
ออกจากแกะ”
ในยุคกลาง ภาพพระบุตรในฐานะผู้พิพากษาโลกมักประดับไว้บริเวณเหนือประตูกลางทางเข้าโบสถ์
เพ่ือตักเตือนสัตบุรุษว่า หากจะเข้าสูส่ วรรค์ (แทนด้วยตวั อาคารของโบสถ์) มนุษย์จะตอ้ งรบั การชาระพิพากษา
เสยี ก่อน เป็นการเตือนใจใหร้ ะลึกถงึ ความชวั่ ท่ตี วั เองเคยทามากอ่ นด้วย
ในศาสนาอิสลามเองก็พัฒนาแนวคิดเรื่องของวันพิพากษา (วันกิยามัต) โดยปรากฏเป็น 1 ใน 6 ของ
หลักศรัทธาของอิสลาม และมีรายละเอียดมากกว่าในศาสนาคริสต์เสียอีก เช่น การชาระความกันระหว่างสตั ว์
ตา่ งๆ ที่เคยพิพาทกนั ในโลก แตส่ ดุ ท้ายสัตว์ที่ไม่มีวิญญาณเหลา่ น้ันกจ็ ะกลบั เป็นดนิ ตามเดิม
ชาวคริสต์ในยุคโบราณพัฒนาความเชื่อต่อไปว่า ก่อนพระเยซูคริสต์จะถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่บาปให้
มนุษย์ ไม่มีใครได้ไปสวรรค์เลยตั้งแต่ยุคของอาดัมและเอวา ทั้งสองทาผิดพระบัญชาของพระเจ้าโดยการกิน
ผลไม้ตอ้ งหา้ ม มนษุ ย์ทัง้ ปวงจึงถูกสาปใหต้ ายและถูกกักขังไว้ใน ‘แดนมรณา’ หรอื ‘ลิมโบ’ โดยบรรดาซาตาน
และพรรคพวกส่วนในสวรรค์นั้นว่างเปล่า มีคนเพียง 2 – 3 คนเท่านั้น ในพระคัมภีร์ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า
พระเจา้ ทรงรบั เขาขึ้นสวรรค์โดยตรง เชน่ ประกาศกเอลียาห์ซ่ึงพระเจ้ารับเขาขึ้นสวรรคโ์ ดยรถม้าเพลิง และไม่
มใี ครไดเ้ หน็ เขาอกี เลย และเอโนค ผ้ทู พ่ี ระคมั ภีร์กล่าวไว้ส้ันๆ วา่ “เขาเดินไปพรอ้ มกบั พระเจา้ ”
๓๐
การสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ เทา่ กับเป็นการเปิดทางเข้าสูส่ วรรค์ของบรรดาผู้ท่ี
ตายไปต้ังแตส่ มยั ปฐมกาล ในยุคกลางเช่ือกนั วา่ หลงั จากที่พระเยซสู ้ินพระชนม์ไปเป็นเวลา 3 วัน พระองค์เสด็จ
ลงไปยงั ดินแดนมรณา-ที่อยขู่ องบรรดาปีศาจ เจา้ แหง่ โลกนี้ (Prince of The World) ซาตานและสมนุ พยายาม
ป้องกันประตูเหล็กไม่ให้พระองค์เสด็จเข้าไป แต่พระคริสต์ทรงใช้ไม้กางเขนตีไปที่ประตูจนโซ่ตรวนนั้นหักลง
ทรงฉุดบรรดาผู้ตายตั้งแต่ยุคแรก คืออดัมกับเอวาขึ้นจากแดนมรณา และเหล่าผู้ชอบธรรมอย่างอับราฮัม
กษตั ริยด์ าวิด บรรดาประกาศ และพาไปสสู่ วรรค์
ความเชื่อนี้ปัจจุบันไม่ได้รับการกล่าวถึงนัก แต่ก็ปรากฏเป็นภาพคริสต์ศิลป์ที่ชวนตื่นเต้นหวือหวามาก
โดยเฉพาะตอนพระคริสต์ทรงทาลายประตูนรก ส่วนบางความเชือ่ กลับแตกต่างออกไป คือบรรดาผู้ชอบธรรม
ในยุคพนั ธสญั ญาเดมิ อาศัยอย่ใู นลิมโบอยา่ งผาสกุ รอคอยการเสด็จมาของพระครสิ ต์อย่างสงบ
ความเชื่อในแถบยุโรป จะเกี่ยวข้องกบั ศาสนาคริสต์โดยตรง โดยมีชาวยิวเป็นรากฐานของศาสนาคริสต์
ในความเช่อื ของศาสนานี้ ไดเ้ ชอื่ ว่ามกี ารเกดิ และตายเพยี งคร้งั เดียว ตามคัมภรี พ์ นั ธสญั ญาเดิมไดร้ ะบุ ภาพของ
นรกและสวรรค์ยังคงไม่ชัดเจน มีการกล่าวเพียงว่า มนุษย์ผู้ที่ทาบาปจะถูกส่งไปในโลกใต้พื้นดิน และผู้ที่ผ่าน
การพิพากษาก็จะได้ขึ้นไปอยู่สวรรค์ อันเป็นที่ๆพระเจ้าทรงประทับอยู่ การพิพากษาจะเกิดขึ้นอยู่สองครั้ง
ได้แก่หลังจากการตายของมนุษย์แต่ละคน และวันพิพากษาสิ้นโลกหรือวันพระพิโรธ ที่เป็นที่น่าเกรงกลัวของ
ครสิ ตชนมากที่สุด
(๒๕๖๒)ทูตสวรรค์มาจากไหน? โคโลสี ๑:๑๖ บอกว่าหลังจากพระยะโฮวาสร้างพระเยซู พระองค์ก็
“สรา้ งสิง่ อนื่ ๆ ท้ังหมดบนสวรรค์และบนโลก” สิ่งทพ่ี ระเจ้าสร้างในสวรรค์ก็คือทูตสวรรค์ แลว้ พระเจ้าสร้างทูต
สวรรค์กอี่ งค?์ คมั ภีร์ไบเบิลบอกว่าหลายร้อยล้านองค—์ สดุดี ๑๐๓:๒๐; วิวรณ์ ๕:๑๑
คัมภีร์ไบเบิลบอกเราดว้ ยวา่ พระยะโฮวาสร้างทูตสวรรค์ให้อยู่ในสวรรค์ก่อนที่พระองค์จะสร้างโลกกับ
มนุษย์ พวกเขารู้สึกอย่างไรตอนที่เห็นพระเจ้าสร้างโลก? หนังสือโยบบอกเราว่าพวกเขาดีใจมาก ตอนนั้นพวก
ทูตสวรรค์เป็นครอบครัวท่ีสนิทกนั และทางานรบั ใช้พระยะโฮวาด้วยกัน—โยบ ๓๘:๔-๗
พวกทูตสวรรค์สนใจมนุษย์มาตลอด และพวกเขาก็สนใจสิ่งท่ี พระเจ้าตั้งใจจะทาเพื่อมนุษย์และโลก
ดว้ ย (สุภาษติ ๘:๓๐, ๓๑; ๑ เปโตร ๑:๑๑, ๑๒) ตอนทอ่ี าดัมกบั เอวากบฏ พวกทตู สวรรค์เสียใจมาก และตอน
นี้พวกเขาก็ยิ่งเสียใจท่ีเห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่เชือ่ ฟังพระยะโฮวา แต่ถ้ามีบางคนกลบั ใจและกลับมาหาพระยะโฮ
วา พวกทูตสวรรค์ก็ดีใจมาก (ลูกา ๑๕:๑๐) เราเห็นว่าทูตสวรรค์สนใจคนที่รับใช้พระเจ้ามากจริง ๆ นอกจาก
นั้น พระยะโฮวาใช้ทูตสวรรค์ให้ช่วยและ คอยปกป้องคุ้มครองคนท่ีทางานรับใช้พระองค์บนโลก (ฮีบรู ๑:
๗, ๑๔) ขอให้เราดบู างตวั อย่างด้วยกนั
“พระเจา้ ของผมส่งทูตสวรรค์มาปิดปากสิงโตไว้”—ดาเนียล ๖:๒๒
๓๑
พระยะโฮวาสง่ ทูตสวรรค์ ๒ องค์มาช่วยโลทกบั ครอบครัวให้รอดปลอดภัยตอนท่ีพระองค์ทาลายเมือง
โสโดมและโกโมราห์ (ปฐมกาล ๑๙:๑๕, ๑๖) หลายร้อยปีต่อมา ผู้พยากรณ์ดาเนียลถูกจับโยนลงไปในบ่อสงิ โต
แตเ่ ขาไมเ่ ป็นอะไรเลย เพราะ ‘พระเจา้ ส่งทูตสวรรค์มาปิดปากสงิ โตไว’้ (ดาเนียล ๖:๒๒) สมยั ตอ่ มา ตอนทอ่ี ัคร
สาวกเปโตรตดิ คกุ พระยะโฮวาสง่ ทตู สวรรค์มาปล่อยเขาออกจากคุก (กจิ การ ๑๒:๖-๑๑) และทูตสวรรค์ยังชว่ ย
พระเยซูตอนท่ีท่านอยู่บนโลกด้วย เช่น หลังจากท่ีพระเยซูรับบพั ติศมา มี “ทูตสวรรค์คอยดูแลทา่ น” (มาระโก
๑:๑๓) และกอ่ นทพ่ี ระเยซูจะถูกประหาร ทตู สวรรค์ก็มา “ใหก้ าลังใจพระเยซ”ู —ลกู า ๒๒:๔๓
ทุกวันนี้ ทูตสวรรค์ไม่ปรากฏตัวให้มนุษย์เห็นอีกแลว้ แต่พระเจ้าก็ยังใช้ทตู สวรรค์ให้คอยช่วยเหลือคน
ท่ีรับใช้พระองค์ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาอยู่ล้อมรอบคนท่ีเกรงกลัวพระองค์ และ
พระองค์ช่วยพวกเขาให้พ้นภัย” (สดุดี ๓๔:๗) ทาไมทูตสวรรค์ต้องช่วยเราด้วย? ก็เพราะเรามีศัตรูที่มีอานาจ
มากและพวกมันจ้องจะเลน่ งานเรา พวกมันเป็นใคร? มาจากไหน? และพยายามจะทาอะไรเรา? เพือ่ จะตอบคา
ถามเหลา่ น้ีได้ ให้เรามาดวู า่ เกิดอะไรขน้ึ หลังจากทอี่ าดัมกับเอวาถูกสร้างได้ไมน่ าน
เนือ่ งงจากมีทตู สวรรค์องคห์ นึ่งกบฏต่อพระเจ้า และอยากปกครองมนุษย์ คัมภรี ์ไบเบลิ เรยี กมันว่ามาร
ซาตาน (วิวรณ์ ๑๒:๙) ซาตานอยากให้มนุษย์กบฏต่อพระเจ้าด้วย มันหลอกเอวาได้สาเรจ็ และตั้งแต่นั้นมามนั
ก็หลอกผู้คนส่วนใหญ่ในโลก แต่ก็มีบางคนท่ีมันหลอกไม่สาเรจ็ เช่น อาเบล เอโนค และโนอาห์ เพราะพวกเขา
ยังซอ่ื สตั ย์ภักดตี อ่ พระยะโฮวาเสมอ—ฮีบรู ๑๑:๔, ๕, ๗
ในสมัยของโนอาห์ ทูตสวรรค์บางองค์ได้กบฏต่อพระยะโฮวา ทิ้งท่ีอยู่ในสวรรค์และแปลงกายเป็น
มนุษย์มาอยู่บนโลก ทาไมพวกมันทาแบบนั้น? คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าพวกมนั อยากได้มนุษย์เป็นภรรยา (อ่าน
ปฐมกาล ๖:๒) แต่การท่ีทูตสวรรค์ทาแบบน้ีผิด (ยูดา ๖) คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นก็เป็นเหมือนกับทูตสวรรค์ชั่ว
เหล่านี้ พวกเขาทาสิง่ ทผ่ี ิด เป็นคนโกหกหลอกลวง และชอบความรุนแรง พระยะโฮวาจงึ ตัดสนิ ใจทาลายคนช่ัว
เหล่านั้นโดยทาให้เกิดน้าท่วมโลก แต่พระองค์ช่วยผู้รับใช้ท่ีซ่ือสัตย์ของพระองค์ให้ปลอดภัย (ปฐมกาล ๗:
๑๗, ๒๓) ส่วนพวกทูตสวรรค์ชั่วหนีเอาตัวรอดกลับไปสวรรค์ คัมภีร์ไบเบิลเรียกทูตสวรรค์ชั่วเหล่านี้ว่าพวก
ปศี าจ พวกมันกบฏและเลอื กอยู่ฝ่ายซาตาน ซาตานก็เลยกลายเป็นหัวหนา้ ของพวกมนั —มัทธิว ๙:๓๔
พวกปีศาจกบฏต่อพระยะโฮวา พอพวกมันกลับไปสวรรค์ พระองค์จึงไม่ยอมให้พวกมันกลับมาอยู่ใน
ครอบครัวของพระองค์อีก (๒ เปโตร ๒:๔) ถึงแม้พวกปีศาจแปลงกายเป็นมนุษย์ไม่ได้อีกแล้ว แต่พวกมันก็ยัง
“หลอกลวงทั้งโลกให้หลงผิด” (วิวรณ์ ๑๒:๙; ๑ ยอห์น ๕:๑๙) ให้เรามาดูวิธีท่ีพวกปีศาจใช้หลอกลวงคน
จานวนมาก
ปศี าจใช้หลายวธิ ีเพื่อหลอกลวงผู้คน วิธีหนึ่งก็คอื เรื่องเกีย่ วกับไสยศาสตร์หรือเวทมนตร์คาถา ผู้คนติด
ตอ่ กับปีศาจโดยตรงหรอื ผา่ นทางคนอน่ื เช่น คนทรงหรอื คนทนี่ ่งั ทางใน แตค่ ัมภีร์ไบเบิลส่ังเราไมใ่ ห้เขา้ ไปยุ่งกับ
๓๒
อะไรก็ตามทเ่ี กีย่ วข้องกับพวกปีศาจ (กาลาเทีย ๕:๑๙-๒๑) ทาไม? เพราะพวกปศี าจใช้วิธีเหลา่ น้ีเพื่อหลอกผู้คน
ให้ตดิ กับและตกอยู่ใตอ้ านาจของมนั เหมอื นกับทพ่ี รานลา่ สตั ว์ใช้กบั ดกั เพอ่ื จับสตั ว์—ดคู าอธบิ ายเพม่ิ เติม ๒๖
กับดักอย่างหนง่ึ ท่ีมันใช้คอื การทานายอนาคต ซง่ึ เป็นการใช้พลงั ลึกลับเหนือธรรมชาติเพื่อจะรู้อนาคต
หรอื ส่ิงทอี่ ยากรู้ บางคนหาฤกษ์หายาม ดไู พ่ ดลู ายมือ ทานายฝนั ดูดวง หรือดโู หราศาสตร์ หลายคนคิดว่าการ
ทาอย่างน้ีไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่จริง ๆ แล้วมันอันตรายมาก ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลบอกให้รู้ว่าหมอดูกับ
ปีศาจทางานด้วยกัน ท่ีกิจการ ๑๖:๑๖-๑๘ บอกว่ามี ‘ปีศาจท่ีทาให้ทานายอนาคตได้’ ช่วยเด็กผู้หญิงคนหนง่ึ
ให้ “ทานายโชคชะตา” แต่หลังจากท่ีอัครสาวกเปาโลไล่ปีศาจออกไปจากเด็กคนนี้ เธอก็ไม่สามารถทานาย
อนาคตไดอ้ ีกเลย
พวกปศี าจยังใช้กับดักอกี อย่างหนึ่งด้วยเพอื่ ทาให้ผู้คนตดิ กบั พวกมนั พยายามทาให้เราเช่ือว่าคนที่ตาย
ไปแล้วยังอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขาสามารถพูดคุยกับเรา ช่วยหรือทาร้ายเราก็ได้ เช่น บางคนเมื่อเพื่อนหรือญาติ
ตาย เขาก็จะไปหาคนทรงที่อ้างว่าสามารถตดิ ต่อกบั คนตายได้ และคนทรงก็อาจบอกบางอย่างเกีย่ วกับคนตาย
ได้ถูกต้อง หรือถึงกับเลียนเสียงคนตายได้ด้วยซ้า (๑ ซามูเอล ๒๘:๓-๑๙) การติดต่อกับคนตายเป็นเรื่อง
อนั ตรายมาก เพราะทเ่ี ราคดิ ว่ากาลังพูดคุยกบั คนตายน้ัน จริง ๆ แล้วเรากาลังตดิ ต่อกับปีศาจ นอกจากน้ัน เรา
ยังต้องระวังเก่ียวกบั พิธีต่าง ๆ ในงานศพ ผู้คนมักจัดพิธีต่าง ๆ ตามความเชื่อที่ว่าคนตายยงั อยู่ที่ไหนสักแห่ง นี่
รวมถึงพิธีไว้ทุกข์ให้คนตาย อุทิศส่วนกุศลให้คนตาย ทาบุญให้คนตาย หรือการจดั งานครบรอบวันตาย การทา
พิธีต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปศี าจ เมื่อคริสเตียนไม่ร่วมทาพิธีกรรมเหล่านี้ก็อาจโดนญาติพี่น้อง
รวมทั้งคนในชุมชนต่อว่า วิพากษ์วิจารณ์ หรือเลิกไปมาหาสู่ แต่คริสเตียนรู้ว่าคนตายแล้วไม่มีอะไรเหลืออยู่จึง
เป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อกับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่สามารถช่วยหรือทาร้ายเราได้ (สดุดี ๑๑๕:๑๗) เราต้อง
ระวงั อยา่ ตดิ ตอ่ กับคนตายหรือพวกปีศาจ และอยา่ ยุ่งเก่ียวกับพิธีต่าง ๆ ทเี่ กย่ี วข้องกับพวกปีศาจ—อ่านเฉลย
ธรรมบญั ญัติ ๑๘:๑๐, ๑๑; อสิ ยาห์ ๘:๑๙
พวกปีศาจไม่ได้แค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงผู้คนแต่มันยงั ทาให้คนกลัวมนั ดว้ ย ตอนน้ี ซาตานกับปีศาจ
พรรคพวกของมันรู้วา่ “เวลาของมันเหลอื น้อยเต็มที” ก่อนท่ีพระเจ้าจะจัดการมัน พวกมันจึงยิ่งเหี้ยมโหดมาก
กว่าแตก่ อ่ น (ววิ รณ์ ๑๒:๑๒, ๑๗) ถึงอย่างนน้ั มผี ู้คนมากมายทเ่ี ม่ือก่อนเคยกลวั ปีศาจ แตต่ อนนี้พวกเขาไม่กลัว
พวกมันอีกแลว้ และหลุดพน้ จากพวกมนั ได้ พวกเขาทาไดอ้ ย่างไร?
คัมภีร์ไบเบิลบอกวิธีที่เราจะต่อสู้กับปีศาจและหลุดพ้นจากพวก มัน เช่น มีบางคนในเมืองเอเฟซัสท่ี
เคยติดต่อเกี่ยวข้องกับพวกปีศาจก่อนมาเรียนความจริง พวกเขาหลุดพ้นจากพวกปีศาจได้อย่างไร? คัมภีร์ไบ
เบิลบอกวา่ “หลายคนทเี่ คยใช้เวทมนตร์คาถาก็เอาม้วนหนังสือของเขามากองรวมกันแลว้ เผาต่อหน้าทุกคน” (
กิจการ ๑๙:๑๙) เนื่องจากพวกเขาอยากเป็นคริสเตียน พวกเขาจึงทาลายหนังสือทั้งหมดท่ีเกี่ยวข้องกับเวท
มนตร์คาถา ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ใครท่ีอยากรับใช้พระยะโฮวาต้องทาลายสิ่งของทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพวก
ปีศาจ เวทมนตร์คาถา หรือเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ รวมทั้งของบางอย่างที่อาจดูเหมือนเป็นแค่เรื่องสนุก ๆ
๓๓
ไมม่ ีพษิ มีภยั เช่น รปู ภาพ เพลง หนงั เกม หนงั สอื แม้แตเ่ ครอื่ งรางของขลังที่อาจคิดวา่ จะคุ้มครองจากสิ่งที่ไม่ดี
ก็ต้องทาลายดว้ ย—๑ โครนิ ธ์ ๑๐:๒๑
ทั้ง ๆ ที่ชาวเมืองเอเฟซัสทาลายหนังสือท่ีเกี่ยวข้องกับปีศาจไปหลายปีแล้ว แต่อัครสาวกเปาโลก็ยัง
เขยี นจดหมายบอกพวกเขาว่า พวกเขายังต้อง “ตอ่ สู้กบั กองทัพปีศาจชวั่ ” ตอ่ ไป (เอเฟซัส ๖:๑๒) เพราะถึงแม้
ว่าพวกเขาเผาหนังสือพวกนั้นไปแล้ว แต่พวกปีศาจก็ยงั หาทางทาร้ายพวกเขาอยู่ ดังนั้น พวกเขาต้องทาอะไร?
เปาโลบอกว่า “ให้เอาความเชื่อเป็นโล่ใหญ่เพื่อจะดบั [หรือหยุด] ลูกธนูไฟทุกดอกของตัวชั่วรา้ ยได้” (เอเฟซัส
๖:๑๖) เหมอื นกับโล่ทที่ หารใช้เพอื่ ปอ้ งกนั ตวั ในสมยั ก่อน ความเช่อื ก็สามารถป้องกนั เราไว้จากพวกปีศาจได้ ถา้
เราเชอื่ และมัน่ ใจจริง ๆ ว่าพระยะโฮวาสามารถปกป้องเราได้ เราก็จะตอ่ สู้กับซาตานและพวกปีศาจได้—มัทธิว
๑๗:๒๐
เราจะทาให้ความเชื่อของเราท่ีมีต่อพระยะโฮวาเข้มแข็งมากขึ้นได้อย่างไร? เราต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิล
ทุกวันและฝึกท่ีจะวางใจให้พระเจ้า ปกป้องคุ้มครองเรา ถ้าเราเชื่อมั่นในพระยะโฮวาจริง ๆ ซาตานกับพวก
ปีศาจกท็ ารา้ ยเราไมไ่ ด—้ ๑ ยอห์น ๕:๕
คริสเตียนในเมืองเอเฟซสั ต้องทาอะไรอีก? เนื่องจากพวกเขาอยู่ในเมืองท่ีมีแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวก
ปศี าจ เปาโลจงึ บอกพวกเขาวา่ “ใหอ้ ธิษฐานตอ่ ๆ ไปในทุกโอกาส” (เอเฟซสั ๖:๑๘) พวกเขาต้องขอให้พระยะ
โฮวาปกป้องพวกเขาตลอดเวลา แล้วเราล่ะ? เราก็อยู่ในโลกท่ีมีแต่เรื่องท่ีเกี่ยวข้องกับพวกปีศาจ เราเองก็ต้อง
ขอให้พระยะโฮวาปกป้องคุ้มครองเราโดยการอธิษฐานออกชื่อพระองค์ (อ่านสุภาษิต ๑๘:๑๐) ถ้าเราอธิษฐาน
ขอให้พระยะโฮวาชว่ ยเราให้หลุดพน้ จากซาตาน พระองคก์ ็จะชว่ ยเรา—สดดุ ี ๑๔๕:๑๙; มทั ธวิ ๖:๑๓
ถ้าเราทาลายสิ่งของทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพวกปีศาจและวางใจให้พระยะโฮวาปกป้องคุ้มครองเรา
เราก็จะต่อสู้กับซาตานและพวกปีศาจได้ เราไม่ต้องกลัวพวกมันอีกต่อไป (อ่านยากอบ ๔:๗, ๘) พระยะโฮวามี
พลังอานาจมากกว่าพวกปีศาจ พระองค์เคยลงโทษพวกมนั มาแลว้ ในสมัยของโนอาห์ และอีกไม่นานพระองค์ก็
จะทาลายพวกมนั ให้สิ้นซาก (ยูดา ๖) อยา่ ลมื วา่ เราไม่ไดต้ ่อสู้กับพวกมันตามลาพงั พระยะโฮวาใช้ทูตสวรรค์ให้
ปกปอ้ งค้มุ ครองเรา (๒ พงศก์ ษัตริย์ ๖:๑๕-๑๗) เรามนั่ ใจไดว้ า่ พระยะโฮวาจะช่วยเราให้เอาชนะซาตานกับพวก
ปีศาจได้แน่นอน—๑ เปโตร ๕:๖, ๗; ๒ เปโตร ๒:๙ ในเมื่อซาตานกับพวกปีศาจเป็นต้นเหตุท่ีทาให้มนุษย์ต้อง
ทกุ ขล์ าบากมาก จงึ มวี ิธีต่อสกู้ ับซาตานดังนี้
๑.) ทาลายสิ่งของท้ังหมดทเ่ี ก่ยี วข้องกบั พวกปีศาจ เวทมนตร์คาถา หรอื พลังลกึ ลับเหนือธรรมชาติ
๒.) เรยี นคมั ภรี ์ไบเบลิ
๓.) อธษิ ฐานขอให้พระยะโฮวาพระเจา้ ชว่ ย
๓๔
คัมภีร์ไบเบิลบอกเราด้วยว่าพระยะโฮวาสร้างทูตสวรรค์ให้อยู่ในสวรรค์ก่อนที่ พระองค์จะสร้าง
โลก กับมนุษย์พวกเขารู้สึกอย่างไรตอนที่เห็นพระเจ้าสร้างโลก? หนังสือโยบบอกเราว่าพวกเขาดีใจมากตอน
นั้น พวกทูตสวรรค์เป็นครอบครัว ที่สนิทกันและทางานรับใช้พระยะโฮวาด้วยกันพระเยซูพระองค์ก็ “สร้างส่ิง
อ่นื ๆทง้ั หมดบนสวรรค์และบนโลก” สงิ่ ทีพ่ ระเจ้าสร้างในสวรรค์ ก็คือ ทตู สวรรค์ แลว้ พระเจ้าสร้างทูตสวรรค์กี่
องค์? คัมภีร์ไบเบิลบอกวา่ หลายร้อยล้านองค์ทกุ วนั นีท้ ูตสวรรค์ ไม่ปรากฏตัวให้มนุษย์เห็นอีกแล้วแต่พระเจา้ ก็
ยังใช้ทูตสวรรค์ให้คอยช่วยเหลือคนที่รับใช้ พระองค์คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาอยู่
ล้อมรอบคนที่เกรงกลัวพระองค์ และพระองค์ช่วยพวกเขาให้พ้นภัย” ส่วนของปีศาจพวกปีศาจยังใช้กับดักอกี
อย่างหนึ่งด้วยเพื่อทาให้ผู้คนติดกับพวกมันพยายามทาให้เราเชื่อว่าคนท่ีตายไปแล้วยังอยู่ที่ไหนสักแห่งเขา
สามารถพดู คุยกับเรา ช่วยหรอื ทารา้ ยเราก็ได้ เช่น บางคนเมื่อเพอ่ื นหรอื ญาติตาย เขาก็จะไปหาคนทรงทอี่ ้างว่า
สามารถติดต่อกับคนตายได้ และคนทรงก็อาจบอกบางอย่างเกี่ยวกับคนตายได้ถูกต้อง หรือถึงกับเลียนเสียง
คนตายได้ด้วยซ้าคัมภีร์ไบเบิลบอกวิธีท่ีเราจะต่อสู้กับปีศาจและหลุดพ้นจากพวก มัน เช่น มีบางคนในเมือง
เอเฟซัสที่เคยติดต่อเกี่ยวข้องกับพวกปีศาจก่อนมาเรียนความจริง พวกเขาหลุดพ้นจากพวกปีศาจได้อย่าง
ไร? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “หลายคนที่เคยใช้เวทมนตร์คาถาก็เอาม้วนหนังสือของเขามากองรวมกันแล้วเผาต่อ
หน้าทุกคน” เนื่องจากพวกเขาอยากเป็นคริสเตียน พวกเขาจึงทาลายหนังสือทั้งหมดท่ีเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์
คาถา ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ใครทอ่ี ยากรับใช้พระยะโฮวาต้องทาลายส่ิงของท้งั หมดที่เกี่ยวข้องกับพวกปีศาจเวท
มนตร์คาถา หรือเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ รวมทั้งของบางอย่างที่อาจดูเหมือนเป็นแค่เรื่องสนุก ๆ ไม่มีพิษมี
ภัยเช่น รูปภาพ เพลง หนัง เกม หนังสือ แม้แต่เครื่องรางของขลังที่อาจคิดว่าจะคุ้มครองจากสิ่งที่ไม่ดีก็ต้อง
ทาลายด้วยถ้าเราทาลายสิ่งของทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพวกปีศาจและวางใจให้พระยะโฮวาปกป้องคุ้มครอง
เรา เราก็จะตอ่ สู้กบั ซาตานและพวกปีศาจได้ เราไมต่ ้องกลัวพวกมนั อีกตอ่ ไป
๓๕
บทสรุป
ความเชื่อนั้นอยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาตั้งแต่เริ่มต้น มนุษย์ไม่อาจใช้ชีวิตโดยขาดความเชื่อได้ เนื่องจาก
ความเชื่อนั้นมีบทบาทสาคัญต่อสภาพจิตใจ การตัดสินใจ และการจัดระเบียบของสังคมมนุษย์เป็นอย่างมาก
ส่วนใหญ่ความเชื่อนั้นจะอยู่ในประเด็นของอานาจเหนือธรรมชาติ เนื่องจากเมื่อมนุษย์ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่
ตนควบคุมไม่ได้ก็จะนาความรู้หรือประสบการณ์และจินตนาการเท่าที่ทราบมาอธิบายเรือ่ งที่ไม่เข้าใจเหล่าน้นั
เพื่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย และสบายใจ นอกจากความเชื่อในระดับบุคคลแล้ว ความเชื่อในระดับสังคมยัง
เป็นปจั จยั สาคัญที่สร้างกฎเกณฑ์ และคา่ นิยมเพื่อให้ไปสอดคล้องกับบรรทัดฐานของความเชื่อนั้นๆ จากข้อมูล
ข้างต้นที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ชัดว่าความเชื่อนั้นมีบทบาทสาคัญ และอิทธิพลต่อสังคมมนุษย์เป็นอย่าง
มาก โดยหนึ่งในนั้นก็มีประเทศไทยเช่นกัน ความเชื่อส่วนมากที่ถูกสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน และมีอิทธิพล
มากท่สี ดุ คงไมพ่ ้นจากเรือ่ งภตู ิ ผี เทวดา ปศี าจทไี่ ดร้ ับมาจากศาสนาตา่ งๆ ความเชื่อยงั มอี ิทธพิ ลตอ่ สภาพจิตใจ
การตัดสนิ ใจ เเละการจัดระเบียบสังคมของมนุษย์ เเละความเช่ือเรื่องนรก คาว่า นรก แปลว่าเหว แตใ่ ช้เป็นคา
แปลนิรยะที่เข้าใจกันดี กล่าวโดยเนื้อความก็คือ ภูมิภพที่ไม่มีสิ่งอันเป็นที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจเสียเลย
ทีเดียวเมื่อสิ้นลมหายใจไปแล้วเราก็ยังมีชีวิต อยู่ แต่เป็นชีวิตที่อยู่ในโลกอีกมิติหนึ่งซึ่งโลกในมิติที่ว่าสามารถ
เชอ่ื มโยงเขา้ กับโลกในมิตปิ จั จุบนั ดว้ ยวิถีทางใดวิถีทางหนึ่งคาวา่ นรก มาจากคาบาลี นริ ยะ แปลว่า สภาพท่ีไม่
มีความเจริญ สภาพที่ไม่มีความสุข จากสรุปจะเห็นได้ว่า นรกเป็นภพภูมิที่ไม่มีความสุข ไร้ความเจริญ และ
นอกจากนี้นรกยังแบ่งออกเป็นหลายประเภท เเละความเชื่อเรื่องสวรรค์ หากเราหมั่นขยันทาความดี ละเว้น
ความเชื่อเราก็จะได้ขึ้นไปอยู่ที่สวรรค์ สถานที่เขาว่ากันว่ามีความสงบร่มเย็น คนที่มีความเชื่อเกี่ยวกับสวรรค์
และนรกจึงหมน่ั ทาความดี สรา้ งสะสมบุญกศุ ลเพื่อให้ตวั เองไดข้ ึ้นไปอยทู่ ่ีสวรรค์ ซ่ึงคนท่มี คี วามเช่อื เรอื่ งสวรรค์
นรกเล่าขานว่า บนสวรรค์ เป็นสถานที่แห่งความสุข ข้างบนนั้นมีอาหารให้กินเรารับประทานอย่างสุขสาราญ
ซึ่งอาหารพวกนั้นมาจาก การทาบุญของพวกเราทั้งสิ้น ความเชื่อของสวรรค์ในประเทศไทยมีให้พบเห็นได้
๓๖
อยา่ งกว้างขวาง เช่น การทาดีได้ดี ทาชั่วไดช้ วั่ เพือ่ ให้บุคคลที่มีความเช่ือเห็นแก่บาปบุญคุณโทษ และพบได้ว่า
ความเชื่อเร่อื งสวรรค์มีอทิ ธิพลตอ่ คนไทยมานานตั้งแตใ่ นสมยั อดตี และยังคงมีอิทธพิ ลต่อจนถงึ ปจั จุบนั อีกด้วย
บรรณำนุกรม
๘ นรกขุมใหญ่ ๑๖ นรกขุมบรวิ ำร, (๒๕๖๐).
เข้าถงึ ไดจ้ าก https://mgronline.com
กำเนิดแห่งเซน.
เขา้ ถึงได้จาก http://www2.tsu.ac.th
เจญจวรรณ ชยางกรู ณ อยธุ ยา, (๒๕๕๙). แนวทำงกำรอธบิ ำยเรอื่ งนรกและสวรรคใ์ นพุทธศำสนำสำหรบั
คนรุ่นใหม่.
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://so01.tci-thaijo.org
ฉจำกมำพจรสวรรค,์ (๒๕๖๔).
เข้าถึงไดจ้ าก http://legacy.orst.go.th
ชนัญ วงศ์วภิ าค, (๒๕๖๕). วถิ ญี ีป่ ุ่น.
เขา้ ถึงได้จาก https://www.facebook.com
ดุษฎี โยเหลา, (๒๕๒๖) ควำมสมั พันธ์เชงิ สำเหตุระหว่ำงลกั ษณะทำงพุทธศำสนำ ลักษณะทำงจติ และผล
กำรปฎบิ ัติงำน ตำมหน้ำท่ขี องครแู ละพยำบำล.
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://bsris.swu.ac.th
เตชปญฺโญ ภิกขุ. ดนิ แดนแหง่ สรวงสวรรค์.
เขา้ ถงึ ได้จาก http://nuir.lib.nu.ac.th
ทัศนยี ์ ทานตวณชิ , (๒๕๒๓). และ สุนทรี โคมนิ , (๒๕๓๙). และ สถาพร ศรสัจจัง, (๒๕๓๓). ควำมเช่อื .
เข้าถงึ ได้จาก https://www.stou.ac.th
๓๗
ธมมทนิ โน พงษ์เจรญิ , (๒๕๕๕). กำรศึกษำควำมเช่อื เร่อื งนรกและสวรรคข์ องชำวตำบลสแี ก้ว อำเภอเมอื ง
จงั หวัดร้อยเอ็ด.
เขา้ ถงึ ได้จาก http://202.28.109.103/ethesis/mcu-4-55113.pdf
ธวชั ปณุ โณทก, (๒๕๒๘). ควำมเชอ่ื (Beliefs) พิธกี รรม (Rituals) คำถำอำคม (Magic) ภำษำ
(Language) และคตชิ ำวบำ้ น (Folklore).
เข้าถึงได้จาก http://www.udru.ac.th
นรก ในจำรึกเรือ่ งนริ ยกถำ, (๒๕๕๙).
เข้าถงึ ได้จาก https://db.sac.or.th
นฤพนธ์ ดว้ งวเิ ศษ, (๒๕๖๐). แนวคิดมำนุษยวิทยำกับกำรศกึ ษษควำมเชอื่ ส่ิงศกั ด์ิสิทธใ์ิ นสังคมไทย.
เขา้ ถึงได้จาก http://arcbs.bsru.ac.th
นา้ ใส ตันตสิ ขุ , (๒๕๕๖). ภำพพญำยมในศลิ ปะญี่ป่นุ ระหวำ่ งสมัยคำมำคุระถึงเอโดะ.
เขา้ ถึงไดจ้ าก https://so05.tci-thaijo.org
เบญจมาศ ขนุ ประเสริฐ (๒๕๖๒) กำรศึกษำเปรียบเทยี บนรกตำมควำมเชื่อศำสนำฮนิ ดูกับพระพุทธศำสนำ.
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://ojs.mbu.ac.th
เบญจวรรณ ชยางกรู (๒๕๕๙) แนวทำงกำรอธิบำยเรื่องนรกและสวรรคใ์ นพทุ ธศำสนำสำหรบั คนรนุ่ ใหม.่
เข้าถงึ ไดจ้ าก https://so01.tci-thaijo.org
ประยทุ ธ์ ปยุตโต, (๒๕๔๗) สวรรค์นรกในไตรภูมพิ ระร่วง.
เขา้ ถึงได้จาก http://www2.tsu.ac.th
พงษ์ เจริญ, (๒๕๕๕). กำรศกึ ษำควำมเช่ือเร่ืองนรกและสวรรค์ของชำวตำบลสีแก้ว อำเภอเมือง จังหวัด
ร้อยเอด็ .
เขา้ ถึงไดจ้ าก http://202.28.109.103/ethesis/mcu-4-55113.pdf
พระพุทธศำสนำบนแผ่นดินจนี , (๒๕๖๕).
เขา้ ถึงได้จาก http://finance.hcu.ac.th
วันสำรทจนี 2565 แนะวธิ ีทำบุญและบอกสง่ิ ห้ำมทำในเดือนน้ี, (๒๕๖๕).
เข้าถงึ ได้จาก https://www.bangkokbiznews.com
ไพบลู ย์ พลบั บริชชิง, (๒๕๖๕). สวรรคค์ ืออะไร.
เข้าถึงได้จาก http://www.kamsonbkk.com
ภรมิ า วนิ ิธาสถิตยก์ ล และ พระมหาจิรฉันท์ จิรเมธี, (๒๕๕๘). คตชิ นวทิ ยำ: ควำมเชื่อกับสังคมไทย
Folklore: Beliefs in Thai Society.
เขา้ ถึงไดจ้ าก https://so03.tci-thaijo.org
มานติ มานติ เจริญ, (๒๕๑๔). ควำมเช่ือ.
เข้าถึงได้จาก http://www.digitalschool.club
๓๘
ลญั จกร นลิ กาญจ์, (๒๕๖๑). ควำมเชือ่ (Beliefs) พิธกี รรม (Rituals) คำถำอำคม (Magic) ภำษำ
(Language) และคติชำวบำ้ น (Folklore).
เขา้ ถึงได้จาก http://www.udru.ac.th
วชริ เมธี (๒๕๖๒) “นรก – สวรรค”์ มีจรงิ หรือ ไขข้อข้องใจโดย ทำ่ น ว.วชิรเมธ.ี
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://goodlifeupdate.com
วันสำรทจนี เปดิ 7 ขอ้ ห้ำมทำตำมควำมเชื่อในวันประตูนรกเปดิ , (๒๕๖๕).
เขา้ ถึงได้จาก https://www.thansettakij.com
วิโรจน์ คมุ้ ครอง, (๒๕๖๕). ควำมปรำรถนำของมนุษยร์ ะดับสวรรค์สมบัต.ิ
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://www.mcu.ac.th
ศรัณย์ ทองปาน, (๒๕๖๓). สัตวน์ รก – สุเมรุจกั รวำล.
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://www.sarakadee.com
ศสิวมิ ล เตม็ เจริญกิจ, (๒๕๖๑). ควำมเชอื่ เรอื่ งนรก – สวรรคท์ ม่ี ีผลต่ออตั รำกำรเกิดอำชญำกรรมในประเทศ
ไทย.
เขา้ ถึงไดจ้ าก https://so02.tci-thaijo.org
ศริ พิ จน์ เหลา่ มานะเจริญ (๒๕๖๐) ประวัตศิ ำสตร์ของ “นรก”
เข้าถึงได้จาก https://www.matichonweekly.com
สวรรคใ์ นควำมเชอ่ื ทำงศำสนำพุทธ, (๒๕๖๕).
เข้าถึงได้จาก https://wreathdigital.com
อารยา ธงรัตกมั พล, (๒๕๖๑). สวรรคแ์ บบพทุ ธท่เี ทวดำตกชน้ั ได้ จำก “ฉกำมำพจร” ในไตรภูมพิ ระรว่ ง
เข้าถงึ ไดจ้ าก https://www.silpa-mag.com
โอฬาร เพียรธรรม, (๒๕๕๙). สวรรค์ สวรรคำลัย อยู่ ณ ท่ีแห่งใด
เข้าถึงได้จาก https://www.komchadluek.net
ภาคผนวก