The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Napaporn Saewa, 2023-02-22 02:59:38

หนังสือ

หนังสือ

ชีทสรุป หลักภาษาไทย ติว o-net สรุปเนื้อหาสำ หรับ ติวโอเน็ต


ชนิดของคำ ๑.คำ นาม ๒.คำ สรรพนาม ๓.คำ กริยริา ๔.คำ วิเวิศษณ์ ๕.คำ บุพบท ๖.คำ สันธาน ๗.คำ อุทาน คำ ในภาษาไทยจำ แนกได้ ๗ ชนิด คือ คำ นาม คือ คำ ที่ใช้เรีย รี กชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ รวมทั้งสิ่งที่มีชีวิตวิและไม่มีชีวิตวิทั้งที่เป็นรูปธรรม และ นามธรรม เช่น เด็ก พ่อ แม่ นก ช้าง บ้าน โรงเรีย รี น ความดี ความรัก ฯลฯ


๑. สามมานยนาม คือ คำ นามที่ใช้เรีย รี กชื่อ ทั่วไปไม่ชี้เฉพาะเจาะจง คำ นามแบ่งเป็น ๕ ชนิด ดังนี้ ๒. วิสวิามานยนาม คือ นามที่เป็นชื่อ เฉพาะของคน สัตว์สิ่งของ สถานที่ ๓. ลักษณะนาม คือ คำ นามที่ใช้บอกลักษณะของ นามหรือ รื กริยริา เพื่อบอกขนาด รูปร่างสัณฐาน ปริมริาณ ๔. สมุหนาม คือ คำ นามที่บอกหมวดหมู่ของนามทั่วไป และนามเฉพาะ เพื่อบอกถึงลักษณะที่รวมกันเป็นหมู่ เป็นพวก ๕. อาการนาม คือ คำ นามที่บอกกิริยริาอาการ หรือ รื ความปรากฏเป็นต่าง ซึ่งมีคำ "การ" "ความ"นำ หน้า


คำ สรรพนาม คือ คำ ที่ใช้แทนคำ นามที่ผู้ พูดหรือ รื ผู้เขียนได้กล่าวแล้ว หรือ รื เป็นที่ เข้าใจกันระหว่างผู้ฟังและผู้พูด เพื่อไม่ต้อง กล่าวคำ นามซ้ำ คำ สรรพนามแบ่งเป็น ๖ ชนิด ดังนี้ ๑. บุรุษสรรพนาม คือ คำ สรรพนามที่ใช้ แทนในการพูดจา แบ่งเป็น ๓ พวก คือ - สรรพนามบุรุษที่ ๑ หมายถึง คำ สรรพนามที่ใช้ แทนตัวผู้พูด - สรรพนามบุรุษที่ ๒ หมายถึง คำ สรรพนามที่ใช้ แทนชื่อผู้ฟัง - สรรพนามบุรุษที่ ๓ หมายถึง คำ สรรพนามที่ใช้ แทนชื่อผู้ที่พูดถึง หรือ รื สิ่งที่กล่าวถึง ๒. ประพันธสรรพนาม คือ คำ สรรพนามที่ ใช้แทนคำ นามหรือ รื คำ สรรพนามที่อยู่ข้าง หน้า และประโยค ทำ หน้าที่เชื่อมประโยค ๒ ประโยคให้มีความสัมพันธ์กัน


๓. วิภวิาคสรรพนาม คือ คำ สรรพนามที่ใช้แทนคำ นามเพื่อแบ่งพวก หรือ รื รวมพวก ได้แก่ คำ บ้าง ต่าง กัน ๔. นิยมสรรพนาม คือ คำ สรรพนามที่ใช้แทนคำ นามที่แสดงความชี้เฉพาะเจาะจง ได้แก่ คำ นี่ นั่น โน่น ๕. อนิยมสรรพนาม คือ คำ สรรพนามที่ใช้แทนคำ นาม ที่บอกความไม่เจาะจง ได้แก่ คำ ใคร อะไร ไหน อย่างไร อะไร ๆ ผู้ใด ๆ ใด ๆ ซึ่งไม่ใช่คำ ถาม ๖. ปฤจฉาสรรพนาม คือ คำ สรรพนามที่ใช้แทนคำ นามที่มีความหมายเป็นคำ ถาม ได้แก่ คำ อะไร ใคร อย่างไร ทำ ไม ผู้ใด


คำ อุทาน คือคำ ที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ ความรู้สึกของผู้พูด ซึ่งอาจเปล่งออกมาในขณะ ที่ตกใจ ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ คำ อุทานส่วน มากไม่มีความหมายตรงตามถ้อยคำ แต่จะมี ความหมายเน้นความรู้สึก และอารมณ์ของผู้พูด เป็นสำ คัญ คำ อุทานแบ่งออกเป็น ๒ จำ พวก ดังนี้ ๑. อุทานบอกอาการ เช่น โอ๊ย อ้าว ว๊าย โอย โอ๊ย ตายจริงริคุณพระช่วย โอ้โฮ ฯลฯ ๒. อุทานเสริมริบท เช่น อาบน้ำ อาบท่า, ไปวัด ไปวา, ผ้าผ่อน, เสื้อแสง ฯลฯ


คำ อุทาน คือคำ ที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ ความรู้สึกของผู้พูด ซึ่งอาจเปล่งออกมาในขณะ ที่ตกใจ ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ คำ อุทานส่วน มากไม่มีความหมายตรงตามถ้อยคำ แต่จะมี ความหมายเน้นความรู้สึก และอารมณ์ของผู้พูด เป็นสำ คัญ คำ อุทานแบ่งออกเป็น ๒ จำ พวก ดังนี้ ๑. อุทานบอกอาการ เช่น โอ๊ย อ้าว ว๊าย โอย โอ๊ย ตายจริงริคุณพระช่วย โอ้โฮ ฯลฯ ๒. อุทานเสริมริบท เช่น อาบน้ำ อาบท่า, ไปวัด ไปวา, ผ้าผ่อน, เสื้อแสง ฯลฯ


คำ วิเวิศษณ์ คือ คำ ที่ใช้ขยายคำ นาม คำ สรรพนาม คำ กริยริา และคำ วิเวิศษณ์ เพื่อให้ได้ ความชัดเจนยิ่งขึ้น คำ วิเ วิ ศษณ์แบ่งเป็น ๑๐ ชนิด ดังนี้ ๑. ลักษณวิเวิศษณ์ คือ คำ วิเวิศษณ์บอกลักษณะ ชนิด สี ขนาด สัณฐาน รส กลิ่น เสียง ความรู้สึก ได้แก่ คำ ใหญ่ เล็ก เร็ว ช้า หอม เหม็น เปรี้ย รี้ ว หวาน ดี ชั่ว ร้อน เย็น ฯลฯ ๒. กาลวิเวิศษณ์ คือ คำ วิเวิศษณ์ที่บอกเวลาในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เช้า สาย บ่าย เย็น ๓. สถานวิเวิศษณ์ คือ คำ วิเวิศษณ์ที่บอกสถานที่ ระยะทาง ได้แก่ คำ ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ ซ้าย ขวา หน้า หลัง ฯลฯ ๔. ประมาณวิเวิศษณ์ คือ คำ วิเวิศษณ์ที่บอกจำ นวนหรือ รื ปริมริาณ ได้แก่คำ มาก น้อย หนึ่ง สอง หลาย ทั้งหมด ฯลฯ ๕. นิยมวิเวิศษณ์ คือ คำ วิเวิศษณ์ที่บอก ความชี้เฉพาะ ชอกกำ หนดแน่นอน ได้แก่ คำ นี่ นั่น โน่น นั้น โน้น เหล่านี้ เฉพาะ แน่นอน จริงริฯลฯ


๖. อนิยมสรรพนาม คือ คำ วิเวิศษณ์ที่แสดงความไม่ชี้ เฉพาะ ไม่แน่นอน ได้แก่ คำ อะไร ทำ ไม อย่างไร ไย เช่นไร ฉันใด กี่ ฯลฯ ๗. ปฤจฉาวิเวิศษณ์ คือ คำ วิเวิศษณ์ที่บอกเนื้อความเป็น คำ ถามหรือ รื ความสงสัย ได้แก่ คำ อะไร ไหน ทำ ไม อย่างไร ฯลฯ ๘. ประติชญาวิเวิศษณ์ คือ คำ วิเวิศษณ์ที่ใช้ในการเรีย รี กขาน และโต้ตอบกัน ได้แก่ คำ คะ ขา ครับ ขอรับ จ๋า จ๊ะ พระพุทธเจ้าข้า ฯลฯ ๙. ประติเษธวิเวิศษณ์ คือ คำ วิเวิศษณ์ที่บอกความปฏิเสธ ได้แก่ คำ ไม่ ไม่ใช่ ไม่ได้ หามิได้ บ่ ฯลฯ ๑๐. ประพันธวิเวิศษ คือ คำ วิเวิศษณ์ที่ประกอบคำ กริยริาหรือ รื คำ วิเวิศษณ์ เพื่อทำ หน้าที่เชื่อมประโยค ให้มีความ เกี่ยวข้องกัน ได้แก่ คำ ที่ ซึ่ง อัน อย่างที่ ชนิดที่ ที่ว่า ว่า เพราะเหตุว่า ฯลฯ


คำ บุพบท คือ คำ ที่ทำ หน้าที่เชื่อมโยงคำ หนึ่งหรือ รื กลุ่ม คำ หนึ่งให้สัมพันธ์กับคำ อื่น หรือ รื กลุ่มคำ อื่น เพื่อแสดง ความหมายต่าง ๆ เช่น ความเป็นเจ้าของ ลักษณะ เหตุผล เวลา สถานที่ ประมาณ ความต้องการ เปรีย รี บเทียบ ฯลฯ ได้แก่ คำ ใน แก่ แต่ ต่อ สำ หรับ โดย ด้วย ของ แห่ง ใกล้ ไกล ฯลฯ คำ บุพบทแบ่งเป็น ๒ พวก คือ ๑. คำ บุพบทที่เชื่อมโยงกับบทอื่น ๑.๑ บุพบทนำ หน้ากรรม ได้แก่ คำ แก่ ซึ่ง ๑.๒ บุพบทนำ หน้าคำ ที่เป็นเจ้าของ ได้แก่ คำ แห่ง ของ ๑.๓ บุพบทนำ หน้าคำ บอกลักษณะ ได้แก่ คำ ด้วย กับ แก่ ต่อ ๑.๔ บุพบทนำ หน้าคำ บอกเวลา ได้แก่ คำ เมื่อ ตั้งตั้แต่ กระทั่งทั่จน ๑.๕ บุพบทนำ หน้าคำ บอกสถานที่ ได้แก่ คำ ที่ ใน เหนือ ใกล้ จาก แต่ ๑.๖ บุพบทนำ หน้าคำ บอกประมาณ ได้แก่ คำ ตลอด เกือบ ทั้ง ราว ๒. คำ บุพบทที่ไม่เชื่อมโยงกับบทอื่น ส่วนมากจะอยู่ต้นประโยค ใช้ เป็นการทักทาย มักใช้ในคำ ประพันธ์


คำ สันธาน คือ คำ ที่ทำ หน้าที่เชื่อมคำ กับคำ ประโยคกับ ประโยคข้อความกับข้อความ หรือ รื ความให้สละสลวย ได้แก่ คำ และ หรือ รื แต่ เพราะ ฯลฯ คำ สันธานมี ๔ ชนิด คือ ๑. คำ สันธานเชื่อมใจความที่คล้อยตามกัน ได้แก่ คำ กับ, และ, ทั้ง...และ, ทั้ง...ก็, ครั้น...ก็, ครั้น...จึง, พอ...ก็ ๒. คำ สันธานเชื่อมใจความที่ขัดแย้งกัน ได้แก่ คำ แต่, แต่ทว่า, ถึง...ก็, กว่า...ก็ ๓. คำ สันธานเชื่อมใจความที่ให้เลือกเอาอย่างใดอย่าง หนึ่ง ได้แก่ คำ หรือ รื, หรือ รืไม่ก็, มิฉะนั้น, ไม่เช่นนั้น, ไม่...ก็ ๔. คำ สันธานเชื่อมใจความที่เป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่ จึง, เพราะ, เพราะว่า, เพราะ.....จึง, ฉะนั้น...จึง ข้อสังเกต ๑. คำ สันธานบางคำ ใช้เข้าคู่กัน เช่น เพราะ......จึง, กว่า......ก็ ฯลฯ ๒. คำ สันธานอาจอยู่ในตำ แหน่งต่าง ๆ ของ ประโยค ๓. ประโยคที่มีคำ สันธานเชื่อมจะแยกได้เป็น ประโยคย่อยตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไป


ความหมายโดยตรง ความหมายโดยนัย คำ คือ เสียงที่เปล่งออกมาแล้วมีความหมาย คำ ทุกคำ มี ล้วนความหมายทั้งสิ้น ซึ่งอาจจะมีความหมายนัยตรง (โดยตรง) หรือ รื มีความหมายโดยนัย (เชิงเปรีย รี บเทียบหรือ รื นัยประหวัด) ก็ได้ ความหมายนัยตรง คือ ความหมายที่ใช้อย่างตรงตัว ตัวอย่างเช่น ดาว มีความหมายโดยตรงว่า สิ่งที่เห็นเป็น ดวงมีแสงระยิบระยับในท้องฟ้าเวลามืด นอกจากดวง จันทร์และดวงอาทิตย์ ความหมายโดยนัย หรือ รื เรีย รี กอีกอย่างหนึ่งว่า นัย ประหวัด คือ ความหมายของคำ ที่ไม่ตรงตัว แต่ เป็นการแฝงความหมายไว้ภายใต้ตัวอักษร ต้องอาศัย การตีความจากผู้รับสารจึงจะเข้าใจความหมายนั้น กล้วย” สำ หรับความหมายตรงตัว คือ ผลไม้ชนิดหนึ่ง ผลเดียวรูป ร่างกลมยาวและโค้งงอ มีหลายผลอยู่ติดกันเรียรีกว่าว่หวี หลายหวีอวียู่ ในเครือรืเดียวกัน เมื่อสุกงอมมีผิวเปลือกสีเหลือง เนื้อนิ่ม แต่คำ ว่าว่ “กล้วย” อาจถูกใช้สื่อความหมายโดยนัย ซึ่งความหมายแฝง หมาย ถึง เรื่อรื่งที่ง่ายดาย เช่น “งานนี้เป็นของกล้วยๆ” หมายถึง งานนี้ง่ายมาก “ให้แก้โจทย์ข้อนี้ ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก” แก้โจทย์ได้ง่าย มาก เหมือนการปอกกล้วย


ข้อเท็จจริง ริ ข้อคิดเห็น “ข้อเท็จจริงริ” หมายถึง ข้อความแห่งเหตุการณ์ที่เป็นมา หรือ รื เป็นอยู่ตามจริงริข้อความหรือ รื เหตุการณ์ที่จะต้อง วินิวินิจฉัยว่าเท็จหรือ รื จริงริ “ข้อคิดเห็น” หมายถึง ความเห็น ความรู้สึกนึกคิดของ ผู้ส่งสารที่สอดแทรกอยู่ในเนื้อหา ลักษณะของข้อเท็จจริงริ ๑. มีความเป็นไปได้ ๒. มีความสมจริงริ ๓. มีหลักฐานเชื่อถือได้ ๔. มีความสมเหตุสมผล ลักษณะของข้อคิดเห็น ๑. เป็นข้อความที่แสดงความรู้สึก ๒. เป็นข้อความที่แสดงการคาดคะเน ๓. เป็นข้อความที่แสดงการเปรีย รี บเทียบหรือ รื อุปมาอุปไมย ๔. เป็นข้อความที่เป็นเป็นข้อเสนอแนะหรือ รื เป็น ความคิดของผู้พูดและผู้เขียนเอง


หลักการอ่านจับใจ ความสำ คัญ ความหมายของการอ่านจับใจความสำ คัญ คือ การอ่านเพื่อจับใจความหรือ รื ข้อคิด ความคิด สำ คัญหลักของข้อความ หรือ รื เรื่อ รื่ งที่อ่าน เป็น ข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ ทั้งหมด ใจความสำ คัญ หมายถึง ใจความที่สำ คัญ และเด่นที่สุดใน ย่อหน้า เป็นแก่นของย่อหน้าที่สามารถ ครอบคลุมเนื้อความในประโยคอื่นๆ ใน ย่อหน้านั้นหรือ รืประโยคที่สามารถเป็นหัวเรื่อ รื่ ง ของย่อหน้านั้นได้ ถ้าตัดเนื้อความของ ประโยคอื่นออกหมด หรือ รื สามารถเป็นใจ ความหรือ รืประโยคเดี่ยวๆ ได้ โดยไม่ต้องมี ประโยคอื่นประกอบ ซึ่งในแต่ละย่อหน้าจะมี ประโยคในความสำ คัญเพียงประโยคเดียว หรือ รื อย่างมากไม่เกิน 2 ประโยค


หมายถึง ใจความ หรือ รืประโยคที่ขยายความ ประโยคใจความสำ คัญ เป็นใจความสนับสนุน ใจความสำ คัญให้ชัดเจนขึ้น อาจเป็นการ อธิบายให้รายละเอียด ให้คำ จำ กัดความ ยก ตัวอย่าง เปรีย รี บเทียบ หรือ รื แสดงเหตุผลอย่าง ถี่ถ้วน เพื่อสนับสนุนความคิด ส่วนที่มิใช่ ใจความสำ คัญ และมิใช่ใจความรอง แต่ช่วย ขยายความให้มากขึ้น คือ รายละเอียด ใจความรอง หรือ รื พลความ(พน-ละ-ความ) หลักการจับใจความสำ คัญ ๑. ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจน ๒. อ่านเรื่อ รื่ งราวอย่างคร่าวๆ พอเข้าใจ และเก็บ ใจความสำ คัญของแต่ละย่อหน้า ๓. เมื่ออ่านจบให้ตั้งคำ ถามตนเองว่า เรื่อ รื่ งที่อ่าน มีใคร ทำ อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ๔. นำ สิ่งที่สรุปได้มาเรีย รี บเรีย รี งใจความสำ คัญใหม่ ด้วยสำ นวนของตนเองเพื่อให้เกิดความสละสลวย


วิธีวิธี การจับใจความมีหลายอย่าง ขึ้น อยู่กับความชอบว่าอย่างไร เช่น การขีดเส้นใต้ การใช้สีต่างๆ กัน แสดงความสำ คัญมากน้อย ของข้อความ การบันทึกย่อเป็นส่วนหนึ่งของ การอ่านจับใจความสำ คัญที่ดี แต่ผู้ที่ย่อควรย่อ ด้วยสำ นวนภาษาและสำ นวนของตนเองไม่ควร ย่อด้วยการตัดเอาข้อความสำ คัญมาเรีย รี งต่อกัน เพราะอาจทำ ให้ผู้อ่านพลาดสาระสำ คัญบาง ตอนไปอันเป็นเหตุให้การตีความผิดพลาดคลาด เคลื่อนได้ วิธีวิธี จับใจความสำ คัญมีหลักดังนี้ ๑. พิจารณาทีละย่อหน้า หาประโยค ใจความสำ คัญของแต่ละย่อหน้า ๒. ตัดส่วนที่เป็นรายละเอียดออกได้ เช่น ตัวอย่าง สำ นวนโวหาร อุปมาอุปไมย(การ เปรีย รี บเทียบ) ตัวเลข สถิติ ตลอดจนคำ ถาม หรือ รื คำ พูดของผู้เขียนซึ่งเป็นส่วนขยายใจความ สำ คัญ ๓. สรุปใจความสำ คัญด้วยสำ นวน ภาษาของตนเอง วิธี วิธี จับใจความสำ คัญ


การพิจารณาตำ แหน่งใจความสำ คัญ ใจความสำ คัญของข้อความในแต่ละย่อหน้าจะ ปรากฏดังนี้ ๑. ประโยคใจความสำ คัญอยู่ตอนต้น ของย่อหน้า ๒. ประโยคใจความสำ คัญอยู่ตอนกลาง ของย่อหน้า ๓. ประโยคใจความสำ คัญอยู่ตอนท้าย ของย่อหน้า ๔. ประโยคใจความสำ คัญอยู่ตอนต้นและ ตอนท้ายของย่อหน้า ๕. ผู้อ่านสรุปขึ้นเอง จากการอ่านทั้ง ย่อหน้า(ในกรณีใจความสำ คัญหรือ รื ความคิด สำ คัญอาจอยู่รวมในความคิดย่อย ๆ โดยไม่มี ความคิดที่เป็นประโยคหลัก)


โวหารการเขียน โวหาร คือ ท่วงทำ นองในการเขียน เพื่อให้ผู้อ่าน เข้าใจหรือ รื เกิดความรู้สึกตรงตามที่ผู้เขียน ต้องการ โวหารการเขียนแบ่งตามประเภทได้ดังนี้ 1) บรรยายโวหาร คือ การเขียนเล่าเรื่อ รื่ งราว หรือ รื เหตุการณ์อย่างต่อเนื่องสัมพันธ์กัน เพื่อให้ ทราบเรื่อ รื่ งราวโดยรวมที่เกิดขึ้น เช่นให้รู้ว่าว่ ใคร ทำ อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เป็นต้น 2) อธิบายโวหาร คือ การเขียนไขความหรือ รื ขยายความ เพื่อให้เข้าใจประเด็นใดประเด็นหนึ่ง อย่างแจ้งชัด 3) พรรณนาโวหาร คือ การเขียนที่มุ่งให้ราย ละเอียดภาพอย่างละเอียด เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพ และรู้สึกคล้อยตามได้ หรือ รื เกิด "จินตภาพ" ใช้ คำ ประณีต สละสลวย ละเอียดลออ


4) สาธกโวหาร คือ การเขียนที่มีการยก ตัวอย่างเหตุการณ์ เรื่อ รื่ งราวหรือ รื สิ่งต่าง ๆ เช่น นิทาน ตำ นาน ประสบการณ์ ขึ้นมาเปรีย รี บ เทียบ เพื่อสนับสนุนข้อเท็จจริงริหรือ รื เหตุผลต่าง ๆ ให้มีความน่าเชื่อถือและหนักแน่นมากยิ่งขึ้น 5) เทศนาโวหาร คือ การเขียนที่มุ่งเน้นไปที่ การสั่งสอน โน้มน้าวใจให้ผู้อ่านอยากปฏิบัติ ตาม โดยยกตัวอย่างหลักฐาน ข้อมูล ข้อเท็จ จริงริสุภาษิต คติธรรม และสัจธรรมต่าง ๆ มา แสดง มักแทรกอยู่ในโวหารชนิดอื่น ๆ 6) อุปมาโวหาร คือ การเขียนเพื่อเปรีย รี บเทียบ สิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่ง มัก ปรากฏคำ ว่าเหมือน ดุจ ดัง ดั่ง เฉกเช่น คล้าย เท่า ประหนึ่ง ราวกับ แม้น เทียบ ปาน คือ หรือ รื คำ อื่น ๆ มักใช้เสริมริกับโวหารชนิดอื่น ๆ


คำ ทับศัพท์ คือ การถอดอักษร หรือ รื แปลงข้อความจากระบบการ เขียนหรือ รื ภาษาหนึ่งไปสู่อีกระบบหนึ่งอย่างมีหลักการ เพื่อให้สามารถเขียนคำ ในภาษาต่างประเทศด้วย ภาษาและอักษรในภาษานั้น ๆ ได้สะดวก เช่น การทับ ศัพท์ภาษาอังกฤษซึ่งเขียนด้วยอักษรโรมัน มาเป็น อักษรไทยเพื่อใช้ในภาษาไทย หรือ รื การทับศัพท์ภาษา ไทย ไปเป็นอักษรโรมันเพื่อใช้ในภาษาอังกฤษ เป็นต้น ส่วนมากใช้กับวิสวิามานยนาม อาทิ ชื่อบุคคล สถานที่ หรือ รื ชื่อเฉพาะที่ไม่สามารถแปลความหมาย เป็นภาษาอื่นได้โดยสะดวก


คําทับศัพท์ที่ใ ที่ ช้บ่อย Album / อัลบั้ม Alcohol / แอลกอฮอล์ Bacteria / แบคทีเรีย รี Ball / บอล Cake / เค้ก Capsule / แคปซูล Design / ดีไซน์ Digital / ดิจิทัล Electronics / อิเล็กทรอนิกส์ Farm / ฟาร์ม Fax / แฟกซ์ Focus / โฟกัส Game / เกม Gear / เกียร์ Heroin/ เฮโรอีน Highlight/ ไฮไลต์ Ice Cream / ไอศกรีม รี Internet / อินเทอร์เน็ต


เสนอ คุณครูปัทมาภรณ์ พรดวงคำ จัดทำ โดย นางสาวลักษิกา ขจิตเพชรจรัส เลขที่ ๑๔ นางสาวศิริพร แซ่หลอ เลขที่ ๒๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๒


Click to View FlipBook Version