The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานวิจัยในชั้นเรียน2 .65.docx

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by กศน.ตำบล บ้านด่าน, 2023-04-14 05:05:59

งานวิจัยในชั้นเรียน2 .65.docx

งานวิจัยในชั้นเรียน2 .65.docx

งานวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการอ่าน ของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น นางสาววิจิตรา โตมั่น ตำแหน่ง ครูกศน.ตำบล กศน.ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565


ประกาศคุณูปการ งานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ลุล่วงได้ดี ได้รับความร่วมมือจากเพื่อน ๆ ได้รับ ความอนุเคราะห์ จากทุกทานที่เกี่ยวข้องได้กรุณาให้คำปรึกษา และแนะนำ ผู้วิจัยรู้สึกทราบซึ้งใน ความกรุณาและขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย ขอขอบคุณท่าน ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอบ้านด่านลานหอย ที่ได้ให้โอกาสและสนับสนุน ให้งานวิจัยในชั้นเรียน สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี และขอบคุณทุกท่านที่ช่วยให้งานวิจัยฉบับนี้สมบูรณ์ ด้วยดี นางสาววิจิตรา โตมั่น ผู้วิจัย ชื่องานวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านของนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ชื่อผู้วิจัย นางสาววิจิตรา โตมั่น สาระการเรียนรู้สาระวิชาทักษะการเรียนรู้


บทคัดย่อ ความมุ่งหมายของการวิจัยครั้งนี้ เพื่อการพัฒนาทักษะการอ่าน นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นกศน.ตำบลบ้านด่าน เพื่อพัฒนาการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทยได้ถูกต้อง เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อหาแนวทางแก้ไขการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ภาษาไทยของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นให้ ถูกต้อง


บทที่ 1 บทนา ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การอ่านเป็นทักษะทางภาษาที่มีความสำคัญเป็นพื้นฐานของการศึกษาในทุกแขนงสาขา และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการดำเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน เพราะในขณะนี้วิทยาการและเทคโนโลยี ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงและก้าวหน้ามากขึ้น ดังนั้นเราจึงจาเป็นที่จะต้องมีทักษะการอ่านเพื่อการสื่อสารที่ดีและ มีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ต้องอ่านได้คล่อง ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เพื่อการเสาะแสวงหาความรู้อย่าง หลากหลาย สามารถเข้าใจและติดตามการเปลี่ยนแปลง และความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการความรู้ รวมทั้ง ข้อมูลข่าวสารได้ทันทีเนื่องจากการอ่านเป็นพื้นฐานที่สำคัญต่อการเรียนรู้ เมื่ออ่านมากก็ยิ่งทำให้ได้รับความรู้ มาก ทักษะการอ่านเป็นกระบวนการที่ต้องให้ความสำคัญฝึกฝนกันอยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่การศึกษาคำศัพท์ กลุ่มคำ ประโยคตลอดจนถึงข้อความ ครูผู้สอนได้เห็นความสำคัญของการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ซึ่งจะ เป็นพื้นฐานอันสำคัญ จึงได้ทำการศึกษาเรื่องการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย เพื่อที่จะหาสาเหตุของปัญหา และอุปสรรคในการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทยของนักศึกษา และนำไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาทักษะการ อ่านออกเสียงคำในภาษาไทยให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ในวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (พท21001) ครูผู้สอนได้คำนึงถึง ความสามารถของการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทยของนักศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์กับตัวนักศึกษาและเพื่อ เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนทุก ๆ รายวิชา ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้จัดการเรียนการสอนในระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย ผู้วิจัยพบว่านักศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น บางส่วนนั้นประสบปัญหาด้านการอ่านออกเสียงคำ ในภาษาไทย ผู้วิจัยทำการปรับปรุงแก้ไขเพื่อพัฒนาพัฒนาทักษะในการอ่านออกเสียงคำ ในภาษาไทยของนักศึกษาให้มากขึ้น โดยเพิ่มเติมนอกเวลาเรียน ใช้เวลาว่างของนักศึกษา ให้เกิดประโยชน์ สำหรับนักศึกษาบางคนที่อ่านออกเสียงไม่ชัดเจนและแบ่งวรรคตอนไม่ถูกต้องให้ดีขึ้น วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทยได้ถูกต้อง 2. เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 3. เพื่อหาแนวทางแก้ไขการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ภาษาไทยของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นให้ ถูกต้อง ประโยชน์ของการวิจัย พัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ของนักศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 5 คน ให้มีทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ได้ดีมากยิ่งขึ้น สมมติฐานในการวิจัย นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ได้มีประสิทธิภาพ เพิ่มขึ้น หลังจากใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ตัวแปรที่ศึกษา 1. ตัวแปรต้น คือ แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย 2. ตัวแปรตาม คือ ทักษะพัฒนาการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย


แนวทางในการดำเนินการวิจัย 1. ศึกษาปัญหาและกำหนดปัญหา 2. ตั้งสมมติฐานและหาวิธีการแก้ปัญหา 3. รวบรวมข้อมูลและสร้างเครื่องมือในการวิจัย 4. เก็บข้อมูล วิเคราะห์และแปลความหมาย 5. สรุป และเขียนรายงานการวิจัย ผลที่คาดว่าจะได้รับ นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวน 5 คน มีการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง คำในภาษาไทย ได้ดีขึ้น หลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย นิยามศัพท์เฉพาะ 1. พัฒนา หมายถึง ทำให้เจริญขึ้น, ทำให้ดีขึ้น 2. ทักษะ หมายถึง ความสามารถ, ความถนัด, ความชำนาญ, ฝีไม้ลายมือ,ความสามารถเฉพาะ 3. แบบฝึก , แบบฝึกทักษะ หมายถึง แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย มีทั้งหมด 3 ชุดแบบฝึก


บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาค้นคว้าเพื่อปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทยนี้ ผู้วิจัยได้ ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและได้นำเสนอตามหัวข้อต่อไปนี้ ความหมายของการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย 1. การอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย บทร้อยแก้ว 2. การอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย บทร้อยกรอง หลักเกณฑ์ในการอ่าน 1. หลักเกณฑ์ในการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ทั่วไป 2. หลักเกณฑ์ในการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ร้อยแก้ว 3. หลักเกณฑ์ในการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ร้อยกรอง จุดมุ่งหมายในการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย มารยาทในการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ความหมายของการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) ได้กล่าวว่า การอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ที่แสดงถึงความสามารถของผู้อ่านในการออกเสียงได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และถ่ายทอดอารมณ์ได้สอดคล้องกับเนื้อหาในบทอ่าน การอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย อาจแบ่งตามลักษณะ คำประพันธ์ที่นำมาอ่านได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1. ร้อยแก้ว หมายถึง ข้อความที่เรียบเรียงอย่างสละสลวย ถูกต้องตามหลักภาษา แต่ไม่กาหนดข้อบังคับคำตามฉันทลักษณ์ 2. ร้อยกรอง หมายถึง ถ้อยคำที่มีลักษณะบังคับในการแต่ง ซึ่งทำให้เกิดความไพเราะ จากเสียงสัมผัส จังหวะ และเสียงหนักเบาตามฉันทลักษณ์ที่กำหนด เช่น กลอน กาพย์ โคลง ร่าย ฉันท์ เป็นต้น การอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ร้อยแก้วและร้อยกรองมีแนวทางการอ่านที่แตกต่างกัน ตามลักษณะของคำประพันธ์ เราจึงควรศึกษาและฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ หลักเกณฑ์ในการอ่านออกเสียงคาในภาษาไทย 1. หลักเกณฑ์การอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ทั่วไป 1.1 อ่านออกเสียงให้ถูกต้องและชัดเจน 1.2 อ่านให้ดังพอที่ผู้ฟังได้ยินทั่วถึง 1.3 อ่านให้เป็นเสียงพูดโดยธรรมชาติ 1.4 รู้จักทอดจังหวะและหยุดหายใจเมื่อจบข้อความตอนหนึ่ง ๆ 1.5 อ่านให้เข้าลักษณะของเรื่อง เช่น บทสนทนา ต้องอ่านให้เหมือนการสนทนากัน อ่านคาบรรยาย พรรณนาความรู้สึก หรือปาฐกถาก็อ่านให้เข้ากับลักษณะของเรื่องนั้น ๆ 1.6. อ่านออกเสียงและจังหวะให้เป็นไปตามเนื้อเรื่อง เช่น ดุหรือโกรธ ก็ทำเสียงแข็ง หรือเร็ว ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคร่าครวญ อ้อนวอน ต้องอ่านให้ถูกต้อง 1.7. ถ้าเป็นเรื่องร้อยกรองต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ด้วย 1.7.1 สัมผัสครุ ลหุ ต้องอ่านให้ถูกต้อง


1.7.2 เน้นคำรับสัมผัสและอ่านเอื้อสัมผัสใน เพื่อเพิ่มความไพเราะ 1.7.3 อ่านให้ถูกต้องตามจังหวะและทำนองนิยม ตามลักษณะของร้อยกรอง 2. หลักเกณฑ์การอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ร้อยแก้ว ดังนี้ 2.1 ก่อนอ่านควรศึกษาเรื่องที่อ่านให้เข้าใจ โดยศึกษาสาระสำคัญของเรื่องและข้อความ ทุกข้อความ เพื่อที่จะแบ่งวรรคตอน ในการอ่านได้อย่างเหมาะสม 2.2 อ่านออกเสียงดังพอเหมาะกับสถานที่และจำนวนผู้ฟัง ให้ผู้ฟังได้ยินทั่วกัน ไม่ดัง หรือค่อยจนเกินไป 2.3 อ่านให้คล่อง ฟังรื่นหูและออกเสียงให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ชัดถ้อยชัดคำ โดยเฉพาะตัว ร ล หรือคาควบกล้า ต้องดังให้ชัดเจน 2.4 อ่านออกเสียงให้เป็นเสียงพูดอย่างธรรมชาติที่สุด 2.5 เน้นเสียงและถ้อยคำตามน้าหนักความสำคัญของใจความ ใช้เสียงและจังหวะ ให้เป็นไปตามเนื้อเรื่อง เช่น ดุ อ้อนวอน จริงจัง โกรธ เป็นต้น 2.6 อ่านออกเสียงให้เหมาะกับประเภทของเรื่อง รู้จักใส่อารมณ์ให้เหมาะสม ตามเนื้อเรื่อง 2.7 ขณะที่อ่าน ควรสบสายตาผู้ฟังในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ 2.8 การอ่านในที่ประชุม ต้องจับหรือถือบทอ่านให้เหมาะสมและยืนทรงตัวในท่าที่สง่า 3. หลักเกณฑ์การอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ร้อยกรอง ดังนี้ 3.1 ศึกษาลักษณะบังคับของคำประพันธ์แต่ละชนิด ที่จะอ่านให้เข้าใจแจ่มแจ้ง เช่น การแบ่งจังหวะ จำนวนคำ สัมผัส เสียงวรรณยุกต์ เสียงหนักเบา เป็นต้น 3.2 อ่านให้ถูกต้องตามลักษณะบังคับของคำประพันธ์ชนิดนั้น ๆ 3.3 อ่านออกเสียงคำให้ชัดเจน ถูกต้อง โดยเฉพาะคำที่ออกเสียง ร ล และคำควบกล้า 3.4 อ่านออกเสียงดังพอสมควรที่ผู้ฟังจะได้ยินทั่วถึง ไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป 3.5 อ่านมีจังหวะ วรรคตอน รู้จักทอดจังหวะ เอื้อนเสียง หรือหลบเสียง 3.6 คำที่รับสัมผัสกัน ต้องอ่านเน้นเสียงให้ชัด 3.7 อ่านเอื้อสัมผัสในเพื่อเพิ่มความไพเราะ 3.8 คำที่มีพยางค์เกินให้อ่านเร็วและเบา เพื่อเสียงไปตกอยู่พยางค์ที่ต้องการ 3.9. มีศิลปะในการใช้เสียง รู้จักเอื้อนเสียงให้เกิดความไพเราะ และใช้เสียงแสดงความรู้สึกให้เหมาะ กับข้อความ เพื่อรักษาบรรยากาศของเรื่องที่อ่าน 3.10. เมื่ออ่านถึงตอนจะจบบทต้องเอื้อนเสียงให้ทอดจังหวะใช้ช้าลง จนกระทั่งจบ จุดมุ่งหมายในการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย 1.. เพื่อให้อ่านออกเสียงได้ถูกต้องตามอักขรวิธี 2. เพื่อให้รู้จักใช้น้าเสียงบอกอารมณ์และความรู้สึกให้สอดคล้องกับเนื้อหาของเรื่องที่อ่าน 3. เพื่อให้เข้าใจเรื่องที่อ่านได้ถูกต้อง 4. เพื่อให้ผู้อ่านและผู้ฟังเกิดความเพลิดเพลิน 5. เพื่อให้ผู้อ่านและผู้ฟังเกิดความเพลิดเพลิน 6. เพื่อเป็นการรับสารและส่งสารวิธีหนึ่ง


มารยาทในการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย 1. การใช้น้าเสียง คือควรพิจารณาใช้น้าเสียงให้สอดคล้อง เหมาะสมกับเนื้อหา ไม่ควรดัดเสียงจนฟัง ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจทาความเข้าใจเนื้อหาไม่ตรงกับเจตนาของผู้อ่านรวมถึงการดัดเสียง จนเกินงาม ก็อาจสร้างความรำคาญแก่ผู้ฟังได้ 2. มีบุคลิกภาพที่ดี คือการจัดระเบียบท่ายืน หรือท่านั่งให้เหมาะสมไม่หลุกหลิก และไม่ควร ยกร่างข้อความขึ้นมาให้ผู้ฟังเห็น หรือก้มหน้าก้มตาอ่านจนไม่สนใจผู้ฟัง 3. ควรสังเกตปฏิกิริยาของผู้ฟัง คือสังเกตดูว่าผู้ฟังสามารถทำความเข้าใจเรื่องราวตามผู้อ่าน ทันหรือไม่ รวมถึงสังเกตว่าผู้ฟังให้ความสนใจมากน้อยเพียงไร แล้วจึงปรับเพิ่ม – ลดความเร็ว ในการอ่าน ลีลาน้าเสียง เป็นต้น เพื่อดึงให้ผู้ฟังกลับมามีส่วนร่วมกับผู้อ่าน 4. ไม่ควรแสดงอารมณ์โมโห หงุดหงิด ฉุนเฉียว หรือใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ ว่ากล่าวตักเตือน เมื่อเห็นว่าผู้ฟังไม่สนใจ หรือพูดคุยเสียงดัง หากแต่ควรรู้จักระงับอารมณ์ และอาจถามผู้ฟัง เพื่อปรับปรุง


บทที่ 3 การดำเนินวิจัย กลุ่มเป้าหมาย นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 5 คน วิธีดำเนินการ 1. ให้นักศึกษาฝึกอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว ในเวลาเรียน แล้วเลือกนักเรียนที่มีปัญหามาพัฒนาทักษะ การอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย นอกเวลาเรียน 2. วางแผนการทำแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ร้อยแก้ว จานวน 3 ชุด และระยะเวลาในการปฏิบัติ วัตถุประสงค์ 1. จัดทำแบบฝึกการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ร้อยแก้ว จำนวน 3 ชุด 2. จัดเก็บข้อมูล 3. นำผลที่ได้มาบันทึก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ร้อยแก้ว วิธีการรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลตามลำดับดังนี้ 1. ผู้วิจัยดำเนินการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคาในภาษาไทย ร้อยแก้วให้กับกลุ่มตัวอย่าง เป็นเวลา 3 วัน ดังนี้ 1.1 วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์2566 นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อ่านแบบทดสอบ การอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ก่อนการฝึก 1.2 วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์2566 นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นอ่านแบบฝึกทักษะการอ่าน ออกเสียงคำในภาษาไทย ชุดที่ 1 1.3 วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์2566 นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นอ่านแบบฝึกทักษะการอ่าน ออกเสียงคำในภาษาไทย ชุดที่ 2 1.4 วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2566 นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อ่านแบบฝึกทักษะการอ่านออก เสียงคำในภาษาไทย ชุดที่ 3 1.5 วันอังคารที่ 14 มีนาคม 2566 นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นอ่านแบบทดสอบ การอ่านออก เสียงคำในภาษาไทย หลังการฝึก 2. ผู้วิจัยเก็บข้อมูลด้วยตนเอง โดยใช้แบบประเมินการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย เป็นรายบุคคล การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์คะแนนจากการทำแบบฝึกหัดการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ร้อยแก้วที่นักเรียนสามารถทำได้ในแต่ละครั้งนั้น กระทำการวิเคราะห์โดยนำมาหาค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละ


สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล หาค่าร้อยละโดยใช้สูตร ค่าร้อยละ = x 100 N โดยที่ x แทน คะแนนที่ได้N แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง ค่าเฉลี่ยโดยใช้สูตร x N x โดยที่ x แทน ค่าเฉลี่ย x แทน ผลรวมคะแนนผู้เรียนกลุ่มตัวอย่าง N แทน จำนวนผู้เรียนกลุ่มตัวอย่าง


บทที่ 4 ผลการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิจัย 1. การหาค่าเฉลี่ย 2. การหาค่าร้อยละ การวิเคราะห์ข้อมูล จากการศึกษาวิจัยนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ได้ศึกษากลุ่มวันอังคารที่ 7 มีนาคม 2566 นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวน 5 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ผู้วิจัยได้ทำการพัฒนาทักษะ การอ่านออกเสียงคำในภาษาไทยของนักเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการออกเสียงคำในภาษาไทย จานวน 3 ชุด จากการบันทึกผลสามารถวิเคราะห์ผลเป็นตาราง ได้ดังนี้ ผลการทำแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ที่ ชื่อ-สกุล คะแนน ก่อน ฝึก แบบฝึกหัด 1 แบบฝึกหัด 2 แบบฝึกหัด 3 คะแนน หลังฝึก ความคล่องแคล้ว(5) ความถูกต้องชัดเจน(5) คะแนนรวม(10) ความคล่องแคล้ว(5) ความถูกต้องชัดเจน(5) คะแนนรวม(10) ความคล่องแคล้ว(5) ความถูกต้องชัดเจน(5) คะแนนรวม(10) 1 นายนพรัตน์ นวลจันทร์ 3 3 4 7 4 4 8 4 5 9 5 2 นายชัยณรงค์ ครุธนี 2 3 3 6 3 4 7 4 4 8 4 3 นางสาวจารีพร ทองเสม 2 3 3 6 3 4 7 4 4 8 4 4 เด็กชายเมธิชัย แหชู 3 3 4 8 4 4 8 4 5 9 5 5 สามเณรอนัส เพ็ชร์สาย 2 3 3 6 3 4 7 3 4 7 3 รวม 12 15 17 13 17 20 37 19 22 40 21 ค่าเฉลี่ย 2.4 3 3.4 6.6 3.4 4 7.4 3.8 4.4 8 4.2 ร้อยละ 48 60 68 66 68 80 74 76 88 80 84 เกณฑ์การให้คะแนน รวม 10 คะแนน ๕ คะแนน ความคล่องแคล่ว ( 0 คะแนน = ปรับปรุง 1 คะแนน = พอใช้ 2 - 3 คะแนน = ดี 4 – 5 คะแนน = ดีมาก ) ๕ คะแนน ความถูกต้องชัดเจน ( 0 คะแนน = ปรับปรุง 1 คะแนน = พอใช้ 2 - 3 คะแนน = ดี 4 – 5 คะแนน = ดีมาก )


บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย จากผลการสรุปวิจัยได้ดังนี้ นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มีการพัฒนาทักษะในการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ที่ดีขึ้นสังเกตจาก การผลวิเคราะห์ในตาราง ก่อนการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย และหลังการใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย มีการพัฒนาขึ้น ร้อยละ 84 เปอร์เซนต์ อภิปรายผลการวิจัย ผลจากการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ เป็นการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ของนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ผลการเปรียบเทียบการฝึกทักษะการอ่าน ออกเสียงคำในภาษาไทย ของจากกลุ่มเป้าหมายนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น พบว่า นักศึกษามีการ พัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ที่ดีขึ้น จากคะแนนก่อนใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำ ในภาษาไทย ค่าเฉลี่ยเป็น 2.4 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 48 และคะแนนหลังใช้แบบฝึกทักษะมีค่าเฉลี่ยเป็น 4.2 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 84 ซึ่งเป็นตามผลที่คาดหวังไว้ จากการสังเกตพบว่า นักศึกษาที่ได้รับการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย นักศึกษามี ทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทยได้ดีขึ้น นักศึกษาสามารถนาทักษะการอ่านที่ดีขึ้นนี้ไปใช้กับการอ่าน เพื่อศึกษาในวิชาอื่น ๆ ได้ ดังนั้น การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย เป็นวิธีที่ช่วยในนักศึกษาระดับมัธยมศึกษา ตอนต้น อ่านออกเสียงได้ดีขึ้น และมีผลการพัฒนาการเรียนในรายวิชาภาษาไทยดีขึ้น รวมทั้งยังสามารถนำไป บูรณาการในรายวิชาอื่น ๆ ได้ ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะทั่วไป ครูผู้สอนควรพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย ให้มีคำศัพท์ยากและมีเนื้อที่ยาวกว่าเดิม เพื่อที่จะได้ให้นักเรียนพัฒนาทักษะและมีการฝึกฝนเพิ่มมากขึ้น 2. ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป 2.1 ควรพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.2 ใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย กับห้องอื่น ๆ และในระดับชั้นอื่น ๆ ที่เรียน วิชาภาษาไทย เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทยให้ดียิ่งขึ้น 2.3 ควรใช้ระยะเวลาที่เหมาะสมในการฝึกทักษะ เพื่อให้ได้ผลและประสิทธิภาพที่ดี


ภาคผนวก


แบบทดสอบก่อนและหลังฝึก วัดความสามารถในการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทย คาชี้แจง ให้นักเรียนอ่านข้อความต่อไปนี้ให้ถูกต้อง แบบที่ 1 1. เดียดฉันท์ 2. ชะล่า 3. กริยา 4. ร้องรา 5. เกษตรกรรม 6. เรียบร้อย 7. ตรวจตรา 8. ศรีสยาม 9. ครั้งคราว 10. โครกคราก 11. ไตรรัตน์ 12. รัตนตรัย 13. ไต้ฝุ่น 14. เตร็ดเตร่ 15. ไถ่ถอน 16. ซ่อมแซม 17. ทรวดทรง 18. ดุลพินิจ 19. ทะนุบารุง 20. ทบวง 21. เทคนิค 22. ธุรการ 23. ธามรงค์ 24. เนรนาด 25. บัณฑิต 26. ปรัมปรา 27. ปริศนา 28. พัลวัน 29. สัปดน 30. ละเอียดลออ แบบที่ 2 “ในสังคมประชาธิปไตยควรหาข้อยุติในลักษณะของการร่วมกันคิด และร่วมมือกันอภิปรายโดยใช้ข้อมูลอย่างรอบด้าน มีการพิจารณาเหตุผลของแต่ละฝ่ายด้วยความเป็นธรรม ข้อเสนอของฝ่ายใดมีเหตุผล และมีความเป็นไปได้มากกว่า ก็จะนาไปปฏิบัติต่อไป”


แบบที่ 3 1. ประเพณีกวนข้าวทิพย์เป็นประเพณีหนึ่งที่คนไทยปฏิบัติกันมา เป็นเวลานาน 2. สังข์ทองแม้จะเป็นลูกกษัตริย์แต่ต้องตกระกาลาบาก 3. ตำรวจปราบปราม ตรวจตราอย่างแข็งขัน 4. ตึกหลังนี้แม้จะสร้างใหม่ แต่ก็มีรอยร้าวอยู่หลายแห่ง 5. สิ่งปฏิกูลจากบ้านเรือนและโรงงานไหลลงแม่น้าลาคลอง 6. เช้าวันนี้จะเริ่มต้นด้วยการบรรยายวิชาปรัชญา 7. ยาบ้าเป็นมหันตภัยที่น่ากลัวและกาลังเติบโตไปกับอนาคตของชาติ 8. พระพุทธรูปปรักหักพัง เหลือแต่ฐานชุกชี 9. การซื้อพันธบัตรรัฐบาลเป็นการออมอย่างหนึ่ง 10. น้าท่วมหรือที่บางคนเรียกว่า น้าหลากถือเป็นวัฏจักรธรรมชาติ


Click to View FlipBook Version