The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อาณาจักรสิ่งมีชีวิต แบ่งออกเป็น 5 อาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom Monera) อาณาจักรโพรทิสตา (Kingdom Protista) อาณาจักรฟังไจ (Kingdom Fungi) อาณาจักรพืช (Plant Kingdom) และอาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Suthiwat Surakatklt, 2023-02-25 11:28:52

อาณาจักรสิ่งมีชีวิต

อาณาจักรสิ่งมีชีวิต แบ่งออกเป็น 5 อาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom Monera) อาณาจักรโพรทิสตา (Kingdom Protista) อาณาจักรฟังไจ (Kingdom Fungi) อาณาจักรพืช (Plant Kingdom) และอาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)

E-Book อาณาจักรสิ่งมีชีวิต


อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)


สิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในอาณาจักรมีมากกว่า 1.7 ล้านสปีชีส์ ใน จำ นวนนี้เป็นแมลงประมาณ 6 แสนชนิด สัตว์ถือเป็นสิ่งมี ชีวิตที่มีความสำ คัญต่อระบบนิเวศในแง่ของผู้บริโภค ซึ่งเป็น ผลทำ ให้มีการถ่ายทอดพลังงานไปยังผู้บริโภคระดับต่างๆ นอกจากนี้สัตว์ยังเป็นตัวทำ ให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมี ความสำ คัญในการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช และก่อให้เกิด ความสมดุลในธรรมชาติ สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ ไม่มีคลอโรฟิลฟิล์จึง ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง และมีระยะตัวอ่อน (EMBRYO) สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรสัตว์แบ่งออกเป็นไฟลัมต่างๆดังนี้


1. ไฟลัมพอริเฟอรา(PHYLUM PORIFERA) สัตว์ที่ลำ ตัวเป็นรูพรุน ได้แก่ ฟองน้ำ ลักษณะสำ คัญของสัตว์ใน Phylum Porifera - เป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการต่ำ สุด และ ไม่มีเนื้อเยื่อแท้จริง (Parazoa) - ตัวเต็มวัยเกาะกับที่ จึงไม่มี nervous system และ sense orga - มีทั้ง ทั้ อาศัยในน้ำ จืดและน้ำ เค็ม - มีสีสดใส (แดง ส้ม เหลือง ม่วง) เกิดจาก รงควัตถุที่อยู่ในเซลล์ผิว - ฟองน้ำ ที่มีรูปร่างซับซ้อนน้อยที่สุดจะมี สมมาตรรัศมี แต่ฟองน้ำ ส่วนใหญ่ไม่มีสมมาตร - จะสร้าง Gemmule (แตกหน่อ)เวลาสภาวะ แวดล้อมไม่เหมาะสม - มีโครงร่างแข็งค้ำ จุน (Spicule ที่เป็นหินหรือ แก้ว , Spongin ที่เป็นเส้นใยโปรตีน)


2. ไฟลัมซีเลนเทอราตา(PHYLUM COELENTERATA) ได้แก่ แมงกะพรุน ดอกไม้ทะเล ปะการัง กัลปังหา และไฮดรา ลักษณะสำ คัญของสัตว์ใว์ น Phylum Coelenterata - ร่างกายประกอบด้วย เนื้อเยื่อ 2 ชั้นคือ Epidermis เเละ Gastrodermis - ระหว่า ว่ งชั้นเนื้อเยื่อมีสารคล้ายวุ้นวุ้ เรีย รี กว่า ว่ Mesoglea เเทรกอยู่ - ลำ ตัวกลวงลักษณะเป็นถุงตันมีช่องเปิดช่องเดียว เรีย รี กว่า ว่ gastrovascula cavity ทำ หน้าที่เป็นทางเดินอาหาร อาหารเข้าเเละกากอาหารออกทางช่องเปิดเดียวกัน - มีหนวดอยู่รอบปากเรีย รี กว่า ว่ เทนทาเคิล ( tentacle )ใช้สำ หรับจับเหยื่อ - ที่หนวดมีเซลล์สำ หรับต่อยเรีย รี กว่า ว่ cnidocyte เเละมีเข็มสำ หรับต่อยเรีย รี กว่า ว่ nematocyst - มีวงจรชีพสลับ - สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ - มี 2 เพศในตัวเดียวกัน


3. ไฟลัมแพลทิเฮลมินทิส ( PHYLUM PLATYHELMINTHES ) ได้แก่ พยาธิใบไม้ พยาธิตัวตืด และพลานาเรีย รี ลักษณะสำ คัญของสัตว์ใว์ น Phylum Platyhelminthes - มีสมมาตรเป็นแบบครึ่ง รึ่ ซีก (Bilateral symmetry) - ไม่มีช่องว่า ว่ งในลำ ตัว (Acoelomate animal) เนื่องจากเนื้อเยื่อชั้นกลางมีเนื้อเยื่อหยุ่นๆบรรจุอยู่เต็ม ไปหมด - ไม่มีระบบหมุนเวีย วี นโลหิต ไม่มีเส้นเลือด ไม่มี หัวใจ สารอาหารไปเลี้ยงเซลล์โดยการแพร่จากทางเดินอาหาร เข้าสู่เซลล์โดยตรง - มีระบบทางเดินอาหารเป็นแบบไม่สมบูรณ์มีปาก แต่ไม่มีทวารหนัก และในพวกพยาธิตัวตืดไม่มีทางเดินอาหาร - มีระบบประสาทอยู่ทางด้านหน้าและแตกแขนง ออกไปทางด้านข้างของลำ ตัว - มีทั้งสองเพศในตัวเดียวกัน สามารถผสมพันธุ์ได้ ภายในตัวเอง (Self fertilization) และผสมพันธุ์ข้ามตัว (Cross fretilization)


4. ไฟลัมนีมาโทดา(PHYLUM NEMATOD) ได้แก่ พยาธิตัวกลมต่างๆ เช่น พยาธิไส้เดือน ไส้เดือนฝอย และ หนอนในน้ำ ส้มสายชู ลักษณะสำ คัญของสัตว์ใว์ น Phylum Nemetoda - ลำ ตัวกลมยาวหัวท้ายเเหลม ไม่มีรยางค์ - มีเปลือกเป็นคิวติเคิลหนาปกคลุม - สมมาตรครึ่ง รึ่ ซีก - มีทางเดินอาหารสมบูรณ์ มีทั้งปากเเละทวารหนัก - ร่างกายมีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น - มีช่องลำ ตัวเทียม ( pseudocoelom )อยู่ ระหว่า ว่ งมีโซเดิร์มเเละเอนโดเดิร์มซึ่งมีของเหลวบรรจุอยู่เต็ม - ระบบประสาท เป็นวงเเหวนรอบคอ ต่อกับเส้น ประสาทที่ยาวตลอดลำ ตัว - ไม่มีระบบไหลเวีย วี นเลือดเเละระบบหายใจ - การสืบพันธุ์เเบบอาศัยเพศ มีตัวผู้ตัวเมียคนละตัว กัน ไข่มีสารไคตินหุ้มจึงทนทานต่อสภาพเเวดล้อมได้


5. ไฟลัมแอนนิลิดา (PHYLUM ANNILIDA) ได้แก่ ไส้เดือนดิน แม่เพรีย รี ง ทากดูดเลือด และปลิงน้ำ จืด ลักษณะสำ คัญของสัตว์ใว์ น Phylum Annilida - มีลำ ตัวกลมยาวเป็นปล้องๆ มองเห็นภายนอก เป็นวงเเละภายในมีเนื้อเยื่อกั้นระหว่า ว่ งปล้องเรีย รี กว่า ว่ เซปตา ( septa ) - เเต่ละปล้องมีอวัย วั วะ คือ เดือย ( saeta ) 4 คู่ เนฟริเ ริ ดีย ( อวัย วั วะขับถ่าย )1 คู่ เส้นประสาท 3 คู่ ทางเดินอาหาร เเละช่องลำ ตัวส่วนหนึ่ง ยกเว้น ว้ ปล้อง - ที่มีหัวที่ซึ่งมีอวัย วั วะสำ คัญ ( สมอง คอหอย หัวใจ ) - ร่างกายมีสมมาตรครึ่ง รึ่ ซีก - มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น - มีช่องลำ ตัวเเท้จริง ริ ( coelom ) ซึ่งเป็นช่องลำ ตัวในเนื้อเยื่อมีโซเดิร์ม - ระบบประสาทประกอบด้วย ปมสมองที่หัว 1 คู่ และ เส้นประสาทใหญ่ด้านท้อง


6. ไฟลัมอาร์โทรโปดา (PHYLUM ARTHROPODA) ได้แก่ กุ้ง กั้ง ปูแมลง เห็บ ไร ตะขาบ กิ้งกือ แมงมุม แมงดา ทะเล ลักษณะสำ คัญของสัตว์ใว์ น Phylum Arthropoda - มีลำ ตัวเป็นปล้องและมีรยางค์เป็นข้อๆต่อกัน (jointed appendage) ยื่นออกมาจากแต่ละปล้องของ ลำ ตัว - มีจำ นวนชนิดมากที่สุดในอาณาจักรสัตว์ ประมาณว่า ว่ มีถึงกว่า ว่ 9 แสนชนิดที่มนุษย์เราได้ค้นพบ - สามารถอาศัยอยู่ได้ในแทบทุกสภาพ ภูมิประเทศบนโลก นับว่า ว่ ประสบความสำ เร็จในการดำ รงชีวิต วิ บนโลกเป็นอย่างมาก เห็นได้จากการที่เราพบสัตว์เ ว์ หล่านี้ได้แทบ ทุกหนทุกแห่ง ทุกฤดูกาล และพบเป็นจำ นวนมาก - มีโครงสร้างของร่างกายที่แข็งแรง - มีระบบประสาทที่เจริญ ริ ดี มีอวัย วั วะรับความ รู้สึกหลายชนิด - มีการแบ่งสัดส่วนของร่างกายเป็นข้อปล้อง ชัดเจน 3 ส่วน คือ หัว (Head) , อก (Thorax) และ ท้อง(Abdomen) - ระบบหมุนเวีย วี นเป็นระบบเปิด ประกอบไป ด้วยหัวใจ เลือด และแอ่งเลือด (Hemocoel)


7. ไฟลัมมอลลัสกา(PHYLUM MOLLUSCA) สัตว์ที่ ว์ ที่ มีลำ ตัวอ่อนนุ่ม ได้แก่ หมึกและหอยชนิดต่างๆ ลักษณะสำ คัญของสัตว์ใว์ น Phylum Mollusca - ร่างกายจะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. head and foot 2. visceral mass 3. mantle, palium เกิด mantle cavity มีเหงือกภายใน - สัตว์ใว์ นไฟลัมนี้มีลำ ตัวอ่อนนุ่ม บางชนิดอาจมี เปลือกแข็งหุ้มลำ ตัวเป็น CaCO3 - แยกเพศผู้-เมีย - ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำ ทั้งน้ำ จืดและน้ำ ทะเล มี อาศัยอยู่บนบกบ้าง - อวัย วั วะในการแลกเปลี่ยนแก๊สประกอบด้วย 1. เหงือก (gill) อยู่ภายในช่องแมนเติล พบในมอลลัสทั่วไป 2. ผิวตัว ในทากทะเล (sea slug, nudibranch) ผิวตัวจะเปลี่ยนรูปไปเป็นแขนงอยู่บนลำ ตัว เรีย รี กว่า ว่ เซอราตา (cerata) หรือ รื บางชนิดมีอยู่รอบทวารหนัก (anal gill) 3. ช่องแมนเติลหรือ รืปอด หอยฝาเดียว ที่ขึ้นมาอยู่บนบกจะมีช่องแมนเติลที่มีผนังยื่นลงมากั้นเป็นห้อง มี ของเหลวหล่อเลี้ยงในช่องนี้ทำ ให้สามารถแลกเปลี่ยนแก๊สได้


8. ไฟลัมเอไคโนเดอร์มาตา (PHYLUM ECHINODERMATA) สัตว์ที่ ว์ ที่ ผิวหนังมีหนามขุรขระ ได้แก่ ดาวทะเล เม่นทะเล เหรีย รี ญ ทะเล ปลิงทะเล ดาวเปราะ ลักษณะสำ คัญของสัตว์ใว์ น Phylum Echinoderm - สมมาตรร่างกาย ตัวอ่อนเป็นเเบบครึ่ง รึ่ ซีก ตัว เต็มวัย วั มีเมเเทมอร์โฟซิสกลายเป็นสมมาตรเเบบรัศมี - ลำ ตัวเเบ่งเป็น 5 ส่วนหรือ รื ทวีคู วี คู ณของ 5 ยื่น ออกมาจากเเผ่นกลมที่เป็นศูนย์กลาง - มีโครงร่างเเข็งภายใน มีเเผ่นหินปูนเล็กๆ ที่ยึด ติดกันด้วยกล้ามเนื้อหรือ รื ผิวหนังที่ปกคลุมอยู่บางชนิด - มีเส้นประสาทเป็นวงเเหวนรอบปาก เเละเเยกเเขนงไปตามเเขน - การเคลื่อนไหวใช้ระบบท่อน้ำ ( water vascula system ) ภายในร่างกาย - การสืบพันธุ์ แบ่งเป็นเเบบอาศัยเพศโดยมี การปฎิสนธิภายนอก และ เเบบไม่อาศัยเพศบางชนิด เช่น การขาดของเเขนใดเเขนหนึ่ง ส่วนที่ขาดก็จะเจริญ ริ ไปเป็น ตัวเต็มอีกทีหนึ่ง


9. ไฟลัมคอร์ดาตา (PHYLUM CHORDATA) คุณสมบัติเฉพาะของ Phylum Chordata - มีโนโตคอร์ด (Notochord) ซึ่งเป็นแกนค้ำ จุน หรือ รื พยุงกายเกิดขึ้นในระยะใดระยะหนึ่งของชีวิต วิ หรือ รื ตลอดชีวิต วิ ในพวกสัตว์ชั้ ว์ ชั้ นสูงมีกระดูกอ่อนหรือ รื กระดูกแข็ง แทนโนโตคอร์ด - มีไขสันหลังเป็นหลอดยาวกลวงอยู่ทางด้านหลัง (Dorsal hollow nerve tube) เหลือทางเดินอาหารซึ่งแตก ต่างจากสัตว์พ ว์ วกไม่มีกระดูกสันหลัง ซึ่งมีระบบประสาทอยู่ทาง ด้านท้อง(Ventral nerve cord) ใต้ทางเดินอาหารและเป็นเส้น ตัน - มีช่องเหงือก (Gill slit) ในระยะใดระยะหนึ่ง ของชีวิต วิ หรือ รื ตลอดชีวิต วิในพวหสัตว์มี ว์ มี กระดูกสันหลังชั้นสูง เช่น สัตว์ปีว์ ปี ก สัตว์เ ว์ ลี้ยงลูกด้วยน้ำ นมจะมีช่องเหงือกตอนเป็นตัวอ่อน เท่านั้น เมื่อโตขึ้นช่องเหงือกจะปิดส่วนปลามีช่องเหงือกตลอดชีวิต วิ - มีหางเป็นกล้ามเนื้อ (Muscular post anal tail)


อาณาจักรพืช (Plantae Kingdom)


สิ่งมีชีวิต วิใน อาณาจักรพืช ผ่านกระบวนการการวิวั วิ ฒ วั นาการ และ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างมามากมาย ทั้งการพัฒนาเนื้อเยื่อลำ เลียง น้ำ และอาหาร (Xylem & Phloem) และปากใบ (Stomata) ที่ใช้แลกเปลี่ยนก๊าซ รวมไปถึงการผลิตสารเคมีบางชนิด เช่น ลิ กนิน (Liqnin) และคิวทิน (Cutin) ที่ทำ ให้พืชทนทานต่อสภาพ แวดล้อม จนกระทั่งสามารถย้ายถิ่นฐานจากมหาสมุทรขึ้นมา อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดิน


ลักษณะสำ คัญของสิ่งมีชีวิต วิในอาณาจักรพืช – เป็นสิ่งมีชีวิต วิ หลายเซลล์ (Multicellular) ที่รวมกลุ่มกันเป็น เนื้อเยื่อ (Tissue) – มีเซลล์แบบยูคาลิโอต (Eucaryote) ที่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียสเช่น เดียวกับเซลล์ของสัตว์ – มีผนังเซลล์ที่ประกอบด้วยเซลลูโลส (Cellulose) ซึ่งทำ ให้ เซลล์แข็งแรงทนทานและมีรูปร่างแน่นอน – มีรงควัต วั ถุภายในเซลล์ เช่น คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ใน คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) ที่ทำ ให้พืชสามารถสร้างอาหาร เองได้จากกระบวนการสังเคราะห์แสง (Photosynthesis) – มีวัฏ วั จักรชีวิต วิ แบบสลับ (Alternation of Generation) หรือ รื ระยะของการเจริญ ริ เติบโตและการสืบพันธุ์แบบสลับระหว่า ว่ ง ระยะแกมีโทไฟต์ (Gametophyte) ที่เป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัย เพศผ่านการผสมของสเปิร์มและไข่ ซึ่งก่อให้เกิดการสร้างเอมบริ โอ (Embryo) หรือ รื ต้นอ่อน และระยะสปอโรไฟต์ (Sporophyte) ที่เป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศผ่านการส ร้างสปอร์ อาณาจักรพืชสามารถจำ แนกพืชออกเป็น 4 กลุ่มหลัก 10 ไฟลัม (Phylum) ดังนี้


กลุ่มพืชบกขนาดเล็กที่มีระยะแกมีโทไฟต์ยาวนานและเด่นชัดกว่า ว่ ระยะสปอโรไฟต์ในวัฏ วั จักรชีวิต วิ ไม่มีลำ ต้น ราก และใบที่แท้จริง ริ แต่อาศัยโครงสร้างที่เรีย รี กว่า ว่ “ไรซอยด์” (Rhizoid) ทำ หน้าที่ยึด เกาะ รวมถึงดูดน้ำ และสารอาหาร มีส่วนของโครงสร้างเป็นแผ่นคล้ายใบที่เรีย รี กว่า ว่ “ทัลลัส” (Thallus) ซึ่งมีชั้นคิวทิเคิล (Cuticle) บาง ๆ ปกคลุมอยู่ อีก ทั้ง ยังสามารถอาศัยน้ำ เป็นตัวกลางในการปฏิสนธิ จึงมักพบพืช กลุ่มนี้ในพื้นที่ชื้นแฉะ ปัจจุบันพืชไม่มีท่อลำ เลียงแบ่งออกเป็น 3 ไฟลัม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 พืชไม่มีท่อลำ เลียงหรือ รื “ไบรโอ ไฟต์” (Bryophyte)


เฮพาโทไฟตา (Hepatophyta) : พืชในกลุ่มลิเวอร์เวิร์ วิร์ ท (Liverwort) มีลักษณะโครงสร้างเป็นแผ่นขนาดใหญ่ที่มีรอย แฉกอยู่ตามบริเ ริ วณขอบโดยรอบ ภายในเซลล์มีหยดน้ำ มัน มี โครงสร้างของเซลล์สืบพันธุ์รูปร่างคล้ายล่มที่เรีย รี กว่า ว่ “อาร์คีโก เนียม” (Archegonium) ทำ หน้าที่สร้างไข่และ “แอนเท อริเ ริ ดียม” (Antheridium) ทำ หน้าที่สร้างสเปิร์ม สามารถ สืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศผ่านการสร้างเจมมาคัพ (Gemma Cup) ซึ่งสามารถเจริญ ริ ขึ้นเป็นพืชต้นใหม่


แอนโทเซอโรไฟตา (Anthocerophyta) : พืชในกลุ่มฮ อร์นเวิร์ วิร์ ท (Hornwort) มีลักษณะโครงสร้างเป็นแผ่นและมีรอย หยักตามบริเ ริ วณขอบ มีคลอโรพลาสต์ 1 หน่วยในเซลล์แต่ละเซลล์ ทำ หน้าที่สังเคราะห์แสง มีต้นสปอโรไฟต์ที่เรีย รี วยาวคล้ายเขาสัตว์ ซึ่งเจริญ ริ ขึ้นมาจากต้นแกมีโทไฟต์


ไบรโอไฟตา (Bryophyta) : พืชในกลุ่มมอสส์ (Moss) มี โครงสร้างคล้ายลำ ต้น รากและใบซึ่งเรีย รี งตัวรอบแกนกลางของ โครงสร้าง ไม่มีท่อลำ เลียง มีส่วนคล้ายรากยึดติดกับพื้นดินหรือ รื ซอกหินชื้นแฉะ ต้นสปอโรไฟต์มีก้านชูอับสปอร์ (Seta) และอับส ปอร์ที่เรีย รี กว่า ว่ “แคปซูล” (Capsule) อยู่ด้านบน โดยที่สปอร์ สามารถปลิวไปตามกระแสลม ก่อนงอกเป็นต้นแกมีโทไฟต์ต้นใหม่ เมื่อตกถึงพื้นที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม


กลุ่มที่ 2 พืชมีท่อลำ เลียงไร้เมล็ดหรือ รื “เทอริโริ ดไฟต์” (Pteridophyte) กลุ่มพืชมีท่อลำ เลียงกลุ่มแรกที่เริ่ม ริ่ มีวิวั วิ ฒ วั นาการมาตั้งแต่ 400 ล้านปีก่อน เป็นกลุ่มพืชที่มีราก ลำ ต้น และใบที่แท้จริง ริ มีท่อ ลำ เลียงน้ำ และแร่ธาตุ ในวัฏ วั จักรชีวิต วิ แบบสลับ ต้นแกมีโทไฟต์และ ต้นสปอโรไฟต์มีการเจริญ ริ แยกต้นกันหรือ รื อาจอยู่รวมกันเป็นช่วง ระยะเวลาสั้น ๆ โดยที่ต้นแกมีโทไฟต์จะมีช่วงชีวิต วิ ที่สั้นกว่า ว่ ต้นสปอ โรไฟต์ ปัจจุบันกลุ่มพืชมีท่อลำ เลียงไร้เมล็ดแบ่งออกเป็น 2 ไฟลัม ดังนี้


ไลโคไฟตา (Lycophyta) : พืชในกลุ่มนี้บางชนิดสูญพันธุ์ไป แล้ว ขณะที่ชนิดพันธุ์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันเป็นพืชขนาดเล็ก มี ลำ ต้น ราก และใบที่แท้จริง ริ โดยที่ใบมีขนาดเล็กเรีย รี กว่า ว่ “ไมโคร ฟิลล์” (Microphyll) มีเส้นใบ 1 เส้นที่ไม่แตกแขนง บริเ ริ วณ ปลายกิ่งมีกลุ่มของใบทำ หน้าที่สร้างอับสปอร์ มีลำ ต้นใต้ดินที่ เรีย รี กว่า ว่ “ไรโซม” (Rhizome) ส่วนที่เจริญ ริ เหนือพื้นดินมีทั้งชนิดที่ตั้งตรงและชนิดที่เลื้อยไปตาม ผิวหน้าดินหรือ รื เกาะไปตามพืชชนิดอื่น (Epiphyte) ในการสร้าง สปอร์สามารถจำ แนกออกเป็น 2 ลักษณะ – กลุ่มของไลโคโพเดียม (Lycopodium) เช่น สามร้อยยอดและ หางสิงห์ที่สร้างสปอร์ซึ่งมีขนาดเดียวกันทั้งหมด (Homosporous) – กลุ่มของซีแลกจิเนลลา (Selagenella) เช่น ตีนตุ๊กแกและ กระเทียมน้ำ (Isoetes) มีการสร้างสปอร์ที่มีขนาดที่แตกต่างกัน ออกไป (Heterosporous)


เทอโรไฟตา (Pterophyta) : กลุ่มของพืชที่มีลำ ต้นขนาดเล็ก ไม่มีรากที่แท้จริง ริ มีส่วนของทั้งลำ ต้นใต้ดินและเหนือพื้นดิน โดยที่ ลำ ต้นเหนือดินสามารถทำ หน้าที่สังเคราะห์แสง ลำ ต้นมีการแตก กิ่งเป็นคู่ (Dichotomous) มีอับสปอร์อยู่ที่บริเ ริ วณกิ่ง โดยมี ลักษณะเป็นพูจำ นวน 3-5 พู ต้นแกมีโทไฟต์มีขนาดเล็กและมีอายุ สั้น พืชในกลุ่มนี้ ได้แก่ หญ้าถอดปล้องและหวายทะนอย รวมไปถึง กลุ่มของเฟิร์น (Fern) ที่มีราก ลำ ต้น และใบที่แท้จริง ริ มีเส้นใบที่ แตกแขนง สามารถสร้างอับสปอร์รวมกันเป็นกลุ่มเรีย รี กว่า ว่ “ซอ รัส” (Sorus) อยู่บริเ ริ วณด้านล่างของแผ่นใบ ทอโรไฟตา (Pterophyta) : กลุ่มของพืชที่มีลำ ต้นขนาดเล็ก ไม่มีรากที่แท้จริง ริ มีส่วนของทั้งลำ ต้นใต้ดินและเหนือพื้นดิน โดยที่ ลำ ต้นเหนือดินสามารถทำ หน้าที่สังเคราะห์แสง ลำ ต้นมีการแตก กิ่งเป็นคู่ (Dichotomous) มีอับสปอร์อยู่ที่บริเ ริ วณกิ่ง โดยมี ลักษณะเป็นพูจำ นวน 3-5 พู ต้นแกมีโทไฟต์มีขนาดเล็กและมีอายุ สั้น พืชในกลุ่มนี้ ได้แก่ หญ้าถอดปล้องและหวายทะนอย รวมไปถึง กลุ่มของเฟิร์น (Fern) ที่มีราก ลำ ต้น และใบที่แท้จริง ริ มีเส้นใบที่ แตกแขนง สามารถสร้างอับสปอร์รวมกันเป็นกลุ่มเรีย รี กว่า ว่ “ซอ รัส” (Sorus) อยู่บริเ ริ วณด้านล่างของแผ่นใบ


กลุ่มที่ 3 พืชมีท่อลำ เลียงที่มีเมล็ดเปลือย (Gymnosperm) กลุ่มของพืชที่ไม่มีดอกและไม่มีรังไข่ แต่มีส่วนที่เรีย รี กว่า ว่ “ออวูล วู ” (Ovule) และละอองเรณูติดอยู่บริเ ริ วณแผ่นใบและปลายกิ่งที่ สามารถผสมและพัฒนาไปเป็นเมล็ดหรือ รื “โคน” (Cone) ซึ่งมี ลักษณะเป็นเมล็ดเปลือย คือ การมีเปลือกหุ้มเมล็ด (Seed Coat) แต่ปราศจากเนื้อผล (ไม้) ห่อหุ้ม มีระยะสปอโรไฟต์เด่นชัด และยาวนาน ปัจจุบันกลุ่มพืชมีท่อลำ เลียงที่มีเมล็ดเปลือยแบ่ง ออกเป็น 4 ไฟลัม ดังนี้


ไซแคโดไฟตา (Cycadophyta) : กลุ่มของพืชที่มีการกระจาย พันธุ์อยู่ในพื้นที่แห้งแล้งได้ดี เช่น กลุ่มของปรง (Cycad) เป็นพืช ที่มีลำ ต้นขนาดใหญ่ เจริญ ริ เติบโตช้า ไม่มีกิ่งก้าน แต่มีใบขนาด ใหญ่แตกออกบริเ ริ วณยอด โดยเป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ใบอ่อนมีการม้วนจากปลายใบไปสู่โคนใบ มีการสร้างโคนเพศผู้ และโคนเพศเมียแยกต้นกัน (Dioecious)


กิงโกไฟตา (Ginkgophyta) : กลุ่มของแปะก๊วย (Ginkgo Biloba) หรือ รื พืชโบราณที่มีวิวั วิ ฒ วั นาการไม่มากนัก มีลำ ต้นขนาด ใหญ่คล้ายพืชดอกและมีลักษณะใบเป็นแผ่นกว้า ว้ งคล้ายพัด มีการ ผลัดใบ มีต้นเพศผู้และเพศเมียแยกจากกัน โดยที่ต้นเพศเมียจะ สร้างโคนเพศเมียที่มีออวุล วุ บนก้านปลายกิ่ง ก้านละ 2 ออวุล วุ ซึ่ง จะมีเพียง 1 ออวุล วุ ที่สามารถเจริญ ริ ไปเป็นเมล็ด


โคนิเฟอโรไฟตา (Coniferophyta) : กลุ่มของสน (Pine) ที่มี ความหลากหลายมากที่สุดในกลุ่มนี้ เช่น สนสองใบและสนสามใบ มักพบอยู่ตามบริเ ริ วณที่มีอากาศค่อนข้างเย็น เป็นไม้ยืนต้นขนาด ใหญ่ ใบมีขนาดเล็กคล้ายเข็มอยู่เป็นกลุ่มบนกิ่ง มีการแตกกิ่งก้าน จำ นวนมาก ไม่ผลัดใบ มีโคน (Cone) ที่แยกออกเป็นโคนตัวผู้ ซึ่งต่อไปจะเจริญ ริ เป็นละอองเรณู (Pollen Grain) ที่รอการผสม กับโคนเพศเมีย ซึ่งโคนทั้ง 2 เพศสามารถเกิดอยู่บนต้นเดียวกัน หรือ รื แยกอยู่คนละต้น


นีโทไฟตา (Gnetophyta) : กลุ่มของพืชที่มีการพัฒนากว่า ว่ พืช เมล็ดเปลือยกลุ่มอื่น ๆ คือ มีเซลล์ลำ เลียงน้ำ (Vessel Element) อยู่ในไซเล็ม (Xylem) มีกลีบดอกและมีใบเลี้ยง 2 ใบ นอกจากนี้ยังมีการปฏิสนธิคล้ายคลึงกับของพืชดอก มีทั้งไม้ ยืนต้นและไม้เถาขนาดใหญ่ที่มีเนื้อไม้ ในปัจจุบัน พืชในไฟลัมนี้ เหลือเพียง 3 สกุล (Genus) คือ มะเมื่อย (Gnetum) ในป่าเขต ร้อน มั่วอึ่ง (Ephedra) ซึ่งเป็นไม้พุ่มในทะเลทรายของอเมริก ริ า และปีศาจทะเลทราย (Welwitschia) ที่เป็นพืชโบราณไร้ดอกใน ทะเลทรายของแอฟริก ริ า


กลุ่มของพืชมีดอกที่มีรังไข่ เมื่อออวุล วุ กลายเป็นเมล็ดจึงมีผลห่อหุ้ม เมล็ด พืชดอกสามารถเจริญ ริ เติบโตและแพร่กระจายในระบบนิเวศ ที่หลากหลาย จึงมีจำ นวนชนิดพันธุ์มากที่สุดในอาณาจักรพืช เช่น กลุ่มของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว (Monocotyledon) ที่ปัจจุบันพบ แล้วกว่า ว่ 65,000 ชนิด และกลุ่มของพืชใบเลี้ยงคู่ (Dicotyledon) ที่พบแล้วอีกกว่า ว่ 180,000 ชนิด ซึ่งพืชดอกทั้ง 2 กลุ่มมีโครงสร้างที่แตกต่างกันมากมาย ทั้งจำ นวนใบเลี้ยง ระบบลำ เลียง โครงสร้างของราก ลำ ต้น และจำ นวนกลีบดอก ปัจจุบันกลุ่มพืชดอกมีด้วยกัน 1 ไฟลัมเท่านั้น คือ กลุ่มที่ 4 พืชดอก (Angiosperm)


แอนโทไฟตา (Anthophyta) : กลุ่มของพืชดอกที่มีลำ ต้น ราก และใบที่เจริญ ริ ดี มีดอกที่เปลี่ยนแปลงจากกิ่งมาเป็นโครงสร้างใน การสืบพันธุ์ มีเมล็ดอยู่ภายในผลหรือ รื เมล็ดมีรังไข่ห่อหุ้ม มีการ ปฏิสนธิซ้อน ซึ่งทำ ให้เกิดตัวอ่อนและอาหารเลี้ยงตัวอ่อน (Endosperm)


อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom Monera)


อาณาจักรมอเนอรา เป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิต วิโบราณที่มีวิวั วิ ฒ วั นาการ ไม่ซับซ้อน เช่น กลุ่มของแบคทีเรีย รี (Bacteria) และสาหร่ายสี เขียวแกมน้ำ เงิน (Blue-green Algae) ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นสิ่ง มีชีวิต วิ เซลล์เดียวขนาดเล็กที่ทำ หน้าที่เป็นทั้งผู้ผลิต (Producer) และผู้ย่อยสลาย (Decomposer) ที่สำ คัญในระบบนิเวศ


ลักษณะสำ คัญของสิ่งมีชีวิตใน อาณาจักรมอเนอรา – เป็นสิ่งมีชีวิต วิ เซลล์เดียว (Unicellular) หรือ รื อาจประกอบขึ้น จากเซลล์มากกว่า ว่ 1 เซลล์ โดยที่เซลล์เหล่านั้นไม่ได้ทำ งานร่วมกัน เป็นเนื้อเยื่อหรือ รื อวัย วั วะ – มีเซลล์แบบโพรคาริโริ อต (Prokaryote) ที่ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเครีย รี สหรือ รื เยื่อหุ้มสารพันธุกรรม – มีรูปร่าง 3 ลักษณะ คือ ทรงกลม (Coccus) ทรงแท่ง/ท่อน (Bacillus) และทรงเกลียว (Spirillum) ที่อาจอยู่อย่างโดด เดี่ยวหรือ รื อาจอยู่รวมเป็นกลุ่มและเรีย รี งตัวต่อกันเป็นสาย – ภายในเซลล์ปราศจากออร์แกเนลล์ (Organelle) มีเพียงไรโบ โซมขนาดเล็ก (Ribosome) – ผนังเซลล์เป็นสารประกอบเพปทิโดไกลแคน (Peptidoglycan) แต่ในสิ่งมีชีวิต วิ บางกลุ่มมีแบคเทอริโริ อคลอโร ฟิลล์ (Bacteriochlorophyll) หรือ รื รงค์วัต วั ถุคล้ายคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ของพืชที่สามารถทำ หน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง และสร้างอาหารเองได้ – มีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ทั้งการแบ่งตัวออกเป็นสอง (Binary fission) การขาดออกเป็นท่อน (Fragmentation) รวมไปถึงการรับสารพันธุกรรมจากแบคทีเรีย รี เซลล์อื่น ๆ ที่เรีย รี ก ว่า ว่ “การกลายพันธุ์” (Mutation) – สามารถดำ รงชีวิต วิ อยู่ได้ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว ทั้งในสภาพ อากาศหนาวเย็น-ร้อนจัดหรือ รืในสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นกรด และมีความเค็มสูง


อาณาจักรย่อยอาร์เคียแบคทีเรีย รี (Subkingdom Archaebacteria) คือ กลุ่มแบคทีเรีย รี ที่เรีย รี กว่า ว่ อาร์เคีย(Archaea) เป็นแบคทีเรีย รี ที่ปราศจากสารเพปทิโดไกล แคนในผนังเซลล์ แต่มีสารจำ พวกโปรตีนและไขมันทำ หน้าที่เป็น โครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ จึงทำ ให้อาร์เคียเหล่านี้สามารถดำ รงชีวิต วิ ในสภาพแวดล้อมสุดขั้วต่างจากสิ่งมีชีวิต วิ สายพันธุ์อื่น ๆ สิ่งมีชีวิต วิในอาณาจักรมอเนอราสามารถจำ แนกออกเป็น 2 อาณาจักรย่อยตามสายวิวั วิวั ฒนาการ ดังนี้


สิ่งมีชีวิต วิในอาณาจักรย่อยอาร์เคียแบคทีเรีย รี สามารถแบ่งออก เป็น 2 กลุ่ม คือ ครีน รี าร์เคียโอตา (Crenarchaeota) คือ กลุ่มของแบคทีเรีย รี ที่ อาศัยอยู่ในบริเ ริ วณที่มีสภาพอากาศร้อนจัดหรือ รืในพื้นที่ที่มี อุณหภูมิราว 60 ถึง 100 องศาเซลเซียส อย่างเช่นในบ่อน้ำ พุ ร้อนและปากปล่องภูเขาไฟใต้ทะเลลึก ซึ่งส่วนใหญ่สามารถดำ รง ชีวิต วิ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีปริม ริ าณออกซิเจนต่ำ บางชนิด สามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นกรดจัด (ค่า pH 2-4) หรือ รืในพื้นที่หนาวเย็น อย่างทวีปวี อาร์กติก (Arctic) และ แอนตาร์กติกา (Antarctica)


ยูริอ ริ าร์เคียโอตา (Euryarchaeota) คือ กลุ่มของแบคทีเรีย รี ที่ อาศัยอยู่ในบริเ ริ วณที่มีองค์ประกอบของเกลือสูงอย่างในทะเลสาบ เดดซี (Dead Sea) หรือ รืในแหล่งน้ำ ที่มีความเค็มจัด (Halophile) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของแบคทีเรีย รี ที่สามารถสร้าง ก๊าซมีเทน (Methanogen) ได้ บางชนิดดำ รงชีวิต วิ เป็นปรสิตอยู่ ภายในลำ ไส้ของสัตว์ช ว์ นิดอื่น ๆ


อาณาจักรย่อยยูแบคทีเรีย รี (Subkingdom Eubacteria) คือ กลุ่มแบคทีเรีย รี ที่ส่วนใหญ่มีสารเพปทิโดไกลแคนในผนังเซลล์ สามารถดำ รงชีวิต วิ อยู่ได้ทั้งในดิน แหล่งน้ำ ธารน้ำ แข็ง ในอากาศ หรือ รื แม้แต่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต วิ ชนิดอื่น จึงเป็นกลุ่มของ แบคทีเรีย รี ที่มีความหลากหลายสูงและมีบทบาทหน้าที่สำ คัญต่อ ระบบนิเวศอย่างมาก โดยแบคทีเรีย รีในอาณาจักรย่อยนี้สามารถ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ


โพรทีโอแบคทีเรีย รี (Proteobacteria) คือ กลุ่มยูแบคทีเรีย รี แก รมลบ (Gram-Negative Bacteria) ที่พบมากที่สุดและมี กระบวนการเมทาบอลิซึมที่หลากหลายที่สุด บางชนิดสามารถ สังเคราะห์ด้วยแสงเช่นเดียวกับพืช บางชนิดสามารถอาศัย ซัลเฟอร์ (Sulfur) หรือ รืไฮโดรเจนซัลไฟด์ (Hydrogen Sulfide) ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง อย่างเช่น เพอเพิล ซัลเฟอร์แบคทีเรีย รี (Purple Sulfur Bacteria) บางชนิด สามารถตรึง รึ ก๊าซไนโตรเจนจากในอากาศลงสู่ดิน ส่งเสริม ริ การ เจริญ ริ เติบโตของพืช


คลาไมเดีย (Chlamydia) คือ กลุ่มยูแบคทีเรีย รี แกรมลบที่อาศัย อยู่ได้เฉพาะในเซลล์ของสัตว์ ดำ รงชีวิต วิ เป็นปรสิต มีรูปร่างทรง กลม ไม่สามารถเคลื่อนที่ ผนังเซลล์ไม่มีเพปทิโดไกลแคน อีกทั้ง ยังเป็นเชื้อก่อโรคที่สำ คัญ เช่น โรคริด ริ สีดวงตา ตาแดง และโรค ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของมนุษย์อย่างโรคโกโนเรีย รี (Gonorrhea) หรือ รื หนองใน


สไปโรคีท (Spirochete) คือ กลุ่มยูแบคทีเรีย รี แกรมลบที่มีรูป ทรงเกลียวและยืดหยุ่น มีความยาวประมาณ 25 มิลลิเมตร ดำ รง ชีวิต วิ อิสระ บางชนิดเป็นสาเหตุของโรคซิฟิลิสและโรคฉี่หนู


แบคทีเรีย รี แกรมบวก (Gram-Positive Bacteria) คือ กลุ่มยู แบคทีเรีย รี แกรมบวกที่อาศัยอยู่ทั่วไปทั้งในดินและอากาศ เป็นกลุ่ม ของแบคทีเรีย รี ที่มีความหลากหลายอย่างมาก บางชนิดสามารถ ผลิตกรดแลกติกได้ อย่างเช่น แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus sp.) ที่ถูกนำ มาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร มากมาย ทั้งการผลิตเนย ผักดอง และโยเกิร์ต บางชนิดถูกนำ มา ใช้ในการผลิตยาปฏิชีวนะ เช่น ยาสเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) และยาเตตราไซคลีน (Tetracycline) บาง ชนิดก่อให้เกิดโรค เช่น วัณ วั โรค โรคปอดบวม และโรคเรื้อ รื้ น เป็นต้น


ไซยาโนแบคทีเรีย รี (Cyanobacteria) คือ กลุ่มของยูแบคทีเรีย รี หรือ รื สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำ เงินที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงและ สร้างอาหารเองได้ เนื่องจากมีรงค์วัต วั ถุอย่างคลอโรฟิลล์เอ แคโรที นอยด์ และโฟโคบิลินอยู่ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ ไซยาโนแบคทีเรีย รี เป็นแบคทีเรีย รี ที่สามารถอาศัยอยู่ในสภาพ แวดล้อมที่หลากหลาย ทั้งในแหล่งน้ำ จืด น้ำ เค็ม บ่อน้ำ พุร้อน หรือ รื แม้แต่ภายใต้ก้อนน้ำ แข็งในมหาสมุทร ไซยาโนแบคทีเรีย รี เป็นผู้ผลิตที่สำ คัญในระบบนิเวศ ทั้งผลิตอาหาร ตรึง รึ ก๊าซไนโตรเจนจากอากาศ และการผลิตออกซิเจน ซึ่งในเชิง วิวั วิ ฒ วั นาการ ไซยาโนแบคทีเรีย รี นับเป็นสิ่งมีชีวิต วิ จำ พวกแรกที่ทำ ให้ ปริม ริ าณออกซิเจนในชั้นบรรยากาศโลกเพิ่มสูงขึ้น จนทำ ให้สิ่งมี ชีวิต วิ เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างร่างกาย เพื่อให้มีระบบหายใจ โดยใช้ออกซิเจนในเวลาต่อมา


อาณาจักรฟังไจ (Kingdom of Fungi)


สิ่งมีชีวิต วิ ที่อยู่ใน อาณาจักรฟังไจ ได้แก่ กลุ่มของรา เห็ด และยีสต์ ซึ่งสามารถเจริญ ริ เติบโตอยู่ทั่วทุกหนแห่งบนโลก ไม่ว่า ว่ จะดำ รงชีวิต วิ อยู่ตามพื้นดิน ในแหล่งน้ำ ร่องลอยอยู่ในอากาศ หรือ รื แม้แต่อาศัย อยู่ตามร่างกายของสิ่งมีชีวิต วิ ชนิดอื่น โดยที่สิ่งมีชีวิต วิ ขนาดเล็ก เหล่านี้มีบทบาทสำ คัญยิ่งต่อการย่อยสลายสสารและการ หมุนเวีย วี นธาตุอาหารในระบบนิเวศของโลก


ลักษณะสำ คัญของสิ่งมีชีวิต วิในอาณาจักร ฟัง ฟั ไจ ฟังไจเป็นทั้งสิ่งมีชีวิต วิ เซลล์เดียวอย่างยีสต์ (Yeast) และสิ่งมีชีวิต วิ หลายเซลล์ ซึ่งมีองค์ประกอบของเส้นใยขนาดเล็กที่เรีย รี กว่า ว่ “ไฮฟา” (Hypha) ที่รวมกันเป็นกลุ่มเส้นใยที่เรีย รี กว่า ว่ “ขยุ้มรา” (Mycelium) อย่างเช่น รา (Mold) และเห็ดราทั้งหลาย (Mushroom) ซึ่งลักษณะของเส้นใยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ


เส้นใยมีผนังกั้น (Septate Hypha) ที่แบ่งเซลล์ออกเป็น ห้อง ๆ เส้นใยไม่มีผนังกั้น (Non-Septate Hypha) ที่ทำ ให้เซลล์มี ลักษณะคล้ายท่อยาวที่ทะลุถึงกัน มีเซลล์แบบยูคาลิโอต (Eucaryote) ที่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส เช่นเดียวกับพืชและสัตว์ มีผนังเซลล์เป็นสารจำ พวกไคติน (Chitin) และเซลลูโลส (Cellulose) เช่นเดียวกับพืชชั้นสูง ไม่มีคลอโรฟิลล์ จึงดำ รงชีวิต วิ อยู่ด้วยการพึ่งพาอาศัยสิ่งมีชีวิต วิ ชนิดอื่น (Mutualism) หรือ รื อยู่ในภาวะปรสิต (Parasitism) และยังเป็นผู้ย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิต วิ (Saprophyte) ที่สำ คัญของระบบนิเวศ มีทั้งการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศที่อาศัยการรวมตัวกันของ เซลล์สืบพันธุ์และนิวเคลียส (Conjugation) และแบบไม่ อาศัยเพศ เช่น การแบ่งตัว (Fission) การแตกหน่อ (Budding) การหักหรือ รื ขาดออกเป็นท่อน (Fragmentation) และการสร้างสปอร์ (Sporulation) นอกจากนี้ เส้นใยเหล่านี้ยังสามารถเปลี่ยนแปลงแปลงรูปร่างเพื่อ ทำ หน้าที่พิเศษ เช่น ดูดอาหารจากเซลล์เจ้าบ้าน (Host) ยึดติด และดูดซึมสารอาหารจากสิ่งแวดล้อมอีกด้วย


อาณาจักรฟังไจสามารถจำ แนกออกเป็น 4 ไฟลัม (Phylum) ดังนี้ 1. ไคทริดิ ริดิโอไมโคตา (Chytridiomycota) คือ กลุ่มของราชั้น ต่ำ ที่มีอายุยาวนานที่สุดหรือ รื ที่เรีย รี กว่า ว่ “ไคทริด ริ ส์” (Chytrids) อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำ จืดและตามพื้นดิน เป็นปรสิตทั้งในโพรทิสต์ พืช และสัตว์ รวมถึงเป็นผู้ย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิต วิในระบบนิเวศ เป็นสิ่งมีชีวิต วิ เซลล์เดียวและมีเส้นใยขนาดเล็ก มีการสืบพันธุ์ทั้ง แบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศ โดยการสร้างสปอร์ที่มีแฟลเจล ลา (Flagellum) ช่วยในการเคลื่อนที่


2. ไซโกไมโคตา (Zygomycota) คือ กลุ่มราที่เป็นสิ่งมีชีวิต วิ เซลล์เดียว มีเส้นใยชนิดแบบไม่มีผนังกั้น และบางชนิดอาจมี โครงสร้างที่เรีย รี กว่า ว่ “ไรซอยด์” (Rhizoid) ใช้ในการยึดเกาะกับ แหล่งอาหาร ราส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนบก หรือ รื บนอินทรีย รี วัต วั ถุที่ กำ ลังย่อยสลาย เช่น ราดำ บนขนมปัง ต้องการความชื้นในการ ดำ รงชีวิต วิ จึงเป็นทั้งปรสิตและผู้ย่อยสลาย กลุ่มราในไฟลัมนี้มีทั้ง กลุ่มราที่ใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อผลิตกรดฟูม ฟู าริก ริ อย่างเช่น Rhizopus nigricans และผลิตแอลกอฮอล์หรือ รื สุราอย่างเช่น Rhizopus oryzae


3. แอสโคไมโคตา (Ascomycota) คือ กลุ่มราชั้นสูงที่มี ลักษณะคล้ายถ้วย (Cup Fungi) จากการสร้างสปอร์ อาศัยอยู่ ทั้งในแหล่งน้ำ จืด แหล่งน้ำ เค็ม และบนบก มีทั้งสิ่งมีชีวิต วิ เซลล์ เดียว อย่างเช่น ยีสต์ชนิดต่าง ๆ และสิ่งมีชีวิต วิ หลายเซลล์ที่เป็นก ลุ่มเส้นใย เช่น เห็ดโมเรล ทรัฟเฟิล และราแดง เป็นต้น กลุ่มราใน ไฟลัมนี้ถูกนำ มาใช้ในการผลิตข้าวแดงและเต้าหู้ยี้ เป็นกลุ่มราที่ สามารถก่อให้เกิดโรคทั้งในคนและสัตว์


4. เบสิดิโอไมโคตา (Basidiomycota) คือ กลุ่มเห็ดราที่มีรูป ร่างคล้ายกระบอง (Club Fungi) และสีสันหลากหลาย มีเส้นใย ผนังกั้นและรวมตัวอัดแน่นเป็นแท่งคล้ายลำ ต้น เช่น เห็ดโคน เห็ด นางรม เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดหูหนู และเห็ดหอมที่สามารถนำ มารับ ประทานได้ รวมไปถึงราสนิมและราเขม่าดำ ที่สามารถก่อโรคใน คนและพืช ส่วนใหญ่ราในกลุ่มนี้จะดำ รงชีวิต วิ อยู่ร่วมกับพืชในภาวะ พึ่งพาอาศัยกัน สามารถดูดซึมสารอาหารจากรากไม้และย่อย สลายสารอินทรีย์ รีย์ ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำ ให้มนุษย์นำ เห็ดราเหล่านี้มาใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ทั้งในอุตสาหกรรม การผลิตอาหารและยา และการปรับปรุงดินเพื่อการเกษตร


อาณาจักรโพรทิสตา (Protista)


Click to View FlipBook Version