Eastern
Sarus Crane
นกกระเรียนพันธุ์ไทย
นกกระเรียน
พันธุ์ไทย
Eastern Sarus
Crane
Antigone
antigone
sharpii
CON
C O N T E N T
TEN
T
Eastern 01
Sarus Crane
- ความรู้ทั่วไป
Breeding 04
- โครงการนำนกกระเรียน
พันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติ
Conservation 07
- ศูนย์อนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ
และนกกระเรียนพันธุ์ไทย
Eastern Sarus Crane
Wetland
เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารสำคัญของ
สัตว์น้อยใหญ่มากมาย รวมทั้งนกกระเรียนพันธุ์ไทย
ที่ในอดีตพบเจอได้ง่าย แต่ปัจจุบันนกกระเรียนไทย
กลายเป็นสัตว์หายาก สาเหตุเนื่องจากการพัฒนา
และการขยายตัวของเมืองทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำหลาย
แห่งเสื่อมโทรม มีการทำเกษตรที่ใช้สารเคมี หรือ
การล่าที่ยังคงมีการลักลอบทำกันอยู่ ทั้งเพื่อนำไป
เป็นสัตว์ในครอบครองและเพื่อบริโภค ทำให้เมื่อ 50
ปีที่แล้ว นกกระเรียนพันธุ์ได้ถูกระบุเป็นสัตว์ที่สูญ
พันธุ์ไปแล้วในธรรมชาติ
1
Eastern Sarus Crane
ลักษณะ
เป็นนกน้ำขนาดใหญ่ ลำตัวและปีกสีเทา คอ
ตอนบนและหัวไม่มีขนแต่มีลักษณะเป็นตุ่มหนัง
สีส้มหรือสีแดงสด บริเวณกลางกระหม่อมเป็น
แผ่นหนังเปลือยสีเทาหรือเขียวอ่อน คอยาว
เวลาบินคอและขาจะเยียดตรง ขายาวสีแดงอม
ชมพู มีแผ่นขนหูสีเทา ม่านตาสีส้มแดง ตัวผู้มี
ขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย ความสูงเฉลี่ยประมาณ
150-180 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 5-9
กิโลกรัม
ถิ่นอาศัย
พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำในเขตสูง
พื้นที่เกษตรกรรม และทุ่งนา
อาหาร
สัตว์น้ำ พืชน้ำ สัตว์น้ำขนาดเล็ก แมลง
เมล็ดพืช ข้าวเปลือก
วัยเจริญพันธุ์
ผสมพันธุ์ในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน
ทำรังขนาดใหญ่ด้วยกิ่งไม้ขัดสานกันวางไข่ครั้งละ
ประมาณ 1-3 ฟอง ระยะฟักไข่ประมาณ 31-34 วัน
2
Eastern Sarus Crane
"หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า
นกกระเรียนพันธุ์ไทยเคยสูญพันธุ์ไป
จากธรรมชาติของไทยไปแล้ว แต่
ด้วยความพยายามของนักอนุรักษ์
ทำให้พวกเขาได้กลับมาโบยบินกลาง
ทุ่งอีกครั้ง"
ปัจจุบัน เป็นสัตว์ป่าสงวน 1 ใน 19 ชนิด ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง
สัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และนกชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย ปัจจุบันองค์การสวนสัตว์
ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ได้นำประชากรนกกระเรียนพันธุ์ไทยปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติใน
พื้นที่ชุ่มน้ำของ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งนกกระเรียนที่ปล่อยสามารถอยู่รอดและขยายพันธุ์ได้ใน
ธรรมชาติ
3
Eastern Sarus Crane
การเพาะพันธุ์
การหายไป ของนกกระเรียน
พันธุ์ไทยส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนา
และการขยายตัวของเมือง วิถีชีวิตของ
ผู้คนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง มีการทำ
เกษตรที่ใช้สารเคมี ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำ
หลายแห่งเสื่อมโทรม รวมไปถึงการล่า
ในอดีต สิ่งเหล่านี้ต่างรบกวนการใช้ชีวิต
ของพวกเขา ทำให้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว นก
กระเรียนพันธุ์ไทยได้ถูกระบุเป็นสัตว์ที่
สูญพันธุ์ไปแล้วในธรรมชาติของไทย
ARTIFICIAL
INSEMINATION
โครงการนำนกกระเรียนพันธุ์ไทย
คืนสู่ธรรมชาติ
ได้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2525 ในช่วงนั้นมีการ
ร่วมมือระหว่างไทยกับมูลนิธิอนุรักษ์นก
กระเรียนสากล (International Crane
Foundation) ต่อมาในปี 2533 สวนสัตว์
โคราชเริ่มมีการขยายพันธุ์แบบธรรมชาติ
และการผสมพันธุ์เทียม จากจำนวนพ่อแม่
พันธุ์ตั้งต้นจำนวน 33 ตัว ได้ลูกนกที่รวม
พ่อแม่พันธุ์ในกรงเลี้ยงทั้งหมดประมาณ
100 ตัว ภายในปี 2552
4
"แม้การเพาะขยายพันธุ์จะสำเร็จ แต่เป้าหมายหลักในครั้งนี้ไม่ใช่การ
เพิ่มจำนวนของลูกนกในกรงเลี้ยง แต่เป็นการพานกกระเรียนพันธุ์
ไทยให้กลับมาโบยบินในธรรมชาติอีกครั้ง"
ปี 2554 องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย จากการปล่อยลูกนกในปีนั้นพบว่าไม่
ประสบผลสำเร็จ ลูกนกสามารถอยู่รอด
และสวนสัตว์โคราช ได้มีการปล่อยนก ได้ประมาณ 1-2 ปี เท่านั้น เนื่องจาก
เป็นการปล่อยลูกนกครั้งแรก องค์ความ
กระเรียนพันธุ์ไทยกลับคืนสู่ธรรมชาติเป็น รู้และเทคนิคต่าง ๆ ของนักวิจัยจึงมีไม่
ครั้งแรก จำนวน 10 ตัว เป็นลูกนกกระเรียน
อายุประมาณ 1 ปี โดยพิจารณาพื้นที่ที่เหมาะ เยอะมาก ประกอบกับสถานการณ์น้ำ
สมคือ บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก ท่วมในปีนั้น ทำให้การติดตามทำได้ยาก
และอ่างเก็บน้ำสนามบิน จ.บุรีรัมย์ ทั้ง 2 ขึ้นจึงไม่สามารถเข้าไปดูแลลูกนกได้
พื้นที่ ถือเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่เหมาะแก่การอยู่
อาศัยของนกหลายชนิด และมีภาพถ่าย
ยืนยันว่า จังหวัดบุรีรัมย์เคยเป็นถิ่นที่อยู่
อาศัยของนกกระเรียนพันธุ์ไทยในอดีต
5
Eastern Sarus Crane
หลังจากที่มีการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ ปัจจุบัน เกษตรกรที่ทำนาข้าวจังหวัดบุรีรัมย์ได้
ธรรมชาติในพื้นชุ่มน้ำจังหวัดบุรีรัมย์ คือที่ชุ่มน้ำเขต
ห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่ม เริ่มมีการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวจากรูป
น้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติของประเทศไทย ตาม แบบของเกษตรเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ที่เป็น
อนุสัญญาแรมซาร์ โดยในช่วงแรกยังคงพบนกอาศัย
อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำประเภทพื้นที่ชุ่มน้ำและหนองน้ำ แต่ มิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามยุทธศาสตร์เกษตร
เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งที่นกสามารถปรับตัวได้ จึงเริ่มพบ อินทรีย์แห่งชาติ และส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรราย
นกบางส่วนอพยพไปอาศัยในพื้นที่นาข้าวที่อยู่รอบ
พื้นที่อ่างเก็บน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ระดับน้ำใน ย่อยให้มีการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ด้วย
อ่างเก็บน้ำค่อนข้างสูง สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ในช่วงปี ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (Participatory
พ.ศ. 2559-2561 พบการทำรังวางไข่ของนกกระเรียน Guarantee System; PGS) และด้วยการ
พันธุ์ไทยในธรรมชาติครั้งแรก สัดส่วนร้อยละ 70-80
ของรังทั้งหมดถูกค้นพบในพื้นที่นาข้าว และลูกนกที่ จัดการความรู้ที่มีการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่
รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็เกิดในนาข้าวเช่นเดียวกัน เหตุผล
หนึ่งของการเลือกทำรังในนาข้าว เนื่องจากพื้นที่นาข้าว หลากหลาย ให้เกษตรกรสามารถดำรงชีวิตอยู่
ในจังหวัดบุรีรัมย์เป็นมีลักษะดินที่อุ้มน้ำในปริมาณที่
เหมาะสม มีอาหารพอเพียง และพฤติกรรมของ ร่วมกันกับนกกระเรียนพันธุ์ไทยได้การเสริมสร้าง
เกษตรกรไม่ก่อให้เกิดการรบกวนต่อสัตว์ป่า ในขณะที่
พื้นที่อ่างเก็บน้ำมีระดับน้ำที่สูงเกินไป และมีกิจกรรม องค์ความรู้และนวัตกรรมแก่องค์กรชุมชนผู้ผลิต
การใช้ประโยชน์ที่อาจเป็นที่รบกวนต่อสัตว์ป่า จึงทำให้
“นาข้าว” กลายเป็นพื้นที่อาศัยและทำรังวางไข่ที่สำคัญ ข้าวอินทรีย์ บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีการปล่อยนก
ของนกกระเรียนพันธุ์ไทย
กระเรียนพันธุ์ไทย จะนำไปสู่การผลิตที่เป็นมิตร
ต่อสิ่งแวดล้อม รักษาสมดุลของธรรมชาติและ
ความหลากหลายทางชีวภาพ ความยั่งยืนและ
ความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการผลิตข้าวอินทรีย์
ดังนั้น ข้าวอินทรีย์จึงเป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่าวิถี
เกษตร ชาวนา และนกกระเรียนพันธุ์ไทย ล้วนมี
ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เป็นไปตามคำขวัญที่
ว่า “กระเรียนเคียงฟ้า นาอินทรีย์เคียงดิน มีกิน
ยั่งยืน”
6
Eastern Sarus Crane
การอนุรักษ์
นักวิจัยภาคสนามเล่าว่า จากการที่นกกระเรียนสูญหายไป CONSERVATION
ในธรรมชาติ ทำให้เกิดโครงการวิจัยเพื่อขยายพันธุ์นก
กระเรียนทั้งแบบเทียมและแบบธรรมชาติ เพื่อปล่อยกลับ
คืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งก็ได้มีการเรียนรู้จากมูลนิธินกกระเรียน
สากล (International Crane Foundation) รัฐวิสคอน
ซิล สหรัฐอเมริกา ทั้งวิธีการเลี้ยง ที่ผู้เลี้ยงต้องส่วมชุด
มาสคอสเพื่อให้กลมกลืน การผสมพันธุ์ มาปรับใช้ใน
ประเทศไทยจนประสบผลสำเร็จ โดยได้เลือกพื้นที่เขตห้าม
ล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์ แห่ง
เดียวในประเทศไทย จากการคัดเลือกโดยผู้เชี่ยวชาญ ที่มี
ความเหมาะสมทั้งพื้นที่ที่พบว่ามีหญ้าแห้วทรงกระเทียม
เป็นพืชตระกูลกก คล้ายกับสมหวังที่รับประทาน ซึ่งเป็น
อาหารทดแทน กินในช่วงฤดูแล้งได้ และชาวบ้านที่มีความ
เข้าใจและพร้อมมีส่วนร่วมในการดูแลอนุรักษ์ ให้เป็นพื้นที่
ปล่อยนกกระเรียนคืนสู่ธรรมชาติ โดยมีการใส่หวงขาที่ตัว
นกเพื่อทำการติดตาม เพราะเป็นพื้นที่กว้างขนาดใหญ่
7
Eastern Sarus Crane
ศูนย์อนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและนก นอกจากนี้ยังสามารถติดตามดูนกกระเรียน
กระเรียนพันธุ์ไทย พันธุ์ได้ง่ายขึ้น ดร.ธีรพล ถนอมศักดิ์ยุทธ์
จะมีการจัดแสดงประวัติความเป็นมาของนก หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านนวัตกรรมและ
กระเรียนชนิดพันธุ์ต่างๆ และความเป็นมา ความยั่งยืน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึง
ของนกกระเรียนพันธุ์ไทย ที่มีทั้งโหลดอง การจัดทำแอปพลิเคชัน Doo Nok (ดูนก)
ลูกนกกระเรียน ไข่ ขน หรือห่วงขาที่ใช้
สำหรับติดตามนกกระเรียน รวมไปถึงหอดู ซึ่งจัดว่าเป็นโครงการระยะยาว เพื่อเป็นอีก
นก และพื้นที่จัดแสดงนกกระเรียนพันธุ์ไทย
2 ตัว เพื่อให้ผู้ที่มาเยือนได้ชมด้วย ช่องทางในการรับทราบจุดที่จะพบนก
กระเรียนพันธุ์ไทย โดยมีฟังก์ชั่นพิเศษในการ
ทราบพิกัดที่จะพบเจอนก และยังเป็นการ
รวบรวมข้อมูลพันธุ์นกกว่า 500 ชนิด
สามารถดาวน์โหลดได้แล้วทั้งในระบบ iOS
App store และ Google Play store
8
REFER
นางสาวกัญญารัตน์ ประโพธิ์ศรี 62147010020