การศึกษาและเปรียบเทียบความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบหายใจ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยรูปแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning)สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 EDUCATIONAL SCIENTIFIC CONCEPTION ON RESPIRATOR SYSTEM BY PROBLEM – BASED LEARNING MODEL FOR GRADE 11 TH STUDEMTS ชื่อผู้วิจัย วรกมล บุราณเดช อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.วัลยา มงคลสวัสดิ์ ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ หมายเลขโทรศัพท์ 0825543433 อีเมล [email protected] บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาความเข้าใจมโนมติวิทยาศาสตร์เรื่อง ระบบหายใจ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) ระหว่างก่อน เรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2566 ใน โรงเรียนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ประชากร จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 38 คน ซึ่งได้มาจาก การเลือกแบบเจาะจง ( Purposive sampling ) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ แบบแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) จำนวน 4 แผน 2) แบบทดสอบวัดมโนมติ เรื่อง ระบบ หายใจ เป็นแบบปรนัยจำนวน 4 ตัวเลือก ชนิดที่ให้นักเรียนให้เหตุผลในการเลือกตัวเลือก จำนวน 12 ข้อ สถิติที่ใช้ ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (ttest Dependent) ผลการวิจัยพบว่า ผลการศึกษาและเปรียบเทียบความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบ หายใจ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยรูปแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมีมโนมติก่อนเรียนสูงกว่าหลังเรียน โดยเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คำสำคัญ : ใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning), ความเข้าใจมโนมติวิทยาศาสตร์ Abstract The objective of this research was to study the understanding of science concepts on the respiratory system of Mathayom 5 students who received problem-based learning (Problembased Learning) between before and after school. The sample group used in this research They are Mathayom 5 students, academic year 2023, in a large school in Udon Thani province. Population: 1 classroom, number of students: 38, which was obtained from purposive sampling. Tools used in the research include: 1) learning management plan Knowledge using a problembased learning method (Problem - based Learning), 4 plans. 2) Concept test on the respiratory system. It is a multiple choice type with 4 options, type that allows students to give reasons for
choosing 12 options. Statistics used. In the research included percentage, mean, standard deviation (SD) and independent t-test. The results found that The results of the study and comparison of understanding of scientific concepts on the respiratory system by organizing learning activities using a problem-based learning format (Problem-based Learning) for Mathayom 5 students found that students had high pre-study concepts. than after school according to the specified criteria. Keywords: problem-based instructions, scientific concepts understanding level ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหา วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์ เกี่ยวข้องกับชีวิตทุก คน ทั้งในการดำรงชีวิตประจำวันและงานอาชีพต่างๆ ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้และเทคโนโลยี ที่มนุษย์ใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ที่เกี่ยวข้องกับผลของ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิด สร้างสรรค์และศาสตร์อื่นเกี่ยวข้อง การศึกษาทาง วิทยาศาสตร์จึงช่วยให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ จึงมีผลต่อการพัฒนา นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านต่างๆ เพื่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดียิ่งขึ้น โดยการนำความรู้ทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมา ใช้ จะต้องเป็นความรู้ที่ถูกต้อง ร่วมกับการใช้ความสามารถในการคิดอย่างเป็นเหตุ เป็นผล ลิด สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะสําคัญในการค้นหาความรู้มีความสามารถในการแก้ปัญหา อย่าง เป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลาย และมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๑) ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ ฉบับ ปรับปรุง ๒๕๔๕ กล่าวว่า ปัจจัย สำคัญในการพัฒนาสังคมโลกปัจจุบันและอนาคตคือการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ เพื่อก้าวเข้าสู่วัฒนธรรมของโลก สมัยใหม่ ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (knowledge -based society)การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นรากฐานสำคัญ ที่สุดของการแข่งขันในโลกยุคใหม่ ที่ เป็นระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ โลกอนาคตไม่ได้แข่งขันที่มีความมั่นคงของ ทรัพยากรธรรมชาติ แต่จะ แข่งขันกันที่ความรู้ ความสามารถในการหาข้อมูลมาวิเคราะห์วิจัย และประยุกต์อย่าง เหมาะสม ทันเวลา ประเทศชาติต้องการบุคลากรที่มีปัญญาสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้โดยเฉพาะควา มรู้ด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วถึงระดับนาโนเทคโนโลยี ประเทศไทย จําเป็นต้องเร่ง พัฒนาคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีคุณภาพสูงให้มีจำนวนเพียงพอในการ แข่งขันกับทุกประเทศทั่วโลก ในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลดังกล่าวจำเป็นต้องวางรากฐานในระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนั้นครูผู้สอนจึงเป็นผู้ มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานความรู้ความคิด กระบวนการสร้างองค์ความรู้ให้กับเยาวชน โดยครูจะต้องเป็นผู้มี ความรู้ มีวิธีการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนให้น่าสนใจ พัฒนากระบวนการคิดและการแก้ปัญหา มีกิจกรรมให้ นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ และสร้างองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ๒๕๕๑) จากแนวคิดในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ข้างต้น จะเห็นว่ามีความสอดคล้องกับแนว ปฏิรูปการศึกษาตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒ ได้กำหนดแนวทางในการ จัดการศึกษา ไว้ในหมวดที่ ๔ มาตรา ๒๒ ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดผู้เรียนทุกคนมีความรู้ ความสามารถและพัฒนาตนเองได้ โดยถือว่าผู้เรียนมี ความพร้อมที่จะศึกษา และจะต้องส่งเสริมให้ ผู้เรียนพัฒนาความมธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และมาตรา ๒๔ ได้กําหนดแนวทางการจัดการศึกษาว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการจัดเนื้อหาสาระและ กิจกรรมให้มีความสอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึง
ความแตกต่าง ระหว่างบุคคล มีการฝึกทักษะกระบวนการคิด การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำ ได้ คิดเป็น ทำ เป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ, ๒๕๔๕) โดยมี จุดประสงค์เพื่อพัฒนานักเรียนให้เป็นคนเก่ง คนดีและมีความสุข ซึ่งครูควรจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็น สำคัญและมีความรู้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้หรือใช้วิธีการ สอนให้เหมาะสมกับเนื้อหาและตรงกับความสนใจ และความสามารถของนักเรียน (สสวท. ๒๕๔๗) ดังนั้น การจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียนจึงมีความสำคัญเป็นอย่าง ยิ่งในการจัดการศึกษาระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (กรมวิชาการ, ๒๕๔๕) การทำความเข้าใจ ยิ่งถ้านักเรียนมีมโนมติ พื้นฐานไม่เพียงพอก็ยิ่ง เพิ่มความยากลำบากในการเรียนรู้(Coll & Treagust, 2008) และในเรื่องไฟฟ้าเคมีเป็นอีก เรื่องหนึ่งที่ นักเรียนไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้เดิม เข้ากับความรู้ใหม่จึงทำให้เกิดปัญหาสำคัญได้แก่ นักเรียนมี มโน มติที่คลาดเคลื่อนซึ่งวิธีการที่จะส่งเสริมให้นักเรียนได้นำความคิด ความเชื่อและประสบการณ์เดิม ของตนเอง เพื่อที่จะนำมาสนับสนุนในกระบวนการของการปรับเปลี่ยนความเชื่อหรือความเข้าใจใน มโนมติที่คลาดเคลื่อน เหล่านั้น คือวิธีการตามแนวคอนสตรัคติวิสซึมซึ่งเป็นแนวทางที่จะอธิบายการ เรียนรู้ของนักเรียน อันเนื่องมาจากสิ่ง ที่ผู้เรียนได้นำเสนอผ่านความเชื่อและประสบการณ์ของตนเอง และเป็นแนวทางที่สามารถปรับเปลี่ยนความเข้าใจ มโนมติที่คลาดเคลื่อนของผู้เรียน (Adam, 1997) และผู้เรียนจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้น อาจจะเป็นครูผู้สอน หรือ สิ่งแวดล้อมที่จะไปกระตุ้นผู้เรียน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยชี้แนะแนวทางการคิดให้กับ ผู้เรียน นอกจากนี้การสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ จะทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างเป็นความรู้ขึ้นใน สมองได้ จากสภาพปัญหาข้างต้น ครูผู้สอนมีหน้าที่ โดยตรงในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียน ได้รับการพัฒนาทั้ง ด้านความรู้และด้านกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ผู้เรียนควรได้รับการกระตุ้น ส่งเสริมให้สนใจและกระตือรือร้นที่ จะเรียน มีความสุข เกิดคำถามในสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโลกธรรมชาติ รอบตัวมีความมุ่งมั่นและมีความสุขที่จะศึกษา ค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้เพื่อรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ผล นำไปสู่คำตอบของคำถาม สามารถตัดสินใจด้วยการใช้ ข้อมูลอย่างมีเหตุผล สื่อสาร คำถามคำตอบ ข้อมูลและสิ่งที่ค้นพบจากการเรียนรู้ให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ดังนั้นการเรียนรู้ ด้วยความเข้าใจและ กระตือรือร้นจะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ สำรวจตรวจสอบและสืบต้นความรู้ต่อไปอย่างไม่ หยุดยั้ง โดยการจัดการเรียนรู้จะต้องยึดหลักที่ว่าผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และ การจัดการ เรียนรู้แบบ ใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) เป็นรูปแบบกระบวนการที่นำมาใช้กับวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เกิดประสบการณ์เรียนรู้ที่ท้าทายร่วมกับการแก้ปัญหา อีกทั้งยังจูงใจนักเรียนเช่นกับการทำงานของ นักวิทยาศาสตร์และนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการแก้ปัญหา การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นการจัดสภาพของการ เรียนรู้ซึ่งได้ใช้ปัญหามาเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมายสามารถพัฒนา ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนได้นักเรียนมี บทบาทมากในกิจกรรมการเรียนการสอน และผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้(ทิศนา แขมมณี. ๒๕๔๕) จากปัญหาดังกล่าวทำให้ ผู้วิจัยทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ใช้ ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) ซึ่งมีนักวิจัยหลายท่านที่ศึกษารูปแบบการจัดการเรียนรู้จากการ แก้ปัญหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถพัฒนามโนมติวิทยาศาสตร์ พบว่า นักเรียนมีการพัฒนา ความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์ จากผลการทดสอบวัดมโนมติทาง วิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน นักเรียน มีการพัฒนาความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์สูงขึ้น จากการศึกษาดังกล่าวจะเห็นว่าการจัดการเรียนรู้ใช้ปัญหา เป็นฐาน (Problem – based Learning) สามารถพัฒนามโนมติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนได้และยังสามารถทำ ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์และมีทักษะการคิดแก้ปัญหาทาง
วิทยาศาสตร์รวมทั้งมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่ง รูปแบบการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนเกิดมโนมติและเข้าใจอย่างลึกซึ้งจาก การที่ให้นักเรียนคิดหาคำตอบ (มัณฑรา ธรรมบุศย์. ๒๕๔๕) จากการศึกษา สังเกตชั้นเรียนวิชาชีววิทยาพบว่าเรื่อง ระบบหายใจ เป็นเรื่องที่นักเรียนค่อนข้างมีมโนมติ ทางวิทยาศาสตร์ที่คลาดเคลื่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง การแลกเปลี่ยนแก๊สของสิ่งมีชีวิตและการควบคุมการหายใจ ซึ่งมีเนื้อหาซับซ้อน เน้นความจำเป็นหลัก ครูผู้สอนในรายวิชาชีววิทยาได้พยายามแก้ปัญหาเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์และ มโนทัศน์ของผู้เรียน แต่ก็ยังไม่ส่งผลดีเท่าที่ควร ครูผู้สอนไม่มีการสอดแทรกกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลายให้แก่ผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกไม่อยากเรียน เบื่อและไม่ตั้งใจเรียน อีกทั้งนักเรียนยังมีปัญหาในด้านความเข้าใจเกี่ยวกับ เนื้อหาในรายวิชาชีววิทยา เนื่องจากมีจำนวนเนื้อหาที่มาก มีทั้งคำศัพท์ที่นักเรียนไม่คุ้นเคย จึงยากต่อการทำความ เข้าใจ และทำให้นักเรียนเกิดตวามเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์ที่คลาดเคลื่อนไปจากเดิม (สกาว แสงอ่อน, 2546: 73) และจากการทำข้อสอบวัดผลในส่วนของข้อคำถามที่เป็นการคิดวิเคราะห์นักเรียนส่วนใหญ่จะตอบคำถามผิด แม้กระทั่งเป็นข้อคำถามในชั้นเรียนที่ถามโดยครูผู้สอนนักเรียนก็ไม่สามารถตอบคำถามในเชิงคิดวิเคราะห์ได้ และ เมื่อดูภาพรวมของคะแนนการสอบทั้งกลางภาคและปลายภาคในแต่ละครั้งพบว่ามีคะแนนน้อยกว่าเกณฑ์ที่ทาง โรงเรียนได้กำหนดที่ให้มีคะแนนการสอบอยู่ในระดับที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ตามมาตรฐานของสำนักงานรับรอง มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ที่ได้กำหนดไว้ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข จากการวิเคราะห์สภาพปัญหาในด้านองค์ความรู้ ด้านการสอนนักเรียนและการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) มาใช้ในการ จัดการเรียนรู้ในวิชา ชีววิทยา เรื่อง ระบบหายใจ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อพัฒนามโนมติทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนให้สูงขึ้น วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อพัฒนาความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) เรื่อง ระบบหายใจ ให้ผ่านเกณฑ์มโนมติ ทางวิทยาศาสตร์ สมมุติฐานของการวิจัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีการพัฒนาทางมโนมติทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนศรีธาตุพิทยาคม อำเภอศรีธาตุ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานีจำนวน 251 คน จากห้องเรียน 7 ห้อง 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 38 คน
2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบบหายใจ 3. เนื้อหาวิจัย การวิจัยครั้งนี้ใช้เนื้อหาจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง ๒๕๖๐)กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รายวิชา ว30243 ชีววิทยา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สาระชีววิทยา เรื่อง ระบบหายใจ จำนวน 4 แผน แต่ละแผนใช้เวลา 3 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 12 ชั่วโมง ประกอบด้วยเนื้อหาย่อยดังนี้ 3.1 การหายใจ 3.2 การแลกเปลี่ยนแก๊สของมนุษย์ 3.3 การแลกเปลี่ยนแก๊สของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว และสัตว์ 3.4 อวัยวะและโครงสร้างในระบบหายใจของมนุษย์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้รับความรู้เกี่ยวกับการพัฒนากระบวนการการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning)เพื่อพัฒนาความเข้าใจมโนมติวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. ได้รับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) ที่มีความสามารถในการพัฒนาความเข้าใจมโนมติวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบหายใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่สูงขึ้น 3. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ ในการนำแนวทางการพัฒนากระบวนการการจัดการเรียนรู้ แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) ไปพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในสาระอื่น และระดับชั้นอื่นๆ ต่อไป วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง เพื่อศึกษาการศึกษาความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์โดยการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning)เรื่อง ระบบหายใจ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ประชากรกลุ่มตัวอย่าง 1) ประชากร ประชากรใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนศรีธาตุพิทยาคม อำเภอศรีธาตุ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานีจำนวน ๒๕๑ คน จากห้องเรียน ๗ ห้อง 2) กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕/๓ ภาคเรียนที่ ๒
ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๑ ห้อง จำนวนนักเรียน ๓๘ คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มเดียว มีการทดสอบก่อนและหลังงทดลอง One Group Pretest – Posttest Design ดังตารางที่ 1 (พวงรัตน์ ทวีรัตน์,๒๕๔๐: ๖๐-๖๑) แบบแผนที่ใช้ในการทดลอง สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง T1 X T2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning)เรื่อง ระบบหายใจ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 จำนวน 4 แผนการเรียนรู้ รวม 12 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์ 3. แบบสะท้อนผลการเรียนรู้ การสร้างคุณภาพเครื่องมือ 1. การจัดเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) เรื่อง ระบบหายใจ 1.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ฉบับปรับปรุง (๒๕๖๐), วิทยาศาสตร์เพิ่มเติม สาระชีววิทยา หนังสือเรียนชีววิทยา ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๕ เรื่อง ระบบหายใจ, คู่มือการสอนชีววิทยา รวมทั้งเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องกับการจัด เรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) 1.2 วิเคราะห์และกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ และกิจกรรมของการจัดเรียนรู้แบบ ใช้ปัญหา เป็นฐาน (Problem – based Learning) 1.3 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) เรื่อง ระบบหายใจ โดยให้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ โดยมีรายละเอียดดังนี้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง การหายใจ ๓ ชั่วโมง แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ๒ เรื่อง การแลกเปลี่ยนแก๊สของมนุษย์ ๓ ชั่วโมง แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ๓ เรื่อง การแลกเปลี่ยนแก๊สของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว และสัตว์ ๓ ชั่วโมง แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ๔ เรื่อง อวัยวะและโครงสร้างการหายใจมนุษย์ ๓ ชั่วโมง 1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไข ตรวจสอบ ความถูกต้องเหมาะสม ความสอดคล้องและความเป็นไปได้ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาสาระกิจกรรมการ เรียนรู้ การวัดผลประเมินผลและพิจารณาให้ข้อเสนอแนะ
1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา เสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนชีววิทยา และการวัดผลและ ประเมินผล เพื่อตรวจสอบ ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item objective congruence : IOC) ระหว่าง จุดประสงค์การ เรียนรู้ เนื้อหา กระบวนการจัดการเรียนรู้และการวัดประเมินผล โดยให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ ละท่านพิจารณาตรวจสอบให้ คะแนนดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มีความเหมาะสมและ สอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มีความเหมาะสมและ สอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น -1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มีความไม่เหมาะสมและไม่ สอดคล้องกัน แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยพิจารณาค่าดัชนีความ สอดคล้อง ขององค์ประกอบตั้งแต่ ๐.๖๗ ขึ้นไป 1.6 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำเสนอ อาจารย์ที่ ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไข แล้ว ไปทดลองใช้กับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน ๓๖ คน ที่มีระดับ ความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อน เพื่อดูความเหมาะสมของกระบวนการจัดการเรียนรู้ เวลาที่ใช้ และปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข 1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) เรื่อง ระบบ หายใจ ไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป 2. แบบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบหายใจ 2.1 แบบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบหายใจ ซึ่งเป็นแบบวัดแบบปรนัยชนิด ตัวเลือก 2 ลำดับขั้น (Two-tier Multiple Choices) มีขั้นตอนในการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาและวิเคราะห์รายละเอียดของเนื้อหาและผลการเรียนรู้ เรื่อง ระบบ หายใจ แล้ว กำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างแบบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์ 2.1.2 ศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวทางเกี่ยวกับวิธีการวัดมโนมติทาง วิทยาศาสตร์ 2.1.3 สร้างแบบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบหายใจ ซึ่งเป็นแบบวัดแบบ ปรนัยชนิด ตัวเลือก ๒ ลำดับขั้น จำนวน 12 ข้อ โดยใน 1 ข้อประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 เป็น แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 1 คะแนน และส่วนที่ 2 เป็นการให้เหตุผลที่เลือกตอบในส่วนที่ 2 จำนวน 2 คะแนน รวมข้อละ 3 คะแนน โดยแบบวัดที่สร้างเป็นแบบวัดที่ใช้ในการวัดมโนมติทาง วิทยาศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อแบ่งกลุ่มมโนมติ ทางวิทยาศาสตร์ออกเป็น 5 กลุ่มได้แก่ 1. กลุ่มความเข้าใจมโนมติที่สมบูรณ์ (Complete Understanding : CU) หมายถึง นักเรียน กลุ่มที่ตอบถูกต้องสมบูรณ์ ครบองค์ประกอบที่สำคัญของแต่ละแนวคิดให้ 3 คะแนน 2. กลุ่มความเข้าใจมโนมติในระดับที่ถูกต้องแต่ไม่สมบูรณ์ (Partu Understanding : PU) หมายถึง นักเรียนกลุ่มที่ตอบถูกและการให้เหตุผลถูกแต่ขาดองค์ประกอบที่ สําคัญบางส่วนให้ ๒ คะแนน 3. กลุ่มความเข้าใจมโนมติที่คลาดเคลื่อนบางส่วน (Partial Understanding with Specific Alternative Conception : PS) หมายถึง นักเรียนกลุ่มที่ตอบถูกบางส่วน แต่มี บางส่วนที่แสดงความเข้าใจที่ คลาดเคลื่อนหรือเลือกคำตอบถูกแต่ไม่อธิบายคำตอบให้ 1 คะแนน
ภ. กลุ่มความเข้าใจมโนมติที่คลาดเคลื่อน (Alternative Conception : AC) หมายถึง นักเรียนกลุ่มที่ตอบกลาดเคลื่อนทั้งหมด ให้ 0 คะแนน 5. กลุ่มไม่เข้าใจมโนมติ (No Understanding : NU) หมายถึงนักเรียนกลุ่มที่ ตอบไม่ตรง คำถามหรือนักเรียนไม่ตอบคำถาม ให้ 0 คะแนน 2.2 การหาคุณภาพแบบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบหายใจ ผู้วิจัยได้ดำเนินการตาม ขั้นตอนในการหาคุณภาพ ดังนี้ 2.2.1 เสนอแบบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบหายใจ และเกณฑ์การ แบ่งกลุ่มมโนมติ ทางวิทยาศาสตร์ ให้อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เพื่อพิจารณาตรวจสอบความ ถูกต้อง 2.2.2 ปรับปรุงแก้ไขแบบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์ ระบบหายใจ และเกณฑ์การ แบ่งกลุ่มมโน มติทางวิทยาศาสตร์ ตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์แล้วเสนอให้ ผู้เชี่ยวชาญ ๓ ท่าน เพื่อพิจารณา เกี่ยวกับความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ความสอดคล้องของคำถามที่ตรง กับจุดประสงค์ความถูกต้องในการใช้ภาษา และ สื่อความหมายชัดเจนของแบบวัดแต่ละข้อความ ถูกต้องของแนวการตอบคำถามและความเหมาะสมของเกณฑ์การ ให้คะแนนแล้วหาดัชนีความ สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence หรือ IOC) กำหนดค่าดัชนีความ สอดคล้องของ แบบวัดมโนมติทางทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบหายใจ รายข้อตั้งแต่๐.๖๐ ขึ้นไป(ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. ๒๕๓๘ : ๒๐๘ ผลที่ได้คือ ค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบ หายใจ มีค่าระหว่าง ๐.๖๐ -๑.๐๐ 3. แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ ซึ่งมีขั้นตอนการสร้างและหาคุณภาพ ดังต่อไปนี้ 3.1 ศึกษากระบวนการการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของเกมมิสและแม็ค-ทาคคาร์ท 3.2 สร้างแบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ โดยกำหนดหัวข้อในการสะท้อนกระบวนการวิจัยเชิง ปฏิบัติการดังต่อไปนี้ 3.2.1 ผลของการจัดการเรียนรู้ 3.2.2ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนรู้ 3.2.3แนวทางการปรับปรุงแก้ไขในการจัดการเรียนรู้ 3.3 เสนอแบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นให้กับอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยและครูพี่เลี้ยง พิจารณาความถูกต้องและเหมาะสมเกี่ยวกับหัวข้อในการสะท้อนผลการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 3.4 เสนอแบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นให้กับผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความถูกต้องและ เหมาะสม การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ก่อนการทดลอง ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง แบบทดสอบความเข้าใจมโมติวิทยาศาสตร์ เพื่อนำคะแนนมา วิเคราะห์เป็นคะแนนก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) จํานวน 4 แผน รวม 12 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 4 สัปดาห์ 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ท่าการทดลองหลังเรียน โดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบ ความเข้าใจ มโนมติวิทยาศาสตร์ และแบบประเมินความเข้าใจมโนมติวิทยาศาสตร์ ชุดเดิมกับทดสอบ ก่อนเรียน เพื่อน่าคะแนน มาวิเคราะห์เป็นคะแนนหลังเรียน
การวิเคราะห์ข้อมูล นำคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา เรื่อง ระบบหายใจ ก่อนเรียนและ หลังเรียน มาคิดคะแนนเป็น ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) แล้วนำคะแนนทั้งสอง มาเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ t-test Dependent ผลการวิจัย/สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า พบว่า ระดับความเข้าใจมโนมติ เรื่อง ระบบหายใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ เปรียบเทียบก่อนและหลังการได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) มี ระดับความเข้าใจที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน กล่าวคือ ก่อนเรียนนักเรียนมีระดับความเข้าใจมโนมติหลายระดับ มี ตั้งแต่ที่ไม่เข้าใจมโนมติ ไปจนถึง ระดับที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง หลังเรียนมีมโนมติที่คลาดเคลื่อนลดลง และมีความ เข้าใจในระดับที่ถูกต้องมากขึ้น ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ผลการพัฒนามโนมติวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบหายใจ จำนวน 12 มโนมติ ดังตารางนี้ ตารางที่ 1 ผลสรุปร้อยละของระดับความเข้าใจมโนมติแต่ละมโนมติ ก่อนและหลังเรียน เรื่อง ระบบหายใจ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาและเปรียบเทียบความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบหายใจ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยรูปแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลว่าจับพบว่านักเรียนมีมโนมติก่อนเรียน เรื่อง ระบบหายใจ ส่วนมากอยู่ในประเภทไม่เข้าใจมโน มติเชิงวิทยาศาสตร์ เนื่องจากนักเรียนไม่ตอบคำถามและนักเรียนบางส่วนไม่ได้อธิบายเหตุผลในการตอบคำถาม มี นักเรียนบางส่วนที่อธิบายเหตุผลในการตอบคำถามแต่ไม่สื่อความหมาย แต่หลังจากนักเรียนได้เรียนรู้จากการเรียน สอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) จะเห็นว่านักเรียนมีการพัฒนามโนมติที่เป็นลักษณะ ความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ซึ่งพิจารณาจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นรายข้อของแบบวัดมโนมติ
เรื่อง ระบบหายใจ โดยผลวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้นำแบบทดสอบแบบวัดมโนมติที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาวิเคราะห์ผลการวิจัย 5 กลุ่มดังนี้ 1. ความเข้าใจมโนมติในระดับที่สมบูรณ์ (Complete Understanding: CU) คำตอบถูกและการ ให้เหตุผลถูกต้องสมบูรณ์ ครบองค์ประกอบที่สำคัญของแต่ละแนวความคิด ซึ่งก่อนเรียนนักเรียนมีระดับความเข้าใจ มโนมติหลายระดับ มีตั้งแต่ที่ไม่เข้าใจมโนมติ ไปจนถึง ระดับที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง หลังเรียนมีมโนมติที่ คลาดเคลื่อนลดลง และมีความเข้าใจในระดับที่ถูกต้องมากขึ้น 2. ความเข้าใจมโนมติในระดับที่ถูกต้องแต่ ไม่สมบูรณ์ (Partial Understanding: PU) คำตอบถูก และการให้เหตุผลถูกแต่ขาดองค์ประกอบที่สำคัญบางส่วนซึ่งก่อนเรียนนักเรียนมีระดับความเข้าใจมโนมติหลาย ระดับ มีตั้งแต่ที่ไม่เข้าใจมโนมติ ไปจนถึง ระดับที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง หลังเรียนมีมโนมติที่คลาดเคลื่อนลดลง และ มีความเข้าใจในระดับที่ถูกต้องมากขึ้น 3) ความเข้าใจมโนมติในระดับที่คลาดเคลื่อนบางส่วน (Partial Understanding with Specific Alternative Conception: PS) คำตอบถูกบางส่วน แต่บางส่วนแสดงถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หรือ เลือก คำตอบถูกแต่ไม่อธิบายคำตอบ ซึ่งก่อนเรียนนักเรียนมีระดับความเข้าใจมโนมติหลายระดับ มีตั้งแต่ที่ไม่เข้าใจมโนมติ ไปจนถึง ระดับที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง หลังเรียนมีมโนมติที่คลาดเคลื่อนลดลง และมีความเข้าใจในระดับที่ถูกต้อง มากขึ้น 4) ความเข้าใจมโนมติในระดับที่คลาดเคลื่อน (Alternative Conception: AC) คำตอบแสดงความ เข้าใจที่คลาดเคลื่อนทั้งหมด ซึ่งก่อนเรียนนักเรียนมีระดับความเข้าใจมโนมติหลายระดับ มีตั้งแต่ที่ไม่เข้าใจมโนมติ ไปจนถึง ระดับที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง หลังเรียนมีมโนมติที่คลาดเคลื่อนลดลง และมีความเข้าใจในระดับที่ถูกต้อง มากขึ้น 5) ความไม่เข้าใจ (No Understanding: NU คำตอบไม่ตรงคำถาม หรือไม่ตอบคำถาม ซึ่งก่อน เรียนนักเรียนมีระดับความเข้าใจมโนมติหลายระดับ มีตั้งแต่ที่ไม่เข้าใจมโนมติ ไปจนถึง ระดับที่มีความเข้าใจที่ ถูกต้อง หลังเรียนมีมโนมติที่คลาดเคลื่อนลดลง และมีความเข้าใจในระดับที่ถูกต้องมากขึ้น หลังจากที่ได้มีการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) มีการพัฒนามโนมติที่เป็น ลักษณะความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ซึ่งพิจารณาจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นรายข้อของแบบวัด มโนมติวิทยาศาสตร์จะเห็นได้ว่านักเรียนมีมโนมติเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้นทุกมโนมติ โดยมโนมติที่นักเรียนมีการ พัฒนาขึ้นมากที่สุดคือ กลไกการหายใจ และมโนมติต่างๆที่จะช่วยให้ผู้เรียน ค้นพบคำตอบของปัญหาด้วยตนเอง ใน การทำกิจกรรมต่างๆครูผู้สอนควรมีการจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ที่สนับสนุนกิจกรรมที่หลากหลายที่ทำให้ ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับ ครุณี ภัทรโภดิน (2560) ที่พบว่า นักเรียนมีมโนมติที่ถูกต้องมากขึ้น หลังจากที่นักเรียนได้เรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ จากผลวิจัยพบว่า การพัฒนาความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่องระบบหายใจ ที่สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้อง กับงานวิจัยของเมธา สีหานาท (2546) ที่พบว่า ก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนส่วนใหญ่มีความเข้าใจมโนมติ ทางวิทยาศาสตร์ในระดับที่คลาดเคลื่อนทุกมโนมติ และไม่มีมโนมติใดที่นักเรียนเข้าใจในระดับที่สมบูรณ์ หลังการจัด กิจกรรม พบว่า นักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงความเข้าใจมโนมติจำนวนนักเรียนที่มีความเข้าใจในระดับที่คลาดเคลื่อน ลดลง และนักเรียนส่วนใหญ่มีความเข้าใจในระดับที่สมบูรณ์ และระดับที่ถูกต้อง แต่ไม่สมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เป็น เหตุผลมาจากการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) เป็นวิธีการสอนที่นำตัวอย่าง
ปัญหามาใช้ในการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนเกิดแนวคิดการแก้ไขทำให้เกินเป็นความเข้าใจมโนมติทาง วิทยาศาสตร์ได้ โดยใช้ปัญหาในชีวิตประจำวันมาช่วยเสริมต่อการเรียนรู้ และส่งเสริมกระบวนการคิดของนักเรียนให้ เกิดการขยายความรู้ เป็นกระบวนการที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาด้วยเหตุผลระหว่างมีการสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง สามารถปฏิบัติกิจกรรมได้อย่างหลากหลาย เป็นระบบ ส่งผลให้นักเรียนมีความเข้าใจในมโนมติ เรื่อง ระบบหายใจ ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ (Harison and Treagust, 1993) และ (Glynn, 1991) นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของอรวรรณ หอมพรมมา (2562) ได้ศึกษาเกี่ยวกับผลการจัด กิจกรรมการเรียนรู้วิชาชีววิทยาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่องระบบหายใจ โดยใช้การสอนแบบใช้ ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) ผลการวิจัยพบว่า หลังเรียนนักเรียนมีมโนมติเรื่อง กลไกลการ หายใจของมนุษย์สอดคล้องกับมโนมติวิทยาศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 63.83, 76.60,72.34 และ 61.09 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของเกรียงไกร อภัยวงศ์ (2562) ที่พบว่านักเรียนกลุ่มที่เรียนโดยใช้การเรียนรู้ แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) มีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการให้เหตุผลเชิง วิทยาศาสตร์และคะแนนเฉลี่ยมโนมติชีววิทยา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 กล่าวโดยสรุป การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) เรื่องระบบหายใจ สามารถทำให้นักเรียนมีมโนมติทางวิทยาศาสตร์และมีความสามารถในการให้เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น ซึ่งการ จัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) เป็นวิธีการสอนที่เน้นให้นักเรียนสร้างความรู้ ด้วยตนเอง มีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจกับความรู้ จากการคิด การลงมือปฏิบัติ สามารถพัฒนา ความเข้าใจและความรู้ของนักเรียน จนทำให้นักเรียนมีมโนมติทางวิทยาศาสตร์และมีความสามารถในการให้เหตุผล เชิงวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น ข้อเสนอแนะจากงานวิจัย 1. ควรปรับกิจกรรมให้เหมาะกับเวลา โดยคำนึงถึงความสามารถของนักเรียน 2. ควรส่งเสริมและเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นแสดงออกอย่างเต็มที่ กระตุ้นให้นักเรียน กล้าแสดงออก เพื่อนำไปสู่การอภิปรายและสรุปผลอย่างถูกต้อง รายการอ้างอิง (กระทรวงศึกษาธิการ.๒๕๕๑). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. (กรมวิชาการ, ๒๕๔๕). เป้าหมายการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ณพงศพล เครื่องพาที. (๒๕๕๙). ความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์และวิถีทางมโนมติทาง วิทยาศาสตร์ โดยใช้ รูปแบบการเรียนการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น(7E) ร่วมกับแผนผังมโนมติ. รายงานสืบเนื่องการ ประชุมสัมมนาวิชาการ (Proceedings)การนำเสนอผลงานวิจัย ระดับชาติ เครือข่ายบัณฑิตศึกษา. มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ ครั้งที่ 17. ทศินา แขมมณี .(๒๕๕๖). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 7.กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ๒๕๕๗ : ๑)
ทศินา แขมมณี. (๒๕๔๕).รูปแบบการเรียนการสอน : ทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธีระชัย. (๒๕๔๐). ศึกษาธรรมชาติของวิทยาศาสตร์. ผดุงยศ ดวงมาลา (๒๕๒๓ : ๑) ความสำคัญของวิทยาศาสตร์. ล้วน สายยศ และองคณา สายยศ. (๒๕๓๘). หลักการทางการวิจัยการศึกษา (พิมพ์ครังที่ ๒) กรุงเทพฯ : ศึกษาพร. ชนสิทธิ์ สิทธิ์สูงเนิน. (๒๕๖๒), ใช้ปัญหาเป็นฐาน สู่ห้องเรียนในศตวรรษที่ ๒๑. สืบค้นจาก https://www.educathai.com/events/๒๐๑๙/๑๓ สมหวัง พิธิยานุวัฒน์. (๒๕๔๑). ผลสัมฤทธิ์ทางวิทยาศาสตร์ ทศินา แขมมณี .(2556). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 7.กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2557 : 1) ทศินา แขมมณี. (2545).รูปแบบการเรียนการสอน : ทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธีระชัย. (2540). ศึกษาธรรมชาติของวิทยาศาสตร์. ผดุงยศ ดวงมาลา (2523 : 1) ความสำคัญของวิทยาศาสตร์. ล้วน สายยศ และองคณา สายยศ. (2538). หลักการทางการวิจัยการศึกษา (พิมพ์ครังที่ 2) กรุงเทพฯ : ศึกษาพร. Singhal, T. (2020). A Review of Coronavirus Disease-2019 (COVID-19). Indian J. Pediatr. 87(4), 281– 286. Zhu, N., Zhang, D., Wang, W., Li, X., Yang, B., Song, J., et al. (2020). A Novel Coronavirusfrom Patients with Pneumonia in China, 2019. The New England JournalofMedicine,382,727