The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ปนัดดา ศิริโสม, 2023-03-21 04:05:50

บทที่ ๗ ชนิดและหน้าที่ของคำ_clone

บทที่ ๗

๙๒ บทที่ ๗ ชนิดและหน้าที่ของคำ คำในภาษาไทยแบ่งออกเป็น ๗ ชนิด ตามแนวไวยากรณ์ดั้งเดิม (พระยาอุปกิตศิลปสาร) ดังนี้ ๗.๑ คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ อาการ สภาพ และลักษณะสถานที่ ทั้ง สิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต ทั้งรูปธรรมและนามธรรม คำนามแบ่งออกเป็น ๕ ชนิด คือ ๑)คำนามทั่วไปหรือสามานยนาม คือคำนามสามัญที่ใช้เรียกชื่อสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่ เจาะจง หรือชี้เฉพาะ เช่น คน แม่ ไก่ ถนน บ้าน ดินสอ เป็นต้น สามานยนามบางคำมีคำย่อยบอกชนิดย่อย ๆ ของนามนั้น เช่น คนไทย แม่บ้าน ไก่แจ้ โรงเรียนมัธยมศึกษา เป็นต้น ๒) คำนามเฉพาะหรือวิสามานยนาม คือ คำนามที่ใช้เรียกชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สิ่งของ หรือคำเรียกบุคคล สถานที่ เพื่อเจาะจงว่าเป็นคนไหน สิ่งใด ที่ไหน ตัวอย่าง -มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด - นวนิยาย เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ -สถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นต้น หลักการสังเกต ความแตกต่างระหว่างคำนามเฉพาะและคำนามทั่วไปคือ o คำนามเฉพาะ เมื่อเอ่ยถึงแล้ว สามารถชี้นิ้วไปที่ สถานที่ สิ่งของ หรือ คน ที่เดียวกันสิ่งเดียวกันได้ ทันที o คำนามทั่วไป เมื่อเอ่ยถึงแล้ว แต่ละคนอาจจะชี้ไปคนละทิศละทาง ๓) คำนามบอกลักษณะหรือลักษณนาม คือ คำนามที่ทำหน้าที่ประกอบคำนามอื่น เพื่อบอกรูปร่างสัณฐาน ปริมาณ การจำแนก เวลา วิธีทำ และลักษณนามอื่น ๆ หรือคำซ้ำคำนาม จำแนกได้ดังนี้ ลักษณนามบอกสัณฐาน ได้แก่คำว่า วง หลัง แผ่น ผืน บาน ลูก ใบ แท่ง ก้อน คัน ต้น ลำ ซี่ เกล็ด เครื่อง ดวง กระบอก เส้น สาย ปาก ปื้น แพ ราง เม็ด ตับ ตัวอย่าง -กุสุมาซื้อข้าวเม่าทอดจากตลาด ๓ แพ - นิดหน่อยซื้อร่มมา ๑ คัน เป็นต้น


๙๓ ลักษณนามบอกการจำแนก ได้แก่คำว่า กอง พวก เหล่า หมวด หมู่ ฝูง โขลง คณะ นิกาย ชุด สำรับ ข้อ โรง ครอก ขั้น ฉบับ ระดับ จำพวก อย่าง ประการ ประเภท ชนิด แบบ ลักษณะ รูปแบบ ประเด็น ฯลฯ ตัวอย่าง - คณะครูอาจารย์ - ชุดข้อสอบ - หมวดคำศัพท์ เป็นต้น ลักษณนามบอกปริมาณ ได้แก่คำว่า คู่ โหล กุลี บาท ชั่ง กิโลกรัม ชะลอม หีบ ขวด หยด กล่อง ช้อน ถ้วย ลิตร ตุ่ม ไห โยชน์ กิโลเมตร ฯลฯ ตัวอย่าง -วาริศาซื้อรองเท้าใหม่ ๒ คู่ -น้อยหนัก ๔๕ กิโลกรัม -แดงดื่มน้ำหมด ๒ ขวด เป็นต้น ลักษณนามบอกเวลา ได้แก่คำว่า นาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี ยก รอบ ครั้ง คราว สมัย ยุค หน ช่วง กะ ที ศตวรรษ ฯลฯ ตัวอย่าง – ครูนัดส่งการบ้านพรุ่งนี้ตอนเที่ยง -ปีหน้าฉันจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ -ขณะนี้เวลา ๑๒.๓๐ นาที เป็นต้น ลักษณนามบอกวิธีทำ ได้แก่คำว่า ผูก จับ จีบ ห่อ หยิบ กำ ม้วน พับ มัด มวน ฯลฯ ตัวอย่าง - การจีบพลู - การห่อของขวัญ - การผูกโบว์ เป็นต้น ลักษณนามอื่น ๆ ได้แก่คำว่า พระองค์ องค์ รูป ตน คน ตัว ใบ เรื่อง สิ่ง อัน เลา เชือก คัน เรือน เล่ม ชิ้น ด้าม ฯลฯ ตัวอย่าง – อนุกูลมีขลุ่ย ๒ เลา -ฉันเลี้ยงสนัข ๑ตัว - หมิวมีหนังสือหลักวิชาภาษาไทย ๑ เล่ม เป็นต้น ๔) คำนามหมวดหมู่หรือสมุหนาม คือ คำนามบอกหมวดหมู่ของสามานยนาม และ วิสามานยนามที่รวมกันมาก ๆ ได้แก่คำว่า คณะ กอง หมู่ ฝูง โขลง พวก กลุ่ม ฯลฯ ตัวอย่าง - โขลงช้างป่า - ฝูงนกกระจาบ


๙๔ - กองทหารรักษาการณ์ ข้อแตกต่างระหว่างคำนามหมวดหมู่ กับ คำนามบอกลักษณะ o คำนามหมวดหมู่ จะอยู่ด้านหน้าของคำนามทั่วไป o คำนามบอกลักษณะ จะอยู่ด้านหลังของคำนามทั่วไป เช่น คำว่า คณะ o สำหรับคำนามหมวดหมู่ เช่น คณะลูกเสือ ,คณะนักเรียน ,คณะนักท่องเที่ยว o สำหรับคำนามบอกลักษณะ เช่น ลูกเสือ ๓ คณะ , นักเรียน คณะนั้น, นักท่องเที่ยวคณะแม่สาย ๕) คำนามบอกอาการหรืออาการนาม คือ คำเรียกนามธรรม คือใช้เรียกสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีขนาดแต่สามารถเข้าใจได้ โดยจะมีคำว่า “การ” และ “ความ” นำหน้า คำว่า “การ”จะนำหน้าคำกริยา เช่น การเรียน การเล่น การวิ่ง การเดิน การกิน การอ่าน เป็นต้น คำว่า “ความ” ๑. ใช้นำหน้าคำกริยาที่เกี่ยวกับจิตใจ หรือมีความหมายในทางเกิด มี เป็น เจริญ เสื่อม เช่น ความคิด ความฝัน ความรัก ความตาย ความทุกข์ ความเจริญ เป็นต้น ๒. ใช้นำหน้าคำวิเศษณ์ เช่น ความดี ความเร็ว ความสูง ความถี่ ความหรูหรา เป็นต้น ข้อควรสังเกต คำว่า “การ” และ “ความ” ถ้าไม่ได้นำหน้าคำกริยาและคำวิเศษณ์ จะเป็นคำ สามา นยนาม เช่น การบ้าน การเรือน การไฟฟ้า การประปา ความแพ่ง ความอาญา เป็นต้น หน้าที่ของคำนาม ๑.ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น - ชูชาติชอบอ่านหนังสือ - ตำรวจจับผู้ร้าย ๒. ทำหน้าที่เป็นกรรมหรือผู้ถูกกระทำ เช่น - วารีอ่านจดหมาย - พ่อตีสุนัข ๓. ทำหน้าที่ขยายนาม เพื่อทำให้นามที่ถูกขยายชัดเจนขึ้น เช่น - สมศรีเป็นข้าราชการครู - นายสมศักดิ์ทนายความฟ้องนายปัญญา พ่อค้า ๔.ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์หรือส่วนเติมเต็ม เช่น - ศรรามเป็นทหาร - เขาเป็นตำรวจแต่น้องสาวเป็นพยาบาล ๕. ใช้ตามหลังคำบุพบทเพื่อทำหน้าที่บอกสถานที่ หรือขยายกริยาให้มีเนื้อความบอกสถานที่ชัดเจน ขี้น เช่น - คุณแม่ของเด็กหญิงสายฝนเป็นครู - นักเรียนไปโรงเรียน


๙๕ ๖. ใช้บอกเวลาโดยขยายคำกริยาหรือคำนามอื่น เช่น - คุณพ่อจะไปเชียงใหม่วันเสาร์ - เขาชอบมาตอนกลางวัน ๗. ใช้เป็นคำเรียกขานได้ เช่น - น้ำฝน ช่วยหยิบปากกาให้ครูทีซิ - ตำรวจ ช่วยฉันด้วย บทช่วยจำคำนาม คำนามนั้นแสนง่าย เราหญิงชายมาเรียนกัน ตรึกตรองจำให้มั่น ควรขยันหมั่นศึกษา นามมีห้าชนิด ดูสักนิดเถิดแก้วตา ร่ำเรียนกันเรื่อยมา ในวิชาภาษาไทย หนึ่งสามานยนาม เช่น บ้าน ยาม นั้นก็ใช่ คน สัตว์ ทั่วทั่วไป สิ่งของใซร้ใช้กันมา ชื่อเฉพาะคนสัตว์นั้น เขาบัญญัติเอาไว้หนา ชี้เฉพาะเจาะจงมา เรียกวิสามานยนาม แสดงรูปลักษณะ ประมาณ ขนาด นะคนงาม จำไว้อย่าเกรงขาม ลักษณะนามนั่นไง สมุหนามนั้น เรารู้กันหมวดหมู่ไซร้ ฝูง พวก กลุ่ม ก็ใช่ จงจำไว้แสนง่ายดาย ท้ายด้วยอาการนาม นำด้วยความวิเศษณ์ท้าย คำการ กริยาตามได้ อย่าเอียงอายมาเรียนกัน ความดีและความชั่ว ความเกรงกลัว ความสุขสันต์ การเรียน การเล่นนั้น แต่การบ้านไม่ใช่นะ ทบทวนอยู่ทุกครา หมั่นศึกษาจำทุกขณะ เรื่องเรียนอย่าเลยละ ทุกคนจะเรียนได้ดี


๙๖ ๗.๒ คำสรรพนาม ความหมายของคำสรรพนาม คำสรรพนาม หมายถึง คำที่ใช้แทนคำนามชนิดต่าง ๆ เพื่อไม่ต้องกล่าวคำนามซ้ำอีกครั้ง ชนิดของคำสรรพนาม หลักภาษาไทยได้แบ่งคำสรรพนามออกเป็น ๖ ชนิด ดังนี้ ๑. บุรุษสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนคำนามในการพูดจากัน แบ่งเป็น ๓ ชนิด ดังนี้ ๑.๑ สรรพนามบุรุษที่ ๑ ใช้แทนผู้พูด เช่น ผม ฉัน ข้าพเจ้า ๑.๒ สรรพนามบุรุษที่ ๒ ใช้แทนผู้ฟัง เช่น ท่าน เธอ คุณ ๑.๓ สรรพนามบุรุษที่ ๓ ใช้แทนผู้กล่าวถึง เช่น เขา มัน ท่าน ๒. นิยมสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนคำนามเพื่อบอกกำหนดให้ชัดเจนว่าอยู่ใกล้หรือไกล ได้แก่ คำว่า นี่ นั่น โน่น นี้ เช่น นี่คือบ้านของฉัน นั่นเป็นโรงเรียน โน่นเป็นตลาด นี้ของเธอ ๓. อนิยมสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนคำนามบอกความไม่แน่นอน ไม่เฉพาะเจาะจง ได้แก่ คำว่า ใคร อะไร ที่ไหน สิ่งใด เช่น ใคร ๆ ก็เคยทำผิดทั้งนั้น อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผู้ใดฝ่าฝืนกฎจะถูกลงโทษอย่างหนัก ๔. ปฤจฉาสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนคำนาม และใช้เป็นคำถาม ปฤจฉาสรรพนามต่างกับ อนิยมสรรพนาม ก็คือ อนิยมสรรพนามใช้ในประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธ แต่ปฤจฉาสรรพนามใช้ใน ประโยค ได้แก่คำว่า ใคร อะไร ที่ไหน สิ่งใด เมื่อไร เช่น อะไรอยู่ในขวด ใครเป็นผู้แต่งเรื่องนายทองอิน เมื่อไรเธอจะกลับมา ๕. วิภาคสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนคำนามเพื่อแยกนามนั้นออกเป็นส่วน ๆ ได้แก่คำว่า ต่าง บ้าง กัน บรรดา เช่น “นักเรียนต่างคนต่างเดินทางกลับบ้าน”


๙๗ นักเรียนมีหลายคน นักเรียนแต่ละคน เดินทางกลับบ้าน โดย ต่าง แทน นักเรียน “พี่กับน้องไปโรงเรียนด้วยกัน” คำว่า กัน ในที่นี้แสดงจำนวนหลายคนที่ร่วมกระทำ ๖. ประพันธสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่อยู่ข้างหน้า โดยทำหน้าที่เชื่อมประโยคให้ เป็นประโยคเดียวกัน ได้แก่คำว่า ที่ ซึ่ง อัน ผู้ เช่น รถยนต์ที่ผลิตจากประเทศญี่ปุ่นประหยัดน้ำมันมาก (ที่ เป็นคำสรรพนามที่แทนคำนาม รถยนต์) เขาเป็นคนดีอันเกิดจากการอบรมของพ่อแม่ (อัน เป็นคำสรรพนามที่แทนคำนาม คนดี) หน้าที่ของคำสรรพนาม สรรพนามใช้แทนคำนามจึงทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำนาม ดังนี้ • ใช้เป็นประธานของประโยค เช่น o เขา ไปกับคุณพ่อ o ใคร อยู่ที่นั่น o ท่าน ไปกับผมหรือ • ใช้เป็นกรรมของประโยค เช่น o แม่ดุฉัน o เขา เอาอะไรมา o เด็กๆกิน อะไรๆก็ได้ • เป็นผู้รับใช้ เช่น o คุณแม่ให้ฉันไปสวน • เป็นส่วนสมบูรณ์หรือส่วนเติมเต็ม เช่น o คุณเป็น ใคร • ใช้เชื่อมประโยค เช่น o เขาพาฉันไปบ้าน ที่ฉันไม่เคยไป o เขามีความคิด ซึ่งไม่เหมือนใคร o คน ที่ไปกับเธอเป็นน้องฉัน


๙๘ • ใช้ขยายนามที่ทำหน้าที่เป็นประธาน หรือกรรมของประโยค เพื่อเน้นความที่แสดงความรู้สึก ของผู้พูด จะวางหลังคำนาม o คุณครูท่านไม่พอใจที่เราไม่ตั้งใจเรียน o ฉันแวะไปเยี่ยมคุณครู ท่านมา การใช้คำสรรพนาม มีข้อสังเกตดังนี้ คือ • บุรุษสรรพนามบางคำจะใช้เป็นบุรุษสรรพนามบุรุษที่ ๒ หรือ บุรุษที่ ๓ ก็ได้ o ท่าน มาหาใครครับ ( บุรุษที่ ๒ ) o เธอไปกับ ท่านหรือเปล่า ( บุรุษที่ ๓ ) o เธอ อยู่บ้านนะ ( บุรุษที่ ๒ ) • บุรุษสรรพนามจะต้องใช้ให้ถูกต้องตามฐานะของบุคคล วัยและเพศของบุคคล เช่น ผม ใช้กับผู้ พูดเป็นชาย แสดงความสุภาพ , ข้าพระพุทธเจ้า ใช้พูดกับพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายชั้นสูง เป็นต้น • คำนามอาจใช้เป็นสรรพนามได้ในการสนทนา เช่น - ปุ๋ยมาหาคุณพี่เมื่อวานนี้ (ปุ๋ยใช้แทนผู้พูด ) ข้อสังเกต คำว่า หล่อน เธอ ท่าน สามารถเป็นได้ทั้งสรรพนามบุรุษที่ ๒ และ ๓ โดยพิจารณาจาก เนื้อความของประโยค ๗.๓ คำกริยา ความหมายของคำกริยา คำกริยา คือ คำที่แสดงอาการ การกระทำ และสภาพของนามหรือสรรพนาม ชนิดของคำนาม หลักภาษาไทยได้แบ่งคำกริยาออกเป็น ๔ ชนิด ดังนี้ ๑. อกรรมกริยา คือ กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับข้างท้าย เพราะมีใจความสมบูรณ์อยู่แล้ว เช่น ดวงอาทิตย์กำลังจะตกจากฟ้า (จากฟ้า ไม่ใช่กรรมแต่เป็นส่วนขยาย) น้องร้องไห้อยู่นาน (อยู่นาน ไม่ใช่กรรมแต่เป็นส่วนขยาย) ต้นไม้ใหญ่หลังบ้านหัก (หัก เป็นอกรรมกริยา) ๒. สกรรมกริยา คือ กริยาที่ต้องมีกรรมมารับข้างท้ายจึงจะได้ใจความสมบูรณ์ เช่น น้องกินข้าวคำใหญ่ (ข้าว เป็นกรรมที่มารองรับคำกริยาคำว่า กิน) คนงานกำลังซ่อมบ้านให้คุณปู่ (บ้าน เป็นกรรมที่มารองรับคำกริยาคำว่า ซ่อม)


๙๙ จะสังเกตได้ว่า คำกริยา กิน เคาะ ดม จะต้องมีกรรม(คำนาม,สรรพนาม) มารองรับต่อท้ายเพื่อไม่ให้ เกินคำถามว่า กินอะไร? เคาะอะไร? ดมอะไร? ๓. วิกตรรถกริยา คือ กริยาที่ไม่มีเนื้อความในตนเอง ต้องมีคำนาม คำสรรพนาม หรือ คำวิเศษณ์มาทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มข้างท้ายจึงจะได้ใจความสมบูรณ์ ได้แก่คำ ว่า เป็น เหมือน คล้าย เท่า คือ ดุจ ประดุจ ราวกับ เพียงดัง เสมือน เช่น คุณพ่อเป็นตำรวจ (ตำรวจ เป็นส่วนเติมเต็มของคำกริยา เป็น) เด็กผู้หญิงคนนี้คล้ายน้องเธอมาก (น้องเธอ เป็นส่วนเติมเต็มของคำกริยา คล้าย) ๔. กริยานุเคราะห์ คือ กริยาที่ช่วยกริยาสำคัญในประโยคให้ได้ใจความชัดเจน ยิ่งขึ้น กริยาชนิดนี้ไม่มีก็ได้ประโยคยังคงสื่อความหมายได้เหมือนเดิม ได้แก่คำว่า คง เคย กำลัง ต้อง ควร จะ อาจ ถูก เช่น วันนี้ฝนน่าจะตก แม่กำลังทำอาหาร ดำถูกรถชน หน้าที่ของคำกริยา ๑. กริยาทำหน้าที่เป็นตัวแสดงของประธาน เช่น พ่อครัวปรุงอาหารจานเด็ด ๒. กริยาทำหน้าที่ขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้า เช่น ตำรวจห้ามเล่นปืนฉีดน้ำ (ฉีดน้ำ ขยายคำ ว่า ปืน) ๓. คำกริยาทำหน้าที่ได้เหมือนคำนาม หมายความว่านามทำหน้าที่เป็นประธาน คำกริยาก็ทำ หน้าที่เป็นประธานได้ คำนามทำหน้าที่เป็นกรรมคำกริยาบางคำก็ทำหน้าที่เป็นกรรมได้เหมือนคำนาม เช่น ตื่นนอนตอนเช้าทำให้ร่างกายสดชื่นแจ่ม (ตื่นนอนตอนเช้า เป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่เป็น ประธาน) เขาไม่ชอบออกกำลังกาย (ออกกำลังกาย เป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่เป็นกรรมเพราะถูกไม่ ชอบ) ข้อสังเกต กริยาคำว่า ถูก ตามปกติจะใช้กับกริยาที่มีความหมายไปในทางไม่ดี เช่น ถูกตี ถูกดุ ถูก ตำหนิ ถ้าความหมายในทางดีอาจใช้คำว่า ได้รับ เช่น ได้รับคำชมเชย ได้รับเชิญ เป็นต้น


๑๐๐ ๗.๔ คำวิเศษณ์ ความหมายของคำวิเศษณ์ คำวิเศษณ์ หมายถึง คำที่ใช้ประกอบหรือขยายคำนาม สรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อให้ได้ใจความชัดเจนและละเอียดมากขึ้น เช่น - คนอ้วนกินจุ ("อ้วน" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำนาม "คน" "จุ" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำกริยา "กิน") - เขาร้องเพลงได้ไพเราะ ("ไพเราะ" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำกริยา "ร้องเพลง") - เขาร้องเพลงได้ไพเราะมาก ("มาก" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำวิเศษณ์ "ไพเราะ") ชนิดของคำวิเศษณ์ คำวิเศษณ์แบ่งออกเป็น ๑๐ ชนิด ดังนี้ ๑. ลักษณะวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกลักษณะต่างๆ เช่น บอก ชนิด สี ขนาด สัณฐาน กลิ่น รส บอกความรู้สึก เช่น ดี ชั่ว ใหญ่ เล็ก ขาว ร้อน เย็น หอม หวาน กลม แบน เป็นต้น เช่น - น้ำร้อนอยูในกระติกสีขาว - จานใบใหญ่ราคาแพงกว่าจานใบเล็ก ๒. กาลวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย อนาคต เย็น อดีต เป็นต้น เช่น - พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณแม่ - เขามาโรงเรียนสาย ๓. สถานวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ ซ้าย ขวา เป็น ต้น เช่น - บ้านฉันอยู่ไกลตลาด - นกอยู่บนต้นไม้ ๔. ประมาณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกจำนวน หรือ ปริมาณ เช่น หนึ่ง สอง สาม มาก น้อย บ่อย หลาย บรรดา ต่าง บ้าง เป็นต้น เช่น - เขามีเงินห้าบาท - เขามาหาฉันบ่อยๆ ๕. ประติเษธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ ยอมรับ เช่น ไม่ ไม่ใช่ มิ มิใช่ ไม่ได้ หามิได้เป็นต้น เช่น


๑๐๑ - เขามิได้มาคนเดียว - ของนี้ไม่ใช่ของฉัน ฉันจึงรับไว้ไม่ได้ ๖. ประติชญาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่ใช้แสดงการขานรับหรือโต้ตอบ เช่น ครับ ขอรับ ค่ะ เป็นต้น เช่น - คุณครับมีคนมาหาขอรับ - คุณครูขา สวัสดีค่ะ ๗. นิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความชี้เฉพาะ เช่น นี้ นั่น โน่น ทั้งนี้ ทั้งนั้น แน่นอน เป็นต้น เช่น - บ้านนั้นไม่มีใคราอยู่ - เขาเป็นคนขยันแน่ๆ ๘. อนิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความไม่ชี้เฉพาะ เช่น ใด อื่น ไหน อะไร ใคร ฉันใด เป็นต้น เช่น - เธอจะมาเวลาใดก็ได้ - คุณจะนั่งเก้าอื้ตัวไหนก็ได้ ๙. ปฤจฉาวิเศษณ์คือ คำวิเศษณ์แสดงคำถาม หรือแสดงความสงสัย เช่น ใด ไร ไหน อะไร สิ่ง ใด ทำไม เป็นต้น เช่น - เสื้อตัวนี้ราคาเท่าไร - เขาจะมาเมื่อไร ๑๐. ประพันธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมคำหรือประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน เช่นคำ ว่า ที่ ซึ่ง อัน อย่าง ที่ว่า เพื่อว่า ให้เป็นต้น เช่น - เขาทำงานหนักเพื่อว่าเขาจะได้มีเงินมาก - เขาทำความดี อัน หาที่สุดมิได้ หน้าที่ของคำวิเศษณ์ มีดังนี้คือ ๑. ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น - คนอ้วนกินจุ ( "อ้วน" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำนาม "คน") - ตำรวจหลายคนจับโจรผู้ร้าย ("หลาย" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำนาม "ตำรวจ") ๒. ทำหน้าที่ขยายคำสรรพนาม เช่น - เราทั้งหมดช่วยกันทำงานให้เรียบร้อย ("ทั้งหมด" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำสรรพนาม "เรา") - ฉันเองเป็นคนพูด ( "เอง" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำสรรพนาม "ฉัน")


๑๐๒ ๓. ทำหน้าที่ขยายกริยา เช่น - เด็กคนนั้นนั่งดูนก ("ดู" เป็นคำกริยาที่ไปขยายคำกริยา "นั่ง") ๔. ทำหน้าที่เหมือนคำนาม เช่น - ออกกำลังกายทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง ("ออกกำลังกาย" เป็นคำกริยา ทำหน้าที่ เป็นประธานของประโยค) - เด็กชอบเดินเร็วๆ ("เดิน" เป็นคำกริยา ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค) ๕. ทำหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดง เช่น - เธอสูงกว่าคนอื่น - ขนมนี้อร่อยดี ๗.๕ คำบุพบท ความหมายของคำบุพบท คำบุพบท หมายถึง คำที่ใช้นำหน้าคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ ซึ่งทำ หน้าที่เชื่อมคำหรือกลุ่มคำนั้นให้ต่อเนื่องสัมพันธ์กัน คำบุพบทแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ๑. คำบุพบทที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำต่อคำ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคำเพื่อบอก สถานการณ์ให้ชัดเจน หลักภาษาไทยได้แบ่งคำบุพบทออกเป็น ๖ ชนิด ดังนี้ ๑.๑ คำบุพบทบอกสถานที่ ได้แก่คำว่า ใต้ บน ริม ชิด ใกล้ ไกล ที่ นอก ใน เช่น เสื้อสีขาวอยู่ในตู้เสื้อผ้า เขาขายส้มตำอยู่ใกล้สถานีตำรวจ ๑.๒ คำบุพบทบอกเวลา ได้แก่คำว่า แต่ ตั้งแต่ ณ เมื่อ จน จนกระทั่ง เช่น เขาอ่านหนังสือจนดึก คุณพ่อไปทำงานแต่เช้า ๑.๓ คำบุพบทบอกความเป็นเจ้าของ ได้แก่คำว่า แห่ง ของ เช่น เขาทำงานอยู่วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เงินของฉันหาย ๑.๔ คำบุพบทบอกที่มาหรือสาเหตุ ได้แก่คำว่า แต่ จาก กว่า เหตุ ตั้งแต่ เช่น คุณแม่ซื้อผักมาจากตลาด


๑๐๓ ชาวนาเดินมาตั้งแต่ที่นาถึงบ้าน ๑.๕ คำบุพบทบอกฐานะเป็นผู้รับ ได้แก่คำว่า เพื่อ ต่อ แก่ แด่ เฉพาะ สำหรับ เช่น ฉันทำทุกอย่างเพื่อแม่ เขาถวายปัจจัยแด่พระสงฆ์ ๑.๖ คำบุพบทบอกฐานะเครื่องใช้ หรือติดต่อกัน ได้แก่คำว่า โดย ด้วย อัน ตาม กับ เช่น เขาเดินทางโดยสวัสดิภาพ เขาทำตามคำสั่ง ๒. คำบุพบทที่ไม่มีความสัมพันธ์กับคำอื่น ส่วนมากจะอยู่ต้นประโยค ใช้เป็นการทักทาย มักใช้ในคำ ประพันธ์ เช่นคำว่า ดูก่อน ข้าแต่ ดูกร คำเหล่านี้ใช้นำหน้าคำสรรพนามหรือคำนาม เช่น - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย - ข้าแต่ท่านทั้งหลายโปรดฟังข้าพเจ้า หน้าที่ของคำบุพบท ๑. ทำหน้าที่นำหน้าคำนาม เช่น นักเรียนอยู่ในโรงเรียน ( ใน เป็นคำบุพบท นำหน้า คำนาม โรงเรียน ) ๒. ทำหน้าที่นำหน้าคำสรรพนาม เช่น ฉันจะไปกับเธอ ( กับ เป็นคำบุพบท นำหน้าสรรพนาม เธอ ) ๓. ทำหน้าที่นำหน้าคำกริยา เช่น เขาหยุดพักทำงานเพื่อนอน ( เพื่อ เป็นคำบุพบท นำหน้า กริยา นอน ) ๔. ทำหน้าที่นำหน้าคำวิเศษณ์ เช่น เธอต้องพูดไปตามจริง ( ตาม เป็นคำบุพบท นำหน้า วิเศษณ์ จริง ) ๕. ทำหน้าที่นำหน้าประโยค เช่น ครูลบกระดานเพื่อลอกโจทย์ข้อใหม่ ( เพื่อ เป็นคำบุพบท นำหน้า ประโยค ครูลอกโจทย์ข้อใหม่ ) ๗.๖ คำสันธาน ความหมายของคำสันธาน คำสันธาน หมายถึง คำที่ใช้เชื่อมคำหรือข้อความให้ติดต่อเป็นเรื่องเดียวกัน ประโยคจะมี ความกระชับ และสละสลวยขึ้น คำสันธานได้แก่ และ, แล้ว, ก็, จึง, เพราะ, จน, ผู้, ที่, ซึ่ง, อัน, กว่า, กับ, ตาม, ให้,เมื่อ,หรือ, จนกระทั่ง, ดังนั้นจึง, เพราะเหตุว่า, ด้วยว่า, ทั้ง...และ, พอ...ก็, ครั้น...จึง, หรือไม่...ก็, แต่, แต่ว่า, หรือมิฉะนั้น, ดังนั้น, ระหว่าง, ขณะที่, ถึงอย่างไรก็ตาม


๑๐๔ คำสันธานจำแนกเป็น ๓ กลุ่ม ๑. สันธานตัวเดียว ( เดี่ยว ) เช่น และ, เพราะ, จึง, ก็ ฯลฯ ๒. สันธานคู่ เช่น พอ...ก็, ครั้น...จึง, ดังนั้น...จึง ฯลฯ ๓. สันธานกลุ่ม ( หลายตัว ) เช่น ดังนั้นจึง, เพราะเหตุว่า หรือไม่เช่นนั้น ฯลฯ ชนิดของคำสันธาน หลักภาษาไทยได้แบ่งคำสันธานออกเป็น ๔ ชนิด ดังนี้ ๑. คำสันธานที่เชื่อมใจความคล้อยตามกัน ได้แก่คำว่า กับ และ ก็ ครั้ง...ก็ เมื่อ...ก็ พอ...ก็ เช่น เด็กดีต้องขยันเรียนและอ่านหนังสือ พอฝนหยุดตกกบเขียดก็ร้องส่งเสียงระงม น้องกับพี่ไปโรงเรียน ๒. คำสันธานที่เชื่อมใจความขัดแย้งกัน ได้แก่คำว่า แต่ แต่ทว่า ถึง...ก็ แม้...ก็ เช่น ถึงเขาจะยากจนแต่เขาก็มีความสุข เขาวิ่งเร็วมากแต่ว่าไม่เหนื่อยเลย ๓. คำสันธานที่เชื่อมใจความเป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่คำว่า ดังนั้น เพราะฉะนั้น เพราะ ...จึง ดังนั้น...จึง จึง ด้วย เหตุเพราะ ฉะนั้น เช่น เพราะเขาขยันอ่านหนังสือ เขาจึงสอบผ่าน เขาเกียจคร้านจึงสอบตก ๔. คำสันธานที่เชื่อมใจความให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่คำว่า หรือ มิฉะนั้น ไม่ ...ก็ ไม่เช่นนั้น เช่น เธอจะไปกับผมหรือเธอจะไปกับเขา คุณต้องเข้าห้องสอบก่อนเวลา ๙.๐๐ น. มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ในการสอบ หน้าที่ของคำสันธาน ๑. เชื่อมประโยคกับประโยค เช่น ฉันอยากได้กระเป๋าที่ราคาถูกและใช้งานได้นาน ๒. เชื่อมคำกับคำหรือกลุ่มคำ เช่น พ่อของฉันลำบากเมื่อแก่


๑๐๕ ๓. เชื่อมความให้สละสลวย เช่น คนเราก็ย่อมเกิดความผิดพลาดกันบ้าง ๔. เชื่อมข้อความกับข้อความ เช่น คนเราต้องการอาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคด้วย เหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องประกอบอาชีพเพื่อให้ได้เงินมาซื้อสิ่งจำเป็นเหล่านี้ ข้อสังเกต ๑. คำสันธานบางคำใช้เข้าคู่กัน เช่น ไม่...ก็, กว่า...ก็, เพราะ...จึง, ถึง...ก็, แม้...ก็ เป็นต้น ๒. คำสันธานอาจอยู่ในตำแหน่งต่างๆในประโยคก็ได้ เช่น อยู่ระหว่างคำ : อีฟชอบสีม่วงและสีขาว อยู่หลังคำ : คนก็ดี สัตว์ก็ดี รักชีวิตด้วยกันทั้งนั้น อยู่คร่อมคำ : ถึงเป็นเพื่อนก็อย่าวางใจ อยู่ระหว่างประโยค : ตูนจะดื่มน้ำส้มหรือดื่มนม อยู่หลังประโยค : เราจะทำบุญก็ตาม บาปก็ตาม ควรคิดถึงผลกรรม อยู่คร่อมประโยค : แม้เต้จะกินมากแต่เต้ก็ไม่อ้วน ๓. ประโยคที่มีคำสันธานนั้นจะแยกออกเป็นประโยคย่อยได้ตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไป ๔. คำบางคำเป็นได้ทั้งคำสันธานและคำบุพบท เช่น คำว่า “เมื่อ” ให้พิจารณาว่าถ้า สามารถแยกเป็น ๒ ประโยคได้ก็เป็นคำสันธาน เช่น “เมื่อ ๑๖ นาฬิกา อาร์ทได้ออกจากโรงเรียนไป แล้ว” (เป็นคำบุพบท) “เมื่อเราได้ยินเสียงระฆัง หมวยได้ออกจากโรงเรียนไปแล้ว” ( เป็นคำสันธาน ) ๕. คำว่า “ให้” เมื่อนำมาใช้เชื่อมประโยคก็จัดเป็นคำสันธาน เช่น “เขาทำท่าตลกให้เด็กหยุดร้องไห้” เป็นต้น ๖. คำว่า “ว่า” เมื่อนำมาใช้เชื่อมระหว่างประโยคก็จัดเป็นคำสันธาน เช่น “หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่ามีการกวาดล้างพวกมิจฉาชีพครั้งใหญ่” ๗. คำประพันธสรรพนาม (สรรพนามแทนนามและเชื่อมประโยค) หรือคำสรรพนามเชื่อม ประโยค คือ คำว่า “ผู้ ที่ ซึ่ง อัน” จัดเป็นคำสันธานด้วย เช่น - สตรีผู้มีความงามย่อมเป็นที่สนใจของคนทั่วไป


๑๐๖ - คนที่กำลังเล่นกีตาร์นั่นเป็นพี่ชายของวี - ฝ้ายอยู่ในตลาดซึ่งมีคนพลุกพล่าน ๗.๗ คำอุทาน คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้พูด มักจะเป็นคำที่ไม่มี ความหมาย แต่เน้นความรู้สึก และอารมณ์ของผู้พูด เสียงที่เปล่งออกมาเป็นคำอุทาน แบ่งเป็น ๓ ลักษณะ ๑. เป็นคำ เช่น อ๋อ เออ อุ๊ย โอ๊ย ว้าย แหม โธ่ เป็นต้น ๒. เป็นวลี เช่น พุทโธ่ คุณพระช่วย โอ๋พระเจ้า เป็นต้น ๓. เป็นประโยค เช่น ไฟไหมเจ้าข้า อกอีแป้นจะแตก เป็นต้น ชนิดของคำอุทาน ชนิดของคำอุทาน แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ ๑. คำอุทานบอกอาการ คือ คำอุทานที่เปล่งออกมาเพื่อให้รู้อาการต่าง ๆ ของผู้พูด เช่น อาการดีใจ เสียใจ ตกใจ และประหลาดใจ เป็นต้น คำอุทานบอกอาการใช้ใน ๒ ลักษณะดังนี้ ๑.๑) ใช้แสดงความรู้สึกต่างๆ มักใช้ในการพูดมากกว่าการเขียน และหลังคำอุทานพวกนี้มัก มีเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) กำกับเสมอ ตัวอย่างเช่น ๑.๑ อาการร้องเรียกหรือบอกให้รู้ตัว เช่น นี่แน่ะ ! เฮ้ย ! โว้ย ! ๑.๒ อาการโกรธเคือง เช่น ดูดู๋ ! ชะๆ ! ชิๆ ! ๑.๓ อาการประหลาดใจหรือตกใจ เช่น เอ๊ะ ! ว๊าย ! แม่เจ้าโว้ย ! ๑.๔ อาการสงสารหรือปลอบโยน เช่น อนิจจา ! พุธโธ่ ! ๑.๕ อาการเข้าใจหรือรับรู้ เช่น เออ ! เออน่ะ ! อ้อ ! ๑.๖ อาการเจ็บปวด เช่น โอย ! โอ๊ย ! ๑.๗ อาการโล่งใจ เช่น เฮ้อ ! เฮอ ! ๑.๘ อาการประหม่า เช่น เอ้อ ! อ้า ! ๑.๒) ใช้เป็นคำขึ้นต้นประโยคในคำประพันธ์ เพื่อแสดงความรำพึง รำพัน วิงวอน หรือ ปลอบโยน เป็นต้น ได้แก่คำ อ้า โอ้ โอ้ว่า และใช้แสดงความรำพึง พรรณนาวิงวอน ตัวอย่างเช่น


๑๐๗ โอ้ว่ารักหนอรักนี้หนักจิต บางคราวคิดว่าสนุกเป็นสุขี บางคราวโอนแรงหึงตรึงทวี บางครั้งกลุ้มฤดีนี้อย่างไร อ้าแม่พิมลสกลโฉม สิริโสมลออตา จากกันประหนึ่งจะมรณา เพราะวิบัติอุบัติเห็น โอ้เวรกรรมจำพรากต้องจากนุช พี่แสนสุดอาลัยใจถวิล เมื่อสิ้นน้องเหมือนหนึ่งว่าสิ้นฟ้าดิน เป็นอันสิ้นตระกูลสูญทั้งปวง ๒.คำอุทานเสริมบท คือ คำอุทานใช้เป็นคำสร้อย หรือ คำเสริมบทต่างๆ เพื่อให้มีคำที่ครบถ้วนตามที่ ต้องการหรือให้มีความกระชับ มีทั้งหมด ๓ ชนิด คือ ๒.๑) คำอุทานเสริมบทที่ใช้เป็นคำสร้อย ส่วนมากพบเป็นคำขึ้นต้นและลงท้ายบทประพันธ์ ประเภทโคลงและร่าย เติมลงไปเพื่อแสดงความรู้สึกบ้าง เพื่อทำให้คำประพันธ์มีพยางค์ครบตามฉันท ลักษณ์บ้าง ได้แก่คำว่า โอ้ อ้า โอ้ว่า เถิด นา พ่อ แฮ เฮย เอย ฯลฯ ดังตัวอย่าง - ขาดทรัพย์ อับมิตรหมอง หม่นจิตร จริงแฮ - โอ้ศรีเสาวลักษณ์ล้ำ แลโลม โลกเอย - พระสุเมรุเปื่อยเป็นตม ทบท่าว ลงนา - โฉมควรจักฝากฟ้า ฤๅดิน ดีฤๅ ๒.๒ ) คำอุทานเสริมบทที่ใช้เป็นคำแทรก ใช้แทรกลงในระหว่างคำหรือข้อความ มีทั้งหมด ๒ ชนิด คือ (๒.๒.๑) ใช้เป็นบทบูรณ์ คือ เป็นคำที่ทำให้บทประพันธ์มีพยางค์ครบถ้วนตามฉันทลักษณ์ ได้แก่ คำ นุ ซิ สิ นิ ตัวอย่างเช่น เวียนมา สิ เวียนไป แต่งอเนก นุประการ (๒.๒.๒) ใช้ประกอบข้างท้ายให้มีการกระชับสละสลวยมากขึ้น ได้แก่คำ นา นะ เอย เอ๋ย เอ่ย โอย ตัวอย่างเช่น เด็ก เอ๋ย เด็กน้อย ตัวอะไร เอ่ย มี ๔ ตา มาเถิดนา พ่อ นา ๒.๓) คำอุทานเสริมบทที่ใช้เป็นคำเสริม คือ ต้องใช้ต่อถ้อยเสริมคำให้ยาวขึ้น แต่ไม่ต้องการ ความหมายที่เสริมนั้น มี ๓ ชนิด คือ (๒.๓.๑) คำเสริมที่สอดลงไปในระหว่าง เพื่อให้เป็นสะพานเสียงทอดสัมผัส ระหว่างคำหน้ากับคำ หลัง เช่น วัด วา อาราม พิธี รี ตอง ลูก เต้า เหล่าใคร คำ - นาง , วา , ผ่อน , ผา , หญ้า , เต้า , รี , สารา เป็นคำเสียงสอดลงไปให้เกิดเสียงสัมผัส


๑๐๘ (๒.๓.๒) คำเสริมที่เลียนเสียงคำเดิม จะเสริมข้างหน้าหรือข้างหลังก็ได้ คำชนิดนี้ไม่มีความหมาย อะไร แต่บางคำก็ช่วยกระชับความหรือเน้นเสียงให้หนักแน่นขึ้น และส่วนมากใช้ในภาษาพูดมากกว่า ภาษาเขียน เช่น ไม่รู้ไม่ชี้ กระดูกกระเดี้ยว หนังสือหนังหา เข้าอกเข้าใจ (๒.๓.๓)คำเสริมที่พ่วงเข้ามาเพื่อเติมเสียงให้เต็มตามที่เคยใส่ในที่อื่น เช่น มือของเขาช่างไว ไฟ เหลือเกิน เขาตั้งใจศึกษา เล่า เรียน หน้าที่ของคำอุทาน หน้าที่ของคำอุทาน มีดังนี้คือ ๑. ทำหน้าที่แสดงความรู้สึกของผู้พูด เช่น - ตายจริง! ฉันลืมเอากระเป๋าสตางค์มา - โธ่! เธอคงจะหนาวมากละซิ - เอ๊ะ! ใครกันที่นำดอกไม้มาวางไว้ที่โต๊ะของฉัน ๒. ทำหน้าที่เพิ่มน้ำหนักของคำ ซึ่งได้แก่คำอุทานเสริมบท เช่น - ทำเสร็จเสียทีจะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป - เมื่อไรเธอจะหางงหางานทำเสียที - เธอเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร ๓. ทำหน้าที่ประกอบข้อความในคำประพันธ์ เช่น - แมวเอ๋ยแมวเหมียว - มดเอ๋ยมดแดง - กอ เอ๋ย กอไก่ ข้อควรจำ ๑. การใช้คำอุทานบอกอาการมักเขียนไว้หน้าประโยค และจะต้องใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) หลังคำ อุทานทุกคำ ยกเว้นคำประพันธ์ประเภทร้อยกรองไม่ต้องใส่ ๒. คำอุทานเสริมบทจะวางอยู่ในตำแหน่งใดในประโยคก็ได้ และหลังคำนั้นไม่ต้องใส่เครื่องหมาย อัศเจรีย์หลังคำ


Click to View FlipBook Version