The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ปนัดดา ศิริโสม, 2023-03-21 04:13:31

บทที่ ๑

บทที่ ๑

๑๕ บทที่ ๒ อักษรในภาษาไทย บทนำ เปลื้อง ณ นคร (๒๕๔๙: ๖, ๑๓) อธิบายว่า อักษร (อกฺษร-สันสกฤต) ในพจนานุกรม สันสกฤต-ไทย-อังกฤษ อภิธาน ของหลวงบวรบรรารักษ์ ให้คำแปลอักขระตัวหนึ่ง พระศิวะ พระพรหม ไม่ผันแปร ไม่เสื่อมสิ้น นอกจากนี้ยังได้อธิบายถึงมูลรากแห่งตัวอักษร ได้ว่า ตัวอักษร คือ สระและพยัญชนะนั้น มี รากเหง้ามาจากภาษาบาลีและสันสกฤตได้คือ ๑. ลักษณะตัวอักษรของชาติต่าง ๆ ที่ถ่ายแบบมากจากบาลีและสันสกฤต เช่น เขมร ลาว มอญ ฯลฯ ยังสังเกตได้ว่าละม้ายคล้ายคลึง ๒. การจัดลำดับอักษรก็คล้ายกัน คือ เอาสระไว้ก่อนแล้วถึงพยัญชนะ และจัดเป็นวรรค ๆ เรียง กันไปตามลำดับฐาน(ที่เกิดอักษร) คือ คอ เพดาน ปุ่มเหงือก ฟัน และริมฝีปาก ๓.วิธีผสมอักษรเอาสระไว้ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง ข้างบนบ้าง ข้างล่างบ้าง ในหนังสือมูลบรรพกิจ : วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ ซึ่งพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้ประพันธ์ขึ้นเพื่อใช้เป็นแบบเรียนภาษาไทยของ กุลบุตรที่ศึกษาในโรงเรียนหลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวถึงอักษรใน ภาษาไทยในคำนมัสการย่อเพื่อให้ประสิทธิในการเรียน เพื่อให้ผู้เรียนเคารพบูชาและท่องจำนำขึ้นใจ นำไปใช้อย่างถูกต้อง ไว้ดังนี้


๑๖ ภาพที่ ๑.๑ คำนมัสการย่อเพื่อให้ประสิทธิในการเรียน ที่มา มูลบรรพกิจ : วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ (ศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร), พระยา) ๒.๑ วิวัฒนาการของอักษรไทย ภาษาไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับตั้งแต่สมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงทรงประดิษฐ์ อักษรไทยขึ้น เมื่อ พ.ศ.๑๘๒๖ ที่เรียกว่า ลายสือไทย ประกอบไปด้วยพยัญชนะ ๓๙ รูป สระ ๒๐ รูป และวรรณยุกต์ ๒ รูป จากหลักฐานที่ ธวัช ปุณโณทก (๒๕๔๙ : ๙๑-๙๒) กล่าวถึงหนังสือจินดามณี ฉบับสมัยพระเจ้าบรมโกศบันทึกไว้ที่บานแพนกว่า “อันหนึ่งในจดหมายแต่ก่อนว่า ศักราช ๖๔๕ (จ.ศ. ๖๔๕ ตรงกับ พ.ศ. ๑๘๒๖) มะแมศก พระยาร่วงเจ้าได้เมืองศรีสัชชนาไลยแล้ว แต่งหนังสือไทยและจะ ได้ว่าแต่งรูปก็ดี แต่งแม่อักษรก็ดี มิได้ว่าไว้แจ้ง อนึ่งแม่หนังสือ แต่ ก กา กน ฯลฯ ถึง เกย เมืองขอมก็ แต่งมีอยู่แล้ว เห็นว่าพระยาร่วงเจ้าจะแต่งแต่รูปอักษรไทย” จากข้อความที่บันทึกอยู่ในหนังสือจินดา มณี กล่าวไว้ตรงกับศิลาจารึกหลักที่ ๑ คือพระยาร่วง(พ่อขุนรามคำแหง) ประดิษฐ์อักษรไทยเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖ แต่ไม่แน่ใจว่าจะคิดเพียงรูปอักษรอย่างเดียวหรือคิดทั้งระบบการเขียนหนังสือ(แม่หนังสือ) ด้วยเพราะระบบการเขียนหนังสือนั้นเมืองขอมก็มีอยู่แล้ว เห็นว่าพระยาร่วงคงปรับปรุง(แต่งแต่


๑๗ รูปอักษร)แสดงให้เห็นว่าพ่อขุนรามคำแหงทรงเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรไทยในสมัยสุโขทัยจริง ไม่ใช่เรื่อง เหลือเชื่อแต่อย่างใด ในสมัยพระเจ้าลิไท กษัตริย์องค์ที่ ๕ ของกรุงสุโขทัย มีการเปลี่ยนแปลงการวางสระจากที่ ลายสือไทยวางสระลอยไว้บรรทัดเดียวกันกับพยัญชนะ จึงเปลี่ยนสัณฐานเพื่อให้เหมาะสมกับการวางไว้ บนและล่างพยัญชนะต้นและสระบางตัวมีรูปสูงกว่าพยัญชนะ ได้แก่ ใ ไ โ ในสมัยอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีรูปอักษรตรงกับอักษรไทยปัจจุบันทุกตัว เพียงแต่นิยมเล่นหางหยักปลาย ในสมัยนี้พระโหราธิบดีได้แต่งตำราเรียนภาษาไทยชื่อ “จินดามณี” ใช้ เป็นแบบเรียนสอนอ่านและให้ความรู้ด้านหลักภาษาและวิธีแต่งคำประพันธ์ โดยเฉพาะความรู้เรื่องหลัก ภาษาประกอบด้วยการใช้อักษรศัพท์ ซึ่งปรากฏในภาคที่ ๒ กล่าวถึงหลักการใช้ ศ ษ ส ใ ไ ฤ ฤๅ จากนั้นแบ่งอักษรออกเป็น ๓ หมู่ ตามเสียงวรรณยุกต์ของอักษรนั้น คือ อักษรสูง อักษรกลาง และ อักษรต่ำ เนื้อหาต่อไปเป็นการแจกลูก การผันอักษร เครื่องหมาย และพยัญชนะสะกด สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นตัวอักษรของไทย พยัญชนะมีสัณฐานคงรูปทั้ง ๔๔ รูป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย รูปสระก็ยังคงไว้ ๓๒ รูปเช่นกัน ส่วน วรรณยุกต์ เป็นทรงธรรมดา เริ่มมีกิจการโรงพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ ๓ รูปสัณฐานของตัวอักษรจะอิง กับอักษรที่เป็นตัวพิมพ์เป็นหลัก อักษรเฉพาะแบบ มี ๔ ชนิด ได้แก่ ๑. อักษรอริยกะ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ขึ้น โปรดให้ทดลองใช้ กับพระสงฆ์ ฝ่ายธรรมยุตก่อน แต่ไม่ได้รับความนิยมจึงต้องเลิกล้มไป ทั้งที่เพราะรูปตัวอักษรเปลี่ยน รูปร่างไปจากอักษรไทยมาก) ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/Ariyaka.jpg


๑๘ ๒. อักษรวิธีแบบใหม่ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริ) กำหนดให้ใช้รูปสระใหม่ จำนวน ๒๐ รูป โดยนำแบบอย่างจากอักษรอริยกะและอักษรไทยสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช สระรูปใหม่ทั้งหมดนี้เขียนหลังพยัญชนะเท่านั้น พยัญชนะที่เขียนติดกันให้ ออกเสียงควบกล้ำเท่านั้น ยกเลิกการใช้วิสรรชนีย์ (-ะ) แทนเสียงสระอะแต่ใช้กำกับสระเสียงสั้นเท่านั้น พยัญชนะคงรูปเดิมแต่เพิ่มเครื่องหมายฆาฏประกาศ (.) ไว้ใต้อักษรนำและอักษรที่ไม่ออกเสียง พยัญชนะที่ไม่มีสระกำกับจะออกเสียงไม่ได้ ถ้าต้องออกเสียงตัวสะกด ต้องใส่เครื่องหมายเปย์ยาลย่อ (‘)ไว้หลังพยัญชนะต้น เช่น ช’น อ่านว่า ชะ-นะ พยัญชนะต้นที่ออกเสียงออให้ใส่เปย์ยาลย่อไว้ข้างหลัง ตัว ร เป็นตัวสะกดโดยไม่มีสระกำกับให้ออกเสียง ออน อักษรกล้ำของคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ ให้ใช้เครื่องหมาย อนุสวาร (◦) ในภาษาสันสกฤตมาใช้ โดยวางไว้เหนือพยัญชนะตัวแรกเมื่อกล้ำสองตัว หรือตัวที่สองเมื่อกล้ำสามตัว ๓. อักษรสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม (เกิดขึ้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงรูปตัวอักษร เพียงแต่ตัดตัวพยัญชนะและสระที่มีเสียงซ้ำกันออกไป เช่น ห้ามใช้ สระ ใอ ฤ ฤา ฦ ฦา ห้ามใช้พยัญชนะต่อไปนี้ คือ ฃ ฅ ฆ ฌ ฏ ฎ ฐ ฑ ฒ ณ ศ ษ ฬ ส่วน ญ ให้ตัดเชิงออก) เมื่อนายควง อภัยวงค์ เป็นนายกรัฐมนตรีจึงได้ประกาศยกเลิกวิธีการเขียนแบบสมัยจอมพลแปลกฯ จากนั้น ตัวอักษรไทยได้เข้าสู่ยุคแห่งการพิมพ์จนถึงปัจจุบัน ๔. อักษรไทยปัจจุบัน (ลักษณะตัวอักษรจะเล็ก เตี้ย และหางสั้นกว่าลายมืออาลักษณ์ที่ใช้ใน เอกสารทางราชการ : พยัญชนะมี ๔๔ ตัว , สระมี ๒๑ รูป ๓๒ เสียง , วรรณยุกต์มี ๔ รูป ๕ เสียง คือ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ( - ่ ้ ๊ ๋ ) ๒.๒ สระ เปลื้อง ณ นคร (๒๕๔๙: ๑๑). ได้อธิบายความหมายของสระ ดังนี้ สระ (สะ – หระ) มาจากคำ บาลีว่า สร แปลว่า เสียง สันสกฤต ว่า สฺวร ในไวยากรณ์บาลี เรียก สระ ว่า นิสสัย หมายความว่าเป็นที่ อาศัยของพยัญชนะ คือทำให้พยัญชนะออกเสียงได้ อันนี้ขำดีมาก คือว่า ที่เราออกเสียงแปร (คือเสียง พยัญชนะ) เช่น กอ ดังนี้ก็มีเสียงสระอยู่ ในพยัญชนะบาลีออกเสียงมีเสียง อะ ทุกตัว เช่น ก ข ค ฆ ง ก็ ออกเสียงว่า กะ ขะ คะ ฆะ งะ


๑๙ วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๘ : ๑) รูปสระ คือ เครื่องหมายที่ประดิษฐ์ขึ้นใช้ เพื่อช่วยให้พยัญชนะ ออกเสียงได้ตามความต้องการ รูปสระนี้เขียนไว้โดด ๆ ตามลำพัง หรือเขียนประมอยู่กับสระอื่นก็ได้ ถ้า เขียนอยู่โดด ๆ ตามลำพังต้องใช้ “อ” เป็นทุ่นเกาะ นอกจาก ฤ ฤๅ ฦๅ เท่านั้น ซึ่งเขียนอยู่โดด ๆ ก็ได้ ประสมกับพยัญชนะก็ได้ หนังสือ หลักภาษาไทย ของพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) (๒๕๒๔ : ๓-๔) แสดง ตัวสระ ๒๑ รูป บอกชื่อเรียก ดังนี้ (๑) ะ เรียก วิสรรชนีย์ สำหรับประหลังเป็นสระอะ และประสมกับรูปอื่นเป็นสระ เอะแอะโอะเอาะเออะเอียะอัวะ (๒) ั เรียก ไม้ผัดหรือหันอากาศ สำหรับเขียนข้างบนเป็นสระ อะ เมื่อมีตัวสะกด และประสมกับรูปอื่นเป็นสระ อัวะอัว (๓) ็ เรียก ไม้ไต่คู้ สำหรับเขียนข้างบนแทนวิสรรชนีย์ในสระบางตัวที่มีตัวสะกด เช่น เอ็น แอ็นอ็อน ฯลฯ และใช้ผสมกับตัว ก เป็นสระเอาะ มีไม้โท คือ ก็ (อ่านเก้าะ) (๔) า เรียก ลากข้าง สำหรับเขียนข้างหลังเป็นสระ อา และประสมกับรูปอื่นเป็นสระ เอาะ อำ เอา (๕) ิ เรียก พินทุ์อิ สำหรับเขียนข้างบนเป็นสระ อิ และประสมกับรูปอื่นเป็นสระ อี อึ อืเอียะเอียเอือะเอือ และใช้แทนตัว อ ของสระ เออ เมื่อมีตัวสะกดก็ได้ เช่น เกอน เป็น เกิน ฯลฯ (๖) ่ เรียก ฝนทอง สำหรับเขียนข้างบนพินทุ์อิ เป็นสระ อี และประสมกับรูปอื่น เป็น สระ เอียะเอีย (๗) ํ เรียก นฤคหิต หรือหยาดน้ำค้าง สำหรับเขียนข้างบนลากข้างเป็นสระ อำ บนพินทุ์อิ เป็นสระ อึ ในภาษาบาลีและสันสกฤตท่านจัดเป็นพยัญชนะเรียกว่า นิคหิต หรือ นฤคหิต สำหรับเขียนบนสระในภาษาบาลีอ่านเป็นเสียง ง สะกด (๘) " เรียก ฟันหนู สำหรับเขียนบน พินทุ์อิ เป็นสระ อือ และประสมกับสระอื่น เป็น สระ เอือะเอือ (๙) ุ เรียก ตีนเหยียด สำหรับเขียนข้างล่างเป็นสระ อุ (๑๐) ู เรียก ตีนคู้ สำหรับเขียนข้างล่างเป็นสระ อู


๒๐ (๑๑) เ เรียก ไม้หน้า สำหรับเขียนข้างหน้า รูปเดียวเป็นสระ เอ สองรูปเป็นสระ แอ และประสมกับรูปอื่นเป็นสระ เอะแอะเอาะเออะ เออ เอียะเอียเอือะเอือ เอา (๑๒) ใ เรียก ไม้ม้วน สำหรับเขียนข้างหน้าเป็นสระ ใอ (๑๓) ไ เรียก ไม้มลาย สำหรับเขียนข้างหน้าเป็นสระ ไอ (๑๔) โ เรียก ไม้โอ สำหรับเขียนข้างหน้าเป็นสระ โอ และเมื่อประวิสรรชนีย์เข้าเป็น สระ โอะ (๑๕) อ เรียกตัว ออ สำหรับเขียนข้างหลังเป็นสระ ออ และประสมกับรูปอื่นเป็นสระ อือ (เมื่อไม่มีตัวสะกด) เออะ เออ เอือะเอือ (๑๖) ย เรียกตัว ยอ สำหรับประสมกับรูปอื่นเป็นสระ เอียะเอีย (๑๗) ว เรียกตัว วอ สำหรับประสมกับรูปอื่นเป็นสระ อัวะอัว (๑๘) ฤ เรียกตัว รึ สำหรับเขียนเป็นตัว ฤ (๑๙) ฤๅ เรียกตัว รือ สำหรับเขียนเป็นตัว ฤๅ (๒๐) ฦ เรียกตัว ลึ สำหรับเจียนเป็นตัว ฦ (๒๑) ฦๅ เรียกตัว ลือ สำหรับเขียนเป็นตัว ฦๅ (๒๑) ฦๅ เรียกตัว ลือ สำหรับเขียนเป็นตัว ฦๅ ๒.๓ พยัญชนะ เปลื้อง ณ นคร (๒๕๔๙: ๑๑). ได้อธิบายความหมายของพยัญชนะ ดังนี้ พยัญชนะ (พะ – ยัน – ชะ-นะ) เป็นคำบาลี แปลว่า ทำเนื้อความให้ปรากฏ เรียกอีกชื่อว่า นิสสิต แปลว่า อาศัยแล้ว คือ อาศัยสระ ที่ว่าทำเนื้อความให้ปรากฏนั้นก็คือว่า ถ้าเราอาศัยแต่เสียงแท้ ก็จะมีแต่เสียงไอไออา อูอะอา ไม่ได้ความว่ากระไร เมื่อมีพยัญชนะเสียง ไอไออาก็จะกลายเป็น ไปไหนมา หรือ อูอะอา ก็จะเป็น กูจะ เอา อย่างนี้ก็ได้ความเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น พยัญชนะจึงหมายความว่าทำเนื้อความให้ปรากฏ สถาบันภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๕: ๖๒). ได้อธิบายรูปพยัญชนะ ไทย ไว้ว่า ชื่อเรียกตัวพยัญชนะ ปรากฏในหนังสือ จินดามณี ของพระโหราธิบดีว่า “รูปพยัญชนะไทย เรียกเสมือนว่ามีสระออประสมอยู่ รูปพยัญชนะที่มีชื่อแปลกออกไป มีแต่เพียงตัว ศ ษ ส ซึ่งเรียกว่า ศอคอ ษอบอ สอลอ เท่านั้น”


๒๑ พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๔๖: ๗ – ๘) ได้อธิบายรูปพยัญชนะไทย มี ๔๔ ตัว ก ข ฃ ค ฅ ฆ ง, จ ฉ ช ซ ฌ ญ, ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ด ต ถ ท ธ น, บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม, ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ อ ฮ พยัญชนะที่มีเสียงซ้ำกันมีชื่อกำกับอยู่ด้วย เพื่อจะให้รู้ตัวไหนแน่ แต่ชื่อนั้นเรียกกันต่าง ๆ ตามลัทธิ อาจารย์ ในที่นี้จะเลือกเรียกตามที่ชอบ ดังนี้ ข ข้อง, ฃ เฃต (เพราะเดิมเขียน “เขตร”), ค ควาย, ฅ กัณฐา (เพราะเดิมเขียน ฅอ), ฆ ระฆัง, ช ช้าง, ฌ เฌอ(ต้นไม้), ญ หญิง, ฎ ชฎา, ฏ รกชัฏ, ฐ ฐาน, ฑ มณโฑ, ฒ ผู้เฒ่า, ณ เณร, ด เด็ก, ต เต่า, ถ ถุง, ท ทหาร, ธ ธง, น หนู, พ พาน, ภ สำเภา, ย ยักษ์, ร เรือ, ล ลิง, ฬ จุฬา(ปิ่น), (ตัว ร นี้มีเสียงผิดกับ ล แต่มักจะเรียกปนกัน จึงตั้งชื่อไว้เพื่อให้รู้ชัดเจน) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ชื่อตัวพยัญชนะในหนังสือ แบบเรียนเร็ว ว่าดังนี้ ก ไก่ ข ไข่ ฃ ขวด ค ควาย ฅ คน ฆ ระฆัง ง (รูปงู) จ จาน ฉ ฉิ่ง ช ช้าง ซ โซ่ ฌ เฌอ ญ ผู้หญิง ฎ ชะฎา ฏ ปะฏัก ฐ ฐาน ฑ นางมณโฑ ฒ ผู้เฒ่า ณ เณร ด เด็ก ต เต่า ถ ถุง ท ทหาร ธ ธง น หนู บ ใบไม้ ป ปลา ผ ผึ้ง ฝ ฝา พ พาน ฟ ฟัน ภ สำเภา ม ม้า ย ยักษ์ ร เรือ ล ลิง ว แหวน ศ ศาลา ษ ฤๅษี ส เสือ ห หีบ ฬ ฬา อ อ่าง ฮ นกฮูก การใช้ตัวอักษรในสมัยปัจจุบัน ๑. ตัวพยัญชนะ ตัวพยัญชนะเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้เขียนแทนเสียงพยัญชนะ และบางตัวใช้แทนเสียงสระด้วย ตัว พยัญชนะไทยปัจจุบันมี ๔๔ ตัว แต่ใช้เพียง ๔๒ ตัว ตัวพยัญชนะ ๒ ตัว คือ ฃ ฅ ไม่ได้ใช้เขียนมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ (พจนานุกรมฉบับพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) ร.ศ. ๑๒๐) ตัวพยัญชนะไทยมีลักษณะสำคัญที่ควรสังเกต คือ ตัวตั้งตรง มีความกว้างน้อยกว่าความสูง ตัวพยัญชนะแต่ละตัวอาจมีความกว้างไม่เท่ากัน เช่น ตัว ข ฃ ง จ ช ซ ฐ ธ ร มีความกว้าง น้อยที่สุด ตัว ก ค ฅ ฆ ฉ ฎ ฏ ฑ ด ต ถ ท น บ บ ผ ฝ พ ฟ ภ ม ย ล ว ศ ษ ส ห


๒๒ ฬ อ ฮ มีขนาดกลาง ส่วนตัว ฌ ญ ฒ กว้างที่สุด คือ กว้างเกือบ ๒ เท่าของตัวพยัญชนะขนาด กลางโดยส่วนรวมตัวพยัญชนะไทยใช้เส้นตรง แต่จะใช้เส้นมนบ้าง หักมุมบ้าง แหลมบ้างเมื่อลากเส้น เปลี่ยนทิศ ตัวพยัญชนะที่มีหางคือ ช ซ ฐ ป ฝ ฟ ศ ส ฬ ฮ หางจะยาวเหนือเส้นบรรทัดขึ้นไป ส่วนที่มีเชิงหรือมีหางยาวลงมาใต้บรรทัด ได้แก่ ญ ฐ ฎ ฏ และตัว ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เชิงหรือส่วนหาง จะห้อยต่ำลงมาใต้บรรหัด ลักษณะสำคัญของตัวพยัญชนะไทยอีกประการหนึ่ง คือ จุดเริ่มต้น ซึ่งเรียกว่า หัว ตัว พยัญชนะไทยมีจุดเริ่มต้นหรือหัวแตกต่างกัน ๔ แบบ ดังนี้ ๑) หัวมีแวว หัวมีลักษณะเป็นวง มี ๒ แบบ คือ แบบหัวเข้า กับแบบหัวออก พยัญชนะหัวเข้า คือ พยัญชนะซึ่งหัวอยู่ภายในตัวพยัญชนะ หรือเส้นที่ตอจากหัวจะ ลากในทิศทางรอบหัว พยัญชนะหัวเข้ามี ๑๖ ตัว ได้แก่ ง ฌ ญ ฒ ณ ด ต ถ ผ ฝ ย ล ว ส อ ฮ พยัญชนะหัวออก คือ พยัญชนะซึ่งหัวอยู่นอกตัวพยัญชนะ หรือเส้นที่ต่อจากหัวนั้นลาก ไปคนละทิศกับหัว พยัญชนะหัวออกมี ๒๐ ตัว ได้แก่ ค ฅ จ ฉ ฎ ฏ ฐ ท น บ ป พ ฟ ภ ม ร ศ ษ ห ฬ ๒) หัวสองชั้น พยัญชนะพวกนี้เขียนหัวขมวด ๒ ชั้น ลักษณะคล้ายแบบหัวเข้าแต่เมื่อเขียน ครบวงแล้วเขียนเส้นต่อวนอีกเกือบรอบหนึ่ง พยัญชนะหัวสองชั้น มี ๒ ตัว ได้แก่ ข ช ๓) หัวหยักหรือหัวแตกคือ พยัญชนะซึ่งมีหัวคล้ายหัวสองชั้น แต่เพิ่มรอยหยักก่อนที่จะ ลากเส้นให้จบส่วนหัว พยัญชนะที่มีหัวหยักมี ๔ ตัว ได้แก่ ฃ ซ ฆ ฑ ๔) พยัญชนะที่ไม่มีหัวมี ๒ ตัว ได้แก่ ก ธ ตัวพยัญชนะไทยมักจัดเป็นวรรคตามแบบอักษรเทวนาครี ดังนี้ วรรคที่ ๑ วรรค กะ ก ข ฃ ค ฅ ฆ ง วรรคที่๒ วรรค จะ จ ฉ ช ซ ฌ ญ วรรคที่ ๓ วรรค ฏะ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ วรรคที่ ๔ วรรค ตะ ด ต ถ ท ธ น วรรคที่ ๕ วรรค ปะ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม เศษวรรค ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ อ ฮ


๒๓ นอกจากนี้ยังมีตัวอักษรไทยอีก ๔ ตัว คือ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ซึ่งเดิมจัดเป็นรูปสระตามแบบภาษา สันสกฤต แต่ในการใช้อักษรทั้ง ๔ รูป ในภาษาไทยนั้นไม่เคยปรากฏแทนเสียงสระโดยลำพัง หากเป็น ตังอักษรที่แทนเสียงพยัญชนะประสมกับเสียงสระเทียบได้กับเสียง ริ หรือ รึ รือลึ ลือ จึงเป็น ตัวอักษรแทนพยางค์ หรืออักษรที่ประสมกับพยัญชนะอื่น เช่น ฤดี ฤดู รฦก ฦๅชัย กฤษณา หฤๅ ล้วนเป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤตหรือคำไทยที่เขียนแบบโบราณทั้งสิ้น ๒.๔ วรรณยุกต์ เปลื้อง ณ นคร (๒๕๔๙: ๑๒) ได้กล่าวถึงความหมายของวรรณยุกต์ไว้ว่า วรรณยุกต์มีมาแต่ สมัยขุนรามคำแหง นับว่าเป็นความฉลาดของคนคิดตัวอักษรไทย ส่วนชื่อที่เรียกว่า วรรณยุกต์ นั้นยังไม่ ทราบว่าใครบัญญัติชื่อนี้ขึ้นแต่เมื่อไร แปลตามศัพท์ว่า วรรณ แปลว่า สี ผิว ชนิด เพศ ตัวอักษร ยุกต์ แปลว่า ตกลง จบ เลิก รวมความแปลว่า ตกลงในเรื่องตัวอักษร การบังคับเสียงตัวอักษร ความเห็นเกี่ยวกับประวัติวรรณยุกต์ที่ ยอร์ช เซเดส์ เห็นว่าเพราะพ่อขุนรามคำแหงเป็นผู้เป็น ผู้แรกที่คิดขึ้นเพื่อให้ออกเสียง ชัดเจนเท่ากับการพูดของคนไทยและในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมี เครื่องหมายว่ายุคใช้อยู่สองอย่างคือ ไม้เอกกับกากบาท เอธิกา เอกวารีสกุลและคณะ ได้ศึกษาเรื่องเรื่องวรรณยุกต์ในภาษาไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ และ ปัจจุบัน ผลการวิจัยพบว่าเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ มีสัทลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ สามัญเป็นวรรณยุกต์กลาง – ระดับ วรรณยุกต์เอกเป็นวรรณยุกต์ต่ำ – ระดับ วรรณยุกต์โทเป็น วรรณยุกต์กลาง – ตก วรรณยุกต์ตรีเป็นวรรณยุกต์สูง – ระดับ และวรรณยุกต์จัตวาเป็นวรรณยุกต์ต่ำ – ขึ้น ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทยในปัจจุบันพบว่า สัทลักษณะของวรรณยุกต์ โทมีการเปลี่ยนแปลงจากวรรณยุกต์กลาง – ตก เป็นวรรณยุกต์สูง – ตก และวรรณยุกต์ตรีแปลี่ยนจาก วรรณยุกต์สูง – ระดับเป็นวรรณยุกต์กลาง – ขึ้น ๒.๕ การเขียนอักษรไทย การเขียนเป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ ลายมือที่หวัดไม่ชัดเจน ไม่มีผู้ใดสามารถอ่านเข้าใจได้ การเขียนนั้นก็ไม่มีคุณค่า ครูผู้สอนระดับประถม ศึกษาควรตระหนักในเรื่องนี้ เพราะลายมือของครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็ก และเนื่องจากการฝึกคัด ลายมือมีกำหนดไว้เฉพาะในหลักสูตรระดับประถมศึกษาเท่านั้น ดังนั้น ครูผู้สอนระดับประถมศึกษาจึง


๒๔ จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในการฝึกเด็กระดับประถมศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นปวงชนชาวไทยให้ สามารถเขียนอักษรไทยได้ถูกต้อง รวดเร็วและสวยงาม รูปแบบตัวอักษรไทย ตัวอักษรไทยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เท่าที่รวบรวมได้มี ๗ แบบ คือ ๑. แบบขุมสัมฤทธิ์วรรณการ กระทรวงธรรมการใช้เป็นแบบฝึกหัดลายมือของนักเรียนสมัยก่อน ๒. แบบกระทรวงศึกษาธิการ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการได้ดัดแปลงจากตัวอักษรแบบ ขุมสัมฤทธิ์วรรณการเพื่อทำเป็นแบบฝึกหัดคัดลายมือใช้ในโรงเรียนประถมศึกษาของรัฐบาลทั่ว ประเทศ


๒๕ ๓. แบบอาลักษณ์ แผนกอาลักษณ์กองประกาศิต สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีใช้เป็นแบบคัด ของทางราชการ เป็นลายมือไทยที่สวยงามใช้เขียนเพื่อการเกียรติยศต่าง ๆ ๔. แบบพระยาผดุงวิทยาเสริม (กำจัด พลางกรู) อยู่ในแบบหัดอ่านที่พระยาผดุงวิทยาเสริม เขียนขึ้น คือ แบบหัดอ่านหนังสือไทยภาคต้น แบบหัดอ่าน ก ข ก กา และหนังสือแบบหัดอ่าน เบื้องต้น ซึ่งพิมพ์ขึ้นใช้เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑, ๒๔๗๓ และ ๒๔๗๖ ตามลำดับ เพื่อใช้ฝึกเด็กให้ เขียนหรือคัดลายมือหลังจากเรียนอ่านพยัญชนะแต่ละครั้ง หรือหลังจากฝึกแจกลูกแล้ว


๒๖ ๕. แบบโรงเรียนทุ่งมหาเมฆ คล้ายแบบของพระยาผดุงวิทยาเสริม ซึ่งอาจารย์สูริน สุพรรณรัตน์ อาจารย์ใหญ่ท่านแรกของโรงเรียน ได้นำลายมือของบิดา คือ อาจารย์มงคล สุพรรณรัตน์ เจ้าของและอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสุพมาศพิทยาคม(ตรอกวัดราชนัดดา จ.พระนคร) มาเป็น ต้นแบบให้อาจารย์พูนสุข นีลวัฒนานนท์(บุณย์สวัสดิ์) จัดทำเป็นแบบคัดลายมือของโรงเรียน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๙ ๖. แบบโรงเรียนสายน้ำทิพย์คล้ายแบบของพระยาผดุงวิทยาเสริม ซึ่งอาจารย์อุไร ศรีธวัช ณ อยุธยา อาจารย์ใหญ่ และอาจารย์สูริน สุพรรณรัตน์ ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ได้ดำริให้ลายมือของ ครูทุกคนเป็นแบบเดียวกัน และคณะครูของโรงเรียนได้นำลายมือของอาจารย์มงคล สุพรรณ รัตน์ มาดัดแปลงและทำแบบฝึกหัดคัดลายมือของโรงเรียน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๐


๒๗ ๗. แบบภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คล้ายแบบของพระ ยาผดุงวิทยาเสริม เกิดขึ้นจากดำริของศาสตราจารย์อำไพ สุจริตกุล หัวหน้าแผนกวิชา ประถมศึกษา ที่ต้องการให้มีตัวอักษรของแผนกวิชาที่ง่ายต่อการฝึกเด็กเขียน และเพื่อใช้เป็น แบบฝึกลายมือของนิสิตทุกคนของแผนกวิชาที่จะนำไปสอนศิษย์เมื่อจบเป็นครูแล้ว ๒.๖ ตัวเลขไทย ที่มา https://th.wikipedia.org “เลขไทย” ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็น “เลขไทย” หรือได้รับแบบแผนจาก “เลขเขมร” เป็นประเด็น ถกเถียงกันอยู่อย่างสนุกสนาน หลักฐานที่ดีที่สุดในการพิจารณาประวัติความเป็นมา จำเป็นต้องดูจาก “จารึกโบราณ” เพื่อศึกษาถึงกระบวนวิวัฒนาการของอักษรโบราณเหล่านั้น รวมทั้ง “เลขไทย” และ “เลขเขมร” ด้วย เลขโบราณใน “จารึกเขมร” เลขโบราณในจารึกเขมรมีหลายแบบ เนื่องจากในสมัยนั้น ยังไม่มีการกำหนดรูปแบบการเขียนที่แน่นอน จารึกเขมรโบราณแบ่งออกได้เป็น ๒ สมัยคือ


๒๘ ๑. จารึกเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๔ หาก เปรียบเทียบกับประเทศไทยก็จะตรงกับสมัยที่เรียกว่า “ทวารวดี” อักษรเขมรโบราณที่ใช้ในจารึกสมัยนี้ มีรูปแบบตัวอักษรที่รับมาจาก “อักษรอินเดียใต้ (หรืออักษรสมัยราชวงศ์ปัลลวะ)” ซึ่งมีลักษณะ คล้ายคลึงกับ “อักษรทวารวดี” ที่พบในภาคกลางของประเทศไทย ๒. จารึกเขมรสมัยเมืองพระนคร มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๒๐ เปรียบเทียบกับไทย คือสมัยทวารวดีต่อสุโขทัยและอยุธยาตอนต้น รูปแบบตัวอักษรเขมรสมัยนี้เป็นต้นแบบให้กับอักษรเขมร ปัจจุบัน, อักษรขอมในประเทศไทย และอักษรไทยสุโขทัย รูปแบบตัวเลขที่ใช้ในสมัยทั้งสองมีต่างกันไปบ้าง แต่ก็มีบางตัวที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของ ตัวเลขในสมัยก่อนเมืองพระนครที่มีต่อสมัยเมืองพระนครอย่างเห็นได้ชัด แต่เป็นที่แน่นอนว่าตัวเลขใน จารึกเหล่านี้เก่าแก่กว่า “เลขไทยสมัยสุโขทัย” ที่จะวิวัฒนาการมาเป็น “เลขไทยสมัยปัจจุบัน” เพื่อความชัดเจน จึงเปรียบเทียบให้เห็นโดยใช้ตัวอย่างตัวเลขที่ใช้ในจารึกเขมรโบราณ สมัยก่อน เมืองพระนคร, สมัยเมืองพระนคร และจารึกสุโขทัย (จารึกพ่อขุนรามคำแหง) ดังนี้ ที่มา : บทความ เรื่อง เลขไทย ได้แบบมาจาก เลขเขมร มีต้นเค้าจาก เลขทมิฬ-อินเดียใต้ (www.silpa-mag.com) จากตัวเลขที่นำมาเปรียบเทียบ แสดงให้เห็นว่าเลขที่ใช้ในจารึกเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร (ก็คือเลขอินเดียใต้ สมัยราชวงศ์ปัลลวะ) ได้วิวัฒนาการเป็นเลขเขมรสมัยเมืองพระนคร และจากเลข เขมรโบราณสมัยเมืองพระนคร ก็ส่งอิทธิพลต่อเลขไทยสมัยสุโขทัย (จารึกพ่อขุนรามคำแหง)


๒๙ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็น่าจะสรุปได้ว่า “เลขอินเดียใต้ (ราชวงศ์ปัลลวะ)” เป็นที่มาของเลขที่ใช้ใน ดินแดนอุษาคเนย์ทั้งหมด (รวมทั้งเลขที่ใช้ในอาณาจักรทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย) ต่อมาเลขอินเดียใต้ได้วิวัฒนาการกลายเป็นเลขเขมรโบราณสมัยเมืองพระนคร (เป็นลักษณะเฉพาะ) แล้วจากนั้นจึงส่งอิทธิพลมายังเลขไทยสมัยสุโขทัย จากนั้นจึงกลายเป็นเลขไทยใน ปัจจุบัน ด้วยการอธิบายตามวิวัฒนาการของรูปแบบตัวอักษร (Paleography) ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น นั่นเอง อักษรไทยถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันมีค่ายิ่ง ครูสอนภาษาไทยควรตระหนักและเน้นย่ำ ส่งเสริมการสื่อสารภาษาไทยด้วยการพูดและการเขียนที่ถูกต้องเหมาะ โดยเฉพาะการเขียน ควรเน้นย้ำ เรื่องการวางตำแหน่งของสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ให้ถูกที่ถูกทาง อนุรักษ์การใช้ตัวเลขไทยอยู่เป็น ประจำ เพื่อสร้างคุณลักษณะอันดีของเยาวชนไทยส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เป็นหนทางในการสร้างความ เจริญรุ่งเรืองของภาษาไทยในภายภาคหน้า https://www.silpa-mag.com/history/article_6720 บทความ เลขไทย ได้แบบ มาจาก เลขเขมร มีต้นเค้าจาก เลขทมิฬ-อินเดียใต้วันที่๒ สงิหาคม ๒๕๖๒


Click to View FlipBook Version