The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pop_7831, 2023-06-07 04:59:45

วิจัยในชั้นเรียน

วิจัยในชั้นเรียน

โดย นางปาลิดา แก้วสุริวงษ์ ตำแหน่ง ครู แผนกวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อ งานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์


กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการ เรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์เป็นรายงานวิจัยในชั้นเรียนที่จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วย กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ เพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ขอขอบคุณนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บข้อมูลวิจัย นางปาลิดา แก้วสุริวงษ์ ผู้วิจัย


ชื่องานวิจัย ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบมี ส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อ งานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ชื่อผู้วิจัย นางปาลิดา แก้วสุริวงษ์ ประจำปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการ จัดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องาน อาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่าง ยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 22 คน โดยวิจัยครั้งนี้ได้ทำ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) กลุ่มตัวอย่างนักเรียนนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยาน ยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ จำนวน 22 คน แบบประเมินความพึงพอใจของ นักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) จำนวน 2 ตอน คือ ข้อมูล ทั่วไป จำนวน 1 ข้อ และ การแสดงเจตคติที่มีต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) จำนวน 10 ข้อ โดยหาค่าเฉลี่ย ร้อยละและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่า ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป พบว่านักเรียน นักศึกษาที่ตอบคำถามส่วนใหญ่เป็นเพศ ชาย คิด เป็นร้อยละ 100 เพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 0 ผลการแสดงเจตคติที่มีต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) พบว่า นักเรียน นักศึกษามีความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) อยู่ในระดับ ความพึงพอใจระดับมากที่สุด (มีค่าเฉลี่ย = 4.57, S.D.=0.06) และเมื่อ พิจารณารายข้อพบว่านักเรียน นักศึกษามีความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วน ร่วม (Active Learning) ในระดับความพึงพอใจระดับมากที่สุด คือ การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ทำให้นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน (มีค่าเฉลี่ย= 4.73, S.D.=0.55)


สารบัญ บทที่ หน้า บทคัดย่อ.................................................................................................................... ก กิตติกรรมประกาศ..................................................................................................... ข สารบัญ ............................................................................................................................. ..... ค สารบัญตาราง............................................................................................................ ง บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาของปัญหา............................................................................................. 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย.......................................................................................... 2 ขอบเขตของงานวิจัย................................................................................................ 3 นิยามศัพท์เฉพาะใช้ในการวิจัย (Definitions)......................................................... 3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ...................................................................................... 4 บทที่ 2 เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก Active learning................... .................................. 5 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ................... .......................................... 18 เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.………………………………………………………………….………. 23 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ประชากร………………………………………………………………………………………………….. 26 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การสร้างและการพัฒนา................................................. 26 วิธีดำเนินการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล........................................................ 27 การวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................................ 28 สถิติที่ใช้ในการวิจัย............................................................................................... 29


สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า บทที่ 4 ผลการวิจัย ข้อมูลทั่วไป................................................................................................................ 30 การแสดงเจตคติที่มีต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning).................................................................................................................. 31 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย.................................................................................................... ...... 34 ข้อเสนอแนะ.............................................................................................................. 35 บรรณานุกรม............................................................................................ .................. จ


สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ 1 แสดงจำนวนและร้อยละข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม……………….. 30 ตารางที่ 2 การแสดงเจตคติที่มีต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning)..................................................................................................... 31


บทที่ 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ทักษะการจัดการเรียนรู้ที่ก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 (21st century skills) ได้ให้ความสำคัญกับ การเรียนรู้ที่ นักเรียนต้องมีทักษะการเรียนรู้และสร้างนวัตกรรมใหม่ (learning and innovation skills) มุ่งมั่นฝึกฝน พัฒนา ตัวเอง เรียนให้เกิดทักษะ เรียนโดยการปฏิบัติ (learning by doing) การคิดวิเคราะห์ เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการสื่อสาร และทักษะแห่ง ความร่วมมือ และที่จำเป็นมาก คือ ทักษะด้าน สารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี (information, media and technology skills) จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่การจัดการเรียนการสอนควรมุ่งพัฒนาทักษะการเรียนรู้ และนวัตกรรม และการสร้างสรรค์ มีการใช้ทักษะด้านข้อมูลข่าวสาร สื่อและเทคโนโลยีและเน้นทักษะ ที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับได้ ริเริ่ม และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองได้ ซึ่งการจัดการเรียน การสอนโดยการ บูรณาการสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Integrated e-Learning Course) นับเป็นวิธีการหนึ่งที่จะมุ่งพัฒนา ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้เป็นอย่างดี (วิจารณ์ พาณิช, 2555) สอดคล้องกับปัจจุบันเป็น ยุคไทยแลนด์ 4.0 รัฐบาล ได้กำหนดทิศทางการพัฒนา หนึ่งในวาระการพัฒนาคือ การเตรียมคนไทย 4.0 ให้พร้อมก้าวสู่โลกที่ 1 มีวาระ การขับเคลื่อนที่สำคัญคือ การปฏิรูปการศึกษาโดยต้อง นำไปสู่การ ปรับเปลี่ยนใน 3 เรื่อง คือ 1) การปรับเปลี่ยน เป้าหมายและระบบการบริหารจัดการการเรียนรู้ทั้ง ระบบ 2) การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และทักษะครู และ 3) การปรับเปลี่ยนหลักสูตรและรูปแบบ การสอน เน้นการสร้างนวัตกรรม การใช้เทคโนโลยีสื่อดิจิทัล และปรับวิธีการ เพื่อสร้างทักษะการ เรียนรู้และปรับตัวนักเรียนให้สามารถพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต (Strategy and Planning Division, 2016) การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่นักเรียนได้ ลงมือปฏิบัติและได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป (Bonwell, 1991;Merrill Harmin and Melanie Toth, 2006 ; Schmidt, 1993; วิจารณ์ พานิช , 2556;วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์,2560) เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา การนําความรู้ไป ประยุกต์ใช้เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สร้างองค์ความรู้และ จัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเองนักเรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบการเรียนการสอน มีการสร้างองค์ ความรู้ การมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน และร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน ได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน และการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ นักเรียนอ่าน พูด ฟัง คิด เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นทักษะการคิดขั้นสูงเป็นกิจกรรมที่เปิด โอกาสให้นักเรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ และหลักการสู่การสร้างความคิดรวบยอด


ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะเพื่อให้นักเรียนได้เป็น ผู้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้เป็นการเรียนรู้ผ่านการ ปฏิบัติ หรือการลงมือทำซึ่งความรู้ ที่เกิดขึ้นก็เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์กระบวนการในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่นักเรียนต้องได้มีโอกาสลงมือกระทำมากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว ต้องจัด กิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้โดยการอ่าน การเขียน การโต้ตอบ และการวิเคราะห์ปัญหา อีกทั้งให้ นักเรียนได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูง ได้แก่การวิเคราะห์การสังเคราะห์และการประเมินค่า เป็นการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน 2 ประการคือ 1) การเรียนรู้เป็นความพยายามโดย ธรรมชาติของมนุษย์และ 2) แต่ละบุคคลมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน (Meyers and Jones, 1993) โดยนักเรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้(receive) ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้าง ความรู้(co-creators) (Fedler and Brent, 1996) ซึงสอดคล้องกับรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ พบว่า นักเรียนไม่ สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เนื่องจากมองไม่เห็นความสำคัญของรายวิชา ไม่กล้า แสดงออกในการนำเสนองาน ทำให้ผู้เรียนเกิดความไม่มั่นใจ ไม่ค่อยสนใจเรียน ดังนั้น ผู้สอนจึง เล็งเห็นความสำคัญของการนำความรู้และสมรรถนะที่นักเรียนมีอยู่ในตัวเองได้นำออกมาใช้ได้อย่าง เต็มศักยภาพ ดังนั้น ผู้สอนจึงเล็งเห็นความสำคัญของการนำความรู้และสมรรถนะที่นักเรียนมีอยู่ในตัวเอง ได้นำออกมาใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพ ผู้สอนจึงนำรูปแบบวิธีสอนการสอนแบบ Active Learning มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อกระตุ้นนักเรียนให้เกิดทักษะการคิด ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะ การคิดสร้างสรรค์ และเกิดกาเรียนรู้ในรูปแบบใหม่ตามการเปลี่ยนแปลงของกระบวนทัศน์แห่งการ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์


3. ขอบเขตของงานวิจัย (The seope of research) 3.1 ขอบเขตด้านประชากร (Populatons) งานวิจัยนี้ใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดย ประชากรในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 22 คน 3.2 ขอบเขตด้านตัวแปรของงานวิจัย (Variables) 3.2.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 22 คน 3.2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชา ช่างยนต์ 3.3 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย การปฏิบัติการวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 4. นิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัย (Definitions) 1. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางาน ยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 22 คน 2. การเรียนการสอนแบบ Active Learning หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่เน้น นักเรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) นักเรียนได้ลงมือกระทำและได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่ง ที่เขาได้กระทำลงไป 3. ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบมี ส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชา ช่างยนต์


5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชา ช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ มีความพึงพอใจในการจัดการเรียนการด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ในระดับมาก


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 22 คน ครั้งนี้ผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้า เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและจากเอกสารต่างๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก Active learning 2. แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 3. เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก Active learning แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ Active Learning ปรัชญาการศึกษาแบบพิพัฒนาการนิยม (Progressivism) John Dewey มีแนวคิดว่าในการให้การศึกษา ร่างกายจะต้องได้ปฏิบัติ ได้เห็นของจริงได้ใช้ ประสาททั้งห้าให้มากที่สุด และรูปแบบของการสอน หรือกระสวนของการสอน (Pattern of teaching) ได้แก่ กระสวนการสอนแบบกลุ่มที่มีความร่วมมือกันแบบพลวัต (Dynamic Cooperative group Pattern) ซึ่งมุ่งฝึกให้ผู้เรียนได้สร้างการเรียนรู้ด้วยการกระทำและมีโอกาสได้ฝึกการทำงาน การเล่น และการอยู่ร่วมกันในสังคมแบบประชาธิปไตย (กระทรวงศึกษาธิการ, มปป.) ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง แนวคิด Constructivism Approach ที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ด้วยตนเองจากการ รับรู้ประสบการณ์ของตนเอง ที่ มีรากฐานมาจากผลงานของ David Ausubel และ Jean Piaget (ทิศ นา แขมณี, 2554: 90)


การถ่ายโยงการเรียนรู้ (Transfer of Learning) Thorndike (1913:16) มีแนวคิดว่าการเรียนรู้ ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ที่เกิด อิทธิพลต่อการเรียนรู้ในช่วงเวลาถัดมา และผู้เรียนสามารถนำประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ผ่านมาแล้วมา ใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ที่คล้ายคลึงเดิมได้ โดยผู้เรียนจะมีโอกาสฝึกหัด ความรู้ หรือกลวิธีต่างๆ จนเชี่ยวชาญ เพื่อให้สามารถนาสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นมาประยุกต์ใช้หรือนำไปเรียนรู้สิ่งใหม่ที่แตกต่างไป จากเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก Active learning Active Learning เป็นการจัดการเรียนรู้บนพื้นฐานทฤษฎีการเรียนรู้ Constructivism (Cooperstein and Kocevar-Weidinger, 2004) ซึ่งเชื่อว่าความรู้เดิมมีความสำคัญต่อการสร้าง ความรู้ใหม่ของผู้เรียน นักการศึกษาทั้งในและต่างประเทศได้กล่าวถึงความหมายของคำว่า Active Learning เอาไว้โดยนักการศึกษาของประเทศไทยใช้คำภาษาไทยคำว่าการเรียนเชิงรุกแทน Active Learning ซึ่งมีการนิยามความหมายดังต่อไปนี้ Meyers and Jones (1993) กล่าวว่า การเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง การเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างโอกาสในการพูด ฟัง เขียน อ่าน และไตร่ตรองอย่างมีความหมายเกี่ยวกับเนื้อหา แนวคิด ประเด็น และการนำเนื้อหาที่ได้เรียนรู้ไปใช้ให้กับผู้เรียน Bonwell (2003) กล่าวว่า Active & Learning หมายถึง การเรียนที่เน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ และสร้างความรู้จากจากการลงมือปฏิบัติจริงในระหว่างการเรียนการสอน ส่งผลให้ผู้เรียนเชื่อมโยง ความรู้ใหม่กับความรู้เดิม Felder and Brent (2009) กล่าวว่า Active Learning หมายถึง กิจกรรมใดๆ ก็ตามที่ เกี่ยวข้องกับรายวิชาที่ผู้เรียนทุกคนได้ถูกเรียกให้ท าสิ่งต่างๆ นอกเหนือจากการนั่งดู ฟัง และจด บันทึกอย่างเดียว สุชาดา แก้วพิกุล (2555:12) กล่าวว่า การสอนอย่างกระตือรือร้น (Active learning) เป็น การสอนโดยเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมเพื่อทำความเข้าใจด้วยตนเองหรือร่วมกันกับเพื่อน ผู้เรียนจะได้ ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง อันจะนำไปสู่การสร้างความรู้จากสิ่งที่ปฏิบัติในระหว่างการเรียนการสอน โดยการพูด และการฟัง การเขียน การอ่าน และการสะท้อนความคิด


ฟาตือฮะห์ อุตส่าห์ราชการ (2558:10-11) กล่าวถึง การเรียนรู้เชิงรุก เป็นแนวการจัดการ เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดแก่ผู้เรียน ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และพัฒนา ความเชื่อมั่นในตนเอง ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือกระทำ โดยการพูดคุย การเขียน การอ่าน การสะท้อน หรือ การตั้งคำถาม หรือการเรียนการสอนที่มีความเคลื่อนไหว ใช้ได้ทั้งกลุ่มเล็ก และห้องเรียนใหญ่ ๆ ผู้เรียนอาจทำงานคนเดียวหรือทำเป็นกลุ่มก็ได้ เดชดนัย จุ้ยชุม และคณะ (2559:7) กล่าวว่า Active learning คือกระบวนการในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้มีโอกาสลงมือกระทำมากกว่าการฟังอย่างเดียว ต้องจัดกิจกรรมให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการอ่าน การเขียน การโต้ตอบ และการวิเคราะห์ปัญหา อึกทั้งให้ผู้เรียนได้ใช้ กระบวนการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ ลากรประเมินค่า ปรียานุช พรหมภาษิต (2559) การจัดการเรียนรู้แบบใฝ่รู้ (Active learning) คือกระบวนการ เรียนการสอนที่เน้นการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิควิธีที่หลากหลาย โดยให้ความสำคัญกับผู้เรียน ให้ ผู้เรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการเพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนด้วยกันเอง เน้นการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงและใช้การสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ สร้างองค์ความรู้ขึ้นได้ด้วยตนเอง และสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้ โดยผู้สอนมีบทบาท เพียงเป็นผู้อำนวยความสะดวกและเป็นผู้วางแผนในการจัดกิจกรรมในชั้นเรียน Suwannatthachote (2559,อ้างในปรียานุช พรหมภาษิต:8) กล่าวว่า Active learning หมายถึง การเรียนรู้เชิงรุก เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน หรือดำเนินกิจกรรมต่าง ๆใน การเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เป็นการเรียนรู้ในระดับลึก ผู้เรียนจะสร้างความเข้าใจ และค้นหาความหมายของเนื้อหาสาระ โดยเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ สามารถบูรณาการ ความรู้ใหม่ที่ได้รับกับความรู้เก่าที่มี สามารถประเมิน ต่อเติม และสร้างเป็นแนวคิดของตนเอง ซึ่ง แตกต่างจากวิธีการเรียนรู้ในระดับผิวเผินซึ่งเน้นการรับข้อมูลและจดจำเท่านั้น ผู้เรียนลักษณะนี้จะ เป็นผู้เรียนที่เรียนรู้วิธีการเรียน (Learning How to Learn) เป็นผู้เรียนที่กระตือรือร้น และมีทักษะที่ สามารถเลือกรับข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีระบบ มหาวิทยาลัยศรีปทุม (2559,อ้างในปรียานุช พรหมภาษิต: 9) Active learning เป็นการ จัดการเรียนการสอนแบบเน้นพัฒนากระบวนการเรียนรู้ส่งเสริมให้ผู้เรียนประยุกต์ใช้ทักษะและ เชื่อมโยงองค์ความรู้นำไปปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาหรือประกอบอาชีพในอนาคต หลักการจัดการเรียนการ สอนแบบ Active learning คือ การนำวิธีสอน เทคนิคการสอนที่หลากหลายมาใช้ออกแบบแผนการ


สอนและกิจกรรม กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้สอน สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2560) อธิบายว่า Active Learning คือ กระบวนการ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการดำเนินในการจัดกิจกรรมการรู้เพื่อสร้างความเข้าใจลึกซึ้งด้วย การเชื่อมโยงผู้เรียนกับเนื้อหาในองค์ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง แนวคิดและทักษะ ผ่านการจัดกิจกรรมที่ ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า การเรียนการสอนแบบ Active learning เป็นการจัดการ เรียนรู้ที่ผู้สอนจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และสร้างความรู้จากสิ่งที่ได้ลงมือปฏิบัติในระหว่างการ เรียนการสอนโดยผ่านการพูด การฟัง การเขียน การอ่าน และการสะท้อนความคิด ลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก มีนักการศึกษาได้อธิบายถึงลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก Active Learning ไว้ดังนี้ เชงเคอร์ กอส และเบิร์นสไตน์ (Shenker; Goss; & Bearstein. 1996) กล่าวถึง ลักษณะของ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ดังนี้ 1) เป็นการเรียนรู้ที่มุ่งลดการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียนให้น้อยลง และพัฒนาทักษะให้เกิดกับผู้เรียน 2) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียนโดยลงมือกระท ามากกว่านั่งฟังเพียงอย่างเดียว 3) ผู้เรียนมีส่วนในกิจกรรม เช่น อ่าน อภิปราย และเขียน 4) เน้นการสำรวจเจตคติและคุณค่าที่มีอยู่ในผู้เรียน 5) ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดระดับสูงในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินผล การนำไปใช้ 6) ทั้งผู้เรียนและผู้สอนรับข้อมูลป้อนกลับจากการสะท้อนความคิดได้อย่าง รวดเร็ว ซิลเบอร์แมน (Silberman. 1996 ) กล่าวถึง ลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ดังนี้ 1) มีปฏิสัมพันธ์ ผู้เรียนมีการพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นและยังเป็นการสร้างการร่วมมือ


กันและการมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน 2) มีการเรียนรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ของผู้เรียน 3) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน ทวีวัฒน์ วัฒนกุลเจริญ (2551 : 2) ได้เสนอรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุก ดังนี้ 1) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรงกับการ แก้ปัญหาตามสภาพจริง (Authentic situation) 2) จัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนได้กำหนดแนวคิด การวางแผน การยอมรับ การ ประเมินผลและการนำเสนอผลงาน 3) บูรณาการเนื้อหารายวิชา เพื่อเชื่อมโยงความเข้าใจวิชาต่างๆ ที่แตกต่างกัน 4) จัดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เอื้อต่อการท างานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration) 5) ใช้กลวิธีของกระบวนการกลุ่ม (Group processing) 6) จัดให้มีการประเมินผลโดยกลุ่มเพื่อน (Peer assessment) สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2560) การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก Active Learning นั้นสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียน อย่างหลากหลาย เช่น กระบวนการกลุ่ม การ จีดการเรียนรู้โดยใช้ครงงาน การเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ฝึกให้ผู้เรียนเรียนรู้ ด้วยตนเอง ผู้เรียนทำเองจนสำเร็จตามเป้าหมาย มีการพัฒนาความคิดให้แก่ผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ กระตุ้น ซักซาม ระดมความคิด โดยคำนึงถึงหลักการสำคัญดังนี้ 1) สิ่งที่กำหนดให้ผู้เรียนทำต้องเกี่ยวข้องกับผู้เรียนโดยตรง 2) กิจกรรมสะท้อนให้เห็นว่าผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรบ้าง 3) มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูผู้สอนและผู้เรียน 4) ผู้เรียนสามารเปรียบเทียบงานกับชีวิตจริง 5) ผู้เรียนสามารถสร้างสถานการณ์ตามที่ผู้สอนกำหนด 6) ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริง จากการศึกษาลักษณะของการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกที่นักการศึกษาเสนอไว้ข้างต้นสรุปได้ ว่าหลักการของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ควรมีลักษณะดังนี้ 1) ใช้วิธีการและกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย 2) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน


3) ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง 4) ฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดขั้นสูง 5) สิ่งที่กำหนดให้ผู้เรียนทำ ต้องเกี่ยวข้องกับผู้เรียนโดยตรง 6) ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริง 7) ครูผู้สอนเป็นเพียงผู้ชี้แนะประสบการณ์และอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ 8) มีแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก Active learning ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2553) ได้อธิบายลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ดังนี้ 1. เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ 2. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ สูงสุด 3. ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้ แรสร้าง ปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน และร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน 5. ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน และการแบ่ง หน้าที่ความรับผิดชอบ 6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียน จะเป็นผู้จัดระบบการเรียนรู้ด้วนตนเอง 7. เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นทักษะการคิดขั้นสูง 8. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ และ หลักการสู่การสร้างความคิดรวบยอด 9. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ ด้วยตนเอง 10. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการสรุปทบทวนของ


ผู้เรียน McKinney (2008, อ้างถึงใน มนตรี ศิริจันทร์ชื่น, 2554: 27-28) ได้เสนอตัวอย่างรูปแบบ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบ Active learning ได้ดี ได้แก่ 1. การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคิด (Think-Pair-Share) คือ การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนติดเกี่ยวกับประเด็นที่กำหนดแต่ละคน ประมาณ 2-3 นาที (Think) จากนั้น แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนำเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรียนทั้งหมด (Share) 2. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning Group) คือ การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยจัดเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3-6 คน 3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led Review Sessions) คือ การ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้และพิจารณาข้อสงสัยต่าง ๆ ในการ ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูจะช่วยเหลือกรณีที่มีปัญหา 4. การเรียนรู้แบบใช้เกม (Games) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนนำเกมเข้า บูรณาการในการเรียนการสอน ซึ่งใช้ได้ทั้งในขั้นการนำเข้าสู่บทเรียน การสอน การมอบหมายงาน และหรือขั้นการประเมินผล 5. การเรียนรู้แบบวิเคราะห์วิดีโอ (Analysis or Reaction to Videos) คือ การจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ดูวิดีโอ 5-20 นาที แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นหรือสะท้อน ความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ดู อาจโดยวิธีการพูดโต้ตอบกัน การเขียน หรือ การร่วมกันสรุปเป็นรายกลุ่ม 6. การเรียนรู้แบบโต้วาที (Student Debates) คือ การจัดกิจกรรมเรียนรู้ที่จัดให้ ผู้เรียนได้นำเสนอข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์และการเรียนรู้เพื่อยืนยันแนวคิดของตนเองหรือกลุ่ม 7. การเรียนรู้แบบผู้เรียนสร้างแบบทดสอบ (Student Generated Exam Questions) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างแบบทดสอบจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้ว 8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจัย (Mini-research Proposals or Project) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่อิงประบวนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกำหนดหัวข้อที่ต้องการเรียนรู้วาง แผนการเรียน เรียนรู้ตามแผน สรุปความรู้หรือสร้างผลงาน และสะท้องความคิดในสิ่งที่ได้เรียนรู้หรือ อาจเรียกว่าการสอนแบบโครงงาน (Project-based Learning) หรือ การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning)


9. การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze Case Studies) คือ การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้อ่านกรณีตัวอย่างที่ต้องการศึกษา จากนั้นให้ผู้เรียนวิเคราะห์และแลกเปลี่ยนคาม คิดเห็นหรือแนวทางแก้ปัญหาภายในกลุ่ม แล้วนำเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรียนทั้งหมด 10. การเรียนรู้แบบการเขียนบันทึก (Keeping Journals or Logs) คือ การจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบเห็น หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งเสนอความคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบันทึกที่เขียน 11. การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and Produce a Newsletter) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนร่วมกันผลิตจดหมายข่าว อันประกอบด้วย บทความ ข้อมูล สารสนเทศข่าวสารและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วแจกจ่ายไปยังบุคคลอื่น ๆ 12. การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept Mapping) คือ การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนำเสนอความคิดรวบยอด และความเชื่อมโยงกันของ กรอบความคิดโดยการใช้เส้นเป็นตัวเชื่อมโยง อาจจัดทำเป็นรายบุคคลหรืองานกลุ่ม แล้วนำเสนอ ผลงานต่อผู้เรียนอื่น ๆ จากนั้นเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคนอื่นได้ซักถามและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม สุชาดา แก้วพิกุล (2555: 23-25) ได้สรุปลักษณะการการจัดการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น (Active learning) เป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. กิจกรรมการจัดการเรียนรู้Active learning สำหรับนักเรียนรายบุคคล เช่น 1.1 Think-Pair Share ผู้สอนตั้งปัญหา ผู้เรียนคิดหาคำตอบด้วยตนเอง ก่อนสัก 4-5 นาทีต่อมาจับคู่กับเพื่อน อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หลังจากนั้นจึงสุ่มเรียกมา นำเสนอ 1.2 Voting ให้ผู้เรียนยกมือ เพื่อตอบคำถามของผู้สอนในลักษณะแสดง ความคิดเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย หรือแข่งกันตอบ 2. กิจกรรมการจัดการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้นสำหรับนักเรียนที่ทำเป็นคู่ เช่น Minute Paper หลังจากบรรยายไป 15 นาที ผู้สอนสั่งให้ผู้เรียนสรุปที่เรียนไป 2 ประโยค ใน 1 นาที แล้วให้จับคู่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผู้สอนอาจสุ่มเรียกผู้เรียนมานำเสนอหน้าชั้น 3. กิจกรรมการเรียนรู้Active learning สำหรับนักเรียนที่ทำเป็นกลุ่ม เช่น 3.1 Jigsaw ผู้สอนเลือกเนื้อหาที่สามารถแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ได้ หรือเลือก


บทความที่มีเนื้อหาสอดคล้องกัน 3-4 ชิ้น แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มเท่า ๆ กันเนื้อหา ให้แต่ละกลุ่มส่ง ตัวแทนมา 1 คนเลือกเนื้อหา ให้อ่านทำความเข้าใจร่วมกัน หาคำตอบร่วมกันในกลุ่ม แล้วกลับไปสอน ที่กลุ่มเดิมของตนจนทุกคนได้สอนครบ 3.2 Round Table แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม เพื่อตอบคำถาม โดยแต่ละกลุ่ม ได้รับกระดาษคำตอบ 1 แผ่น และปากกา 1 ด้าม ให้แต่ละกลุ่มเขียนคำตอบลงกระดาษ แล้วเวียนให้ กลุ่มอื่นดูคำถามคำตอบของกลุ่ม ผู้สอนอาจสุ่มเรียกมานำเสนอหน้าชั้น 3.3 Trade of Problem แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะได้บัตร คำถามไม่เหมือนกัน ให้แต่ละกลุ่มจะได้บัตรคำถามไม่เหมือนกันให้แต่ละกลุ่มเขียนคำตอบที่บัตร คำถามด้านหลัง เสร็จแล้วส่งให้เพื่อนกลุ่มอื่น ในขณะเดียวกันกลุ่มตนเองก็ได้รับบัตรคำถามจากกลุ่ม อื่น โดยยังไม่ดูคำตอบ ให้สมาชิกในกลุ่มอ่านำถามและร่วมกันคิดหาคำตอบ 3.4 Concept Map แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม แจกปากกาและแผ่นใสให้ แต่ละ กลุ่มเขียนประเด็นหลักที่ได้เรียนรู้ใส่ตรงกลางแผ่นใน พร้อมทั้งเขียนวงกลมล้อมรอบและเขียน ประเด็นรองที่เกี่ยวข้องแล้ววงกลมล้อมรอบเช่นกัน แล้วเชื่อมโงกับวงกลมประเด็นหลักโดยลักษณะ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 3 แบบ สามารถเลือกใช้กิจกรรม ดังนี้ 1. การเรียนรู้แบบใช้เกมส์ (Games) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอน นำเกมมาบูรณาการในการเรียนการสอน ได้ทั้งในขั้นการนำเข้าสู่บทเรียน การสอน การมอบหมายงาน และหรือขั้นการประเมินผล 2. การเรียนรู้แบบวิเคราะห์วีดีโอ (Analysis or reactions to videos) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ดูวีดีโอ 5-20 นาที แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นหรือ สะท้อนความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ดู อาจโดยวิธีการพูดโต้ตอบกัน การเขียน หรือ การร่วมกันสรุปเป็น รายกลุ่ม 3. การเรียนรู้แบบโต้วาที (Student debates) คือ การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนได้นำเสนอข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์และการเรียนรู้ เพื่อยืนยันแนวคิดของ ตนเองหรือกลุ่ม 4. การเรียนรู้แบบผู้เรียนสร้างแบบทดสอบ (Student generated exam questions) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างแบบทดสอบจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้ว 5. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจัย (Mini-research proposals) คือ การ


จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่อิงกระบวนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกำหนดหัวข้อที่ต้องการเรียนรู้ วางแผนการ เรียน เรียนรู้ตามแผน สรุปความรู้หรือสร้างชิ้นงาน และสะท้อนความคิดในสิ่งที่ได้เรียนรู้ หรืออาจ เรียกว่า การสอนแบบโครงงาน (project-based learning) หรือการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (problembased learning) 6. การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze case studies) คือ การจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้อ่านกรณีตัวอย่างที่ต้องการศึกษา จากนั้นให้ผู้เรียนวิเคราะห์และ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือแนวทางแก้ปัญหาภายในกลุ่ม แล้วนำเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรียน ทั้งหมด 7. การเรียนรู้แบบการเขียนบันทึก (Keeping journals or logs) คือ การ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจดบันทึกเรื่องรวมต่าง ๆ ที่ได้พบเห็น หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละ วัน รวมทั้งเสนอความคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบันทึกที่เขียน 8. การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and produce a newsletter) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนร่วมกันผลิตจดหมายข่าว อันประกอบด้วย บทความ ข้อมูลสารสนเทศ ข่าวสารและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วแจกจ่ายไปยังบุคคลอื่น 9. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led review sessions) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้และพิจารณาข้อสงสัยต่าง ๆ ใน การปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้โดยครูจะคอยช่วยเหลือกรณีที่มีปัญหา บทบาทของครูกับกระบวนการการจัดการเรียนรู้ Active learning ฟาตีฮะห์ อุตส่าห์ราชการ (2558:12) กล่าวถึงบทบาทของครูผู้สอนในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวทางของกระบวนการเรียนรู้แบบ Active learning ดังนี้ 1. จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน กิจกรรมต้องสะท้อนความ ต้องการในการพัฒนาผู้เรียนและเน้นการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของผู้เรียน 2. สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วมและการเจราจาโต้ตอบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สอนและเพื่อนในชั้นเรียน 3. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในทุก กิจกรรมรวมทั้ง กระตุ้นให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้


4. จัดสภาพการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน 5. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทายและให้โอกาสผู้เรียนได้รับวิธีการสอนที่ หลากหลาย 6. วางแผนเกี่ยวกับเวลาในการจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนเนื้อหา และกิจกรรม 7. ครูผู้สอนต้องใจกว้างยอมรับความสามารถในการแสดงออกและความคิดของ ผู้เรียน ปรียานุช พรหมภาสิต (2559:17) กล่าวถึงบทบาทของครูในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ว่า ผู้สอนส่วนใหญ่จะแสดงบทบาทเป็นผู้เขียนบท ผู้ออกแบบกิจกรรม ผู้แนะนำ (Coach) และผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) และจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ผู้เรียนสร้างความรู้ ได้ด้วยตนเอง ในระหว่างทำกิจกรรมผู้สอนจะเป็นทั้งผู้รับฟัง ผู้ร่วมเรียนรู้ ผู้ร่วมอภิปราย และจะต้องมี การกระตุ้นและหนุนเสริมพลังความคิดให้กับผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้แบบ Active learning บาลด์วิน และวิลเลียม (Baldwin ; & Williams.1988: 187) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการ เรียนรู้อย่างกระตือรือร้น (Active learning )ไว้ 4 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมพร้อม เป็นขั้นที่ผู้สอนนำผู้เรียนเข้าสู่เนื้อหา โดยการสร้างแรงจูงใจให้ ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการอยากที่จะเรียนรู้ต่อไป 2. ขั้นปฏิบัติงานกลุ่ม เป็นขั้นที่ผู้สอนให้ผู้เรียนเข้ากลุ่มย่อย เพื่อทำงานร่วมกัน และ สรุปความคิดเห็นของกลุ่ม อีกทั้งต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างกลุ่มอื่น ๆ โดยที่ผู้สอนต้องเสริม ข้อมูลให้สมบูรณ์ 3. ขั้นประยุกต์ ใช้เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัด หรือทำแบบทอสอบหลังเรียน 4. ขั้นติดตามผล เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าอิสระเพิ่มเติม โดยจัดทำเป็นรางาน หรือให้นักเรียนเขียนบันทึกประจำวัน รวมถึงให้ผู้เรียนเขียนสรุปความรู้ที่ได้รับในคาบเรียนนั้น ๆ ในปี การศึกษา 2558 คณะกรรมการจัดการความรู้ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏกำแพงเพชร ได้ดำเนินการจัดการความรู้ในประเด็น “การจัดการเรียนรู้แบบใฝ่รู้ (Active learning) ตามแนวทางของเกณฑ์การประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ที่สำนักงานคณะกรรมการ


การอุดมศึกษาได้กำหนดไว้ และได้ข้อสรุปเป็นองค์ความรู้ ออกมาเป็น “ขุมความรู้” เพื่อเป็นแนว ปฏิบัติในการจัดการเรียนรู้ของคณาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์และเผยแพร่ให้ นักวิชาการที่สนใจ แนวปฏิบัติในการจัดการเรียนรู้ แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้น 1 ขั้นเตรียมตัว 1) ผู้สอนทำความเข้าใจในหลักการของ AL เปิด mind set ใจกว้างและยอมรับใน ความสามารถ การแสดงออกและความคิดของผู้เรียน 2) สร้างความเข้าใจกับผู้เรียน สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้เรียนมีความเชื่อถือในตัวเอง 3) การออกแบบการจัดการเรียนรู้โดย 3.1) พิจารณารายละเอียดคำอธิบายของรายวิชา 3.2) พิจารณามาตรฐานผลการเรียนรู้ 5 ด้าน 3.3) กำหนดเนื้อหาที่เหมาะสมที่สามารถใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้ 3.4) กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักศึกษา 3.5) ออกแบบวิธีการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคที่หลากหลาย โดมีแนวทาง สำคัญ 2 สำคัญ คือ - การกำหนดองค์ประกอบที่สำคัญในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วย 1) การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ 2) การสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน (สะท้อนความคิด และอภิปราย) 3) การนำเสนอความรู้ (ความคิดรวบยอด) และ 4) การลงมือปฏิบัติหรือประยุกต์ใช้ (ประยุกต์แนวคิด) โดยแต่ละองค์ประกอบสามารถสลับลำดับขั้นกันได้ ตามความเหมาะสมของเนื้อหา รายวิชา - การออกแบบปฏิสัมพันธ์ในแต่ละกิจกรรมการเรียนรู้ โดย เลือกใช้กลุ่มใหญ่ กลุ่ม 2 คน กลุ่ม 3 คน กลุ่ม 3-4 คน หรือ กลุ่ม 5-6 คน 3.6) จัดเตรียมทรัพยากร/สื่อ/อุปกรณ์/สถานที่ที่จำเป็น ขั้นที่ 2 ขั้นดำเนินการ ผู้สอนดำเนินการจัดการเรียนรู้แบบ Active learning โดยในขั้นตอนนี้ผู้สอนจะ ดำเนินการตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่วางไว้ เลือกใช้เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายมา ผสมผสานกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของเนื้อหาและรายวิชา วัตถุประสงค์และมาตรฐานผลการเรียน


ของรยวิชา ลักษณะของผู้เรียน รวมถึงปัญหาที่เกิดจากการเรียนการสอนที่ผ่านมา มีการปรับ กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขั้นที่ 3 ขั้นประเมินผล เน้นการประเมินผลระหว่างการจัดการเรียนรู้ โดยสังเกตพฤติกรรม การตอบคำถาม ความคิดสร้างสรรค์ในการจัดกิจกรรมของนักศึกษาการประเมินตามสภาพจริงการประเมินพัฒนาการ ของผู้เรียน ขั้นที่ 4 ขั้นปรับปรุง ปรับปรุงระหว่างการจัดกิจกรรมตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ปรับปรุงหลังการจัด กิจกรรม/ปรับในหัวข้อหรือเนื้อหาอื่น ปรับปรุงรายวิชาอื่น ศักดา ไชกิจภิญโญ (อ้างใน วรรณ เพชรอุไร, 2555: 10-11) ได้กล่าวว่า เราสามารถประยุกต์ การสอนแบบบรรยายให้เป็น Active Learning ได้ ด้วยวิธีการ ดังนี้ 1. เริ่มการสอนด้วย Advanced Organizer (AO) 3-5 นาที โดยการแสดงให้เห็นถึง ความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาที่จะบรรยายกับสิ่งที่ผู้เรียนมีพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว พร้อมทั้งระบุโครงร่าง เนื้อหา แนวคิด ประเด็นหลักในการบรรยาย ผู้เรียนจะเห็นความสำคัญและอยากเรียนรู้เรื่องนั้นมาก ขึ้น 2. บรรยายเนื้อหา (10-15 นาที) ตามด้วย Collaborative activities (CA) 3-4 นาทีปกติผู้สอนบรรยายมักจะสอนติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเฉื่อย ไม่กระตุ้นการ เรียนรู้จากการศึกษา (Stuart,1978) พบว่า สมาธิหรือความสนใจของผู้เรียนจะลดลงอย่างรวดเร็ว ภายใน 15นาที ดังนั้นในรูปแบบ Interactive Lecture จึงแนะนำการสอนบรรยายเนื้อหา 10-15 นาที ตามด้วย กิจกรรมอื่น 3-4 นาที เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและเป็นการให้โอกาสผู้สอนมีปฏิสัมพันธ์ กับผู้เรียน เช่น การตั้งคำถามให้ผู้เรียนตอบ หรือจะให้ผู้เรียนช่วยกันคิดเป็นกลุ่มเพื่อตอบ ผู้เรียนจะ เข้าใจเนื้อหาและจำได้นานกว่าถ้ามีการอภิปรายร่วมกัน ผู้สอนสามารถทำซ้ำโดยบรรยายเนื้อหาสลับ กับกิจกรรมเรื่อย ๆ ไป จนใกล้หมดเวลาสอน 3. ผู้เรียนสรุปเนื้อหาที่เรียนด้วยตนเอง Individual Summaries (IS) 4-5 นาที ผู้สอนให้ผู้สอนให้ผู้เรียนสรุปความเข้าใจของตนเอง โดยเขียนใจความสำคัญของเนื้อหาเพียงประโยค เดียวลงในแผ่นกระดาษ และแลกเปลี่ยนกับเพื่อนกอ่าน หรือผู้สอนอาจสุ่มให้ผู้เรียนมาอ่านหน้าชั้น หลักการของการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning


เชงเคอร์ กอส และเบิร์นสไตน์ (Shenker,Goss;& Bernstein.1996) กล่าวถึงหลักการของ การจัดการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น ดังนี้ 1. เป็นการเรียนรู้แบบมุ่งลดการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียนให้น้อยลง และ พัฒนาทักษะให้เกิดกับผู้เรียน 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียนโดยลงมือกระทำมากกว่านั่งฟังอย่างเดียว 3. ผู้เรียนมีส่วนในกิจกรรม เช่น อ่าน อภิปราย และเขียน 4. เน้นการสำรวจเจตคติและคุณค่าที่มีอยู่ในผู้เรียน 5. ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดระดับสูงในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินผลการ นำไปใช้ 6. ทั้งผู้เรียนและผู้สอนรับข้อมูลป้อนกลับจากการสะท้อนความคิดได้อย่างรวดเร็ว สุชาดา แก้วพิกุล (2555:13) ได้สรุปหลักการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ไว้ดังนี้ 1. เป็นการเรียนรู้ที่มุ่งลดการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียนให้น้อยลง และ พัฒนาทักษะให้เกิดกับผู้เรียน 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียนโดยลงมือกระทำมากกว่านั่งฟังเพียงอย่างเดียว 3. เน้นการสำรวจเจตคติและคุณค่าที่มีอยู่ในผู้เรียน 4. ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดระดับสูงในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินผลการ นำไปใช้ 5. ทั้งผู้เรียนและผู้สอนรับข้อมูลป้อนกลับจาการสะท้อนความคิดได้อย่างรวดเร็ว 6. มีการเรียนรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ของผู้เรียน 7. ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการแลกเปลี่ยนความรู้ 8. ผู้เรียนมีโอกาสประยุกต์ใช้ความรู้ 9. บูรณาการเนื้อหารายวิชา เพื่อเชื่อมโยงความเข้าใจวิชาต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน 10.จัดให้มีการประเมินผลโดยกลุ่มเพื่อน (Peer assessment) 2. แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ความหมายของความพึงพอใจ มีผู้ที่กลาวถึงความหมายของความพึงพอใจ ดังนี้


มอรส (Morse. 1955 : 27) กลาววา ความพึงพอใจ หมายถึง ความรูสึกหรือสิ่งที่สามารถ ขจัดความเครียดของบุคคลใหนอยลงไปได เพราะถาเกิดความเครียดมาก จะทําใหบุคคลเกิดความไม พอใจในการปฏิบัติกิจกรรมหรือการทํางาน ซึ่งความพึงพอใจของบุคคลมีผลมาจากความตองการ เมื่อ บุคคลมีความตองการมากจะเกิดปฏิกิริยาเรียกรองเพื่อหาวิธีการตอบสนองเพื่อใหเกิดความพึงพอใจ หรือลดความเครียดใหนอยลงหรือหมดไปได และความพึงพอใจก็จะมีมากขึ้นดวย แอปเปลไวท (Applewhite. 1968 : 6) กลาววา ความพึงพอใจ หมายถึง ความรูสึกสวนตัว ของบุคคลในการปฏิบัติงาน ซึ่งมีความหมายรวมไปถึงความพึงพอใจตอสภาพแวดลอมทางกายภาพ การมีความสุขที่จะทํางานรวมกับผูอื่น สามารถอยูในสังคมไดอยางมีความสุข สามารถปรับตัวเขากับ สถานการณตาง ๆ ได และมีทัศนคติที่ดีตองานหรือกิจกรรมตาง ๆ ที่ปฏิบัติ คําเขื่อน อิ่มใจ (2545 : 29) กลาววา ความพึงพอใจ หมายถึง ความรูสึกนึกคิด หรือทัศนคติ ของผูปฏิบัติงานที่มีตอการปฏิบัติงาน รวมทั้งกระบวนการ องคประกอบ ตลอดจนปจจัยที่เกี่ยวของ กับงานนั้น หากเป็นไปในทางบวกจะเป็นผลทําใหเกิดความพึงพอใจตอการปฏิบัติงาน มีการเสียสละ อุทิศแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย และสติปญญาใหแกงานมากขึ้น แตในทางตรงขามหากผูปฏิบัติมีความ รูสึกนึกคิด หรือทัศนคติตอการปฏิบัติงานเป็นไปทางลบ จะมีผลทําใหเกิดความไมพึงพอใจตอการ ปฏิบัติงาน ทั้งนี้ความพึงพอใจตอการทํางานจะเป็นผลมาจากการสรางแรงจูงใจ เพื่อกระตุนใหเกิด ความพึงพอใจนั่นเอง ปนัดดา ยอดระบํา (2546 : 6) กลาววา ความพึงพอใจ หมายถึง ความรูสึกที่ดี ที่ชอบ ที่พอใจ หรือประทับใจของบุคคลตอสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไดรับ โดยสิ่งนั้นสามารถตอบสนองตอความตองการทั้งด านรางกายและจิตใจ ซึ่งบุคคลมีความตองการหลายสิ่งหลายอยาง และมีความตองการหลายระดับซึ่ง หากไดรับการตอบสนองก็จะกอใหเกิดความพึงพอใจ พิชิต บุตรศรีสวย (2546 : 11) กลาววา ความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความรูสึกชอบความ รัก ความยินดียอมรับ และการมีเจตคติที่ดีตอการปฏิบัติงาน ความพึงพอใจเป็นความรูสึกโดยรวมของ บุคคลที่มีการทํางานในเชิงบวก เป็นความสุขของบุคคลที่เกิดจากการปฏิบัติงาน ทําใหเกิดความ กระตือรือรน มุงมั่น มีความคิดสรางสรรค และมีกําลังใจตอการปฏิบัติงาน สงผลใหเกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของงานไดในที่สุด อัมพร วงษา(2547 : 27) กลาววา ความพึงพอใจ หมายถึงความรูสึกของบุคคลที่มีทัศนคติที่ ดีตอการปฏิบัติงาน ความรูสึกนี้เกิดขึ้นไดจากการจูงใจใหผูปฏิบัติรักการทํางาน พึงพอใจในการ


ปฏิบัติงาน มีความรับผิดชอบตอการทํางาน มีความคิดสรางสรรค คิดคนวิธีการทํางานใหมี ประสิทธิภาพได ความพึงพอใจจะนําไปสูการปฏิบัติงานที่ดี บรรลุจุดประสงคที่วางไว จากความหมายของความพึงพอใจที่นักการศึกษากลาวไวขางตน สรุปไดวา ความพึงพอใจที่ เกิดขึ้นกับผูเรียน หมายถึงความรูสึกของผูเรียนที่มีทัศนคติที่ดีตอการเรียนรูหรือกิจกรรมการเรียนรูที่ ไดปฏิบัติ ความรูสึกนี้เกิดขึ้นไดจากการจูงใจใหเกิดการใฝเรียนรูรักการเรียน พึงพอใจในกิจกรรมที่ ปฏิบัติ ซึ่งจะสงผลใหเกิดความรับผิดชอบตอการเรียน สงเสริมความคิดสรางสรรค และคิดคนหา วิธีการเรียนไดดวยตนเองอยางมีประสิทธิภาพได และความพึงพอใจดังกลาวจะนําไปสูการมีผลการ เรียนที่ดี บรรลุจุดประสงคการเรียนรูที่วางไวได ทฤษฎีที่เกี่ยวของกับความพึงพอใจ มีนักการศึกษาเสนอทฤษฎีที่เกี่ยวของกับความพึงพอใจ ดังนี้ เฮอรซเบอรก (Herzberg. 1959 : 113-115) ไดเสนอทฤษฎีที่เกี่ยวของกับความพึงพอใจโดย นําเสนอทฤษฎีที่เป็นสาเหตุที่ทําใหเกิดความพึงพอใจของบุคคล ซึ่งปจจัยที่ทําใหเกิดความพึงพอใจ ของบุคคลมี 2 ปจจัย ดังนี้ 1. ปจจัยกระตุน เป็นปจจัยที่เกี่ยวกับการปฏิบัติกิจกรรมซึ่งเป็นผลใหเกิดความพึง พอใจเชน ความสําเร็จในการปฏิบัติ การไดรับความยอมรับนับถือ ลักษณะของงานหรือกิจกรรมที่ ปฏิบัติความรับผิดชอบ ความกาวหนาในการทํางาน เป็นตน 2. ปจจัยค้ำจุน เป็นปจจัยที่เกี่ยวของกับสิ่งแวดลอมในการทํางาน และมีสวนที่ทําให บุคคลเกิดความพึงพอใจในการทํางาน เชน เงินที่ไดรับ โอกาสในความกาวหนา สถานะของบุคคล สภาพแวดลอมในการทํางาน เป็นตน แมคเกรเกอร (McGreger. 1960 : 33-35) ไดเสนอทฤษฎีที่เกี่ยวของกับความพึงพอใจ โดย อธิบายถึงธรรมชาติและลักษณะของมนุษย 2 ประเภท ดังนี้ 1. คนประเภทเอ็กซ (X) มีลักษณะดังนี้ 1.1 มีสัญชาตญาณที่จะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติกิจกรรมทุกอยางแมวาจะทําได 1.2 มีความรับผิดชอบนอย ชอบในการถูกสั่งการมากกวาเป็นผูสั่งการเอง 1.3 ขาดความคิดริเริ่มสรางสรรคในการปรับปรุงงานใหดีขึ้น


1.4 มีความปรารถนาใหมีการตอบสนองความตองการหรือความพึงพอใจ ของตนเองทางดานรางกายและความปลอดภัยมากที่สุด 2. คนประเภทวาย (Y) มีลักษณะดังนี้ 2.1 เป็นบุคคลที่ชอบการทํางาน จะมีความรูสึกพึงพอใจที่ไดทํางาน เหมือน เป็นการเลนหรือพักผอนเมื่อไดทํางาน 2.2 มีความรับผิดชอบในการทํางานสูง มีความกระตือรือรน และมีความ ทะเยอทะยานที่จะประสบความสําเร็จในการทํางาน 2.3 มีทักษะความสามารถในการควบคุมตนเอง สามารถดูแลตัวเองไดดี 2.4 มีความคิดริเริ่มสรางสรรคในการทํางาน รูจักคิดเพื่อที่จะปรับปรุงการ ทํางานใหดียิ่งขึ้น รูจักวางแผนเพื่อการพัฒนางานใหมีคุณภาพ 2.5 มีความรูสึกพึงพอใจมากที่สุด เมื่อไดรับเกียรติยศ ชื่อเสียง และความ สมหวังในชีวิตหรือการทํางานตาง ๆ มาสโลว (Maslow. 1970 : 69-80) ไดเสนอทฤษฎีที่เกี่ยวของกับความพึงพอใจ ซึ่งเป็น แนวคิดเกี่ยวกับความตองการ ที่ตั้งอยูบนสมมุติฐานที่วา มนุษยมีความตองการอยูเสมอไมมีที่สิ้นสุด เมื่อความตองการไดรับการตอบสนอง หรือพึงพอใจอยางใดอยางหนึ่งแลว ความตองการสิ่งอื่น ๆก็จะ เกิดขึ้นมาอีก ความตองการของบุคคลอาจจะซ้ําซอนกัน ความตองการอยางหนึ่งอาจยังไมทันหมดไป ความตองการอีกอยางหนึ่งอาจเกิดขึ้นได ซึ่งความตองการของมนุษย มีลําดับขั้น ดังนี้ 1. ความตองการดานรางกาย เป็นความตองพื้นฐาน เป็นสิ่งจําเป็นตาง ๆ ในการ ดํารงชีวิต เชน อาหาร ที่อยูอาศัย เครื่องนุงหม ยารักษาโรค เป็นตน 2. ความตองการความปลอดภัย ความมั่นคงในชีวิต ทั้งที่เป็นอยูในปจจุบัน และ อนาคตความเจริญกาวหนา อบอุนใจ 3. ความตองการทางสังคม เป็นสิ่งจูงใจที่สําคัญตอการเกิดพฤติกรรม ตองการให สังคมยอมรับตนเอง 4. ความตองการมีฐานะ เป็นความพึงพอใจในดานสังคม อยากใหบุคคลยกยอง สรรเสริญอยากมีความเป็นอิสรภาพ 5. ความตองการที่จะประสบความสําเร็จในชีวิต เป็นความตองการในระดับสูงอยาก ใหตนเองประสบความสําเร็จทุกอยางในชีวิต


สกอต (Scott. 1970 : 124) ไดเสนอทฤษฎีในเรื่องการจูงใจใหเกิดความพึงพอใจตอการ ปฏิบัติกิจกรรม ดังนี้ 1. กิจกรรมควรมีความสัมพันธสอดคลองกับความตองการ และมีความหมายที่ดีตอผู ปฏิบัติกิจกรรม 2. กิจกรรมดังกลาวตองมีการวางแผน และวัดความสําเร็จได โดยใชระบบการ ทํางานและการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ 3. เพื่อใหไดผลในการสรางแรงจูงใจภายใตจุดประสงคของกิจกรรม ผูปฏิบัติ กิจกรรมจะตองมีสวนรวมในการกําหนดจุดประสงค ไดรับทราบความสําเร็จในการปฏิบัติ และ สามารถปฏิบัติกิจกรรมนั้นใหสําเร็จลงไดดวยตนเอง จากทฤษฎีที่เกี่ยวของกับความพึงพอใจ ที่นักการศึกษากลาวไวขางตน สรุปไดวา ความพึง พอใจของบุคคล เกิดจากสิ่งที่กระตุนใหรูสึกถึงความสําเร็จของกิจกรรม รวมไปถึงสภาพแวดลอมที่ เอื้อตอการทํากิจกรรมตาง ๆ นอกจากนี้ การสรางความพึงใจใหกับบุคคล ตองคํานึงถึงธรรมชาติของ บุคคล เพื่อใหไดรับการตอบสนองตามที่ตองการ และนําไปสูความสําเร็จในกิจกรรมที่ปฏิบัติ อยางไรก็ ตามในการสรางความพึงพอใจใหกับผูเรียน ตองคํานึงถึงกิจกรรมการเรียนรูที่จัดขึ้น กลาวคือ กิจกรรม การเรียนรูนั้นตองมีความสัมพันธสอดคลองกับความตองการของผูเรียน และมีความหมายตอผู เรียนอยางแทจริง ครูผูสอนตองวางแผน และจัดลําดับการเรียนรูใหเป็นระบบสรางแรงจูงใจ หรือ เสริมแรงใหผูเรียนอยางมีความหมาย สอดคลองกับความตองการของผูเรียน นอกจากนี้ การเปดโอกาสใหผูเรียนมีสวนรวมในทุกขั้นตอนของกิจกรรมการเรียนรูยังเป็น ผลใหผูเรียนเกิดความพึงพอใจตอการเรียนรูซึ่งจะสงผลใหเกิดการพัฒนาการเรียนรูไดดี และประสบ ความสําเร็จในการเรียนไดในที่สุด การวัดความพึงพอใจ ปริญญา จเรรัชต์และคณะ (2546, หน้า 5) กล่าวว่ามาตรวัดความพึงพอใจสามารถกระทำได้ หลายวิธีได้แก่ 1. การใช้แบบสอบถามโดยผู้สอบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อต้องการทราบความ คิดเห็นซึ่งสามารถทำได้ในลักษณะที่กำหนดคำตอบให้เลือก หรือตอบคำถามอิสระ คำถามดังกล่าว อาจถามความพึงพอใจในด้านต่างๆ เช่นการบริการการบริหารและเงื่อนไขต่างๆเป็นต้น


2. การสัมภาษณ์เป็นวิธีวัดความพึงพอใจทางตรงทางหนึ่งซึ่งต้องอาศัยเทคนิค และ วิธีการที่ดีที่จะทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงได้ 3. การสังเกตเป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ไม่ว่าจะแสดงออกจากการพูดกิริยาท่าทางวิธีนี้จะต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจังและการสังเกต อย่างมีระเบียบแบบแผน 3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ณัฐธีร์ เรขะพรประสิทธิ์ (2555) ได้ศึกษาเรื่อง การประยุกต์ใช้ทฤษฎีกระบวนการ เรียนรู้ กระตือรือร้นในการออกแบบและพัฒนาเครื่องมือสื่อบทเรียนอิเล็กนิกส์แบบออนไลน์สำหรับวิชา ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับทฤษฎีพัสดุคงคลัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างและ พัฒนาเครื่องมือ สื่อบทเรียนอิเล็กนิกส์แบบออนไลน์ สำหรับวิชาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ ทฤษฎีพัสดุคงคลัง และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อนและหลัง เรียนวิชาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ ทฤษฎีพัสดุคงคลังกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาหลักสูตรวิทยา ศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยี สารสนเทศ ชั้นปีที่ 2 และ 3 ภาคเรียนที่ 2/2553 มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบทดสอบก่อนและหลัง เรียน แผนการเรียนรู้ และแบบประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า 1) สื่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์แบบออนไลน์ วิชาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับทฤษฎีพัสดุ คงคลังที่ได้ออกแบบและพัฒนาเครื่องมือแล้ว มีประสิทธิภาพ 89.28/85.75 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ ก่อนและหลังเรียน ด้วยสื่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์แบบ ออนไลน์วิชาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับทฤษฎีพัสดุคงคลัง โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่มีความเชื่อมั่น 0.75 ซึ่งพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.001 3) ความพึงพอใจในการเรียนรู้ด้วยสื่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์แบบออนไลน์ วิชา ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับทฤษฎีพัสดุคงคลัง ด้วยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น มี ความพึงพอใจในระดับมากที่สุด โดยภาพรวมได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.51 อริสสา สะอาดนัก (2557) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ทักษะจากการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21คณะ วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร กรณีศึกษา รายวิชาการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและ


นวัตกรรม การวิจัยครั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะที่ผู้เรียนได้รับจากการจัดการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากรโดยใช้การวิจัยในชั้นเรียนและเก็บข้อมูล ด้วยวิธีการสนทนากลุ่มกับนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการจัดการธุรกิจทั่วไป ที่ลงทะเบียน เรียนรายวิชาการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรม ในภาคการศึกษาปลายปีการศึกษา 2556 จำนวน 7 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์ แบบสังเกตพฤติกรรมผู้เรียน และแบบทดสอบวัดทักษะความรู้ ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาทำให้ผู้เรียนมีพัฒนาการในด้านทักษะต่างๆ เพิ่มขึ้น ได้แก่ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีทักษะสาระ วิชาหลัก และระบบสนับสนุนการเรียนรู้ที่จำเป็นมากที่สุดคือ บรรยากาศการเรียนรู้ข้อเสนอแนะใน การวิจัยครั้งนี้ คือ ควรมีการเสริมทักษะชีวิตในเรื่องการจัดการเวลา และทักษะอาชีพจากผู้เชี่ยวชาญ ในสายงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน รสิตา รักสกุล, สุวรรณา สมบุญสุโข, และก้องกาญจน์ วชิรพนัง (2558) ได้ศึกษาเรื่องสัมฤทธิ์ ผลของการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ โดยใช้Active Learning ของนักศึกษาในรายวิชา การบริหารจัดการยุคใหม่และภาวะผู้นำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสัมฤทธิ์ผล และ 2) ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนต่อสัมฤทธิ์ผลของการ จัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ โดยใช้Active Learning ของนักศึกษาในรายวิชาการบริหาร จัดการยุคใหม่และภาวะผู้นำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา GEN 351 การบริหารจัดการยุคใหม่และภาวะผู้นำ ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 407 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ 2) แบบทดสอบ หาสัมฤทธิ์ผลทางการเรียน และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า ผลการ เปรียบเทียบคะแนนจากทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณา การโดยใช้Active Learning หลังการจัดการเรียนการสอนมีคะแนนจากการทดสอบสูงกว่าก่อนการ จัดการเรียนการสอน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 2) ความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการจัดการ เรียนการสอนแบบบูรณาการโดยใช้ Active Learning อยู่ในระดับมาก เดชดนัย จุ้ยชุม, เกษรา บ่าวแช่มช้อย และศิริกัญญา (2559) ได้ศึกษาเรื่องการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทักษะการคิดของนักศึกษาในรายวิชาทักษะการคิด (Thinking Skills)


รหัสวิชา 11-024-112 ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 ด้วยการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมทางการเรียน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาในรายวิชาทักษะการ คิด (Thinking Skills) กลุ่มตัวอย่าง ใช้วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยใช้นักศึกษาสาขาวิชา ภาษาอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ ในรายวิชาทักษะการคิด (Thinking Skills) รหัสวิชา 11-024-112 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 83 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการทดลอง คือ 1) แผนการ สอนแบบมีส่วนร่วม (Active Learning) 2) แบบบันทึกพฤติกรรมทางการเรียน 3) แบบทดสอบทักษะ การคิด (Thinking Skills) ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ เท่ากับ 0.941 และ 4) แบบสอบถาม ความพึงพอใจ ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.823 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย(X) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าร้อยละผลการวิจัย พบว่า 1) พฤติกรรมทางการเรียนของนักศึกษา หลังการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ดีขึ้นทั้ง ในด้านการทำงานเป็นกลุ่ม การแสดงความคิดเห็น และการแสดงออกเพื่อสะท้อนความคิดเห็นร่วมกัน 2) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักศึกษา สูงกว่าก่อนเรียน 3) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) โดยรวมอยู่ในระดับดี


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 22 คน ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. ประชากร 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การสร้างและการพัฒนา 3. วิธีดำเนินการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. สถิติที่ใช้ในการวิจัย 1. ประชากร 1.) ประชากรในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 22 คน โดยวิธีการเจาะจง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การสร้างและการพัฒนา 1. เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นตามกรอบแนวคิดที่ได้พัฒนาจากแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ลักษณะ ของแบบสอบถามแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 เป็นข้อคำถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป


ส่วนที่ 2 เป็นคำถามเกี่ยวกับความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมี ส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชา ช่างยนต์รวมทั้งสิ้นจำนวน 10 ข้อ เป็นการตอบแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ 2. นำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของเนื้อหากับผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและแก้ไขแบบประเมิน รวมถึง การปรับปรุงข้อความในแบบประเมินให้กระชับและอ่านเข้าใจง่าย 3. นำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายในการเก็บรวบรวม ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนการด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ 3. วิธีดำเนินการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ที่เรียนด้วย กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ เพื่องานอาชีพ ซึ่งมีขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นดังนี้ 1. ผู้วิจัยได้ทำการจัดการเรียนการสอนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ 2. หลังจากที่ผู้วิจัยได้ทำการจัดการเรียนการสอนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วน ร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่าง ยนต์ตลอดภาคเรียนแล้ว ผู้วิจัยได้ให้นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนด้วย กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning)


4. การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ แบบประเมิน ความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) มี รายละเอียด ดังนี้ 1. นำข้อมูลจากแบบประเมินความพึงพอใจ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยกำหนด คะแนนการตอบความพึงพอใจ ดังนี้ ระดับน้อยที่สุด กำหนดให้ 1 คะแนน ระดับน้อย กำหนดให้ 2 คะแนน ระดับปานกลาง กำหนดให้ 3 คะแนน ระดับมาก กำหนดให้ 4 คะแนน ระดับมากที่สุด กำหนดให้ 5 คะแนน 2. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ของนักเรียนแต่ละคนมาทำการบันทึกคะแนนลงตารางบันทึกผลแล้วหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3. นำผลการวิเคราะห์ข้อมูลมาแปลความหมายของค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ โดยใช้เกณฑ์ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2553 : 1 3) ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 แปลความได้ว่า มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 แปลความได้ว่า มีความพึงพอใจระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 แปลความได้ว่า มีความพึงพอใจระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 แปลความได้ว่า มีความพึงพอใจระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 แปลความได้ว่า มีความพึงพอใจระดับน้อยที่สุด 4. นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบตารางและอธิบายความ 5. สถิติที่ใช้ในการวิจัย 1. การหาค่าเฉลี่ย (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 105) โดยคำนวณจากสูตร ̅= ∑ เมื่อ ̅แทน ค่าเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด


2. การแจกแจงความถี่ร้อยละ (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 104) โดยคำนวณจากสูตร = × 100 เมื่อ แทน ร้อยละ แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด 3. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 106) โดยคำนวณจากสูตร S.D. = √ ∑ 2−(∑ ) 2 (−1) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน คะแนนแต่ละตัว แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม แทน ผลรวม


บทที่ 4 ผลการวิจัย การศึกษาวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 22 คน ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลโดย ใช้คือ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ผู้วิจัยได้ดำเนินการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังต่อไปนี้ 4.1 ผลการวิเคราะห์คือ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชา ช่างยนต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ตารางที่ 1 แสดงจำนวนและร้อยละข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ข้อมูลทั่วไป จำนวน ร้อยละ เพศ - ชาย - หญิง 22 0 100 0 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากตารางที่ 1 พบว่านักเรียน นักศึกษาที่ตอบคำถามส่วนใหญ่เป็นเพศ ชาย คิดเป็นร้อยละ 100 เพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 0


ตอนที่ 2 การแสดงเจตคติที่มีต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) หัวข้อ ค่าเฉลี่ย S.D ระดับความคิดเห็น 1. การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) สอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ 4.55 0.60 ความพึงพอใจระดับ มากที่สุด 2. การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) มีความน่าสนใจ และรู้สึกสนุกสนานกับการเรียน 4.55 0.60 ความพึงพอใจระดับ มากที่สุด 3. การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาในบทเรียนได้มาก ยิ่งขึ้น 4.45 0.74 ความพึงพอใจระดับ มาก 4. การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สามารถ ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 4.59 0.67 ความพึงพอใจระดับ มากที่สุด 5. การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ส่งเสริมกระบวนการคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหา ด้วยตัวเอง 4.50 0.67 ความพึงพอใจระดับ มาก 6. การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ช่วยฝึกให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ 4.59 0.73 ความพึงพอใจระดับ มากที่สุด 7. การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) สร้างบรรยากาศที่ดีในการศึกษา 4.68 0.65 ความพึงพอใจระดับ มากที่สุด 8. นักเรียนมีความกล้าแสดงออกมากขึ้นโดยการเรียนการ สอนแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) 4.50 0.67 ความพึงพอใจระดับ มาก 9. การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ช่วยให้นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตจริง 4.59 0.67 ความพึงพอใจระดับ มากที่สุด 10.การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ทำให้นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน 4.73 0.55 ความพึงพอใจระดับ มากที่สุด รวม 4.57 0.06 ความพึงพอใจระดับ มากที่สุด


ผลการวิเคราะห์จากตารางที่ 2 พบว่า โดยรวมนักเรียน นักศึกษามีความคิดเห็นเกี่ยวกับ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) อยู่ในระดับ ความพึงพอใจระดับมาก ที่สุด (มีค่าเฉลี่ย = 4.57, S.D.=0.06) และเมื่อพิจารณารายข้อพบว่านักเรียน นักศึกษามีความคิดเห็น เกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ในระดับความพึงพอใจระดับ มากที่สุด คือ การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ทำให้นักเรียนมี ทัศนคติที่ดีต่อการเรียน (มีค่าเฉลี่ย= 4.73, S.D.=0.55)


บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยวิจัย เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการ เรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 22 คน มีรายละเอียดของผลการวิจัย ดังต่อไปนี้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ความพึงพอใจ ของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม ( Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ซึ่งได้จากการทำแบบประเมินความพึงพอใจ ของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ความพึงพอใจ ของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม ( Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ ซึ่งได้จากการทำแบบประเมินความพึงพอใจ ของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ เป็นการวิเคราะห์ ข้อมูลเชิงปริมาณ ซึ่งให้ผู้เรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) โดยใช้โดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน มี การแปลความหมายจากค่าเฉลี่ยตามน้ำหนักคะแนนเฉลี่ยที่คำนวณได้ จำแนกเป็น 5 ระดับ ได้แก่


แบบประเมินความมีวินัยในตนเองหลังการใช้แรงเสริมทางบวก มีลักษณะเป็นแบบมาตรา ส่วนประมาณค่า ( Rating Scales ) โดยใช้มาตรา มี 5 โดยกำหนดคะแนนการตอบความพึงพอใจ ดังนี้ ระดับน้อยที่สุด กำหนดให้ 1 คะแนน ระดับน้อย กำหนดให้ 2 คะแนน ระดับปานกลาง กำหนดให้ 3 คะแนน ระดับมาก กำหนดให้ 4 คะแนน ระดับมากที่สุด กำหนดให้ 5 คะแนน นำผลการวิเคราะห์ข้อมูลมาแปลความหมายของค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ โดยใช้เกณฑ์ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2553 : 1 3) ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 แปลความได้ว่า มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 แปลความได้ว่า มีความพึงพอใจระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 แปลความได้ว่า มีความพึงพอใจระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 แปลความได้ว่า มีความพึงพอใจระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 แปลความได้ว่า มีความพึงพอใจระดับน้อยที่สุด 5.1 สรุปผลการวิจัย ความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่องานอาชีพ นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/3 และ 2/4 สาขางานยานยนต์ สาขาวิชาช่างยนต์ แผนกวิชาช่างยนต์ สามารถสรุปผลได้ ดังนี้ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป พบว่านักเรียน นักศึกษาที่ตอบคำถามส่วนใหญ่เป็นเพศ ชาย คิดเป็นร้อยละ 100 เพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 0 การแสดงเจตคติที่มีต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) พบว่า นักเรียน นักศึกษามีความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) อยู่ในระดับ ความพึงพอใจระดับมากที่สุด (มีค่าเฉลี่ย = 4.57, S.D.=0.06) และเมื่อ พิจารณารายข้อพบว่านักเรียน นักศึกษามีความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วน ร่วม (Active Learning) ในระดับความพึงพอใจระดับมากที่สุด คือ การเรียนการสอนแบบการเรียนรู้


แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ทำให้นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน (มีค่าเฉลี่ย= 4.73, S.D.=0.55) 5.2 ข้อเสนอแนะ ศึกษาและเปรียบเทียบความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ เพื่อให้มีข้อมูลครบทั้ง ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จะได้นำผลที่ได้ศึกษาเปรียบเทียบ ต่อไป


บรรณานุกรม คําเขื่อน อิ่มใจ. (2545). ความพึงพอใจในการปฏิบัติหนาที่ของคณะกรรมโรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดอุดรธานี. การศึกษาคนควาอิสระกศ.ม. (บริหารการศึกษา). มหาสารคาม : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ไชยยศ เรืองสุวรรณ. (2533). เทคโนโลยีการศึกษา: ทฤษฎีและการวิจัย.กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮาส. ณัฐธีร์ เรขะพรประสิทธิ์. (2555). การประยุกต์ใช้ทฤษฎีกระบวนการเรียนรู้กระตือรือร้นในการ ออกแบบและพัฒนาเครื่องมือสื่อบทเรียนอิเล็กนิกส์แบบออนไลน์สำหรับวิชาความรู้เบื้องต้น ทฤษฎีพัสดุคงคลัง. ปริญญานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ. เดชดนัย จุยชุม และคณะ.การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทักษะการคิดของนักศึกษาใน รายวิชาทักษะการคิด (Thinking Skills) รหัสวิชา 11-024-112 ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2558 ดวยการเรียนรูแบบมีสวนรวม (Active Learning).วิทยานิพนธ มหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร,2559. ทิศนา แขมมณี. (2555). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่ออการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทวีวัฒน์ วัฒนกุลเจริญ. (2552). การเรียนเชิงรุก (Active Learning). (Online) Availble: http://pirun.ku.ac.th (เข้าถึงข้อมูล 2/12/2565) บุญชม ศรีสะอาด. (2546). การวิจัยสําหรับครู. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาสน. บุหงา วัฒนะ. (2546). Active Learning. วารสารวิชาการ. 6(9): 30-34 ปนัดดา ยอดระบํา. (2546). ความพึงพอใจในวิธีการสอนงานเกษตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปที่ 6 ของโรงเรียนสังกัดสํานักงานการประถมศึกษา จังหวัดตรัง. วิทยานิพนธ ศษ.ม. (เทคโนโลยีการศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ปริญญา จเรรัชต์ และคณะ. (2546). ความพึงพอใจของเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ใช้เสบียงสัตว์ จังหวัดสุพรรณบุรีรายงานวิจัยในการฝึกอบรมหลักสูตร พัฒนานักวิจัยกรมปศุสัตว์ เบื้องต้น รุ่นที่ 1 กรมปศุสัตว์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร


ปรียานุช พรหมภาสิต. (2559). คู่มือการจัดการเรียนรู้“Active learning (AL) for HuSo at KPRU”.กําแพงเพชร: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ กําแพงเพชร. พิชิต บุตรศรีสวย. (2546). ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสํานักงาน ศึกษาธิการจังหวัด เขตการศึกษา 9. วิทยานิพนธ ค.ม. (การบริหารการศึกษา). เลย : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย. ฟาตีฮะห อุตสาหราชการ.รูปแบบการเรียนการสอน Active Learning เพื่อพัฒนาแนวคิดเชิงวิทยา ศาสตร เรื่องคลื่นไหวสะเทือน.วิทยานิพนธมหาบัณฑิต.มหาวิทยาลัยบูรพา,2558. รสิตา รักสกุล, สุวรรณา สมบุญสุโข, และก้องกาญจน์ วชิรพนัง. (2558). สัมฤทธิ์ผลของการจัดการ เรียนการสอนแบบบูรณาการ โดยใช้Active Learning ของนักศึกษาในรายวิชาการบริหาร จัดการยุคใหม่และภาวะผู้นำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี. การประชุม วิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ประจำปี 2559 (RSU National Research Conference 2015) วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2558 ณ ห้อง Auditorium ชั้น 2 อาคาร Digital Multimedia Complex (ตึก 15) มหาวิทยาลัยรังสิต. สุชาดา แกวพิกุล.การพัฒนากิจกรรมคณิตศาสตรที่ใชในการเรียนการสอนอยางกระตือรือรน โดยเน้น การเรียนเป็นคูรวมกับการบริหารสมอง เพื่อสงเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตรและ ความสุขในการเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิต ศาสตรต่ำ.วิทยานพนธมหาบัณฑิต.มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ,2555. อริสสา สะอาดนัก. (2557). ทักษะจากการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัย ศิลปากร กรณีศึกษา รายวิชาการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรม. คณะวิทยาการ จัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร: กรุงเทพฯ อัมพร วงษา. (2547). การพัฒนาหนังสือเรียนและแบบฝกทักษะประกอบการเรียนภาษาไทย แบบมุงประสบการณภาษา เรื่อง เลาเรื่องเมืองชาง ชั้นประถมศึกษาปที่ 2. การศึกษาคนควาอิสระ กศ.ม. (หลักสูตรและการสอน). มหาสารคาม : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. Applewhite, P. B. (1965). Organization Behavior Englewook Cliffs. New York: Prentice


Hall. Bonwell, C. C. (2003). Active Learning: Creating Excitement in the Classroom. Retrieved May 14,2019, from shorturl.at/fGJVY Cooperstein, S.E. & Kocevar-Weidinger, E. (2004). Beyond active learning: A constructivist approach to learning. Reference Services Review, 32(2): 141-148. Felder, R. M. & Brent, R. (2009). Active learning: An introduction. ASQ Higher Education Brief,2, 4-9. Herzberg, Frederic. (1959). The Motivation to work. New York : John Wiley and Sons Maslow, Abraham Harold. (1970). Motivation and Personality. New York : Harper and Row. Mayers, C. and Jones, T. (1993). Promoting active learning: strategies for the college classroom.San Francisco: Jossey-Bass McGreger, Douglas. (1960). The Human Side of Enterprise. New York : McGraw-Hill Morse, N. C. (1955). Satisfaction in the White Collar Job. Michigan: University of Michigan Press Scott, William G. (1970). Organization Theory. Illinois : Richard D. Irwin. Silberman, M. (1996). Active Learning. Boston: Allyn & Bacon.


Click to View FlipBook Version