งานวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการพูดในงานช่างทองหลวงโดยใช้สื่อโมดูล ส าหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ ๑ แผนกวิชาช่างทองหลวง สาขางานช่างทองหลวง จัดท าโดย นางสาวพรทิพย์ แก้วแววน้อย แผนกวิชาสามัญสัมพันธ์ กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง ประจ าภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
กิตติกรรมประกาศ รายงานการเรียนรู้วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะการพูดในงานช่างทองหลวงโดยใช้สื่อโมดูล ในรายวิชาภาษาอังกฤษเทคโนโลยีศิลปกรรม (๓๐๐๐๐-๑๒๐9) ส าหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง ชั้นปีที่ ๑ แผนกวิชาช่างทองหลวง สาขางานช่างทอง กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง จัดท าขึ้นเพื่อ แก้ปัญหาการพัฒนาทักษะการพูดค าศัพท์ในงานช่างทองหลวงโดยใช้สื่อโมดูล และใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่คณะครูและผู้สนใจ เพื่อน าไปพัฒนาการ เรียนการสอนในรายวิชา ภาษาอังกฤษต่อไป จัดท าโดย นางสาวพรทิพย์ แก้วแววน้อย แผนกวิชาสามัญสัมพันธ์
ชื่อวิจัย วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะการพูดในงานช่างทองหลวงโดยใช้สื่อโมดูล ในรายวิชา ภาษาอังกฤษเทคโนโลยีศิลปกรรม (๓๐๐๐๐-๑๒๐9) ส าหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ ๑ แผนกวิชาช่างทองหลวง สาขางานช่างทองหลวง กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง ผู้วิจัย นางสาวพรทิพย์ แก้วแววน้อย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.เพื่อสร้างชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการอ่านที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน 75/75 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ ๑ แผนกวิชาช่างทองหลวง สาขางานช่างทอง ในรายวิชาภาษาอังกฤษเทคโนโลยีศิลปกรรม หลังเรียน โดยใช้ใช้สื่อโมดูล ฝึกทักษะการพูดสูงกว่าก่อนเรียน 3.เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูด อยู่ในระดับดีขึ้นไป กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ ๑ แผนกวิชาช่างทองหลวง สาขา งานช่างทอง ในรายวิชาภาษาอังกฤษเทคโนโลยีศิลปกรรม หลังเรียน โดยใช้ใช้สื่อโมดูล ในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 จ านวน 15 คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า (1)ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ เท่ากับ 75.04 /83.76 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับชั้น ปวส. 1 หลังเรียน โดยใช้ชุด กิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3)ความพึง พอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับดีมาก
บทที่ 1 บทน า ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ในปัจจุบันภาษาอังกฤษถือเป็นภาษาที่สองที่ส าคัญมากในประเทศไทย และยังเป็นภาษาสากลที่ใช้กัน ทั่วโลก กระทรวงศึกษาธิการได้เล็งเห็นความจ าเป็นในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จึงได้จัดให้มีการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษในสถานศึกษา โดยมีนโยบายพัฒนาคุณภาพการสอนภาษาอังกฤษ โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถนา ประสบการณ์ในห้องเรียนไปใช้ได้ดังนั้นจะต้องได้รับการฝึกทักษะทางภาษาทั้ง 4 ทักษะ คือ การฟัง การพูด การ อ่านและการเขียน ซึ่งมุ่งให้ผู้เรียนมีทักษะในการฟัง พูด อ่านและเขียนที่จะช่วยให้ใช้ภาษาในการสื่อสารได้ตาม ความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2545, หน้า 139) ในการเรียน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ผู้เรียนจ าเป็นต้องฝึกฝนทักษะต่างๆ ทั้งการฟัง พูดอ่าน และเขียน เพื่อ สามารถน าทักษะเหล่านี้ไปใช้ได้จริงในชีวิตประจ าวันอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์ ต่างๆ โดยเฉพาะทักษะการเขียนนับเป็นหัวใจส าคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ (Chee, 2002 อ้างถึงใน สมบูรณ์ เจตน์จ าลอง, 2543, หน้า 3) ซึ่งการจะเขียนให้ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายส าหรับผู้เรียนที่เรียนอังกฤษเป็น ภาษาต่างประเทศ หรือแม้แต่เจ้าของภาษาเองก็พบว่าการเขียนยาก และมักขาดทักษะในการเขียน อย่างไรก็ตาม การฝึกทักษะการเขียนส ามารถช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการเรียนรู้ภาษาด้านอื่นๆ ด้วย อ าภาภรณ์ จินดา ประเสริฐ (2545) ได้ศึกษาการใช้กลไกการจัดการดูแลการเรียนด้วยตนเองเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนของ นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่า ปัญหาการสอนเขียนสรุปได้ 4 ประเด็น คือ ขาดความรู้พื้นฐานทาง ภาษาอังกฤษที่เหมาะสมกับระดับผู้เรียน การขาดความช านาญและประสบการณ์ในด้านกระบวนการเขียน การ ขาดความรู้และประสบการณ์ในการจัดการดูแลการเรียนด้วยตนเองและระยะเวลาในการฝึกซึ่งสอดคล้องกับ บุญ เลิศ วงศ์พรม (2543) กล่าวว่าจากการที่นักเรียน นิสิต นักศึกษาไทยมีปัญหาในการเขียนนั้นคือไม่มีความรู้ที่จะ เขียน ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร และไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรก่อน (บุญเลิศ วงศ์พรม, 2543, หน้า 40) จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยได้ปฏิบัติการสอนโดยใช้โมดูล ในรายวิชาภาษาอังกฤษเทคโนโลยีศิลปกรรม (๓๐๐๐๐-๑๒๐9) พบว่าผู้เรียนมีทักษะการพูดภาษาอังกฤษอยู่ในระดับต้องปรับปรุง วัดได้จากผลการสอบจาก การเรียนโมดูล ในรายวิชาภาษาอังกฤษเทคโนโลยีศิลปกรรม (๓๐๐๐๐-๑๒๐9) เนื่องจากผู้เรียนขาดทักษะความรู้พื้นฐานทางด้านภาษาอังกฤษ ผู้เรียนขาดความช านาญในการพูด ไม่รู้ว่าจะเรียง ประโยคอย่างไร เขียนอย่างไรเป็นต้น ดังนั้นจากการศึกษาข้างต้นจึงท าให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะสร้างสื่อโมดูลเพื่อฝึกทักษะการพูด ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูงปีที่ 1 กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวงมีผลสัมฤทธิ์ดีขึ้น และการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษให้ สอดคล้องกับสาขาวิชาช่างทองหลวงและสังคมปัจจุบันอันเป็นการพัฒนาผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพและส ามารถ ด าเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดโดยใช้สื่อโมดูลที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 หลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดสูงกว่าก่อนเรียน
3.เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้สื่อโมดูลอยู่ในระดับดีขึ้นไป ขอบเขตของงานวิจัย ประชากร นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สังกัดBGF สาขางานตกแต่งประกอบตัวเรือน เครื่องประดับ ในรายวิชาภาษาอังกฤษในชีวิตจริงกาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ปีที่ 1 สังกัดBGF สาขางานตกแต่งประกอบตัวเรือน เครื่องประดับ ในรายวิชาภาษาอังกฤษในชีวิตจริงกาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวงในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2563 จ านวน 25 คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น การใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการอ่าน ตัวแปรตาม 1. ความส ามารถในการเขียนภาษาอังกฤษ 2. ความพึงพอที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม การฝึกทักษะการอ่าน สมมุติฐานการวิจัย 1. ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการอ่านที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้น ปวช 1 หลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการ อ่านสูงกว่าก่อนเรียน 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการอ่านอยู่ในระดับดีขึ้นไป ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เป็นแนวทางในการผลิตสื่อการเรียนการสอนส าหรับครูภาษาอังกฤษชั้น ปวช 1 2. เป็นแนวทางในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้น ปวช 1 3. เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้น ปวช 1 เพื่อน าไปใช้ในการวิจัยต่อไป เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาภาษาอังกฤษ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ แบบทดสอบ ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนและแผนการจัดการ เรียนรู้4 แผน ได้แก่ ตอนที่ 1 แบบทดสอบ ตอนที่ 2 ชุดวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะการพูดในงานช่างทองหลวงโดยใช้สื่อโมดูล ใน รายวิชาภาษาอังกฤษเทคโนโลยีศิลปกรรม ตอนที่ 3 แผนการจัดการเรียนรู้1 แผน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การอ่านเครื่องมือในงานช่างทองหลวง ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรต้น การใช้วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะการพูดในงานช่างทองหลวงโดยใช้สื่อโมดูล ในรายวิชา ภาษาอังกฤษเทคโนโลยีศิลปกรรม ตัวแปรตาม 1. ความส ามารถในการพูดภาษาอังกฤษ 2. ความพึงพอที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดสื่อโมดูล กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม 1. ความส ามารถในการอ่านเขียนภาษาอังกฤษ
2. ความพึงพอที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดโดยสื่อโมดูล นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ชุดกิจกรรม หมายถึง สื่อการเรียนในรูปแบบของชุดการเรียนการสอนที่ใช้กิจกรรมต่างๆ ในการฝึกทักษะ เขียน ซึ่งจะท าให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบโดยการจัดองค์ประกอบต่างๆ ให้เข้ากับเนื้อหาใน หลักสูตร มีรายละเอียดที่ชัดเจนสอดคล้องกับจุดหมาย และความคิดรวบยอด 2. กิจกรรมฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการและสื่ออุปกรณ์ ในการฝึกทักษะ การพูดเครื่องมื่อช่างในงานช่างทองหลวง สะกดค า เรียงค าเป็นประโยคและเขียนเป็น ข้อความสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษตามขั้นตอนการเรียนรู้ที่นักเรียนจะได้เรียนอย่างเป็นระบบ โดยกิจกรรม การฝึกทักษะแต่ละชุดกิจกรรมจะมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การคัดลอก การเติมค าสมบูรณ์การใช้พจนานุกรม ประกอบการเขียน การใช้ภาพประกอบการเขียน การใช้ข้อมูลจากตารางประกอบการเขียน การพูดปาก เปล่าเพื่อเสริมการเขียน การเขียนโดยใช้ทักษะสัมพันธ์การเขียนตามค าบอก การเขียนตามกรอบที่ ก าหนดให้ 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ หมายถึง ความรู้ความเข้าใจและความส ามารถทางด้าน ภาษาอังกฤษในงานวิจัยนี้หมายถึง คะแนนภาษาอังกฤษที่เกิดจากกระท าแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 4. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ หมายถึง เครื่องมือที่ใช้วัดความรู้ความเข้าใจและ ความส ามารถทางด้านภาษาอังกฤษ มีลักษณะเป็นแบบอัตนัย 5. เกณฑ์มาตรฐาน 75/75 หมายถึง ข้อก าหนดเกี่ยวกับค่าเฉลี่ยร้อยละของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภาษาอังกฤษด้านกระบวนการและด้านประสิทธิผลเท่ากับ 75/75 75 ตัวแรก หมายถึง ค่าเฉลี่ยร้อยละของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษด้านกระบวนการที่เกิดขึ้นระหว่าง การเรียนการสอน 75 ตัวหลัง หมายถึง ค่าเฉลี่ยร้อยละของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษด้านประสิทธิผลที่เกิดขึ้นหลังการ เรียนการสอน 6. ความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูด หมายถึง ความคิดส่วนบุคคลที่มี ต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดโดยสื่อโมดูลในงานวิจัยนี้หมายถึงคะแนนที่ได้จากการ ตอบแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดโดยสื่อโมดูลที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้น 7. แบบสอบถามความพึงพอใจ หมายถึง เครื่องมือที่ใช้วัด ความคิดส่วนบุคคลที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 อันดับ จ านวน20 ข้อ และความคิดเห็นเพิ่มเติมอีก 1 ข้อ
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะการพูดในงานช่างทองหลวงโดยใช้สื่อโมดูล ในรายวิชา ภาษาอังกฤษเทคโนโลยีศิลปกรรม กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวงผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง ดังนี้ - ทฤษฎีและหลักการสอนพูดภาษาอังกฤษ - จิตวิทยาส าหรับการสอนเขียนภาษาอังกฤษ - สื่อการสอนภาษาอังกฤษ - ชุดกิจกรรมสื่อโมดูล - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ - งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีและหลักการสอนพูดภาษาอังกฤษ ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นหลักในการสอนภาษา การเรียนการสอนภาษาอังกฤษจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จ าเป็นที่ครูจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักจิตวิทยา การศึกษาต่างๆ ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานและอิทธิพลส าคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ซึ่งสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับตัว ผู้เรียน รวมทั้งกระบวนการและสภาพการเรียนการสอนเพื่อครูจะได้น าปัจจัยเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในการ เตรียมการวางแผน และจัดด าเนินการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผล สมตามความมุ่ง หมายของหลักสูตรหลักจิตวิทยาการศึกษาที่ควรทราบและค านึง มีดังต่อไปนี้ กฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์หรือกฎแห่งการเรียนรู้(Law of Learning) ที่ส าคัญ 3 กฎ คือ 1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) ได้มีผู้ศึกษาและสรุปถึงรายละเอียดของกฎแห่งความพร้อมไว้หลาย อย่างด้วยกัน ดังนี้ มาลินีจุฑารพ (2539) สรุปว่า กฎแห่งความพร้อมแบ่งเป็น 3 กฎย่อย คือ 1. เมื่อบุคคลพร้อมแล้วได้กระท าจะเกิดความพอใจ 2. เมื่อบุคคลพร้อมแล้วไม่ได้กระท าก็ย่อมเกิดความร าคาญใจ 3. เมื่อบุคคลไม่พร้อมแต่ถูกบังคับให้กระท าก็จะแสดงความร าคาญใจ สุชา จันทร์เอม (2540) สรุปว่า คนเราจะเรียนได้ดีเมื่อเขาพร้อมที่จะเรียน และท าให้เกิดความพอใจ แต่ถ้าไม่ได้ เรียนสมใจจะเกิดความร าคาญใจขึ้นแทนที่ ถ้าหากคนที่ยังไม่อยากเรียนแต่ถูกบังคับให้เรียนจะเกิดความร าคาญใจ และไม่พอใจ ยุทธพงษ์ไกยวรรณ (2541) สรุปว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ต้องมีความพร้อมทุกด้านทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น ด้านครูผู้สอน คือมีความพร้อมด้านการเตรียมเนื้อหาสาระที่จะถ่ายทอด เตรียมสื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพ ด้าน ผู้เรียนก็ต้องมีความพร้อมด้านความสนใจที่จะรับรู้เนื้อหาในแต่ละหน่วยการสอน มีความพร้อมด้านสติปัญญา อ ารมณ์สังคมและภาวะทางร่างกาย ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์(2534) สรุปว่า สภาพความพร้อมในตัวผู้เรียน ประกอบด้วย ความต้องการ ความสนใจ ความเอ าใจใส่ในเรื่องที่เรียน สภาพร่างกาย และสติปัญญาที่เจริญเติบโตเพียงพอที่จะเรียนเรื่องเหล่านั้นได้และ ประการส าคัญคือ ต้องมีความรู้พื้นฐานเพียงพอที่จะท าให้เรียนเรื่องเหล่านั้นได้โดยสะดวก
กล่าวโดยสรุป กฎแห่งความพร้อม คือการที่ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะเรียนหรือกระท าสิ่งใดๆ ความพร้อมนั้นตะต้อง พร้อมทั้งร่างกาย อ ารมณ์สังคม และสติปัญญา เมื่อมีความพร้อมผู้เรียนจะเกิดความพึงพอใจเมื่อได้กระท าสิ่งต่างๆ แต่ถ้าไม่พร้อมก็จะเกิดความร าคาญใจเมื่อต้องกระท าหรือถูกบังคับให้กระท า ดังนั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอน ผู้สอนก็ควรจะค านึงถึงความพร้อมของผู้เรียนด้วย 2. กฎแห่งการฝึก (Law of Exercise) กันยา สุวรรณแสง (2538) ได้สรุปเรื่องกฎแห่งการฝึกว่า การฝึกหัดกระท า ซ้ าบ่อยๆ ย่อมเกิดการเรียนรู้ได้นานและคงทนถาวร โดยแบ่งเป็น 2 กฎ คือ 2.1 กฎแห่งการใช้ (Law of Used) เมื่อเกิดความเข้าใจหรือการเรียนรู้แล้วมีการกระท าหรือน าสิ่งที่ เรียนรู้นั้นไปใช้บ่อยๆ จะท าให้การเรียนรู้นั้นคงทนถาวร 2.2 กฎแห่งการไม่ใช้(Law of Disused) เมื่อเกิดความเข้าใจหรือการเรียนรู้แล้วมีการกระท าหรือน าสิ่งที่ เรียนรู้แล้วไม่ได้กระท าซ้ าบ่อยๆ จะท าให้การเรียนรู้ไม่คงทนถาวร หรือในที่สุดก็เกิดการลืมจนไม่เรียนรู้อีกเลย สุชา จันทร์เอม (2540) สรุปว่า สิ่งใดที่กระท าบ่อยๆ ย่อมท าสิ่งนั้นได้ดีและถ้ากระท าซ้ าๆ กันมากๆ ผลจะยิ่งดีขึ้น เรื่อยๆ จะท าให้เกิดความช านาญคล่องแคล่ว ถูกต้องแม่นย ายิ่งขึ้น แต่ถ้าเว้นเว้นไปจากกระท านั้นนานๆ เมื่อ กระท าใหม่จะได้ผลไม่ดีกว่าเดิม กล่าวโดยสรุป กฎแห่งการฝึก คือ การที่ผู้เรียนจะต้องได้รับการฝึกหรือการกระท าสิ่งใดๆ ซ ้าๆ บ่อยๆ เพื่อให้เกิด ความช านาญ และการจ าที่ถาวร ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนครูผู้สอนจึงควรจัดกิจกรรมที่เน้นการกระท า ซ้ าๆ หรือกิจกรรมอย่างเดิมบ่อยๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และจ าได้ 3. กฎแห่งผล (Law of Effect) (สุชา จันทร์เอม, 2540; มาลินีจุฑะรพ, 2539; กันยา สุวรรณแสง, 2538) ได้ สรุปกฎแห่งผลในลักษณะที่คล้ายๆกันได้ดังนี้โดยกฎแห่งผลมีหลักการว่า ถ้าบุคคลได้กระท าสิ่งใดแล้วได้ผลเป็นที่ น่าพอใจก็อยากกระท าสิ่งนั้นอีก แต่ถ้ากระท าแล้วไม่ได้ผลดีก็ไม่อยากจะกระท าอีก ซึ่ง ยุทธพงษ์ ไกยวรรณ (2541) ได้สรุปสนับสนุนว่า การเรียนรู้จะเกิดได้ดีหากผู้เรียนรู้ผลการกระท า ผลจากการกระท าจะเป็นเหตุท้าทาย ความส ามารถให้อยากกระท าอีก กล่าวโดยสรุป กฎแห่งผลก็คือ ความพอใจในการกระท าของผู้กระท า นั่นคือ ถ้าผู้กระท าเกิดความพอใจใน ผลของการกระท าของตน ก็อยากที่จะกระท าสิ่งนั้นอีก แต่ถ้าผลการกระท าไม่เป็นที่น่าพอใจก็ไม่อยากที่จะกระท า สิ่งนั้นๆ อีกต่อไป ดังนั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนผู้สอนจึงควรหาวิธีการที่ท าให้ผู้เรียนเกิดความ ภาคภูมิใจในผลของการกระท าของตน เพื่อให้ผู้เรียนพอใจและต้องการท ากิจกรรมดังกล่าวต่อไป ซึ่งจะมีผลต่อการ เรียนรู้ของผู้เรียนในที่สุด จากทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์เมื่อน ามาใช้กับการเรียนรู้ทางภาษา ครูส ามารถจะวัดผลได้จากการ กระท าต่อไปนี้(ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, 2534) 1. การให้ท าซ้ า เช่นเคยเรียนไปแล้ว ให้ท่องดูว่าจ าได้หรือไม่ ให้เขียนค ายากที่เคยเรียนว่าสะกดถูกหรือไม่ 2. การให้ระลึกได้ได้แก่การให้เลือกค าตอบที่ถูกจากค าต่างๆ ที่ให้ไว้หรือให้เปล่งเสียงจากค าต่างๆ ว่ายังจ าสิ่งที่ เรียนไปแล้ว และเรียงล าดับให้ถูกต้อง 3. การคาดคะเน ให้ค าคู่มาแล้วให้เลือกว่าค านั้นควรจะใช้คู่กับอะไร 4. การให้เรียนใหม่ เคยสอนไปแล้วก็มีการทบทวนใหม่ ในปลายเทอมเพื่อใช้เป็นเครื่องมือวัดว่าผู้เรียนได้เรียนรู้เร็ว หรือช้าเพียงใด ถ้าเรียนได้เร็วก็แสดงว่าการเรียนจากครั้งก่อนได้ผลดีสื่อความหมายได้เข้าใจ
จากแนวคิดของกฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์จะเห็นได้ว่า ถ้าจะท าให้ผู้เรียนประสบความส าเร็จ หรือมีการเรียนที่มี ประสิทธิภาพจะต้องให้ผู้เรียนนั้นเกิดความพร้อมที่จะเรียนในทุกๆ ด้าน ไม่ทางด้านสติปัญญา อ ารมณ์ภาวะทาง ร่างกาย และทางครูผู้สอนก็ต้องมีการเตรียมการสอนที่จะถ่ายทอดเนื้อหาสาระให้แก่ผู้เรียน มีการจัดกิจกรรมที่ท า ให้เด็กเกิดความพอใจและอยากจะกระท ากิจกรรมนั้นอีก ซึ่งการสร้างความพอใจให้กับเด็กนั้นอาจจะเป็นค าชมเชย รางวัลจากผู้สอนซึ่งเหล่านี้จะสร้างแรงจูงใจให้เด็กต้องการกระท ากิจกรรมอันจะน ามาซึ่งการเรียนรู้ต่อไป การเสริมแรง (Reinforcement) ของสกินเนอร์การเสริมแรงคือ การกระท าใดๆ ที่ท าให้เกิดการตอบสนอง ในทางที่ต้องการเพิ่มขึ้น ตัวเสริมแรงคือตัวกระตุ้นที่ท าให้เกิดการเรียนรู้ การเสริมแรงจะใช้เพื่อ ท าให้เกิดการตอบสนองบ่อยครั้งมากขึ้น กล่าวคือ ถ้าอ าการตอบสนองเป็นสิ่งที่เราต้องการ เราก็จะเสริมแรง การ เสริมแรงมี2 ประเภทคือ 1. การเสริมแรงทางบอก (Positive Reinforcement) 2. การเสริมแรงทางลบ (Reinforcement) การเสริมแรงทางบอก เป็นการกระท าชนิดหนึ่งชนิดใดที่ท าให้เกิดความพอใจกับผู้เรียน และความพอใจนั้นท าให้ เกิดการตอบสนองที่ต้องการมากครั้งขึ้น หรือตอบสนองอย่างเข้มข้นมากขึ้น เช่นการให้อ าหาร ค าชมเชย ของขวัญ ฯลฯ การเสริมแรงทางลบ เป็นการพยายามท าให้เกิดการตอบสนองเพิ่มขึ้น หรือเข้มข้นมากขึ้น โดยการก าจัดสิ่ง เร้าที่ไม่พึงประสงค์ออกไปเสีย เช่น การก าจัดเสียงดัง การลดการลงโทษ การลดการดุด่า เป็นต้น (ฉลอง ทับศรี, ม.ป.ป., หน้า 14) จากทฤษฎีดังกล่าวจะเห็นว่าการเสริมแรงเป็นสิ่งจ าเป็นที่ผู้สอนต้องค านึงถึง เมื่อมีการเสริมแรง ทางบวกและขณะเดียวกันก็ต้องเสริมแรงทางลบเพื่อให้การเรียนรู้บรรลุวัตถุประสงค์ หลักการพูดภาษาอังกฤษ ความหมายของการพูด การพูด เป็นทักษะซึ่งจะต้องอาศัยถ้อยค าและประสบการณ์ต่างๆ มาเรียบ เรียงล าดับของความคิดให้ต่อเนื่องกัน ด้วยเหตุนี้การเขียนจึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะแสดงพฤติกรรมการสร้างสรรค์ของ ผู้เขียนด้วย นักภาษาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญทางภาษาได้ให้ความหมายของการเขียนไว้หลายลักษณะ ดังนี้ ลาโด (Lado, 1964, p. 143) กล่าวว่าการเขียนเป็นการสื่อความหมายด้วยตัวอักษรซึ่งเป็นที่เข้าใจระหว่าง ผู้เขียนและผู้อ่าน มีการเรียบเรียงข้อความตามลักษณะโครงสร้างทางภาษาโดยใช้แบบฟอร์มของการเขียนตรงกับ จุดมุ่งหมาย ตลอดจนใช้ส านวนได้อย่างถูกต้อง ส่วนอ าราพอฟ (Arapoff, 1967, pp. 119-120) ได้ให้ ความหมายของการเขียนสอดคล้องกับฟินอคเชียโร (Finocchiaro, 1973, p. 130) ว่าการเขียนคือความคิดที่ แสดงออกในรูปของตัวอักษร นอกจากนี้โอลิวา (Oliva, 1969, p. 152) และแมคคริมอน (Macrimon, 1987, p. 3) กล่าวว่าการเขียนเป็นภาษาของผู้พูดในการสื่อความคิด ความรู้เรื่องราวต่างๆ ของตนให้ผู้อื่นเข้าใจตรงกับ เจตนาของผู้เขียนซึ่งขึ้นอยู่กับสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเขียน ส่วนอรุณีวิริยะจิตรา (2532, หน้า 175-179) กล่าว ว่า การเขียนคือการใช้ระบบของภาษารวมกันในรูปของประโยคต่างๆ แสดงกริยาอ าการและความคิดแทนผู้เขียน จากค าจ ากัดความของการเขียนข้างต้น สรุปได้ว่า การเขียน คือการถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ประสบการณ์ ออกมาเป็นตัวอักษร ซึ่งต้องอาศัยความรู้ด้านค าศัพท์และโครงสร้างทางไวยากรณ์มาประกอบให้เหมาะสมถูกต้อง ส ามารถสื่อความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกับผู้เขียนได้
ความสามารถในการพูดลาโด (Lado, 1964, p. 245) กล่าวถึงความสามารถในการอ่านว่าเป็นความสามารถที่ จะใช้ตัวอักษรอย่างมีความหมายและยังสามารถเรียบเรียงข้อความจากลักษณะโครงสร้างภาษาที่ใช้แบบฟอร์มของ การเขียนให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการเขียนนั้น ตลอดจนการใช้ถ้อยค าส านวนอย่างถูกต้องซึ่งสอดคล้องกับค า กล่าวของโอลิวา (Oliva, 1969, p. 5) มีความคิดเห็นว่าการเขียนภาษาต่างประเทศ หมายถึง ความส ามารถใน การใช้ภาษาอย่างคล่องแคล่วในสถานการณ์ทั่วๆ ไป รวมทั้งความสามารถในการใช้โครงสร้าง ค าศัพท์ และ สัญลักษณ์ที่ใช้แทนค าพูด ผู้เขียนจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับค าศัพท์และโครงสร้างการเขียนจริงๆ ส่วนอ ารา พอฟ (Arapoff, 1967, pp. 233-237) กล่าวว่าความส ามารถทางการเขียน คือความสามารถในการจัดรวบรวม ความคิดต่างๆ ให้เป็นถ้อยค าที่สละสลวย ท านองเดียวกับเบอร์ทและดูเลย์(Burt & Dulay, 1975, p. 292) ซึ่ง กล่าวว่าความสามารถในการเขียนแสดงให้เห็นถึงการจัดระเบียบความคิด ออกมาในรูปประโยคได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้แวเลตต์(Vallete, 1977, p. 217) กล่าวถึงความสามารถทางการเขียนเป็นความสามารถทางการใช้ ค าศัพท์การสะกดค าและไวยากรณ์ โดยเขียนอย่างเชี่ยวชาญในลีลาของภาษา ส่วนแพททิและเบคคิง (Patty, Patty & Becking, 1985, pp. 182-226) กล่าวว่าความสามารถทางการเขียน คือความสามารถในการ แสดงออกซึ่งความคิดต้องการเชื่อมโยงจัดวาง และพัฒนารายละเอียดต่างๆ ตลอดจนความสามารถในการเรียบ เรียงความคิดเป็นประโยคเป็นข้อความสั้นๆ และเป็นเรื่องราวสอดคล้องกับ อรุณีวิริยะจิตรา (2532, หน้า 175- 179) กล่าวถึงความสามารถในการเขียนนั้นไม่ใช่เพียงความสามารถในการแต่งประโยคเท่านั้น การเขียนที่ดีอย่าง น้อยต้องประกอบด้วยส่วนส าคัญสองส่วน คือ ความสามารถในการที่จะสร้างประโยคและความสามารถที่จะน าเอา ประโยคเหล่านั้นมาเรียงกันให้เป็นข้อความที่มีความหมายต่อเนื่องกันได้อย่างสอดคล้อง เพื่อเป็นสื่อในการส่งข้อมูล ข่าวสารบางประการระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน กล่าวโดยสรุปความสามารถทางการเขียน หมายถึง ความสามารถในการเรียบเรียงค าศัพท์ส านวนต่างๆ อย่างถูก หลักโครงสร้างไวยากรณ์เป็นข้อความสละสลวยและเหมาะสมถูกต้องตามความนิยมของภาษาเขียน องค์ประกอบของการพูด การพูดเพื่อสื่อความหมายให้เข้าใจตรงกันและผู้อ่านนั้นมีองค์ประกอบซึ่ง นักการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนได้จ าแนกได้ดังนี้ ลาโด (Lado, 1964, p. 98) กล่าวถึงองค์ประกอบของการเขียนไว้ว่า ผู้เขียนจะต้องมีความรู้โครงสร้างไวยากรณ์ ค าศัพท์การสะกดค า และเครื่องหมายวรรคตอนซึ่งนอกเหนือจากสิ่งนี้แล้วผู้เขียนจะต้องมีวัตถุประสงค์ในการ เขียน และผู้เขียนต้องมีความส ามารถในการเขียนเพื่อสื่อความหมายกับผู้อ่านได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของตน ส่วน เฮริส (Harris, 1969, pp. 63-69) และฮีทตัน (Heaton, 1975, p. 138) ได้ท าการเสนอข้อคิดเกี่ยวกับเรื่อง ขององค์ประกอบ ในการเรียนไว้สอดคล้องกันดังนี้ 1. ทักษะทางไวยากรณ์ (Grammatical Skills) ความส ามารถในการเขียนประโยคต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและสื่อ ความได้ 2. ทักษะทางลีลาการเขียน (Stylistical Skills) ความสามารถในการเลือกประโยคและส านวนได้เหมาะสม 3. ทักษะทางกลไก (Machanical Skills) ความสามารถในการใช้สัญลักษณ์ เครื่องหมาย วรรคตอนและอักษร ตัวพิมพ์เล็กหรือพิมพ์ใหญ่อย่างถูกต้อง 4. ทักษะในการวินิจฉัยข้อความ (Judgement Skills) ความส ามารถในการที่จะเขียนได้ตามความคิดอย่าง สมเหตุสมผล
นอกจากเนื้อหาสาระ การวางรูปแบบ ไวยากรณ์ลีลา และกลไกในการเขียนแล้ว องค์ประกอบที่จะช่วยให้นักเรียน เขียนได้ประกอบด้วย 1. มีความรู้ดีในเรื่องที่จะเขียน 2. มีจุดประสงค์แจ่มแจ้งว่าจะส่งสารเพื่อเหตุใดและส ามารถให้ผู้รับเข้าใจสิ่งที่ตนส่งสารไปให้ 3. มีความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของภาษาคือ โครงสร้างทางไวยากรณ์ใช้ค าศัพท์และรู้จักแบบแผนของการเรียน ได้แก่ เรื่องตัวสะกด เครื่องหมายวรรคตอน 4. มีความส ามารถในการสื่อความหมายด้วยการเขียน ส ามารถเขียนโดยใช้ถ้อยค า ส านวน รูปแบบการเขียน ได้ เหมาะสมตรงตามจุดประสงค์ที่วางไว้ 5. เขียนได้รวดเร็วพอสมควรกับงานที่เขียน (พิตรวัลย์โกวิทวที, 2537, หน้า 46-47) กล่าวโดยสรุป การเขียนที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบที่ส าคัญที่จะท าให้การเขียนส ามารถสื่อสารได้ถูกต้อง องค์ประกอบดังกล่าว ได้แก่ ลีลาในการเขียน การสะกดค า การใช้เครื่องหมายวรรคตอน ความรู้เรื่องศัพท์ โครงสร้างไวยากรณ์และการเลือกประโยคและส านวนภาษาได้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ หลักการสอนพูดภาษาอังกฤษส าหรับผู้เรียนต่างชาติการสอนเขียนภาษาอังกฤษส าหรับชาวต่างชาติได้ ปฏิบัติสืบกันมาเป็นเวลานาน โดยมีทฤษฎีและแนวคิดที่จะท าให้เกิดการสอนแบบต่างๆ ที่ เชื่อว่าจะช่วยให้ผู้เรียนเขียนภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนักภาษาศาสตร์ได้แบ่งแนวคิดพื้นฐานออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ดังนี้ กลุ่มที่ 1 วิธีสอนแบบเดิมหรือแบบเน้นผลงาน วิธีสอนแบบเดิมหรือแบบเน้นผลงานเป็นวิธีการสอนเขียน ที่เน้นความถูกต้องของผลงานเขียน จึงเป็นวิธีสอนที่มีการควบคุมให้ผู้เรียนฝึกหัดเป็นขั้นตอนโดยเริ่มต้นด้วยการ ควบคุมอย่างเต็มที่ เช่นการเขียนเลียนแบบตัวอย่าง และการเขียนตามค าบอก ต่อไปก็ให้ผู้เขียนใช้ความส ามารถ ของตนเอง เช่นการเขียนจากโครงร่างที่ก าหนดให้และตามด้วยการเขียนอย่างอิสระซึ่งผู้เขียนจะต้องเขียนเอง โดย ปราศจากข้อแนะน า เป็นการเขียนเพื่อฝึกเขียนรูปประโยคที่เรียนมาในเรื่องไวยากรณ์การเขียนจึงเป็นเพียงส่วน หนึ่งของการเรียนไวยากรณ์วิธีการสอนแบบนี้มุ่งหวังให้ผู้เรียนเขียนได้อย่างถูกต้องตามหลักภาษาซึ่งได้กล่าวถึง กิจกรรมการสอนเขียนไว้ในขั้นตอนของอเล็กซานเดอร์(Alexander, 1971, pp. 8-21) กลุ่มที่ 2 วิธีการสอนแบบใหม่ ในยุคนี้ผู้สอนเริ่มพยายามแสวงหาแนวทางใหม่ในการสอนเขียนใช้ศาสตร์ ต่างๆ ในการศึกษาวิธีการสอน เช่น ภาษาศาสตร์จิตวิทยา และทฤษฎีต่างๆ ทางการศึกษา วิธีสอนการเขียน จึง เปลี่ยนจากการมุ่งเน้นที่มีความถูกต้องของงานเขียนมาเป็นการเน้นปัจจัยต่างๆ ในการเขียน ตลอดจนกระบวนการ ที่เกิดขึ้นขณะที่เขียน วิธีสอนในกลุ่มนี้จึงแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่คือ วิธีการสอนแบบเน้นสื่อความหมาย (Communication Approch) สมิธ (Smith, 1961, p. 50) ได้เสนอการ สอนตามแนวคิดที่ว่าการสอนภาษาและการเรียบเรียง หมายถึง การคัดเลือกค าและโครงสร้าง เพื่อให้งานเขียน บรรลุเป้าหมายการสื่อสารที่ตั้งไว้ในการสอน ควรก าหนดให้นักเรียนเลือกและเรียบเรียงภาษา เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์และเหมาะสมกับสถานการณ์ในการเขียนนั้นๆ งานเขียนที่มอบหมายให้นักเรียนเขียนนั้น ควรมีลักษณะเป็นการแก้ปัญหา กล่าวคือ เป็นการสื่อความหมายบางอย่างในสถานการณ์เฉพาะ ควรให้นักเรียน เกิดความรู้สึกว่าก าลังเขียนเพื่อการสื่อสารกับผู้อื่น ดังนั้นวิธีการสอน จึงควรมุ่งเน้นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารเช่น ควรเรียงประโยคเป็นข้อความ
ไรม์(Raimes, 1984, p. 9) สรุปว่า วิธีการสอนที่เน้นการสื่อความหมายให้ความส าคัญต่อจุดมุ่งหมายในการ เขียนและผู้อ่านข้อความนั้น การสอนแบบนี้จึงมิใช่เพียงสนใจแต่งานเขียนแต่ค านึงถึงองค์ประกอบของการเขียนคือ จุดมุ่งหมายของผู้เรียน และตัวผู้ที่คาดว่าจะอ่านข้อความนั้นด้วย อัลเลน และวิดโดว์สัน (Allen & Widdowson, 1986, p” 122) กล่าวถึงวิธีการสอนแบบเน้นความหมายว่าเปลี่ยนจากเน้นไวยากรณ์มาเป็นการสื่อความหมาย ของภาษา แนวการสอนนี้เป็นผลมาจากความต้องการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในกิจกรรมต่างๆ ส่วนวิดโดว์สัน (Widdowson, 1985, p. 44) เสนอว่าในการสอนควรจัดเตรียมสถานการณ์ใน การเขียน คือ ให้ผู้เรียนรู้ว่าผู้อ่านคือใคร และเขียนเพื่ออะไร หากขาดสถานการณ์ดังกล่าวก็มิใช่การเขียนเพื่อการ สื่อสารแต่จะเป็นเพียงแบบฝึกหัดทางภาษาเท่านั้น 2. วิธีสอนแบบเน้นกระบวนการ วิธีสอนแบบเน้นกระบวนการเป็นวิธีการสอนเขียนภาษาอังกฤษที่ก าลังเป็นที่นิยม อยู่ในทศวรรษนี้การสอนแบบนี้มีแนวคิดพื้นฐานที่ว่าการเขียนเป็นกระบวนการทางสติปัญญาและภาษา เพราะใน การสร้างงานเขียนนั้นผู้เขียนต้องใช้ความส ามารถทั้งในการใช้ความคิด สติปัญญาและการใช้ภาษา กระบวนการที่ เป็นที่นิยมใช้ในการเขียนนั้นประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ 2.1 ขั้นก่อนการเขียน เป็นขั้นตอนที่ผู้เขียนสร้างความคิดและค้นปัญหาข้อมูลต่างๆที่เสนอในการเขียน ตลอดจนการวางแผนจัดเรียบเรียงข้อมูลที่จะน าเสนอในรายงานเขียน 2.2 ขั้นเขียน เป็นขั้นที่ผู้เขียนแปรความคิดออกมาเป็นตัวอักษรซึ่งเป็นการคิดฉบับร่าง และขณะที่เขียน นั้นมีการแก้ไขตลอดเวลาเพื่อให้ได้งานเขียนที่สมบูรณ์และสื่อความหมายได้ตามต้องการ 2.3 ขั้นหลังเขียน เป็นขั้นที่ผู้เขียนปรับแก้งานเขียนทั้งในระดับเนื้อหาและภาษาที่ใช้เพื่อให้ได้งานเขียนที่ ถูกต้องชัดเจนต่อผู้อ่าน สรุปได้ว่า กลุ่มวิธีสอนแบบใหม่มุ่งที่การสื่อความหมายของงานเขียน ค านึงถึงองค์ประกอบในการสื่อสาร กิจกรรมการเรียนการสอนจึงเป็นการก าหนดสถานการณ์ในการเขียนแทนการก าหนดรูปแบบการเขียน ส่วนวิธี สอนแบบเน้นกระบวนการ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนปฏิบัติตามของกระบวนการเขียน ขั้นตอนของกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียน การเขียนเป็นการสื่อความหมายที่ต้องอาศัยการฝึกที่เป็นระบบหลาย รูปแบบเพื่อพัฒนาการเขียนของผู้เรียน มอริส (Morris, 1966, pp. 125-142) ได้แบ่งล าดับขั้นตอนการเขียนไว้ ดังนี้ 1. ขั้นคัดตัวอักษร (Transcription) เพื่อฝึกนิสัยการเขียนที่ถูกต้องชัดเจน และสะอาดเรียบร้อย 2. ขั้นเขียนตามค าบอก (Dictation) เป็นการฝึกฟัง การสะกดค า เครื่องหมายวรรคตอนและไวยากรณ์ 3. ขั้นการเขียนเป็นเครื่องมือในการฝึกทักษะ (Writing as a Means) เนื่องจากการเขียนมีความสัมพันธ์กับการ อ่านและไวยากรณ์และการเขียนนับเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการทดสอบความรู้ 4. ขั้นการเขียนเพื่อแสดงออก (Productive Writing) ขั้นนี้ประกอบด้วย เนื้อหา รูปแบบและลีลา นักเรียนต้องรู้ ถึงสิ่งที่ตนจะเขียน ซึ่งหมายถึงความคิดและต้องรู้ว่าจะกล่าวอะไร นั่นก็คือการใช้ค าและรูปแบบของ ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องแสดงออกซึ่งความคิดของตน ขั้นนี้ครอบคลุมถึงการแปลและเรียงความทั้งแบบ ควบคุมและแบบอิสระ นอกจากนี้ลาโด (Lado, 1964, pp. 143-145) ได้เสนอแนวทางในการฝึกเขียนภาษาต่างประเทศเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นเตรียมตัวก่อนการเขียน เป็นขั้นเขียนสัญลักษณ์ต่างๆ แทนค าพูด ฝึกการคัดเลือกสัญลักษณ์และตัวอักษร แบบต่างๆ ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของตัวอักษรกับระบบเสียงรวมทั้งลีลาในการเขียนและความแตกต่างของ สัญลักษณ์แต่ละตัว 2. การคัดลอกข้อความจากบทอ่าน เป็นการจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้ฝึกเขียนตามแบบที่ก าหนดให้ ซึ่งเป็น ข้อความแบบยาวๆ ที่ผู้เรียนได้อ่านไปแล้ว 3. การถ่ายทอดสิ่งที่ได้พบเห็นเป็นตัวอักษร เป็นการฝึกเขียนตามค าบอก โดยครูบอกค าที่ผู้เขียนเคยรู้จักให้ผู้เรียน เขียนตามค าบอก นอกจากนี้ยังฝึกให้ผู้เรียนรู้จักถ่ายทอดค าพูด หรือแต่งประโยคด้วยตนเองและเขียนประโยค ดังกล่าวโดยไม่มีแบบอย่างให้ดู 4. การเขียนเรียงความ เป็นการเขียนเพื่อรายงาน แสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อมูลต่างๆในรูปแบบที่ถูกต้องตาม แบบแผนและโอกาส เช่น การเขียนจดหมายถึงเพื่อน ซึ่งเป็นแบบที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งครูจะต้องสอนให้ผู้เรียน เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่ส าคัญต่อการเขียนเพื่อการสื่อสาร เช่น หัวเรื่อง ความชัดเจนของแนวคิดและวัตถุประสงค์ ตลอดจนความแจ่มชัดและความมีประสิทธิภาพในการเขียน จะเห็นได้ว่าขั้นตอนในการสอนเขียนนั้นจะเริ่มเขียนจากสิ่งง่ายๆ ขึ้นไปหาสิ่งที่ยากขึ้นตามล าดับ นอกจากนี้ยังมี นักวิชาการที่ได้เสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมการสอนเพื่อฝึกทักษะการเขียน (สุมิตรา อังวัฒนกุล, 2540, หน้า 185) ได้เสนอแนะว่าควรมีหลักการดังนี้ 1. การสอนทักษะการเขียน ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกและเสริมรูปแบบภาษาที่ผู้เรียนคุ้นเคยแล้วจากการฟัง และพูด 2. การควบคุมการเขียนควรลดน้อยลงตามล าดับ ผู้เรียนควรฝึกตอบสนองต่อสิ่งชี้แนะด้วยตนเองทีละน้อย 3. กิจกรรมการเขียนเพื่อการสื่อสารควรเน้นเป็นพิเศษ และหลังจากที่ผู้เรียนได้ฝึกการเขียนตามที่ผู้สอนชี้แนะแล้ว ผู้เรียนควรมีอิสระเต็มที่ในการเขียน นอกจากนี้อะโบเดอริน (Aboderin, 1986, pp. 38-40 อ้างถึงใน ถนอมศรีเหลาหา, 2535, หน้า 25-26) และสุมิตรา อังวัฒนกุล (2537, หน้า 185-198) ได้เสนอขั้นตอนการจัดกิจกรรมการสอนที่สอดคล้องกันว่า กิจกรรมการสอนทักษะการเขียน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะการเขียนดังนี้ 1. เขียนแบบควบคุม เป็นกิจกรรมในการสอนทักษะการเขียนที่ผู้สอนให้เนื้อหาและรูปแบบภาษาส าหรับผู้เรียนใช้ ในการเขียน การเขียนที่มีการควบคุม ได้แก่การเรียนในลักษณะต่อไปนี้ 1.1 การคัดเลือก เป็นกิจกรรมที่ต้องการฝึกการเขียนให้เด็กอย่างง่ายที่สุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็ก คุ้นเคยกับค าศัพท์รูปแบบประโยค ข้อความ การสะกดค า การใช้เครื่องหมายวรรคตอน การขึ้นประโยคหรือการ เขียนตัวอักษรตัวใหญ่ เป็นต้น 1.2 การเติมค าสมบูรณ์วิธีเติมค านี้อาจจะท าในลักษณะดังนี้คือ ครูผู้สอนน าข้อความมาให้ผู้เรียนอ่าน 2-3 ครั้งก่อน หลังจากนั้นจะตัดค าใดค าหนึ่งในข้อความนั้นทิ้งไปแล้วให้ผู้เรียนใช้ความส ามารถในการหาค ามาเติม ในข้อความให้สมบูรณ์ 1.3 การเปลี่ยนค าให้แตกต่างไปจากเดิม เป็นการเขียนเรียนแบบเนื้อเรื่องตามฉบับที่ให้ไว้โดยเปลี่ยนค า หรือวลีบางอันให้แตกต่างไปจากเดิม แต่ยังอาศัยเค้าโครงเรื่องเดิมเป็นส่วนใหญ่
1.4 การเขียนเรียงความให้อยู่ในกรอบที่ก าหนดให้เป็นการฝึกเขียนที่ยากขึ้น โดยให้ผู้เรียนเลือกเอาส่วน ต่างๆ ของภาษามารวมกันให้เป็นประโยคข้อความ เช่น ให้ค าอยู่ในรูปตาราง ผู้เรียนจะต้องเลือกค าเหล่านั้นมาผูก เป็นประโยค หรือข้อความตามความเหมาะสม 1.5 การฝึกเขียนที่ใช้ทักษะการฟังเป็นการเริ่มกิจกรรม เช่น ให้ผู้เรียนฟังเรื่องจากเทป แล้วเขียนข้อความ ที่ได้ฟังจากเทป 1.6 การเขียนโดยใช้รูปภาพ วิธีการ คือ ครูน าภาพมาเป็นตัวก าหนดโครงเรื่องให้ผู้เรียนเขียนเรื่องตามรูป ที่ก าหนดให้ 1.7 การเขียนโดยใช้ข้อมูลจากแผนผัง ตาราง กราฟ หรือแผนภูมิ 1.8 การใช้บทสนทนาเป็นการส่งเสริมการเขียน เช่นให้ผู้เรียนฝึกพูดสนทนากันแล้วเขียนบทสนทนาที่ใช้ พูดนั้น เป็นต้น 1.9 การรวมประโยคเข้าด้วยกัน เป็นกิจกรรมอีกรูปแบบหนึ่งที่จะปูพื้นฐานความส ามารถทางการเขียนได้ ดี 2. การเขียนแบบชี้แนะ เป็นการเขียนที่ผู้เรียนต้องแสดงความส ามารถและแสดงความเห็นมากขึ้น ครูเป็นเพียงผู้ วางโครงร่างและจุดส าคัญๆ ให้เท่านั้น ก่อนลงมือเขียน ผู้เรียนอาจจะอภิปรายร่วมกันในหัวข้อนั้นๆ ก่อนแล้วจึง เขียน โดยเลือกใช้ค าให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการแสดงออก 3. การเขียนแบบเสรีเป็นทักษะการเขียนขั้นสุดท้าย ผู้เรียนต้องใช้ความส ามารถหลายๆ อย่างเข้ามาผสมผสานกัน นอกจากนี้อรุณีวิริยะจิตรา (2532, หน้า 175-191) ได้กล่าวว่าในการจัดกิจกรรมการเขียนเพื่อให้ผู้เรียน สื่อสารได้นั้น จะต้องฝึกเรียงล าดับจากการเขียนง่ายๆ เช่น การเขียนเลียนแบบไปจนกระทั่งผู้เรียนส ามารถเขียนได้ อย่างอิสระ โดยมีกิจกรรมดังนี้ 1. การฝึกรูปแบบภาษาด้วยการสร้างประโยค ควรเป็นการฝึกให้ผู้เรียนสร้างประโยคโดยค านึงถึงความหมายซึ่งส า มารถท าได้หลายแบบ ดังนี้ 1.1 การเรียงค าให้ได้ความถูกต้อง ถ้าผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนฝึกการแต่งประโยคปฏิเสธ ผู้สอนอาจให้ ผู้เรียนเรียบเรียงข้อความดังตัวอย่างให้ถูกต้อง 1.2 การเลือกค าน ามาสร้างประโยคให้ได้ความหมาย ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนฝึกการสร้างประโยคบอก เล่า โดยมีค ากริยาในรูปอดีตกาล ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนน าค าต่อไปนี้มาสร้างประโยค เช่น I wrote a letter. John spoke Spanish. He ate noodle. Pichai and Udom bought a ticket. You drank coffee. 1.3 การเติมค าลงในประโยคเพื่อให้ได้ข้อความที่ถูกต้องและมีความหมาย ถ้าผู้สอนต้องการให้ผู้เรียน เขียนรูปแบบประโยค “IF clause” ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนเติมข้อความลงในประโยค ดังต่อไปนี้ If it rains I don’t go to school. will take an umbrella. will stay home.
2. การฝึกรูปแบบภาษา โดยให้ผู้เรียนข้อความตามแบบข้อความที่ให้ไว้เป็นตัวอย่าง โดยเปลี่ยนเฉพาะเนื้อหาแต่ให้ คงรูปแบบของภาษาไว้ในการกระท าเช่นนี้ผู้เรียนจ าเป็นต้องค านึงถึงความหมายนอกเหนือจากรูปแบบของภาษา 3. การฝึกรูปแบบภาษาโดยให้ผู้เรียนใช้ภาษาที่ต้องการฝึกเขียนเรียบเรียงประโยคที่ให้มาในรูปของอนุเฉท 4. การฝึกรูปแบบภาษาโดยให้ผู้เรียนใช้ภาษาที่ต้องการฝึกสร้างเรื่องราวขึ้นมาจากค าสถานการณ์หรือรูปแบบที่ให้ มาเป็นแนวทาง เช่น ถ้าผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนฝึกการบรรยายเหตุการณ์ในรูปของอดีตกาล ผู้สอนอาจให้ผู้เรียน เรียงล าดับรูปที่ให้มาโดยใส่ตัวเลขข้างๆ รูปตามล าดับก่อนหลังที่เกิดขึ้นแล้วให้น ารูปภาพและค าที่ให้มาเป็น แนวทางในการแต่งเรื่อง หลังจากฝึกจนแน่ใจว่าผู้เรียนมีความแม่นย าในรูปแบบ ความหมาย และวิธีการใช้ภาษาแล้ว ผู้เรียนควรมีโอกาสได้ น าสิ่งที่ตนได้เรียนมาใช้ในการสื่อสารจริงด้วยการพูดหรือการเขียนซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ก่อนเรียน ใน การสอนขั้นนี้กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนท าควรเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องการและ มีจุดมุ่งหมายในการสื่อสาร นอกจากนี้ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกใช้ภาษาหรือเนื้อหาด้วยตนเองให้มากที่สุด และผู้เรียนควรจะประเมินประสิทธิผลในการสื่อสารด้วยตนเองจากข้อมูลย้อนกลับของผู้ร่วมสื่อสารได้ ทั้งนี้ เพื่อที่จะให้การสื่อสารมีความหมายเหมือนจริงให้มากที่สุด ส่วนพิตรวัลย์โกวิทวที(2537, หน้า 52-78) ได้น าเสนอวิธีการเขียนที่เริ่มจากง่ายไปหายาก ดังนี้ 1. การคัดลอก เป็นการคัดลอกที่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อเตือนความจ า เพื่อน าไปใช้ในอนาคต หรือเพื่อความสุนทรีย์จะ ท าให้กิจกรรมนี้มีความหมาย ท าให้เกิดความคงทนในความจ า เช่น การคัดลอกในค าศัพท์ ลอกประโยคที่ ก าหนดให้ให้อ่านข้อความแล้วเลือกค าตอบที่ชอบที่สุด จับคู่ระหว่างประโยคกับภาพให้ถูกต้องแล้วลอกประโยคใส่ ให้ตรงกับภาพ เป็นต้น 2. การเติมค าสมบูรณ์เลือกค า ข้อความหรือเรื่องราวที่มีความหมายให้ผู้เรียนเติม เพื่อให้ผู้เรียนเห็นความส าคัญ ของสิ่งที่ผู้เรียนเติม 3. การใช้พจนานุกรมประกอบการเขียน อาจใช้วิธีวาดและเขียนค าศัพท์ประกอบภาพเป็นพจนานุกรมภาพ การ เปิดพจนานุกรมในการเขียนเรื่องเพื่อค้นหาค าที่สงสัยหรือต้องการ 4. การใช้ภาพประกอบการเขียน โดยการคิดค าศัพท์และรูปประโยคเพื่ออธิบายภาพ การบรรยายภาพโดยการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากภาพ ใช้ภาพหลายภาพเพื่อแสดงเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ตามจ านวนภาพ 5. การใช้ข้อมูลจากตารางประกอบกสนเขียน การใช้ข้อมูลเป็นการเขียนโดยมีกรอบบังคับที่ใช้ค าศัพท์และรูป ประโยคในวงจ ากัด โดยให้ข้อมูลกับนักเรียนเพื่อฝึกเขียน 6. การพูดปากเปล่าเพื่อเสริมการเขียน ส่งเสริมให้แสดงความต้องการโดยผ่านการเขียน ใช้แรงกระตุ้นให้อยาก เขียน เช่น เขียนค าสั่งให้เพื่อนปฏิบัติเขียนจดหมายสั้นๆ อย่างไม่เป็นทางการ เป็นต้น 7. การใช้ค าถามเพื่อเสริมการเขียน เป็นการตั้งค าถามให้นักเรียนเขียนตอบ ควรเป็นเรื่องส่วนตัวหรือกิจวัตร ประจ าวัน ความสนใจ งานอดิเรก หรือเรื่องราวหลังการอ่าน 8. การเขียนโดยใช้ทักษะสัมพันธ์ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะทั้งสี่ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน เพื่อให้เกิดการกระท าเป็น ลูกโซ่ เช่น ยกตัวอย่างบทสนทนาให้นักเรียนอ่านจากนั้นเลือกหัวข้อเรื่องให้เขียน การระดมพลังสมอง แบ่งกลุ่ม แสดงความคิดเห็นแล้วเขียน การเขียนขณะเมื่อสัมภาษณ์การเขียนตามค าบอก ฟังเรื่องและเขียน แล้วน ามา
เปรียบเทียบเนื้อเรื่องโดยไม่ต้องค านึงถึงเครื่องหมายวรรคตอน ฟังครูอ่านอีกครั้ง แล้วตรวจสอบความถูกต้อง แก้ไขให้นักเรียนเขียนเอง 9. การเขียนตามกรอบที่ก าหนดให้เป็นการเขียนเพื่อปูพื้นฐานไปสู่การเขียนเรียงความแบบอิสระ นักเรียนจะได้ฝึก การใช้ค าศัพท์และโครงสร้างทางไวยากรณ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น การแต่งประโยค การตอบค าถาม การเขียนเรื่อง สั้นๆ ตามกรอบที่ก าหนดให้การเติมค าได้เรื่องราวที่สมบูรณ์เป็นต้น จากที่กล่าวมา พอสรุปได้ว่า การสอนเขียนนั้นควรจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความส ามารถของผู้เรียนโดยเริ่มจาก สิ่งที่ง่ายก่อนไปสู่สิ่งที่ยากขึ้นอาจซับซ้อนมากยิ่งขึ้น การที่ผู้เขียนจะเขียนได้ดีต้องอาศัยการฝึก แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา จะท าให้ความส ามารถในการเขียนดีขึ้น ดังนั้นการจัดการเรียนภาษาอังกฤษตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เพื่อให้ผู้เรียนมี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามความหวังของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้วิจัยจึงได้ผสมผสานวิธีการสอนเขียน ดังกล่าวเพื่อฝึกฝนให้ผู้เรียนมีความส ามารถในการเขียนภาษาอังกฤษดีขึ้น จิตวิทยาส าหรับการสอนเขียนภาษาอังกฤษ จิตวิทยาเป็นเรื่องจ าเป็นในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้บรรลุวัตถุประสงค์และท าให้ การเรียนการสอนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จิตวิทยาที่ได้น ามาใช้ในการปฏิบัติกิจกรรมการเขียนภาษาอังกฤษดังนี้ 1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Differences) นักเรียนแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันทั้งด้าน สติปัญญา อ ารมณ์ จิตใจ และทักษะนิสัย ดังนั้นครูจึงต้องค านึงถึงเรื่องนี้ในการจัดกลุ่มจัดชั้นเรียนให้คละกัน ระหว่างนักเรียน ปานกลางและอ่อน เพื่อให้นักเรียนได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 2. ความพร้อม (Readiness) นักเรียนที่มีวัยต่างกันความพร้อมย่อมไม่เหมือนกัน จึงต้องมีการตรวจความพร้อม ของนักเรียนอยู่เสมอ ครูต้องส ารวจความรู้พื้นฐานของนักเรียน ว่าพร้อมที่จะเรียนหรือไม่ อาจให้มีการทบทวน ความรู้เดิม การที่นักเรียนมีความพร้อมก็จะท าให้นักเรียนเรียนได้ดี 3. แรงจูงใจ (Motivation) การให้นักเรียนท างาน หรือท าแบบฝึกหัด นักเรียนต้องการความส าเร็จ หรือท าได้เมื่อ ท าให้เกิดความพอใจ และเกิดขวัญหรือก าลังใจดีเกิดแรงจูงใจ อยากท าต่อไปอีก ดังนั้นหากนักเรียนท าไม่ได้ครู ต้องหาบทเรียนง่ายๆ และท าซ้ าๆ จนนักเรียนเข้าใจเสียก่อน จึงจะสอนบทเรียนต่อไปในการสอน ครูจึงควร ค านึงถึงเรื่องต่อไปนี้ แรงจูงใจ ความส าเร็จ ขวัญ ความเข้าใจ ภาพที่ 1 แสดงผลที่ควรได้รับจากแรงจูงใจ 4. การเสริมก าลังใจ (Reinforcement) เป็นเรื่องส าคัญในการสอนเพราะคนเราเมื่อทราบว่าพฤติกรรมที่แสดง ออกเป็นที่ยอมรับย่อมเกิดก าลังใจ การกล่าวชมนักเรียนในโอกาสที่เหมาะสม เช่น เก่ง ดีหรือแสดงท่าทางว่าพอใจ ในการกระท าของเขา ย่อมเป็นก าลังใจแก่นักเรียนอย่างมาก (พิตรวัลย์โกวิทวที, 2537, หน้า 4-5) ในการจัดการเรียนการสอน ครูส ามารถจัดประสบการณ์เพื่อช่วยให้เด็กเกิดความพร้อมโดยการกระตุ้นให้เกิดเร็ว ขึ้นได้ดังที่ พรรณีช. เจนจิต (2538, หน้า 195-197 อ้างอิงจาก Brune, 1960) ได้กล่าวว่า “เราจะส ามารถ สอนวิชาใดก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้วิธีการที่เหมาะสมให้กับเด็กคนใดคนหนึ่งในระดับอ ายุใดก็ได้” ความ พร้อมในที่นี้หมายถึง ความส ามารถที่เด็กจะเรียนทักษะอย่างง่ายๆ ได้ก่อน ซึ่งทักษะนี้เป็นพื้นฐานของทักษะที่ยาก ต่อไป นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่าในการสอนเพื่อให้มีความหมายกับผู้เรียนนั้นมี2 ลักษณะคือ
1. ก่อนจะสอนสิ่งใดใหม่ส ารวจความรู้ความเข้าใจของเด็กก่อนว่ามีพอที่จะท าความเข้าใจเรื่องใหม่หรือไม่ ถ้ายังไม่ มีจะต้องจัดให้ 2. ช่วยให้ผู้เรียนจ าสิ่งที่เรียนไปแล้ว โดยวิธีช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นความเหมือนและความแตกต่างของความรู้ใหม่ และความรู้เดิม ในขณะเดียวกันต้องให้ผู้เรียนส ามารถเชื่อมโยงความรู้เดิมได้จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และการจ า (พรรณีช. เจนจิต, 2538, หน้า 399 อ้างอิงจาก Ausubel, 1963) การสอนทักษะ การที่บุคคลส ามารถที่จะเรียนรู้ในการท าสิ่งต่างๆ นั้นจะต้องอาศัยแรงจูงใจ ความคิดรวบยอด การ แก้ปัญหา ความคิดวิพากษ์วิจารณ์ความคิดสร้างสรรค์เจตคติและทักษะ วิธีช่วยให้เกิดทักษะในการเรียนอาจสรุป ได้ดังนี้ 1. เริ่มแรกบอกให้เด็กทราบว่าจะท าอะไรชี้แจงให้เห็นความส าคัญเพื่อเร้าให้เด็กเกิดความสนใจ และกระตุ้นให้เห็น ว่าสิ่งนั้นมีความจ าเป็นส าหรับตนเองอย่างไรและสาธิตให้เด็กดูเมื่อสาธิตแล้วอธิบายให้เข้าถึงความสัมพันธ์จุดที่ สังเกตโดยการเขียนกระดานทีละขั้น 2. ให้เด็กมีโอกาสได้ฝึกหัดทันทีหลังการสาธิตสิ่งที่ต้องค านึงถึงคือการท าซ้ าและการเสริมแรง 3. ในขณะฝึกหัดควรให้ค าแนะน าเพื่อช่วยให้เด็กท าทักษะนั้นด้วยตนเอง 4. ให้ค าแนะน าในบรรยากาศสบายๆ ไม่วิจารณ์เพราะบางคนกลัวผิดท าไม่ได้ความยั่วยุให้เกิดความพยายามที่จะ ลอง 5. ในการฝึกหัด ควรเน้นสิ่งที่ถูกเป็นสิ่งที่มีประโยชน์(พรรณีช. เจนจิต, 2538, หน้า 539-540) การเขียนภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่ค่อนข้างยากส าหรับผู้เรียนที่เริ่มเรียนภาษาโดยเฉพาะผู้เรียนที่เรียนช้า จึงถือ เป็นเรื่องจ าเป็นที่ครูผู้สอนต้องค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ความพร้อมของผู้เรียน เพื่อเสริมก าลังใจ และ สร้างแรงจูงใจให้มีความแตกต่างระหว่างบุคคลน้อยลง และเสริมให้ผู้เรียนเร็วได้ประสบความส าเร็จ ในการเรียน เร็วขึ้น สื่อการสอนภาษาอังกฤษ ความหมายของสื่อการสอน สื่อการสอน หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่ผู้สอนน ามาใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อ ความหมายเพื่อให้การเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ซึ่งอาจเป็นบุคคล เหตุการณ์ การศึกษานอก สถานที่ วัสดุอุปกรณ์กิจกรรมและวิธีการต่างๆ เป็นต้น สื่อการสอนมีความจ าเป็นเพราะสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากท าให้ครูต้องสอน เนื้อหาวิชามากขึ้น จ านวนนักเรียนเพิ่มมากขึ้น สื่อการสอนเป็นสิ่งส าคัญในการสอนเอกัตบุคคลให้มีประสิทธิภาพ ช่วยแก้ปัญหานักเรียนที่มีภูมิหลังและพื้นฐานการเรียนที่แตกต่างกัน รวมทั้งนักเรียนที่เสียเปรียบทั้งด้านสติปัญญา และเศรษฐกิจด้วย มัทนา ทองใหญ่ (2539, หน้า 16-19) ได้จ าแนกสื่อการสอนภาษาอังกฤษส าหรับผู้เรียนไว้ดังนี้ 1. ห้องปฏิบัติการทางภาษา การเรียนการสอนคือ การเรียนระบบเสียงซึ่งใช้สื่อความหมาย การเริ่มต้นเรียนจึง เริ่มต้นด้วยเสียง สื่อหรืออุปกรณ์ที่จะช่วยในการสอนทักษะการฟัง พูด ได้อย่างดีคือ ห้องปฏิบัติการทางภาษา การ ฝึกให้นักเรียนได้ฟังเสียงและส าเนียงที่ถูกต้องตามหลักสัทศาสตร์ของครูผู้สอนโดยตรงหรือฟังเทปซึ่งพูดโดยเจ้าของ ภาษา นักเรียนจะได้ฟังการออกเสียงที่ถูกต้องและฝึกพูดตามให้เหมือนหรือใกล้เคียงที่สุด ในเวลาเดียวกัน ครูก็ส า มารถฟังเสียงของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างชัดเจน และส ามารถแก้ไขได้ทันทีที่ออกเสียงผิด
2. เครื่องเล่นเทป ราคาไม่แพงนักเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ใช้ส าหรับสอนบทสนทนา สอนเพลงหรือการฟังเพื่อ ความเข้าใจ ใช้อัดเสียงของนักเรียนเวลาพูดหรืออ่านแล้วค่อยน ามาเปิดให้นักเรียนฟังเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่ 3. โทรทัศน์ เทปวีดีโอ ในปัจจุบันมีบทเรียนภาษาอังกฤษในรูปวีดีโอมากมายตั้งแต่ A B C ครูส ามารถเลือกซื้อ เนื้อหาตามที่ต้องการได้มีทั้งนิทาน การ์ตูนเพลง ก็น ามาใช้เสริมบทเรียนได้เป็นอย่างดี 4. ของจริง ได้แก่ตัวครูนักเรียน สิ่งของต่างๆ ที่มีอยู่ในห้องเรียนจะช่วยให้นักเรียนได้ประสบการณ์ตรง ซึ่งเป็น การดีที่สุดท าให้นักเรียนเข้าใจอย่างถูกต้อง ชัดเจน รวดเร็วและจ าได้อย่างแม่นย า 5. ของจ าลอง ใช้แทนของจริง เนื่องจากของจริงบางอย่างไม่สะดวกในการหา ก็ส ามารถใช้ของจ าลองแทนได้ดีไม่ แพ้ของจริง 6. รูปภาพ เป็นสื่อที่หาได้ง่าย ประหยัดและสะดวกในการน ามาใช้ประกอบการสอน อาจเก็บเป็นหมวดหมู่จะ สามารถน ามาใช้ได้ทันที 7. กระดานชอล์ก อุปกรณ์บางอย่างไม่ส ามารถจะอธิบายได้ชัดเจนเท่ากระดานและชอล์ก กระดานใช้เขียนเฉพาะ หัวข้อส าคัญที่ต้องการเน้น และใช้เป็นสื่อในการเล่นเกมต่างๆ ได้ 8. บัตรค า เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์มาก ควรมีอักษรที่พอเหมาะ อ่านง่ายและตัวหนังสือสวยงาม ส่วนมากจะใช้ สอนค าศัพท์และเรียงประโยค ใช้เล่นเกม สรุปบทเรียน 9. แถบประโยค ใช้เขียนประโยคตัวอย่างหรือข้อความที่ต้องการเน้น มีวิธีการเขียนเช่นเดียวกับ บัตรค า 10. กระเป๋าผนัง ใช้ส าหรับเสียบบัตรค า บัตรภาพ บัตรอักษรและแถบประโยค ใช้แขวนไว้ให้นักเรียนดูเพื่อ ทบทวนสิ่งที่เรียนไปแล้ว 11. บัตรอักษร ใช้ส าหรับนักเรียนที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ควรมีขนาดใหญ่และส ามารถมองเห็นได้ชัดเจนและควร จะแสดงเส้นวิธีการเขียนที่ถูกต้อง 12. หุ่น สามารถท าได้ง่ายๆ ไม่สิ้นเปลืองมากนัก ใช้ส าหรับสอนบทสนทนาและแสดงบทบาทสมมติ 13. กระดานนิเทศ ครูมักใช้ติดค าศัพท์รูปประโยคที่เรียนไปแล้วเพื่อเป็นการทบทวนบทเรียนอาจจะให้นักเรียน จัดท าเป็นผลงานของนักเรียนและติดไว้ในห้องเรียนเพื่อนักเรียนจะมีความสนใจมากยิ่งขึ้น 14. สื่อส าหรับกิจกรรมเกมต่างๆ เกมต่างๆ เป็นกิจกรรมที่จ าเป็นส าหรับการสอนเด็กนักเรียน นักเรียนจะมีความ สนุกสนาน เพลิดเพลินและเป็นการฝึกภาษาของนักเรียนด้วย 15. สื่อคุมชั้นเรียน สื่อนี้ควรจะเป็นรางวัลหรือแรงเสริมเพื่อให้นักเรียนตั้งใจเรียนได้โดยอัตโนมัติ สื่อการเรียนการสอนดังกล่าวเป็นสื่อการเรียนการสอนสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศที่ครูสามารถผลิตขึ้นเอง นักเรียนสามารถมีส่วนร่วมในการผลิตและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบทเรียนและตัวของผู้เรียน การเรียนการสอนจะ ประสบความส าเร็จ ดียิ่งขึ้น ข้อควรค านึงในการผลิตสื่อการสอน 1. เนื้อหา ครูควรทราบเนื้อหาที่แน่นอนเพราะเนื้อหาเป็นตัวก าหนดให้ครูสร้างสื่อที่เหมาะสมกับบทเรียนที่จะเรียน 2. ระดับชั้น ในการออกแบบสื่อ ครูจ าเป็นต้องทราบระดับชั้นของผู้เรียน เพราะการผลิตสื่อต้องค านึงถึงอ ายุความ ส ามารถ ลักษณะของผู้เรียนเพื่อจะได้ทราบถึงความสนใจและช่วงความสนใจของนักเรียนว่าสั้น ยาวเพียงใด 3. จ านวนผู้เรียน เป็นสิ่งที่ก าหนดขนาดของสื่อได้คือถ้านักเรียนมากครูต้องผลิตสื่อที่มีขนาดใหญ่มองเห็นชัดเจน ถ้าจ านวนนักเรียนน้อยครูก็ส ามารถผลิตสื่อที่มีขนาดเล็กลง
4. ประหยัด ในการผลิตสื่อการเรียนการสอนไม่ควรใช้วัสดุที่มีราคาแพงและสิ้นเปลืองมากเกินไป ถ้าเป็นวัสดุใช้ แล้วยิ่งดี 5. ใช้ได้คุ้มค่า ส ามารถน าไปใช้ได้ในหลายๆ กิจกรรม มีความคงทน แข็งแรงใช้ได้หลายครั้ง โดยไม่ช ารุดง่ายๆ 6. การเก็บรักษา ควรค านึงถึงการเก็บรักษาด้วยว่าจะเก็บอย่างไรควรจะเป็นหมวดหมู่ สถานที่เก็บอาจจะเป็น ลิ้นชัก ตู้เก็บอุปกรณ์เพื่อกันฝุ่นเข้าจับสื่อได้ ข้อควรพิจารณาในการเลือกใช้สื่อ ในการพิจารณาสื่อการสอนมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนั้น มัทนา ทองใหญ่ (2539, หน้า 14-15) ได้เสนอลักษณะของสื่อการสอนที่ดีไว้ดังนี้ 1. สอดคล้องและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์และเนื้อหาที่จะสอนในชั่วโมงนั้นๆ 2. เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ผู้เรียนแต่ละวัยจะมีความสนใจ ความต้องการและความส ามารถแตกต่างกัน ดังนั้น ควรจะเลือกใช้สื่อที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน เพื่อดึงดูดความสนใจได้ 3. เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเน้นให้ผู้เรียนได้กระท าด้วยตนเอง เกิดการเรียนรู้กล้าแสดงออก เพื่อให้การเรียนการสอนได้ผลตามเป้าหมาย 4. ใช้ได้ง่าย สะดวกและปลอดภัย สื่อการสอนที่น ามาใช้นั้น ถ้าท าให้ผู้ใช้คือครูมีความลพบากยุ่งยาก ไม่สะดวกที่ จะใช้ก็อาจท าให้มีผลเสียต่อกระบวนการเรียนการสอนได้ 5. ไม่สิ้นเปลือง ประหยัดและคุ้มค่า ปัจจุบันมีการจ าหน่ายสื่อการสอนที่บริษัทห้างร้านผลิตขึ้นเป็นสื่อส าเร็จ รูป สื่อการสอนประเภทนี้ บางครั้งก็อาจเหมาะสมและตรงกับความต้องการของผู้สอน แต่บางครั้งก็ไม่ค่อยตรงกับ ความต้องการมากนัก จ าเป็นที่ผู้สอนต้องผลิตเองบ้าง ประโยชน์ของสื่อการสอน 1. ช่วยเพิ่มประสบการณ์ผู้เรียนให้มากขึ้น 2. ช่วยให้ครูจัดเนื้อหาวิชาที่มีความหมายต่อชีวิตเด็ก 3. ช่วยให้ครูแนะน าและควบคุมนักเรียนให้มีปฏิกิริยาตอบสนองไปในทางที่พึงปรารถนาในการเรียนรู้ 4. ช่วยให้ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไป 5. ช่วยให้ครูสอนเนื้อหาวิชาได้มากขึ้น 6. ช่วยให้ครูสอนได้บรรลุวัตถุประสงค์ 7. เป็นเครื่องมือให้ครูสอนได้รวดเร็วและถูกต้องมากยิ่งขึ้น สื่อประสม ความหมายของสื่อประสม นักการศึกษาได้ให้ความหมายของสื่อประสมไว้หลายท่านด้วยกันดังนี้ สื่อประสมเป็นการน าสื่อการสอนหลายอย่างมาสัมพันธ์กัน เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสาระในลักษณะที่สื่อแต่ละชิ้น ส่งเสริมสนับสนุนกันและกัน (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2541, หน้า 111) ซึ่งสอดคล้องกับ จริยา เหนียนเฉลย (ม.ป.ป., หน้า 113) ที่ได้กล่าวว่าสื่อประสม หมายถึง การน าเอาสื่อการสอนหลายอย่างมากกว่า 2 ชนิดขึ้นไป มา สัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องในเวลาเดียวกัน และมีคุณค่าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สื่อการสอนอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อเร้า ความสนใจ ในขณะที่อีกอย่างหนึ่งใช้อธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหา และอีกชนิดหนึ่งใช้เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจที่ ลึกซึ้ง การใช้สื่อประสมช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จากประสาทสัมผัสที่ผสมผสานกันได้ค้นพบวิธีการที่จะเรียน ในสิ่งที่ต้องการได้ด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้กิดานันท์มลิทอง (2536, หน้า 76) ยังได้สรุปความหมายของ
สื่อประสมไว้ว่า สื่อประสมเป็นคัวกลางที่ช่วยน าข้อมูล ความรู้จากผู้สอนหรือจากแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน เป็นสิ่งที่ ช่วยอธิบายและขยายเนื้อหาบทเรียนให้ผู้เรียนส ามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ที่ตั้งไว้ สรุปได้ว่า สื่อประสมเป็นการบูรณาการกันของสื่อตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป เพื่อน ามาใช้ในการถ่ายทอดเนื้อหา สาระไปสู่ผู้สอน เพื่อให้ผู้เรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้วางไว้ ประเภทของสื่อประสม สื่อประสมอาจจ าแนกตามจุดมุ่งหมายและลักษณะการใช้ดังนี้(ชัยยงค์พรหมวงศ์, 2541, หน้า 111-112; จริยา เหนียนเฉลย, ม.ป.ป., หน้า 113-114) 1. จ าแนกตามจุดมุ่งหมาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.1 ใช้เพื่อจุดหมายหลายอย่าง สื่อประเภทนี้มักมีอยู่หลายชิ้นมาอยู่รวมกันแล้วใช้สอนได้หลายเรื่อง เรียกว่า “อุปกรณ์ชุด” 1.2 ใช้เพื่อจุดประสงค์หลายอย่าง สื่อประสมประเภทนี้มักอยู่ในรูปของสื่อหลายชิ้นมาอยู่รวมกัน แต่สอนได้เพียง เรื่องเดียว เรียกว่า “ชุดกิจกรรม” 2. จ าแนกตามลักษณะของสื่อและลักษณะการใช้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 2.1 การสอนด้วยการใช้สื่อประสม เป็นการสอนที่ใช้สื่อหลายอย่างทั้งสื่อที่เป็นวัสดุอุปกรณ์และวิธีการ 2.2 การเสนอสื่อประสม เป็นการเสนอสื่อประเภทฉายเช่น สไลด์ภาพยนตร์ควบคู่กับสื่อเสียง นอกจากนี้ยังมีการจ าแนกสื่อประสมออกได้ดังนี้ 1. สื่อเบา ได้แก่สื่อประสมที่ไม่ใช้เครื่องมือ อุปกรณ์เช่น ชุดการสอนทางไกล บทเรียนส าเร็จ รูป 2. สื่อหนัก ได้แก่สื่อประสมที่ต้องใช้กับเครื่องฉาย และเครื่องเสียง ความจ าเป็นและบทบาทของสื่อประสม สื่อประสมมีความจ าเป็นในการเสนอเนื้อหาแตกต่างกันด้วยสื่อที่ต่างกัน โดยหลักที่ว่า สื่อแต่ละประเภท “มีดี” เป็นอย่างๆ ไป สื่อประสมจึงมีบทบาทพอสรุปได้ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2541, หน้า 112; จริยา เหนียนเฉลย, ม.ป.ป., หน้า 114-115) ดังนี้ 1. ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้เนื้อหาต่างๆ ได้ดีเกือบทุกเรื่อง จากแหล่งที่หลากหลาย โดยถือว่าสื่อแต่ละอย่างมีเนื้อหา ต่างกัน 2. ช่วยประหยัดเวลาทั้งผู้สอนและผู้เรียน 3. ช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้ความส ามารถ และความพร้อมของแต่ละบุคคล 4. ช่วยดึงดูดความสนใจ เพราะสื่อประสมจะเป็นการผสมผสานองสื่อที่น าเอาเทคนิคการผลิตแบบต่างๆ มาใช้ท า ให้น่าสนใจ 5. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากข้อได้เปรียบ ในหลายรูปแบบของสื่อประสมในด้านดังต่อไปนี้ 5.1 เห็นการเปรียบเทียบ ในกรณีภาพมีความเหมือน หรือคล้ายคลึงกัน การฉายให้เห็นทีละหลายภาพจะ เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนกว่า 5.2 เห็นความแตกต่างระหว่างภาพต่อเนื่องบนจอ 5.3 ส ามารถเห็นภาพจากหลายมุมมอง ภาพเดียวกันอาจจะส ามารถดูได้จากหลายมุม โดยการเปลี่ยนมุมกล้องซึ่ง จะมีผลเกี่ยวกับการรับรู้ของสิ่งนั้นๆ ได้มองเห็นภาพที่แตกต่างกันออกไป ภาพจะมีการจางหายสลับกันบนจอ 5.4 การน าภาพประเภทต่างๆ มาวางเคียงกัน จะท าให้เห็นภาพพจน์ชัดเจนตามขนาดรูปร่างของภาพได้
5.5. มีการจัดภาพเด่นตรงกลาง ซึ่งจะท าให้ผู้เรียนมุ่งความสนใจไปยังจุดเด่นของภาพจุดนั้นๆ โดยมีภาพอื่นเป็น ส่วนประกอบ 5.6 ผู้เรียนนอกจากจะรู้ถึงจุดหลัก คือภาพเด่นแล้วยังต้องให้เห็นถึงภาพที่เป็นจุดเน้นรอง ที่สนับสนุนภาพหลัก 5.7 ผู้เรียนจะได้รับรู้ถึงภาพที่มีการเคลื่อนไหว ที่จะเปลี่ยนแปลงทีละน้อยแบบภาพยนตร์การ์ตูน 5.8 ผู้เรียนจะได้ชมทั้งภาพนิ่งและภาพที่มีการเคลื่อนไหวได้พร้อมๆ กัน จากการฉายโดยจะเป็นการผสมผส านกัน 5.9 ภาพที่เห็นติดต่อกันกว้างขวาง แม้จะเป็นภาพเดียวก็ส ามารถพูดได้แม้จะเป็นจอกว้างติดต่อกันทั้ง 3 จอ จากคุณลักษณะร่วม 6 ประการ ของการประเมินจากทางเลือกใหม่ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าผู้สอนจ าเป็นต้องปรับ บทบาทใหม่ทั้งด้านการสอนและการประเมิน โดยด้านการสอนต้องเปลี่ยนจากการยึดครูเป็นศูนย์กลางเป็นยึด ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และจากการใช้แบบทดสอบอย่างเดียวเพื่อประเมินผู้เรียน เป็นการใช้เครื่องมือในการ ประเมินอย่างหลากหลาย และไม่แยกการประเมินออกจากกิจกรรมการเรียนการสอน จากแนวคิดของ Wiggins และ Herman และคณะ มีความสอดคล้องกัน กล่าวคือในการประเมินผลตามสภาพจริง หรือการประเมินผลทางเลือกใหม่นั้น คุณลักษณะโดยรวมของการประเมินก็คือ ต้องจัดให้ผู้เรียนได้แสดงออก ใช้ ความคิดระดับสูง สิ่งที่เรียนต้องมีความหมายและส ามารถน าไปใช้ได้ในชีวิตจริง ใช้คนเป็นผู้ตัดสินการประเมิน ไม่ใช่เครื่องจักร ให้นักเรียนได้ประเมินตนเอง และมีเกณฑ์การประเมินที่เปิดเผยโปร่งใส นอกจากนั้นบทบาทของ ครูจะต้องเปลี่ยนใหม่โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และใช้เครื่องมือหลากหลายในการประเมินผลผู้เรียน ชุดกิจกรรมโดยใช้สื่อโมดูล ชุดกิจกรรมเป็นสื่อเทคโนโลยีอย่างหนึ่งทางการศึกษาที่มีคุณค่าต่อผู้เรียนเพราะการสร้างชุดกิจกรรมนั้น ได้ค านึงถึง ความก้าวหน้าทางโสตทัศนูปกรณ์ความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนและสอดคล้องกับจุดประสงค์และลักษณะของ เนื้อหาวิชา ชุดกิจกรรมจึงเป็นวัสดุทางการเรียนการสอน ที่จัดขั้นตอนอย่างเป็นระบบและสมบูรณ์ในตัวเป็นชุดๆ ภายในชุดกิจกรรมจะประกอบด้วยสื่อต่างๆ หลายชนิดที่สอดคล้องกับเนื้อหาและประสบการณ์เรียกว่า สื่อประสม นอกจากนั้นในการสร้างชุดกิจกรรมยังได้ค านึงถึงหลักการ ทางจิตวิทยาการเรียนรู้ส าหรับผู้เรียนแบบสิ่งเร้าและการตอบสนอง (Stimulus and Response Theory) โดย การให้การเสริมแรง การให้ผู้เรียนรู้ผลการกระท า การสรุปเป็นกฎเกณฑ์การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน การให้ การฝึกฝนให้ผู้เรียนรู้บทบาทของตนเอง ฝึกให้คิด ฝึกให้กล้าแสดงออก ซึ่งเป็นการพัฒนาด้านอ ารมณ์สังคม และ สติปัญญาของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายของการเรียนได้ดียิ่งขึ้น (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2539, หน้า 117-121; บุญเกื้อ ควรหาเวช, 2530, หน้า 66-67) ความหมายของชุดกิจกรรมสื่อโมดูล ชุดกิจกรรมหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ชุดการสอน ได้มีนักการ ศึกษาหลายท่านให้ความหมายที่สอดคล้องและคล้ายคลึงกันไว้ดังนี้ ชัยยงค์พรหมวงศ์(2539, หน้า 117-118) และไชยยศ เรืองสุวรรณ (2521, หน้า 228) กล่าวว่า ชุดการสอน เป็นสื่อประสมที่ได้จากระบบการผลิตและการน าสื่อการสอนที่สอดคล้องกับวิชา หน่วย หัวเรื่อง และวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยให้ครูสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนมี ประสิทธิภาพ นอกจากนี้วิชัย วงษ์ใหญ่ (2525, หน้า 185) บุญชม ศรีสะอาด (2537, หน้า 95)และกรอง กาญจน์อรุณรัตน์(2536, หน้า 62) ยังได้กล่าวเพิ่มเติมที่สอดคล้องกันว่า ชุดการสอนเป็นระบบการผลิตและการ น าสื่อการเรียนหลายๆ อย่างมาสัมพันธ์กันและมีคุณค่าเสริมซึ่งกันและกัน สื่อการเรียนอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อสร้าง สิ่งเร้า ความสนใจ ในขณะที่อีกอย่างหนึ่ง ใช้เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหา และอีกอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อ
ก่อให้เกิดการเสาะแสวงหา อันน าไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้ง สื่อเหล่านี้เรียกว่าสื่อประสม ที่เราน ามาใช้ให้สอดคล้อง กับเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วน ลัดดา ศุขปรีดี(2524, หน้า 28) กล่าวว่าชุดการสอน หมายถึง การจัดโปรแกรมการเรียนการสอน โดยใช้สื่อ หลายชนิดมารวมกัน เพื่อสนองจุดมุ่งหมายในการเรียนการสอนที่ตั้งไว้ช่วยให้เกิดความสะดวกในการเรียนการ สอน ซึ่งคล้ายกับความหมายของชุดการสอนของวาสนา ชาวหา (2525, หน้า 138) ที่ว่าชุดการสอน หมายถึง การวางแผนโดยใช้สื่อต่างๆ ร่วมกัน หรือหมายถึงการใช้สื่อประสม เพื่อสร้างประสบการณ์ในการเรียนรู้อย่าง กว้างขวางและเป็นไปตามจุดประสงค์ที่วางไว้โดยจัดไว้เป็นชุดในลักษณะเป็นซองหรือเป็นกล่อง จากความหมายของชุดการสอน ที่นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ไว้ส ามารถสรุปความหมายของชุดการสอนหรือชุด กิจกรรมว่า หมายถึง ระบบการผลิต การวิเคราะห์การจัดการให้น ากิจกรรมและสื่อการเรียนการสอนหลายๆ ชนิด มารวมกันในรูปของสื่อประสม ให้สอดคล้องกับเนื้อหา จุดประสงค์วัยของผู้เรียน ชุดกิจกรรมจะเป็นเสมือนคู่มือครู และเครื่องมือช่วยการสอนส าหรับครูเพื่อช่วยให้การเรียนการสอนด าเนินไปอย่างมีคุณภาพ คุณค่าของชุดกิจกรรม ปาริชาติโชคพิพัฒน์(2540, หน้า 14) กล่าวถึงคุณค่าของชุดกิจกรรมไว้ดังนี้ 1. เปิดโอกาสให้นักเรียนใช้ความส ามารถตามความต้องการของตนช่วยให้ทุกคนประสบความส าเร็จ ในการเรียนรู้ ตามอัตราการเรียนรู้ของผู้นั้น 2. ฝึกการตัดสินใจแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม 3. ช่วยให้ผู้สอนส ามารถถ่ายทอดเนื้อหา และประสบการณ์ที่ซับซ้อนและมีลักษณะนามธรรมสูง ซึ่งไม่ส ามารถ ถ่ายทอดด้วยการบรรยายได้ดี 4. ท าให้การเรียนรู้เป็นอิสระจากอ ารมณ์และบุคลิกภาพของผู้สอน 5. ช่วยสร้างความพร้อมและความมั่นใจให้กับผู้สอน 6. เร้าความสนใจของผู้เรียน ไม่ท าให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน 7. ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดการพัฒนาการในทุกด้าน โครงสร้างของชุดกิจกรรม ทิศนา แขมมณี(2534, หน้า 10-12) กล่าวว่าชุดกิจกรรมประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้ 1. ชื่อกิจกรรม ประกอบด้วยหมายเลขกิจกรรม ชื่อของกิจกรรมและเนื้อหาของกิจกรรมนั้น 2. ค าชี้แจง เป็นส่วนที่อธิบายความมุ่งหมายหลักของการจัดกิจกรรมและลักษณะของการจัดกิจกรรม เพื่อให้บรรลุ จุดหมายนั้น 3. จุดมุ่งหมาย เป็นส่วนที่ระบุจุดมุ่งหมายที่ส าคัญของกิจกรรมนั้น 4. ความคิดรวบยอด เป็นส่วนที่ระบุเนื้อหาหรือมโนทัศน์ของกิจกรรมส่วนนั้นส่วนนี้ควรได้รับการย ้าและเน้นเป็น พิเศษ 5. สื่อ เป็นส่วนที่ระบุถึงวัสดุอุปกรณ์ที่จ าเป็นในการด าเนินกิจกรรมเพื่อให้ครูทราบว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง 6. เวลาที่ใช้เป็นส่วนที่ระบุเวลาโดยประมาณว่า กิจกรรมนั้นควรใช้เวลาเพียงใด 7. ขั้นตอนในการด าเนินกิจกรรมเป็นส่วนที่ระบุในการจัดกิจกรรมเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้วิธีการจัด กิจกรรมนี้ได้จัดไว้เป็นตอน ซึ่งนอกจากจะสอดคล้องกับหลักวิชาแล้ว ยังเป็นการอ านวยความสะดวกแก่ครูในการ ด าเนินการซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 7.1 ขั้นน า เป็นการเตรียมความพร้อมของผู้เรียน
7.2 ขั้นกิจกรรม เป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ท าให้เกิดประสบการณ์ที่จะน าไปสู่ การเรียนรู้ตามเป้าหมาย 7.3 ขั้นอภิปราย เป็นส่วนที่ผู้เรียนจะได้มีโอกาสน าประสบการณ์ที่ได้รับจากขั้นกิจกรรมมาวิเคราะห์เพื่อให้เกิด ความเข้าใจ และอภิปรายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่กว้างขวางไปอีก 7.4 ขั้นสรุป เป็นส่วนที่ครูและผู้เรียนประมวลข้อความที่ได้จากขั้นกิจกรรมและขั้นอภิปราย น ามาสรุปหา สาระส าคัญที่จะน าไปใช้ต่อไป 7.5 ขั้นฝึกปฏิบัติเป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้น าความรู้ที่ได้จากการเรียนในกิจกรรมไปฝึกปฏิบัติเพิ่มเติม 7.6 ขั้นประเมินผล เป็นส่วนหนึ่งที่วัดความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนหลังจากฝึกปฏิบัติกิจกรรมครบถ้วนทุกขั้นตอน แล้ว โดยให้ท าแบบฝึกกิจกรรมทบทวนท้ายชุดกิจกรรม จากคุณค่าของชุดกิจกรรมดังกล่าว พอสรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมเป็นสื่อและเทคโนโลยีการศึกษาที่เกิดจากการน าสื่อ ต่างๆ หลายชนิดมารวมกันอย่างมีระบบและมีความเหมาะสมในการน าไปใช้ในการสอนได้เป็นอย่างดี และยัง อ านวยความสะดวกแก่ครูและนักเรียน เหมาะสมที่จะน าไปใช้ในสภาพปัจจุบันมาก จึงควรมีการผลิตชุดกิจกรรม เพื่อใช้ในโรงเรียนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น และในการสร้าง ชุดกิจกรรมครั้งนี้ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างชุดกิจกรรม 3 ขั้นตอน คือ ขั้นการก าหนดขั้นตอนของกิจกรรม ขั้นการ ด าเนินกิจกรรม และการจัดท าแบบฝึกกิจกรรม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ 1. ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พนม ลิ้มอ ารีย์ (2538, หน้า 257) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ความส าเร็จ ของบุคคลเกี่ยวกับ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หลังจากที่ได้อบรมหรือศึกษาเล่าเรียนในเรื่องนั้นๆ ระยะเวลาหนึ่ง อุทุมพร จามรมาน (2532, หน้า 73) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์หมายถึง ความส าเร็จ ของสิ่งที่ได้รับการอบรมหรือสอน หรือหมายถึงการบรรลุวัตถุประสงค์ของการอบรมหรือการเรียนการสอน ไพศาล หวังพานิช (2525, หน้า 45) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นพฤติกรรมหรือความส ามารถของบุคคลที่เกิด จากการเรียนการสอน เป็นคุณลักษณะของผู้เรียนที่พัฒนางอกงามมาจากการฝึกอบรมสั่งสอนโดย เป็นพฤติกรรมที่ เป็นผลการเรียนของนักเรียน สรุป ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความส ามารถของนักเรียน ภายหลังจากได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ 2. ลักษณะการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การเรียนรู้ที่ผ่านมาเราส ามารถตรวจสอบได้จากการวัดผลสัมฤทธิ์ แต่การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีหลาย ลักษณะดังต่อไปนี้ ไพศาล หวังพานิช (2523, หน้า 137) ได้แบ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามจุดมุ่งหมายและลักษณะวิชาที่ สอน ส ามารถวัดได้2 แบบคือ 1. การวัดด้านปฏิบัติเป็นการตรวจสอบระดับความส ามารถในการปฏิบัติหรือทักษะของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียน ได้แสดงความส ามารถในรูปการกระท าจริง ให้เป็นผลงานการวัดแบบนี้ต้องใช้ข้อสอบ ภาคปฏิบัติ
2. การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความส ามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาซึ่งเป็นประสบการณ์ การเรียนรู้ของผู้เรียน รวมถึงพฤติกรรมความส ามารถด้านต่างๆ ส ามารถวัดได้โดยใช้“ข้อสอบวัด ผลสัมฤทธิ์” 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ล้วน สายยศ และอังคนา สายยศ (2538, หน้า 171-176) ได้แบ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ได้เป็น 2 พวก คือ 3.1 แบบสอบถามของครูหมายถึง ชุดของข้อค าถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งจะเป็นข้อค าถามเกี่ยวความรู้ที่นักเรียน ได้เรียนในห้องเรียนว่านักเรียนมีความรู้มากแค่ไหน บกพร่องตรงไหน จะได้ซ่อมเสริม หรือวัดดูความพร้อมที่จะขึ้น บทเรียนใหม่ ขึ้นอยู่กับความต้องการของครู 3.2 แบบสอบถามมาตรฐาน แบบสอบถามประเภทนี้สร้างขึ้นเนื่องจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาหรือจาก ครูผู้สอนวิชานั้น แต่ผ่านการทดลองคุณภาพหลายครั้ง จนกระทั้งมีคุณภาพดีจึงสร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบ นั้น ส ามารถใช้เป็นหลักเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการเรียนการสอนในเรื่องใดๆ ก็ได้ แบบทดสอบ มาตรฐานจะมีคู่มือด าเนินการสอบ บอกวิธีสอบและยังมีมาตรฐานในการแปลคะแนนด้วย ทั้งแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นและแบบทดสอบมาตรฐาน มีวิธีสร้างข้อค าถามเหมือนกัน คือจะเป็น ค าถามที่วัดเนื้อหาและพฤติกรรมที่ได้สอนนักเรียนไปแล้ว ส าหรับพฤติกรรมที่ใช้วัดจะเป็นพฤติกรรมที่ตั้งค าถามได้ ซึ่งควรวัดให้ครอบคลุมพฤติกรรมต่างๆ ดังนี้ 1. ความรู้ความจ า เป็นการวัดความส ามารถในการทรงรักษา ไว้ซึ่งเรื่องราวทั้งปวงของประสบการณ์ที่ผ่านมา รวมทั้งสิ่งที่สัมพันธ์กันกับประสบการณ์นั้นๆด้วย 2. ความเข้าใจ เป็นความส ามารถในการจับใจความส าคัญของท้องเรื่องอันได้แก่การแปล แล้วเปรียบเทียบเอ าแต่ ใจความส าคัญ 3. การน าไปใช้เป็นความส ามารถที่จะน าความรู้และความเข้าใจสิ่งที่เรียนไปแล้วไปใช้ได้ในสถานการณ์จ าลองที่ คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ เรียนรู้เรื่องใดมาแล้วก็ส ามารถน าหลักการกฎเกณฑ์และวิธีการด าเนินการต่างๆ ของเรื่อง นั้นไปแก้ปัญหาในท านองเดียวกันได้ 4. การวิเคราะห์เป็นความส ามารถที่จะแยกแยะเรื่องราวต่างๆ ออกให้เห็นว่า อะไรเป็นสิ่งส าคัญอะไรสัมพันธ์กับ อะไร และอะไรพาดพิงพาดพิงเป็นเหตุเป็นผลแก่กันอย่างไร 5. การสังเคราะห์เป็นความส ามารถที่จะเอาส่วนย่อยๆ มารวมกันเป็นเรื่องราวเดียวกันให้เกิดเป็นโครงสร้างใหม่ที่ แปลกกว่าเดิม ชัดเจนกว่าเดิม และมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม 6. การประเมินค่า เป็นความส ามารถที่จะวินิจฉัยตีราคาโดยสรุปอย่างมีหลัดเกณฑ์ว่าสิ่งใดดีงามเหมาะสมปานใด งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดกิจกรรมมีดังนี้ อัจฉรา พึ่งเจริญ (2543) ได้สร้างชุดการสอนทักษะการเขียนภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จ านวน6 ชุด และแบบทดสอบวัดทักษะน าไปทดลองกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จ านวน30 คน โรงเรียน วัดโพธิ์ลังกา (มิตรภาพ 121) อ าเภอนายายอ าม จังหวัดจันทบุรีผลการวิเคราะห์พบว่า ชุดการสอนที่สร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพ 89.44/83.33 ซึ่งสูงว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้
สมใจ ถิรนันท์(2544) ได้ศึกษาเรื่องการสร้างชุดการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัฒนานุศาสตร์อ าเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรีจ านวน23 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่ม แบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบฝึกหัดประจ าชุดการสอนและ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ผลการวิจัยพบว่า คะแนนของนักเรียนที่ได้จากการ ทดสอบ หลังการเรียนด้วยแบบทดสอบภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน โดยใช้ชุดการสอน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สุนทรีสมใจ (2545) ได้ออกแบบการเรียนการสอนเพื่อฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดเทพราช (เทพราชวิทยาคาร) อ าเภอบ้านโพธิ์จังหวัดฉะเชิงเทรา จ านวน30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ได้แก่แบบประเมินผลการ ท าแบบฝึกหัดระหว่างเรียน และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลการวิจัยพบว่า ชุดการสอนที่สร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพ 84.07/85.22 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ อรรคนิษฐ์เปี่ยมประถม (2545) ได้ศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่พัฒนาโดยปาริชาติรอดโสภา จ านวน13 ชุด และน าไปทดสอบที่โรงเรียนวัฒนาลัย อ าเภอ บางประกง จังหวัดฉะเชิงเทรา จ านวน30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มนักเรียนมา 1 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ ชุด การสอนฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเบื้องต้นที่พัฒนาโดย ปาริชาติรอดโสภา (2542) จ านวน13 ชุดและ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ในการเขียนภาษาอังกฤษเบื้องต้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่พัฒนาโดย ปาริชาติรอดโสภา จ านวน1 ชุด 40 ข้อ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีคะแนนหลังการใช้ชุดการสอนสูงกว่าก่อนการใช้ชุดการสอน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 กุลธิดา ทรัพย์พิพัฒนา (2546) ได้สร้างชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 จ านวน3 ชุด และน าไปทดลองกับนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา อ าเภอศรีราชา จังหวัด ชลบุรีจ านวน23 คน โดยสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยชุด กิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังการใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า ชุดการสอนที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 88.40/95.65 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ สุภาวดีปุญจบัน (2546) ได้ท าการเปรียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่สอนโดยใช้แบบฝึกการเขียนเชิงสร้างสรรค์กับการสอนแบบปกติผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ทักษะการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกการเขียน เชิงสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01
บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะการพูดในงานช่างทองหลวงโดยใช้สื่อโมดูล ในรายวิชา ภาษาอังกฤษเทคโนโลยีศิลปกรรม กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวงวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ (1) เพื่อ สร้างชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้น ปวส 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมโดยใช้สื่อโมดูลการ ฝึกทักษะการพูด (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาชั้น ปวส 1 ที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึก ทักษะการพูโโดยมีวิธีการด าเนินการวิจัย ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. ตัวแปรที่ศึกษา 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. การรวบรวม 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล กลุ่มเป้าหมาย ประชากร นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขางานช่างทองหลวง กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง กลุ่มตัวอย่าง นักศึกษาระดับชั้น นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 สาขางานช่างทองหลวง กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวงในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 15 คน โดยการสุ่มแบบ เจาะจง ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น การใช้ชุดสื่อโมดูล กิจกรรมการฝึกทักษะการพูด ตัวแปรตาม 1. ความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ 2. ความพึงพอที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมสื่อโมดูลการฝึกทักษะการพูด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้แผนการจัดการเรียนรู้และชุดกิจกรรมการฝึกทักษะ การเขียนภาษาอังกฤษ 3. แบบสอบถามความพึงใจ การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ ส าหรับนักศึกษาระดับชั้น ปวส. 1 ซึ่งได้ด าเนินการสอนตามแนวทางการสื่อสารโดยมีขั้นตอนดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตร จุดประสงค์รายวิชา, มาตรฐานรายวิชา, ค าอธิบายรายวิชาภาษาอังกฤษ
แผนการเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) หลักสูตรกรมอาชีวศึกษาพุทธศักราช 2563 1.2 ก าหนดโครงสร้างของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ และ เวลาเรียน 1.3 จัดท ารายละเอียดของแผนการจัดการเรียนรู้จ านวน4 แผน แต่ละแผนประกอบด้วยชื่อแผน หน่วยการเรียนรู้ เวลา ชื่อผู้สอน ชั้นเรียน มาตรฐานรายวิชา สาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้สมรรถนะส าคัญ คุณลักษณะอันพึง ประสงค์สาระการเรียนรู้กิจกรรม สื่อการเรียนรู้การวัดผลและประเมินผล และบันทึกหลังการสอน 1.4 น าเสนอ แผนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน1 คน ตรวจสอบและแก้ไขตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญ 1.5 จัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับสมบูรณ์เพื่อน าไปใช้ในการวิจัยต่อไป 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้แผนการจัดการเรียนรู้มีขั้นตอนการสร้างดังนี้ 2.1 ศึกษาหนังสือวัดผลการศึกษา หลักสูตร หนังสือเรียนตามหลักสูตรหลักสูตรกรมอาชีวศึกษาพุทธศักราช 2546 2.2 ก าหนดโครงสร้างของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน 2.3 จัดท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียน ภาษาอังกฤษ จ านวน4 ข้อ 2.4 น าเสนอแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียน ภาษาอังกฤษ ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ และแก้ไขตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญ 2.5 จัดท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียน ภาษาอังกฤษฉบับสมบูรณ์ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษมีขั้นตอนการ สร้างดังนี้ 3.1 ศึกษาแบบสอบถามความพึงพอใจ 3.2 ก าหนดโครงสร้าง 3.3 จัดท าแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ การด าเนินการทดลอง ผู้วิจัยได้ด าเนินการทดลองตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. ทดสอบก่อนเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 2. ด าเนินการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ จ านวน4 ชุด โดยใช้เวลา 12 ชั่วโมง 3. ทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 4. นักเรียนท าแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยด าเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1. หาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียน 2. หาค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนแบบฝึกหัดที่นักเรียนท าระหว่างการด าเนินการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึก ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษจ านวน4 แผน
3. หาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียน และหาค่าเฉลี่ย ร้อยละของ คะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียน 4. หาค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและจัดระดับความพึงพอใจ 5. ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การหาค่าเฉลี่ย (Means) ใช้สูตรดังนี้(ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ 2540: 53) 2. การหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตรดังนี้(ล้วน ส ายยศ และอังคณา ส ายยศ 2540: 103) 3. การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ (Percentage) ใช้สูตรดังนี้(นิศารัตน์ศิลปเดช 2542: 144) 4. การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้T-test Dependent ใช้สูตรดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 109)
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะการพูดในงานช่างทองหลวงโดยใช้สื่อโมดูล ในรายวิชาภาษาอังกฤษ เทคโนโลยีศิลปกรรม (๓๐๐๐๐-๑๒๐9) ส าหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ ๑ แผนกวิชาช่างทอง หลวง สาขางานช่างทองหลวง กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวงวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ (1) เพื่อสร้างชุด กิจกรรมสื่อโมดูลการฝึกทักษะการพูดที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้น ปวส 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมสื่อโมดูลการฝึกทักษะการพูด (3) เพื่อ ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาชั้น ปวส1 ที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมสื่อโมดูลการฝึกทักษะการพูด ผู้วิจัยขอ เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ผลการหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมสื่อโมดูลการฝึกทักษะการพูด ตารางที่ 1 ผลการหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดด้านกระบวนการ แผนที่ ชื่อแผน ระหว่างเรียน ได้คะแนนร้อยละ 1 เครื่องมือช่างงานถม 75.12 80.62 2 เครื่องมือช่างสลักดุน 80.15 89.17 3 ขั้นตอนงานช่างงานถม 72.73 76.67 4 ขั้นตอนงานสลักดุน 72.18 88.57 สรุป 75.04 83.76 จากตารางที่ 1 พบว่า ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดด้านกระบวนการ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน ร้อยละ 83.76 เมื่อพิจารณาเป็นรายแผน พบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละ เรียงล าดับจากมากไปหาน้อย เท่ากับ แผนที่ 2, แผนที่ 4, แผนที่ 1, แผนที่ 3 = 89.17, 88.57, 80.62, 76.67 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้น ปวช 1 ก่อนและหลังเรียน โดยใช้ชุด กิจกรรมการฝึกทักษะการเขียน ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้น ปวส 1 ก่อนและหลังเรียน โดยใช้ชุด กิจกรรมการฝึกทักษะการเขียน * ระดับนัยส าคัญ .05 จากตารางที่ 2 พบว่า ค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนซึ่งเท่ากับ 28.7 สูงกว่า ค่าเฉลี่ย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน ซึ่งเท่ากับ 21.5 แสดงว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้น ปวช 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 คะแนน ค่าเฉลี่ย SD t P หลังเรียน 4.365 28.7 4.55 *0.001 ก่อนเรียน 21.5 2.7
ตอนที่ 3 ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาชั้น ปวส 1 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูด ตารางที่ 3 คะแนนเฉลี่ยระดับความพึงพอใจของนักศึกษาชั้น ปวช 3 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึก ทักษะการเขียน ที่ ข้อความ ระดับ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบน ความหมาย มาตรฐาน 1 ครูผู้สอนเริ่มสอนตรงเวลา 4.83 0.38 มากที่สุด 2 ครูผู้สอนมีความเตรียมพร้อมในการสอน 3.98 0.66 มาก 3 นักเรียนพึงพอใจครูผู้สอน 4.75 0.44 มากที่สุด 4 นักเรียนพึงพอใจการสอนของครูผู้สอน 3.85 0.70 มาก 5 ครูผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนท ากิจกรรมระหว่างเรียน 4.15 0.70 มาก 6 ครูผู้สอนให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการท ากิจกรรมระหว่าง เรียน 4.38 0.59 มาก 7 นักเรียนพึงพอใจกับการสอนของครูผู้สอน 4.05 0.81 มาก 8 นักเรียนพึงพอใจกับงานที่ได้รับมอบหมาย 4.08 0.57 มาก 9 ครูผู้เลิกสอนตรงเวลา 4.30 0.76 มาก 10 นักเรียนพึงพอใจสื่อการเรียนการสอน 4.25 0.67 มาก 11 สื่อการเรียนมีความถูกต้องชัดเจน 4.63 0.49 มากที่สุด 12 สื่อการเรียนมีความน่าสนใจ 4.08 0.69 มาก 13 นักเรียนพึงพอใจสื่อโมดูล 3.43 0.59 ปานกลาง 14 สื่อมีความหลากหลาย 3.40 0.81 ปานกลาง 15 นักเรียนพึงพอใจแบบฝึกหัด 3.83 0.38 มาก 16 แบบฝึกหัดมีความเหมาะสม 4.05 0.45 มาก 17 นักเรียนพึงพอใจใบงาน 4.35 0.66 มาก 18 ใบงานช่วยฝึกทักษะของผู้เรียน 4.13 0.72 มาก 19 นักเรียนพึงพอใจใบความรู้ 3.78 0.7 มาก 20 ใบความรู้ให้ประโยชน์กับผู้เรียน 4.50 0.72 มาก รวม 4.15 0.73 มาก จากตารางที่ 3 ระดับความพึงพอใจของนักศึกษาชั้น ปวส 1 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการ พูดภาษาอังกฤษ โดยภาพรวมเท่ากับ 4.15 จัดอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ระดับความพึงพอใจ ของนักศึกษาชั้น ปวส 1 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมสื่อโมดูลการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษในข้อ 1 ครูผู้สอนเริ่ม สอนตรงเวลา, ข้อ 3 นักเรียนพึงพอใจครูผู้สอน, ข้อ 11 สื่อการเรียนมีความถูกต้องชัดเจน เท่ากับ 4.83, 4.75, 4.63 จัดอยู่ในระดับพึงพอใจมาก และในข้อ 14 เกมส์มีความหลากหลาย, ข้อ 13 นักเรียนพึงพอใจสื่อ ข้อ 19 นักเรียนพึงพอใจใบความรู้เท่ากับ 3.40, 3.43, 3.78 จัดอยู่ในระดับพึงพอใจปานกลาง
บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะการพูดในงานช่างทองหลวงโดยใช้สื่อโมดูล ในรายวิชา ภาษาอังกฤษเทคโนโลยีศิลปกรรม (๓๐๐๐๐-๑๒๐9) ส าหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ ๑ แผนกวิชาช่างทองหลวง สาขางานช่างทองหลวง กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง มีวัตถุประสงค์การวิจัย คือ (1) เพื่อสร้างชุดกิจกรรมสื่อโมดูลการฝึกทักษะการพูดที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน (2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้น ปวส 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุด กิจกรรมสื่อโมดูลการฝึกทักษะการพูด และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาชั้น ปวส 1 ที่มีต่อการเรียนรู้ โดยใช้ชุดกิจกรรมสื่อมูลการฝึกทักษะการพูดที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้น ปวส 1 หลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมสื่อโมดูลฝึกทักษะการพูดสูงกว่าก่อนเรียน และ(3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมสื่อโมดูลการฝึกทักษะการพูดอยู่ในระดับดีขึ้น ไปกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย นักศึกษาชั้น ปวส1 กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัยได้แก่ (1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และชุดกิจกรรมสื่อโมดูลการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้แผนการจัดการเรียนรู้และชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการ พูดภาษาอังกฤษ และ(3) แบบสอบถามความพึงพอใจ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง สถิติที่ได้ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) การหาค่าเฉลี่ย (2) การหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (3) การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ และ(4) การทดสอบความ แตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้T-test Dependent สรุปผลการวิจัย 1. ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ เท่ากับ 75.04 /83.76 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับชั้น ปวส. 1 หลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะ การพูดภาษาอังกฤษสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับดี มาก การอภิปรายผลการวิจัย ผลการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการพูด โดยใช้ชุดกิจกรรมสื่อโมดูลการฝึกทักษะการเขียนส าหรับนักศึกษาชั้น ปวส 1 กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวงมีประเด็นที่จะน ามาอภิปรายผลการวิจัยดังนี้ 1. ผลการวิจัย พบว่า ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษเท่ากับ 71.75/75 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากกระบวนการจัดท าชุดกิจกรรมสื่อดดูลการฝึกทักษะการพูดมีประสิทธิภาพ เพราะได้จัดท า แผนการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน (2) ขั้น น าเสนอ (3) ขั้นฝึก (4) ขั้นน าไปใช้และ(5) ขั้นสรุป จึงส่งผลให้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนที่สร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพ 2. ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับชั้น ปวส. 1 หลังเรียน โดย ใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเหตุผลดังต่อไปนี้
2.1 ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษได้สร้างขึ้นโดยอาศัยหลักสูตรกลุ่มสมรรถนะ แกนกลาง รายวิชาภาษาต่างประเทศ ทฤษฎีและหลักการสอนเขียนภาษาอังกฤษ จิตวิทยาส าหรับการสอนพูด ภาษาอังกฤษ สื่อการสอนภาษาอังกฤษ ชุดกิจกรรม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ผลการวิจัยครั้งนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของสุภาวดีปุญจบัน (2546) ได้ท าการ เปรียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ทักษะการพูดนักเรียน ที่สอนโดยใช้แบบฝึกการเขียนเชิงสร้างสรรค์กับการสอน แบบปกติผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ทักษะการเขียนของนักเรียนชั้น ปวส 1 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ แบบฝึกการเขียนเชิงสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2.2 แผนการจัดการเรียนรู้ ได้สร้างขึ้นอย่างสอดคล้องกับหลักสูตรกรมอาชีวศึกษาพ.ศ.2563โดยมี ตัวชี้วัด ได้แก่ 1. สนทนาโต้ตอบในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเลือกใช้ภาษาท่าทางที่เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ 2. ใช้ภาษาเพื่อให้ค าแนะน า ขอและให้ข้อมูล บรรยาย เปรียบเทียบ บรรยายเหตุการณ์ บุคคล สิ่งของ และ เครื่องมือช่างทองหลวง ด้วยประโยคหรือข้อความสั้น ๆ 3. ถาม-ตอบ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยใช้ค าถามประเภท ต่าง ๆ4. ใช้กลยุทธ์ในการฟังและอ่านที่เหมาะสมกับบริบทเพื่อความเข้าใจ บูรณาการการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับการ เรียนรู้ด้วยตนเองในศูนย์การเรียน โดยมีหลักฐานการเรียน บันทึกการเรียนรู้ การประเมินผลความก้าวหน้าของตนเองผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่าง สอดคล้องกับตั วชี้วั ดดังกล่ าว ส่ง ผลให้ผลสัมฤทธิ์ท างก า รเ รียนหลังเ รี ยนสูงก ว่ าก่อนเ รียน 3. ผลการวิจัย พบว่า ระดับความพึงพอใจของนักศึกษาชั้น ปวส 1 สาขางานช่างทองหลวงกาญจนา ภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ เนื่องมาจากผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมอย่างหลากหลายประกอบด้วย กิจกรรมการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะ การพูดภาษาอังกฤษ สื่อการเรียนรู้เช่น เครื่องมือช่างในงาน ช่างมองหลวง การเสริมแรงทางบวกซึ่งสอดคล้องกับ พรรณีช. เจนจิต (2538) กล่าวว่าการเสริมแรงทางบวกคล้ายกับค าว่ารางวัลแต่มีความหมายแตกต่างกันที่แรง เสริมบวกต้องมีผลให้มีการแสดงพฤติกรรมเพิ่งขึ้น ส่วนรางวัลไม่จ าเป็นต้องท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก็ ได้ ส่วนการเสริมแรงทางลบมีเป้าหมายเช่นเดียงกันกับแรงเสริมทางบวก คือส ามารถเพิ่มความคงทน ของ พฤติกรรมที่พึงประสงค์ซึ่งผู้วิจัยได้คอยช่วยเหลือนักเรียนที่มีผลการเรียนในภาษาอังกฤษอ่อนให้ร่วมกลุ่มท างาน กับนักศึกษาที่เรียนเก่งและนักศึกษาที่เรียนปานกลางเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ท าให้นักศึกษาเรียนด้วยความ เพลิดเพลิน สนุกสนาน ไม่เครียดกับการท าแบบฝึก ข้อเสนอแนะ 1. ครูควรศึกษาชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดให้เข้าใจก่อนลงมือสอนเพื่อให้การเรียนการสอนไม่ติดขัด ผู้เรียน เรียนไปได้อย่างราบรื่น และสนุกกับการเรียน 2. ครูควรมีการปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะการพูดอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับผู้เรียน 3. เวลาในการท ากิจกรรมของนักเรียนแต่ละคน ครูควรยึดความแตกต่างระหว่างบุคคลเนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมี ความส ามารถแตกต่างกัน จึงส ามารถยืดหยุ่นเวลาได้ตามความเหมาะสมเพื่อไม่เป็นการปิดกั้นความคิดของ นักศึกษามากเกินไป ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยต่อไป 1. ควรพัฒนาชุดกิจกรรมฝึกทักษะการพูดเพื่อให้เนื้อหาเหมาะสมส ามารถใช้สอนนักศึกษาในระดับชั้นอื่นๆ ได้
2. ควรมีการศึกษาชุดกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษในเรื่องอื่นๆ ต่อไป 3. ควรพัฒนาชุดกิจกรรมฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้นวัตกรรมอื่นๆ อีก 4. ควรให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเลือกเรื่องที่จะฝึกเขียนตามความสนใจ ซึ่งเป็นการเน้นให้ผู้เรียนเป็นส าคัญ
บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา. _______. (2544). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา. กุลธิดา ทรัพย์พิพัฒนา. (2546). การสร้างชุดกิจกรรมฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน, บัณฑิต วิทยาลัย, มหาวิทยาลัยบูรพา. ฉลอง ทับศรี, (ม.ป.ป.). หลักการออกแบบการเรียนการสอน. ชลบุรี: ภาควิชาเทคโนโลยีทางการศึกษา คณะศึกษา ศาตร์มหาวิทยาลัยบูรพา. ทิศนา แขมมณี. (2534). ชุดกิจกรรมการสอนและการฝึกทักษะกระบวนการกลุ่มชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประถมศึกษา คณะคุรุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ปัญจาภรณ์อินจรัญ. (2549). ผลการใช้ชุดกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อ าเภอเมือง จังหวัดชลบุรี. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชา หลักสูตรและการสอน, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยบูรพา. ปาริชาติ รอดโสภา. (2542). ชุดการสอนเพื่อฝึกทักษะการเขียนเบื้องต้นส าหรับวิชาภาษาอังกฤษระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยบูรพา. พัชรีไชยสิทธิ์. (2546). การสร้างชุดกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นการพัฒนาทักษะการสื่อสารส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. งานนิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลักสูตรและ การสอน, บัณฑิตวิทยาลัย , มหาวิทยาลัยบูรพา. พันทิพา เข็มทอง. (2534). “การศึกษาข้อบกพร่องในการเขียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาวิชาเอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยรามค าแหง” รายงานการวิจัย. กรุงเทพฯ: คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยรามค าแหง. พิตรวัลย์โกวิทวที. (2537). ทักษะและเทคนิคการสอนเขียนภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พิมพันธุ์ เวสสะโกศล. (2544). “การวัดความส ามารถในการเขียนภาษาอังกฤษ” รายงานการวิจัย. กรุงเทพฯ: คณะวารสารศิลปะศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สมใจ ถิรนันท์. (2544). การสร้างชุดการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยบูรพา. สมบูรณ์ เจตน์จ าลอง. (2543). การใช้E-mail เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ. ชลบุรี: คณะมนุษย์ ศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา.
ประวัติผู้วิจัย ชื่อ-สกุล นางสาวพรทิพย์ แก้วแววน้อย วัน เดือน ปีเกิด 29 กันยายน 2531 สถานที่เกิด 29/2 หมู่ 5 ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม 73120 ต าแหน่งหน้าที่ ข้าราชการ ครู สถานที่ท างานปัจจุบัน กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง ประวัติการศึกษา พ.ศ. 2554 ปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิต (ศศ.บ.) เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา