The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

014~1

014~1

การแบ่งปัน และมีความรู้ผ่านประสบการณ์ตรง เป็นการฝึกทักษะชีวิตและทักษะอาชีพเพ่ือนาไปพัฒนาชุมชนของตนให้
พ้นจากความยากจนได้ในอนาคต

ในวิดีโอพรีเซนเทชั่นของโรงเรียน เสียงบรรยายสดใสของนักเรียนหญิงเล่าถึงการทาธุรกิจการเกษตรประเภท
ต่างๆของนักเรียนเป็นรายการยาวเหยียด นักเรียนทาการทาเกษตรในโรงงานเก่าของโรงเรียน ตั้งแต่การปลูกผัก ท้ังแบบ
ปลูกในแปลง ในวงขอบซีเมนต์ ในเข่ง และปลูกผักโฮโดรโปนิกส์หรือปลูกผักไร้ดินในท่อน้า โดยมีสโลแกน “ใช้ท่ีน้อย น้า
น้อย และแรงน้อย” ซึ่งท้ังหมดมีข้อดีคือสามารถปลกู ได้ในพ้ืนท่ีทดี่ นิ ไม่เหมาะกับการทาเกษตร การปลูกมะเขือเทศและเม
ล่อน ซ่ึงขายทั้งในโรงเรียนและขายออนไลน์ การปลูกองุ่นไร้เมล็ด เล้ียงจิ้งหรีด เพาะถั่วงอก และเพาะเลี้ยงเน้ือเย่ือ ซ่ึง
ธุรกิจหลังสดุ เป็นความรู้ระดับที่สอนกันในมหาวิทยาลัย แต่นักเรียนท่ีน่ีได้เรียนรู้ต้ังแต่ชั้น ม.1 เพ่ือเป็นแนวทางสาหรับคน
ที่สนใจจะเรยี นเรอื่ งนี้ต่อในมหาวิทยาลัย

โรงเรียนยังมีผลผลิตจากนักเรียนอีกหลากหลาย เช่น พริกแห้งปลอดสารพิษ ไข่ไก่สดทุกวันจากแม่ไก่ท่เี ลี้ยงนอก
กรงเพื่อสง่ เขา้ โรงอาหารโรงเรียนและขายในหมู่บ้านรอบโรงเรียน มีก้อนเห็ดและถั่วงอกที่ขายทากาไรได้ถงึ 250% โดยใน
แต่ละสัปดาห์โรงเรียนนาถ่ัวงอก 100 กโิ ลกรัมไปมอบให้โรงพยาบาลและหมู่บา้ น มีธรุ กจิ เลยี้ งผึ้งในแบรนดน์ ้าผ้งึ มีชัยฟารม์
ธุรกิจขายเคร่ืองแกง อาหารแปรรปู ไอติมหลอด มีการปั้นโอ่งขนาดใหญ่ส่งไปให้กับผู้สูงอายใุ นชุมชนสาหรบั เกบ็ นา้ ไวใ้ ชใ้ น
ยามหน้าแล้ง รวมท้ังธุรกิจโดรน โดยนักเรียนจัดอบรมโดรนเพ่ือการถ่ายภาพและโดรนการเกษตร และในช่วงโควิดท่ี
ผู้สงู อายุภายในหมูบ่ า้ นออกไปซอ้ื ของและอาหารไม่ได้ ก็มีการนาโดรนเขา้ ไปรบั จ้างส่งอาหารในหมู่บา้ นด้วย

นอกจาการเป็นผู้ประกอบการสังคมด้วยธุรกิจการเกษตรแล้ว นักเรียนมีชัยพัฒนายังได้เข้าไปสัมผัสกับความ
เป็นอยขู่ องชาวบ้านผ่านการทางานพัฒนาชมุ ชนรอบโรงเรยี นจานวน 16 หมบู่ า้ น รว่ มกบั คุณครแู ละเจ้าหนา้ ท่มี ลู นิธิมีชยั วี
ระไวทยะ ซึ่งอยู่ใกล้ๆโรงเรียน โดยแบ่งกันรับผิดชอบหมู่บ้านละ 10 กว่าคน ทาความเข้าใจบริบทและความต้องการของ
ชมุ ชนเพอ่ื ช่วยพัฒนาได้ตรงจดุ และเปน็ การบ่มเพาะจติ เมตตากรุณาตอ่ เพ่อื นมนษุ ย์ไปในตัว

“กอ่ นจะไปทากจิ กรรมตา่ งๆ เราสารวจความต้องการทงั้ ของชุมชนและโรงเรยี น แล้วปรึกษา
กันว่าอยากพัฒนาอะไร และวางแผนการพัฒนาวา่ จะวา่ เป็นรูปแบบไหน ซ่ึงขึ้นอยู่กับแต่ละบริบทของ
หมู่บา้ นและโรงเรียน

มีการไปทากิจกรรมรับใช้สังคมพี่สอนน้องในชุมชน โดยถ่ายทอดความรู้ที่เรามี ท้ังทักษะ
ด้านวชิ าการและทักษะอาชีพ เชน่ การสอนภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ทาเกษตร สอนการแปรงฟันท่ีถูก
วธิ ี สอนเพศศกึ ษาให้น้องๆในโรงเรยี นประถม ซึ่งไดผ้ ลตอบรับอยา่ งดี น้องๆสนกุ กบั การเรยี นรู้ทกุ คร้ัง

ทากิจกรรมมอบอาหารให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาล โดยชวนน้องๆประถมไปกับโรงเรียนมีชัย
พัฒนาด้วย เพ่ือให้น้องๆได้เรียนรู้การแบ่งปันให้ผู้อ่ืน นักเรียนของเราเล่นดนตรีเพ่ือเสริมกาลังใจให้
ผู้ป่วยอยู่ รวมทั้งทาอาหารไปมอบให้ผู้ป่วยและผู้สูงอายุชุมชน และช่วยดูแลแปลงเกษตรของชุมชน
และครวั เรือน

48

ที่โรงเรียนมีชัยพัฒนามี ‘ศาลแผ่เมตตา’ เพ่ือฝึกให้นักเรียนรู้จักการแบ่งปัน นักเรียนได้แผ่
เมตตาให้คนไทยปลอดภัยจากสถานการณ์โควิด-19 เราจะเห็นว่าการแบ่งปันหรือให้อะไรใครสักคน
ไมจ่ าเป็นต้องให้ดว้ ยเปน็ เงนิ หรือสิ่งของ แตเ่ ราสามารถให้ดว้ ยส่ิงทเ่ี รามี คอื จติ ใจนน่ั เอง”

ณฐมล แก้วสระแสน (ลูกหมี) นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 6

มีชัย วีระไวทยะ นาพามูลนิธิมีชัย วีระไทยะ และโรงเรียนมีชัยพัฒนา เข้าเป็นผู้ขับเคลื่อนสาคัญในโครงการ
“โรงเรียนร่วมพัฒนา” หรือ Partnership School Project ของกระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งในนโยบาย
Thailand 4.0 ของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาเร่ิมดาเนินการต้ังแต่ปี พ.ศ. 2560
จนถึงปัจจุบัน เน้นการส่งเสริมให้ภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ มูลนิธิ ร่วมกับภาคประชาสังคมใน
ท้องถ่ิน ผู้นาท้องถ่ิน ผู้ปกครอง และชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมปรับปรุง พัฒนา หรือร่วมบริหารโรงเรียนขนาดเล็กอย่าง
จริงจัง เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและคุณภาพชีวิตสาหรับนักเรียนและสมาชิกในชุมชน ให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้
และศูนย์กลางการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทักษะการเกษตร และการเพิ่มรายได้ในพื้นท่ีรอบโรงเรียน โดยมีเป้าหมายให้เกิด
โรงเรียนรว่ มพัฒนาในทกุ จังหวัดทั่วประเทศ

โรงเรียนและนักเรยี นของมีชัยพัฒนาได้รว่ มเป็นพ่เี ลีย้ งให้กบั โรงเรยี นต่างๆทว่ั ประเทศทีเ่ ขา้ รว่ มโครงการมากกว่า
100 โรงเรียน นักเรียนเลา่ ถึงตัวอย่างความสาเร็จของโรงเรยี นต่างๆ เช่น “โรงเรียนเมล่อน” หรือโรงเรียนวัดเกาะ จังหวัด
ระยอง ซ่ึงนักเรียนชั้นประถมสามารถปลูกเมล่อนและสอนปลูกเมล่อนได้อย่างมืออาชีพ สร้างรายได้ให้โรงเรียนปีละ
200,000 บาท และช่วยสร้างอาชีพใหม่ให้ชาวบ้านรอบๆโรงเรียนได้อย่างน่าภูมิใจ “โรงเรียนกุยช่าย” หรือโรงเรียนวัด
กระเฉท จังหวัดระยอง ซึ่งนักเรียนทุกคนมีแปลงเกษตรเป็นของตัวเอง สาหรับปลูกกุยช่ายและผักอ่ืนๆด้วยระบบสมาร์ท
ฟาร์มและพลังงานแสงอาทติ ย์ ทาให้โรงเรยี นมีรายไดเ้ ฉล่ียเดือนละ 21,500 บาท โรงเรียนบ้านหนองบงึ จังหวัดร้อยเอด็
ทม่ี ีนักเรยี น 36 คน ครู 5 คน โรงเรียนเร่ิมจัดตงั้ กองทนุ สาหรับธรุ กจิ การเกษตรใหส้ มาชิกชุมขนดว้ ยเงิน 50,000 บาท และ
มีเงินในกองทุนเพ่ิมเป็ย 1,166,864 บาท หรือ 23 เท่าในเวลา 6 ปี และโรงเรียนบ้านสันดาบ จังหวัดสมุทรสาคร ที่เคย
เป็นโรงเรียนวิกฤตระดับไอซียู และผ่านวิกฤตจนได้รับรางวัลระดับประเทศเรื่องการดูแลเด็กนักเรียนและพัฒนาคุณภาพ
ชีวิตของผปู้ กครองควบคู่กนั โดยการจดั ตงั้ แปลงเกษตรขจัดความจนและธนาคารพฒั นาชุมชนและโรงเรยี นบ้านสนั ดาบ

การทางานของโรงเรียนมชี ยั พัฒนามสี ่วนสาคญั อย่างย่งิ ในการสนบั สนนุ พลงั เลก็ ๆที่กระจดั กระจายอย่ทู ั่วประเทศ
และเคยถูกมองข้ามไป ให้ฟื้นคนื กลับมาช่วยเหลอื ตนเอง ช่วยกันและกัน และลกุ ขึ้นมาร่วมเป็นพลงั ในการพัฒนาประเทศ
โรงเรียนเน้นทางานในพนื้ ทช่ี นบท โรงเรียนขนาดเลก็ เยาวชนคนรุน่ ใหม่ ผูส้ งู อายุ ผู้หญงิ ผูพ้ กิ าร ซ่ึงชวี ติ ยังเช่ือมโยงอยู่กบั
ต้นทุนต่างๆในพ้ืนท่ีชุมชน ดังที่เห็นในโครงการสาคัญอีกโครงการหน่ึงของโรงเรียนคือ “โครงการพัฒนาความม่ันคงด้าน
อาหารและรายได้เพอ่ื ผู้สงู อายุ” ซึ่งนักเรียนไดช้ วนผู้สูงอายุท่ีอยู่กบั หลานและมีรายไดค้ ่อนข้างน้อยเข้ามาเรียนรูเ้ รอ่ื งธรุ กจิ
การเกษตรในโรงเรียน เพ่ือสร้างรายได้ และเป็น “สโมสรความสุข” ให้ผู้สูงอายุ ผูส้ ูงจะอายุกลับไปปลูกผกั ที่บ้านทั้งไว้กิน

49

เองและเหลือข่าย นักเรียนจะไปรับซ้ือผักในชุมชนโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง และผู้สูงอายุบางคนก็เปิดตลาดเล็กๆขายผกั
ในชุมชน

“จุดสาคัญตอนน้ีเรามีเด็ก 6 ล้านคนอยู่กับปู่ย่าตายาย ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่จบ ม.ต้น
หรือ ม.ปลาย แตไ่ ม่มีความรู้ที่จะทามาหากิน ก็ตอ้ งไปขายแรงงาน นีค่ อื ระบบการศึกษาที่ทาให้ตอ้ งทง้ิ
บ้าน คนที่เรยี นดีหน่อยเขา้ มหาวทิ ยาลยั กไ็ มก่ ลับไปหม่บู ้านอีก เพราะฉะน้ันเราตอ้ งปรบั ปรงุ สิง่ ท่ียังไม่
สมบูรณ์

เหมือนกับหลายอย่างที่เรามองข้ามไป ผู้ใหญ่บ้าน 76,000 คน เป็นผู้หญิงกี่เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ
ท่ีเกือบทุกหมู่บ้านมีผู้หญิงที่เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และเป็นผู้ทางานให้สาเร็จ ตอนนี้เราจะให้มีผู้ช่วย
ผใู้ หญ่บ้านกติ มิ ศักดท์ิ ่ีเป็นผูห้ ญิงในหมบู่ า้ นรอบโรงเรยี นเป็นตัวอย่าง

เด็กไปโรงเรียน เราต้องสอนให้เขาจัดการอะไรเป็นบ้างในชีวิต หน่ึง เขาควรทามาหากินเป็น
จัดการเป็น แก้ปัญหาเป็น ต้ังคาถามเป็น วางแผนเป็น เรามีโรงเรียน 32,000 แห่ง โรงเรียนสามารถ
เป็นท่ีเปล่ียนแปลงสังคมได้ เรามีที่ดิน มีอาคาร มีน้ามีไฟ มีครู มีผู้อานวยการโรงเรียน มีชุมชน
โรงเรียนพร้อมจะช่วยเหลอื ชมุ ชน แต่เราไม่ทา เรามผี สู้ ูงอายุ 15 ล้านคนอยรู่ อบโรงเรยี น 32,000 แห่ง
ใน 76,000 หมู่บ้าน เราสามารถเอางบประมาณที่มีอยู่แล้วมาซ้ือผักจานวนหนึ่งจากผู้สูงอายุเพ่ือเป็น
อาหารกลางวนั ของโรงเรียน ผู้สูงอายุก็จะมชี ีวติ ที่ดีข้นึ ทันทโี ดยไมต่ ้องหางบประมาณเพ่ิม ถ้าเราไมค่ ดิ
นอกกรอบกจ็ ะอยูใ่ นกะลา ตอ้ งเผากะลาทิ้งให้หมด

เราทาให้ดูเปน็ ตวั อย่างแคเ่ ร่ืองความมั่นคงด้านอาหาร แค่ความม่นั คงด้านรายได้ แตเ่ ราไม่ได้
มองแค่เร่ืองอาหาร เรามองว่าเราสามารถแก้ปัญหาได้ เรามีของอยู่ในมือ วัตถุดิบอยู่ในมือ เรามี
ทรัพยากรเยอะแยะท่ีจะแก้ปัญหา แต่เราไม่ใช้ โครงการปาท่องโก๋ทาให้ผู้สูงอายุกับเยาวชนทาธุรกิจ
ร่วมกัน จนในที่สุดเยาวชนโตข้ึนจะได้ช่วยดูแลผู้สูงอายุ รัฐบาลไม่สามารถดูแลผู้สูงอายุได้อย่าง
สมบรู ณ์ ต้องให้ดูแลกนั เอง แลว้ ทาไมไม่สอนส่งิ เหล่าน้ีในโรงเรียน”

มชี ัย วรี ะไวทยะ

มชี ยั บอกว่านกั เรยี นของเขาคือ Change maker – ผทู้ ี่เปลยี่ นแปลงสังคม และพวกเราทุกคนกเ็ ปน็ ได้เช่นกนั

“สิ่งน่ีคือ Change maker ผู้ท่ีเปลี่ยนแปลงสังคม ทุกคนทาได้หมด ไม่จาเป็นต้องเปลี่ยนใน
หนง่ึ ตารางเมตร หนึง่ ตารางนิว้ ก็ได้ แตต่ ้องมอี ะไรบางอยา่ งในชีวติ รอบตัวท่เี ราทาใหด้ ีข้ึน”

มีชยั วรี ะไวทยะ

50

คณุ ธรรมอยู่ในการเปิดพ้นื ทสี่ รา้ งสรรค์ เพื่อร่วมคดิ ร่วมทา ใหเ้ กิดความสุขร่วมกัน

โรงเรียนมีชัยพัฒนาคือบ้านอีกหลังหนึ่งบนเส้นทางการทางานพัฒนาอันยาวไกลของมีชัย วีระไวทยะ เขาทุ่มเท
กายใจและสติปัญญาลงไปเต็มที่ เช่นเดียวกับงานพัฒนาอื่นๆท่ีสร้างการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ให้สังคมไทยมาตลอดช่วง
การทางานกวา่ 50 ปีของเขา เช่น การบุกเบิกงานด้านวางแผนครอบครัวจนสาเร็จในระดบั โลก ท้ังๆที่รัฐบาลยุคนั้นไมเ่ หน็
ด้วย หรือการเป็นองค์กรสาคัญท่ีทางานแก้ไขปัญหาโรคเอดส์จนประสบความสาเร็จขณะท่ีไม่ได้รับการสนับสนุนจาก
รฐั บาลเช่นกัน โดยสง่ิ ที่เขายืนยนั จากประสบการณ์ทัง้ ชวี ติ คือ การเปลย่ี นแปลงต้องเริ่มทต่ี ัวเอง

“ต้องเร่ิมเปล่ียนแปลงเอง อย่าหวังว่าราชการจะเปลี่ยนแปลง ราชการเป็นผู้ตาม ไม่ใช่ผู้นา
การเปล่ียนแปลงมักจะมาจากภายนอก ไม่ได้มาจากราชการ ทุกอย่างที่ผมทา ผมทาจากนอกราชการ
ทั้งสน้ิ ”

มีชยั วรี ะไวทยะ

การทางานด้านศึกษาของมีชัย เป็นไปเพ่ือสร้างคนดี คนท่ีมีความสขุ คนท่ีซื่อสัตย์ เคารพความเสมอภาค ยอมรบั
ความแตกต่างหลากหลายของผู้คนในสังคม และเข้าใจความเป็นมนุษย์ด้วยการพยายามมองโลกออกมาจากสายตาและ
ประสบการณ์ชีวิตของคนอ่ืน และแบ่งปันความสุขให้คนอื่นได้ เป็นการศึกษาท่ีทาให้คนคิดเป็น ทาเป็น จัดการชีวิตตัวเอง
ได้ และช่วยคนอ่ืนได้ด้วย และไม่ใช่การศึกษาแบบท่องจาที่เรียนแล้วไม่รู้จะเอาไปทาอะไรต่อ โลกของการศกึ ษาแบบมีชัย
พัฒนาจึงเคลื่อนตัวไปด้วยการมองเห็นปัญหา และพยายามร่วมกันแก้ไขปัญหา ผ่านการตั้งคาถาม แสวงหาความรู้ และ
ทดลองทาจริงเพอื่ ให้ไดค้ าตอบ เร่ืองราวของการเรยี นร้จู ึงมีไดห้ ลากหลาย สดใหม่ มีชีวิตชีวา ท้ังยังลงลึกและกว้างขวางไป
ได้ไม่รู้จบ เป็นทั้งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมท่ีหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างการ
เปลีย่ นแปลงให้ทั้งผ้เู รยี นและส่งิ ต่างๆรอบตัวเรา

“ทุกห้องเรียนควรถามเลยว่า อาทิตย์หน้าอยากให้มีอะไรดีข้ึนในโรงเรียน ให้เด็กช่วยกันคดิ
เขาทาได้ท้งั นัน้

ให้เด็กได้พบปัญหา แล้วให้ช่วยคิด อย่าไปบอกว่าฉันจะมาแก้ปัญหาให้ ฉันไม่ใช่เทวดา
ไม่อย่างน้ันเราจะไม่ไปถามชาวบ้านว่า คณุ มีปัญหาอะไร เราจะไปรู้จักกัน คุยกัน บอกว่าอยากมาร่วม
นึกร่วมคิดด้วยกัน เล่าให้ฟังสิว่า มีอะไรที่ดี ที่ภาคภูมิใจในหมู่บ้าน แล้วมีอะไรอยากทาให้ดีขึ้น นั่น
แหละการแก้ปัญหา เรามองข้ามของง่ายๆไปหมดเลย เราไมไ่ ดม้ องเกวียน เราไปมองเครือ่ งบิน

ถ้าเด็กมีอาชีพท่ีไม่โกง มหาวิทยาลัยก็มีโกง รัฐก็มีโกง กองทัพก็มีโกง ตารวจก็มีโกง ทาไม
ต้องเป็นอย่างนั้น มันควรจะอยู่ต้ังแต่อนุบาลเลย เพราะฉะน้ันการวัดทักษะ อย่าไปสร้างความเก่งเลย

51

สร้างความดีกอ่ น ความเก่งมาจากประสบการณ์ เปน็ คนเกง่ แลว้ กเ็ อาเปรียบคนอน่ื หมด เป็นคณุ ภาพท่ี
ทาลายชาติ อะไรท่ีเรยี กวา่ เปน็ การโกหก ต้องรีบแกไ้ ขตง้ั แต่เดก็ ๆ

การฝกึ อยา่ เอาหนงั สือสอน จะสอนต้องให้ทา ทาให้ดู ทาร่วมกัน แล้วก็มีคณะตรวจสอบดว้ ย
นกั เรยี นเป็นคณะตรวจสอบ ใชโ้ รงเรียน ใชง้ บประมาณ ใช้ระบบอย่างนเี้ ป็นการสอนนักเรยี นไปดว้ ย

เด็กถูกผู้ใหญ่สอนอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น การศึกษาต้องเปล่ียนจากของเก่าที่ไปน่ังจดเอาใน
ห้องเรยี น มาเน้นภาคปฏิบตั ิใหม้ ากทสี่ ุด อย่างเชน่ คณติ ศาสตร์ พืน้ ที่ 1 ตารางเมตร เราใหเ้ ดก็ คดิ วาด
รูปกว้างยาวเท่าไหร่ คิดว่าการปลูกข้าวใน 1 ตารางเมตร ปีหน่ึงได้รายได้จากข้าวเปลือกเท่าไหร่ ลอง
เดาสิ

5 บาทครับ ชาวนาถึงไม่รวยไง 1 ไร่ คอื 1,600 ตารางเมตร ไร่ละประมาณ 9,000 บาท เอา
1,600 หาร ออกมาประมาณ 5 บาท ตอนสอนเราเน้นเลยว่า ไม่ใช่ปลูกเฉยๆ ต้องรู้ว่าปลูกแล้วได้
เท่าไหร่ต่อหน่วย แล้วถ้าปลูกถั่วงอก 1 ตารางเมตรจะได้เท่าไหร่ต่อปี ถ้าเอาถ่ัวเขียว 1 กิโลปลูกใน
กระถางซเี มนต์ 1 สัปดาหจ์ ะได้ 12 กโิ ล ได้ 240 บาท 1 เดอื น 960 บาท 1 ปี 11,000 บาท ถา้ เราคูณ
10 เข้าไป 110,000 บาทในหนึ่งปี กาไร 250% รายได้จากถว่ั งอกนี่คนจะตกใจเลย”

มีชยั วีระไวทยะ

คาตอบท่ีได้สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีความเป็นไปของผู้ตั้งคาถามเอง ถ่ัวงอกของโรงเรียนมีชัยพัฒนาท้ังสร้าง
รายได้ สายสมั พันธ์ และความผกู พันท่ีดีให้โรงเรียนและชุมชน เช่นเดียวกับบางโรงเรียนที่มีชัยพัฒนาไปเป็นพ่ีเลย้ี ง พบว่า
เด็กๆอนุบาลปลูกผักเก่งมากและสนุกกันมาก ก่อนกลับบ้านตอนเย็นเด็กๆไปสวัสดีผัก และรุ่งเช้ามาโรงเรียนก็สวัสดีผัก
ดว้ ย ความผูกพันจะทาให้เกดิ ความสรา้ งสรรค์ และเป็นที่ท่ีคุณธรรมงอกงามมาจากตรงนนั้

โรงเรียนมีชัยพัฒนาเช่ือมั่นในพลังสร้างสรรค์อนาคตท่ีมาจากเด็กและเยาวชนที่ได้รับการบ่มเพาะอย่างประณีต
โรงเรยี นและครคู อื พืน้ ทีแ่ ละโอกาสทเี่ ปิดไวใ้ ห้เดก็ ๆไดส้ ร้างสรรค์ ใหไ้ ดค้ ิด พจิ ารณา และลงมือทาดว้ ยตัวเอง เพราะอนาคต
เป็นของพวกเขา การไม่ให้ความสาคัญ มองข้าม หรือกีดกันเด็กและเยาวชนออกจากกระบวนการพัฒนา จึงเป็นความโง่
เขลา ผดิ ทศิ ผิดทาง และสรา้ งหายนะท้ังที่เกดิ ขึ้นแล้วและในอนาคต

“จุดสาคัญคือปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมมาจากผู้ใหญ่ ไม่ใช่มาจากเด็ก คนทาลายบ้านเมืองก็
เปน็ ผ้ใู หญท่ ั้งนน้ั หลายคนกใ็ กลต้ ายแลว้ แต่เราไมไ่ ด้ดึงเด็กเขา้ มาเลย เรามีแผนพฒั นาเศรษฐกจิ ทาไม
ไม่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมท่ีทาโดยเยาวชน ทุกกระทรวงไม่มีคณะกรรมการเยาวชน ทาไม
มหาวิทยาลัยไม่ให้เยาวชนที่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัยมาให้คาแนะนาว่าเขาอยากเห็นมหาวิทยาลัยเป็น
แบบไหน ทุกวันน้ีมหาลัยทาลายหมู่บ้าน ดึงคนออกจากหมู่บ้านแล้วไม่สง่ กลบั ไป รัฐมนตรีควรฟังจาก
นักเรยี นด้วย

52

เรามาช่วยกันถามรุ่นนี้เถอะครับว่าอยากเหน็ การเปลี่ยนแปลงอย่างไร อีกไม่นานผมก็จะตาย
แล้ว มาถามผมไม่มีประโยชน์หรอก ถามเขาว่าอยากเห็นอะไรในย่สี ิบปี บ้านเมืองในย่ีสิบปีกับวันนี้มัน
คนละเรื่องกนั แลว้ อดตี เขานั่งเฉยๆแล้วมคี นมาชเ้ี ขาวา่ จะไปซา้ ยไปขวา เขาต้องมีสว่ นรว่ ม เขานึกเป็น
คิดเปน็ เจบ็ เป็น ร้องไห้เปน็ หวั เราะเปน็ เราต้องใชค้ วามร้คู วามคิดของเขา สมัยนเ้ี ยาวชนหาความรไู้ ด้
เยอะแยะ เราจะได้เห็นอะไรที่ดขี ้ึน เขาจะได้มีสว่ นรว่ มสร้างอนาคต มฉิ ะนนั้ เขาจะไมม่ ีสว่ นร่วมเลย

สมยั กอ่ นคนอายุเท่านกั เรีนมธั ยมปลายก็มีลกู กนั แลว้ เรามองข้ามเขาไปเอง ควรใชค้ วามเป็น
ผูใ้ หญข่ องเขามาทาอะไรไดม้ ากขนึ้ ”

มชี ัย วีระไวทยะ

การเปล่ยี นแปลงแบบมีชัยพัฒนาเป็นการเปลยี่ นแปลงบนเส้นทางของสนั ติภาพและความยงั่ ยืน ผ่านการบม่ เพาะ
เมล็ดพันธ์ุของความสุขและการแบ่งปัน การช่วยกันคิด ช่วยกันทา และอยู่ร่วมกันอย่างเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ซ่ึง
กันและกนั อนั จะสง่ ผลใหเ้ กดิ พลังสร้างสรรค์และการปรบั ตัวทสี่ อดคล้องกบั สถานการณ์ใหมๆ่ ตลอดเวลา

“การเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา ใช้การหารือ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทุบตี ไม่ใช้ระเบิด ต้องพูด
กันให้มีเหตุมีผล และต่างพ่ึงซ่ึงกันและกัน ทุกคนอยากมีความสุข พ่อแม่ก็อยากให้เรามีความสุข
หลักสูตรในโรงเรียนส่วนไหนสอนให้เรามีความสุข ไม่มี ท่ัวโลกทดลองมาแล้วว่าการแบ่งปัน การเป็น
มิตรท่ีดี เป็นการสร้างความสุข หลักสูตรการศึกษาต้องมีเรื่องของการสร้างความสุขด้วย ถ้าคนอยู่ใน
ส่ิงแวดล้อมที่กระตุ้นกัน อานวยความสะดวก และเกดิ ความเหน็ ใจซ่ึงกันและกัน ก็ไปไดด้ ี

อีกเร่ืองหนึ่ง คนส่วนใหญ่จะไปเป็นพ่อเป็นแม่คน แต่ไม่มีการสอนว่าเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีต้อง
เป็นอย่างไร จบม. 6 แล้ว ผู้ชายยังไม่รู้เลยว่าพ่อท่ีดีเป็นยังไง เรียนมาต้ัง 12 ปี ควรต้องใส่ส่ิงเหลา่ นี้ที่
เป็นการสร้างคุณภาพของคนเข้าไปในการศึกษา เราควรมองตัวคน การปรับปรุงพัฒนาท่ีดีไม่มีอะไร
ดีกว่าตัวคน”

มชี ัย วรี ะไวทยะ

สว่ นในประเดน็ การศึกษา มีชัยเสนอวา่ ทุกส่วนในสังคมต้องรว่ มกันทาการศึกษาให้ดขี ้ึน ทั้งราชการ เอกชน และ
โดยการดูแลและบริหารการศึกษาควรกระจายไปอยู่ในแต่ละจังหวัด ทุกคณะในมหาวิทยาลัยและวิทยาเขตต่างๆเป็นพ่ี
เล้ยี งคณะละ 3 โรงเรยี นเพอื่ เป็นตวั อย่าง

“มหาวิทยาลัยมีคนเก่งๆเยอะ แต่เราไม่ได้ใช้เลย ปล่อยว่างเปล่า แล้วดึงเอกชนเข้ามาแล้วมี
การลดหย่อนภาษี เช่น ธนาคาร ทกุ ธนาคารตอ้ งตง้ั โรงเรียนหนงึ่ โรงทกุ จังหวดั บรษิ ัทน้ามนั บริษัทต่างๆ

53

ให้เอกชนเข้ามาช่วยสร้างคน เพราะเขาจะเป็นผู้รับคน เขารู้ดี ขณะน้ีคนจบจากมหาวิทยาลัยยังต้องให้
บริษัทช่วยสอนใหม่ เพราะไม่ได้สอนให้บริหารจัดการเป็น หลายอย่างที่อยู่ในมหาวิทยาลยั ควรจะลงมา
อยู่ขัน้ มัธยม หลายอยา่ งในมธั ยมควรอยขู่ น้ั ประถม

ทาไมมหาวิทยาลัยต้องดึงคนออกจากหมู่บ้านไปอยู่มหาวิทยาลัย แพงขึ้นด้วย แล้วก็ไม่กลับ
บ้าน ทาไมไม่มีมหาวิทยาลยั ออกไปหาชุมชนบ้าง มหาวิทยาลยั เป็นท่ีทีข่ เ้ี กียจ ไม่ใช่ขยัน ใครได้ตาแหน่ง
แล้วก็อยู่ตลอดไป มันต้องสอบตกได้ ไม่อย่างนั้นไม่ถูกปรบั ปรุงพัฒนา อะไรท่ีลม่ จมไมไ่ ด้ อนาคตไมค่ อ่ ย
จะดี มันตอ้ งลม่ จมได้ จะได้รรู้ ะมดั ระวงั

เด็กท่ีมีชัยพัฒนาไม่ได้มองว่ามหาวิทยาลัยคือสวรรค์ ดีไม่ดีเข้าไปเสียเวลา ส่ีปีเสียเงินไปไม่รู้
เท่าไหร่ แถมออกมาตกงานอีก อนาคตกับตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว นายจ้างหายากมาก ไม่ว่าจะเป็นงาน
ขายของ การผลิตการอะไรต่างๆ เปล่ียนไปมาก ต้องสอนใหม่เลย โรงเรียนต้องเปล่ียนมาก ผมไม่รู้ว่า
โรงเรียนจะเปลี่ยนทันหรือเปล่า ผมเช่ือว่าไม่ทัน เพราะครูไม่ต้องเปล่ียน ครูมีเงินเดือนอยู่แล้ว
ขา้ ราชการในกระทรวงก็มีเงนิ เดือนอยแู่ ลว้ แต่ผู้รับเคราะหค์ ือเดก็ ร่นุ ใหม่

อนาคตของนักเรียนอยู่ท่ีโรงเรียน โรงเรียนไม่ได้มีสาหรับครู จุดน้ีสาคัญมาก โรงเรียนมีไว้
สาหรับนักเรียน แล้วก็นักเรียนมีไว้สาหรับประเทศ ต้องช่วยกัน และทุกคนสามารถทาอะไรได้เยอะแยะ
ไปหมด”

มีชัย วีระไวทยะ

โรงเรียนมีชัยพัฒนากาลังทางานเพ่ือสร้างคนดี ที่คิดเป็น ทาเป็น และช่วยคนอ่ืนได้ ท้ังการช่วยด้วยใจ ด้วยการ
แบ่งปันความรู้ การลงมือทาด้วยกัน และการให้สินทรัพย์เพื่อลงทุนร่วมกันให้เกิดความยั่งยืน เป็นการสร้างผูเ้ ปลยี่ นแปลง
สังคมเข้าสู่การเดินทางไกลที่ผู้คนหลากหลายกาลังเดินทางร่วมกันอยู่อย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางวิกฤตทางสังคมท่ีกาลัง
เกิดข้ึนในอัตราเรง่ อยา่ งทบทวี ความอบอุ่นจากพลังชีวติ ของเยาวชนท่กี าลงั เตบิ โต จะมีมากพอเพอ่ื คลายความเหน็บหนาว
ของทงั้ สงั คมในอนาคตได้ไหม เปน็ เร่ืองทีค่ นทงั้ หมดต้องชว่ ยกนั ตอบเพือ่ รว่ มสร้างหนทางใหมใ่ ห้ทนั การณ์

“ผมมกั คิดอะไรนอกกรอบอยเู่ สมอ ผมขอเลา่ ปรัชญาง่ายๆวา่ เปรยี บเสมอื นวา่ เราเป็นลาธาร
กาลังไหลมา แล้วมีคนมาทาเข่ือนกั้น เราจะท่วมแล้วข้ามไปได้ไหม ถ้าไม่ได้ เราซึมไปแล้วไปโผล่ทาง
โน้นได้ไหม ถ้าไม่ได้ ก็ระเหยและตกเป็นฝนทางโน้นซิ ก็คือ take ‘no’ as a question อย่าไป
ยอมรบั ปัญหาทีม่ ันเกดิ ขน้ึ ง่ายๆ เอามาต้ังคาถาม แล้วหาทางแก้เสีย

อุปสรรคสาคัญท่ีสุดคือตัวเราเอง มันลาบาก มันยาก เกรงใจเขา อย่าเลย เด๋ียวเขาจะว่า
เดี๋ยวเขาจะอิจฉา อย่าเอาคาปฏิเสธคนอื่นเป็นคาตอบให้เรา เราต้องเอาคาปฏิเสธของเขากลับมาต้ัง
เป็นคาถามใหม่ ใหมๆ่ ปญั หาอยู่ทต่ี วั เราเองเกือบท้งั นั้น

54

เราหวังว่าการเปลี่ยนแปลงของนักเรียนท่ีนี่จะไปสู่คนอื่นบ้าง จะเป็นในหมู่บ้านหรือย้ายไป
อยู่ที่อื่น แต่อย่างน้อยสิ่งท่ีอยู่รอบตัวเขาจะมีการปรบั ปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนา เราต้องการให้เขาเปน็
change maker ตัวเขาจะอนุ่ อยตู่ ลอดเวลา ใครมาอย่ใู กล้เขาจะรสู้ ึกอนุ่ สบาย”

มีชยั วรี ะไวทยะ

ความฝันของเดก็ มีชัยพัฒนา

เส้นทางหลงั เรยี นจบจากโรงเรยี นมีชยั พัฒนาดจู ะเปิดกว้างให้ความเป็นไปได้ในทุกความฝนั บางคนอยากเรยี นต่อ
ระดับมหาวิทยาลัย บางคนเลือกเรียนหลักสูตรเตรียมมหาวิทยาลัย (Pre-degree) สาขาผู้ประกอบการสังคม ซึ่งเป็น
หลักสูตรนาร่องจากความร่วมมือของโรงเรียนมีชัยพัฒนาและสถาบันอาศรมศิลป์ บางคนเลือกที่จะพักการเรียนช่วง Gap
Year เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์นอกห้องเรียน ไม่ว่าจะเลือกหนทางไหน ไม่ว่าฝันนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ส่ิงท่ีมีร่วมกันการ
สร้างความเปล่ยี นแปลงใหโ้ ลกนีด้ ีขึ้น และต่อยอดการเรยี นร้อู ย่างไมม่ ีท่ีสน้ิ สุด

“หนูอยากทาธุรกิจเพื่อสังคมของตัวเอง ชุมชนของหนูคนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ผอ. มีชัยเคยบอกไว้ว่า
เกษตรกรไม่ใช่คนโง่ แต่ว่าเป็นนักธุรกิจท่ีไม่เก่ง เขาขาดสองอย่างคือแหลง่ เงินทุนกับองค์ความรู้ในการทาธุรกิจของตัวเอง
เหมือนครอบครัวหนู แต่ก่อนคุณพ่อคุณแม่ปลูกข้าวโพด พอถามก็ทราบว่าเห็นคนอ่ืนปลูกก็เลยปลูกตาม เราถามต่อว่า
แลว้ มีการทาบญั ชีไหม รู้หรือเปล่าวา่ ทารอบน้ีกาไรหรือขาดทุน คาตอบคือไม่ไดท้ าอะไรเลย ไม่รูด้ ้วยซา้ ว่าที่ขายมันได้กาไร
หรือขาดทุน เลยเป็นแรงบันดาลใจที่อยากกลับบ้านไปทาธุรกิจเพ่ือสังคม ทาให้เกษตรกรที่บ้านเรามีศักดิ์ศรี สามารถทา
ธุรกิจของตัวเองได้ ตอนน้ีคนรุ่นใหม่สว่ นใหญ่มองว่าอาชีพเกษตรกรอยู่ข้างล่างอาชีพอ่ืน แต่หนูมองว่าเป็นอาชีพที่เป็นสัน
หลงั ของประเทศ

สิ่งท่ีประหลาดก็คอื พอหนูกลบั บ้าน หนูไม่รู้จักหมู่บ้านตัวเองเลย แต่รู้จักคนในหมู่บ้านที่โรงเรียนมากกว่า รอบน้ี
กลับบ้านก็เร่ิมไปทักทายทาความรู้จักคนอื่นมากขึ้น แต่ด้วยความท่ีบริบทของท่ีนี่กับหมู่บ้านหนูค่อนข้างต่างกัน หนูสึกว่า
ยังมีความท้าทายหลายอย่าง โดยเฉพาะเรอ่ื งการต่อยอดเปน็ ธรุ กิจ”

จติ ตนิ ี คามนิ ทร์ (นนุ่ ) จาก จ.น่าน
นักศึกษาหลกั สตู ร Pre-degree สาขาผู้ประกอบการสงั คม หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑติ สถาบันอาศรมศลิ ป์

“หนเู ป็นนกั เรยี นชนเผ่ากะเหร่ียง อยู่กาญจนบรุ ีตดิ กับพมา่ คนสว่ นใหญใ่ นชมุ ชนเปน็ ชนเผา่ กะเหรี่ยงไมม่ ีสัญชาติ
แต่หนูโชคดีท่ีเกิดมามสี ัญชาติ การไปเรียนต่อมหาวิทยาลยั ค่อนข้างยากเพราะเรอ่ื งเอกสารต่างๆ เวลาไปทางานในตัวเมอื ง

55

ก็ต้องหาทางหลบหลกี ไม่ให้เจ้าหน้าทีจ่ ับได้ ในชุมชนมีแค่งานรับจ้างเป็นช่วงฤดู ทาให้หนูอยากสรา้ งอาชีพอะไรสกั อยา่ งให้
คนในชมุ ชน

ความฝนั สูงสดุ ของหนู คือการทาศูนย์การเรียนร้ดู า้ นอาชีพใหค้ นในชมุ ชนเข้ามาศกึ ษาหาความร้หู รอื เขา้ มาหางาน
ทาในน้ัน หนูอยากทาให้ชุมชนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนวัตวิถี ท่ียังคงความดั้งเดิมเอาไว้และปรับตัวให้เข้ากับบริบท
ทันสมัยย่ิงขึ้น ในการทาศูนย์การเรียนรู้ต้องใช้งบประมาณ หนูเลยเริ่มหาแนวทางทาธุรกิจการปลูกและจาหน่าย
กระบองเพชร การจะไปถงึ ศนู ยก์ ารเรียนรไู้ ด้ หนูต้องไปทาความรจู้ กั กบั คอนเนคช่ันต่างใหม้ ากยง่ิ ขึน้ ขอความร่วมมือให้ได้
มากท่ีสดุ และทาใหเ้ กดิ เครอื ขา่ ยท่มี น่ั คงขนึ้ มา”

ณัฏฐา ชัยโชตกจิ (ณัฏ) จาก จ.กาญจนบรุ ี
นักศกึ ษาหลกั สตู ร Pre-degree สาขาผ้ปู ระกอบการสงั คม หลกั สตู รศิลปศาสตรบัณฑติ สถาบนั อาศรมศลิ ป์

“หนอู ยากทารา้ นอาหารไทยท่บี ้านทก่ี าญจนบรุ ี รา้ นไมใ่ หญม่ าก ออกแบบคลา้ ยๆกับธุรกจิ ของโรงเรยี น ถา้ มีกาไร
ก็จะแบ่งไว้ทากิจการเพ่ือสังคมและเอาไปช่วยเหลือส่ิงที่ในชุมชนอยากพัฒนามากขึ้น และอยากให้เป็นที่เรียนรู้การทา
เกษตรด้วย เพอื่ ให้ร้านนา่ สนใจมากขน้ึ ให้ลกู ค้าเห็นว่าเราใช้ผักทปี่ ลกู เอง และสามารถนาผักทีเ่ ราปลูกกลับบา้ นไดด้ ว้ ย

ปีนี้หนูอยู่ ม. 6 ตั้งใจว่าปีหน้ายังไม่อยากเข้ามหาวิทยาลัย จะไป gap year เพ่ือหาประสบการณ์และส่ิงที่ตัวเอง
อยากทากอ่ น ท่อี ยากเขา้ จริงๆคือคณะศิลปะการทาอาหาร”

ณฐมล แกว้ สระแสน (ลูกหม)ี จาก จ.กาญจนบรุ ี
นกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 6

“หนอู ยากเป็นคุณหมอต้ังแต่ ป. 2 ค่ะ ไมว่ า่ เราจะทาอาชีพไหนเรากส็ ามารถชว่ ยเหลอื สังคมได้ การทาอาชีพของ
หนูในอนาคตกจ็ ะยึดหลกั ทโี่ รงเรียนได้สอนมา ให้รู้จักการแบง่ ปันแลว้ กช็ ่วยเหลอื สงั คม เชน่ ถา้ หนูได้เป็นหมอจริงๆ ก็
อยากเข้าไปในพ้นื ที่ทรุ กนั ดารหรอื ว่าไมม่ ผี ูส้ นบั สนนุ ”

วนสิ า วรรณะใจ (ววิ ) จาก จ.น่าน
นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6

“หนูชอบของงานเขียน เพราะวา่ อยากกระจายความรทู้ เี่ รามีไปใหค้ นอื่นๆรบั รู้ หนูอยากให้คนในหมู่บ้านรู้จกั การ
ทาเกษตรแบบใหม่และพัฒนาหมู่บ้านให้ดีย่ิงขนึ้ รวมไปถึงสอนชุมชนรอบๆใหม้ ีความรู้เกี่ยวกบั การทาเกษตรและด้านอนื่ ๆ
ท่หี นมู ีความรู้ แลว้ ก็ตอ่ ยอดไปถึงงานเขยี น อยากเขยี นลงเว็บไซต์ ถ้าเป็นไปได้อาจขยายไปถงึ งานเขยี นภาษาอืน่ ๆ แปลงาน
เขียนภาษาต่างประเทศคะ่ อยากเรียนตอ่ คณะอกั ษรศาสตรค์ ่ะ”

ภัทรานษิ ฐ์ ขาวสุข (เปรี้ยว) จาก จ.นครราชสมี า
นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6

56

4.4 เครอื ข่ายนเิ วศน์ล่มุ นา้ แมท่ า
วถิ แี หง่ อยู่รอดและอยรู่ ่วม หลอมรวมคนในพ้ืนที่

“คณุ ค่าแท้ของการทาธุรกิจเพอ่ื สงั คม เพ่อื แกป้ ัญหาของสังคม
เราไม่ไดท้ าแคเ่ รือ่ งปกป้องทรพั ยากร รกั ษาวฒั นธรรม
แต่ความเปน็ อยู่ทนี่ ีต่ ้องดีข้ึนด้วย”
พฤติพร จินา
ผูป้ ระสานงานเครอื ข่ายนเิ วศนล์ มุ่ น้าแมท่ า

การตอ่ สูเ้ พื่อปกปอ้ งบ้านเกิด

ล่มุ น้าแม่ทาเป็นสายเลือดส้าคญั ที่คอยหล่อเลยี้ งชีวิตผู้คนนับแสนใน 20 ต้าบล 202 หมู่บ้าน ที่อาศยั อยู่ตลอดล้า
น้ายาว 98 กิโลเมตร พาดผา่ นพื้นที่ในจงั หวัดเชียงใหม่ (อ้าเภอแม่ออน) และจังหวัดล้าพูน (อ้าเภอแมท่ า อ้าเภอเมือง และ
อ้าเภอป่าซาง) ลุ่มน้าแม่ทาเป็นลุ่มน้าสาขาย่อยของน้าแม่กวงซ่ึงก้าเนิดจากดอยขุนทา เป็นพื้นที่ท่ีอุดมไปด้วยทรัพยากร
ทางธรรมชาติ อกี ท้งั ยงั อดุ มไปดว้ ยวิถีชีวติ และวัฒนธรรมของกลมุ่ ชาติพนั ธอุ์ ันหลากหลาย ท้ังไทลือ้ (ไทยอง) ปกาเกอะญอ
(ยาง) และคนเมือง (ไทยวน) อาชพี หลักของคนในลุ่มนา้ ทาอย่ใู นภาคเกษตร เช่น ทา้ สวนลา้ ไย ทา้ นา เป็นตน้

“เครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้าทา” เกิดจากการรวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการของคนในลุ่มน้าแม่ทา เพ่ือติดตามเฝ้า
ระวังสถานการณ์ส่ิงแวดล้อม จากการรุกคืบเข้ามาของโครงการโรงไฟฟ้าขยะของภาครัฐในพื้นท่ีอ้าเภอแม่ทาในปี พ.ศ
2558-2559 ซ่ึงอาจสง่ ผลต่อคนและทรัพยากรในลุ่มน้าแม่ท้าอย่างมาก มีการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันว่า “คนลมุ่ น้าทาไม่
เอาโรงไฟฟา้ ขยะ”

พฤติพร จินา หรือหญิง ผู้ประสานงานเครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้าแม่ทา เป็นอีกหนึ่งในนักพัฒนาชุมชนคนรุ่นใหม่ที่
ต้ังใจกลับมาหยั่งรากที่บ้านเกิด ณ อ้าเภอแม่ทา จังหวัดล้าพูน เมื่อเจอกับปัญหาในพื้นท่ีจึงเข้าร่วมขบวนต่อสู้คัดค้านการ
สร้างโรงไฟฟ้าขยะ โดยใช้การต่อสู้บนฐานข้อมูลและการสอื่ สารเป็นกลยุทธ์สา้ คัญ อีกท้ังมีแรงสนับสนุนจากภาคเี ครือขา่ ย
และกระแสการคัดค้านไม่เห็นด้วยของประชาชนในพ้ืนที่ การต่อส้เู ร่ืองโรงงานไฟฟ้าขยะจบลงด้วยชัยชนะของชาวบ้านลมุ่
น้าแม่ทาในระยะเวลาเพยี งหนึ่งปี

“ปี 58-59 เป็นปีแรกท่ีหญิงกลับมาอยู่บ้านด้วย การสปู้ ีแรก เปิดเวทีใหญ่ แจกใบปลิว ปีน้ัน
เพื่อนถูกยิงหลังบ้าน รุนแรงแต่เราก็สู้ หญิงกับพี่นุ (สามี-วิษณุ ดวงปัน) คอื สู้แบบถวายชีวิต ถ้าเราจะ
ตายขอตายอย่างมีคุณค่าแบบน้ีดีกว่า ตอนนั้นเรายังไม่มีลูก ส่วนเพ่ือนในกลุ่มมีลูกกัน เขาก็ออกหน้า
ไมไ่ ด้ ตอ้ งปลอดภัย

เราเป็นม้าเร็วใช้กลยุทธ์ไปออกรายการสถานีประชาชน (ออกอากาศทางช่องไทยพบี ีเอส) ไป
เสนอข้อมูล สู้กันปีหน่ึงกว่าจะลง ทางพี่ดูแลอาสาคืนถ่ินก็เชื่อมให้เราไปเจอพ่ีท่ีมูลนิธิบูรณะนิเวศ ไป

57

เจอ iLaw EnLaw ท่ีทาเร่ืองกฎหมาย เรามีพ่ีๆภาคใี นภาคประชาสังคมประเทศไทย ช่วยทาให้เราไป
สุดไดอ้ กี ต่นื เตน้ ตลอดจนผ่านมาได้ มันทาให้เราแกรง่ ขึน้ เยอะ เพราะเราผ่านหลายประเด็น

ตอนที่ต้องสู้ในรอบแรก บีบค้ันเหมือนกันค่ะ ไม่ได้ทามาหากินเลยเป็นปี เราต้องให้ข้อมูลอยู่
ในมือของชาวบ้านใหไ้ ด้

ตามผังเมืองพ้ืนท่ีตรงน้ีเป็นสีเขียว โซนชุมชนเกษตรกรรม แล้วอยู่ๆ จะใช้มาตรา 44 มา
ยกเลิกผังเมือง แล้วเอาโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่มาที่น่ีจึงไม่ได้ มันต้องทารายงานผลกระทบด้าน
สิ่งแวดลอ้ ม (EIA) ต้องทาการประเมินผลกระทบด้านสงั คม (SIA) อีกเยอะ แล้วขยะที่เอามาเผาคือวัน
ละ 500 ตัน แต่ที่น่ี (แม่ทา) มีขยะแค่ 2 ตันต่อวัน เราสารวจข้อมูลจังหวัดก็มีขยะวันละ 52 ตัน แล้ว
อีก 400 กว่าตันคุณไปเอาที่ไหนมา แสดงว่าไม่ใช่แค่ของลาพูนแล้ว คุณจะใช้นโยบายว่าเพื่อเป็นการ
จัดการขยะในจังหวัดลาพนู ไมไ่ ด้

เราไปคยุ กบั ผู้เช่ียวชาญวศิ วกร เขาบอกว่า 9.9 เมก ขยะ 500 กว่าตัน ยังไม่พอ ต้องเอาถ่าน
หนิ เข้ามาเพ่มิ แลว้ เรามีแม่เมาะอยู่ คอื ในหลายประเทศอาจจะทาได้ แตป่ ระเทศเรามันเป็นธรุ กจิ สเี ทา
เม่ือไหร่ท่ีการบารุงรักษาร่ัว การเปล่ียนอะไหล่ต้นทุนสูงมาก ตอนนั้นไปประชุมกับเชียงรากใหญ่ที่
ธรรมศาสตร์ อาจารย์ที่ปรึกษาท่ีโรงไฟฟ้าตรงที่หาดใหญ่หรือภูเก็ต เขาบอกว่าการซ่อมบารุงสูงมาก
ในทางธุรกิจไม่คุ้มค่าเลย หลายคร้ังท่ีมีข่าวไม่ได้ซ่อมบารุงตามระยะ น่ันหมายความว่า สารเคมีรั่ว
ผลกระทบ 100 เปอรเ์ ซน็ ต์ ประเทศไทยไม่ไดม้ กี ารจดั การต้นทางต้ังแต่ครวั เรือนเหมือนประเทศญปี่ นุ่

นี่เป็นข้อมูลบางส่วนที่เราต้องไปหามา แล้วให้ข้อมูลอยู่ในมือของชาวบ้านใหไ้ ด้ มันไม่ใช่เป็น
การสู้แบบกลัวผี แต่เป็นการสู้บนข้อมูล พอข้อมูลโผล่ รีบพับโครงการไปเลย รอบ 2 กลับมาจึงจบได้
เร็วมาก

พฤติพร จนิ า
ผู้ประสานงานเครือข่ายนเิ วศนล์ ่มุ นา้ แมท่ า

โครงการที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะรอบที่ 2 กลับมาอีกคร้ังในช่วงปลายปี พ.ศ 2564 ในครั้งนี้เครือข่ายฯ เปิด
โอกาสให้เยาวชนลุ่มน้าทาเป็นพลังในการขับเคล่ือน พร้อมเสนอข้อมูลท่ีอัดแน่น รอบนี้จึงจบลงด้วยระยะเวลาเพียงเดือน
กวา่

“ไม่ได้ไปปะทะกับเทศบาล แต่ไปยื่นข้อมูลกับกา้ วไกล ก็ได้แลกเปลี่ยนกบั คุณพธิ า (ลิ้มเจรญิ
รัตน์) เขาบอกว่าช่วงนี้เขาเดินสายในประเทศ ก็ข้ึนพร้อมกันหลายๆ พื้นที่ เพราะมันเป็นโค้งสุดท้าย
ของมาตรา 44 แต่ละพื้นท่ีสเปคหลวมหมดเลยเพราะว่าข้ึนแบบด่วนๆ มันทาให้เรารู้ว่าต้องมีข่าวจาก
ข้างในดว้ ย โรงไฟฟ้าแตล่ ะโรง ท่ีไหนขึ้นได้ ค่าบรหิ ารจดั การ 20 ลา้ นสาหรับรายยอ่ ย แตว่ ่าในระดับ

58

จังหวัดมากกว่านั้น คือ 20% ของการลงทุน 2 พันล้าน เรื่องพวกน้ีมหาศาล ทาให้เราเห็นว่าต้องเล่น
เชงิ นโยบาย

การท่ีจะทาให้ข้อมูลพวกน้ีเข้าไปอยู่ในใจเด็ก แล้วเด็กไปอยู่กับผู้ปกครอง ก็ต้องใช้
กระบวนการถ่ายทอด หญิงไม่ได้ยื่นเอกสารให้เด็ก แต่แค่ต้ังโจทย์ ถ้าพรุ่งนี้เราจะไปยื่นข้อมูลกับเขา
เราจะทาอย่างไรบ้าง ทาอย่างไรให้เขาเข้าใจว่า ที่น่ีมันไม่เหมาะ เด็กๆ ก็น่ังเขียนกันเอง หาข้อมูล ทา
แผนที่ แล้วไปนาเสนอด้วยกัน หญิงก็เรียนรู้ว่า การท่ีเด็กจะเข้าใจ คือเขาได้เป็นคนถ่ายทอดให้คนอื่น
ฟัง เด็กเราแน่นมากเลย แต่ก็มีการเซฟอยู่เหมือนกันว่า เราจะสูย้ ังไง เราอาจจะไม่ใช่เปิดหน้า แล้วไป
ลงถนน เหมือนปีแรก”

พฤตพิ ร จินา
ผปู้ ระสานงานเครอื ข่ายนเิ วศนล์ ่มุ น้าแมท่ า

กอ่ เกิดเครอื ขา่ ยนเิ วศนล์ ุม่ นา้ ทา

เมื่อโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะคร้ังแรกมีอันพับไป กลับกลายเป็นการจุดประกายความรู้สึกเป็นเจ้าของบ้าน
ข้ึนในใจทุกคน ให้รู้สกึ ใสใ่ จหวงแหนในถ่ินฐานทรัพยากรบา้ นเกิด จนเกิดเป็น “เครือข่ายนิเวศน์ลุม่ น้าแม่ทา” ที่ขับเคลื่อน
งานพฒั นาชมุ ชนในพ้ืนที่ ท้งั ดา้ นสิง่ แวดลอ้ ม สงั คม วฒั นธรรม และทรพั ยากรธรรมชาติในพ้นื ท่ี ท้งั นไี้ ดจ้ ดั ตง้ั ศนู ย์ประสาน
เครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้าทา เพื่อสร้างเครือข่ายการทางานร่วมกันในระยะยาว โดยมีพฤติพรและสามีคือวิษณุ ดวงปัน ทา
หน้าที่เป็นตัวกลางประสานงานกับทุกฝ่าย ทาฐานข้อมูล งานวิจัย และงานพัฒนาในพ้ืนท่ี ท้ังสองมปี ระสบการณ์ทางานใน
ภาคประชาสังคมจากการเคยเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคมสู่ชุมชนบ้านเกิดทางภาคเหนือของมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อ
สังคม (มอส.) และเปน็ บัณฑติ อาสาพฒั นาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“เครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้าแม่ทา ต้ังข้ึนหลังจากการต่อสู้เรื่องโรงไฟฟ้าขยะรอบแรก ตอนน้ัน
เราเห็นว่าไม่มีคน ไม่มีประเด็น เราจึงต้องค่อยๆ สร้าง เชื่อมร้อยคน เชื่อมร้อยประเด็น เพ่ือเป็นงาน
เย็น พอเกดิ เรื่องร้อนมนั จะจดุ ไม่ยากเลย เพราะมนั เรมิ่ ตน้ จากการท่ีทุกคนเปน็ เจา้ ของบา้ น แลว้ อยาก
ทาในบทบาทของตัวเอง”

“หญงิ วางเครือขา่ ยนิเวศน์ลุ่มน้าแมท่ าเปน็ โครงสร้างหลวมๆ คล้ายกบั การลงขนั ลงแขก งาน
หน้าหมู่ ไม่ได้มีภารกิจหรอื โครงสรา้ งของคนทางานชัดเจน คือวางตัวหญิงกบั พ่นี ุ (สามี-วิษณุ ดวงปัน)
เป็นคนอานวยความสะดวก กับท่ีนี่เป็นศูนย์ประสานงาน และมีฝ่ังของภาคประชาสังคมที่เขาทาเร่ือง
กองทุนไฟป่าหมอกควันทรัพยากรฯ มีกิจการเพื่อสงั คมแม่ทา หรือแม่ทา SE เป็นวิสาหกิจชุมชนท่ีทา
เร่ืองเศรษฐกิจชุมชน มีงานวิจัยงานพัฒนาต่างๆ เป็นเร่ืองการพัฒนาศักยภาพ มีงานเยาวชน งาน

59

อาสาสมัคร ศิลปวัฒนธรรมท่ีค่อยๆ โผล่มา แต่ละส่วนของความเป็นนิเวศน์ลุ่มน้าแม่ทา ทุกคนเป็น
เจา้ ภาพ ไม่ไดเ้ ปน็ องค์กรท่มี โี ครงสรา้ งของการจัดการท่แี ข็งตัว หลวมๆ แต่มีเนือ้ งาน มีภารกิจทกุ ปี”

พฤตพิ ร จนิ า
ผู้ประสานงานเครือข่ายนเิ วศนล์ มุ่ น้าแมท่ า

พฤติพรท้าหน้าท่ีบริหารประเด็น บริหารคน และกระจายทรัพยากรในการท้างานพัฒนาชุมชน ดูแลภาพรวมใน
การขับเคลื่อน มีการพูดคุยแลกเปล่ียนความคดิ เห็นผา่ นการประชุมเดือนละคร้ัง และมีช่องทางการสอ่ื สารทางเพจเฟซบ๊กุ
“เครือข่ายนเิ วศน์ล่มุ น้าแมท่ า”

“กระบวนการพัฒนาหรือสร้างความเข้าใจข้ึนพร้อมกันท้ังหมด แต่ในส่วนแนวคิดภาพรวม
ของพวกเราในการเคลื่อนงาน ทุกพื้นท่ีรู้ แต่ละคนก็จะได้ไปทาท่ีตัวเอง อย่างครูดอกไม้ก็จะออกมา
โทนน้ี ถ้าเจอก็ป้าพอก็จะอีกโทนหน่ึง เรื่องงานผ้า เจอลุงจันทร์ ป้าวา ก็เป็นโซนผู้สูงอายุเลย ชุมชน
รอบศนู ย์ แตล่ ะทกี่ จ็ ะมีคนละก้อนคนละชน้ิ งานเยาวชนก็ข้ึนอีกเร่อื งหนึง่ ”

พฤติพร จนิ า
ผู้ประสานงานเครือขา่ ยนิเวศนล์ ุ่มนา้ แมท่ า

วสิ าหกจิ ชุมชนแม่ทา SE ทางรอดของงานพฒั นาชมุ ชน

“กิจการเพ่ือสังคมแม่ทา หรือแม่ทา SE” เป็นอีกปีกการท้างานของเครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้าแม่ทาด้านเศรษฐกิจ
ชุมชน ถือเป็นทางเลือกและทางรอดใหม่ของคนทา้ งานพฒั นา พฤติพรมองว่าการอยู่รอดของงานด้านการพัฒนาชุมชนนั้น
จ้าเป็นต้องพ่ึงพาตนเองได้ในทางเศรษฐกิจท้ังในระดับครัวเรือนและชุมชน จึงจะเกิดการพัฒนาไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีอย่าง
ยั่งยืน โดยมีปรัชญาองค์กรที่ว่า“สืบสาน สร้างสรรค์นวัตกรรมชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนลุ่มน้าทา เชื่อมโยงภูมิ
ปญั ญาสูส่ ากล”

พฤติพรเรม่ิ จากการมองเหน็ ต้นทนุ ของชุมชนและปัญหาทีเ่ ผชิญอยู่ ทั้งการเป็นแหล่งอาหาร มีทรัพยากรธรรมชาติ
ที่เคยอุดมสมบูรณ์ ทว่ากลับแปรเปลี่ยนไปพร้อมกับวิถีชีวิตของผู้คนที่มีความหลากหลาย ท้ังทางชาติพันธุ์และช่องว่าง
ระหว่างวัย เรยี กว่าตา่ งคนตา่ งอยู่

“กล่มุ สมาชิกวิสาหกิจท่ีเป็นผู้สูงอายุบางคนยังตามเทคโนโลยีไม่ทัน ถูกท้ิงไว้ข้างหลัง 100%
เยอะมากเลย โดยเฉพาะชุมชนกะเหรี่ยง ยิ่งสถานการณ์โควิดมาย่ิงหนัก ช่วงสวัสดิการของรัฐ ขนมา
เป็นรถ มาต่อแถวที่ธนาคาร จนทุกวันน้ีหญิงไปธนาคารก็ยังมีพ่ีน้องท่ีเอา ATM ให้กดให้หน่อยอยู่ มี

60

บางคนยนื อยูห่ น้าตู้แลว้ มีบตั ร ATM เป็นปึก ชาวบา้ นต้องฝาก แล้วโดนหกั หวั ควิ อกี ต่างหาก ลูกหลาน
ไม่มีเวลาทาให้

ที่น่ีวัยกลางคนหลับใหล กลางวันเขานอนหลับ เพราะทางานกะกลางคืน บางทีทางาน
กลางวนั กลางคืนมาก็ต้องหลับ ไมม่ ีเวลา หยดุ แคว่ นั เดียวคือวนั อาทิตย์ แตเ่ ปน็ วนั ทเี่ ขายุ่งมากกบั การ
ซักผ้า ไปพักผ่อน เขาก็จะไม่มีเวลาสนใจเรื่องอ่ืนเลย เพราะฉะนั้นเขาถึงฝากลูกฝากหลานไว้กับ
โรงเรียน กม็ คี วามตามไมท่ ันเหมอื นกนั นะ เขาก็ตามไมท่ นั เหมือนกนั วา่ โลกมนั เป็นยงั ไง ช่วงโควดิ หนกั
เด็กไมไ่ ดไ้ ปโรงเรยี น พ่อแมท่ างาน แลว้ เวลาวา่ งเยอะ เล่นโซเชยี ลหนัก”

“วิสาหกจิ ชมุ ชนแมท่ า SE” (รักพนู พูน SE เดมิ ) ถูกกอ่ ตงั้ ขนึ้ เม่ือวนั ที่ 7 ธนั วาคม พ.ศ. 2560 มีแนวคดิ ท่ีคา้ นงึ ถงึ
การอยู่ร่วมกันในนิเวศน์วิถีอันใหม่ รวมถึงสังคมวัฒนธรรม ทรัพยากรส่ิงแวดล้อม และเศรษฐกิจชุมชน โดยขับเคล่ือน
การบูรณาการในระบบห่วงโซ่อาหาร (Integrated Food System) ท่ีคนปลูก คนกิน และสิ่งแวดล้อมเกื้อกูลกัน ผ่านการ
สร้างโมเดลธุรกิจพรอ้ มๆ กบั การแกป้ ญั หาสงั คม เพอ่ื รักษาสมดลุ ระหวา่ งความสมั พนั ธ์ของคนในชุมชน พฤตพิ รเร่ิมต้นจาก
คนกลมุ่ เล็กๆที่มีเจตนารมณค์ วามตงั้ ใจและความฝนั รว่ มกนั และค่อยๆ ขยายตวั ออกไปยังสมาชิกชาวบา้ นที่อย่รู ายรอบ

แม้จบการศึกษาทางด้านบริหารธุรกิจและมีประสบการณ์การท้างานด้านเกษตรอินทรีย์และธุรกิจเพื่อสงั คมก่อน
หน้านี้ รวมถึงการศึกษาดูงานยังพื้นท่ีต่างๆ ประกอบกับมีภาคีเครือข่ายและกลุ่มสมาชิกในชุมชนที่นับเป็นกัลยาณมิตรท่ี
เป็นแรงสนับสนุน พฤติพรยอมรับว่างานด้านกิจการเพ่ือสังคม SE ยังคงเป็นโจทย์ท่ียากและท้าทาย เป็นเร่ืองใหม่ท่ีต้อง
เปดิ รบั เรียนรู้ ปรบั ตัว อย่ตู ลอดเวลา ยงิ่ ช่วงแรกท่ีสมาชิกเป็นกลุ่มผ้ใู หญ่และสูงวัยในชุมชนใกลเ้ คยี ง

“หญิงได้ยินคาว่า SE ครั้งแรกตอนท่ีอยู่กรีนเนท (Green Net) ซ่ึงเป็นสหกรณ์และเป็น SE
ทากาแฟอินทรยี ์มีวนา ตอนนั้นเราเข้าใจว่าหลกั การและแนวคิดท่ีดีมาก คอื การทางานพัฒนาแบบเร็ว
และคล่องตัว SE ตอบโจทย์เร่ืองความอยู่รอดและเร่ืองงานพัฒนาสังคมด้วย แต่ด้วยความองคก์ รใหญ่
ทีม่ ีรายละเอยี ดเยอะ เราไม่เข้าใจรายละเอยี ดว่าจะทาอย่างไรใหไ้ ปถึงความเป็น SE จรงิ ๆ

ตอนนั้นเราได้แค่จุดประกายว่าทางเลือก ทางรอดของการทางานพัฒนาไปด้วย มันต้องทา
เรื่อง SE แต่พอกลับมาทาจริงๆ ไม่ง่ายเลย แม้แต่หญิงจบบริหารธุรกิจมา การทาธุรกิจก็ไม่ง่าย
เหมือนกัน ในมหาวิทยาลัยไม่มีในหลักสูตรจริงๆ ว่าทายังไงถึงจะสาเร็จ แต่ว่าเก็บได้ระหว่างทางจาก
กัลยาณมิตร อย่างรุ่นพี่บัณฑิตอาสาอายุ 60 กว่าแล้ว ตอนที่เปิดร้านแม่ทา SE ท่ีถนนซุปเปอร์ไฮเวย์
แกให้มาคาหนง่ึ แกบอกว่า อดทน สายปา่ นต้องยาว ต้องอยู่ใหย้ าว

หญิงไปเข้าโครงการต้นกล้าชุมชนของ SCG ก็ให้พิมพ์เขียวมาเหมือนกัน ได้ฟังตัวอย่าง
หลายๆ ท่ี ดูว่าเขาปรับตัวอยู่เสมอ แล้วก็มีการทาวิจัย การใช้เทคโนโลยีใหม่มาสารวจพฤติกรรม
ผบู้ ริโภค ซงึ่ เปน็ อะไรทเี่ ยอะมาก แล้วกลบั มาคุยเรือ่ งพวกนีก้ ับทมี ของเรา เกาหวั กันหมดเลย เปน็ เรอ่ื ง
ใหญ่ เพ่ือนๆ คนรุ่นใหม่หลายคนตอ่ ต้านเลย เพราะธุรกิจเกนิ ไป ก็ไม่รู้จะหาจดุ ลงตัวยังไง ลองผิดลอง

61

ถกู 3-4 ปี ลงขนั ครอบครวั ละหม่ืน ไปสรา้ งรา้ นอย่ซู เู ปอร์ไฮเวย์ หนกั เหมอื นกัน ถงึ แมว้ า่ เราจะมี SCG
มีเพื่อนๆ เครือข่าย มีรุ่นพี่ที่ค้าขายมาก่อน แต่มันก็ต้องลองผิดให้เยอะกว่านี้ การลองผิดลองถูกใน
งานธรุ กิจเปน็ เงนิ ตอ้ งใชเ้ งนิ เยอะพอสมควรทีจ่ ะลองผดิ ลองถูกไดห้ ลายๆ รอบ”

พฤติพร จนิ า
ผ้ปู ระสานงานเครอื ขา่ ยนเิ วศนล์ ุ่มนา้ แม่ทา

สมาชิกวิสาหกิจชุมชนร่วมกันลงขันกันเปิด “ร้านแม่ทา SE” บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ เพ่ือเป็นตัวกลางเช่ือมโยง
เกษตรกรกบั ผบู้ รโิ ภคให้ใกลช้ ดิ กันมากขนึ้ บูรณาการพ้ืนที่สุขภาพองค์รวม บนพ้ืนฐานการไมเ่ บียดเบยี น สร้างกลไกราคาที่
เปน็ ธรรมดว้ ยกนั ทุกฝา่ ย ทั้งยังสง่ เสรมิ การท้าหนา้ ทพี่ ลเมอื ง ในมติ เิ รือ่ งความรบั ผดิ ชอบ

“ตอนแรกหลายคนไม่เข้าใจว่าช่วยสงั คมยังไง เร่ิมต้นต้ังแต่แนวคดิ เราต้องมีเครือข่ายผู้ผลติ
เครอื ข่ายผู้แปรรูป เครือขา่ ยผปู้ ระกอบอาหาร แตข่ ณะเดยี วกันต้องฟงั ตลาดจากภายนอก

ร้านน้ีจึงเป็นส่วนใหญ่ในห่วงโซ่ ในการทากิจกรรมให้ถึงผู้บริโภค เช่ือมไปถึงแต่ละเครือข่าย
เอาของมาลง รบั ผลผลติ จากสมาชิกท่ีทาเกษตรอนิ ทรยี ์ อาหารตามฤดกู าล แม้แต่อาหารปา่ ท่ีชาวบ้าน
เก็บมาอยา่ งมีจติ สานกึ ไม่ไดเ้ กบ็ หมด เก็บทุกอย่าง ใสใ่ จทงั้ เรา คนกิน และสง่ิ แวดลอ้ ม”

พฤติพร จินา
ผูป้ ระสานงานเครือข่ายนเิ วศนล์ มุ่ น้าแม่ทา

นอกจากเร่ืองห่วงโซ่อาหารอย่างบูรณาการแล้ว วิสาหกิจชุมชนแม่ทา SE ยังจัดอบรมอาชีพให้อีกด้วย เพื่อ
แก้ปญั หาความไม่มั่นคงทางด้านอาชีพ ในดา้ นการเกษตร ผลผลติ ลา้ ไยทไี่ ดร้ ับผลกระทบกับจากโรคโควิด-19 ทา้ ใหส้ ่งออก
ไปต่างประเทศอย่างจีนไม่ได้ งานหัตถกรรมในชุมชนที่เคยเป็นรายได้หลัก (รับจ้างงานไม้แกะสลัก) ปัจจุบันแทบไม่มีงาน
เลย รวมถึงอาชีพของวยั แรงงาน อายรุ ะหว่าง 30-45 ปที ีส่ ่วนใหญ่ทา้ งานในนคิ มอุตสาหกรรมลา้ พูน เริ่มมแี นวโน้มความไม่
มัน่ คงจากขา่ วอาจมกี ารปดิ โรงงาน

วิสาหกิจชุมชนแม่ทา SE จึงประสานความร่วมมือกับ 3 ชุมชนใกล้เคียง ได้แก่ 1) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าทอ
กะเหรี่ยงแม่ขนาด 2) กลุ่มวิสาหกิจวิถีมอญหนองดู่ 3) กลุ่มสวนอินทรีย์ฟ้ารักษ์ดิน เพ่ือฝึกอบรมอาชีพตามความสนใจ
ให้กับกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) เหล่าสตรีกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ 2) ผู้สูงอายุ 3) เกษตรกรในชุมชน 4) คนุร่น
ใหม่ ทั้งหมดจ้านวน 60 คน มีแนวทางการพัฒนาอาชีพ 4 หลักสตู ร ได้แก่ 1) การพัฒนาทักษะการท้าผา้ ทอกะเหรี่ยง 2)
การพัฒนาทักษะอาชีพที่เหมาะกับผู้สูงอายุซึ่งสัมพันธ์กับวิถีมอญ 3) การพัฒนาทักษะอาชีพที่เหมาะกับเกษตรกรซึ่ง
สมั พันธก์ บั วถิ ีลุ่มนา้ 4) การทักษะด้านการเป็นผู้ประกอบการเพอ่ื สังคมรุ่นใหม่

วิสาหกิจชุมชนแม่ทา SE ยังท้าหน้าที่ท้าการตลาดให้กบั กลมุ่ วิสาหกิจชุมชนใกล้เคยี งอีกด้วย เช่น ผา้ ทอของกลุม่
วิสาหกิจผ้าทอกะเหร่ียงแม่ขนาด สมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและเป็นผู้หญิงมีรายได้เฉล่ียประมาณ 3,000 บาท การมี
รายได้เพ่ิมขึ้นจากงานทอผา้ ท้าให้คนในชุมชนเริ่มสนใจ เห็นคุณคา่ และรื้อฟื้นภมู ิปัญญาแห่งผ้าทอ ผูส้ ูงอายุมีศักยภาพใน

62

การดูแลตนเอง โดยที่ไม่หวังพึ่งรัฐเพยี งอย่างเดยี ว นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑอ์ าหารมอญและสมุนไพรของกล่มุ วิสาหกิจวถิ ี
มอญหนองดู่ ที่ช่วยสร้างอาชีพให้ผูส้ ูงอายุสามารถพ่ึงตนเองและเกิดความภมู ิในในตนเอง เป็นการช่วยแก้ภาวะซึมเศร้าใน
คนสูงอายุอีกทางหน่ึง โดยมีเยาวชนคนรุ่นใหม่ใช้ทักษะที่ตนถนัดช่วยงานพัฒนาชุมชน เช่น การใช้สื่อ การท้าข้อมูล การ
ออกแบบโลโก้และบรรจุภัณฑ์ การน้าเสนอส่สู าธารณชน เปน็ ตน้

การทา้ งานแบบมีสว่ นร่วมตามทแ่ี ต่ละคน แตล่ ะพื้นที่ มคี วามถนัดและความสนใจ ทา่ มกลางความหลากหลายบน
วิถีแห่งอัตลักษณ์ชาติพันธ์ุ เป็นการสร้างสรรค์งานท่ีมิได้สร้างเพียงมูลค่า แต่ยังสร้างคุณค่า ภายใต้การค้านึงถึงฐาน
ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และวิถีชีวิต เช่นการให้นิยาม “เศรษฐกิจชุมชนบนฐานนิเวศน์ลุ่มน้าทา” ร่วมกันน่ันคอื
เศรษฐกิจทผ่ี กู โยงกับการผลิตท่มี ีฐานของทรพั ยากร วฒั นธรรม ภูมปิ ญั ญาชมุ ชน ในบรบิ ทของลุ่มน้าแมท่ า

วันน้ีการด้าเนินกิจการเพ่ือสังคมของวิสาหกิจชุมชนแม่ทา SE ย่างเข้าสปู่ ีท่ี 5 จากสมาชิกที่มีเพียงไม่ก่ีคน ค่อยๆ
เชื่อมร้อยคน เชื่อมร้อยพ้ืนท่ี เช่ือมร้อยประเด็นเข้าด้วยกัน จนมีเครือข่ายสมาชิกร่วมแปดสิบกว่าคน บนพ้ืนฐานการอยู่
ร่วมกันบนความแตกตา่ งหลากหลาย งานพัฒนาชมุ ชนและคนทถ่ี ือเป็นทรัพยากรท่ีสา้ คญั

กระบวนการทางานพัฒนาชุมชนอยา่ งมสี ่วนร่วม

กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) โดยนักวิจัยท่ีเป็น
ชาวบ้านในชุมชน เป็นจุดเร่ิมต้นท่ีท้าให้สมาชิกเครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้าแม่ทาได้เข้าใจตนเองผ่านการท้ากิจกรรมตามความ
สนใจ การแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นและความรู้สกึ นึกคดิ มีการถอดบทเรียนเป็นระยะ ท่ามกลางบรรยากาศท่ีเอ้ือให้ทกุ คน
ได้พัฒนาศักยภาพตนเอง ควบคู่กับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาชุมชนอย่างมีส่วนร่วม น้าไปสู่การค้นหาบทบาทใหม่ในการเป็น
ผูส้ นบั สนุนงานพฒั นาชุมชนท่ไี มใ่ ช่ชมุ ชนของเราเพยี งคนเดยี ว

“จุดเปลี่ยนสาคัญคือการกลับบ้านรอบนี้เข้าปีท่ี 8 ได้ลองผิดลองถูกเยอะมาก หญิงทา
โครงการวิจัยครั้งแรกล้มเหลว เร่ืองรูปแบบชีวิตวิถีทางเลือกและการพ่ึงตนเอง เพ่ือความยั่งยืนของ
เกษตรกรรุ่นใหม่ในจังหวัดลาพูน เพื่อนๆ หลายส่วนมากแต่แตกกันหมดเลย เพราะตอนน้ันยังไม่รู้จัก
เร่ืองกระบวนการมีส่วนร่วม เรายังทาบนพ้ืนฐานของการเป็นหัวหน้าโครงการ เราเจ้าระเบียบมาก
จรงิ จัง แล้วกด็ ุดัน มพี ลังเยอะ”

พฤติพร จนิ า
ผู้ประสานงานเครือข่ายนเิ วศนล์ ุ่มนา้ แม่ทา

ศูนย์ประสานงานเครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้าทาช่วง 3 ปีแรก ท้าโครงการวิจัยบนโจทย์จากภายนอกชุมชน จนมูลนิธิ
อาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) แนะน้าให้รู้จักกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) ขององค์กรอาสาสมัคร
จากองั กฤษ (Voluntary Service Overseas: VSO) ช่วยจุดประกายใหพ้ ฤติพรเกดิ การเรยี นรู้และเข้าใจความผิดพลาดใน
การท้างานพัฒนาในอดตี และนา้ เคร่อื งมอื มาทดลองใช้กบั งานวสิ าหกจิ ชมุ ชนแม่ทา SE

63

“ตอนนั้นหญิงกาลังอกหักจากงานวิจัยท้องถ่ิน ท่ีว่าวิจัยแล้วแตกกัน ไม่โอเค แล้วเฟลมาก
หญิงกบั พี่นไุ ปอบรมเครื่องมือกระบวนการมสี ่วนรว่ มในงานวิจยั ท่กี รงุ เทพฯ วันนน้ั เข้าใจมากแสงสว่าง
สอ่ งวาบ รเู้ ลยว่าลม้ เหลวเพราะอะไร เพราะงานเก่าไมม่ ีกระบวนการมสี ่วนร่วม ทาให้เราเหนอ่ื ยอยคู่ น
เดียว แต่ถ้าใช้กระบวนการมีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่เราคิดเองทาเองรับผิดชอบเองเลยทั้งหมด แต่ว่า
กระบวนการมีส่วนรว่ มมนั ข้ึนเปน็ ดอกเห็ดพรอ้ มกนั ทั้งหมดื แลว้ มันเกิดพลงั ทวคี ณู ด้วยซา้

ตอนนั้นลองนาทฤษฎมี าใช้ในชมุ ชน จดั เตม็ 1 ปี นอกจากการใชก้ ระบวนการ มีถอดบทเรยี น
ทุกระยะ อาสาสมัครที่มาชื่อ สเตฟี่ เป็นคนที่เก่งมาก ทาอยู่ฝั่งแอฟริกา มาช่วยการทากระบวนการ
ถอดให้ หญิงกับพี่นุทางานหนักมากเพราะว่าต้องแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาเหนือ แปลเป็น
ภาษาไทย แลว้ แปลจากภาษาไทยเป็นภาษาเหนอื เพราะว่าคยุ กบั ชาวบา้ นจรงิ ๆ

กลมุ่ แม่ๆ มาน่ังเต็มหอ้ งประชุม เร่ิมต้ังแต่ใหช้ าวบ้านส่งตัวแทนมาวา่ ใครจะเป็นนักวิจยั มีทั้ง
อาสาสมัคร ชาวบ้านเรม่ิ ตั้งแตพ่ ูดคุยกัน อยากรู้วา่ ตอนน้ีบ้านเราอันไหนปลอดภัย อันไหนไมป่ ลอดภัย
อยากรเู้ รือ่ งอะไร กาหนดโจทยว์ จิ ยั

ชัดเจนมากเลย เห็นว่ามันสนุก แล้วไม่เหน่ือย ผลออกมาเป็นยังไง ก็คอื ผลที่แท้จริงท่ีออกมา
ตอนน้ัน ก็เลยทาให้เห็นเลยว่ากระบวนการมีส่วนร่วม เป็นส่ิงที่เราขาด แล้วมันควรจะหยิบเร่ือง
แนวคิดของการมีส่วนร่วมไปใช้ในทุกๆ เร่ือง แล้วมันจะทาให้ชุมชนไม่ใช่เป็นชุมชนของเราคนเดียว
ไม่ใชว่ า่ วันนเ้ี รารบั งานทกุ อย่างจบ ทกุ อย่างเคลอ่ื นไปตามวธิ ชี วี ิตเขา ไมใ่ ช่เคล่อื นตามโครงการ

ลักษณะของการเขียนโครงการต้ังแต่วันนั้นจนถึงวันน้ีเปล่ียนไป เราเขียนโครงการเอง แล้ว
เป็นโครงการท่ีสดใหม่ แล้วก็ใกลเ้ คียงกับความเป็นจริง เป็นจุดท่ีทาให้เราทางานสนุกขึ้น หญิงรู้สกึ ว่า
แหลง่ ทุนเขาสนุกกบั การตามด้วยว่ามันจะเปน็ ยงั ไง”

พฤติพร จินา
ผูป้ ระสานงานเครือขา่ ยนเิ วศนล์ มุ่ น้าแม่ทา

เม่ือใช้เครื่องมือกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) ในงานวิสาหกิจชุมชนแม่ทา SE ประสบ
ความส้าเร็จ พฤติพรจึงเร่มิ ใช้เคร่ืองมือดังกล่าวในงานพฒั นาเด็กและเยาวชน ร่วมกับการใช้เครอ่ื งมือเสยี งเยาวชน (Voice
of Youth: VOY) เพ่ือสร้างพ้ืนท่ีปลอดภัยให้เด็กและเยาวชนกล้าแสดงความคิดความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ท้าให้เกิด
ประเดน็ ร่วมทม่ี าจากความต้องการของเยาวชนจริงๆ โดยมผี ู้ใหญท่ ้าหน้าที่พี่เล้ียงคอยรบั ฟังและสนบั สนุน โครงการดา้ เนิน
ตอ่ เนือ่ ง 3 ปี โดยมกี ารสรปุ ทุกปีให้เห็นพัฒนาการและมีการเปลย่ี นแผนทุก 3 เดือนให้มีความสดใหม่ไปกับงานพฒั นา

“เราทางานผู้ใหญ่มา 3 ปีถึงเร่ิมคิดที่จะทางานกับเด็ก เพราะเห็นช่องว่างว่ามันขาดกัน เด็ก
ไม่ร้วู า่ ผู้ใหญท่ าอะไร เด็กห่างไปเร่อื ยๆ เราจงึ ต้องทางานกบั เด็กควบคู่ไปดว้ ย

64

ตอนแรกเราไม่ถนัดงานเยาวชนเลย แต่ว่าเราคิดว่าเครือ่ งมือ PAR กับเคร่ืองมือเสียงเยาวชน
เป็นหัวใจหลักในการเดิน แล้วมันชัดเจนมากกว่า แค่เราเงียบแล้วฟังเสียงเขา เราจะรู้ว่าเด็กไปถึงไหน
ถึงจะออกแบบกระบวนการใหม้ ันสอดคล้องกับเขาได้จรงิ ๆ

บทบาทของเยาวชน เราไม่ได้ดูว่าเขาเป็นเด็ก แต่เราดูว่าเขาพร้อมท่ีจะเป็นคนที่ทางาน
ร่วมกับเรา เดินเคียงข้างไปได้ ช่วงแรกๆ สาคัญมากคือการฟังเสียงเขา เด็กทุกคนมีเสียง หรือตัวของ
ตัวเองอยู่ข้างในอยู่แล้ว แต่ท่ีผ่านมาเขาไม่มีโอกาสที่จะสยายปีก หรือว่ามีบ้างแต่ว่าโดนบล็อค ที่นี่ก็
เลยเป็นพืน้ ที่ปลอดภยั ฟังเสยี ง ลองผิดลองถกู แล้วกห็ นุนเสรมิ

เมื่อไหร่ท่ีเขากางปีกชัดเจน หัวข้อจะมาเอง แล้วไม่ใช่ทางานแค่กับเด็ก ต้องสาวไปถึง
ครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นด่านแรกของทั้งการสนับสนุนและอุปสรรคขัดขวาง เป็นหน่วยที่
ใกลช้ ดิ กับเด็กทส่ี ุด เป็นส่วนเดียวกัน เรากต็ ้องทางานควบคู่กันไป

เสียงของเยาวชนลุ่มน้าแม่ทาอยู่ในโทนเร่ืองอาหารการกิน เรื่องพลเมือง การทาหน้าที่
พลเมือง การแย่งชิงทรัพยากร เราลองเคร่ืองมือว่าถ้าฟังเสียงเยาวชน แล้วเราลองทางานพัฒนาที่ไป
ไดก้ บั เขา หญงิ ว่ามันออกมาดมี าก โครงการเยาวชนไม่ได้แคช่ ้ันเดยี ว มีกลไกพี่เลย้ี งอกี การดึงพระเณร
เข้ามามีสว่ นร่วมเครอื ข่ายเยาวชนล่มุ น้าทา โดยมีประธานเครือขา่ ยเป็นเณร หลงั จากเข้ากระบวนการ
มาสองปี ก็แพรวพราวมาก

หลังจากนั้นถึงสร้างเมล็ดพันธ์ุในเรื่องของงานอาสา งานอนุรักษ์กับสังคม ซ่ึงเร่ืองพวกนี้มัน
เป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของพลเมือง เราใช้คาว่าทาหน้าท่ีพลเมือง เราไม่ได้คาดหวังให้เด็กเปล่ียนโลก
แต่เด็กบางคนเปลี่ยนโลกได้ เราก็คุยกับจินตนาการใหม่ อยากให้สังคมดี เรามาคุยเร่ืองความฝันของ
เรา ความฝันของทุกคนรวมกันเป็นภาพเดียวกันของลุ่มน้าแม่ทา เราไม่ได้ทาเพ่ือใคร แต่ว่าเราเพื่อ
ความฝนั ของพวกเราไปด้วยกนั ”

พฤติพร จนิ า
ผูป้ ระสานงานเครอื ขา่ ยนเิ วศนล์ ุ่มนา้ แมท่ า

พฤติพรเชื่อมันในศักยภาพของคนรุ่นใหม่ และให้ความส้าคัญกับการสร้างการะบวนการเรียนรู้ และเปิดพ้ืนท่ีให้
เด็กแต่ละคนเป็นตัวของตัวเอง ให้โอกาสในการท้างานพัฒนาชุมชนตามความถนัดและความสนใจ เช่น ช่วยเป็นทีมงาน
เป็นกองเลขา ท้างานสื่อ งานพมิ พ์เอกสาร งานบรหิ ารจดั การ ซงึ่ ปราฏวา่ พวกเขาสามารถทา้ ได้อยา่ งดีด้วย

เด็กหลายคนมีพรสวรรค์ แต่ไม่มีโอกาส ไม่มีทางเลือกให้เขาเลือกได้หลายๆ จุด ก็เสียเลย
เหมือนกัน หลุดไปยุ่งกับยาเสพติดก็จบเลย ในหมู่บ้านก็ยาเสพติดระบาดมาก หลายคนไม่เรียนต่อ ยัง
ไม่จบ ม.3 ด้วยซ้า ก็เลือกเรียน กศน. เป็นเด็กนอกระบบ ความจริงไม่ใช่เด็กดื้อ น่าเป็นห่วง โรงเรียน

65

ตามเด็กไม่ทัน สภาเด็กตามเด็กไม่ทัน งานพัฒนามันตามไม่ทันแล้ว เสียดาย ถ้าเราเจอเด็กกลุ่มน้ีช้า
มันกเ็ สยี ไปเลย

เด็กมีแรงเยอะ เด๋ียวนี้ก้าวกระโดดเพราะโซเชียลไปไกล ไม่คิดว่าบ้านทาที่ไกลขนาดน้ี เด็ก
สนใจเรอ่ื งสวัสดกิ าร เร่อื ง gender เรื่อง No Bra เร่ืองพวกเน้ียมันถึงเดก็ เราหมดแล้ว ไมใ่ ช่วา่ ไม่มี

ย้อนกลับไปดูในโรงเรียน สภาเด็ก กลไกที่ทางานกับเด็กและเยาวชน ตามเด็กไม่ทัน เรื่อง
พวกนี้คือ มันไปโตในเมือง แต่ชนบทเข้าไม่ถึง เด็กเข้าถึงหมดแล้ว แต่กระบวนการทางานเยาวชนใน
พื้นท่ียังไม่ไป ผู้ใหญ่ยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาไม่ได้เข้าไปดูในคลับเฮ้าส์ ไม่ได้เข้า
ไปดูในทวิตเตอร์ ไมไ่ ดไ้ ปดูว่าเดก็ ไปไกลมาก

พฤตพิ ร จนิ า
ผ้ปู ระสานงานเครอื ขา่ ยนเิ วศนล์ ุ่มนา้ แม่ทา

พฤติพรเชอื่ ว่ากระบวนการเรียนรู้จะชว่ ยเปิดความคดิ ใหม่ให้กบั ตัวเองและเยาวชน การเรียนรูจ้ ึงไม่ไดจ้ า้ กัดอยแู่ ต่
ในห้องเรียน แต่ทุกสิ่งรอบตัวกลายเป็นจุดเร่ิมต้นของการเรียนรู้ได้หมด ซึ่งเกิดจากการสัมผัสประสบการณ์ตรง มี
กระบวนการพูดคยุ แลกเปลี่ยนความคดิ เห็น รวมทงั้ ต้ังคา้ ถามและหาคา้ ตอบร่วมกัน

“หญิงมีความเชื่ออีกเร่ืองของการเปิดประสบการณ์ใหม่ มันช่วยเปล่ียนเรา การเปิดมายด์
เซ็ทสาคัญมาก หญิงมีกระบวนการใหเ้ ดก็ ไปซึมซบั หลายๆที่ ให้เขาไดเ้ ห็นในมมุ ที่มันตา่ งไป มันคอื การ
เปิดมายด์เซ็ททั้งจิตวิญญาณ และมโนทัศน์ นอกเหนือจากการไปเที่ยวแบบผิวเผนิ เหมือนตอนท่ี อส.
คืนถิ่นพาไปดูงาน พาไปนั่งกนิ อาหารในรา้ นโอ้กะจู๋ ราคาแพง คือเด็กๆ อยู่ในโครงการปลกู สลัด แต่ไม่
รู้ว่ามันไปเสิร์ฟบนจานแล้วราคาแพง แต่ละคนไปน่ังดู แล้วบอกว่าอันนี้บ้านผมก็มี เห็นเมนู จานละก่ี
ร้อย มันทาให้เขามีความฮึกเหิมว่าเขาต้องไปให้สุด แล้วเด็กเขาจะไปไกลกว่าอีก เพราะผ่านการลอง
การเห็น การสัมผัส ทุกคร้ังในการที่ไปเข้ากระบวนการ หรือไปข้างนอก ต้องมีกระบวนการ ถ้า
ไม่อยา่ งน้นั มนั ไมเ่ หน็ อะไร

ตอนนี้เป็นโอกาสของงานพัฒนา ตั้งแต่โควิดเข้ามา โครงสร้างสังคมล่มสลาย ท้ังความเช่ือ
เรอ่ื งการศึกษา ท้ังความเชอื่ เร่อื งสงั คม ล่มหมดเลย ผปู้ กครองเปล่ียนค่านยิ มใหม่ จากที่ผลักดันให้เด็ก
ออกไปทางาน ตอนน้ีเด็กๆ หลายคน ตกงานกลับมาอยู่บ้านกันหมด เขาเปล่ียนกันใหม่ว่ามันต้อง
ลงทุนกบั การขายท่ี ขายววั ควาย สง่ ลูกเรียนอยไู่ หม แล้วมนั ตอ้ งทาอะไร อย่างไร

เร่ืองเหล่าน้ีเป็นหน้าท่ีของเราที่ต้องทากระบวนการให้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้ว
กระบวนการในการสร้างสังคมใหม่ซ่ึงเร่ิมจากตัวเยาวชนสาคัญท่ีสุด เพราะอีกไม่ก่ีปีพวกเขาต้องเป็น

66

คนหลกั ในสังคม การออกแบบสงั คม เขาจะรอถงึ ตอนนนั้ หรือเขาจะเร่มิ ทาได้ตง้ั แตต่ อนนี้ ตอ้ งหยบิ ให้
เห็นปรากฏการณท์ างสงั คมแลว้ มันจะเปลย่ี นได้”

พฤตพิ ร จินา
ผ้ปู ระสานงานเครือข่ายนเิ วศนล์ ่มุ น้าแมท่ า

คณุ สมบัตินกั ขับเคลอ่ื นงานในชมุ ชน

ความฝนั ของคนวัยท้างานหลายคนคอื การได้กลบั ไปหย่ังรากท่ีบ้าน แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถด้ารงชีวิตอยู่ได้ ย่ิง
การจากไปนานหลายปีเพ่ือศึกษาต่อหรือหางานท้าต่างพื้นท่ี ท้ังต้องอยู่ให้รอดและอยู่ร่วมกับชุมชน จากประสบการณ์การ
กลับบ้าน ท้างานพัฒนา ขับเคลื่อนและเชื่อมโยงกับผู้คนในชุมชน พฤติพรสะท้อนผ่านมุมมองและประสบการณ์ตรงถึง
คุณสมบัติและปัจจัยส้าคัญส้าหรับผู้ต้องการกลับมาหยั่งรากและท้างานกับชุมชน ได้แก่ การตัดสินใจเลือก ความสมดุล
การเรยี นรู้แบบไม่จบส้ิน การเข้าใจ และความยดื หยุ่น

“อันดับแรก คือการตัดสินใจเลือก ต้องตัดสินใจและเลือกแล้วว่าไปเส้นทางน้ี เม่ือไรท่ีเรา
ตัดสนิ ใจ เรายินยอมที่จะเรยี นรู้ ลองผดิ ลองถูก และจะมีแรงในการลุกข้นึ ใหม่ การท่ีเราเลือกว่าเราจะ
กลับบ้าน จะปักหลักอยู่ชุมชน จะทางานสายนี้ เชื่อมโยงกันกับการต้ังคาถามในตัวเองเหมือนกันว่า
เราเกดิ มาทาไม เรามีภารกิจอะไร อนั นค้ี อื ความชดั เจนในตัวและจติ วญิ ญาณ

“สอง คือความสมดุล ระหว่างการอยู่รอดกับงานสังคม ถ้างานสังคมไปสูงมากแต่ความอยู่
รอดไม่ได้เลย บางคร้ังก็อ่อนแรงจบชีวติ ไปง่ายๆ พี่นักพัฒนาหลายคนไม่จัดสมดุลตรงนี้ บางคนหกสบิ
กว่า ยังขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามจังหวัด ยังอยู่บ้านพัก ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ความสมดุลเป็นเร่ืองสาคัญ
ความสมดุลในที่นี้ รวมถึงครอบครัว คู่ชีวิต และกัลยาณมิตรท้ังหลาย ท่ีช่วยให้เราสร้างสมดุลชีวิตได้
เมือ่ เจออปุ สรรคก็ยังจะสูอ้ ยู่ อย่ไู ด้สบาย กายกับใจตอ้ งสมั พันธ์กัน ถึงแมเ้ ราอกหกั หรือผิดหวังจากงาน
สังคม แต่กายยังอยู่ได้ เราก็ยังสู้ ในขณะเดียวกันท่ีงานสังคมเราชัดเจนมาก แต่กายเราอยู่รอดไม่ได้
มันก็ยังหล่อเล้ียงกันและกัน เราจึงต้องเอาแนวคิดเรื่อง SE เข้ามา แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจชุมชน หรือ
อะไรท่ีทาใหอ้ ยู่รอด เพราะนน่ั คอื ความสมดุล

“สาม คือการเรียนรู้แบบไม่จบสิ้น สิ่งนี้ช่วยให้การทางานพัฒนาง่ายขึ้น เพราะโลกเปลี่ยน
สถานการณ์เปล่ียน ชุมชนเปลย่ี น แม้แต่การทางานเด็ก เมื่อเมลด็ พันธ์ุย้ายถ่ิน ต้องสร้างรุ่นใหม่ข้ึนมา
อีก รุ่นใหม่ก็อาจไม่เหมือนเดิม การเรียนรู้จึงสาคัญมากว่า เราต้องทันต่อเหตุการณ์ งานพัฒนาก็ต้อง
ทัน จติ ใจเราต้องทนั ยดื หยุน่ ทันต่อเหตกุ ารณ์ ทง้ั หมดทงั้ มวลต้องอาศัยการเรยี นรู้ ทกุ วันน้หี ญิงกับพีน่ ุ
ยังตน่ื ตี 5 มาอ่านหนงั สอื ดูน่นั ดนู ี่ เพราะวา่ เราต้องเรยี นรอู้ ยูเ่ สมอ

67

“ส่ี คอื การเข้าใจ การเขา้ ใจทาใหเ้ ราดารงอยไู่ ด้ ทง้ั ภายในและภายนอก กบั หลายเหตุปจั จัย
ทเ่ี ข้ามา เหมอื นท่ที ากิจกรรมกับเด็ก เห็นดว้ ยเพราะอะไร ไม่เห็นดว้ ยเพราะอะไร บางคร้งั พลังบวกทา
ให้เราหลง การตดิ ลบก็ทาให้เราดาวน์ มองโลกในแงด่ ีแลว้ กม็ องโลกในแง่รา้ ย ไม่มีผดิ ไมม่ ถี ูก แต่วา่ ใหร้ ู้
เหตุและผลของมัน เหตุผลในวันนี้กับเหตุผลในวันข้างหน้า อาจจะต่าง มีปัจจัยเรื่องของเวลาเข้ามา
ด้วย บนพื้นฐานของชีวิตจริง การอยู่ร่วมกันหรือว่าสันติสุข ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่ความเข้าใจ อยู่ท่ีเรา
ด้วย เข้าใจตัวเอง เข้าใจปัญหาสังคม อันน้ีเป็นตัวภูมิคุ้มกันในการทางาน เพราะยิ่งทางานสังคม ย่ิง
เจอคนเยอะ ปญั หาเยอะ ส่งิ ทีเ่ ขา้ มากระทบเยอะ

“สุดท้าย คือยืดหยุ่น ทาให้เราลดความคาดหวังในตัวเอง ความคาดหวังต่อสังคม เพราะ
ส่วนใหญ่ นกั พฒั นาโดยเฉพาะคนร่นุ ใหม่ มักมีภาพฝันหรอื ภาพจินตนาการท่ีสวยงามมา แตพ่ อผิดหวัง
ก็เป็นอุปสรรคให้หลายคนไม่ไปต่อ การยืดหยุ่นและเข้าใจทาให้เราไปได้เรื่อยๆ หญิงโชคดีท่ีคู่ชีวิตมี
อุดมการณ์เดียวกัน มีแผนเดียวกัน เลยเป็นพลังบวกเสริมกันไป เป็นหยินหยางกันด้วย บางครั้งคน
หนง่ึ หมด อีกคนมีไฟ ไปดว้ ยกนั ”

พฤติพร จนิ า
ผูป้ ระสานงานเครอื ขา่ ยนเิ วศนล์ ุ่มน้าแมท่ า

งานพัฒนาทีเ่ คลอ่ื นจากภายใน

นอกจากการพัฒนาสังคมภายนอกแล้ว พฤติพรยงั ให้ความสา้ คญั กับการพัฒนาดา้ นในไปพรอ้ มกนั และได้น้าส่งิ ท่ี
ได้เรียนรู้จากการปฏบิ ัติภาวนามาปรบั ใช้ในการท้างานพัฒนาชุมชน ท้าให้รักษาสมดุลทั้งร่างกายจิตใจและสามารถทา้ งาน
พฒั นาชุมชนได้อย่างต่อเนื่องยาวนานและมีพลัง

“เราไปเข้าคอร์สหลวงพ่อดิเรก คอื สายหลวงพ่อเทียนทาสมาธิแบบเคลื่อนไหว เราเดินก็เดิน
เร็ว ทาสักแป๊บนึงหลับ จนหลวงพ่อมานั่งทาความเข้าใจด้วยว่า การที่เราเคลื่อนอยู่ตลอด หรือรู้กับ
ปัจจุบันกบั การเคล่ือนไหวมนั มพี ลงั แตไ่ มใ่ ช่พลงั แบบมา้ ตนี ตน้ แต่เปน็ พลงั ทค่ี ่อยๆ ไปแบบยาวๆ

คนรุ่นใหม่ท่ีทางานพัฒนา หลายคนเจอปัญหาและอุปสรรค หลายคนท้อไป เบนพับไป ด้วย
ที่ว่าไม่มีไม่มีพลังยาว มันวูบวาบ เมื่อก่อนน้ีหญิงก็เป็น เดี๋ยวน้ีก็ยังเป็นอยู่ แต่ว่าอาจจะเป็นน้อยลง ก็
คือการการทางานพฒั นาท่ีค่อยๆ เห็น ค่อยๆ ไป คอ่ ยๆ เป็น ค่อยไป มันยาวแล้วมีแรงเยอะด้วย น่ีคอื
หลกั การ

เราทาแล้วเรารปู้ จั จุบัน เราเหน็ และเข้าใจมนั แล้วก็มนั กเ็ หมือนกับการปฏิบตั ิธรรม ทาให้เรา
ทางานได้ดีขนึ้ มีประสทิ ธภิ าพมากขน้ึ ยาวมากข้ึน แล้วก็จะไปไดเ้ รว็ ข้นึ ตอนแรกๆไม่เข้าใจ แต่พอเรา

68

ทาเร่ือยๆ แล้วก็เอาแนวคิดพวกนี้มาใช้ ชัดเลย ไปได้ ทุกวันนี้ก็ยังพัฒนาศักยภาพเรื่อยๆ ในระดับที่
เยอะไปเรอื่ ยๆ มติ ิภายในก็ตอ้ งทาเหมือนกนั กต็ ้องพฒั นาเหมือนกนั

หญิงกับพ่ีนุมีที่สดุ เหมือนกนั คอื การต้ังคาถามว่า ชีวิตน้ีท่ีเกิดมาเพื่ออะไร ส่ิงที่ทาอยู่นี่แหละ
คือภารกิจที่มอบมาให้ ดินดี น้าดี ปุ๋ยดี ข้างในด้วย หญิงกับพี่นุ เรารู้สึกได้พลังทุกวัน เราโตทุกวัน
เจรญิ งอกงาม เราแข็งแกร่งขึ้นทกุ วนั แสดงว่าถกู ทางแล้ว

แม้แต่เรื่องลูก แต่งงานมา 7 ปีไม่มีลูก ไม่เคยคุมกาเนิด เลยไปขอ บอกว่าถ้าเราพอมีบุญได้
ลูกท่ีจะมาเก้ือหนุนสังคมต่อไป ก็ให้มา แล้วก็ได้พู่กันมาจริงๆ เลยต้องมาทา Learning Space ทา
เรือ่ งการศกึ ษาปฐมวยั ตอ่ กับลกู เราและเดก็ ในชมุ ชน

ตั้งแต่มีลูกมีพลังท่ีไม่รู้มาจากไหนเพิ่มข้ึนมา หญิงรู้สึกปล่อยวางได้เร็วขึ้น แล้วพอมันปล่อย
วางปุ๊บ มันเป็นพลังบวก คือเราจะเครียด ยังหงุดหงิดอยู่ แต่ถ้าลูกมาต้องย้ิม ปล่อยวางเร็วมากเลย
แล้วพลังบวกทาให้เราทางานได้เยอะขึ้น เราใช้เวลาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปลดล็อกหลายเรื่องท่ี
เราติดอยู่นาน บางทีติดเป็นอาทิตย์ ไม่ได้ทาอะไรเลย แต่ต้ังแต่มีลูกนี่ปล่อยวางเร็วมาก แก้ปัญหาไป
หญิงวา่ มนั สัมพันธ์กัน”

พฤตพิ ร จนิ า
ผปู้ ระสานงานเครือขา่ ยนเิ วศนล์ ุ่มน้าแมท่ า

สานบรรจบ ภาพฝนั รว่ มของคนแมท่ า

ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในหลายปีท่ีผ่านมา นอกจากเป็นวิกฤตที่ทุกคนเผชิญร่วมกัน ยังถือเป็นโอกาสในการ
พฒั นาคนผ่านการทา้ งานโครงการ และงานที่อยู่บนวิถชี วี ติ เช่นการดแู ลกนั ของคนในชุมชน ทัง้ ดา้ นอาชพี การตดิ เช้ือรกั ษา
ตัว การกลับมาบ้าน หรือเด็กเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ได้มีโอกาสฝึกฝนทักษะ รู้จักตัวเอง รู้จักชุมชนที่อยู่
โดยสร้างบรรยากาศให้เข้ามาเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ถือเป็นการกลับมาสร้างความเข้มแข็งภายในชุมชน ที่แม้ว่างานด้าน
เศรษฐกิจชุมชนยังคงต้องพัฒนาท้างานต่อไปบนความท้ายทายในการอยู่รอดทางธุรกิจ แต่นั่นก็ดูจะเป็นทางเลือกท่ีพฤติ
เพียรพยายามอย่างไม่ลดละ เพื่อให้เป็นมีรายได้เป็นทุนในการท้างานพัฒนาชุมชนของเครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้าทาในด้าน
ตา่ งๆไดอ้ ย่างอสิ ระและมีความยงั่ ยืน

“เราไม่ได้ทาแค่เรื่องปกป้องทรัพยากร รักษาวัฒนธรรม แต่ความเป็นอยู่ท่ีน่ีต้องดีข้ึนด้วย
ตอนนั้นเรามองว่าคุณภาพชีวิตยังไม่ได้มาตรฐาน หนี้สินเยอะ ราคาไม่เป็นธรรม ขณะเดียวกันวัย
แรงงานต้องไปทางานในนิคมอุตสาหกรรม ในชุมชนมีแต่เด็กกับผู้ใหญ่ นี่ก็เป็นความเปราะบางของ
ชมุ ชนมากๆ

69

ช่วงน้ีเป็นฤดูกาลของงานพัฒนา แต่ช่องทางการสนับสนุนให้การทางานพัฒนาขององค์กร
เอกชน หรือองค์กรชุมชน มันไม่สอดคล้องกัน ประเทศเราก็ตัดท่อน้าเลี้ยงไปเร่ือยๆ ไปเรื่อยๆ แล้วก็
คนในชุมชนก็อยู่ยากข้ึนๆ

มันก็เลยเป็นโจทย์ว่า เราต้องทา SE ให้สาเร็จ ถึงจะเป็นองค์กรที่อยู่ได้ คือเห็นชัดเจนว่า
ประเทศไทยต้องเข้าไปสู่การปิดกั้นงาน NGO โดยรัฐบาลเหมือนที่จีนทานั้นแน่ๆ ย่ิงตอนนี้เขากาลัง
เคล่ือน พรบ.ควบคุมองค์กรพัฒนาชุมชน เลยคิดว่าทางรอดของการทางานพัฒนาในพื้นท่ีที่เราจะ
สามารถเปน็ อิสระและพ่งึ ตัวเองไดจ้ ริงๆ ต้องทา SE

อย่าง SE ของเรา แนวคิดมา 5 ปี ก็ยังไม่สาเร็จ เดือนมกราคม (2565) ต้องไป re-brand
อีกรอบหนึ่ง แต่ตอนนี้มันเริ่มชัดเจนข้ึนว่าจะเป็น SE จริงๆ ต้องเอากระบวนการมีส่วนร่วมเข้ามา ตัว
คนต้องเห็นประโยชนจ์ ริงๆ ร่วมกัน ต้องมาทาอะไรมากข้นึ

ส่วนประเด็นเร่ืองอะไร ก็เป็นโจทย์ในการทาของผู้ใหญ่ ตอนนี้ช่วงโควิดเข้ามาทาให้กลไก
ราคาล้ม ลาไยล้ม งานผ้าทอล้ม ผ้าลูกเดือยปักที่น่ังเย็บ 10 กว่าวัน เดิมตัวละพัน ตอนน้ีเหลือ 500
แมค่ า้ มาตดั ไมข่ ายกไ็ มไ่ ดเ้ พราะไมม่ รี ายได้ เข้าสกู่ ารค้าทไ่ี มเ่ ปน็ ธรรม มคี วามหนักหนกั ในชมุ ชน”

พฤตพิ ร จินา
ผู้ประสานงานเครอื ข่ายนเิ วศนล์ มุ่ น้าแม่ทา

ท่ามกลางกระแสธารท่ีไหลเชี่ยวกรากจากสถานการณ์โควิด วิกฤติความผันผวนไม่แน่นอนของสภาพสังคมและ
เศรษฐกิจยุคปจั จุบนั สายน้าแหง่ ชีวติ ของผคู้ นในลมุ่ นา้ แมท่ าวันนี้ ยงั คงรินไหลดา้ เนินต่อไป ทว่าการด้าเนนิ ไปจากน้คี ือการ
เปิดรับ ปรับตัว และเรียนรู้ ทั้งการรู้จักต้นก้าเนิดท่ีมา การทบทวนท้าความเข้าใจในระหว่างทาง และการส่งต่อเพื่อไปยัง
จุดหมาย ด่ังแม่ทาตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง ท่ีเช่ือมประสานช่องว่างระหว่างวัย วัยเด็กและเยาวชน คนรุ่นใหม่
ผูใ้ หญ่ ไปถึงผู้สงู วัย ทต่ี ่างมอี ัตลักษณ์และวิถีวัฒนธรรมท่หี ลากหลายในแต่ละพ้ืนที่ สู่ภาพฝันท่มี ีร่วมกนั ของคนแม่ทา

70

ครดู อกไม้ ปานพาน
ครเู กษยี ณ โรงเรียนบ้านแพะยันต์ดอยแช่ อาเภอแมท่ า จงั หวัดลาพูน

พี่เล้ียงเยาวชนเครือข่ายลุ่มน้าแม่ทา และเป็นสมาชิกเครือข่ายฯ จากกลุ่มชุมชนฟ้ารักษ์ดินที่ท้าเรื่องเกษตร
อินทรียแ์ ละผกั พ้นื บา้ น

“ครูเกษียณมา 2 ปีแล้วค่ะ ย้อนไปครูเป็นครูเกษตรตั้งแต่แรก ย้ายไปอยู่ท่ีไหนก็ใช้วิธีการสอนแบบเข้าชุมชน ถ้า
เป็นชุมชนที่อยู่นอกเมืองมากๆ อย่างชุมชนกะเหร่ียง พ่อแม่เขาจะสนับสนุนมาก เราท้ากิจกรรมร่วมกับเด็กเกี่ยวกับ
การเกษตร สีข้าว ท้าปุ๋ยหมัก สอนเด็กปลูกผัก แต่พอเราย้ายเข้ามาเขตชุมชนคนเมือง เร่ิมมีปัญหาขัดแย้งกับผู้ปกครอง
บางส่วนมราต้องการให้ลูกเรียนวิชาการมากๆ พอหลังๆ มานี้ไม่มีแล้ว ย่ิงได้มาร่วมงานกับหญิง เขายิ่งเห็นภาพชัดว่า
กิจกรรมแบบน้ีดีกว่าให้เด็กเอาเวลาว่างไปท้าอย่างอ่ืน ตอนน้ีพ่ีหญิงคือไอดอลของเด็กๆ คือเป็นผู้น้าที่เป็นตัวอย่างที่ดีใน
ชมุ ชนของเรา

เด็กท่เี ราเคยสอน 6-7 ปผี ่านมา กม็ าร่วมกจิ กรรมของนอ้ งหญงิ ตอนนี้เลยกลายเป็นเยาวชนอยู่ ม.5-ม.6 แลว้ เรม่ิ
แต่ประถมปลาย เพราะครูสอนระดับ ป.4-ป.6 เขาเริ่มซมึ ซบั จากฐานท่ีเราสอนเขาการเข้าชุมชน มที ้งั เด็กกะเหรีย่ งและเดก็
ท่ีโรงเรียนมาร่วมกันท้ากิจกรรม บางคนก็ไม่เคยได้เรียนกับครู แต่เขาตามเพ่ือนมา หรือเขาเห็นในเฟสบุ๊กก็ขอมาร่วมด้วย
หรือหลายคนทผี่ ปู้ กครองฝากมา เขายนิ ดีมาก ไมว่ ่าจะมารว่ มกจิ กรรมดา้ นไหน กีฬาหรอื มาทา้ กิจกรรมกับพีห่ ญงิ ค่ะ

กีฬาน้ีก็เป็นส่วนหนึ่งที่ดึงเด็กได้ พอโตมาเค้าก็ช่วยดูแลน้องๆ อีก น้องๆ มาฝึกฟุตบอล ก็จะเติบโตขึ้นมาเร่ือยๆ
อยู่ในระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ เขาค่อยๆ เติบโตข้ึนตามระดับอายุของเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลายคนอยู่บ้านอยู่
โรงเรียนถอื ว่าหนักใจของครูและผู้ปกครอง แตพ่ อมารว่ มกจิ กรรมแลว้ เปล่ยี นแนว เพราะวา่ สง่ เสรมิ กันถกู ทาง

ตอนนั้นครูสอนอยู่โรงเรียนบ้านแพะยันต์ดอยแช่ แล้วไปออกรายการวิทยุชุมชน พาเด็กไปเลา่ นิทานบ้างวันเสาร์
อาทิตย์ ทีน้ีแม่ปรานี แม่ของหญิงได้ฟังรายการแล้วสนใจแนวการสอนเรื่องออกชุมชน แล้วเราพูดเรื่องผักพ้ืนบ้าน การที่
เด็กไม่ได้ลงมือท้า เหมือนเป็นการสอนเกษตรบนกระดาน แม่ปรานีอยากให้หลานรู้จักผกั พ้ืนบ้าน และการด้ารงชีวิตอยู่ใน
ชุมชน ก็เลยอยากย้ายหลานจากเชียงใหม่มาอยู่กับหญิงกับนุ มาเข้าโรงเรียนในท้องถิ่นบ้านเรา พอย้ายมาก็เลยรู้จักกันค่ะ
แล้วกต็ ามเดก็ ตามผ้ปู กครองมากม็ าเจอหญงิ

หญิงเป็นต้นกล้าที่กลับมาพัฒนาบ้านก็เลยสนใจ เอางานมาท้าร่วมกัน สนับสนุนไปด้วยกันได้ค่ะ ตอนนั้ น
ประมาณ 5-6 ปี น้องหญิงท้าตลาดร่วมกับเพื่อนๆ ที่เป็นต้นกล้าด้วยกัน (ต้นกล้าคืนถ่ิน คนรุ่นใหม่ที่กลับบ้าน) ต้ังแต่ล้ี
บ้านโฮ่ง ป่าซาง เขารวมตัวกัน เราเลยพาเด็กๆ ไปร่วมกิจกรรมตลาดกับเขา สนุกสนานกันมาก แล้วก็มาเป็นแม่ทา SE ที่
เราเข้ามา หนึ่งคือตรงแนวกัน อีกอย่างหน่ึงคือเห็นความมุ่งมั่นต้ังใจของหญิงกับนุ ว่าเขาท้าจริงแม้เจอปัญหาอุปสรรค
ตอนน้ีหญิงกับนุก็ออกมาท้าแนวของตวั เองท่ีว่ายังด้ารงอยู่ในการพัฒนาคนในชุมชน พัฒนาทั้งผใู้ หญ่ท้ังเด็ก ก็มีกล่มุ ให้เข้า
มารับมอื อยู่เร่ือยๆ เหน็ พฒั นาการแลว้ กช็ ืน่ ใจค่ะ

71

7 ปีเปล่ียนแปลงไปเยอะนะคะ ไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะได้ขนาดนี้เหมือนกัน เกินฝันค่ะ ชื่นใจ ภูมิใจ และภาคภูมิใจ
เดก็ ๆ เยาวชนด้วย แล้วก็ผู้ใหญ่ด้วย ที่ประสานความร่วมมอื ท้ารว่ มกัน ท้าใหเ้ ห็นว่าเดก็ กลับบ้านมาไม่จ้าเปน็ ต้องไปทา้ งาน
นิคมอตุ สาหกรรม เขาก็สามารถด้ารงชีวิตของเขาอยไู่ ด้

อยากให้มีพ้ืนที่แบบนี้ ให้หลายๆ ที่เป็นทางเลือกส้าหรับเด็กๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่ ว่าเขาสามารถด้ารงชีวิตแบบนี้
ได้นะ ดูพ่ีนุพ่ีหญิง ถึงแม้ว่าไม่ได้โดดเด่นมีช่ือเสียงหรือว่าร้่ารวยอะไร แต่เขาก็มีความสุข สามารถด้ารงชีวิตมีความสุขกับ
ครอบครัว ได้ใกล้ชิดลูก เลยดีใจนะท่ีมีแบบอย่างแบบนี้ เรารู้สกึ ไว้วางใจใหเ้ ขาถ่ายทอดแนวความคิด หรือต่อประสานงาน
ของเราต่อไปได้ มีกระบวนการท่ีจะช่วยให้เด็กที่ก้าลังสับสนบนเส้นทาง และครอบครัวพวกเขาด้วย เด็กท่ีน่ีโชคดี มีพ้ืนที่
ถา้ ไม่โชคดมี าเจอกลุ่มแบบนีน้ ่ี อาจจะเตลดิ ไปได้

ตอนน้ีสว่ นตัวครูกเ็ พงิ่ อบรมเพจนกั เขยี นรว่ มกับเดก็ ๆ สนุกสนาน ก็จะเอาเรื่องราวในบ้านเราเนี่ยไปเผยแพรใ่ หก้ บั
คนเขารู้จักล้าพูนช่ือเพจ ‘ลา้ พูนเน้อ’ เด็กๆ เขามีแนวคิดกัน นอกจากนี้ก็เป็นพี่เล้ียงและผู้ประสานงานของ กสศ. (กองทนุ
เสมอภาคเพ่ือการศึกษา โครงการสนับสนุนอาชีพของผู้เปราะบาง อาชีพบนทางเลือกต้นน้าทา เป็นงานของแม่ทา SE)
และเปน็ พ่ีเล้ยี งของเด็กเยาวชนคะ่

ชีวิตของครใู นทุกวันน้ี รู้สกึ พึงพอใจนะคะ ท่ีได้มาระดับนี้ ไม่ใช่รวยหรอื มีช่ือเสียงโดง่ ดังอะไร แต่ว่ามีความสขุ ลึก
ความสุขท่อี ย่ภู ายในคะ่ เปน็ ความสุขทเ่ี หมือนกับวา่ เราไดใ้ ห้ มีความสงบในใจ คิดว่าถ้าดา้ เนนิ ชีวติ ต่อไปกจ็ ะรักษาสขุ ภาพ
ใหด้ ที ีส่ ดุ จะไดท้ า้ งานตอ่ ไปเร่อื ยๆ ไดช้ ว่ ยเหลอื ได้เก้อื กูลนอ้ งๆ แล้วกเ็ ยาวชนรุน่ ตอ่ ๆ ไป

แม่ทานี่ เราเห็นตั้งแต่เราเกิดมา ท่ีห่วงท่ีสุดคือทรัพยากร อยากให้แบ่งเฉล่ียให้มันเท่าๆ กัน เราไม่ต้องไป
ครอบครอง คือถ้ามีโครงการอย่างน้ีเกิดขึ้นเยอะๆ คนที่มีจิตสาธารณะจะเยอะ เขาก็จะรู้จักการแบ่งปันไม่ใช่ครอบครอง
เหมือนกับภูเขาที่ยังเหลืออยู่ ถ้าใครไปล้อมไว้ซะ ไม่ให้คนอ่ืนไปหาเห็ดหาหน่อ มันก็จะล้าบากกัน ที่ท้ากิน ท่ีธรรมชาติ ท่ี
อะไรก็แล้วแต่ ก็คือไม่อยากจะให้ใครไปตีตราแล้วก็ครอบครองไว้เป็นของตัวเองคนเดียว มีการจัดการร่วมกัน ให้ทุกคนมี
ส่วนร่วม ระบบนิเวศในแม่ทายังถือว่าฟ้ืนฟูได้ ไม่อยากให้ใครเอาอะไรๆ มาลง อย่างโรงไฟฟ้าขยะ ผลิตอาหารสัตว์
สา้ เร็จรูป ทจ่ี ะมาทา้ ลายหรอื มาทา้ ใหร้ ะบบนิเวศบา้ นเราเสยี ”

72

อจั ฉรา บุญมาทอง (ไหม)
สมาชกิ เครอื ขา่ ยเยาวชนลุ่มนา้ ทา เชอ้ื สายไทย-กะเหรี่ยง

อดีตนักเรียนของครูดอกไม้และนักเรียนรู้ในแทบทุกกิจกรรมกับพฤติพร จินา หรือหญิง ก้าลังศึกษาช้ันปีท่ี 1
คณะรัฐศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั พะเยา

“หนูเข้าโรงเรียนครูดอกไม้ตอนอยู่ ป.5 ค่ะ ย้ายจากโรงเรียนเดิม ก็ไม่คิดว่าความคิดเราจะเปล่ียน ก่อนหน้านั้น
ไม่ได้ท้ากิจกรรมอะไรมาก มีแค่ร้องเพลงประกวด หนูเรียนไม่เก่ง คือเรียนภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง แต่ครูให้เกรด 4 พ่อก็ไม่
พอใจไปถามครูที่โรงเรียน ท้าไมลกู ได้เกรด 4 ไม่สอดคล้องกันเลย ครูก็บอกว่าไปต่อมัธยม เขาต้องใช้เกรด พ่อบอกไม่ได้สิ
ก็ลกู เรียนไม่ได้ พ่อก็ยา้ ยไป

เม่ือก่อนเราไม่ค่อยกลา้ แสดงความคิดเห็นตัวเองให้พ่อแม่ฟัง ด้วยเขาไม่ได้เรียนจบสูง คอื เขาฟังนะคะ เขาเข้าใจ
แตเ่ ขาไม่สามารถถกกบั เราได้ เลยไมค่ อ่ ยพดู เหมอื นทค่ี รูดอกไมบ้ อกว่า วัยประมาณพอ่ แม่หนู เขาต้องทา้ งานหาเงนิ ส่งเรา
เรียน เขาคิดแค่ว่าเขาก็ต้องท้างาน เร่ืองภายนอกเขาไม่ยุ่ง สุดท้ายเขาก็ต้องท้างานส่งเราเรียน เรียนจบแล้วก็ต้องท้างาน
เขาก็เลยไม่เขา้ ใจว่าทา้ ไมตอ้ งทา้ ตรงน้ีดว้ ย

พอหนูได้เจอพี่หญิง ได้ซึมซับเรียนรู้ ได้ท้ากิจกรรมต่างๆ หนูก็ไปแลกเปล่ียนความคิดกับเขา เขาก็เริ่มเข้าใจว่า
เออดีแลว้ ๆ เขาเร่มิ พูดกับเรามากข้นึ ถามวา่ ไปท้าอะไรมาวนั น้ีค่ะ
หนูชอบกิจกรรมทีเ่ รียกว่า ‘การประชุมประจ้าเดือน’ เพราะเราได้แลกเปลีย่ นกัน เช่น พี่หญิงให้เราเขียนว่า ในอนาคตวยั
25 ให้ถ่ายทอดว่าเราอยากเป็นอะไร เราได้รู้ตัวเองมากข้ึน หนูชอบเข้าร่วมแบบนี้ บางคร้ังเราเรียนเยอะไป โดยท่ีเราไม่รู้
เลยว่า เราท้าตรงนี้ยังชอบท้าหรือเปล่า หนูเรียนปี 1 รัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ (มหาวิทยาลัยพะเยา) ภาพฝันในวัย 25
หนูอยากเป็นแม่หลวงบา้ น ก่อนหน้าน้ันแค่ฝนั วา่ อยากจะอยู่บ้านแค่น้ันเลย แต่พอเห็นชุมชนเราและรว่ มกิจกรรมในชมุ ชน
มากข้ึน เลยอยากเป็นผู้น้าของหมู่บ้าน เรารู้ว่าบ้านของเรามีอะไร เรารู้ว่าเราท้าตรงนี้แล้วมันจะมีอะไรดีขึ้น เรารู้สกึ ว่าเรา
อยากทา้

ตอนได้เข้าร่วมโครงการวิจัย PAR รวมท้ังประเทศ (จัดที่ชุมพร) เป็นคร้ังแรกท่ีต้องพูดต่อหน้าคนเยอะๆ เปิด
ประสบการณเ์ รา พืน้ ทีม่ ีแตผ่ ู้ใหญ่ เราวัยนไ้ี มเ่ คยเห็นใครมาท้าแบบน้ดี ว้ ย ทา้ ใหร้ สู้ กึ เห็นคณุ คา่ ตวั เองมากขน้ึ เลยเริม่ มาหา
พ่หี ญิงบอ่ ยขนึ้ ร่วมกิจกรรมทกุ อยา่ งเลยชว่ งนั้น

ด้านงานอนุรักษ์ ตอนนั้นเราได้ท้าโครงการของ สสส. เป็นกิจกรรมเก่ียวกับอนุรักษ์ผ้าทอโบราณสมัยปู่ย่าตายาย
ของเราคะ่ หนชู วนน้องๆ เยาวชนลงชมุ ชน เกบ็ ขอ้ มลู คยุ กบั คนเฒา่ คนแก่ ถึงลายผ้าทอดัง้ เดิมท่พี ัฒนาไปเปน็ แบบปัจจบุ ัน
ซึง่ ผิดเพี้ยนไปเยอะมาก ศึกษาแล้วให้แกทอให้ดู

เรามีการเก็บข้อมูลว่า เรามาจากท่ีไหน ท้าไมถึงมาตั้งอยู่ที่นี่ ช่วงก่อนเคยไปสอบถามหรือสัมภาษณ์กับคนแก่ที่
อายุประมาณ 70-80 ถามว่าเขามาจากไหน ใครมาอยู่ท่ีนี่ก่อน เพราะข้อมูลของทางจังหวัดบอกว่าเรามาจากพม่า ซ่ึงไม่ใช่
ความจริง เราอยากน้าข้อมูลไปแลกเปลี่ยนให้กับเขา เราก็จะสร้างพิพิธภัณฑ์ในชุมชน ช่วงนี้เราก้าลังเริ่มงานกันอีกคร้ัง

73

เพราะบางคนท่หี นไู ปสัมภาษณ์มาเสยี แลว้ ค่ะ ตอนสมั ภาษณ์ต้องพูดภาษากะเหรย่ี ง มภี าษาเมอื ง ภาษากลาง ใชส้ ามภาษา
ในการเกบ็ ขอ้ มลู

สงิ่ ท่ีเยาวชนเราท้าเร่ิมเป็นที่รู้จัก ตั้งแต่แรกคือไม่ค่อยมีใครสนใจ ตอนน้ีมันขยายฐานเสียงเรา คนรู้จักเรามากข้ึน
วา่ เราทา้ อะไร อยากให้คนมาอ้าเภอแมท่ า มาแล้วรู้วา่ มเี ยาวชนลมุ่ นา้ แมท่ าอยู่ตรงนี้ เปน็ แรงขับเคลื่อนของอ้าเภอ เยาวชน
ไดม้ าทีน่ ่ีกเ็ หมือนได้รู้ตัวเอง ตรงนี้เป็นเซฟโซน ไดเ้ ป็นตวั ของตวั เอง

หนูเคยเขียนบทความเกี่ยวกับความเป็นกะเหร่ียงและความเหลื่อมล้าสง่ ธรรมศาสตร์ ตอนตาหนูไปโรงพยาบาล
แล้วเขาใส่ชุดกะเหร่ียง เราเห็นการแบ่งแยกสงิ่ ท่ีเขาปฏิบัติกับเรา ดูแลเราช้ากว่า ให้คนอ่ืนก่อน ด้วยความที่เป็นกะเหรี่ยง
เขาพูดจาเหมือนเราไม่มีความรู้ ไม่ได้เรียนหรือไม่มีความรู้เท่าเขา หนูก็มาคุยกับเพ่ือน กับพ่ีหญิงพี่นุ หรือเวลาหน่วยงาน
ภาครัฐมาบริจาคของให้เรา ให้แบบสงสาร ไม่อยากให้เป็นแบบน้ัน คนก็ต้องเท่ากันอยู่แล้ว ตอนน้ันแม่หลวงบ้านก็ให้หนู
ช่วยจัดการเรียงคิว ต้องรอผู้ว่าลงมาช่ัวโมงหนึ่งค่ะ ยายหนูก็ไป น่ังรอแจกเส้ือแจกขนม คือขนมก็ไม่ใช่ขนมท่ีมีประโยชน์
และเสื้อก็ไม่มีไซส์ของน้อง ต้องรอใหเ้ ขาส่งเส้ือมาให้อกี 1 อาทิตย์ แล้วการตะคอก ต้องนั่งเรยี งรอ ต้องถ่ายรูปตอนผ้วู ่ามา
บอกเด็กถา้ เมียผู้ว่ามาตอ้ งไหว้เขาดว้ ยนะ อะไรเนี่ย หนูรู้สกึ เลยไม่อยากท้า ไม่อยากอยู่ตรงนัน้ เขามาทุกครั้งก็จะเปน็ แบบ
น้ี ถงึ ไดเ้ ขียนเร่ืองนี้ไป มันมีความเหลื่อมล้าอยู่พอสมควร แบง่ แยกชนชนั้ แบบชดั เจน

ดว้ ยสภาพแวดล้อมบา้ นหนูมันดี ทั้งครอบครวั มอี ะไรสามารถคยุ ไดท้ กุ เรื่อง ถงึ เขาจะไม่เข้าใจเรา แต่เขารบั ฟงั เรา
ปูย่ ่าตายายสนับสนนุ ทุกอยา่ งเลยค่ะ เขาแก่ตวั ลงไปเรื่อยๆ บน้ั ปลายชีวิตของพวกเขา หนูกอ็ ยากใหเ้ ขาไดส้ ดู อากาศทด่ี ี พ่อ
แม่ด้วย ในชุมชนด้วย อย่างเรื่องโรงไฟฟ้าขยะที่หนูรู้ข้อมูลมา ได้รู้ว่าจะเกิดผลกระทบมีสารอะไรมาจากขยะพวกนั้น เรา
อยากต่อสู้ตรงน้ี ไม่ใช่แค่บ้านเรา แต่ยังส่งผลเสียทั้งอ้าเภอ อยากท้าให้บ้านตัวเองมีสภาพแวดล้อมท่ีดี เรามีมรดกของเรา
อยู่ด้วย ต้นน้าของเราก็ดีมาโดยตลอด วันน้ันก็ไปท้าฝายชะลอน้า กักเก็บน้าไว้ เยาวชนแม่ขนาดร่วมมือท้ากัน เราก็อยาก
อนรุ กั ษม์ ันไว้

ช่วงนี้ไม่ได้ไปไหน พออยู่บ้านก็ต้องนั่งเรียนออนไลน์ แต่พอมีประชุมก็อยากไป หนูท้ากิจกรรมร่วมกับเยาวชนใน
ชมุ ชน ย่งิ เวลาเจอคนเปน็ กะเหรี่ยงเหมือนกนั (พ่อเปน็ คนเมอื ง แม่เป็นกะเหรีย่ งโป) คุยอะไรกนั มันกจ็ ะเข้าใจ อีกอย่างต้อง
มคี วามคิดแบบเดยี วกันทจ่ี ะพฒั นาชุมชนเหมือนกนั เวลาไปเจอกนั แลกเปลีย่ นความคดิ กนั มนั เติมพลังมากเลยคะ่

ถ้าหนูอยากพัฒนาชุมชน หนูจึงฝนั อยากเป็นแม่หลวงบ้าน แต่วันก่อน พอไปอ้าเภอก็อยากเป็นปลดั อ้าเภอนะคะ
(ยม้ิ )”

74

4.5 ชมุ ชนจะรัง อาเภอยะหรง่ิ ปัตตานี
การร่วมพัฒนาจากฐานทรัพยากรชวี ภาพส่ชู มุ ชนพงึ่ ตนเอง

“ความสมัครสมานสามัคคขี องชาวบ้านคอื พลังของผม
ในเมอ่ื เขาจบั มอื กนั แลว้ เราในฐานะผู้นาก็ตอ้ งพาพวกเขาไปถงึ จดุ หมายปลายทางให้ได”้

ผใู้ หญส่ ุรนิ ทร์ พฒั นจิรางกรู
ผู้ใหญ่บา้ นหมู่ 7 ต.จะรัง อ.ยะหรงิ่ จ.ปตั ตานี

หมู่บา้ นในนทิ านกบั คลืน่ ลมของการเปลย่ี นแปลง

ท่ามกลางสถานการณ์ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และบางส่วนของ
จังหวัดสงขลา ท่ีดาเนินต่อเน่ืองมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 หากดูจากสถิติการบาดเจ็บและเสียชีวิตท่ีเกิดข้ึนท้ังหมดจาก
สถานการณ์ที่เกิดข้ึน และนาตัวเลขท้ังหมดมาหารเฉล่ียกับระยะเวลาท่ียืดเย้ือยาวนานเกือบ 20 ปี จะพบว่ามีคนในพื้นท่ี
เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 3 รายทุกวัน ทาให้ความวิตกกังวล หวาดกลัว และหวาดระแวงกลายเป็นบรรยากาศทาง
สังคมที่อบอวลเป็นหลักอยู่ในอณูอากาศ ผู้คนโดยเฉพาะเยาวชนที่เกิดมาในช่วงเวลานี้เร่ิมคุ้นชินกับการกระทาด้วยความ
รุนแรงและสถานการณ์ปัญหาสังคมจานวนมากท่ีเกิดข้ึนเพราะการเจริญเติบโตของพ้ืนท่ีต้องหยุดชะงักลงในภาวะก่ึง
สงคราม ทั้งการว่างงาน ปัญหาความยากจน การขาดการศึกษา ยาเสพติด การค้าของเถ่ือน และการขยายตัวของผู้มี
อิทธิพล ท้ังๆที่พื้นที่ชายแดนใต้มีต้นทุนมากมาย ท้ังทรัพยากรธรรมชาติ ผู้คน และความศรัทธา ท่ีจะสร้างความเจริญงอก
งามใหผ้ ู้คนและพื้นท่ีของตนได้มากที่สดุ แห่งหนง่ึ ของประเทศไทย

แตใ่ นพนื้ ท่ีแห่งหนึ่งซึง่ อยหู่ า่ งออกไปจากตัวจงั หวดั ปัตตานรี าว 30 กิโลเมตร อาจทาให้เรารูส้ ึกเหมอื นได้เขา้ มาใน
ดนิ แดนปลอดภัยเพอ่ื หลบภยั ช่วั คราว

ในอาเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี มีตาบลเลก็ ๆช่ือ “จะรัง” ขนาดราว 30 ตารางกิโลเมตร ต้ังอยู่บนเกาะเล็กๆบน
แผ่นดินท่ีมีแม่น้าสาคญั สองสายล้อมรอบ คอื คลองยามูและคลองสาบัน ท้ังยังอยู่ไม่ไกลจากทะเลนักแต่เดิมชาวบ้านสัญจร
ทางเรือ และมีการจัดแข่งเรือประจาปีของชุมชน ส่วนการเดินทางเข้าออกจากเกาะต้องผา่ นสะพานข้ามแม่น้าซ่ึงมีอยู่ 4-5
แห่ง ตาบลจะรงั มี 7 หมบู่ ้าน มปี ระชากรราว 5,000 คน หรือประมาณ 1,000 ครัวเรือน นับถือศาสนาอิสลาม 100% ผู้คน
มคี วามผูกพันกนั สงู ในฐานะเครอื ญาติ และยงั ดาเนนิ ชีวิตเรียบง่ายและผกู พันกับธรรมชาติรอบตัว ไม่วา่ จะเปน็ แมน่ า้ ปา่ ไม้
ทุ่งนา ดงตาล สวนปาล์ม และท้องทะเลทีเ่ ปน็ แหล่งอาหารอันอดุ มสมบรู ณ์

75

เมื่อ 5 ปีก่อน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จรีรัตน์ รวมเจริญ ขณะยังเป็นผู้อานวยการสานักส่งเสริมและบริการ
วิชาการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) ได้เข้าไปในพื้นที่ตาบลจะรังเป็นคร้ังแรกจากการ
มองหาพ้ืนท่ีห่างไกลเพื่อทาโครงการส่งเสริมอาชีพ สัมผัสแรกที่เห็นคือความสะอาดของชุมชนที่แตกต่างจากพ้ืนท่ีอ่ืนอยา่ ง
เห็นได้ชัด รวมทั้งความสมบูรณ์ของสภาพธรรมชาติ และที่สาคัญอย่างยิ่งในลาดับต่อมาคือต้นทุนของความสมานฉนั ท์กัน
ของผ้คู นในตาบล ทาให้ท้งั มหาวทิ ยาลัยและชุมชนทางานรว่ มกนั อยา่ งใกลช้ ิดตลอดมา และตาบลจะรังไดร้ บั เลอื กเป็นพื้นท่ี
ดาเนินการ 1 ตาบล 1 มหาวิทยาลัย ของม.อ. ปัตตานี ในโครงการของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ
นวตั กรรม เพื่อยกระดบั เศรษฐกิจและสงั คมรายตาบลแบบบรู ณาการตั้งแตช่ ่วงปลายปี 2563 เป็นตน้ มา

“พ้ืนที่อื่นมีเหตุการณ์หมด แต่ตาบลจะรังไม่มีเหตุการณ์เลย มีกระเป๋าเป้วางอยู่ริมถนนเป็น
ระยะ ๆ ก็แปลกใจวา่ เปน็ กระเปา๋ ใคร เม่ือถงึ หมบู่ า้ นจึงได้ทราบวา่ เป็นของทหารพรานท่ีลาดตะเวนอยู่
แถวนั่น ตอนน้ันปี 2560 ยังมีเหตุการณ์อยู่ คร้ังแรกอาจารย์ขับรถไปกับน้อง 2 คน ทุกคนถามว่ากลา้
ไปหรือ กบ็ อกวา่ กลา้ ไป ไมเ่ ปน็ ไร

ตอนน้ันความเจริญยังเข้าไม่ถึงพ้ืนที่ตรงนี้ ถนนเป็นลูกรังแต่สิ่งท่ีเจอคือความสมบูรณ์เชิง
พ้ืนท่ีป่าไม้เยอะมากเป็นป่าผสมผสานนะคะ ริมฝ่ังแม่น้า มีต้นหลาวโอน ซึ่งเป็นต้นไม้สูงๆที่ชาวบ้าน
นาไปใช้ทาเสาและโครงบา้ น แล้วใช้ใบจากทาหลงั คามงุ จาก

ต้นทุนความสมานฉันท์ของที่น่ันสาคัญมาก ผู้นาเป็นหนึ่งเดียว ตอนไปเจอผู้นาครั้งแรกก็ไม่
นึกว่าจะนัดประชุมพร้อมกันได้ท้ังหมด เพราะหลายที่ถ้านัดประชุมผู้นาในพื้นท่ีค่อนข้างยากท่ีจะมา
พร้อมกัน ทนี่ ีม่ าพร้อมหมดท้ัง 7 หมบู่ ้านและในวันน่นั กอ้ มีกานนั ซึง่ เป็นผหู้ ญิงก็มาด้วย”

ผศ.ดร. จรรี ัตน์ รวมเจรญิ
อาจารยค์ ณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี

คาว่า “จะรัง” เป็นภาษามลายูมีความหมายว่า “ป่า” ซ่ึงเห็นได้ในความอุดมสมบูรณ์ของป่าและพืชพรรณนานา
ชนิดท่ียังเหลอื อยู่ในพ้ืนที่ เช่น ต้นหลาโอน (หลาวชะโอน) ต้นสาคู ต้นจาก ต้นเสม็ด ต้นลาพู ต้นตะเคียน ต้นยาง เป็นต้น
ปัจจุบันพื้นท่ีส่วนใหญ่ของตาบลจะรังเป็นทุ่งนา ภาพละมุนละไมของทุ่งนาเขียวขจีสลับดงตาลโตนดในแสงทองของตะวัน
ยามเชา้ และเยน็ ยังคงเปน็ ภาพจาสาคญั ของหลายคนทเี่ คยมาเยอื น

แต่เดิมคนจะรงั ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทานาปี บางส่วนทาประมงขนาดเล็ก ปลูกยางพารา ทาสวนมะพร้าว และ
ทาน้าตาลโตนดเป็นอาชีพเสริม ช่วงหลังในพื้นท่ีมีปัญหาน้ากร่อยมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงน้าทะเลหนุนสูง จึงเกิดการ
ปรับเปลี่ยนจากการทานามาเป็นการปลูกปาล์มน้ามันมากข้ึน ประกอบกับกระแสการพัฒนาเศรษฐกิจชะงักงันและการ
ว่างงานเช่นเดียวกับที่เกิดในพ้ืนที่อ่ืนๆในจังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะกับกลุ่มแม่บ้านและเยาวชน การดารงชีวิตที่

76

ยากลาบาก ทาให้คนจะรังต้องออกนอกชุมชนไปทาสวนในรอยต่อจังหวัดข้างเคียง ไปทางานรับจ้างในจังหวัดใกล้ๆและ
ข้ามแดนไปยังมาเลเซยี

ราว 10 ปีก่อน “บ้านจะรัง” ซึ่งเป็นบ้านหมู่ที่ 7 ใน 7 หมู่บ้านของตาบลจะรังเร่ิมปรับตัวเพื่อตั้งหลักรับมือกับ
สถานการณ์ปัญหาที่เกิดข้ึน โดยปัญหาหลักคือรายได้ของชาวบ้านไม่เพียงพอ กลุ่มแม่บ้านว่างงาน เยาวชนบางส่วนจบ
การศึกษาแล้วไม่มีงานทา นายสุรินทร์ พัฒนจิรางกูร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ซึ่งเคยเป็นอดีตกานันตาบลจะรัง จึงพยายาม
รวมกลุ่มชาวบ้านเพื่อคิดและลงมือแก้ปญั หาร่วมกนั โดยใชก้ ลไกการประชมุ คณะกรรมการหมู่บ้าน ซ่ึงประกอบด้วยแกนนา
หมู่บ้านหลายฝ่าย ท้ัง ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกอบต. ข้าราชการในพ้ืนที่ และผู้นาทางศาสนา ช่วงแรกประชุมกันเกือบทุก
สปั ดาห์ แล้วจึงปรบั เป็นการประชุมประจาเดือน เพ่ือรว่ มกนั หาทางออกที่ดที ่สี ุดใหห้ ม่บู ้าน

“คณะกรรมการหมู่บ้านมาช่วยกันคิดใหม่ วางแผนใหม่เพ่ือหาทางออกที่ดีท่ีสุด ผมในฐานะ
หัวหน้าหมู่บ้านก็เร่ิมประชาสัมพันธ์หาผู้สมัครใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มแล้วก็มาคิดว่าเราจะต้ังกลุ่มอะไร
ด้านไหน ชวนสมาชิกให้ได้มากท่สี ดุ แต่กไ็ ม่ได้บังคับ คือประชาสัมพันธ์ใหเ้ ขาเตม็ ใจเข้ารว่ มก่อน แล้วก็
มาหาแนวทางร่วมกัน ก็รวมกลุ่มไปเรื่อยๆช่วงแรกมีสมาชิก 20 กว่าคน ส่วนใหญ่เป็นแม่บ้านและ
เยาวชน ต่อมาทางมหาวทิ ยาลยั ก็เขา้ มาชว่ ยตรงน้ี

ทางม.อ. ปัตตานีเข้ามาสารวจพื้นท่ี และหาแนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะกับความเป็นอยู่และ
วิถีชีวิตของชาวบ้าน มีการแนะนาการส่งเสริมอาชีพให้กลุ่มต่างๆเพื่อเพิ่มรายได้ให้ครอบครัว จัดต้ัง
กลุม่ แมบ่ า้ น มีกระทรวงแรงงานและหน่วยราชการต่างๆเข้ามาส่งเสริมอาชพี ในพนื้ ท่ีด้วย ปัจจุบันกต็ ่อ
ยอดไปเร่ือยๆ มีการจัดต้ังกลุ่มให้กลุ่มแม่บ้านอย่างถาวร เรามีสถานที่ของกลุ่มอยู่แห่งหนึ่งโดยผมให้
งบประมาณส่วนหนึ่ง และหน่วยงานราชการสนับสนุนบางส่วนกลุ่มแม่บ้านได้รับประโยชน์ดีพอที่จะ
จนุ เจอื ครอบครัวไดใ้ นระดบั หนง่ึ ”

สุรินทร์ พฒั นจริ างกรู
ผู้ใหญบ่ า้ นหมู่ 7 ต.จะรงั อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี

รื้อฟืน้ ของดดี ง้ั เดมิ – ตาลจะรงั นา้ ตาลดจี ากชายแดนใต้

อาจารย์จรีรตั น์ และม.อ.ปัตตานีเรมิ่ เข้าไปทางานในตาบลจะรังโดยเริม่ จากการแนะแนวการศึกษาทั้งในและนอก
ระบบ พบว่าเยาวชนและคนขับรถรับจ้างต้องการฝึกอาชีพเรื่องการซ่อมมอเตอร์ไซค์ จึงประสานกับวิทยาลัยเทคนิค
ปัตตานีเขา้ มาจัดอบรมท่อี บต. และมีผู้สนใจเข้ารว่ มกจิ กรรมมากเกนิ เป้าหมาย ในการทางานร่วมกนั คร้ังน้ัน ทาให้อาจารย์
จรีรัตน์พบต้นทุนสาคัญของตาบลจะรัง ทั้งความเข้มแข็งของผู้นา ความหลากหลายของสภาพธรรมชาติและการท่ีชุมชน
ยังพึ่งพาฐานทรัพยากรชีวภาพเป็นต้นทุนสาคัญในการดาเนินชีวิต อาจารย์จึงระดมความรู้ทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์

77

และเทคโนโลยี เงินทุนตลอดจนเครือข่ายจากภาคส่วนต่างๆลงไปสนับสนุนชาวบ้านให้มีอาชีพเพ่ือพ่ึงพาตนเองได้อย่าง
ต่อเนอื่ ง

ภาพดงตาลท่ีขึ้นเองตามธรรมชาติจานวนมากในจะรัง และจากการที่อาเภอยะหร่ิงมีต้นตาลมากที่สุดในปัตตานี
ทาให้ ม.อ. ปตั ตานสี นใจทาการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชพี เกี่ยวกับตาลโตนดใหค้ นจะรัง โดยเรม่ิ จากการศกึ ษาผลิตภัณฑ์เดิมที่
มีอยู่ รวบรวมข้อมูลอาหารพ้นื ถนิ่ ทท่ี าจากตาล สารวจจานวนตน้ ตาล ภูมิปัญญาเกี่ยวกบั ตาล และชาวบ้านผู้ยังสืบทอดภูมิ
ปัญญาเหลา่ นน้ั รวมทัง้ หาทางสร้างมลู ค่าเพิม่ สาหรับต้นทุนเดมิ ของพืน้ ที่

“หลังจากทาความรู้จักผู้นาเยอะข้ึนก็คุยเร่ืองตาลโตนดบอกว่าอยากคุยท้ังตาบลได้ม้ัย ทาง
อบต.กป็ ระสานให้ ก็ไดม้ โี อกาสเจอผู้ใหญบ่ ้าน 7 คน กานนั หน่ึงคน สภาอบต. ปลดั อบต.แลว้ กท็ มี ของ
อบต.ได้คุยกันรอบใหญ่เลยว่าอยากให้ทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ไปช่วยขับเคล่ือนเร่ือง
อะไรบา้ ง

เราอยากฟืน้ ฟูให้เรอื่ งตาลโตนดของจะรงั ให้เหมือนท่ีสทิงพระ ระโนด หรือเพชรบรุ ี และตาล
ท่ีนีก่ ็มีเอกลักษณ์ตรงทีห่ อมอร่อย ไมห่ วานแหลม เพราะตน้ ตาลขน้ึ ในทีน่ ้ากร่อย สานกั ส่งเสรมิ ฯ จึงไป
สารวจต้นตาลและภูมิปัญญา คุณไพรัตน์ จีรเสถียร เป็นคนทางานวิจัยช้ินนี้พบว่าในตาบลจะรังมีต้น
ตาลโตนดประมาณ 9,000 ต้น รวบรวมคนข้ึนตาลได้ประมาณ 30 คน ไปดูวิธีข้ึนตาล ให้เขาอธิบาย
วิธีการและการใช้อุปกรณ์แต่ละอย่าง จากภมู ิปัญญาท้องถ่ิน วิธีการเคย่ี วน้าตาล ตัวผลิตภัณฑ์รวมทั้ง
การขายและกระตนุ้ ให้ชาวบ้านสบื ทอดความรแู้ ละภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ใหค้ นรนุ่ หลัง”

ผศ.ดร. จรรี ัตน์ รวมเจริญ
อาจารยค์ ณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยมี หาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตปัตตานี

ชาวจะรังทาตาลโตนดคู่กับการทานามาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษหลายร้อยปีมาแล้ว แต่ปัจจุบันการทาตาลกาลัง
เลอื นหายเพราะคนรุ่นใหม่ไม่สนใจทาอาชีพน้ีอีกตอ่ ไป เม่ือก่อนน้าตาลโตนดของท่ีนี่มี 3 รูปแบบ คือ น้าตาลสด (คนย่าน
น้ีเรียกน้าตาลหวาน) น้าตาลเหลว (บรรจุปี๊บขาย) และน้าตาลข้น (น้าตาลท่ีเก็บไว้นานจนเป็นผลึกคล้ายเพชรก้อนใหญ่)
น้าตาลจะรังมีช่ือเสยี งมากในกลมุ่ จังหวัดชายแดนใต้ ใครเข้ามาในพื้นท่ีต้องหาชิมน้าตาลสดและข้าวเหนียวกวนและที่น่ียัง
เป็นแหลง่ ผลิตน้าตาลสดไปขายยังพ้ืนท่ีใกล้เคียง โดยเฉพาะชาวยะลาและสงขลาทีม่ าซื้อน้าตาลจะรังไปทาเหล้า เพราะทา
ให้เหล้ารสชาติและคุณภาพดีขึ้นจนขายได้มากและราคาสงู กว่าเดิม นอกจากน้ีผลผลิตของจะรังก็ยังเป็นที่โปรดปรานของ
ในหลวงรชั กาลท่ี 9 ด้วย

“เมื่อปี พ.ศ. 2528 ในหลวง ร. 9 เคยเสด็จฯมาเยือนท่ีนี่ อดีตท่านกานันได้ถวายน้าตาลแว่น
น้าตาลสด และถวายข้าวเหนียวหวาน ซ่ึงทาจากข้าวเหนียวกวนกับน้าตาลเหลว ท่านในหลวงชอบมาก

78

เลยส่ังอดีตกานันให้ผลิตส่งไปขายที่กรุงเทพฯ สมัยก่อนจะมีราชองครักษ์มารับของท่ีบ้านแล้วส่งเข้าวัง
เลย ตอ่ มาไมม่ ใี ครสานต่อตรงนี้เลยเงียบไป”

สุรนิ ทร์ พฒั นจริ างกูร
ผูใ้ หญบ่ ้านหมู่ 7 ต.จะรงั อ.ยะหรงิ่ จ.ปัตตานี

จากเดิมที่สนิ ค้าส่วนใหญ่เปน็ นา้ ตาลเหลวบรรจุปีบ๊ ขายราคาถูก ม.อ. ปตั ตานีไดใ้ ช้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้า
มาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์เพ่ือเพ่ิมมูลค่ามีการวิจัยค่าความหวานของน้าตาล รวมทั้งคุณค่าทางโภชนาการในน้าตาล เพื่อ
สอื่ สารประชาสมั พันธถ์ ึงคณุ ค่าทางโภชนาการทีส่ าคญั ของน้าตาลจะรัง มีการพัฒนารูปแบบและบรรจุภณั ฑข์ องผลิตภัณฑ์
จากน้าตาลเหลวบรรจุป๊ีบ เป็นน้าตาลเหลวใส่ขวดแก้วสาหรับใช้ทากับข้าวและใช้กินกับกาแฟและขนมแทนนมข้นหวาน
ขณะท่ีชาวบ้านก็หันกลับไปปรึกษาผู้สูงอายุในชุมชน และรวมกลุ่มกันฝึกทาขนมที่ใช้น้าตาลเหลวแทนน้าตาลทราย เพ่ือ
พัฒนาสินคา้ ใหเ้ หมาะกับความต้องการของผู้ซื้อดว้ ยเชน่ กัน

“กลมุ่ แม่บ้านเคยทดลองทาถั่วลิสงแผ่นขาย เราทดลองใชน้ ้าตาลโตนดแทนน้าตาลทราย มัน
กรอบและนุ่มละมุนปากมาก เลยพบว่าน้าตาลของเราใช้ทาให้ขนมหรือเบเกอร่ีได้ทุกอย่างโดยไม่ต้อง
ใช้ผงฟูหรือสารท่ีทาให้นุ่มเราฝกึ ทากันหลายอย่าง วันน้ีทาเอแคลร์ครีมลูกตาลสด คุกกี้ช็อกโกแลต ได้
กนิ กับกาแฟดาน้าตาลโตนด โอย๊ อร่อยจนไม่อยากพดู เลย

เราลองแปรรปู นา้ ตาลเหลวเปน็ แบบแห้งด้วย เผ่อื คนใชจ้ ะไดไ้ มล่ าบาก ไปปรกึ ษากับคนแก่ๆ
ในชุมชนยายเราจะทายังไงให้น้าตาลโตนดมันแห้งแล้วเก็บได้นาน ยายก็สอนว่าเอาน้าตาลเหลวไปขยี้
กับก้นกระทะใหม้ นั แห้งใหเ้ ปน็ น้าตาลผงหรือน้าตาลกอ้ น ก็จะเกบ็ ได้นานแลว้ ใช้งา่ ยด้วย”

ยามีหละ๊ ตาหา
ประธานวสิ าหกจิ ชุมชนจะรงั ตาลโตนด

การจะฟื้นฟูวิถีทางเศรษฐกิจและวิถีชีวิตจิตใจของชุมชนให้กลับมาเป็นปกติ พ่ึงตัวเองได้ และเจริญงอกงามตาม
ธรรมชาติ ท่ามกลางภาวะความไม่ปกติของสังคมรอบตัวน้ันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆเลย นอกจากความสามัคคีกันของคนใน
ชุมชน ต้นทุนทางทรัพยากรและภูมิปัญญา ประกอบกับความพยายามลองผิดลองถูกอย่างไม่ท้อถอยแล้ว แรงสนับสนุน
จากบุคคลและองค์กรภายนอกท่ีเข้าใจท้ังความเป็นชุมชนและสถานการณ์ท่ีทุกฝ่ายเผชิญอยู่ก็เป็นสิ่งสาคัญอย่างยิ่งที่ขาด
ไมไ่ ด้

79

“ชาวบ้านขายน้าตาลเหลวเป็นป๊ีบ ทาไมขายถูกจัง ก็เลยคิดใหม่ว่าต้องนาความรู้
วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเข้าไปใช้ในการขับเคลือ่ นและเป็นงานที่ทาง อบต. และผู้ใหญ่ในพ้ืนท่ีเห็นด้วย
ว่าน่าจะรื้อฟื้นกันขึ้นมา ตอนหลงั รวมกลุม่ จัดต้ัง ‘วิสาหกิจชุมชนจะรังตาลโตนด’ โดยที่สานักสง่ เสริม
ฯ เข้าไปขับเคล่ือนมีกะละห์ (ยามีหล๊ะ ตาหา) เป็นประธานกลุ่ม แล้วก็มีคุณนัสรีย์ (ดอเล๊าะ) คนใน
ชุมชนและเป็นบัณฑิตแรงงานของกระทรวงแรงงานขับเคลื่อนในพื้นที่และเป็นกาลังสาคัญท่ีช่วยกัน
ประสานระหว่างชาวบ้าน หน่วยงานในพน้ื ที่กับหนว่ ยงานเครอื ขา่ ยขา้ งนอก

พอทีมอาจารย์เข้าไป ตอนหลังส่วนราชการเข้ามาหลายหน่วยงาน เต็มเลย วันหน่ึงได้มี
โอกาสพูดคุยกับท่านภาณุ อุทัยรัตน์ อดีตเลขา ศอ.บต. โดยกะละห์โทรมา ท่านบอกว่าฝากดูแลพื้นท่ี
และกลุ่มด้วย ตอนน้ีท่ีช่วยกันก็มี กศน. มีวิทยาลัยการอาชีพ และวิทยาลัยชุมชนปัตตานีเข้าไปเสริม
เรอ่ื งการทาจกั สานจากเศษเหลือของใบตาล สถาบันอาหารเขา้ ไปช่วยดูโรงเรือน นกั ศกึ ษาสาขาพฒั นา
ชุมชน มอ.ปัตตานี มีเงินอยู่ 10,000 บาท จะลงไปต่อเติมโรงเรือนให้ ด้วยสถานการณ์โควิด 19
นักศึกษาลงไปในพ้ืนที่ไม่ได้ จึงได้นาเงินไปมอบให้กลุ่มในพื้นท่ีช่วยกันทาโรงเรือนซึ่งใกล้จะเสร็จแล้ว
ส่วนตัวผลติ ภัณฑท์ ี่เราไปช่วยพัฒนากก็ าลังจะขอ อ.ย. ให้อนาคต

สิ่งท่ีประทับใจอีกอย่างคือ เมื่อก่อนตอนท่ีเขาเคี่ยวน้าตาลจะเลอะมาก อุปกรณ์จะสกปรก
เราบอกว่าต้องสะอาดนะคะ แล้วก็ทาตัวอย่างให้ชาวบ้านดู ให้นาวิทยาศาสตร์บนพื้นความรู้ของ
ชาวบ้านไม่เอาวิทยาศาสตรท์ ่ยี ากเขา้ ไป ปรากฏวา่ สุดทา้ ยไปรอบนี้สะอาดมาก เขาใช้ภมู ิปัญญาดัง้ เดมิ
แล้วก็ใส่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้าไปช่วยเรื่องความสะอาด สุขลักษณะ ให้ชาวบ้านช่วยกัน
ควบคมุ คุณภาพด้วยกระบวนการกลุ่ม

ตอนทากลุม่ แรกๆก็มีคนเอาชือ่ กลุม่ ไปแอบอ้าง ตอนหลงั เขามาเลา่ ใหฟ้ ังวา่ เกดิ อะไรขน้ึ เราก็
เร่ิมทากระบวนการกลุ่มกันใหม่โดยมีอาจารย์จิรัชยา (เจียวก๊ก) กับอาจารย์สวัสดิ์ (ไหลภาภรณ์) เข้า
มาช่วย อาจารย์ก็ให้เงินตัวเองไปเริ่มต้น เหมือนเป็นกาลังใจว่าเราไปเร่ิมให้แล้วห้ามล้มนะ เราต้องอยู่
ดว้ ยกนั ถ้ามปี ัญหาอาจารย์กย็ ินดีชว่ ย ทกุ วนั น้ีก็เตบิ โตขน้ึ เยอะเลย”

ผศ.ดร. จรรี ตั น์ รวมเจริญ
อาจารย์คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยมี หาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตปัตตานี

“บางทีเราอยู่ในพื้นท่ีก็ไม่รู้ว่าจุดอ่อนจุดแข็งของเราอยู่ตรงไหน ต้องอาศัยบุคคลภายนอก
มาร่วมช่วยกันคิด มาเป็นกระจกให้เรา ไม่อย่างนั้นเราก็มองไม่เห็นเลย ได้ฟังเสียงสะท้อนจากคณะ
อาจารย์มหาวิทยาลัยซ่ึงมีความรู้ความสามารถและวิสัยทัศน์ก้าวไกล และนาคาแนะนามาปรับปรุง
แกไ้ ขพัฒนากันไป

80

อย่างน้าตาลโตนด เมื่อก่อนพวกเราเคยทาแค่น้าตาลเหลวกับข้าวเหนียวกวน พอมีคน
ภายนอกเข้ามาและจากประสบการณ์ของพวกเราแต่ละคน ทาให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ของเราสามารถทา
อยา่ งอืน่ ได้

พอทางมหาวทิ ยาลัยเขา้ มา กลมุ่ แมบ่ ้านก็ไดร้ ู้หลกั วิชาการทแี่ ทจ้ รงิ วา่ นา้ ตาลโตนดมีสว่ นผสม
อะไร เวลาคนนอกถามว่าตาลโตนดของคุณมีความหวานเท่าไหร่ความเค็มเท่าไหร่ ความเหนียว
เท่าไหร่ ต้องใช้ไฟเทา่ ไหร่ กลุ่มแม่บ้านของผมสามารถนาเสนองานไดเ้ ลย”

สรุ ินทร์ พัฒนจริ างกูร
ผู้ใหญบ่ ้านหมู่ 7 ต.จะรงั อ.ยะหริ่ง จ.ปตั ตานี

จากเดิมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจะรังตาลโตนดมีสมาชิกจานวน 24 คนปัจจุบันขยายเป็น 70 กว่าคน ช่วยสร้างงาน
และสรา้ งรายได้ให้แมบ่ ้านและเยาวชนในพ้ืนท่โี ดยกลมุ่ ได้ช่วยกันพัฒนาผลติ ภัณฑ์ให้หลากหลายมากขน้ึ เชน่ นา้ ตาลโตนด
แว่น น้าตาลโตนดผง วุ้นกรอบตาลโตนด เต้าฮวยตาลโตนด ตาลโตนดนมสด ข้าวเหนียวหวาน และขนมเบเกอรี่แบบต่างๆ
เป็นต้นอีกทั้งได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้สวยงามได้มาตรฐาน และสะท้อนถึงอัตลักษณ์ชุมชนการเรียนรู้เพื่อจัดการและ
จัดระบบกลุ่มเริ่มไปได้ดี แต่ปัญหาหลักที่ยังต้องฝ่าฟันกันต่อก็คือเรื่องเงินทุนที่จะมาใช้ในการผลิต และการเชื่อมโยงกับ
ตลาดทใ่ี ห้ความสาคญั กบั สินค้าปลอดภัยจากผผู้ ลติ ซ่งึ เปน็ เจ้าของทรัพยากรและภมู ิปัญญาในชุมชน

“อุปสรรคแรกเร่ิมก็พอมีอยู่บ้างในความไม่เข้าใจระบบกลุ่ม สองคือการทางานก็ยังไม่ได้มี
รายได้เป็นกิจลักษณะ สมาชิกก็อาจจะห่างเหินไปบ้าง และสามพอเราผลิตแล้วไม่มีแหล่งจาหน่าย ก็
ต้องร่วมกันคิดต่อว่าถ้าพวกเราหยุดแค่น้ี หมู่บ้านเราหรือลูกหลานในอนาคตก็คงไม่เจอความสาเร็จ
แน่นอน เพราะฉะนั้นทีมเราที่เป็นแกนนาต้องเดินหน้ากันต่อไป เราคาดหวังว่าสักวันหน่ึงเราต้องได้
เขาก็เลยต้ังใจสู้ระเบิดจากใจเขาเอง ยังไงเขาก็ต้องทากลุ่มให้เกิดให้ได้ ให้เกิดผลกับหมู่บ้านเกิดกับ
บุตรหลานของเราในอนาคตใหไ้ ด้

สว่ นปัญหาตอนนี้หลกั คือต้นทุนน้อย เราผลิตมากไม่ได้เพราะไม่ได้ใช้ระบบนายทุน ใช้ระบบ
สัจจะมากกว่า อาศัยเงินของสมาชิกลงหุ้นกันเอง หุ้นละยี่สิบบาท ค่าสมาชิกคนละร้อยสองร้อย
ชาวบ้านลงห้นุ ก็ไดก้ ับชาวบ้านเราเอง ถงึ จะนอ้ ยแต่เราทาไดไ้ ปเรอ่ื ยๆก็พออย่ไู ด้”

สุรนิ ทร์ พัฒนจริ างกูร
ผใู้ หญบ่ ้านหมู่ 7 ต.จะรัง อ.ยะหริง่ จ.ปัตตานี

ขณะน้ีการขายสินค้ามีท้ังขายในชุมชน และบอกกันแบบปากต่อปาก รวมทั้งออกบูธขายสินค้าตามงานต่างๆและ
ในตลาดประชารัฐ ทางกลมุ่ ผนู้ าชุมชนก็ช่วยกันประชาสมั พันธ์ด้วยการซ้ือเป็นของฝากให้ผใู้ หญ่หรือคนรู้จักเพ่ือให้เกิดการ

81

รับรู้เรื่องราวของลิตภัณฑ์ชุมชนส่วน ม.อ. ปัตตานี ก็ช่วยรับสินค้าของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจะรังตาลโตนดมาขายภายท่ี
มหาวิทยาลัย ทางกลุ่มเองก็พยายามเพ่ิมช่องทางขายออนไลน์บนเพจเฟซบุ๊ก “จะรังตาลโตนด” โดยให้เยาวชนคนรุ่นใหม่
เข้ามาช่วยทางานเพ่ือขยายกลุ่มลูกค้าให้มากยิ่งข้ึน นอกจากนี้ยังเกิดเว็บไซต์เพ่ือให้คนท่ัวไปได้เรียนรู้วิถีชีวิตและภูมิ
ปัญญาของชาวตาบลจะรังท่ี charangplatform.com โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการแปลงเทคโนโลยีเป็นทุน
สานักงานนวตั กรรมแหง่ ชาติ เพอ่ื ใชน้ วัตกรรมทางสังคมเช่ือมโยงวถิ ชี วี ติ ชุมชน และชว่ ยยกระดบั ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน

ก้าวต่อไปของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจะรังตาลโตนดคือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานผ่านการรับรอง
เคร่ืองหมาย อย. (สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา) เพื่อยกระดับสนิ คา้ ให้สามารถวางขายในร้านค้าได้มากขึ้น โดย
ม.อ.ปัตตานี ยังคงเป็นพี่เล้ียงอย่างต่อเนื่อง ท้ังในการสร้างโรงเรือนเพื่อใช้ผลิตน้าตาลให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน การขอ
อย. และการหาชอ่ งทางขยายตลาดและเพ่มิ ยอดขายผลติ ภณั ฑ์ชุมชนได้ในอนาคต

“สมัยอดีตกาล ผลิตภัณฑ์ของเราในหลวงเคยเสวยแล้ว เพราะฉะนั้นของของเราชิ้นนี้ล้าค่า
มาก ไม่มีที่อ่ืนที่จะเกินกว่าพวกเรา สิ่งนี้เป็นอาชีพโบร่าโบราณของปู่ย่าตายาย เราจงต้องหาวิธี
ประคองรักษาอาชีพตรงนี้ไว้ให้นานเท่าท่ีจะนานได้ เวลาเราไปนั่งดื่มกาแฟตามห้างต่างๆ น้าตาลของ
เราดีกว่าที่ใช้กันมาก แต่ของของเราไม่มีโอกาสไปสู้หรืออยู่ตรงนั้น แต่สักวันหนึ่งเราต้องออกตลาดไป
อย่ตู รงน้ันให้ได้ แล้วคนนอกก็จะรูว้ ่าของจรงิ อยูท่ ่ไี หน เราต้องพสิ จู นต์ ัวเองให้ได้

ปัจจุบันผมกาลังพัฒนาสถานท่ีเพ่ือจะให้ได้ อย.ให้ได้ เรามีสถานที่แล้ว ส่วนหน่ึงผมมีงบ
เทา่ ไหร่ก็ลงไป เรากาลงั สรา้ งหอ้ งทาผลิตภัณฑ์ทใ่ี ห้อย.มารับรองได้”

สุรินทร์ พฒั นจริ างกูร
ผูใ้ หญ่บา้ นหมู่ 7 ต.จะรงั อ.ยะหร่งิ จ.ปตั ตานี

ตอ่ ยอดสูก่ ารทอ่ งเท่ียวเชิงนิเวศและการทางานพัฒนาร่วมกับเยาวชน

ตาบลจะรังมีความเปลีย่ นแปลงเกิดขึ้นหลายอย่างทั้งทางด้านกายภาพและวิถีชีวิตผ้คู น ในด้านกายภาพ ปี 2564
ที่ผ่านมา ถนนลูกรังในตาบลได้รับการพัฒนาเป็นถนนคอนกรีต และมีสะพานเช่ือมกับแผ่นดินใหญ่ 4 จุด โดยเฉพาะการ
ข้ามฟากระหว่างอาเภอยะหร่ิงและปะนาเระ ทาให้การคมนาคมสะดวกมากย่ิงข้ึนมีการพัฒนาแหลง่ น้าเพิ่มเติม ในด้านวิถี
ชีวิตชุมชน กลมุ่ คนว่างงานในชุมชนโดยเฉพาะกลมุ่ แม่บ้านและเยาวชนได้เรียนรู้และเชื่อมโยงกันเข้าเป็นกลุ่ม พลกิ ฟ้ืนภมู ิ
ปัญญาด้ังเดิมเช่ือมโยงกับช่องทางการตลาดภายนอกจนสามารถมีอาชีพและรายได้พ่ึงตนเอง รวมท้ังยังเรียนรู้และปรับตัว
ร่วมกันอย่างต่อเน่ืองเกดิ ความเข้มแข็งของสหกรณ์ปาล์มน้ามัน มีโรงทาปุ๋ย คนกลับมาทาตาลโตนดมากข้นึ และเปิดตลาด
รอ้ ยปรี บั ผมู้ าเยือน

82

หลงั จากการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนแล้ว พลังของความร่วมมือร่วมใจของชาวจะรังยังพุ่งไปข้างหน้าอย่าง
ต่อเนื่อง และต่อยอดสู่การเปิดชุมชนเป็นแหล่งท่องเท่ียวเชิงนิเวศเพื่อสร้างทิศทางการพัฒนาท่ีย่ังยืน โดยจัดให้มีกิจกรรม
หลากหลายรองรบั นกั ท่องเท่ยี ว เชน่ การเยย่ี มชมวถิ ชี ีวิตคนทาตาล การล่องแพ ขับเจท็ สกี บริการดา้ นอาหาร เป็นต้น ซ่งึ
สะท้อนถึงความกระตือรือร้นในการพัฒนาชุมชนของตนเองอย่างมาก เป็นการพัฒนาท่ีอยูบ่ นฐานความต้องการของชมุ ชน
โดยมีทาง ม.อ. ปัตตานีทาหน้าที่เป็นพี่เล้ียงสนับสนุนท้ังด้านวิชาการความรู้ ทุน เครือข่าย และกาลังใจในการลงมือทา
รวมทั้งกาลังเตรียมทาศูนย์เรียนรู้ในตาบลจะรัง และเตรียมพานักท่องเที่ยวมาสัมผัสวิถีชุมชนของชาวจะรังมากข้ึนหลังโค
วดิ ซาลงแลว้

“ปี 2563 มีโครงการ 1 ตาบล 1 มหาวิทยาลัยเข้ามา เราก็เลือกตาบลจะรังเป็นพื้นท่ีทางาน
ของมหาวทิ ยาลยั พ่ีไพรตั น์ (จีรเสถียร) ท่อี ยู่หน้างานบอกวา่ จะเก็บข้อมูลหมดทกุ ทนุ เลยทนุ สังคม ทุน
วฒั นธรรม ทุนทรพั ยากรชวี ภาพ และทุนอาชีพ แล้วดูว่าตรงไหนบา้ งทีย่ งั ขาด และยังต้องเติม

ชาวบ้านอยากทาเร่ืองท่องเที่ยวคณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ร่วมกบั กับสานักส่งเสริม
ฯ ชวนให้ชาวบ้านคิดเส้นทางท่องเที่ยวจะรังใน 1 วัน ชาวบ้านก็ทาเซอร์เวย์เส้นทาง 1 วันมาจริงๆ
อาจารย์เข้าไปดูเส้นทางท่องเท่ียว แล้วก็ส่งไลน์ไปในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเท่ียวจังหวัดปัตตานี เขา
บอกว่าจะหาจังหวะลงไปดูเส้นทางด้วย โชคดีที่เราทางานแล้วได้เครือขา่ ยท่ีดี ถ้าไม่ได้เครือข่ายก็จอด
เหมอื นกนั

“อาจารย์ใช้ความคิดชาวบ้านเป็นที่ตั้ง ถามว่าเขาอยากได้อะไรให้เขาคิดก่อนแล้วเราก็เสริม
เหมอื นกิจการลอ่ งแพน่ีเขาก็คิดเองประชมุ กันในหม่บู า้ น คิดเสร็จก็ระดมทุนทาเลย ลงหุ้นกนั เองห้นุ ละ
2,000 - 5,000 บาท มีทั้งหมด 50 หุ้นไม่นึกว่าเขาจะทาจริงๆ เขาทาเสร็จแล้วส่งรูปมาให้อาจารย์ดู
เขาเอาจริงลุยกันแล้ว อาจารย์กลวั มีปญั หากับกรมเจา้ ทา่ ก็เลยพาพ่ีไพรตั น์ (จีรเสถียร) ไปขออนุญาต
กรมเจ้าท่าเรยี บร้อย ลา่ สุดกจ็ ะประสานทาง ททท. จังหวัดปัตตานี ให้พีส่ ุชาติ (ชายมนั ) ลงไปบรรยาย
ใหค้ วามรู้เร่อื งการท่องเท่ยี วเชงิ นเิ วศชุมชน

เวลาคุยกันเสร็จ ถ้ามีอะไรช่วยเชื่อมประสานได้อาจารย์ก็เขียนไลน์ส่งให้เลย เดี๋ยวรอข่าวนะ
คอื ชาวบ้านตอบสนองเรา เราก็ตอบสนองใหเ้ ขาทนั ที”

ผศ.ดร. จรรี ัตน์ รวมเจริญ
อาจารย์คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยมี หาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตปตั ตานี

อีกกิจกรรมหนึ่งที่สาคญั ในจังหวะก้าวนี้ คือการรวมตัวของ“เยาวชนคนลา่ ฝนั บ้านจะรัง” เพ่ือบ่มเพาะความรู้สกึ
สานึกรักบ้านเกิดผ่านการร่วมกันทากิจกรรมพัฒนาชุมชนต่างๆ เช่น การทาความสะอาดมัสยิด การทางานอาสาในชุมชน
และถ่ายทอดเร่ืองราวกิจกรรมดีๆของกลุ่มทางเพจเฟซบุ๊กช่ือเดียวกับกลุ่มด้วย ผู้ใหญ่สุรินทร์เน้นความสาคัญในการดูแล

83

เยาวชนลกู หลานของหมู่บา้ นและตาบล การมีงานทา ปัญหายาเสพติด รวมถึงตดิ ตามให้คาแนะนาการใช้ชีวิตแกเ่ ยาวชนท่ี
ออกไปศึกษานอกพนื้ ท่ี

“ผมมีกลุ่มเยาวชนกลุ่มหน่ึง ท้ังท่ีจบปริญญาตรี จบม. 6 หรือไม่มีงานทา มารวมเป็นกลุ่ม
เดียวกนั ให้เขาเสนอความคดิ เห็นวา่ ตอ้ งการให้ผ้นู าเปน็ ยังไงใหห้ มูบ่ ้านเป็นยังไง แลว้ ตัวเขาเองต้องการ
อะไรเราตอ้ งเอาเยาวชนเหล่าน้ีมาเปน็ สมองของพวกเราอีกทหี น่งึ ในการบรหิ ารจดั การหมู่บา้ น

สมมุติลูกหลานของผมหรือของลูกบ้านไปเรียนกรุงเทพฯแล้วฐานะการเงินทางบ้านไม่คอ่ ยดี
ผมจะไปคุยกับครอบครัวเขา ถา้ ลกู จะเรยี นจรงิ ผมสามารถชว่ ยได้ หรอื ช้นี าไดว้ า่ ถ้าเราไมข่ เ้ี กียจ เราก็
สามารถหาเงินได้ผมเองก็เล้ียงตัวเองมาตลอดตั้งแต่เด็กผมสามารถใช้ชีวิตจนสาเร็จกับเราเองและ
สาเร็จให้สงั คมด้วย ถ้าจะเรียนจริงก็ต้องไม่ใช่เรียนอย่างเดียวคณุ ต้องเรียนรชู้ ีวิตด้วยโชคดีอย่างหนึง่ ที่
หมู่ 7 น่ีจบระดับปริญญากันมาก รับราชการกันหลายคน เป็นแบบอย่างให้คนรุ่นหลงั ดาเนินชีวิตตาม
รนุ่ พี่ แลว้ ก็รุ่นพีก่ ส็ ามารถแนะนาคนที่ขาดโอกาสดา้ นการศกึ ษาได้

ผมมีข้อมูลหมดเลยว่าปีหน่ึงเด็กจบกี่คนได้ทางานกี่คน คนท่ีไม่ทางานทาอะไรอยู่ท่ีไหน
เพราะเยาวชนส่วนใหญ่จะไปเรียนนอกพื้นท่ีบางคนเรียนจบก็ทางานต่อเลย ไม่กลบั บ้านเรามีทางออก
ที่จะช่วยเขาได้มากน้อยแค่ไหนเรามองเขาเป็นลูกหลานในฐานะเราคือพ่อคนหนึ่ง เพราะในหลวงคือ
พ่อของประเทศเราใช่มย้ั ฉะน้ันผมก็ต้องแสดงบทบาทเปน็ พอ่ ของหมู่บ้านเหมือนกัน

ในอนาคตถ้าเป็นไปได้ ผมมีความฝันว่าจะมีบริษัทจะรังเป็นบริษัทจะรัง เป็นธนาคารจะรัง
เปน็ ห้างจะรัง เป็นความฝัน แมม้ ันยากหน่อย แต่อยากจะให้เป็นนะ”

สุรนิ ทร์ พฒั นจริ างกรู
ผ้ใู หญบ่ า้ นหมู่ 7 ต.จะรัง อ.ยะหร่ิง จ.ปตั ตานี

งานพัฒนาระดับตาบลทาให้อบต.จะรังได้รับการยอมรับมากข้ึน นายกอบต.ของจะรัง ซ่ึงเป็นคนหนุ่มนักพัฒนา
และทางานกับกลุม่ เยาวชนอย่างจริงจังก็ได้เป็นประธานอบต.ของจังหวัดปัตตานี แล้วโอกาสมากที่จะได้เป็นนายกอบจ.ใน
อนาคตมีสูงมาก เมื่อเกิดเครือข่ายการพัฒนาขึ้นท่ีจะรัง ตาบลใกล้เคียงก็มีตัวอย่างในการเริ่มขยับเพื่อดูลู่ทางการเดินไป
ข้างหน้าเช่นกนั

คณุ ธรรมอยใู่ นความสามัคคี ความร่วมมอื ความไวเ้ น้อื เชอ่ื ใจกัน และการพง่ึ ตัวเองได้

ความเจริญงอกงามของผู้คนในชุมชนจะรังเกิดข้ึนท่ามกลางความผันผวนของสถานการณ์ทางสังคมในจังหวัด
ชายแดนใต้ จดุ แขง็ ท่สี าคญั ที่สดุ ของชาวจะรงั อยู่ทีเ่ ครือขา่ ยผนู้ าทีท่ างานหนกั ด้วยความมงุ่ มัน่ เพอื่ สรา้ งความอย่ดู มี ีสุขและ

84

มีรายได้เพียงพอให้คนในชุมชน ทั้งคณะกรรมการหมู่บ้านและผู้นาฝ่ายต่างๆนายกอบต. กานัน ผู้ใหญ่บ้าน โต๊ะอิหม่าม
สมาชิกอบต. แกนนากลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน และกลุ่มต่างๆในชุมชน และอยู่ที่ความรัก เอื้ออาทร ความสามัคคี และ
ความสามารถในการรวมกลุ่มและทางานด้วยกันของคนในตาบล ซ่ึงสาคัญอย่างยิ่งในการเป็นปราการโอบอุ้มให้เกิด
บรรยากาศของความและสงบปลอดภัยขึ้นภายในชมุ ชนโดยรวม

“ความสมัครสมานสามัคคีของชาวบ้านคือพลังของผม ในเมื่อเขาจับมือกันแล้วเราในฐานะ
ผู้นาก็ต้องพาพวกเขาไปให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ได้ ความสาเร็จของผมก็คือความสาเร็จของ
ชาวบา้ น ชาวบ้านสาเรจ็ ผมก็ดีใจด้วย

การส่งเสริมอาชีพอย่างน้อยทาให้เกิดสานึกรักบ้านเกิดถ้าเรามีอาชีพในพ้ืนที่ของเรา
ครอบครัวของเราก็คงมีสุข เพราะจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาไม่ต้องไปแย่งอาชีพ ไม่ต้องไป
เส่ยี งอะไรขา้ งนอกอีก คนขา้ งนอกต้องมาหาเรา

จุดเด่นของท่ีน่ีคอื สภาพพื้นท่ียังสมบูรณ์อยู่ และวัตถุดิบก็ยังพอมีอยู่ในพ้ืนที่ ที่สาคัญที่สุดคือ
ชาวบ้านรักซึ่งกันและกัน มีความสมานฉันท์ มีความรักสามัคคี มีการร่วมมือร่วมใจกันไม่ว่าเรื่องใดก็
แล้วแต่หน่วยงานไหนเข้ามาในพ้ืนที่ก็จะให้ความร่วมมือ หรือผู้นาขอความช่วยเหลือชาวบ้านก็จะให้
ความร่วมมือคนที่นี่สามัคคีกันอยู่แล้ว เห็นได้ชัดจากการเลือกตั้งต่างๆ จะไม่แบ่งแยกกัน เดินกันเป็น
ก้อน เป็นหมู่คณะ ถา้ มีปญั หาอะไร ใครจะคดิ ตา่ งกไ็ ด้ แต่มาสรุปกนั ในท่ีประชมุ

สิ่งสาคัญของการรวมกลุ่มคือความเข้าใจ ความไว้ใจและความซ่ือสัตย์ต่อกันเราต้องจัดวาง
ระบบให้ชัดเจน มีการมอบหมายหน้าท่ีและความรับผิดชอบต่างๆภายในกลุ่ม ตัวเลขต่างๆต้องมีลาย
ลักษณ์อักษรชดั เจน ชีแ้ จงได้ มีงบเท่าไหร่ เราซื้ออะไร จ่ายเทา่ ไหร่ รบั มาเทา่ ไหร่ ส่วนตา่ งไดเ้ ท่าไหร่

กลุ่มต่างๆที่เรารวบรวมกันไว้จะได้เป็นแบบอย่างให้ลูกหลานในอนาคตว่าบ้านจะรังต้องอยู่
แบบนี้ถึงจะสงบได้ แม้เราจะมีเงินน้อยแต่เราอยู่ด้วยความเข้าใจ เข้าถึงซ่ึงกันและกัน นั่นแหละคือ
ความสงบ เป็นความสขุ ที่ไม่สามารถไปหาท่อี ่ืนได้นอกจากบ้านจะรังของเราเท่านน้ั เราต้องรกั ษาบรบิ ท
ตรงนไี้ ว้ใหน้ านเทา่ นาน”

สุรนิ ทร์ พฒั นจริ างกรู
ผูใ้ หญ่บา้ นหมู่ 7 ต.จะรัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี

ปัจจัยที่สาคัญที่สุดอีกประการหน่ึงคือการที่การมีหน่วยงานราชการหลากหลายท่ีเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมทางและ
สนับสนุนการพัฒนาให้เกิดขึ้น โดยมีคนที่เอาจริงเอาจัง มุ่งมั่น รับฟัง เข้าใจ และคอยประสานเชื่อมโยงโลกสองฟาก ท้ัง
ส่วนชุมชนและรัฐ ใหเ้ อือ้ ประโยชน์และสนับสนนุ กนั เพือ่ ความเจริญงอกงามไปด้วยกนั แทนทจ่ี ะเปน็ การกดกันหรือควบคมุ
ด้วยกฎระเบียบที่ทาให้ชีวิตตามธรรมชาติของชุมชนแคะแกร็น ทาให้ความต้ังใจจริงและมีเจตจานงที่แน่วแน่จากภาครัฐท่ี

85

จะช่วยเหลือชุมชน ได้พิสูจน์ตัวเองผ่านกระบวนการทางานร่วมกันจนเกิดเป็นความรักและไว้วางใจซึ่งกันและกันในการ
ทางานพัฒนาแบบมีส่วนร่วมฉนั เพ่ือนมิตรโดยประเด็นสาคัญก่อนสง่ิ อ่ืน คือต้องทาให้ชุมชนพ่ึงตนเองได้ เขาจึงจะสามารถ
มีกาลงั ยนื หยดั และกาหนดอนาคตตนเองได้ในก้าวต่อไป

“ก่อนนั้นเขาอาจไม่เห็นค่าทรัพยากรชวี ภาพท่ีเขามีสักเทา่ ไหร่ แต่เราไปเชียร์ อันน้ีก็ได้ อันนี้
ก็ได้ ทาไมไมท่ าอันนี้ ทาไมคดิ แค่น้ี ทาไมไม่ทาตอ่ เลยกลายเป็นอาชพี ขน้ึ เยอะ

การพัฒนาจะเกิดก็ต่อเม่ือใช้วิชาการเข้าไปช่วย ไปทุกครั้งก็จะเอาแนวคิดไปให้เรารักเขา
ร่วมทกุ ข์ร่วมสุขกับเขา เขารกั เรา และพรอ้ มจะเปล่ียนแปลง

ส่ิงสาคัญคือให้เขาพ่ึงตนเองได้ก่อน แล้วหลังจากนั้นสมานฉันท์จะตามมาเองสมานฉันท์ใน
ที่น้ีมีต้ังแต่ระดับครัวเรือน ถ้าเขาพึ่งตนเองได้ระดับครัวเรือน ปัญหาจะน้อย แต่ทุกวันนี้เขาพ่ึงตนเอง
ไม่ได้ ความสมานฉันท์ในครัวเรือนเลยไม่มี สองสมานฉันท์ในกลุ่มเล็กๆ ใหญ่ข้ึนมาคือระดับหมู่บ้าน
ใหญ่ขึ้นมาคือระดับระหว่างหมู่บ้าน ใหญ่ขึ้นมาคือระดับตาบล ตาบลกับตาบล ตาบลไปเช่ือมกับ
อาเภอ ตาบลไปเช่ือมกับจงั หวดั

ต้องยอมรับว่าในพื้นที่ เรื่องอิทธิพล เรื่องระบบการศึกษาไม่ได้ถูกแก้ มันผูกโยงกันมา
อาจารย์อยู่ตรงกลาง เราไม่ได้เข้าข้างไหน เราเข้าข้างชาวบ้าน เข้าข้างความดีงาม พอเห็นข้อมูลก็ขอ
เจาะพน้ื ทตี่ รงน้นั เพื่อให้เขาพึ่งตนเองได้แล้วจะเป็นจุดเลก็ ๆทีเ่ กดิ การเปลย่ี นแปลง

โครงการ 1 ตาบล 1 มหาวิทยาลยั ท่ีเข้าไปทาใหไ้ ด้เจอและคุยกนั บ่อยข้นึ มสี มานฉันทเ์ กิดขนึ้
ด้วยในหลายมิติ ที่น่ีมีหลายส่วนเข้าไปช่วย เม่ือเกิดปัญหาเราใช้วิธีประนีประนอมแล้วคุยกัน ไม่ต้อง
กังวลว่าใครผิดใครถูก ส่ิงผิดถูกตั้งไว้ข้างหลัง แต่เราเดินไปข้างหน้าด้วยความดีงามและความถูกต้อง
อย่าพูดความไม่ดี พูดถึงความดแี ล้วกเ็ ดินไปข้างหนา้ ไม่ดีกแ็ ก้ แค่นั้นเอง

เวลาทางานไม่ใช่ว่าเราจะไปสั่งชาวบ้าน เราต้องได้ใจ แล้วก็ไปช่วยทาให้เขาเห็นต้นแบบ
เพราะบางทีเขากเ็ ร่ิมไม่ถกู เหมอื นกัน ถ้ามตี ้นแบบแล้ว มกี ระบวนการแลว้ หลังๆเขาจะเร่มิ เองได้

ความเชื่อมั่นของเขากับบุคคลท่ีเข้าไปทางานด้วยสาคัญมาก การไว้วางใจ ความจริงใจ มอง
ตาเหมือนจะรู้ใจ ถ้ามองตาแล้วหลบตาเขาก็จบเลย เพราะพื้นที่สามจังหวัดบอกเลยว่าไม่ธรรมดาใน
การที่จะลงทางาน ถ้ามาแป๊บๆ เขาไม่เอาค่ะ มาแล้วต้องมาใหเ้ ห็นบ่อยๆ เวลาอาจารยล์ งพน้ื ทีแ่ ล้วลุย
รอ้ ยเปอร์เซน็ ต์ ใจเกนิ รอ้ ย การลงพน้ื ทถ่ี า้ เรากลา้ ๆกลวั ๆไมไ่ ด้

เขาขยับกันเป็นขบวน ไม่ได้ขยับแค่กลุ่มเล็กๆ แต่กลายเป็นห่วงโซ่ ทุกมิติถูกขยับหมดเลย
งานพัฒนาในชุมชนถูกพูดคุยผ่านครอบครัว ผ่านกลุ่ม ผ่านมัสยิด ผ่านผู้นา และส่งทอดกันไปเร่ือยๆ
สงิ่ สาคัญคอื ใหเ้ ขาพึง่ ตนเองได้ก่อน”

86

ผศ.ดร. จรรี ัตน์ รวมเจริญ
อาจารย์คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี

ปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้นในตาบลเล็กๆแห่งหนึ่งในพื้นที่สีแดงของประเทศไทย สามารถเป็นจุดสว่าง เป็นตัวอย่าง
เป็นทิศทาง และเป็นกาลังใจท่ีสาคญั ของการทางานพัฒนารว่ มกันของผู้คนหลากหลายฝา่ ยท่เี ก่ียวข้อง ที่เน้นให้เกิดความ
เจริญงอกงามทั้งของปัจเจก ชุมชน และสังคมไปด้วยกัน การเรียนรู้และเปล่ียนแปลงที่สาคัญเกิดจากการร่วมมือปฏิบัติ
อย่างเท่าเทียมในสถานการณ์จริง การเคียงบ่าเคยี งไหลใ่ นการทางานและเผชิญอุปสรรคและความท้าทายต่างๆร่วมกันทา
ให้เกิดความเชื่อม่ันและไว้วางใจต่อกัน ซ่ึงเป็นปัจจัยสาคัญอย่างย่ิงต่อความสาเร็จ และท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น ความมี
คุณธรรมกาลงั เปล่งประกายอย่างมชี วี ิตชวี า

“ตาบลจะรังตอนน้ีฉีดวัคซีนไปมากแล้ว น่ันเป็นตัวชี้วัดตัวหนึ่งว่าสังคมบ้านจะรังให้ความ
ร่วมมือ มีความสามัคคีขนาดไหนแล้วสถานการณ์ต่างๆก็ไม่เคยเกิดข้ึน นี่ก็เป็นตัวชี้วัดเหมือนกัน
อาจารยจ์ ะลงมาเมื่อไหรส่ บายใจได้เลย

พระราชดารัสของในหลวงต้องเอามาใชก้ บั ชวี ิตจริงและพื้นที่ของเรา ผมคดิ จะยอ้ นกลบั ไปหา
อดีตเม่ือผมเด็กๆ แต่ก่อนเราเคยใช้เศรษฐกิจพอเพียงมาต้ังนานแล้ว ในพื้นที่นอกเหนือจากทานาก็ทา
ตาลโตนด และปลูกผักอายุสน้ั และร้ัวกินได้ก็มีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปซ้ือของข้างนอกเลย มีของในหมู่บ้าน
เราทุกอย่าง แต่มาปัจจุบันคนก็เกิดมากขึ้น ธรรมชาติก็หมดไป ก็ต้องมาปรับปรุงแก้ไขธรรมชาติให้
มันดีกว่าเดิม เพื่อผลผลิตเพ่ิมเติม แต่ต้องรักษาของด้ังเดิมไว้ให้ดี อย่าไปทาลายมัน เรามีป่าเราก็จง
รักษาป่า มีแม่น้าเราก็รักษาแม่น้า ในชุมชนเรามีความรัก มีความเอ้ืออาทรซ่ึงกันและกันเราก็ต้อง
รักษาไว้ตรงน้ี เพราะว่าในปัจจุบันกาลังจะหายไปแล้ว ใช้สื่อกระแสสังคมก็ระดับหน่ึง แต่ต้องรักษา
บรบิ ทของตัวเองไวใ้ ห้ดี

ผมภาคภูมิใจมากครบั ทไ่ี ด้ทางานใหเ้ กิดประโยชน์แก่สังคม”
สรุ ินทร์ พัฒนจิรางกูร

ผ้ใู หญบ่ ้านหมู่ 7 ต.จะรงั อ.ยะหร่งิ จ.ปัตตานี

87

ยามหี ละ๊ ตาหา (กะละห)์
ประธานวสิ าหกิจชมุ ชนจะรังตาลโตนด

“กะละห์ต้องเร่ร่อนหางานทาเข้ามาเลเซียบ้าง ไปต่างจังหวัดบ้างเพ่ือทางานเล้ียงครอบครัว อยู่มาวันหน่ึงแม่ไม่
สบาย มีพี่น้องไม่ก่ีคน กะละห์เลยกลับมาอยู่บ้าน คิดว่าเราจะทางานอะไร เพราะคนบ้านเราส่วนมากออกนอกชุมชนไป
ทางานพืน้ ทีต่ ่างๆ มนั ไมม่ งี านทส่ี าหรับใหค้ นในพนื้ ท่เี ราทา

ได้เจอนัสรีย์ ดอเลา๊ ะ บัณฑิตแรงงานของหมู่บ้านท่ีเป็นเพื่อนกันสมัยประถม เขาแนะนาให้จัดต้ังกลมุ่ ทาขนมขาย
และคอยช่วยประสานขั้นตอนว่าเราต้องทายังไงเขามีเพ่ือนหลายมาสอนเร่ืองขนมได้ ทาแลว้ ต้องทาให้ถึงที่สดุ ไม่ว่าจะเจอ
อปุ สรรคอะไร เพราะการทากลมุ่ จะผ่านตรงน้ียากมาก

กะละห์ปรึกษากับกลุ่มแม่บ้าน 4-5 คน บัณฑิตแรงงาน และผู้ใหญ่บ้าน เรามาทาถั่วแผ่นกันไหม หาสูตรและ
พยายามทาด้วยตัวเอง รู้สึกว่ามันแข็ง เลยเปลี่ยนจากใช้น้าตาลทรายมาใช้น้าตาลโตนดทาให้รู้ว่าน้าตาลโตนดทาให้ขนม
หรอื เบเกอรีน่ ุ่มโดยไม่ต้องใช้ผงฟูหรือสารทท่ี าให้นุม่

อาจารย์ไพรัตน์ (จีรเสถียร) จากสานักส่งเสริมฯ ม.อ. เขาส่งกะละห์ไปอบรมเรื่องขนมอาจารย์จุดประกายว่าเรา
ต้องเปล่ียนเป็นสินคา้ ที่ต่อยอดมาจากของในชุมชนเราเลยนัดคุยกับกลุ่มแม่บ้านว่า เราต้องมาทาเกี่ยวกับตาล ชาวบ้านท่ีน่ี
ขนึ้ ตาลจะขายปลี ะครั้งซ่งึ จะมีรายไดเ้ ป็นก้อน แลว้ ก็ไมม่ ีตลาดขายดว้ ย กะละหเ์ ลยลองรบั น้าตาลเหลวจากชาวบา้ นมาแปร
รปู ขนมทกุ อยา่ งทก่ี ล่มุ เราทาจะใช้น้าตาลโตนดแทนน้าตาลทราย แล้วก็ทาข้าวเหนียวกวนทเ่ี ปน็ ของขน้ึ ชอ่ื ของที่นี่ น้าตาล
โตนดทีน่ เ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์ เพราะว่าหวานไมเ่ หมอื นท่อี นื่ ๆ จะหวาน 28 องศาบรกิ ซข์ ้นึ ไป ขนึ้ อยกู่ ับอากาศหรือฤดูฝน

เราขออนุเคราะห์จาก ม.อ. ปัตตานี ซึ่งเป็นนักวิจัยช่วยวัดค่าความหวานของน้าตาลและสารอาหาร มีหน่วยงาน
ของกรมการพฒั นาชมุ ชน (พช.) มาช่วยเรือ่ งบรรจภุ ณั ฑ์และเร่ืองบัญชี กเ็ ดนิ ตามเตาะแตะๆล้มบา้ งลกุ บ้างตามประสาคนที่
ไม่ได้เรียนหนังสอื แต่มผี ใู้ หญ่บ้านและบณั ฑิตแรงงานท่พี ยายามสง่ เสริมให้ความรวู้ า่ เราต้องเดนิ ยงั ไง

ตอนเรมิ่ ตน้ ใช้อุปกรณ์กะละหท์ กุ อย่างเลยเพราะเราไม่มีทนุ เรียกชาวบ้านญาติพน่ี อ้ งมาระดมทุนคนละ 100 บาท
ก็ได้ ทากันเล็กๆก่อนให้รู้สึกว่าเป็นต้นทุนของเรา แรกๆก็ไม่มีใครเห็น กะละห์ก็ทาเร่ือยๆต้ังแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน
ตอนนี้ชุมชนรับรู้ว่าเรามีกลุ่มแม่บ้านที่สร้างงานและรายได้ให้ชุมชนเรา ตอนน้ีกลุ่มมีสมาชิก 74 คน เป็นกลุ่มแม่บ้าน 24
คน และสมาชกิ วสิ าหกจิ ชมุ ชนล่องแพอีก 50 คน

ชุมชนเราสามัคคีกัน และผู้นาสนับสนุนเรื่องการสร้างอาชีพหลายคนมาคิดมาสมองระดมกันเราเดินไปแนว
เดียวกันแลว้ พยายามไม่แบ่งแยก ใครจะเปน็ ประธาน รองประธาน พอปฏิบัตจิ รงิ จะอยู่เหมือนกนั หมด เราใชเ้ สยี งสว่ นมาก
ตกลงกันวา่ อันไหนดีที่สดุ เรากจ็ ะตามด้วยกนั กะละหเ์ ปน็ คนที่เปิดเผย เจอปญั หาอะไรก็คุยกนั แบบเปดิ ใจอย่กู นั แบบพี่น้อง
คนหมู่ 7 คอื ญาตพิ ีน่ อ้ งกันหมดเลย

88

ตอนนี้ยังต้องการตลาดตลาดเรายังไม่กว้างพอ แล้วก็เร่ืองวิชาการ คนในชุมชนกะละห์การศกึ ษาไม่ค่อยสูงแต่เขา
เต็มใจทา แต่บางอย่างก็ไม่รู้ว่าจะต้องทาอย่างไร ย่ิงตอนน้ีโควิดเราออกบูธไม่ได้ ทางรอดคอื ออนไลน์ ซ่ึงกะละห์ก็ยังอ่อน
ตรงนี้ มนี อ้ งๆไมก่ ่คี นมาชว่ ย กลมุ่ เราก็มอี อเดอรต์ ลอด แตว่ ตั ถดุ ิบกย็ งั มีเยอะ เราจะทายอดได้ถ้ามตี ลาดกว้างกวา่ น้ี

เม่ือแม่บ้านเรามีรายได้ เขารู้สึกว่าไม่ต้องงอมืองอเท้าขอเงินจากสามี ผู้หญิงเราถ้าเราอยู่บ้านทางานบ้าน
ทากับขา้ วแลว้ กเ็ ลี้ยงลูก กะละห์คนหน่ึงไม่เห็นด้วย ยุคสมัยน้ีเราพยายามมีงานทา เราออกไปสร้างสรรค์ มาร่วมกลุ่ม เวลา
ทากิจกรรมหรือว่าทาน้าตาลทาให้คนอารมณ์ดี พูดคุยปัญหาของแต่ละครอบครัว เป็นการแก้เครียดของแม่บ้านส่วนหน่ึง
บางทเี ขาอยู่บา้ นเครยี ดก็ไม่รจู้ ะคุยกับใคร แลว้ ชมุ ชนก็ได้เงินดว้ ย

เป้าหมายของกะละห์อยากจะทาเป็นบริษัทของชุมชนตาบลจะรัง แล้วก็จ้างลูกหลานคนจะรังมาทางาน จะได้
รองรบั ลกู หลานเรา เด็กท่ีจบปรญิ ญาตรีแล้วไม่มงี านทา น่ีคือความหวังทีส่ ุดของที่สุดเลย ตอนน้ีกลมุ่ เรามเี ยาวชน ผสู้ ูงอายุ
และวยั กลางคน มที กุ ระดับเดก็ ๆอายุ 15-20 ปี กพ็ ยายามหาวทิ ยากรมาอบรมเปน็ ไกด์ชุมชน

เรามีความสุขที่ทาให้ชุมชนมีรายได้ สร้างงานสร้างอาชีพแล้วก็สร้างรายได้ให้ชุมชน ได้มีกลุ่มท่ีสามารถเป็นศูนย์
เรียนรทู้ ีเ่ ขามาเรยี นทช่ี มุ ชนเราได้ กะละห์ภูมิใจทเี่ ปน็ ลูกหลานคนจะรัง”

89

4.6 ชุมชนนาทอน อาเภอทงุ่ หว้า จงั หวดั สตูล
พ้นื ที่วฒั นธรรมแบบใหมท่ ห่ี ลอมรวมชวี ติ ทางโลกและทางธรรมเข้าด้วยกนั

“เป้าหมายสงู สุดคอื อยู่ดว้ ยกันอยา่ งสนั ตสิ ุข คณุ อยูใ่ นศาสนาไหน คุณอย่ทู ่ีน่นั แหละ
แต่คุณจะทาอยา่ งไรให้ชวี ติ คุณมคี วามสขุ ทาให้คนอื่นมีความสขุ ดว้ ย และเกดิ ความสงบ ความเจริญขึ้นในบา้ นในเมอื ง”

อิหมา่ มมิตรชา โต๊ะลาตี
มัสยิดบารายี ต.นาทอน อ.ทงุ่ หว้า จ.สตลู

การหลอมรวมศาสนธรรมกบั งานดา้ นสขุ ภาพ

จังหวัดสตูลเป็นจังหวัดชายแดนใต้รมิ ฝั่งอนั ดามันที่ประชากรราว 3 ใน 4 นับถือศาสนาอิสลาม และเป็นจังหวดั ที่
มีสถานการณ์ความรุนแรงน้อยกว่าจังหวัดชายแดนใต้อ่ืนๆ โดยเป้าหมายของจังหวัดต้องการพัฒนาตัวเองเป็น “แหล่ง
ท่องเที่ยวเชงิ นิเวศ อุทยานธรณโี ลก เศรษฐกจิ มน่ั คง สังคมน่าอย่สู นั ตสิ ุขยง่ั ยืน ประตสู ่อู าเซยี น”

จังหวัดสตูลมีแนวคิดในการทางานพัฒนาแบบพหุวัฒนธรรม โดยใช้ต้นทุนจากผู้คนท้ังไทยพุทธ ไทยมุสลิม ไทย
จีน และจากแรงศรัทธาท้ังจากศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาจังหวัด โดยในจังหวัดสตูลมี
พื้นที่ตัวอย่างที่ดีและเป็นรูปธรรมของการทางานพหุวัฒนธรรมในความหมายกว้างท่ีน่าศึกษาเรียนรู้อยู่ท่ีตาบลนาทอน
อาเภอทุง่ หวา้ ห่างจากตัวจงั หวดั ข้ึนไปทางเหนอื ราว 60 กิโลเมตร

ตาบลนาทอนมี 9 หมู่บา้ น มีประชากรราว 7,000 คน ใน 2,100 ครวั เรือน สภาพพืน้ ท่ขี องนาทอนมีระบบนเิ วศที่
หลากหลาย ท้ังเทือกเขา ที่ราบสูง ท่ีราบลมุ่ น้าทะเลท่วมถึง และชายฝงั่ ทะเลทเ่ี ป็นปา่ ชายเลน ผคู้ นส่วนใหญ่นบั ถือศาสนา
อิสลาม (95%) บางส่วนนับถือศาสนาพุทธ และนับถือศาสนาคริสต์เป็นส่วนน้อย มีมัสยิด 8 แห่ง และสานักสงฆ์ 1 แห่ง
ส่วนใหญ่ประกอบอาชพี เกษตรกรรม เชน่ ทาสวนยางพารา ปาลม์ นา้ มัน และประมงชายฝง่ั เป็นพื้นทท่ี ช่ี าวไทยมุสลมิ ไทย
พทุ ธ และไทยเชอ้ื สายจีนอยู่รว่ มกันอย่างเก้อื กลู

นาทอนเป็นพ้ืนที่ชนบทท่ีต้องเผชิญคลื่นลมของการเปล่ียนแปลงในโลกทุนนิยมสมัยใหม่ ไม่ต่างจากชุมชนชนบท
อ่ืนๆที่กาลังเผชิญสถานการณ์แตกร้าวทางสังคมหลายระดับ ตั้งแต่ในครอบครัวที่พ่อแม่มุ่งทางานจนไม่มีเวลาดูแลลูก
ปัญหาหนี้สิน การหย่าร้าง เยาวชนติดยาเสพติด ท้องวัยใส และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆโดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเร้ือรังทม่ี ากและ
รุนแรงข้ึน คนนาทอนกาลังพยายามปรับตัวคร้ังใหญ่ เพื่อให้อยู่รอด อยู่ดี ขณะที่ยังสามารถดารงอัตลักษณ์ตามความเชื่อ
ความศรัทธา และดารงวิถีชีวิตตามคุณค่าและความหมายท่ีคนในชุมชนให้ความสาคัญ โดยท่ามกลางความพยายามรับมือ
กับปญั หาด้วยวธิ กี ารต่างๆนนั้ การนาหลักศาสนธรรมเข้ามาใช้ก็เปน็ อีกหนทางหนึง่ ทีส่ าคัญ

90

ราว 15 ปีก่อน จรัญญา รังสรรค์ พยาบาลวิชาชีพประจาห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลทุ่งหว้า จ.สตูล มีปัญหา
สุขภาพรุนแรงจากการเข้ารับการรักษาตัวด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันแล้วมีภาวะแทรกซ้อน จนเกิดความเข้าใจลึกซ้ึงว่า
การมีสุขภาวะน้ันต้องไปไกลกว่าการรักษาทางด้านร่างกาย แต่ต้องกลับมาหาต้นทุนภายใน คือความศรัทธาต่อพระเจ้า
และความเชื่อว่า มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อทาประโยชน์ เพื่อเก็บผลบุญ และเพ่ือใช้ชีวิตบนโลกอย่างมีคุณค่าต่อสังคมให้มาก
ที่สุดเท่าที่มีเวลาชีวิตเหลืออยู่บนโลกนี้ เป็นการปฏิบัติอามานะฮ์ คือการทาหน้าท่ีที่รับผิดชอบให้สมบูรณ์และดีที่สุด ก่อน
จะถกู สอบสวนตอ่ หนา้ พระเจ้าหลังจากตายไปแลว้

จรัญญาเร่ิมนาหลักศรัทธามาใช้รักษาตัวเอง และใช้กับงานชุมชนที่เธอทาอยู่ด้วย โดยเฉพาะงานท่ีเกี่ยวกับการ
ปรับพฤติกรรมเรอ่ื งการลดความอ้วนและลดโรคไม่ติดตอ่ เรอ้ื รัง ต้งั แต่ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา

“สุขภาวะไม่ได้เกิดจากการไม่ป่วย แต่เกิดจากการเข้าใจสิ่งท่ีเราเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน รู้ว่าเรา
เหมาะกับส่งิ ไหน เราสขุ แค่นี้ กินแค่น้ี มีเงินแค่น้ี เราไม่จาเป็นต้องรวย และเราทาเพื่อชุมชนด้วยทนุ ท่ี
เรามี ณ เวลาปจั จุบนั

เม่อื กอ่ นทงุ่ หวา้ เปน็ ชนบทมาก มีธนาคารแห่งเดียวคือธนาคารกรงุ เทพ ยงั ไม่มีเซเวน่ ตั้งแต่ปี
2550 คนเริ่มอ้วนมากขึ้น เป็นโรคเอ็นซีดี (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) กันเยอะ เราพยายามหาทางช่วย
ชาวบ้านให้ตื่นรู้ ให้เท่าทันตัวเอง กินในส่งิ ท่ีมีโดยไม่ต้องไปตามกระแส โดยใช้หลักวิชาการบูรณาการ
ร่วมกับหลักศาสนา ในการปรับพฤติกรรมในอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) ใช้หลัก
ปฏิบัตติ ามศาสนาเชน่ การถอื ศลี อดในวนั จนั ทรก์ ับพฤหัส ปรากฏว่าแตล่ ะคนลดความอ้วนได้ท้งั หมด

ทาต่อเนื่องสามปีติดกัน หลังจากปีที่สาม เซเว่นเข้ามา โลตัสเลก็ เข้ามา ท่ีผอมๆน่ะอ้วนหมด
เลยในสองปีหลัง ถามเขาว่ามีความรู้แล้วทาไมไปตามโฆษณาอีก เขาบอกซื้อให้ลูก หรือลองกินนิดๆ
หน่อยๆ แต่สุดทา้ ยก็ไหลเข้าระบบนน้ั ไป กจิ กรรมเลยลม่ กลายเปน็ สกู้ ระแสไมไ่ หว”

จรัญญา รังสรรค์
พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลทงุ่ หวา้ อ.ทงุ่ หวา้ จ.สตลู

จรัญญาถอยกลับเข้ามาต้ังหลักในโรงพยาบาล และหาทางเติมมิติการรักษาใจและจิตวิญญาณเพิ่มเข้าไปในการ
รักษาโรคทางกาย โดยนาหลักปฏิบัติทางศาสนาเชื่อมเข้ากับคาแนะนาในการดูแลสุขภาพ ใช้คาพูดเพราะๆในการบริการ
เช่น หากเป็นคนไข้อิสลามก็เอ่ยคาว่า “อัสสลามุอะลัยกุม”(ความสงบสุขและความรักความเมตตาจากพระเจ้าจงประสบ
แด่ท่าน) แล้วก่อนให้บริการก็กล่าวพระนามของอัลลอฮฺ และขอพรให้ความเจ็บป่วยหายเร็วๆ หรือถ้าเป็นไทยพุทธก็นา
แนวคดิ เรื่องการเก็บ“ผลบญุ ” มาใชใ้ นการปฏิบัตงิ านบริการ และชว่ ยใหค้ นไข้นกึ ถงึ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เพ่ือใจที่
เปน็ สุข ท้งั ผ้ใู ห้บริการและผปู้ ว่ ย กิจกรรมเหล่านที้ าไดร้ าวสองปกี ห็ า่ งหายและเลกิ ไป เพราะผปู้ ฏิบตั บิ างคนมองว่าเชยและ
ทมี บรหิ ารไม่ใหค้ วามสาคัญ เนื่องจากนไ้ี มไ่ ดต้ อบโจทยต์ วั ช้ีวัดของงานโดยตรง

91

จรัญญาและทีมงานพยายามทางานตามความเชื่อของตนอีกหลายช่องทางโดยกลับออกไปในพื้นที่ชุมชนอีก คร้ัง
โดยใชเ้ งินซะกาตของตนเองมาจดั กจิ กรรมตา่ งๆ รวมกบั งบของโครงการอืน่ ๆในโรงพยาบาลเทา่ ทหี่ าได้ เช่น การเสรมิ สรา้ ง
ความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างแม่-ลูก ชวนเยาวชนทาละหมาดชักชวนพ่อบ้านให้เข้ามัสยิดมากข้ึน จัดกิจกรรมกับ
เยาวชนในการแยกขยะในชุมชนจนสามารถลดปริมาณขยะในครัวเรือนเป็นผลสาเร็จ จนต่อมากระทรวงสาธารณสุขมี
นโยบายการพัฒนากลไกระบบสุขภาพระดับอาเภอ (District Health System หรือ DHS) ในช่วงปี พ.ศ. 2555
โดยจรัญญาเป็นเลขานุการของคณะทางานดีเอชเอสอาเภอทุ่งหว้า และประสานชักชวนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนให้
ร่วมพัฒนาประเด็นสุขภาพร่วมกัน โดยสร้างเป็นกลุ่มกัลยาณมิตรเพ่ือทางานโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ทุกภาคส่วนให้ความ
ร่วมมือกันเป็นอย่างดี จนทีมดีเอชเอสอาเภอทุ่งหว้าได้รับเลือกเป็นตัวแทนจังหวัดสตูล ไปนาเสนอในระดับเขตสุขภาพที่
12 ในฐานะทีมรว่ มทางานดีและผลงานดี

กิจกรรมทีพ่ ยายามทาเหลา่ นี้มีฟบู ้างฟุบบา้ งตามเหตุปัจจยั ในแตล่ ะชว่ งเวลา ส่วนใหญ่เกดิ จาการเปลยี่ นแปลงของ
ผู้ที่เป็นกาลังสาคัญในการขับเคลื่อนในแต่ละพื้นที่ เช่น จากความเหน่ือยล้า ความขัดแย้ง ความเจ็บป่วย ความตาย หรือ
การโยกย้ายไปประจาการที่อื่นกรณีเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ อุปสรรคจากการไม่ได้รับการสนับสนุนเชิงระบบ เช่น ไม่ได้รับการ
สนับสนุนจากผู้บริหารแต่ละองค์กร งบประมาณไม่เพียงพอ นโยบายและตัวช้ีวัดไม่สอดคล้องกับการทางานเพ่ือความสขุ
ทางจิตใจและความงอกงามทางจิตวิญญาณ รวมท้ังการติดขัดที่เกิดจากปัญหาสขุ ภาพและความเหนื่อยล้าของจรัญญาจน
แทบเบิร์นเอ๊าต์ไประยะหน่ึง แต่ทีมโรงพยาบาลทุ่งหว้าก็ยังไม่หยุดความพยายามในการหลอมรวมศาสนธรรมเข้ากับงาน
ด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ผ่านการทางานศาสนธรรมในโรงพยาบาล มัสยิดส่งเสริมสุขภาพ และงานพหุ
วัฒนธรรรมท่ีชวนพระสงฆ์และอิหม่ามไปเป็นวิทยากรให้ความรู้ประเด็น “สุขภาพดีวิถีธรรม”และลงเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง
และผ้ปู ว่ ยระยะสดุ ท้ายที่บา้ นร่วมกัน

มิติใหม่ๆในการทางานพัฒนาสุขภาวะชุมชนของโรงพยาบาลทุ่งหว้าเกิดข้ึนเมื่อปี พ.ศ. 2558 เมื่อทีมงานจาก
โรงพยาบาล ผู้นาชุมชน และผู้นาศาสนาของอาเภอทุ่งหว้า ได้เข้าฝึกอบรม “การประเมินผลเพื่อการพัฒนา”
(Developmental Evaluation หรือ DE) กับ รศ.ดร.ลือชัย ศรีเงินยวง จากมหาวิทยาลัยมหิดล เนื่องจากมูลนิธิสุขภาพ
ภาคใต้นาการประเมินแนวใหม่มาเป็นเครื่องมือในการทางานพัฒนาสุขภาพ เนื่องจากเห็นว่าการทางานตามตัวช้ีวัด
แบบเดมิ ทเ่ี น้นการลดจานวนผู้เป็นโรคนน้ั ไมไ่ ดผ้ ล วิธีการประเมนิ ผลเพ่อื การพัฒนาจงึ ตง้ั คาถามกบั รปู แบบการทางาน แรง
ขับเคลื่อน ความร่วมมือและความสุขของเครือข่ายคนทางาน รวมท้ังผลสัมฤทธ์ิท่ีไม่ใหญ่โต แต่ทาได้จริงและนาไปสู่การ
เปลีย่ นแปลงเชิงระบบได้ โดยลงมือทางานรว่ มกันคลา้ ยงานวิจยั ช้ินเล็กๆเพอ่ื ให้เกดิ ปฏิบัติการจรงิ

การประเมินผลเพ่ือการพัฒนามุ่งให้ผู้ร่วมกระบวนการทางานสามารถเข้าใจสถานการณ์ทางสังคมอันซับซ้อน
และหาทางออกหรอื คาตอบใหม่ๆท่สี ร้างการเปลี่ยนแปลงเชงิ ระบบได้ โดยใชก้ จิ กรรมการประเมินผลเป็นเครื่องมือสะท้อน
และป้อนกลับสอดแทรกอยู่ในกระบวนการพัฒนา ผ่านหลักการสาคัญคือ Head–Hearth–Harmony หรือ หัว-ใจ-มิตร
“หัว” คือการมีปัญญาในการเข้าถึงและเข้าใจความซับซ้อนของปัญหา มองเห็นเร่ืองใต้ภูเขาน้าแข็งท่ีเห็นได้ยาก “ใจ” คอื

92

ความสงบนิ่งและเมตตา เพื่อพร้อมทางานท่ียาก ซับซ้อน และมักไม่เป็นดังใจคิด และ “มิตร” คือการเรียนรู้ในการวาง
ตนเองอยา่ งเหมาะสมและเชือ่ มประสานกบั เครือข่ายขบั เคล่อื นตา่ งๆ

การนาวิธีการประเมินผลและพัฒนามาใช้ในงานอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างให้เกิดทั้งความเข้าใจความซับซ้อนของ
ปัญหาอย่างชัดเจนและลึกซึ้งกว่าเดิม เกิดแรงฮึดจากการหยุดคาดหวังและคาดคั้นผลจากการทางานให้ได้ดังใจ เป็นการ
ทางานอย่างต่อเน่ืองแบบรอได้ คอยได้ และหลอมรวมความไว้เน้ือเชอ่ื ใจของทมี ทางาน ซ่ึงร่วมกันสร้างชุมชนต้นแบบดา้ น
การจัดการสขุ ภาพทเี่ กิดขึ้นตอ่ มาหลังจากน้นั ท่บี ้านยารายี ของตาบลนาทอน

“คาว่า Head พาเราไปเรียนรู้สังคมภาพใหญ่ระดับโลก เห็นสถานการณ์โลก ทาให้ต้อง
กลับไปหาความรู้ในอัลกุรอาน อัลกุรอานบอกว่ายุคน้ีคือยุคสุดท้าย ทุกอย่างจะป่วย ตั้งแต่ความคิด
จิตมนุษย์ ธรรมขาติ โรค ทาให้เห็นภาพชัดข้ึน เมื่อก่อนเคยรู้สึกอยากจะถอยแล้ว แต่ได้ฟังผบู้ รรยาย
ทางศาสนาบอกว่า ยิ่งยุควิกฤต เราย่ิงต้องพยายามช่วยสังคม จะทาอย่างไรให้คนเข้าใจหลกั ธรรมแลว้
มีความสุขกับสิ่งที่กาลังเผชิญ สามารถอยู่ได้กับบททดสอบที่รุมเร้า สังคมไม่เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว
มนษุ ย์จะอยู่แบบเดมิ ไม่ได้ เราใช้กรอบความคิดเดมิ ใช้วิชาการแบบเดิม เพอ่ื เคล่ือนชุมชนท่ีป่วยเรื้อรัง
และมปี ัญหาซบั ซ้อนมากมายไม่ได้

เราต้องเข้าใจตัวเอง แล้วหาทุนในตัวเองเพ่ือเยียวยาสงั คมภายนอก ดีอีทาให้เราเย็นลง และ
ได้เรียนรู้จากตัวอาจารย์ลือชัยด้วย อาจารย์เป็นคนมีธรรมะ แม้อาจารย์จะใช้ความรู้ ข้อคิดของท่าน
พุทธทาส แตเ่ รากเ็ ขา้ ใจ เพราะหลวงพอ่ พทุ ธทาสมไี อเดียบางส่วนคลา้ ยของมุสลมิ เคยทราบวา่ เพ่อื นซ้ี
สมัยก่อนของท่านก็เป็นมุสลิม หลกั ธรรมบ้ันปลายเหมือนกัน พลิกแค่หลกั การปฏิบัติและหลกั คิดเรือ่ ง
ของผสู้ รา้ งเท่าน้ัน

ถ้าคุณธรรมไม่กลับมา โลกาวินาศแน่ๆ วินาศทั้งตัวเราเอง ทั้งความคิด ทั้งปัญหาสุขภาพ
น้องพยาบาลแต่ละคนก็เครียดและป่วยกัน มีปัญหากันแทบทุกวัน เหมือนความอดทนต่อสิ่งรุมเร้า
นอ้ ยลง ซ่งึ กเ็ ปน็ ภาพสะทอ้ นของชมุ ชนด้วย และเมอ่ื โลกวิบัติ คนจะยงิ่ หลดุ ออกจากศาสนา

Hearth คือหัวใจที่เราหล่อหลอมทุกอย่างไปด้วยกัน และใส่หลักธรรมเติมเข้ามาด้วย ส่ิง
สาคญั ที่ทาให้ทุกอย่างไปตอ่ และหยุดไม่ได้ คือเราอยากได้บุญเพ่ิม แต่ต้องวางใจถูกที่ แม้ผลลพั ธ์จะไม่
เกิด จะไม่สาเร็จอย่างท่ีหวัง อย่างน้อยเราก็ได้ทาแล้ว ได้เป็นมุสลิมคนหน่ึงที่ทาตามคาสัง่ ท่ีพระเจ้าให้
มา

พอได้หลักของหัว-ใจ-มิตรแล้ว ในฐานะ Harmony เจ้าหน้าที่ท่ีอยากเคลื่อนชุมชนให้
เข้มแข็ง ต้องสนับสนุนกาลังปัญญาด้านวิชาการท่ีเขาต้องการ หรือทรัพย์สินบ้างในส่วนท่ีเป็นหน้าท่ี
ของมสุ ลิมทีต่ อ้ งแบ่งปนั เพ่อื จะได้ช่วยเคลือ่ นงาน”

จรัญญา รงั สรรค์

93

พยาบาลวชิ าชีพ โรงพยาบาลท่งุ หว้า อ.ท่งุ หว้า จ.สตลู

“ผมเปล่ยี นไปในกระบวนการดีอี ผมโคตรแข็งนะ แต่อาจารย์ลือชยั พาไปเห็นความจริง แบบ
นี้เรียกว่าพาร์ตเนอร์ เวลาคุยเรื่องหน่ึงโดยที่ไปไม่สุด แต่อีกคนพาเราไปให้สุดได้ ส่ิงเหล่านี้ทาให้ผม
เปล่ียน และจะทาให้หลายคนเปล่ียนได้ง่ายๆโดยไม่รตู้ ัว เหมือนสารสื่อประสาทท่ีหลั่งออกมาจากตอ่ ม
ทั้งมีท่อและไร้ท่อ และเราไม่รู้สึกว่าเราเปล่ียน การทางานลักษณะนี้จะทาให้งานสาเร็จ และไม่มี
ปรปักษ์ด้วย

ตอนเวิร์กช็อปมีเร่ืองที่ประทับใจมาก ช่วงหนึ่งนั่งล้อมวงทากิจกรรมเข้าจังหวะ ใช้เพลงเป็น
จังหวะ มอี าจารยท์ ่านหนงึ่ มาแตะทีไ่ หล่ผมแลว้ บอกวา่ อิหมา่ มนา่ จะไมส่ ะดวกนะครับ ผมประทับใจที่
เขารู้ว่าผมไม่สะดวกกับกิจกรรมนั้น และเขากล้าคุ้มครองเราจากส่ิงที่ไม่เหมาะสม คราวนั้นได้ใจผม
เตม็ ๆ และผมไมเ่ คยลมื ”

อหิ ม่ามมติ รชา โต๊ะลาตี
มัสยิดบารายี ต.นาทอน อ.ท่งุ หวา้ จ.สตูล

การหลอมรวมทางวฒั นธรรมผา่ นการทอ่ งเทย่ี ววิถีชุมชน

โรงพยาบาลทงุ่ หว้าเคล่ือนงานสุขภาพระดับอาเภอเพื่อให้เกดิ ผลกระทบทางนโยบาย ไปพร้อมกับการเคล่ือนงาน
ระดับหมู่บ้าน เพื่อให้เกิดชุมชนต้นแบบด้านการจัดการสุขภาพของอาเภอทุ่งหว้า โดยมีมิตรท่ีสาคัญของการขับเคล่ือน
หมู่บ้านต้นแบบร่วมกับโรงพยาบาลคือ คืออิหม่ามมิตรชา โต๊ะลาตี มัสยิดบารายี บ้านบารายี ตาบลนาทอน ซ่ึงได้รับการ
ยอมรับจากเครือข่ายในพ้ืนท่ีว่า เป็นผู้นาทางศาสนาท่ีเข้มแข็งและมีความเป็นสากลในแบบของผู้นารุ่นใหม่มากที่สุดของ
อาเภอทงุ่ หวา้

รูปลักษณ์ภายนอกของอหิ ม่ามมิตรชาแปลกกวา่ อิหม่ามทัว่ ไป ไม่มีหนวดเครา ไม่พูดช้าๆหรือพูดเน้นหลักคาสอน
มากนัก และมีอารมณ์ขัน คนท่ัวไปสามารถเห็นอิหม่ามได้ทง้ั ในชุดประจาตาแหน่งอิหม่ามสีขาวยาว ชุดนักป่ันจักรยานเตม็
ยศ หรือชุดลาลองสบายๆแบบเดินชายหาด ปรับเปล่ยี นไปตามแต่กิจกรรมทีท่ าในชีวติ ประจาวัน ที่บางครั้งก็อยใู่ นบทบาท
ผู้นาเร่ืองการออกกาลังกาย ผู้นาขุดลอกคูคลอง ขนขยะ ทาสระน้าให้โรงเรียน หรือผู้นาการปลูกสมุนไพรและรักษาโรค
ด้วยภูมิปัญญาชุมชุน และเม่ือได้สนทนาด้วย จะพบแก่นแกนทางศาสนาอิสลามท่ีลึกซึ้งและมั่นคงทั้งในความคิด วัตร
ปฏิบตั สิ ่วนตวั อยา่ งการรบั ประทานอาหารม้ือเดยี ว รวมท้งั การแปลงออกมาเปน็ วิถที างในการทางานพัฒนา

อิหม่ามและชาวบารายีทางานร่วมกับโรงพยาบาลทุ่งหว้าด้านการพัฒนาส่ิงแวดล้อมของหมู่บ้านผ่านการจัดการ
ขยะและปลูกต้นไม้ จนได้รบั รางวัลหมู่บ้านจดั การส่ิงแวดล้อมดีเด่นจากอาเภอ และเม่ือเกิดเครอื ข่ายความร่วมมือในชมุ ชน

94

ชัดเจนขึ้น ทุนในชุมชนยินดีเข้าร่วมงานพัฒนา บารายีก็เคล่ือนวงล้องานพัฒนาชุมชนต่อในแบบเป็นองค์รวม ผ่านการ
ทางานเช่ือมโยง 6 มิติไปพร้อมกัน คือ การศึกษา ศาสนา-วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการ
ท่องเที่ยว โดยเป็นการเคลื่อนงานตามสถานการณ์และสอดคล้องกับจุดร่วมในหลักธรรมของ 3 ศาสนาหลักคืออิสลาม
พทุ ธ ครสิ ต์ และในแตล่ ะกิจกรรมการพัฒนาจะมีท้งั 6 เรอื่ งสมั พันธ์กัน

ในช่วงปีท้ายๆท่ีผ่านมา บ้านบารายีและหมู่บ้านอ่ืนในตาบลนาทอนเน้นการทางานพัฒนาในมิติการท่องเท่ียววิถี
ชุมชน ซ่ึงสามารถสร้างการเรียนรู้ให้ชาวบ้านได้ดี ผ่านการแลกเปล่ียนวัฒนธรรมท่ีหลากหลาย รวมท้ังจากความคิด บท
สนทนา การทากิจกรรมร่วมกัน และปรากฏการณ์ต่างๆท่ีนักท่องเท่ียวท่ีนามาสู่ชุมชน ในปัจจุบัน ชาวตาบลนาทอนเปิด
บ้านเปน็ ท่ีพกั แบบโฮมสเตยใ์ น 30 ครอบครวั รับนกั ท่องเทย่ี วได้ 150 คน โดยต้องเปน็ บ้านทเี่ จ้าของบา้ นอยดู่ ้วย เพอ่ื สร้าง
การเรียนรู้ร่วมกัน และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา กลุ่มโฮมสเตย์นาทอนได้รับการคัดเลือกจากกรมการท่องเท่ียวให้เป็นกลุ่ม
โฮมสเตย์ต้นแบบ “บ้านสวยดว้ ยอัตลกั ษณช์ ุมชน” 1 ใน 4 กลมุ่ ของประเทศ ในฐานะตัวแทนกลมุ่ โฮมสเตย์ภาคใต้

ทบี่ ้านบารายี อิหม่ามมติ รชาเปดิ บ้านตัวเองเป็น “ศูนยจ์ ดั การเครอื ข่ายแหลง่ เรยี นูร้บา้ นอหิ ม่ามโฮมสเตย์” เม่ือปี
พ.ศ. 2560 โดยรับนักท่องเท่ียวผ่านทางอบต.นาทอนซึ่งจะคดั กรองให้ เนื่องจากต้องให้นักทอ่ งเท่ียวเข้าใจวิถีชุมชนทเ่ี งียบ
สงบและไม่ด่ืมเหล้า ผู้มาเยือนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสถาบันการศึกษา กลุ่มทางานพัฒนาสังคม และนักท่องเที่ยวคุณภาพ ท่ี
ต้องการมาเรียนร้วู ถิ ชี ุมชนมสุ ลิมและการพึ่งตัวเองในชุมชน ผ่านกจิ กรรมการทอ่ งเทย่ี วและเรียนรู้รว่ มกบั ชมุ ชนเปน็ เวลา 5
วัน นอกจากการกินอยู่หลับนอนและการพูดคุยแลกเปลี่ยนในชีวิตประจาวันแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น การข่ีจักรยาน
ออกกาลังตอนเช้า ไปลงทะเล เที่ยวป่าชายเลน ดูการจัดการสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจพ้ืนฐานของชุมชน ดูการเล้ียงผึ้ง
เท่ียวอุทยานธรณีโลก ศึกษาท่ีมาของโลก และนาเร่ืองต่างๆกลับมาพูดคุยกันผ่านมุมมองของศาสนา บางครั้งอิหม่ามมิตร
ชากต็ อ้ งอยู่ดแู ลนกั ท่องเที่ยวตลอด 5 วันตามคาขอของผู้มาเยือน

“ก่อนหน้านี้ประมาณ 5 ปี คนจะเห็นภาพของมุสลิมแบบสุดโต่ง พอรู้ว่าจะมาพักบ้าน
อิหม่ามก็ตกใจกลัว แต่พอมาแล้วก็อยากมาอีก คุยกันยังไม่จบ ต้องคุยต่ออีกหน่อย หลายคนมีความ
ทุกข์มา มาคุยกันก็ทาให้มีความสุขได้ แค่ว่าคุณจะปล่อยวางยังไง ไม่เติมเข้าไปจนมันหนักมาก ลอง
เอาออกดูสิ หลายคนบอกว่า เขาดื่มเหล้ามาท้ังชีวิตแล้ว มาบ้านอิหม่ามแล้วไม่ได้ด่ืมเหล้าเลย แต่มี
ความสขุ

จากท่ีตอนแรกรสู้ ึกว่าน่ากลวั มาก เขาจะสวิงกลายเปน็ อีกด้านหน่ึงท่ีเขารู้สกึ วา่ ปลอดภัยท่ีสุด
อิหมา่ มตอ้ งบอกเขาวา่ ทน่ี ีเ่ ป็นอย่างนี้เพราะเราใช้ระบบศาสนาเป็นระบบในการดาเนนิ ชีวติ ไมเ่ หมอื น
ท่ีอื่น แต่ไปที่อ่ืนคุณต้องใช้สตินะ เขามาอยู่ที่นี่ 5 วัน ส่วนใหญ่ก็ทากิจกรรมท่ีเราวางไว้ มีกระท่ังการ
ว่ิงเปย้ี วกบั อิหม่าม เขาสนุกมาก

การมาอยู่ร่วมกันช่วยแก้ปัญหาเร่ืองเขตก้ันทางวัฒนธรรม หลายคนมาที่นี่ไม่กล้าไหว้พระ
เขาเอาพระของเขามา อิหม่ามบอกเขาว่า ทาสิลูก ก็เหมือนอิหม่าม ท่ีทาเพื่อให้จิตใจสงบ ทาให้เกิด

95

ความรักต่อพระเจ้า พระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนบนโลกน้ี ถ้าเรารักพระเจา้ เราต้องรกั คนท่ีพระเจา้ รักดว้ ย
ลูกไหว้พระไปเลย ถ้าเราให้ใจ ให้เวลา ให้ส่ิงเหล่านี้เป็นพ้ืนฐาน ทุกอย่างเขาจะให้กลับมา คาว่า
สมานฉันทม์ ันเกดิ ข้นึ หลงั จากกระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว

แต่ก็ไม่ได้เกิดข้ึนง่ายๆนะ การเรียนที่ดีที่สดุ คือการเรียนในครอบครัว บางคร้ังหากครอบครัว
เขาไม่ดี เราก็สร้างครอบครัวใหม่จาลองขึ้นมาเหมือนโฮมสเตย์นี่แหละ จาลองวัฒนธรรมเข้าไป ใส่
ข้อมูลเข้าไป ถ้าเราใส่หลักสูตรเข้าไปในโฮมเสตย์ทุกหลัง อะไรที่เขาขาดจากครอบครัวเดิม ให้เขามา
เติม มาเปิดมุมมองใหม่ๆท่ีน่ี มันได้บุญ ได้อานิสงส์ ได้ความดี และได้ผลจริงๆในการปรับเปล่ยี นความ
สมานฉนั ทต์ ่อกนั ได้ และสุดท้ายจะเข้าใจว่าอะไรทเี่ ราหลอมรวมกนั ได้

รูปแบบคือเรากาหนดกิจกรรมข้ึนในครอบครัว ซึ่งเราคิดแล้วว่าต้องการให้คนเรียนรู้อะไร
แลว้ บทบาทหน้าที่ก็จะเกิดขนึ้ มาเอง เช่น เราตอ้ งการใหล้ ูกเป็นคนมีจิตใจดี มกี ารให้ เราก็แคฝ่ ึกเขาให้
รู้จักให้ ถ้าเป็นพทุ ธก็ฝึกให้ตกั บาตร แต่อย่าตักบาตรอย่างเดยี ว ไม่อย่างน้ันก็จะดีกบั เฉพาะพระ ก็ตอ้ ง
ให้ได้กับทุกคนที่ลาบาก และฝึกให้โดยใช้สติ ไม่ใช่ให้โดยขาดสติ ไม่เช่นน้ันความดีจะทาร้ายเขา ต้อง
ใสภ่ ูมิไปดว้ ย น่คี ือวฒั นธรรม ไม่ตอ้ งใชค้ วามคิดมากมาย ทาส่งิ น้ี แล้วคนน้จี ะมีนสิ ยั อย่างนีท้ ันที”

อิหมา่ มมิตรชา โต๊ะลาตี
มสั ยดิ บารายี ต.นาทอน อ.ทงุ่ หวา้ จ.สตูล

การสร้างสรรค์บรรยากาศของครอบครัวช่ัวคราวแบบใหม่ในโฮมสเตย์แต่ละหลังคือเครื่องมือขับเคล่ือนงานพหุ
วัฒนธรรมในความหมายกว้าง ที่ไม่ใช่เพียงการอยู่ร่วมกันของคนท่ีแตกต่างเชื้อชาติหรือศาสนา แต่เป็นการหลอมรวมวิถี
ชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ผ่านสัมพันธภาพของการดูแลกันอย่างอบอุ่น นอกจากการอยู่โฮมสเตย์แล้ว การเช่า
จักรยานท่ีแต่ละบ้านมีอยู่ และการซ้ือสินค้าจากชาวบ้าน ยังเป็นการเพ่ิมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้มาเยือนกับครอบครัวอื่นใน
ชมุ ชน เพ่ือการแลกเปล่ยี น เรียนรู้ เชอ่ื มโยง และหลอมรวมวิถีชวี ติ ของทัง้ สองฝา่ ย จนเกดิ เปน็ วฒั นธรรมแบบใหมร่ ่วมกัน

“เราเป็นผู้สอนท่ีเป็นพาร์ตเนอร์ของทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย เป็นคู่หูจริงๆ คุยกันแล้ว
เขา้ ใจ รเู้ รอื่ ง ถ้าคุณมคี วามทกุ ข์ อย่างน้อยตอ้ งหายทกุ ข์ แตจ่ ะสขุ กี่เปอร์เซน็ ตน์ ่ันอีกเร่ือง

ตอนเช้าเราปั่นจักรยานออกกาลังกาย เขาก็ไปป่ันจักรยานด้วย หากบางคนกล้ามเน้ือไม่
แข็งแรง เราก็ต้องใช้มือเราข้างหน่ึงป่ันจักรยานตัวเอง อีกมือก็ต้องดึงเขาลากกลบั กันมาให้ถึงบ้าน ไม่
ว่าจะออกกาลังกายหรือใช้ชีวิต ทุกเร่ืองเป็นชีวิตจริงๆ ส่ิงเหล่านี้เป็นสัมพันธภาพ และเราต้องได้
ประโยชน์จากเขามากกว่าทเ่ี ขามาพกั นอน กิน แลว้ เราก็ไดต้ ังค์ แคน่ น้ั ไมค่ มุ้

อิหม่ามทาโฮมสเตย์ท้ังๆท่ีไม่เคยมีกาไร แต่กาไรคอื การได้เรียนรู้พร้อมกับคนท่ีเข้ามา เพราะ
ความรู้ใช้ได้ตลอด ปรับเปล่ียนอัปเดตอยู่ตลอด บางครั้งมีหมอ มีสาธารณสุขเข้ามาพัก ก็เป็นการ

96

หลอมรวมที่ดีมาก มีการแลกเปล่ียน บางเรื่องเราแทบไม่ต้องไปเข้าคอร์สเรียนเลย คนที่มากพักนี่
แหละเป็นครูเรา และเราก็เป็นครูเขาได้ แลกเปลี่ยน โต้ตอบ บางคร้ังวันท้ายๆก็มีการดีเบตกัน เป็น
การฝกึ เราใหอ้ อกจากอคติ สุดท้ายเราจะรูส้ กึ เบา ไมม่ ีอะไรเปน็ ภาระเลย

นอกจากเครือข่ายในชุมชนเรื่องการท่องเท่ียวแล้ว เราพยายามสร้างต้นแบบหลายๆเรื่องใน
ชุมชนเพื่อการแลกเปล่ียนและเรียนรู้ร่วมกัน แล้วเราก็มาถอดบทเรียนว่า วัฒนธรรมที่ต่างกันมาก ส่ิง
ไหนหลอมรวมแล้วเกิดปัญหา เราก็ต้องคุยกับชาวบ้าน ปัญหาอย่างหนึ่งของชาวบ้านคือ เม่ือรับ
วัฒนธรรมใหม่เข้ามาโดยไม่ทันคิดว่าสิง่ น้ีหลอมรวมได้ไหม จะเกิดอันตราย เพราะอาจเป็นการทาลาย
ภมู ิของเขาไปดว้ ย สิง่ นเี้ ป็นหน้าที่ที่เราตอ้ งดแู ลโดยตรง

โฮมสเตย์ท้ัง 30 หลังของนาทอนมีมาตรฐานเดียวกัน และอาจมีส่วนน้อยมากที่ไม่ได้เป็นไป
ในทิศทางเดียวกับบ้านอิหม่าม ถ้าทุกอย่างเหมือนกันหมด ผมมองว่าไม่มีเสน่ห์ แต่อย่างไรสุดท้ายก็
ต้องหลอมรวมและต้องดี ในบ้าน 1 หลัง ถ้าดีท้ังหมดผมว่าไม่เกิดภูมิ มันต้องมีท้ังดีและไม่ดี สิ่งสาคัญ
คอื สดุ ทา้ ยสามารถแก้ปัญหาและป้องกนั ตัวเองใหอ้ ยใู่ นความดีได้

พวกเราทุกคนต้องมีวินัย ส่วนมากอิหม่าม พระ ถ้าไม่ฝึกมาก็ไม่ควรเข้าใกล้เพศตรงข้าม แต่
ถา้ เราจะกา้ วไปอกี ข้ันหนึ่ง เราตอ้ งทาสิ่งทีย่ ากกว่า ชวี ติ ถงึ จะมีความหมาย ผู้ทด่ี ารงตาแหนง่ ในศาสนา
และเป็นที่พึ่งทางใจของคนอ่ืน ศีลเป็นเรื่องสาคัญเพ่ือให้ตนเองเกิดภูมิคุ้มกันในทุกกรณี ทุก
สถานการณ์ เพราะถ้าเราเสยี หายไป คนจะเอาใจไปไว้ท่ไี หน

นาทอนมีคนโดดเด่นหลายด้านมาช่วยกันจัดการงานหลายเร่ือง ทุกอย่างไม่มีการขัดแย้ง มี
การหลอมรวมท่ีดีมาก เพราะเราใช้หลักการและเหตุผล เราไม่เอาอัตตาของความเป็นอิหม่ามมาใช้ว่า
ทุกคนต้องเป็นอย่างน้ีนะ เลยทาให้อยู่ร่วมกันได้ ท้ังที่โดยปกติถ้าเป็นอิหม่ามจะยากหน่อย เพราะ
อัตตาคอ่ นข้างสงู ”

อิหม่ามมติ รชา โต๊ะลาตี
มสั ยดิ บารายี ต.นาทอน อ.ทุ่งหวา้ จ.สตลู

การเรียนรู้ใหม่ การเมอื งใหม่ และวถิ ีชวี ิตแบบใหมท่ ห่ี ลอมรวม

การพัฒนาในก้าวต่อไปของตาบลนาทอนคือ ความพยายามหลอมรวมศาสนธรรมและการเมืองการปกครองใน
ท้องถิ่นเข้าด้วยกัน ทิศทางนี้เริ่มเป็นได้หลังการเลือกตั้งอบต.ในช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา เมื่อนายเอกชัย หลงขาว นัก
ธุรกิจการก่อสร้างทใี่ ห้เงินส่วนตัวสนับสนุนการพฒั นาสาธารณประโยชน์ในพื้นทจ่ี านวนมากได้รับเลอื กเป็นนายกอบต. นา
ทอนคนใหม่ ภาพท่ีคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นต่อไปคอื การร่วมมือกันระหว่างนักธุรกิจ นักบวช และผมู้ ีส่วนร่วมในพัฒนาต่างๆ
เพ่ือนาพาชุมชนให้เดนิ ไปข้างหน้าอย่างเชอื่ มโยงและหลอมรวม โดยหวังว่าทอ้ งถิน่ จะสามารถกาหนดนโยบายและตวั ชวี้ ัดท่ี

97


Click to View FlipBook Version