รายงานฉบับสมบูรณ์
โครงการวิจัยศกึ ษาและพฒั นาโมเดลการสร้างระบบนิเวศมนษุ ย์
เพื่อขบั เคล่ือนคุณธรรมในสงั คมไทย
หวั หน้าโครงการ
รศ.ดร.ลอื ชัย ศรีเงนิ ยวง
นักวิจัย
จารปุ ภา วะสี
มัสลิน ศรีตญั ญู
อ.ดร. เพรศิ พรรณ แดนศลิ ป์
ประภาพร อนมุ านไพศาล
จัดทาโดย ศนู ยจ์ ิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหดิ ล
เสนอต่อ ศนู ย์คณุ ธรรม (องค์การมหาชน)
พ.ศ. 2565
สารบญั
หนา้
บทที่ 1 บทนา 1
1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา 1
1.2 วตั ถุประสงค์ 2
1.3 ประโยชนท์ จ่ี ะได้รบั 2
1.4 ขอบเขตการดาเนินงาน 2
บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม 3
2.1 แนวคดิ ที่นยิ ามความหมายของ “คุณธรรม” ในความหมายกว้าง 3
และการนาแนวคิดมาระบุพ้นื ทสี่ ่งเสริมคุณธรรม 4
2.2 แนวคดิ ทม่ี องชีวติ ทั้งปจั เจกและกลมุ่ ในลกั ษณะเปน็ องคร์ วมและเชงิ ระบบ 6
2.3 แนวคดิ ทใ่ี ชเ้ ป็นแนวทางในการบ่มเพาะ สง่ เสริม
13
และขับเคลอ่ื นคณุ ธรรมท้ังในระดบั ปจั เจกและสังคม 16
บทท่ี 3 วธิ กี ารวจิ ัย 17
บทที่ 4 กรณศี กึ ษาการสรา้ งระบบนเิ วศมนษุ ยเ์ พื่อขับเคลอ่ื นคุณธรรมในสงั คมไทย 30
4.1 ระดบั องคก์ ร
41
4.1.1 CreativeMOVE
เปล่ยี นแปลงโลกด้วยการสอื่ สารอยา่ งสร้างสรรค์
4.1.2 บริษทั เมดฟิ ดู ส์ (ประเทศไทย) จากัด
ผู้สร้างวงจรการคา้ ขา้ วที่ยัง่ ยืนด้วยความรักและปัญญา
4.1.3 โรงเรียนมชี ัยพฒั นา
การศึกษาเพอื่ พฒั นาคนและสังคม บนฐานของความสุขร่วมกัน การแบง่ ปนั และมติ รไมตรี
ก
สารบญั (ต่อ) หน้า
4.2 ระดบั ชมุ ชน 57
75
4.2.1 เครือขา่ ยนเิ วศนล์ ่มุ นา้ แมท่ า 90
วถิ แี ห่งอยรู่ อดและอยู่รว่ ม หลอมรวมคนในพนื้ ที่
106
4.2.2 ชมุ ชนจะรงั อาเภอยะหรง่ิ จงั หวัดปัตตานี 120
รว่ มพฒั นาจากฐานทรัพยากรชวี ภาพสู่ชุมชนพ่ึงตนเอง 133
4.2.3 ชุมชนนาทอน อาเภอท่งุ หว้า จงั หวัดสตูล 145
พ้นื ท่ีวัฒนธรรมแบบใหมท่ ห่ี ลอมรวมชีวติ ทางโลกและทางธรรมเขา้ ด้วยกนั 168
175
4.3 ระดับเครือขา่ ย
4.3.1 ชมรมแพทยช์ นบท
ยนื หยดั ท้าทายอานาจรฐั ด้วยอดุ มการณ์เพ่ือมวลชน
4.3.2 เครอื ข่ายชุมชนกรณุ า
สายสัมพันธเ์ พอ่ื การอยูแ่ ละตายดีของทกุ คน
4.3.3 เครือข่ายสลมั 4 ภาค
ความเทา่ เทียมและไม่ทงิ้ ใครไวข้ า้ งหลังคอื คณุ ธรรมของสงั คม
บทที่ 5 บทวเิ คราะหแ์ ละขอ้ เสนอแนะ
บรรณานุกรม
คณะผวู้ ิจยั
ข
บทที่ 1
บทนา
1.1 ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา (Background and Rationale)
เม่ือกล่าวถงึ ระบบนเิ วศ หรือ Ecosystem คนสว่ นใหญม่ ักจะเข้าใจว่าเป็นความสัมพันธแ์ ละการเชือ่ มโยงระหว่าง
สิ่งแวดลอ้ มในธรรมชาติ หากอย่ใู นสถานะของการเปน็ องค์กรกจ็ ะประกอบไปด้วยผู้ทมี่ ีสว่ นทีเ่ กยี่ วข้อง เชน่ เครือข่าย คู่ค้า
หุ้นส่วน ผู้ลงทุน ฯลฯ ท่ีมีระบบโครงสร้างและวิธีการทางานร่วม ในรูปแบบความสัมพันธ์ที่หลากหลาย หรือหากกล่าวถึง
ในระดบั ปจั เจกบคุ คล กอ็ าจเริม่ ตน้ ตั้งแตเ่ กิดและเตบิ โตในครอบครวั ได้รับการศึกษาเล่าเรยี น จนกระท่ังทางานหาเลี้ยงชพี
และเกิดความสัมพันธ์กันทั้งในระดับชุมชน และสังคม ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ระบบนิเวศนั้นมีความสัมพันธ์และ
เชื่อมโยงกับส่ิงแวดล้อมรอบตัว ต้ังแต่ระดับครอบครัว จนไปสู่ระดับสังคม โดยมีความซับซ้อนและแยกออกจากกันมิได้
หากมีส่วนใดส่วนหนง่ึ เกิดปญั หา ก็อาจสง่ ผลกระทบ หรือทาใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงทงั้ ระบบในภาพรวมของสังคมได้
ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานของรัฐในกากับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ที่ได้รับการจัดต้ัง
ข้ึนตามพระราชกฤษฎีกาจัดต้ังศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 มีพันธกิจหลักคือ ดาเนินการสร้าง พัฒนา
เผยแพร่องค์ความรู้ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้วยกระบวนการจัดการความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ การพัฒนากระบวนการ
สมชั ชาคุณธรรม การสรา้ งเสรมิ และสนบั สนุนพลังความเข้มแขง็ ของภาคีเครอื ขา่ ย
จากสถานการณ์การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนในสังคมไทย ได้ส่งผลกระทบต่อปัจจัยหลายด้าน ท้ังเศรษฐกิจ สังคม
และเทคโนโลยี ส่งผลให้เกิดการแข่งขัน และการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นท่ีต้ัง ตลอดทั้งการแย่งชิงทรัพยากรมา
ครอบครอง โดยละเลยผลกระทบในด้านตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง โดยเฉพาะระบบนเิ วศทเ่ี ชื่อมโยงและสมั พันธ์ตอ่ ชีวติ และความ
เป็นอยู่ของมนุษย์ ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และ องคก์ ร สง่ ผลให้เกิดการเปลย่ี นแปลงไปในทางลบ เกิดความไม่เข้าใจ
กันในครอบครวั เด็กมีปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายนอกและสง่ ผลให้เกิดปัญหาในครอบครัว ตามมาด้วยปัญหาการเขา้ สังคม
ในโรงเรียน
ปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกที่เกิดข้ึนดังกล่าว หากไม่ได้รับการแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่อ
คุณธรรม จริยธรรมในสังคมไทย ด้วยเหตุนี้ ศูนย์คุณธรรม จึงได้มีแผนการดาเนินงานศึกษาพัฒนาต้นแบบทางความคิด
(Conceptual Model) การสร้างระบบนิเวศมนุษย์ เพื่อการขับเคล่ือนคุณธรรมในสังคมไทย ภายใต้การดาเนินงาน
โครงการส่งเสริมการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านคุณธรรมความดี มีเป้าหมายหลักคือ การให้องค์กร ภาคี
เครือข่าย หรือหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ ได้เรียนรู้ เข้าใจ คุณลักษณะของพ้ืนที่ส่งเสริมคุณธรรมที่เป็นแบบอย่างในการ
1
ดาเนินงาน โดยคานึงถึงปัจจัยแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประเพณี วิถีปฏิบัติ รวมท้ังระบบนิเวศท่ีเอ้ือ
ต่อการสง่ เสริมคณุ ธรรม ทง้ั ในระดับชมุ ชน องคก์ ร และระดบั เครือขา่ ย
1.2 วตั ถปุ ระสงค์
1. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการสนับสนุน การสร้างระบบนิเวศมนุษย์ ท้ังปัจจัยในระดับท่ีสาคญั ท่ีสดุ และปัจจัย
ระดับรอง ในพื้นทกี่ ารดาเนินงาน ท่คี รอบคลุมท้ังในระดบั ชุมชน องคก์ ร และเครือขา่ ย
2.เพื่อค้นหาพ้ืนที่ท่ีมีศักยภาพในการส่งเสริมมิติด้านคุณธรรม (Best Practices) ท้ังในระดับองค์กร ชุมชน และ
ระดับเครือข่าย นามาใชเ้ ปน็ แนวทางในการสนับสนุน การขบั เคลื่อนยทุ ธศาสตร์ การดาเนนิ งานของศูนย์คณุ ธรรรม รวมทงั้
การขับเคล่ือนในระดบั นโยบาย และระดับปฏิบตั ิการ
3. เพ่ือนาผลการศึกษามาออกแบบพัฒนาต้นแบบทางความคิด (Conceptual Model) การสร้างระบบนิเวศ
มนษุ ย์ เพอื่ การพฒั นาพ้ืนท่ีดา้ นคณุ ธรรมสาหรับองค์กรภาคี เครอื ข่ายภาคสว่ นตา่ ง ๆ
1.3 ประโยชน์ทจี่ ะได้รบั
1. สามารถนาผลลัพธ์ท่ีได้การศึกษาวิจัย มาใช้พัฒนาต้นแบบทางความคิด (Conceptual Model) การสร้าง
ระบบนิเวศมนุษย์ ในระดับองค์กร ชุมชน และเครือข่าย เพ่ือเป็นแนวทางในการขับเคล่ือนยุทธศาสตร์การดาเนินงานของ
ศนู ย์คณุ ธรรม และหนว่ ยงานภาคส่วนตา่ ง ๆ ทงั้ ในระดับนโยบายและระดับปฏบิ ตั กิ าร
2. ได้องคค์ วามรู้ที่สามารถนาไปขยายผล การขับเคล่อื นคุณธรรมทเ่ี หมาะสมแก่สงั คมไทย
1.4 ขอบเขตการดาเนนิ งาน
1. การทบทวนวรรณกรรม บทความ งานวิจัย และทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับระบบนิเวศมนุษย์ และองค์ประกอบที่
เก่ียวขอ้ งกบั ระบบนเิ วศมนษุ ย์ ทัง้ ในระดบั ชุมชน องค์กร และเครอื ข่าย
2. ดาเนนิ การศึกษาพื้นทที่ ี่มศี ักยภาพหรอื แนวปฏิบตั ทิ ีด่ ี (Best Practices) ในการส่งเสริมมิตดิ า้ นคณุ ธรรม (Best
Practices) ทั้งในระดับชุมชน องค์กร และระดับเครือข่าย โดยมีลกั ษณะการดาเนินงานท่ีมีความแตกต่างและหลากหลาย
ตามบริบททางสงั คม วฒั นธรรม ประเพณี คา่ นิยม โครงสร้างทางสังคม และอน่ื ๆ รวม 9 พนื้ ที่
3. วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล จากการทบทวนวรรณกรรม และพ้ืนที่ที่มีแนวทางปฏิบัติที่ดี (Best Practices)
เพ่ือนามาใช้ในการพัฒนาเป็นต้นแบบทางความคิด (Conceptual Model) การสร้างระบบนิเวศมนุษย์ และข้อเสนอแนะ
ที่สามารถนาไปปรบั ใชใ้ หเ้ หมาะสมและมีประสทิ ธภิ าพ เพือ่ การพฒั นาพ้ืนทด่ี ้านคุณธรรม
2
บทท่ี 2
ทบทวนวรรณกรรม
2.1 แนวคิดทีน่ ยิ ามความหมายของ “คุณธรรม” ในความหมายกวา้ ง
และการนาแนวคิดมาระบพุ น้ื ที่ส่งเสริมคุณธรรม
แนวคิดนี้นิยามความหมายของคาว่า คุณธรรม คือการบ่มเพาะความเจริญงอกงามของชีวิตทั้งปัจเจกและสังคม
เพื่อให้เกิดชีวิตที่มีคณุ ค่าและความหมาย จากงานของ รศ.ดร.ปกรณ์ สิงห์สุริยา (คุณธรรมสาหรับสังคมไทยปัจจุบัน การ
ประยุกต์มโนทัศน์เชิงจรยิ ศาสตรส์ ู่มาตรฐานและกระบวนการขบั เคลื่อน, ม.ป.ป.) โดยเป็นแนวคดิ ท่ีศนู ย์คุณธรรมใช้อยู่ ซึ่ง
เกดิ จากฐานการวจิ ัยของศูนย์คณุ ธรรม
โครงการนาประเด็นสาคัญของแนวคิดนี้มาใช้พิจารณาหาพื้นที่ศึกษาท่ีมีแนวโน้มว่าจ ะเป็นองค์กรส่งเสริม
คุณธรรม โดยดูจากองค์ประกอบต่างๆขององคก์ ร และกระบวนการต่างๆท่ีองค์ประกอบเหลา่ น้ันสัมพันธ์กัน โดยกลา่ วว่า
องค์กรที่มีคุณธรรมให้ความสาคัญทั้งบรรทัดฐานท่ีเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กาหนดพฤติกรรมของคนในองค์กร และการ
พัฒนาคุณธรรมของสมาชิกในเชงิ ปัจเจก โดยมีองค์ประกอบสาคญั 4 องค์ประกอบ คือ
(1) เป้าหมาย: องค์กรมีเป้าหมายมุ่งสู่ความสุขหรือความเจริญงอกงาม มุ่งสู่ความมีคุณธรรม เช่น กล้าหาญ
ยุติธรรม มีน้าใจ และมีเป้าหมายเพื่อสร้างเสริมสขุ ภาวะหรือจัดหาสวัสดิการเพื่อให้สมาชิกมีความสุขอย่างเป็นองคร์ วมท้ัง
ทางด้านจิตใจ อารมณ์ สังคม ท้ังเพื่อสมาชิกในองค์กรและองค์กรอื่นท่ีมีปฏิสัมพันธ์ด้วย รวมถึงชุมชนและสังคม โดย
เปา้ หมายหรอื พันธกจิ ดังกลา่ วตอ้ งมีความหมายตอ่ สมาชิกในองคก์ ร ซ่ึงมาจากการมคี วามส่วนร่วมและเหน็ พอ้ งของสมาชิก
โดยกระบวนการบรรลุเป้าหมายร่วมกันนี้ต้องอาศัยคุณธรรมภายในตัวสมาชิกด้วย ดังน้ันการกาหนดเป้าหมายร่วมกันจึง
แสดงถงึ การพัฒนาคณุ ธรรมภายในตนไปพร้อมกนั
(2) ระบบกลไก: องค์กรมรี ะบบกลไกหรอื วัฒนธรรมองคก์ รที่สอดคลอ้ งเป้าหมายท่มี ุ่งสูค่ วามเจริญงอกงาม และ
มุ่งสู่สุขภาวะและสวัสดิภาพของสมาชิกในองค์กร องค์กรอื่น รวมท้ังสังคมและชุมชน โดยยังคงใช้กรอบบรรทัดฐานเชิง
จริยธรรม แตข่ ยายขอบเขตความสนใจในมิติภายในของสมาชกิ องคก์ รด้วย โดยหากกลไกและวัฒนธรรมองค์กรมาจากการ
กาหนดเป้าหมายร่วมกนั และเป็นการแสดงออกถงึ คุณค่าและบรรทัดฐานที่สมาชิกในองค์กรยึดถือและปฏบิ ัติร่วมกัน หรือ
กับบุคคลอื่นนอกองค์กร และมีความเห็นพ้องท่ีจะพัฒนาคุณธรรมร่วมกันแล้ว ก็จะช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรท่ีส่งเสริม
คุณธรรมอไดย้ ่างตอ่ เนอ่ื ง
(3) สมาชิก: สมาชิกในองค์การมีความสุขงอกงามหรือความเจริญ มีความเห็นพ้องกับเป้าหมายขององค์กร
ตระหนกั ถงึ คณุ คา่ ของตนเองในการมสี ่วนร่วมในการผลกั ดันสู่เปา้ หมาย และอาจมีความภูมิใจทเ่ี ปน็ สมาชกิ ขององค์กร
3
(4) ผู้นา: ผู้นามีบทบาทสาคัญในทุกองค์ประกอบ ทั้งการมีเจตจานงในการยืนหยัดรักษาเป้าหมายท่ีมุ่งสู่ความ
เจริญงอกงาม ขับเคล่ือนระบบให้บรรลเุ ป้าหมาย บ่มเพาะและพัฒนาความเป็นผ้นู าภายในตนเอง รวมท้ังมีบทบาทในการ
เป็นตัวอย่างท่ีดีของสมาชิกในองค์กร ถ้าผู้นาเป็นแบบอย่างท่ีมีคุณธรรม ก็จะสร้างคุณค่าและบรรทัดฐานที่ให้ความสาคัญ
กับคณุ ธรรมในองค์กร
ในด้านการพัฒนาองค์กรท่ีมีคุณธรรม มีเคร่ืองมือสาคัญการเป็นพ่ีเล้ียง ซึ่งจะคอยชี้แนะและให้ข้อมูลย้อนกลับ
บุคคล โดยอาศัยความสมัครใจในการเข้าร่วมโครงการ ภายใต้เงื่อนไขที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้นาองค์กร และเน้นการ
ฝกึ ฝนเชงิ ปัญญาปฏบิ ัติ ทง้ั น้ีเง่อื นไขสาคญั 3 ประการ คอื (1) ผูน้ าซ่ึงมอี ทิ ธิพลต่อวฒั นธรรมองคก์ ร (2) การมสี ่วนร่วมของ
สมาชิกในการกาหนดเปา้ หมายและตดั สนิ ใจดาเนนิ งานรว่ มกนั เพื่อบรรลเุ ป้าหมายน้ัน และ (3) การมสี ่วนรว่ มตดั สนิ ใจนี้ใช้
ปัญญาเชิงปฏบิ ัตเิ พื่อคน้ หาจุดสมดุลและวิธกี ารท่ีเหมาะสม
2.2 แนวคดิ ที่มองชีวติ ทัง้ ปจั เจกและกลุ่มในลกั ษณะเปน็ องคร์ วมและเชงิ ระบบ
เป็นแนวคิดท่ีมองภาพสถานการณ์ของชีวิตของปัจเจกและสังคมว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างมีพลวัตรทั้งปัจจัย
ภายในและภายนอก และเป็นความสัมพันธ์แบบมีพัฒนาการและร่วมวิวัฒนาการ โดยใช้แนวคิดนิเวศส่ิงแวดล้อม สังคม
และจิตวญิ ญาณ ของฟริตจอฟ คาปรา แนวคิดนิเวศพัฒนาการมนุษย์ ของยูรี บรอนเฟนเบนเนอร์ และแนวคดิ ทฤษฎี
บรู ณาการ ของเคน วิลเบอร์
ฟริตจอฟ คาปรา (Fritjof Capra) เป็นนกั ฟิสิกแ์ ละนกั ปรชั ญาคนสาคัญท่นี าแนวคิดทางนิเวศวทิ ยามาเชื่อมโยง
กับเร่ืองของสังและจิตวิญญาณ และใช้มุมมองเชิงนิเวศในการวิเคราะห์ปัญญาทางสงิ่ แวดล้อม การศึกษา และสังคมอย่าง
กว้างขวาง จนกลายเป็นผู้นาคนหนึ่งของกระบวนทัศน์แบบองค์รวมและวิธีคิดเชิงระบบ ประเด็นสาคัญของแนวคิดน้ีคือ
การมองให้เห็นทั้งระบบแบบเป็นองค์รวมหนึ่งๆ และกระบวนการพัฒนาของส่ิงน้ันที่สัมพันธ์กับส่ิงอื่นอย่างพยายามสร้าง
สมดุลและมีพลวัตร โดยกล่าวว่า ในระบบหนึ่งๆ จะมีทั้งส่วนย่อยต่างๆที่มีคุณสมบัติต่างๆกัน และมีองค์รวมที่เป็น
คุณสมบัติใหม่จากการท่ีส่วนย่อยต่างๆมาสัมพันธ์กัน ปัจจัยพ้ืนฐานในการดารงอยู่คือระบบนั้นจะต้องป้องกันตัวเองจาก
ภายนอกได้ และมีอานาจในการจัดการตัวเอง ขณะท่ีมีการแลกเปล่ียนพลังงานและข่าวสารข้อมูลจากภายนอก ท้ังน้ีชีวิต
และสิ่งต่างๆในธรรมชาติจะดารงอยู่และพัฒนาไปแบบเป็นกระบวนการที่มีความสัมพันธ์เช่ือมโยง พ่ึงพากันและกัน อยู่
ร่วมกันเป็นประชาคม มีการจัดการตัวเอง และพยายามสร้างความสมดุลอย่างมีพลวัต ภายใต้บริบทของสถานท่ี กาลเวลา
เพ่อื ความอยรู่ อดและดาเนนิ ตอ่ ไป
สว่ นประเดน็ สาคัญของ นเิ วศพัฒนาการมนุษย์ (Ecological models for human developmen) ของ บรอน
เฟนเบนเนอร์ (Urie Bronfenbrenner) คอื การมองวา่ บริบทหรือส่ิงแวดล้อมล้วนสง่ ผลตอ่ พัฒนาการของมนษุ ยไ์ ม่โดย
ทางตรงก็ทางอ้อม ส่ิงแวดล้อมทใ่ี กลต้ วั มนุษย์ท่สี ดุ และสถานการณ์ที่เกดิ บอ่ ยที่สุดมีผลอย่างเป็นระบบต่อพฒั นาการมนุษย์
4
มากทสี่ ดุ นักวิจัยจึงนาแนวคดิ มาใชอ้ ยา่ งกวา้ งขวางเพอื่ สารวจและทาความเขา้ ใจมนุษยภ์ ายใตร้ ะบบทีม่ คี วามซบั ซอ้ น และ
กระบวนการท่เี กดิ ขึน้ เปน็ ประจา (proximal process) ซึง่ จะทาให้เกดิ การพัฒนาได้อยา่ งต่อเนอ่ื งและยง่ั ยนื
แนวคดิ นี้กลา่ วว่า การพัฒนามนุษย์จะเกิดข้ึนในกระบวนการของปฏิกิริยาโต้ตอบที่ซับซ้อนขึ้นเร่ือยๆ ของมนุษย์
ซึ่งเป็นชีวิตและวิวัฒนาการทางสมอง จิตใจ และพฤติกรรม ร่วมกับบุคคล ส่งิ ของ และสัญลักษณ์ต่างๆ ทั้งในส่งิ แวดลอ้ มที่
เกิดขึ้นตรงหน้าและห่างออกไป (evolving biopsychological human organism) โดยเฉพาะในกระบวนการท่ีเกิดซ้า
เป็นประจา เช่น ระหว่างพ่อแม่-เด็ก เด็ก-เด็ก การเล่นเดี่ยวหรือกลุ่ม การอ่าน การเรียนทักษะใหม่ กิจกรรมกีฬา การทา
ทักษะทซ่ี บั ซอ้ น และในกระบวนการเหลา่ น้ี รูปแบบ อานาจ เน้ือหา และทิศทางของกระบวนการ จะสง่ ผลอย่างเป็นระบบ
ต่อพฒั นาการทเ่ี ป็นลกั ษณะเฉพาะของแตล่ ะบคุ คลไดอ้ ย่างหลากหลาย
แนวคิดนแ้ี บง่ ระบบนเิ วศท่สี ่งผลต่อพัฒนาการของมนุษยอ์ อกเป็น 5 ระบบยอ่ ย คอื
(1) ไมโครซิสเตม็ (Micro System) คอื รูปแบบกิจกรรม สถานทางสงั คม และความสมั พันธ์กับบคุ คลอื่น ซ่งึ บคุ คล
มีประสบการณ์ตรงแบบตัวตอ่ ตัว เช่น ครอบครัว ญาติ เพื่อน โรงเรียน ที่ทางาน เป็นต้น ในระบบน้ีกระบวนการทเี่ กิดขึน้
เป็นประจา (proximal processes) ขบั เคล่อื นให้เกดิ การพฒั นามนษุ ยอ์ ยา่ งยัง่ ยนื
(2) มีโซซิสเต็ม (Meso System) เป็นจุดเช่ือมและกระบวนการที่เกิดข้ึนระหว่างไมโครซิสเต็มด้วยกัน เช่น
ความสัมพนั ธ์ระหว่างครอบครวั กับโรงเรยี น ครอบครัวกบั ครอบครัวของเพอื่ น เปน็ ตน้
(3) เอ็กโซซิสเต็ม (Exo System) เป็นจุดเชื่อมและกระบวนการที่เกิดขึ้นระหว่างพ้ืนที่หลายพื้นท่ี เป็น
ความสมั พนั ธท์ างออ้ ม ไม่ไดส้ ่งผลต่อตัวบคุ คลโดยตรง เช่น อาชพี การงานของพ่อแม่ นโยบายรฐั บาล เป็นตน้
(4) มาโครซิสเต็ม (Macro System) ครอบคลุมลักษณะทั้งหมดของไมโครซิสเต็ม มีโซซิสเต็ม และเอ็กโซซิสเต็ม
เชน่ องค์ความรู้ ระบบความเช่อื ประเพณี วัฒนธรรม วิถชี ีวิต เป็นต้น เปรยี บเสมอื นพิมพเ์ ขียวทางสังคมสาหรับวฒั นธรรม
เฉพาะหน่ึงๆ
(5) โครโนซิสเต็ม (Crono System) คือช่วงเวลาเหตุการณ์ในชีวิต และช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่ส่งผลต่อตัว
บุคคล เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ การเปล่ยี นแปลงจากเหตุการณ์ในชีวิต การเปลย่ี นสถานทางเศรษฐกิจสังคม การงาน สถานที่
อยู่อาศัย ความสามารถในการจดั การกบั ปัญหาในชีวิตประจาวัน เป็นตน้
และสดุ ท้าย คือแนวคดิ ทฤษฎบี ูรณาการ (Integral Theory) ของเคน วิลเบอร์ (Ken Wilber) ซึ่งมีประเด็น
สาคัญอยู่ท่ีการมองให้เห็นภาพรวมท้ังหมดท่ีสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ท้ังรูปธรรม-นามธรรม ปัจเจก-กลุ่ม รวมทั้ง
พัฒนาการของทั้งหมดท่ีมีร่วมกันอย่างเป็นขั้นตอน ตัวอย่างรูปธรรมที่ชัดเจนของแนวคิดน้ีคือ “แผนที่บูรณาการ” หรือ
“AQAL” (all-quadrants, all-levels, all lines, all states, all types - ทุกเส้ียวส่วน ทุกระดับ ทุกเส้น ทุกสภาวะ ทุก
ประเภท) คือการแสดงให้เห็นองค์ประกอบอย่างครบถ้วนในแง่มุมต่างๆของสิ่งหน่ึง ทั้งมิติทางกายภาพ มิติตทางจิตใจ-จิต
วิญญาณ มิติทางวัฒนธรรม และมิติของระบบสังคม-สง่ิ แวดล้อม ซึ่งเแต่ละมิติคอื เส้ียวสว่ น (quadrant หรือ ¼ ส่วน) ของ
ภาพใหญ่เดยี วกัน และจดั วางองค์ประกอบเหลา่ นนั้ อยา่ งสมั พันธ์กนั ทงั้ ในเชิงความหมาย ระดบั พฒั นาการ และววิ ฒั นาการ
ร่วมกันของปจั จัยท้ังหมด
5
แนวคิดน้ีกล่าวถึงพัฒนาการและวิวัฒนาการของเส้ียวส่วนและองค์รวมหนึ่งๆว่า เป็นการก้าวหน้าตามลาดับข้ัน
อย่างชัดเจนทีละข้ัน ไม่มีการสลับตาแหน่งหรือย้อนกลบั หลงั แต่ละขั้นจะทาให้เกิดศักยภาพใหม่ๆเพิ่มขึ้นขณะที่ศกั ยภาพ
เดิมยังคงอยู่ คือเป็นการพัฒนาจากระดับแรกเริ่มไปสู่ระดับที่มีคุณภาพมากขึ้นเร่ือยๆ ในลักษณะ “ก้าวข้ามและหลอม
รวม” (transcend and include) คือการก้าวข้ามข้อจากัดของพัฒนาการระดับก่อนหน้า ขณะเดียวกันก็หลอมรวม
คณุ สมบัติของระดบั ก่อนหน้าเอาไวใ้ นตัว ทาให้เกิดเปน็ คุณภาพใหม่ทไ่ี ม่ถอยกลับไปเหมอื นเดมิ อกี
2.3 แนวคดิ ท่ีใช้เป็นแนวทางในการบม่ เพาะ สง่ เสรมิ และขับเคลอื่ นคุณธรรมท้งั ในระดบั ปัจเจกและสังคม
แนวคิดสาคัญได้จากงานศึกษาแนวคิดเร่ืองจิตสานึกใหม่ และการสร้างสังคมท่ีเป็นธรรม ของประเวศ วะสี
แนวคิดเรื่องการพัฒนาคุณธรรมตามแนวจิตตปัญญาศึกษา ของศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล รวมท้ัง
การมองเสน้ ทางการเคลื่อนไปของชวี ิตด้วยแนวคดิ การเดนิ ทางของผู้กล้า ของโจเซฟ แคมป์เบลล์
ประเด็นสาคัญจากแนวคิดเรอ่ื งจติ สานึกใหม่ ของประเวศ วะสี ทจ่ี าเป็นต้องพจิ ารณาในการขบั เคลอ่ื นคุณธรรม
คือเร่ืองของสมองส่วนหน้ากับการเกิดจิตสานึกใหม่ โดยแนวคิดน้ีกล่าวว่า กายภาพมนุษย์ท่ีวิวัฒนาการมาสองแสนปีจนมี
โครงสร้างสมองทว่ี ิจติ รและซับซ้อนมากกวา่ ชีวิตอน่ื ทั้งหมด โดยเฉพาะการมีสมองส่วนหน้าที่อยู่ตรงกลางหน้าผาก คือการ
วิวัฒนาการมาถึงจุดท่ีพรอ้ มใหม้ นษุ ย์เป็น “มนษุ ยค์ ุณธรรม” สงิ่ ท่ีตอ้ งชว่ ยกนั ทาคอื การสนับสนุนและกระตนุ้ ให้สมองสว่ น
หน้าตื่นข้ึน (activate) และสามารถใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยปัจจัยสาคญั ท่ีสดุ คอื การจัดระบบความสัมพันธ์ของ
มนุษย์ ทงั้ ในตนเอง ครอบครวั องค์กร ชมุ ชน และสังคม ให้เปน็ ความสัมพันธแ์ บบสุขสมั พนั ธ์ เปน็ ความสมั พันธ์ทีเ่ ท่าเทยี ม
กัน และเรยี นรจู้ ากกัน ซง่ึ จะทาใหค้ นเกิดปัญญาและความสุขประดจุ บรรลุธรรม ตรงข้ามกบั สถานการณ์ในสงั คมปัจจุบันท่ี
เตม็ ไปดว้ ยทกุ ขสมั พนั ธ์ คือความสัมพันธท์ ีใ่ ชอ้ านาจ และ Top-down ทาให้ผ้คู นขาดความสขุ และการเรยี นร้ทู ด่ี ี
ท้ังนี้มนุษย์มีสมอง 4 ส่วน คือ สมองมี 4 ส่วน คือ (1) สมองส่วนหน้า ใช้กับเรื่อง ปัญญาและความดี (2) เปลอื ก
สมอง ใช้เกี่ยวกับเหตุผล ความรู้ การทาให้สาเร็จตามเป้าหมาย (3) สมองชั้นใน ใช้ในเร่ืองอารมณ์ความรู้สึก (4) สมอง
สว่ นหลงั ใชเ้ พื่อเอาตวั รอด สภาพสังคมในแต่ละชว่ งจะเปน็ ตวั กระตุน้ ให้สมองแต่ละสว่ นทางานมากนอ้ ยตา่ งกัน และสรา้ ง
ความคุ้นชินจนกลายเป็นร่องสมองที่ถูกใช้งานซ้าๆ และส่งผลสะท้อนกลบั ไปมาเป็นวิวัฒนาการร่วมกันของผูค้ นและสังคม
ในแตล่ ะยคุ สมยั
ระบบนิเวศมนุษย์ที่ส่งเสริมให้เกิดคุณธรรมในชุมชน-องค์กร-เครือข่าย หรือระบบนิเวศที่การส่งเสริมให้เกิด
“สงั คมสมองสว่ นหน้า” ที่สาคัญคือ “ชุมชนเข้มแข็ง” เพราะชุมชน คอื ระบบชีวิตและการอยู่ร่วมกันของคนกับคนและคน
กับสิ่งแวดล้อม ทาให้ชุมชนเป็นที่อยู่ของศีลธรรม ท้ังน้ีเน่ืองจากความดี-ไม่ดี ไม่ใช่พฤติกรรมส่วนบุคคลอย่างที่คนไทย
เข้าใจ หากแต่โครงสร้างของชีวิตระดับต่างๆคือตัวกาหนดพฤติกรรมที่สาคัญท้ังของปัจเจกและสงั คม การคิดเชิงระบบคือ
การสรา้ งสว่ นประกอบให้เกิดเปน็ องคร์ วมท่ีมีคณุ สมบตั ิใหม่ และหากมองไปท่ีคุณภาพพ้ืนฐานแล้วจะพบว่า คนไทยเป็นคน
6
ดี แต่ระบบไม่ดี และคนไทยไม่มีพฤติกรรมองค์กร ส่วนโลกตะวันตกก็ผิดพลาดที่ให้ความสาคัญกับเสรีภาพของปัจเจกโดย
ไมค่ านงึ ถงึ เสรีภาพขององค์รวม โดยไมร่ คู้ วามจริงว่า ถ้าระบบดี คนจะมีเสรีภาพมาก
ในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง ประเวศ วะสี ให้ความสาคัญกับแนวคิดกระบวนการนโยบายสาธารณะเป็นอย่างย่ิง
โดยให้นิยามของคาว่า นโยบายสาธารณะ ไว้ว่า ทิศทางหรือแนวทางท่ีสังคมโดยรวมเห็นวาหรือเช่ือวา ควรจะดาเนินการ
ไปในทิศทางนั้น ไม่ได้จากัดเฉพาะนโยบายของพรรคการเมือง รัฐบาล หรือหน่วยงานราชการเท่านั้น แต่รวมถึงนโยบายที่
เกิดข้นึ ตลอดเวลาจากภาคประชาชน เอกชน ชุมชน และสงั คมดว้ ย
แนวคิดนี้กล่าวว่า นโยบายสาธารณะที่ดี (healthy public policies) คือ นโยบายสาธารณะท่ีนาไปสู่ความ
ถูกตอ้ งเปน็ ธรรม และประโยชนส์ ุขของมหาชน โดยประกอบไปด้วยกุศล 3 ประการ ได้แก่
(1) เป็นกระบวนการทางปัญญา คือเป็นการสร้างนโยบายบนฐานของความรู (knowledge – based policy
formulation) โดยใชหลักฐานขอเท็จจริงนามาศึกษาวิจัยสร้างความรู้ โดยพิจารณาว่า ความรู้น้ันมีความถูกต้องเป็นธรรม
และเปน็ ประโยชน์สขุ ของมหาชนหรือไม่ มากนอ้ ยเพยี งใด
(2) เป็นกระบวนการทางสังคม ที่ประชาชนควรมีโอกาสเขามามีสวนร่วมเรียนรูและกาหนดนโยบาย โดยทาเป็น
กระบวนการที่เปดิ เผยและโปรงใส
(3) เป็นกระบวนการทางศลี ธรรม นโยบายสาธารณะท่ีดีตองเป็นไปเพ่ือความถูกตองดีงาม และเพื่อประโยชนสุข
ของคนทงั้ สงั คม ไม่เปน็ การแฝงเรน้ ประโยชนเฉพาะตนหรือเฉพาะกลุม
หัวใจของการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะอยู่ที่ “กระบวนการ” ของการได้มาซ่ึงนโยบายสาธารณะ ซ่ึงมาจาก
การมสี ว่ นร่วมของทกุ ฝา่ ยในสังคมทางานรว่ มกนั โดยร่วมกนั แลกเปลยี่ นขอ้ มูลความรู้ รว่ มกันกาหนดแนวนโยบาย ร่วมกัน
ดาเนินงานตามนโยบาย ร่วมกันติดตามผล และร่วมทบทวนโยบายเพ่ือแก้ไขปรับปรุง ในกระบวนการเช่นนี้จะทาให้เกิด
ความเข้าใจ เกิดคุณค่า เกิดการปฏบิ ตั โิ ดยสังคม และเม่ือทุกฝา่ ยปฏิบัติเป็นปกติจะกลายเป็นวฒั นธรรมในสังคม
แนวคิดนี้ได้ให้แนวทางของกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในทางปฏิบัติรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดการความรู้
Dialogue หรือ สุทรียสนทนา เป็นต้น ซ่ึงทุกรูปแบบมีจุดรว่ มกันคือช่วยลดอัตตา ปรับเปล่ียนตนเอง เปิดให้มีการรับรใู้ หม่
และเรียนรู้ร่วมกันได้ นอกจากนี้ เวทีนโยบายสาธารณะยังเป็นยุทธศาสตร์สาคัญท่ีจะช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมในส่วน
อื่นๆด้วย ตั้งแต่การต้ังประเด็น การวิจัยนโยบาย และการนาผลวิจัยมาเรียนรู้ปฏิบัติร่วมกัน ทั้งนี้แนวคิดเก่ียวกับ
กระบวนการนโยบายสาธารณะสามารถนามาเป็นกรอบการพิจารณาลักษณะของสังคมท่ีดี ซึ่งสามารถดูได้จากการมีหรือ
ความพยายามที่จะมีกระบวนการนโยบายสาธารณะหรือไม่ อันประกอบไปด้วยการมีฐานความรู้ การมีส่วนร่วมของ
ผเู้ ก่ยี วข้อง และเป้าหมายท่ีมุง่ สู่ประโยชน์ของสว่ นรวม
ในแนวคิดการพัฒนาคณุ ธรรมตามแนวจิตตปญั ญาศึกษา ของของศนู ย์จติ ตปัญญาศึกษา มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล
มีประประเด็นสาคญั คือ พบว่าเป้าหมายและกระบวนการบ่มเพาะตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
กับการพัฒนาคณุ ธรรม โดยเนน้ ทกี่ ารสรา้ งประสบการณ์และกระบวนการเรียนรูท้ ห่ี ลากหลาย มชี มุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ และ
มกี ารเกิดผลของการเรียนรูอ้ ยา่ งเป็นขั้นตอนตามเหตุปจั จัย
7
แนวคิดนี้เกิดบนฐานแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) ซึ่งมีเป้าหมายเพ่ือการพัฒนา
มนุษย์อย่างเป็นองค์รวม สู่ความเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ โดยเริ่มต้นจากการมีความสมดุลท้ังมิติกาย ใจ สังคม และจิต
วิญญาณ มีชีวิตท่ีดีงาม และมีความสุข ทั้งน้ีโดยนิยามของคาว่า จิตตปัญญาศึกษาหมายถึง การรู้จิตของตนเองแล้วเกิด
ปัญญา เป็นกระบวนการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ โดยเร่ิมจากแก่นแกนภายใน และอาศัยบริบทแวดล้อมท่ีเป็นเหตุ
ปัจจัยเกื้อกูลต่อองค์ประกอบหรือกระแสแห่งการพัฒนาจิตและปัญญาอย่างรอบด้าน นาไปสู่การตื่นรู้ ตระหนักถึงความ
เชื่อมโยงและคุณค่าของสรรพส่ิงโดยปราศจากอคติ เกิดความรักความเมตตา อ่อนน้อมต่อธรรมชาติ และมีจิตสานึกต่อ
ส่วนรวม
จิตตปัญญาศึกษามรี ากฐานรว่ มจากทงั้ ฐานคดิ เชิงศาสนธรรม ฐานมนุษยนยิ ม และฐานคิดการบูรณาการและองค์
รวม มีเป้าหมายเพ่ือจัดการศึกษาท่ีมุ่งนามนุษย์เข้าถึงปัญญาในความจริง ความดี และความงาม เป็นไปเพื่อการ
เปล่ียนแปลงขนั้ พื้นฐานในตนเอง เพือ่ หลดุ จากความตดิ ขัดและวกิ ฤติการณข์ องมนุษยชาติในปัจจุบัน โดยการเปล่ียนแปลง
ขั้นพ้ืนฐานจะเกิดขึ้น 3 ระดับ คือ การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตนเอง (personal transformation) โดยเปล่ียนแปลง
ความรู้สกึ นึกคดิ ใหม่ เปลยี่ นแปลงมุมมองเก่ียวกับเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติใหม่ และเปลย่ี นแปลงวิธีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง ก็
จะนาไปสู่การเปล่ียนแปลงขั้นพ้ืนฐานในองค์กร (organization transformation) ที่นาไปสู่การเปลี่ยนแปลงข้ันพ้ืนฐาน
ทางสังคม (social transformation) รวมกันเปน็ การเปลี่ยนแปลงพน้ื ฐานไตรภาคที่จะสรา้ งสนั ติสขุ ให้แกโ่ ลก
แนวคิดน้ีอธิบายถึงองค์ประกอบของจิตตปัญญาศึกษาและการประยุกต์ใช้ในบริบทต่างๆกับแผนภาพต้นไม้
“จิตตปัญญาพฤกษา” วา่ มอี งค์ประกอบ 7 ประการ คือ
(1) ราก : ประกอบด้วยแนวคิดเชงิ ศาสนาและความเชือ่ แนวคิดเชงิ มนษุ ยนยิ ม และการบูรณาการและองค์รวม
(2) ผล : “จติ ใหญ่” (interconnectedness) ซ่งึ เกิดขนึ้ เมอ่ื ถึงพรอ้ มดว้ ยเหตปุ ัจจยั
(3) แก่น : รวมเรียกว่า MINDS คือ กระบวนการเรียนรู้และการปฏิบัติ ประกอบด้วย การมีสติ (M :
Mindfulness) การสบื ค้นกระบวนการเรยี นรทู้ ี่เหมาะสมกบั ตน (I : Investigation) การน้อมมาปฏบิ ตั อิ ยา่ งต่อเนื่องจรงิ จัง
(N : Natural effort) การเบิกบานผ่อนคลาย (D : Delightful Relaxation) การมีจิตตั้งมั่นและเปน็ กลาง (S : Sustained
Equanimity) สอดคล้องกับหลกั ธรรมโพชฌงค์ 7 ในพระพุทธศาสนา
(4) กระพี้ : สว่ นทสี่ นับสนุนหล่อเลย้ี ง ไดแ้ ก่ สังฆะ การให้คุณค่าตอ่ การสรา้ งชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ (Community
of Practice) และ วฒั นธรรม (Culture) การให้คุณคา่ แกร่ ากฐานทางภูมปิ ญั ญาทหี่ ลากหลายและบริบทเชิงวัฒนธรรม
(5) เปลือก : รูปแบบกิจกรรม และ วิธีการเรียนรู้ เครื่องมือ และ การปฏิบัติในรูปแบบต่างๆ อาศัยครูผู้สอนนา
ศิษย์เรียนรู้จนถึงราก ซึ่งมีความหลากหลายโดยการฝึกผ่านการสงบน่ิง (Stillness Practices) กิจกรรมริเร่ิมรังสรรค์
(Generative Practices, Co-creation) กระบวนการเชงิ สรา้ งสรรค์ กิจกรรมทางสังคม (Activist Practices) กระบวนการ
สานสัมพันธ์ (Relational Practices) การเคล่ือนไหว (Movement Practices) และการฝึกผ่านพลังพิธีกรรมศักด์ิสิทธ์ิ
(Ritual/Cyclical Practices)
8
(6) เมล็ด : ศักยภาพภายในที่พร้อมจะงอกงามออกมาเป็นจิตตปัญญาพฤกษาต้นต่อๆ ไป /ผู้สร้างการ
เปล่ียนแปลง (Change Agent) วงการและแวดวงวชิ าชีพตา่ งๆ ทน่ี าแนวคดิ จิตตปัญญาศกึ ษาไปประยกุ ต์ใช้
(7) ดิน : วงการและแวดวงวิชาชีพต่างๆ ท่ีนาแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาไปประยุกต์ใช้ โดยการปรับเปล่ียนตาม
ความเหมาะสมกบั บริบทและวตั ถุประสงค์
ในสว่ นของการประยุกต์ใช้ องคป์ ระกอบต่างๆจะงอกงามผ่านกระบวนการหลัก 7 ประการ ได้แก่
(1) การใคร่ครวญอย่างลึกซง้ึ บนฐานของการมสี ติ (Contemplation)
(2) การโอบอุ้มดูแลและความมีใจกรุณา (Compassion)
(3) ความสัมพันธ์เช่ือมโยงกนั ในทกุ มติ กิ ารเรยี นรแู้ ละการใช้ชวี ิต (Connection)
(4) การเผชญิ หนา้ กับความเป็นจรงิ เพื่อสง่ เสริมศักยภาพในการเติบโตภายใน (Confrontation)
(5) การมพี นั ธะสัญญาและลงมือปฏบิ ตั ิอย่างสมา่ เสมอ (Commitment)
(6) ความต่อเนือ่ งยาวนานและบ่มเพาะผลการเรยี นรูจ้ นสุกงอม (Continuity)
(7) ความเปน็ สังฆะและกล่มุ กลั ยาณมติ ร (Community)
แนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสามารถนาไปประยุกต์เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสู่การเปลี่ยนแปลงในบริบทต่างๆ มี
งานวิจยั จานวนมากที่แสดงถงึ การเรียนรู้สกู่ ารเปลย่ี นแปลงในทุกระดับทง้ั ในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสงั คม เช่น
การพัฒนามิติภายในผ่านกระบวนการฝกึ ฝนกลองชัยมงคล (รัชนี วิศิษฎ์วโรดม,2556) การเติบโตภายในบนเสน้ ทางความ
เป็นแม่ของฉัน (ชรรินชร เสถียร,2558) ภาพสะท้อนในตัวฉันผ่านบทสนทนากับผู้ต้องขังชายในโลกบางขวาง (ประภาพร
อนุมานไพศาล, 2559) กระบวนกรแนวจิตตปัญญาศึกษา : การเปลี่ยนแปลงภายในตน บนเส้นทางสู่ชีวิตที่หลอมรวม
(กรนัท สุรพัฒน์, 2556) หันหน้าหากันก่อนถึงวันจากลา : การสนทนาเรื่องความตายในครอบครัวของฉัน (ปฏิพัทธ์
อนุรักษ์ธรรม, 2560) เส้นทางการเปล่ียนผ่านสู่การบริโภคอย่างมีสติ (อารียา มหาวรมากร, 2557) การวิจัยนาร่องเพ่ือ
ศึกษากระบวนการเรยี นรู้เพื่อการเปลย่ี นแปลงบนโลกออนไลน์ (เกศราภา ถนอมศักด์ิ, 2560) ความเป็นผู้พ่ายแพ้ในระบบ
การศกึ ษา : อัตชาติพันธุ์วรรณนาผ่านชีวติ ผวู้ ิจยั (จิรวุฒิ พงษ์โสภณ, 2561) ทุนทางสังคมของชุมชน : ศึกษากรณี หมู่บ้าน
แอโก๋-แสนคาลือ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน (มนทิพย์ กิจยิ่งโสภณ, 2558) ฯลฯ ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้เป็นตัวอย่างของการ
ประยกุ ตจ์ ิตตปัญญาศึกษาท้ังในระดับหลักการและรูปแบบเพ่อื เปน็ ประโยชน์ในการพฒั นาอย่างเหมาะสมกบั บรบิ ทต่างๆ
ผวู้ ิจัยพบว่า แนวทางของจิตตปัญญาศึกษา และการนิยามการพัฒนาและขับเคลื่อนคณุ ธรรมในความหมายกว้าง
ตามแนวทางของศูนย์คุณธรรม มีความกว้างขวาง ลึกซึ้ง และสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซ่ึงครอบคลุมถึงการ
พัฒนาทัศนะ คณุ ภาพภายใน และพฤติกรรม ท่ีมุ่งส่คู วามงอกงาม คุณงามความดี สนั ติสขุ และการเป็นอยู่อย่างสอดคลอ้ ง
กับความเป็นจริงของธรรมชาติและชีวิต เป็นการค้นพบคุณค่าและความหมายเฉพาะตนจนเกิดแรงจูงใจท่ีจะฝึกฝนปฏิบัติ
อย่างถูกตอ้ งเป็นนิสยั และนาให้บุคคลมีชีวิตอย่างสงบเย็นและเปน็ ประโยชน์ ท่ีเกิดขน้ึ จากการเรียนร้พู ัฒนามิติภายในและ
การเรียนร้จู ากตัวแบบในสงิ่ แวดลอ้ ม โครงสรา้ ง ระบบ อยา่ งเช่อื มโยงสัมพันธก์ ันเป็นองค์รวม
9
แนวคดิ สุดท้ายท่ีนามาพัฒนากรอบแนวคิดในโครงการนี้คอื แนวคิดการเดินทางของผู้กล้า (Hero's Journey)
ของโจเซฟ แคมป์เบลล์ (Joseph Campbell) ซ่ึงเป็นมุมมองช่วยร้อยเรียงเรื่องราวที่เกิดข้ึนขององค์กร ชุมชน และ
เครือข่ายต่างๆ ให้เป็นพลังงานของความชีวิตตามธรรมชาติของสิ่งนั้น มีเจตจานงค์ มีความสามารถในการเรียนรู้
เปลยี่ นแปลง และเจริญงอกงามอยา่ งมีพลวัตรรว่ มกันกับบริบทระดับต่างๆ โดยแนวคิดน้ีกล่าวว่า การเดนิ ทางผจญภยั ของ
ผูก้ ล้านัน้ มแี บบแผนการเดินทางเปน็ วงจร โดยเรม่ิ จาก ความร้สู กึ ว่ามบี างอยา่ งถูกพรากหรือขาดหายไป และเกิดเสียงเรยี ก
ให้ออกค้นหาเพ่ือสรา้ งการเปล่ยี นแปลง ซึ่งนาไปสู่ความขัดแย้งภายในตวั ตน ในการเดินทางจะพบพี่เลี้ยงและคาช้ีแนะจาก
พลังบางอย่าง ที่หนุนช่วยให้เกิดพลังและการข้ามพรมแดนไปสู่การสร้างการเปล่ียนแปลงจนเกิดคุณภาพใหม่ข้ึนในชีวิต
โดยจะพบกับอุปสรรคและการท้าทาย การตายและการเกิดใหม่ จนได้รับชัยชนะและรางวัล และเดินทางกลับมาเพ่ือนา
พลงั และความรู้ท่ีได้มาแบ่งปัน จากน้ันจะเป็นช่วงสงบนิ่งและสารวจภายในตนเอง ว่าพอใจกับสิง่ ทีไ่ ด้รบั มา หรือจะเร่ิมต้น
ใหมใ่ นการออกเดินทางอีกครง้ั
โดยสรุป กรอบแนวคดิ หลกั ที่ใช้ในโครงการนีใ้ หค้ วามสาคญั กับประเด็นต่างๆดังน้ี คอื
(1) มุมมองท่ีใช้เป็นหลัก แต่ยืดหยุ่น ในการมองระบบนิเวศมนษุ ยค์ ือ กระบวนทัศน์แบบองค์รวม วิธีคิดเชิงระบบ
และแนวคิดตามทฤษฎีพัฒนาการและวิวัฒนาการ คือมองให้เห็นท้ังระบบแบบเป็นองค์รวมหน่ึงๆ จากส่วนย่อยต่างๆท่ี
สัมพันธ์เชื่อมโยงกนั อย่างใกล้ชิด ท้ังรูปธรรม-นามธรรม ปัจเจก-กลุ่ม และกระบวนการพัฒนาของส่ิงน้ันทสี่ ัมพันธ์กบั ส่งิ อื่น
อย่างพยายามสร้างสมดุล มีพลวัตร และมีพัฒนาการร่วมกันอย่างเป็นขั้นตอน รวมทั้งมองให้เห็นถึงรูปแบบพลังชีวิตอัน
เปน็ ธรรมชาตขิ องระบบนนั้ ๆ
(2) การพิจารณาถงึ ความเป็นพน้ื ท่คี ุณธรรม ดูได้จากองค์รวม องค์ประกอบของแต่ละส่วนย่อย และกระบวนการ
ภายในของพนื้ ท่นี ั้นๆ
(3) กายภาพมนษุ ยพ์ รอ้ มแลว้ สาหรบั การมคี ุณธรรม การส่งเสริมทาโดยการ activate สมองส่วนหน้าขึ้นมา โดย
- สง่ เสริมให้เกิดการเรียนรู้ท่ีดี โดยการสร้างประสบการณ์และกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย มีชุมชนแห่งการ
เรยี นรู้ และมกี ารเกิดผลของการเรียนรอู้ ย่างเปน็ ขน้ั ตอนตามเหตุปจั จยั
- จัดระบบชุมชนท่ีส่งเสริมคุณธรรม คือชุมชนท่ีมีระบบท่ีสร้างสุขสัมพันธ์ เป็นความสัมพันธ์ท่ีเท่าเทียมกัน และ
เรียนรจู้ ากกันและกันในการปฏบิ ัตสิ งิ่ ต่างๆ
- ร่วมกนั สร้างสงั คมที่ดี ดูได้จากการมหี รอื ความพยายามท่ีจะมกี ระบวนการนโยบายสาธารณะหรือไม่
ท้ังน้ีให้พิจารณาถึงส่ิงแวดล้อมที่ใกล้ตัวมนุษย์ที่สุดและสถานการณ์ที่เกิดบ่อยท่ีสุด ว่ามีผลอย่างเป็นระบบต่อ
พัฒนาการมนษุ ย์มากทสี่ ดุ
ผู้วัยพบว่า กรอบแนวคิดท่ีพัฒนาขึ้นนี้สามารถเช่ือมโยงและมีจุดร่วมกับคานิยามความหมายของ “คุณธรรม” ที่
ใช้กันมาแต่เดิมท้ังในวัฒนธรรมตะวันตกและในวัฒนธรรมไทยที่เช่ือมโยงกับความหมายทางพุทธศาสนา โดยได้รวบรวม
ความหมายจากแหล่งต่างๆ คือ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน อริสโตเต้ิล แนวคิดมนุษยนิยม ( Humanistic -
10
Existentialism) สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) พุทธทาสภกิ ขุ และศาสตราจารย์เกยี รติคุณ น.พ.ประเวศ
วะสี ซึ่งสรปุ เปน็ ความหมายรว่ มได้ 3 ประเดน็ สาคญั คอื
(1) คุณธรรมเป็นเรื่องของทัศนะ คุณภาพภายใน และพฤติกรรม ท่ีมุ่งสู่ความงอกงาม คุณงามความดี สันติสุข
และการเป็นอยูอ่ ยา่ งสอดคล้องกับความเปน็ จริงของธรรมชาติและชีวติ
(2) คุณธรรมเป็นสิ่งที่บุคคลเห็นคุณค่าและความหมายเฉพาะตน จนเกิดแรงจูงใจท่ีจะฝึกฝนปฏิบัติอย่างถูกต้อง
เป็นนสิ ยั และนาให้บคุ คลมชี วี ติ อยา่ งสงบเยน็ และเป็นประโยชน์
(3) คุณธรรมเกิดข้ึนจากการเรียนรู้พัฒนามิติภายใน และการเรียนรู้จากตัวแบบในสิ่งแวดล้อม โครงสร้าง ระบบ
ซึ่งเชอ่ื มโยงสมั พนั ธ์กันเปน็ องคร์ วม
และพบด้วยว่า แนวทางขับเคลื่อนคณุ ธรรมท่ีพบจากกรอบแนวคดิ สามารถเช่ือมโยงกับคาอธิบายสาคญั ทางพุทธ
ศาสนา ท่ีกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาเส้นทางชีวิตที่จะนาไปสู่ชีวิตท่ีเจริญงอกงาม มีคุณค่า และความหมาย ได้เต็ม
ศกั ยภาพของมนุษย์ นั่นคอื ข้อธรรมเร่ือง “มรรค” ซ่ึงเป็นหน่ึงในหัวใจของศาสนาพุทธคอื อริยสจั 4 อันประกอบด้วยทุกข์
(สถานการณ์ความทุกข์) สมุทัย (ต้นเหตุของทุกข์) นิโรธ (เป้าหมายของชีวิต คือการส้ินสุดทุกข์) และมรรค (หนทางสู่การ
ส้นิ สุดความทุกข)์ โดยมรรคมอี งค์ 8 หรือวธิ กี ารสาคัญ 8 ขอ้ สามารถสรปุ ควบรวมไดเ้ ปน็ องค์ 3 คอื ศลี (การดารงอยอู่ ยา่ ง
เกื้อกูลต่อตนเองและผู้อ่ืน ประกอบด้วย การมีวาจาที่ถูกต้อง การปฏิบัติที่ถูกต้อง การหาเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง และมีความ
เพียรที่ถูกต้อง) สมาธิ (คุณภาพจิตอันสงบ ประกอบด้วย การมีสติท่ีถูกต้อง และมีสมาธิที่ถูกต้อง) และปัญญา (ความรู้
ความเข้าใจอันลึกซ้ึง และมองเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง ประกอบด้วย มีหลักการที่ถูกต้อง และมีความคิดท่ีถูกต้อง)
โดยแนวทางทั้ง 3 ประการจะเป็นแก่นแกนเบื้องลึกของการพัฒนาท้ังปัจเจกและสังคม ซ่ึงที่จะเกิดข้ึนก่อนที่ภายใน
โดยเฉพาะกบั ปัจจยั หลกั หรือผ้นู า และขยายออกสู่ภายนอกไปเช่อื มโยงกับผ้อู ่นื และบรบิ ทแวดลอ้ ม
เม่ือพิจารณาถึงองค์ประกอบและกระบวนการท่ีเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีศักยภาพส่งเสริมคุณธรรม ก็พบว่าสามารถ
อธบิ ายเทยี บเคียงไดเ้ ช่นกนั คือ
(1) เป้าหมาย (ปัญญา) คือ การมีเป้าหมายเพื่อความเจริญงอกงาม มีเป้าหมายร่วม มีความพยายามในการ
เดินทางไปสเู่ ป้าหมาย มุง่ หวงั ประโยชนส์ ุขของสว่ นรวม และมุ่งทาการงานท่เี ป็นประโยชน์ต่อสว่ นรวม
(2) มีผู้ริเร่ิมและนาการเปล่ียนแปลงที่มีคุณธรรม แน่วแน่ พากเพียร และกล้าหาญในการทาส่ิงใหม่ๆท่ีแตกต่าง
(สมาธ)ิ
(3) คุณภาพของพนื้ ที่แบบเปน็ องคร์ วม (ศลี ) คอื
- คุณภาพภายในท้ังของปัจเจกและกลุ่ม ได้แก่ ความสามารถในการจัดการตัวเอง มีแก่นแกนและความม่ันคง
ภายใน มีความสอดคล้องระหว่างองค์ประกอบตา่ งๆอย่างเปน็ องคร์ วม เชน่ เป้าหมาย วธิ ีการ กลไก ความย่งั ยืน
- คณุ ภาพของความสมั พันธ์ภายใน ได้แก่ การมีสว่ นร่วม ความสมั พันธ์แนวราบ ความสมั พันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก
การรบั รู้ เข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และรว่ มทุกขส์ ุขกนั ทางวตั ถุและจิตใจ
11
- ระบบ-กลไก-โครงสร้าง-พ้ืนทป่ี ฏิบัติการ-กระบวนการ ได้แก่ มีกลไก โครงสร้าง นโยบาย และส่งิ แวดล้อมท่ีเอื้อ
ต่อการสง่ เสรมิ คณุ ธรรม มีกระบวนการส่งเสริมและสนับสนุน เช่น การโคช เยียวยา การเปดิ พ้นื ท่ีรบั ฟัง และการสรา้ งผู้นา
รุ่นต่อไป มีพ้ืนท่ีปลอดภัยเพ่ือการเรียนรูแ้ ละพัฒนาร่วมกนั มีวงจรป้อนกลับท่ีส่งเสรมิ ใหเ้ กิดการเรยี นรู้ จัดการ และพัฒนา
ตัวเอง มีชุมชนและพ้ืนท่ีแห่งการปฏิบัติร่วมกัน และมีแนวทางปฏิบัติเพ่ือสร้างการเปลี่ยนแปลงเป็นลาดับขั้น ซึ่งจะช่วยให้
สมาชกิ เหน็ วา่ ตนกาลังเดนิ ทางอย่ใู นเส้นทางการเปลี่ยนแปลงนัน้
12
บทที่ 3
วิธกี ารวจิ ัย
3.1 การทบทวนวรรณกรรม
การทบทวนวรรณกรรม บทความ งานวิจัย และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง (Literature Study) ทั้งข้อมูลปฐมภูมิ
(Primary Data) และข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) จากรูปแบบ องค์ประกอบ และปัจจัยต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการ
สนับสนุนพัฒนาระบบนิเวศมนุษย์
3.2 การเก็บข้อมลู เชงิ ประจักษ์
3.2.1 ทากรณีศึกษาพื้นท่ีที่มีศักยภาพหรือแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practices) ในการส่งเสริมมิติด้านคุณธรรม
ทง้ั ในระดบั ชมุ ชน องค์กร และระดบั เครอื ข่าย รวม 9 แหง่ โดยการเก็บรวบรวมข้อมลู จากการลงพ้ืนที่สมั ภาษณเ์ ชิงลกึ (In-
dept Interview) และวธิ ีการสังเกตการณ์แบบมสี ่วนร่วม (Participant Observation)
พื้นทศ่ี กึ ษา
ศนู ย์คุณธรรมได้กาหนดขอบเขตของพื้นท่ีศกึ ษาไว้เป็น 3 กลุม่ คือ องค์กร ชุมชน และเครือข่าย กลุม่ ละ 3 พื้นท่ี
รวมเปน็ 9 พืน้ ท่ี โดยโครงการวจิ ัยเป็นผู้พจิ ารณาเลอื กพื้นที่ตามความเหมาะสม ไดพ้ ืน้ ทีศ่ ึกษาดงั นี้
1) ระดับองค์กร ประกอบดว้ ย
1.1) โรงเรียนมชี ัยพัฒนา Bamboo School
186 หมู่ท่ี 13 ต.โคกกลาง อ.ลาปลายมาศ จ.บรุ ีรมั ย์ 31130)
1.2) CreativeMOVE
อาคาร 253 อโศก 253 ถ.สขุ ุมวิท 21 แขวงคลองเตยเหนอื เขตวฒั นา กรุงเทพ 10110)
1.3) บรษิ ัท เมดิฟูดส์ ประเทศไทย จากัด
สานักงานใหญ่ - 222/7 เดอะไพรมารี่ เพรสทีจ ถ.รัชดา-รามอินทรา แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม
กรุงเทพฯ 10230
โรงงาน - 333 หมู่ 7 ต.ช่องสามหมอ อ.แกง้ คร้อ จ.ชยั ภมู ิ 36150)
2) ระดบั ชมุ ขน ประกอบด้วย
2.1) ชุมชนจะรัง
อบต.จะรัง และบ้านจะรัง หมู่ 7 ต.จะรงั อ.ยะหร่ิง จ.ปัตตานี 94150
13
2.2) ชุมชนตาบลนาทอน
อบต.นาทอน และมสั ยิดบารายี บ้านบารายี หมู่ 7 ต.นาทอน อ.ทุง่ หวา้ จ.สตูล 91120
2.3) ชุมชนแม่ทา (ติดต่อ: วิสาหกิจชุมชนแม่ทา SE เลขท่ี 19 หมู่ท่ี 11 ถนน ตาบลทาขุมเงิน อาเภอแม่ทา
จงั หวัดลาพนู 51170)
3) ระดบั เครอื ข่าย ประกอบด้วย
3.1) เครือขา่ ยแพทย์ชนบท
ชมรมแพทย์ชนบท โรงพยาบาลจะนะ 35 ถ.ราษฎร์บารงุ หมู่ 2 ต.บา้ นนา อ.จะนะ จ.สงขลา 90130
3.2) เครือข่ายชมุ ชนกรณุ า
เครือข่ายพทุ ธิกา 45/4 ซ.อรุณอมรนิ ทร์ 39 (เหล่าลดา) ถ.อรุณอมรนิ ทร์ แขวงอรุณอมรินทร์
เขตบางกอกนอ้ ย กรงุ เทพฯ 10700)
3.3) เครือข่ายสลมั 4 ภาค
มูลนิธิพัฒนาท่ีอยู่อาศัย 463/1 เทพลีลา 17 ถ. รามคาแหง 39 แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง
กรุงเทพฯ 10312
แนวคาถามในการศกึ ษา
จากกรอบแนวคดิ ข้างต้น ผู้วิจัยไดจ้ ดั ทาแนวคาถามในการศกึ ษาพนื้ ทศี่ ึกษา โดยแบง่ เปน็ 2 ประเด็นหลกั คือ
1) การเดินทางขององค์กร ชมุ ชน หรือเครอื ขา่ ยของท่าน
1.1) แนวคิด ทมี่ า เป้าหมาย และจดุ เร่มิ ตน้ ในการกอ่ ตัง้ องค์กร ชุมชน หรอื เครอื ข่าย
1.2) ประเดน็ และวิธีการทางานท่ีสาคญั
1.3) ผลทีเ่ กดิ ขึ้นในระดับตา่ งๆ ต้งั แต่ปจั เจกถึงสังคม
1.4) ปัญหาและความทา้ ทายทพี่ บ
1.5) การก้าวผ่านอุปสรรค บทเรยี นสาคัญ และส่ิงทอี่ ยากบอกกับสงั คมเพอื่ เรยี นรรู้ ว่ มกัน
2) การเป็นตัวอย่างท่ีดีของพื้นที่ท่ีมีศักยภาพในการส่งเสริมคุณธรรม ซึ่งเป็นพ้ืนท่ีท่ีบ่มเพาะความสุขและ
เจริญงามของชีวิตให้แกส่ มาชิกและสงั คม
2.1) ความหมายของคาวา่ “คุณธรรม” ในความเหน็ ของทา่ น
2.2) ทา่ นรู้สึกอยา่ งไรทไี่ ด้รับการช่ืนชมในฐานะตวั อยา่ งทีด่ ขี องพื้นทที่ ่มี ีศักยภาพในการส่งเสรมิ คุณธรรม
2.3) ในฐานะผูน้ า ท่านมีเป้าหมายอย่างไรในการส่งเสรมิ คุณธรรมในองค์กร ชุมชน หรือเครอื ขา่ ย และท่าน
เดนิ ทางมาถงึ ขั้นใดของเป้าหมายแลว้
2.4) วัฒนธรรมองค์กรและโครงสร้างองค์กรของท่านลักษณะใด ท่ีเก่ียวข้องและสนับสนุนการส่งเสริม
คุณธรรม
14
2.5) แนวปฏบิ ัติหรือกิจกรรมใด ท่ีทาให้องคก์ รของท่านเป็นพื้นที่ที่บ่มเพาะความสุขและเจริญงามของชีวิต
ให้แกส่ มาชกิ
2.6) ปัจจัยสาคัญอื่นๆ ท่ีทาให้องค์กรของท่านมีศักยภาพในการส่งเสริมคุณธรรม ความสัมพันธ์กันของ
ปัจจยั เหล่านั้น และลาดบั ความสาคัญ
2.7) ปจั จยั สาคญั ทข่ี ัดขวางศักยภาพในการส่งเสรมิ คณุ ธรรมขององคก์ ร ชุมชน หรอื เครือข่าย ความสัมพันธ์
กนั ของปจั จยั เหลา่ นัน้ และลาดับความสาคัญ
2.8) ท่านเห็นบรรยากาศและความสัมพันธ์ภายในของสมาชิกองค์กรของท่านเป็นอย่างไร และสมาชิกมี
บรรยากาศและความสมั พันธ์กบั ผคู้ นภายนอกและชมุ ชนแวดลอ้ มอย่างไร
2.9) การส่งเสริมคุณธรรมในพ้ืนที่ของท่าน ส่งผลต่อตัวท่านเอง สมาชิก ผู้ที่เก่ียวข้อง และสังคมโดยรวม
อย่างไร
2.10) ขอ้ เสนอแนะของท่านสาหรับการส่งเสรมิ คุณธรรมของสงั คมไทย
3.2.2 วิเคราะห์ สงั เคราะห์ขอ้ มูล (Content Analysis) จากการทบทวนวรรณกรรม และพน้ื ท่ีท่ีมีแนวทาง
ปฏิบตั ทิ ี่ดี (Best Practices) เพือ่ นามาใชใ้ นการพัฒนาเปน็ ต้นแบบทางความคิด (Conceptual Model) การสรา้ งระบบ
นเิ วศมนษุ ย์ และข้อเสนอแนะทส่ี ามารถนาไปปรบั ใช้ใหเ้ หมาะสมและมปี ระสิทธภิ าพ เพ่ือการพฒั นาพน้ื ทีด่ า้ นคุณธรรม
3.3 การจัดเวทีปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและพัฒนาตน้ แบบทางความคดิ
3.3.1 ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของศูนย์คุณธรรม และผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับฟังความคิดเห็น /
ขอ้ เสนอแนะ จานวน 1 ครั้ง
3.3.2 นาเสนอผลการศึกษา การออกแบบพัฒนาต้นแบบทางความคิด (Conceptual Model) การสร้างระบบ
นิเวศมนุษย์ เพ่ือขับเคลื่อนคุณธรรมในสงั คมไทย และข้อเสนอแนะที่สามารถนาไปปรับใช้ให้เหมาะสมและมีประสทิ ธิภาพ
จานวน 1 ครั้ง
3.4 จัดทารายงานฉบบั สมบรู ณ์
15
บทที่ 4
กรณศี กึ ษาการสร้างระบบนิเวศมนษุ ยเ์ พ่ือขับเคลื่อนคุณธรรมในสงั คมไทย
4.1 ระดบั องคก์ ร
4.1.1 CreativeMOVE
เปลี่ยนแปลงโลกดว้ ยการสอ่ื สารอยา่ งสรา้ งสรรค์
4.1.2 บรษิ ทั เมดฟิ ดู ส์ (ประเทศไทย) จากัด
ผสู้ รา้ งวงจรการค้าข้าวที่ยั่งยนื ดว้ ยความรักและปัญญา
4.1.3 โรงเรยี นมชี ยั พฒั นา
การศึกษาเพอื่ พัฒนาคนและสงั คม บนฐานของความสขุ รว่ มกนั การแบ่งปัน และมิตรไมตรี
4.2 ระดบั ชมุ ชน
4.2.1 เครอื ขา่ ยนิเวศน์ลมุ่ น้าแม่ทา
วิถแี ห่งอยู่รอดและอยู่ร่วม หลอมรวมคนในพน้ื ที่
4.2.2 ชมุ ชนจะรัง อาเภอยะหรงิ่ จงั หวดั ปัตตานี
ร่วมพฒั นาจากฐานทรัพยากรชวี ภาพสู่ชุมชนพึ่งตนเอง
4.2.3 ชุมชนนาทอน อาเภอทุ่งหว้า จงั หวัดสตลู
พืน้ ท่ีวฒั นธรรมแบบใหม่ที่หลอมรวมชวี ิตทางโลกและทางธรรมเขา้ ด้วยกนั
4.3 ระดบั เครือข่าย
4.3.1 ชมรมแพทยช์ นบท
ยืนหยัดทา้ ทายอานาจรฐั ดว้ ยอดุ มการณ์เพอ่ื มวลชน
4.3.2 เครือข่ายชมุ ชนกรณุ า
สายสมั พนั ธเ์ พ่ือการอยูแ่ ละตายดขี องทกุ คน
4.3.3 เครอื ข่ายสลมั 4 ภาค
ความเทา่ เทียมและไมท่ ง้ิ ใครไว้ข้างหลงั คือคุณธรรมของสังคม
16
4.1 CreativeMOVE
เปลี่ยนแปลงโลกด้วยการส่ือสารอย่างสร้างสรรค์
“เราเชอื่ วา่ ความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ และงานออกแบบ สามารถเปล่ยี นโลกได้”
"We believe creativity art & design can change the World."
CreativeMOVE
พลงั สร้างสรรค์ทเี่ คลื่อนโลกใหด้ กี ว่าเดมิ
"We believe creativity art & design can change the World." ข้อความส้ันๆท่ีทรงพลังน้ี คือหัวใจหลักท่ี
CreativeMOVE -- ครีเอทีฟมูฟใช้ทางานตลอดสิบปีท่ีผ่านมาในฐานะองค์กรธุรกิจเพ่ือสังคม (Social Enterprise) โดยมี
เป้าหมายในการใช้ความคิดสรา้ งสรรค์และศลิ ปะมาทางานออกแบบเพ่อื สรา้ งความเปล่ียนแปลงทางสังคมและสิง่ แวดล้อม
และเป็นร่มไม้ใหญ่ที่ก่อเกิดโครงการเพื่อสังคมท่ีสาคัญอย่าง “Creative Citizen” ท่ีเชื่อมโยงให้คนทางานสร้างสรรค์ใช้
ทักษะของตนมาทางานอาสาสมัครเพ่ือสงั คม และ “Greenery” ซ่ึงเชื่อมโยงผูค้ นท่ีสนใจแก้ไขปัญหาส่งิ แวดลอ้ มและการ
บริโภคเพื่อสุขภาพและปลอดสารพิษเข้าหากัน และลงมือทาบางอย่างเพื่อเปล่ียนแปลงตัวเองไปพร้อมๆกับเปล่ียนแปลง
โลกใหด้ ขี ึ้น
ธนบรู ณ์ สมบรู ณ์ ผู้กอ่ ต้ังและซอี โี อของครีเอทีฟมฟู เรยี นจบทางด้านวทิ ยาศาสตร์คอมพวิ เตอร์ หลังจากทางานได้
หน่ึงปีจึงย้ายสายไปเรียนถ่ายภาพและทางานอยู่ท่ีสหรัฐอเมริการาวสิบปี จากน้ันกลับมาเป็นช่างภาพนิตยสารแฟช่ันและ
ช่างภาพโฆษณาอีกราวสิบปี พร้อมๆกับทาเว็บไซต์ PORTFOLIOS*NET ท่ีเป็นชุมชนของคนทางานสายศิลปะ ถ่ายภาพ
และออกแบบสร้างสรรค์ที่โด่งดังมากในยุคน้ันและยังแอคทีฟอยู่ในปัจจุบัน โดยเป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารและเร่ืองราวท่ี
น่าสนใจในวงการ และเป็นพ้ืนท่ีสาหรับฝากพอร์ทฟอลิโอและประกาศรับสมัครงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มี สมาชิก
ลงทะเบยี นกวา่ กวา่ 27,000 คน และมีผใู้ ชบ้ รกิ ารกว่า 4 ล้านคนตลอด 10 กว่าปีทผ่ี า่ นมา
PORTFOLIOS*NET ทาให้ธนบูรณ์เชื่อมโยงกับชุมชนนักออกแบบและคนทางานศลิ ปะของไทยได้เป็นอย่างดี ซ่ึง
เป็นต้นทุนสาคัญในการเชื่อมโยงผู้คนเหล่าน้ีเข้ากับการทางานเพื่อสังคมและส่ิงแวดล้อ มตลอดมาในช่วงสิบปีหลังจากท่ี
กอ่ ตั้งครีเอทฟี มูฟชนึ้ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2555
“ผมต้ังเป้าว่าทุกงานที่เราทาต้องสร้างสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เรา
โฟกัสที่คนทางานดา้ นสงั คมและสง่ิ แวดล้อม อยากให้ความคิดสร้างสรรค์ขับเคลื่อนให้ทุกอย่างดีขน้ึ ใน
17
ทุกๆวัน 10 ปีท่ีผ่านมาเรารับงานร้อยกว่าโครงการ เราช่วยให้คนที่ใช้บริการเราสามารถทางานได้
อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ เปล่ียนแปลงสงั คมและส่ิงแวดล้อมได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
การทางานของเราไม่ใช่การทาเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีท่ีสุด แต่เราอยากทาแคมเปญที่ทาให้คน
บริจาคเลอื ดเยอะข้ึน อยากเห็นเด็กๆ ในชุมชน 800 หลังคาเรือนมีห้องสมุดท่ีมีคณุ ภาพเพม่ิ ข้ึน อยาก
รณรงค์ให้คนเลิกบริโภคหูฉลาม เพ่ือให้ฉลามไม่สูญพันธุ์ไปจากทะเลไทย อยากให้ CSR ของบริษัท
ใหญส่ รา้ งผลกระทบต่อสังคมส่ิงแวดลอ้ มมากว่าแคท่ างานประชาสมั พันธ์ และสุดทา้ ย แคมเปญนัน้ มัน
ตอ้ งเป็นประโยชน์กบั คนจริงๆ เราช่วยคนทีช่ ่วยคนให้ดขี ึน้ คอื เปา้ หมายเรา
เราทางานเพื่อสังคมด้วยวิธีที่สร้างสรรค์ ที่จะทาให้สาธารณะรู้สึกตระหนักถึงคุณค่าของส่ิง
ต่างๆ แล้วเกิดการเรียกร้องบางอย่างโดยวิธีที่เป็นผลดีต่อการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายท่ีเกิดจาก
การเปลยี่ นแปลงเชงิ พฤติกรรมของเขาเอง”
SiamArsa -- จดุ ระเบิดคณุ ค่าของงานสรา้ งสรรค์
กอ่ นการเคลื่อนตัวเองมาสูก่ ารทางานอาสาสมคั รอยา่ งจรงิ จัง ธนบูรณ์ก็เป็นเหมอื นคนในสายงานสรา้ งสรรคท์ ั่วไป
ที่ไม่ได้สนใจงานด้านพัฒนาสังคม จนกระท่ังมีคนชวนให้ไปทางานจิตอาสา โดยใช้สื่อออนไลน์และออกแบบอีเวนต์เพ่ือ
ระดมทุนให้ชุมชนบ่อนไกท่ ่ีถูกไฟไหม้ในช่วงที่ไฟไหม้เซ็นทรัลเวิลด์ระหว่างการชมุ นุมทางการเมืองทแี่ ยกราชประสงค์เมือ่ ปี
2553 และสามารถระดมทุนและคนมาร่วมงานได้เป็นจานวนมาก ความสาเร็จนี้จดุ ประกายความคิดที่ทาใหเ้ ขาตระหนกั ถงึ
คณุ ค่าของคนทางานสายครีเอทฟี ท่ีสามารถใชท้ กั ษะของตนชว่ ยเหลอื สงั คมได้อยา่ งทรงพลัง
“เรารสู้ ึกมนั มคี ุณค่า ชุ่มช่นื หัวใจ ดกี วา่ การไปซ้อื ของท่เี ราอยากได้ ไปเที่ยว ไปกนิ แลว้ ก็จบ
ไป สุดท้ายกลับมาเร่ิมอยากกินอีก แต่ความรู้สึกว่าเราทาสงิ่ ดีๆ นั้นอยู่กับเรา ทาให้ผมรู้สึกว่า ครี
เอทีฟมีคุณค่ามากกว่าน้ัน ในเม่ือเราทาโฆษณาให้ของขายได้เป็นสิบล้าน ร้อยล้าน พันล้าน ทาไมเรา
จะไม่สามารถใช้ทักษะของเราทาให้เงินบริจาคและการช่วยเหลือสังคมเพิ่มพลังมากขึ้น จากการ
สือ่ สารด้วยวิธีการโฆษณาหรืองานออกแบบท่ีทาให้คนเข้าใจปัญหามากข้ึน”
ช่วงน้าท่วมใหญ่ประเทศไทยเม่ือปี 2554 ธนบูรณ์อพยพจากกรุงเทพฯ ไปอยู่พัทยาทั้งครอบครัว และเร่ิมทางาน
ออนไลน์จิตอาสาเกือบย่ีสิบส่ีชว่ั โมงตลอดสามเดอื น โดยสรา้ งพ้ืนที่ “อาสาสมัครฟ้นื ฟปู ระเทศไทย SiamArsa” บนเฟสบุ๊ก
และทวิตเตอร์ ทาหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมหน่วยงานกว่า 200 องค์กรและจิตอาสากว่า 160,000 คน ในการระดม
อาสาสมคั รและของบรจิ าคจานวนมากไปช่วยเหลอื พืน้ ที่น้าทว่ มท่ีประสบสถานการณ์วกิ ฤตให้ได้อยา่ งทันการณ์
18
“อดหลับอดนอนกันอยู่สามเดือน ครัวอาสาต้องการข้าว อาหารสดมาตอนตีส่ีตีห้า หกโมง
ต้องการคนไปช่วยแจก แจกเสรจ็ ต้องการคนช่วยขนของออกมา ช่วยพาคนลี้ภยั
ตอนน้าท่วมท่ีคลองสอง ผมเห็นต้ังแต่มที หารไม่ถึง 100 คนทากระสอบทรายกั้นน้าอยู่ แล้ว
เราก็เร่มิ ระดมอาหาร ยา และเครื่องด่มื บารงุ กาลงั ให้ไปบริจาค เราไปโพสต์บนทวิตเตอร์ทม่ี คี นตามอยู่
แสนกว่าคน ผมกับรุ่นน้อง 2 คนอยู่หน้าคีย์บอร์ดจนพื้นท่ีตรงน้ีมีคนเข้ามาช่วยประมาณ 5,000 -
10,000 คน หมนุ เวยี นต่อเน่ืองเป็นเดือนๆ เร่ิมมีรถตรู้ ับส่งฟรี เราดนั กันอย่างนน้ั
หรือวันหน่ึงทน่ี า้ กาลังจะท่วมศริ ิราช ตอนน้นั ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านพักอยู่ที่นั่น มีคนติดต่อ
มาทางเพจขอให้ระดมอาสาสมัครไปช่วยทากระสอบทราย เราใช้เวลาประมาณครึ่งวันส่ือสารบน
โซเชยี ลมีเดยี ทวิตเตอร์ เฟซบุก๊ ระดมคนได้ 2,000 – 3,000 คน มคี นเอาอาหารไปช่วยดว้ ย อาจไมใ่ ช่
เพราะเราอย่างเดียว อาจเป็นเพราะความสาคัญของพื้นท่ีด้วย ทาให้คนอยากไป แต่ก็ทาให้เราเห็น
พละกาลงั ในการสอื่ สารตรงนน้ั ที่ทาให้คนรับรู้ในวงกว้างและชว่ ยบอกตอ่ กันมาอยา่ งรวดเร็ว
ผมรู้สึกว่างานอาสาไม่จาเป็นจะต้องไปแบกทราย ทาถุงทราย หรือทาอีเอ็มบอลเท่านั้น แต่
เราสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์มาทาอะไรได้ แล้วสร้างมูลค่าต่อยอดไดม้ ากกว่า สมมุติผมใช้เวลา 8
ช่ัวโมงไปทากระสอบทรายกนั น้าทว่ ม อาจได้ 20-30 ใบ กับใหผ้ มคดิ เรือ่ งสื่อสาร คดิ ช่อื งานใหน้ ่าสนใจ
คิดแผนการสื่อสาร ทายังไงให้คน 1,000 คนมางานนใี้ ห้ได้ ทาอยา่ งไรให้คนอยากบริจาคเงนิ อยา่ งน้อย
100 บาทในงาน แล้วเราจะได้เงิน 100,000 บาท เป็นความต่างของกระสอบทราย 30 ใบจากผม กับ
เงินแสนบาทที่เกิดจากการบรจิ าคด้วยวิธที ่ีเราชว่ ยออกแบบ”
แม้จะรู้สึกภูมิใจที่ใช้ความสามารถช่วยเหลือสังคมได้อย่างดี และอยากทางานแบบน้ีต่อไปเร่ือยๆ เพราะรู้แล้วว่า
จะใช้ กุศโลบายการสื่อสารแบบไหนท่ีทาให้คนอยากลุกข้ึนมาทาเร่ืองดีๆร่วมกัน แต่อีกด้านหน่ึงก็ต้องเผชิญความจริงกับ
ความเหน็ดเหนื่อย สุขภาพทรุดโทรม และการต้องกลับมาฟื้นฟูบริษัทอย่างเร่งด่วนเพราะขาดรายได้จากการท่ีเขาไปทุ่ม
เวลาให้งานอาสา เขาจึงเริ่มมองหาโมเดลธุรกิจที่ทาให้สามารถเดนิ ไปทางนตี้ ่อได้อยา่ งยง่ั ยืน
Creative Citizen -- Creativity for change
ครีเอทีฟมูฟเกิดข้ึนในปี พ.ศ. 2555 โดยธนบูรณ์เขียนโครงการเพ่ือขอรับทุนทางานจากสานักงานกองทุน
สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีภารกิจในการระดมคนทางานสายออกแบบสรา้ งสรรค์มาช่วยกันทางานจิตอาสา
ด้านการออกแบบและสื่อสารเพื่อสังคม หลังจากเปิดตัวได้คร่ึงปี ก็มีบริษัทมหาชน 2 แห่งติดต่อให้ช่วยออกแบบการทา
CSR (Corporate Social Responsibility) ธนบูรณ์จึงเบนเข็มครีเอทีฟมูฟไปเป็นองค์กรธุรกิจเพ่ือสังคมเพ่ือรับงานเชิง
19
ธุรกิจ และตั้งโครงการครีเอทีฟซิติเซ็นทางานร่วมกับ สสส. ในภารกิจเดิมต่อ โดยทางานคู่ขนานกันไปทั้งการทาธุรกิจเพื่อ
สังคมและการระดมอาสาสมคั รเพ่อื ทางานสร้างสรรคใ์ หอ้ งคก์ รสาธารณประโยชน์
องค์กรครเี อทฟี มูฟมเี กณฑ์ทีช่ ัดเจน 3 ข้อเพ่อื ถามตัวเองในการเลือกรบั งาน คอื หนึ่ง งานน้ีสร้างการเปล่ียนแปลง
ไหม สอง เป็นงานท่ีมีคุณค่าสาหรับคนทางานไหม ทาแล้วมีความสุขไหม อยากทาและคิดว่าจะทาได้ดีหรือไม่ และ สาม
เป็นงานท่ีสร้างรายได้ท่ีทาให้องค์กรอยูอ่ ย่างย่ังยืนได้หรอื ไม่ แต่ละข้อมีการให้คะแนน 0-5 คาถามแรกสาคญั ท่ีสดุ ถ้าได้ 0
กไ็ มต่ ้องคยุ ตอ่ สว่ นคาถามเร่ืองเงินตามมาเปน็ ขอ้ สุดทา้ ย
การทาสองแพลตฟอร์มคู่ขนาน ทาให้ด้านหนึ่งธนบูรณ์สามารถเข้าถึงกลุ่มครีเอทีฟดีไซเนอร์ที่มีความสามารถ
หลากหลายตั้งแต่วัยเริ่มทางานไปจนถึงมืออาชีพจากท่ัวประเทศ กับอีกด้านหน่ึงก็เข้าถึงองค์กรภาคสังคมที่ต้องการ
ทรพั ยากรความชว่ ยเหลอื มากกวา่ 200 องคก์ ร และสามารถเชอ่ื มโยงโลกสองใบเข้าดว้ ยกนั ไดอ้ ย่างรู้สนาม รูธ้ รรมชาติของ
คนกลมุ่ ตา่ งๆ ทาใหส้ ร้างงานไดอ้ ย่างมชี วี ิตชีวาและสาเรจ็
ความชอบการทางานแบบลงพ้ืนท่ีหน้างาน ขณะเดียวกันก็ทางานร่วมกับนักธุรกิจและนักการเมืองระดับบริหาร
จานวนมาก ทาให้ธนบูรณ์เข้าใจหน้าที่สาคัญของผู้เชื่อมประสาน คือการเชื่อมความเช่ือม่ันในตัวเองท่ีแตกต่างกันของคน
กลุ่มต่างๆให้ประสานกันไปได้ รวมท้ังการสร้างแรงจูงใจให้อาสาสมัครทางานต่อเนื่องจนสาเร็จ เพราะครีเอทีฟที่มีฝมี ือมัก
มงี านล้นมือ และให้ความสาคญั กบั งานอาชพี มากกวา่
“ผมรวู้ ธิ คี ุยกับองค์กรภาคสงั คม รูว้ า่ ตอ้ งการอะไร เห็นจุดอ่อนวา่ เขาขาดความคดิ สร้างสรรค์
ในการทางาน การออกแบบกิจกรรม การสื่อสาร จัดอีเวนต์ไม่น่าสนใจ ทาให้ไม่มีคนเข้าไปร่วม
ท้ังๆที่เป็นส่วนหนึ่งของการทาให้สังคมส่ิงแวดล้อมดีขึ้น ภาคครีเอทีฟดีไซเนอร์มาบอกผมว่า เขา
อยากทางานดา้ นสงั คม เขาจะทาอะไรไดบ้ ้าง
การเช่ือมสองกลุ่มเข้าด้วยกัน ไม่ใช่อยู่ๆจะโยนดีไซเนอร์มาเจอคนทางานภาคสังคม เขา
ต้องเรียนรู้ข้อจากัดของกันและกัน เพราะความสวยของดีไซเนอร์อาจไม่สามาถสื่อสารกับภาคสังคม
ส่วนภาคสังคมก็เช่ือมั่นในตัวเองว่า พูดแบบน้ีดีแล้ว คนจะเช่ือฉัน ต่างคนต่างมีตัวตน ดีไซเนอร์เก่งๆ
อาจคดิ วา่ ทาใหฟ้ รอี ย่าเลอื กเยอะเลย พอเลือกเยอะบางคนก็ไมอ่ ยากทา หรอื บางทีก็ตามใจภาคสังคม
มากเกินไปจนไม่สามารถใช้ความคดิ สร้างสรรค์นาเสนอสิ่งที่ดกี ว่าให้เขาได้
เราย้ากับอาสาสมัครเสมอว่า เวลาคุณให้สัญญากับใครในการทางานอาสา คุณต้องทาให้
เสร็จ เพราะเขารอคุณอยู่ งานที่คณุ ทามนั มีคุณคา่ กบั งานท่ีเขาจะไปต่อยอด ถา้ ทาไมไ่ ดค้ ณุ อย่าเร่ิม”
ธนบูรณ์พัฒนาเครื่องมือสาคัญ 3 ข้ันตอนในการทางานท่ีเรียกว่า “Moving Impact” ได้แก่ Inspiration
Education และ Action คือ หน่ึง การสร้างแรงบันดาลใจ โดยจูงใจให้อาสาสมัครเห็นคุณค่าและภูมิใจในตนเองที่ได้ทา
ประโยชน์เพ่ือสังคม และชี้ให้เห็นการเปล่ียนแปลงท่ีจะเกิดขึ้นจากการทางานอาสา สอง ให้ความรู้ ผ่านเวิร์กช็อปเพ่ือให้
20
นักออกแบบพร้อมทางานกับภาคประชาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสาม พาลงมือทา โดยเช่ือมโยงอาสาสมัครกับ
องค์กรท่ีต้องการผลงานสร้างสรรค์จนเกิดการทางานจริง ท้ังนี้การจัดกระบวนการสาหรับสร้างงานอาสาสมัครของกลุ่ม
ครีเอทีฟเป็นเรื่องสาคัญอย่างย่ิง ธนบูรณ์ค้นพบว่า การให้คนทางานในส่วนต่างๆมาอยู่ร่วมกัน 2 วัน เป็นกระบวนการ
สาคญั ทท่ี าใหส้ รา้ งงานได้จรงิ ในเวลาท่ีมีจากัดของคนวชิ าชีพน้ี
“ผมประกาศไปว่า เสาร์-อาทิตย์นตี้ ้องการอาสาสมัครนักเขียน 10 คนมาช่วยย่อยข้อมูลจาก
10 องค์กร ต้องการกราฟิกดีไซเนอร์ 10 คนมาช่วยออกแบบกราฟิก 10 ชิ้นจากเนื้อหาท่ีมีคนย่อยมา
แล้ว หรือเอาคนเขียนบทมืออาชีพ 10 คนมาทางานร่วมกับนกั พากย์ 20 คนมาช่วยทาหนังสอื เสียงให้
มูลนธิ ิเพ่อื คนตาบอด
ผมจัดกิจกรรมให้คน 20-30 คนน้ีมาเจอกัน แล้วให้แต่ละองค์กรเล่าความต้องการว่า อยาก
ให้เลา่ ถึงงานของเขาแบบไหน อยากได้อินโฟกราฟฟิกแบบไหน แล้วหาคนที่เป็นโค้ชมาช่วยให้ความรู้
ในการออกแบบได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ พอเสร็จงานก็จัดกิจกรรมให้เขาแลกเปลีย่ นความรกู้ ัน สดุ ท้าย
องค์กรที่ขอความช่วยเหลือก็จะได้ชิ้นงานท่ีดีทส่ี ุด ขณะเดียวกันกราฟิกดีไซเนอรแ์ ละนักเขียนก็ได้ชว่ ย
ทางานท่ีมีคุณภาพเพ่ือไปนาไปสื่อสาร เขาสามารถนาไปแสดงให้คนดูได้ โดยใส่ในผลงานตัวอย่างว่า
เคยชว่ ยงานสงั คม และงานมีคณุ ภาพดว้ ย
เวลาผมเปิดรับสมัคร 20 คน จะมีคนสมัครมากกว่า 200 ต้องคัดกัน ซ่ึงคุณต้องมี
ประสบการณ์ และคุณต้องมาทางานได้ท้ัง 2 วนั
มีคนท่ีอยากทางานแบบน้ี แต่ต้องมีกระบวนการให้เขาเห็นปลายทาง เห็นคุณค่าของงาน
และเห็นว่าถ้าเสียเวลาตรงน้ีแล้วได้งานที่มีคุณภาพ ไม่ใช่อยู่ๆ บอกว่าคุณช่วยออกแบบให้หน่อย แล้ว
ส่งไฟลไ์ ปให้ มันจะไม่ได้งานท่ีมีคุณภาพ ไม่รู้สกึ ว่างานมีคณุ คา่ ไม่อยากโชว์ให้เพ่ือน แล้วไม่เกิดความ
ภาคภมู ิใจที่คณุ ได้มีโอกาสไปช่วยองคก์ รนัน้ ๆ มา”
ความภาคภูมิใจและความสุขจากการทางานเพื่อสังคมคืออาหารหล่อเลี้ยงใจสาคัญท่ีเช่ือมโยงอาสาสมัครของครี
เอทีฟซิติเซนมากกว่า 2,000 คน เข้ากับองค์กรสาธารณประโยชน์มากกว่า 100 องค์กร ธนบูรณ์เองชื่นชมและขอบคุณ
ผู้คนต่างๆท่ีร่วมขบวนการทางานน้ีเสมอทั้งส่วนตัวและเป็นทางการในที่สาธารณะ เขาไม่เคยลืมคนที่มาช่วย และเป็นการ
สร้างขวัญกาลังใจให้ผู้คนที่ทาเรื่องดีๆ ซึ่งจะกลายเป็นแรงบันดาลใจที่กระเพื่อมออกไปเป็นวงกว้างในบรรยากาศการ
ทางานสรา้ งสรรค์เพื่อขบั เคลื่อนสงั คมของประเทศไทย
“เมื่อคนทาแล้วเกิดความภาคภูมิใจในผลงานที่เกิดข้ึน เขาก็กลับมาวนเวียนทาอีก
หรือไปบอกคนอื่นว่า งานของเขาได้ไปช่วยองค์กรน้ีๆมา แล้วได้รับการยอมรับ ทางเราก็ช่วยโปรโมต
21
ให้เขาเป็นท่ีรับรู้ในสังคมด้วยว่า เรามีกราฟิกดีไซเนอร์ 10 คน มาช่วยออกแบบกราฟิกให้ 10 องค์กร
งานสวยมาก เป็นการส่งกาลังใจให้เขาทางออ้ ม คนอ่นื กอ็ ยากมาทาบา้ ง ฉนั อยากเป็นอยา่ ง 10 คนน้ี
ปกติเราจะไม่รับคนซ้ากันในงานต่อเนื่องกัน เพราะอยากได้คนหลากหลายเข้ามาทางาน เรา
พบว่าอย่างนอ้ ยครง่ึ หนึ่งไม่เคยทางานอาสาสมคั รมาก่อน ผมจะบอกเขาว่า เชื่อผมนะ จบงานนี้คณุ จะ
ไปทาต่อกันเอง แล้วถ้าคุณอยากทา คณุ สามารถเดินไปหาองคก์ รท่ีคุณอยากช่วยเขาได้เลย ไม่ต้องรอ
กจิ กรรมจากครีเอทีฟซิติเซน
มีคนส่งงานมาอวดผมหลังบ้านว่า เขามาช่วยองค์กรน้ี หรือตอนน้ีเขาเป็นขาประจาช่วย
องค์กรน้ีไปแล้ว บางคนก็บอกว่า จริงอย่างท่ีผมบอก ตอนน้ีเขาเสพติดงานอาสาไปแล้ว เขาน่ังอยบู่ ้าน
2 ชว่ั โมงเพอื่ ออกแบบกราฟกิ ใหอ้ งค์กร เขามีความสุขมากเลย ผมเจอคนเหลา่ นี้เยอะมาก
การเปลยี่ นแปลงท่ีเห็นชัดมากใน 10 ปีท่ีผา่ นมา คงมีแรงกระเพอ่ื มบางอย่างจากอาสาสมคั ร
2,000 คนท่ีมาทากับเรา เวลางานออกไปแล้วคนเห็นว่าเจ๋ง ช่วยขับเคลื่อนสังคมและงานสวยเทห่ ์ด้วย
เลยส่งต่อให้คนอยากทางานโฆษณาดีๆ หรืองานรณรงค์ท่ีสร้างสรรค์มากข้ึน มีบริษัทเอเจนซี่ด้าน
สังคมเพ่ิมมากขน้ึ หรอื มโี ครงการศลิ ปะถ่ายภาพที่ใหค้ วามสาคญั ส่งิ แวดลอ้ มเพ่มิ ขน้ึ ”
Greenery -- สร้างสรรคว์ ัฒนธรรมสีเขียว
งานของครีเอทีฟมูฟเคลื่อนตัวอย่างสาคัญอีกครั้งเมื่อชีวิตด้านในของ ธนบูรณ์เคล่ือนสู่ประเด็น สุขภาพและ
สง่ิ แวดล้อม เขาเร่ิมสนใจการบริโภคอาหารสขุ ภาพ แล้วพบปัญหาสาคญั คอื สินค้าออร์แกนิกมีราคาสงู เกินกว่าที่คนทั่วไป
สามารถเข้าถึงได้ เขาคน้ ควา้ จนพบคาตอบวา่ สิ่งท่เี กิดข้ึนเป็นปญั หาเชงิ ปริมาณ เน่ืองจากผผู้ ลิตและผบู้ ริโภคอาหารอนิ ทรยี ์
มีจานวนน้อย ราคาสินค้าจึงสูงอย่างที่เป็นอยู่ ธนบูรณ์จึงได้โจทย์ใหม่สาหรับการทางาน คือการพยายามทาให้คนหันมา
บริโภคอาหารออร์แกนิกมากข้ึน และช่วยกันเปลี่ยนพฤติกรรมเพ่ือลดภาระต่อส่ิงแวดล้อม โดยเร่ิมจากการทางานผ่าน
เว็บไซต์ greenery.org
“ความเชี่ยวชาญของเราคือการเปลยี่ นชุดความคดิ ความเช่ือของคน ทาให้คนเปลี่ยนจากทา
ส่งิ ไม่ดมี าทาสิ่งดี ถา้ เรามโี อกาสทาให้คนมากนิ ออรแ์ กนิกเยอะๆ กค็ งดี อยากเหน็ คนสขุ ภาพดี
ปัญหาส่ิงแวดล้อม เร่ืองขยะพลาสติกเต็มไปหมด ถ้าเราช่วยลดหน่ึงคนก็ยังดีกว่าไม่ทาอะไร
เลย มีคนเคยบอกว่าลดถุงเดียว คนเดียว จะชว่ ยอะไร ถ้าคดิ อยา่ งนีท้ กุ คนก็ไมม่ ีใครช่วย 70 ล้านคนใน
ประเทศไทยก็ไม่มีใครทา แต่อย่างน้อยเราเร่ิมสร้างความเปลยี่ นแปลงโดยไม่ต้องมองว่าใครจะเปลี่ยน
จึงสร้างแพลตฟอร์มตัวหนึ่งข้ึนมา เพ่ือทาให้คนมากินอาหารเกษตรอินทรีย์เยอะๆ โดยเริ่มท่ีตัวเองกนิ
22
ก่อน และอยากดูแลสิ่งแวดล้อมให้มากข้ึน ทุกอย่างเร่ิมท่ีความต้องการภายใน เป็นโครงการภายใน
ของครเี อทฟี มูฟ พอทาไดด้ ีก็เรมิ่ ต่อยอดไปเรื่อยๆ”
greenery.org เป็นชุมชนออนไลน์ท่ีรวมพลงั ของผู้คนหัวใจสเี ขียวเพ่ือสร้างวัฒนธรรมการบริโภคอย่างยั่งยืนผ่าน
การกินดีและอยู่ดี โดยได้รับการสนับสนุนทุนจากสานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตั้งแต่ปี 2561
ธนบูรณ์ใช้เคร่ืองมือ Moving Impact 3 ขั้นตอน เพ่ือเปล่ียนพฤติกรรมให้คนลดการก่อขยะในชีวิตประจาวัน และหันมา
บริโภคอาหารปลอดภัยมากขึ้น โดยสร้างแรงบันดาลใจให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงผา่ นการสอื่ สารใหค้ วามรู้แบบเขา้ ใจง่ายแตม่ ี
พลังบนโลกออนไลน์ เช่น การสร้างกลุ่ม Greenery Challenge บนเฟสบุ๊ก โดยมีภารกิจลดขยะให้สมาชิกร่วมสนุกในแต่
ละเดือน เช่น #ขวดเดียวแก้วเดิม #ไม่หลอดเนาะ #รีแล้วกรีน เป็นต้น จนเกิดเป็นตัวอย่างให้เห็นพลังของส่ือท่ีช่วยสร้าง
คุณค่าร่วมในสังคม เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ร่วมกันลงมือทาเรื่องดีๆ และนาประสบการณ์มาร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จน
กลายเป็นกลุ่มกลั ยาณมติ รท่ีสง่ เสริมและสรา้ งแรงบันดาลให้กันในการเปล่ียนแปลงตวั เองเพื่อโลกที่ดีขึ้นในทุกวนั
นอกจากการเป็นชุมชนออนไลน์แลว้ กิจกรรมของกรนี เนอร่ียังขยายมาจัดขึน้ จริงเป็น Greenery. Market ตลาด
นัดสีเขียวใจกลางกรงุ เทพฯ เพอ่ื เชอื่ มโยงระหว่างผู้ผลติ สนิ คา้ ออร์แกนกิ และผู้บริโภคในเมือง ให้เข้าถงึ อาหารปลอดภยั ง่าย
ข้ึนในราคาที่จับต้องได้ ช่วยแก้ปัญหาการเข้าถึงอาหารสุขภาพของคนเมือง และเป็นช่องทางการตลาดให้เกษตรกรขาย
สินค้าได้ในราคาที่เป็นธรรม ขณะเดียวกันก็เป็นพ้ืนท่ีให้เกษตรกรสื่อสารเร่ืองราวความเป็นมาของอาหารปลอดภัยให้คน
เมืองรับรู้มากขึ้นผ่านเวิร์กช็อปหรือเวทีเสวนาต่างๆ การเช่ือมโยงผู้คนเข้าหากันใน กรีนเนอร่ีมาร์เก็ตทาให้เกิดเครือข่าย
เกษตรกรผู้ผลิตอาหารเพ่ือสุขภาพที่อบอุ่นเป็นมิตร จนมีการขยายไปจัดตลาดนัดสีเขียวในพ้ืนท่ีอ่ืนๆอีก โดยกรีนเนอรี่ทา
หน้าที่คล้ายพี่เลี้ยงคอยให้คาแนะนาเกษตรกรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีย่ิงขึ้น เช่น การออกแบบบรรจุภัณฑ์ท่ีเป็นมิตร
กับสงิ่ แวดลอ้ ม และในอนาคตยงั มโี ครงการขยายตลาดนัดสีเขยี วในรปู แบบตลาดนัดออนไลน์ รวมทง้ั ผลิตสินค้าและบรกิ าร
ทเี่ ป็นมติ รกับสิ่งแวดลอ้ มให้มากขน้ึ
“ผมเห็นตัวจริง คนจริงๆ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม กลุ่ม Greenery Challenge มี
คน 54,000 คน ลกุ ขึ้นมาแยกขยะโชว์กนั ในกลุ่ม ฉนั พกแก้วไปรา้ นกาแฟและลดขยะได้สามชิ้น แก้ว
ฝา หลอด ฉันถ่ายรูปมาโชว์ความกรีน เรามีคนประมาณ 70,000 คนมาร่วมตลาด Greenery.
Market สร้างรายได้ใหเ้ กษตรกรขายสนิ ค้าได้ประมาณ 7 ลา้ นบาท
ต้งั คาถามกบั ตัวเองว่า ถ้าเราสามารถขยายกรนี เนอรี่ใหโ้ ตกวา่ นี้กค็ งจะดี เรานา่ จะทาอะไรได้
มากกว่าท่ีเคยทา จากเดิมท่ีให้ความรู้กับคนกว่า 2.4 ล้านคนผ่านเวปไซต์ หรือเชื่อมโยงผู้บริโภค
มากกว่า 70,000 คนกับเกษตรกรมากกว่า 130 กลุ่มได้ จึงตัดสนิ ใจตั้งเป็นบริษัทกิจการเพ่ือสังคมที่
มีเป้าหมายว่า เราจะพฒั นา ส่งเสรมิ และเชอ่ื มโยง สินค้าหรอื บรกิ ารเพือ่ ผบู้ รโิ ภคที่จะชว่ ยสร้างความ
ย่ังยืนใหก้ บั สงั คมและส่ิงแวดล้อมในทกุ ๆ วัน”
23
ใช้พลังของโซเชยี ลมเี ดียอย่างถกู ตอ้ ง เหมอื นการใชช้ ีวติ ที่ถูกต้อง
การเดินทางของครีเอทีฟมูฟเพื่อสร้างความเปลยี่ นแปลงทางสังคมสิง่ แวดล้อมในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เกิดจากการ
ริเริ่มของคนเพียงคนเดียว และเติบโตมาพร้อมกับยุคของโซเชียลมีเดียท่ีช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของผู้คนมากมายในสงั คม
มากกว่าช่วงเวลาใด วันน้ีธนบูรณ์ดูแลทีมงานประจา 10 คน และทาเป็นสัญญารายปีอีก 30 คน ที่ช่วยกันสร้างความ
เป็นไปไดใ้ หมๆ่ หลากรปู แบบ เพ่ือหล่อเลีย้ งเครอื ข่ายความสมั พนั ธ์ขนาดใหญ่ของผคู้ นทก่ี าลงั ชว่ ยกันสร้างสรรคโ์ ลกให้ดีข้ึน
กว่าเดิม และกาลังเดนิ ไปขา้ งหน้าเพอ่ื สรา้ งวัฒนธรรมใหมร่ ว่ มกนั
โซเชียลมเี ดียช่วยใหค้ วามทุ่มเท ลงมอื ทา และลองผดิ ลองถูกของคนคนหน่งึ ที่ปรารถนาทวนกระแสโลกความทุกข์
ของโลก ให้เกิดผลได้อย่างรวดเร็ว กว้างขวาง ไร้ข้อจากัดด้านเวลาและสถานที่ ผ่านการใช้เคร่ืองมือส่ือสารทรงพลังท่ี
สามารถเปลีย่ นความคดิ และพฤตกิ รรมของมนษุ ย์
“ตัวผมเองอาจมีทักษะที่จะทาอะไรบางอย่างข้ึนมา แล้วทาให้คนรวมกันเพื่อสร้างความ
เปล่ียนแปลง บางคนมองว่าโซเชียลมีเดียแค่สร้างชุดความคิดความเชื่อ แต่สาหรับผม มันสามารถ
ขบั เคล่อื นให้คนทาอะไรได้อย่างมพี ลัง
โซเชียลมีเดียเป็นเคร่ืองมือที่คนเข้าถึงได้ง่าย ไม่มีค่าใช้จ่าย ที่จริงเป็นช่องทางส่ือสาร
ที่เหมือนเหรียญสองด้าน เราจะใช้มันปลอ่ ยข่าวดราม่าหรือให้ร้ายคนอื่นก็ได้ ขณะเดียวกันถ้าใช้อย่าง
ถูกต้อง โดยใช้ในมิติขับเคลื่อนสังคม หรือส่ือสารสร้างแรงบันดาลใจให้คนลุกข้ึนมาทาอะไรดีๆ จะ
เปน็ ช่องทางทม่ี ีพลังมหาศาล
การใชโ้ ซเชียลมีเดียสรา้ งความเปลย่ี นแปลงไม่ใช่เรอ่ื งใหม่ การล้างสมองคนด้วยโซเชยี ลมเี ดีย
มีมานานแล้ว เรามักเห็นม็อบการเมืองต่างๆไม่ว่าสีไหนใช้โซเชียลมีเดียปลุกพลังคนไปต่อต้าน
นักการเมืองมาพูดคนก็ไปเฮ แต่ผมใช้โซเชียลมีเดียสร้างความเปล่ียนแปลง ล้างสมองคนให้มาใส่ใจ
ส่ิงแวดล้อมมากข้ึน อย่างที่เราเพิ่งปล่อยแคมเปญไปตัวหน่ึง มียอดการเข้าชม 170 ล้านครั้ง คนดูก็
หลายสิบล้านคน ถ้าไม่มีโซเชียลมีเดีย เราก็คงเข้าไม่ถึงคนได้มากเป็นล้านๆคนด้วยแคมเปญที่เราทา
ถ้าใชอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง โซเชียลมเี ดียจะเป็นพลังขบั เคลอื่ นสังคมกบั สง่ิ แวดลอ้ มใหด้ ีขนึ้ ได้”
ท่ามกลางสถานการณ์การสื่อสารท่ีเป็นพิษของยุคโซเชียลมีเดีย “การใช้โซเชียลมีเดียอย่างถูกต้อง” เป็นเรื่อง
สาคัญ ธนบูรณ์บอกว่า เขาไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้เชิงหลักการได้อย่างไร เพราะเขาก็แค่ใช้ในทางที่ถูก แล้วผลจากความ
ถูกต้องจะสรา้ งแรงกระเพ่อื มทถ่ี ูกต้องต่อไปด้วยตวั มันเอง และคอ่ ยๆขยายตัวไปสเู่ ครอื ข่ายโลก
24
“ก็คงเหมือนการใช้ชีวิตมั้งครับ ผมบอกไม่ถูกว่าจะเปรียบเทียบยังไงดี มองว่าแค่ใช้ในทาง
ที่ถูก มันก็เป็นประโยชน์ที่จะขับเคล่ือนคนให้ลกุ ขึ้นมาสร้างสรรค์สังคมใหด้ ีขึ้น ถ้าเรารู้ว่ามันดีก็ทา ไม่
ดกี ไ็ มท่ า พอรู้ว่าทาแลว้ ดีกท็ าให้ดียงิ่ ขึ้น
ต้ังแต่โครงการแรกๆทางานอาสาสมัครเมื่อ 10 ปีก่อน ผมอยู่สองคนหน้าคอมพิวเตอร์
เอาคน 4,000 – 5,000 คนไปอยู่ไซต์นี้ พอตรงนี้คนเต็มแล้ว ของที่จะให้ช่วยแพคหมดแล้ว ก็ย้ายไป
อีกท่ี คน 2,000 – 3,000 คนก็เดินทางไปภายในไม่ก่ีชั่วโมงเพื่อช่วยกันแพ็คของต่อ ผมสนุกมากกับ
การใช้โซเชียลมีเดยี รู้สกึ ว่าเรามพี ลังวเิ ศษท่ีจะนาคนใหเ้ หน็ การเปล่ียนแปลง
อย่างกรีนเนอรี่ ทางานมา 4 ปี ผมเห็นคนเดินผ่านไปผ่านมาเพราะสนใจตลาดเก๋อยู่
กลางเมืองและก็ซ้ือกิน ภายในไม่กี่สัปดาห์ ไม่ก่ีเดือน หลายคนที่มาเดินเร่ิมพาเพ่ือนพ่อแม่มา
หรอื แม้กระท่ังบางคนเอากระเปา๋ เดินทางใบใหญ่มาซอื้ ของมหาศาลกลบั บ้าน ผมจดั ตลาดเดือนละครั้ง
เขาบอกว่ามาท่ีนค่ี รบทุกอยา่ ง ซอ้ื เยอะๆกินได้เปน็ เดือน แล้วอยากเอาไปฝากพ่อแมด่ ว้ ย”
คณุ ธรรมอยูใ่ นความเชอ่ื มโยงและสมดลุ ของชวี ติ และการงาน ทั้งส่วนตวั และเพ่อื สว่ นร่วม
หากปรากฏการณ์หนึ่งท่ีสาคัญของ “คุณธรรม” คือการท่ีผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข การเกิดขึ้น
ของครีเอทีฟมูฟและโครงการต่างๆทต่ี ามมาในร่มเดียวกัน ก็แสดงให้เห็นถึงความหมายน้ันได้อย่างไม่ต้องสงสัย ความสุขท่ี
เกดิ ขนึ้ เร่ิมตั้งแต่ความสขุ ในตนเอง ในงาน และระหว่างคนกลมุ่ ตา่ งๆของสงั คมทีเ่ ขา้ มาเชอ่ื มโยงและสัมพันธก์ นั อย่างสมดุล
ธนบูรณ์บอกว่า หน้าท่ีของเขาคือเข้าใจและเช่ือมโยงส่ิงต่างๆเขา้ หากันเพื่อให้เกิดพลัง เขาเจอจุดตรงกลางระหวา่ งสิ่งตา่ งๆ
เหลา่ นั้น เป็นการระเบิดจากภายในตัวเขาเองทท่ี าให้พบสิ่งท่ีเขาต้องการอะไรจากชีวิต คอื การดารงอยูอ่ ยา่ งมีคุณคา่ ได้ลุก
ขน้ึ มาทาสงิ่ ท่ีรกั ที่ถนดั สง่ิ ที่คนตอ้ งการและเป็นประโยชนต์ อ่ ผคู้ นในทกุ วัน
“หน้าท่ีของครีเอทีฟมูฟคือการเข้าใจทุกๆคน แล้วหาจุดเชื่อมให้เขาสานพลังทางานร่วมกัน
ได้ เราเชื่อมโยงคนในสายสร้างสรรค์ ศิลปะ การออกแบบ กับปัญหาและแหล่งทุนให้มาเจอกัน แล้ว
เกิดการขับเคลื่อนสังคมอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ โดยใช้งบประมาณที่เหมาะสม พอเพียง
คมุ้ คา่ และเกดิ ผลกระทบสงู สดุ
แต่ละฝ่ายคุยเรื่องเดียวกัน แต่คุยคนละภาษา อย่างการอยากได้ค่าครองชีพสูงขึ้น คาว่า
‘ค่าครองชีพ’ ของคนรายได้น้อย คนขาดโอกาส นักการเมือง นักธุรกิจ มีความหมายต่างกัน การ
ทางานสร้างสรรค์ การเป็นนักส่ือสาร ต้องทาให้ทุกคนเห็นเรื่องเดียวกัน มีจุดร่วมเดียวกัน ทาให้เขา
เข้าใจว่าทาไมอีกฝ่ายทาแบบนี้ จนเขาอยากทางานร่วมกัน ถ้าเราไม่เข้าใจกันแล้วมองกันเป็นศัตรู
นกั ธรุ กิจกเ็ ป็นแบบน้ี นักการเมืองกเ็ ป็นแบบนี้ หรอื ประชาชนกเ็ อาแต่เรียกร้องแบบนี้ มันก็ไปตอ่ ไมไ่ ด้
25
การพัฒนาจะพัฒนาส่ิงของอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพัฒนาคนให้มีคุณภาพชีวิตที่สามารถอยู่ได้
ด้วยตัวเอง เราต้องทาความเข้าใจความต้องการของคนขับเคล่ือนสังคม เข้าถึงความรู้สึกและความ
ตอ้ งการจริงๆของเขา แล้วนาไปสรา้ งการพัฒนาอย่างย่ังยนื ””
ไม่ใช่เพียงการทางานระดับสังคม ธนบูรณ์ให้ความสาคัญกับความสุขของคนในองค์กรของเขาเองและลูกค้าของ
เขาดว้ ยอย่างย่งิ โดยยึดหลกั ความดุลระหว่างการทางานและการใช้ชีวิต ไม่เอาเปรียบพนักงานและลกู ค้า ทางานดว้ ยความ
พอดีและพอเพยี ง และเดินไปสู่การพัฒนาผู้คนและสงั คมรว่ มกนั
“ส่ิงหนึ่งท่ีผมบอกเสมอตั้งแต่วันแรกท่ีตั้งครีเอทีฟมูฟข้ึนเป็นเอเจนซี่คือ เราต้องไม่ทางาน
หามรุ่งหามค่า ไม่รับงานเสาร์อาทิตย์ ไม่เรียกคนมาประชุมดึกดื่นคา่ คนื เพราะการจะขับเคลอื่ นสังคม
สง่ิ แวดล้อมให้ดีข้นึ เราก็ไมค่ วรทาให้พนักงานของเรามคี ุณภาพชีวิตทแ่ี ย่ และไม่มเี วลาใหค้ รอบครัว
คุณธรรมสาหรับผมแปลว่าสมดุล คือเราไม่เอารัดเอาเปรียบใคร เราทางานปริมาณพอเพียง
ได้เน้ืองานมีคุณภาพ ทุกคนมีความสุข ลูกค้ามาใช้บริการแล้วมีความสุข เราได้เงินจากลูกค้าอย่างมี
ความสุข ไม่ใช่เอาเยอะๆแต่เหนื่อยแทบตาย หรือเอารัดเอาเปรียบลูกค้าโดยลดต้นทุนทาให้คุณภาพ
งานแย่ลง แล้วเราได้เงินเยอะข้นึ แตก่ ไ็ ม่มคี วามสุข
ลูกค้าที่มาใช้บริการครีเอทีฟมูฟไม่ได้จ่ายน้อยกว่า เขาจ่ายเท่ากันหรือมากกว่าเอเจนซี่อื่นๆ
เพราะเรามีความเช่ียวชาญท่ีเป็นเอกลักษณ์พิเศษ เขาเดินมาหาเราเพราะเขาชัดเจนว่าต้องการงาน
สร้างสรรค์ ศิลปะ และการออกแบบเพื่อสังคม แล้วการทางานด้านสังคมไม่ได้หมายความว่าผมต้อง
คิดเงินคุณน้อยกว่าปกติ เราอยากใช้เงินของคุณอย่างมีคุณค่าเพื่อการสร้างความเปล่ียนแปลงจริงๆ
งานของคุณต้องสร้างผลกระทบ ซง่ึ จะเปน็ กระบอกเสียงไปบอกกล่มุ เป้าหมายของคณุ เอง”
ธนบูรณ์ประณีตในการเลือกทีมทางานที่มีดีเอ็นเอแบบเดียวกัน โดยสิ่งจาเป็นสูงสุดคือความรักในงานท่ีมาพร้อมกับมือ
อาชพี เขาพบผู้คนเหลา่ น้ัน แม้จะหาไดไ้ ม่งา่ ยนกั และยังต้องการเพม่ิ อกี เพอ่ื ให้ทางานทม่ี ีล้นมือและมเี พ่ิมข้ึนเรือ่ ยๆใหเ้ ดินหน้าไป
ได้ราบรื่น
“เราอยากได้คนทางานด้วยหัวใจ หัวคือต้องมีความเช่ียวชาญ ความถนัด ความสามารถที่
ช่วยทางานให้องค์กรเดินไปได้ ถ้าเข้ามาแล้วทาอะไรไม่ได้ก็ไม่รู้จะเข้ามาทาไม ส่วนใจคือความ
รักในการทางาน และรกั โครงการที่ตัวเองทา ซ่ึงจุดน้ีไม่ยากนกั เพราะคนท่ีเขา้ มาทางานมคี วามชัดเจน
อยแู่ ลว้ วา่ งานของเรา 100 เปอรเ์ ซ็นต์เป็นงานเพอื่ สงั คม
26
ส่วนใหญ่ทุกคนที่นี่ทางานด้วยหัวด้วยใจ แต่ผมก็เคยเจอพนักงานที่อยากมาอยู่บริษัทเท่ๆ
เป็นท่ียอมรับ แต่ใจไม่ได้อยากขบั เคลื่อนสงั คม พอเจอปัญหาอปุ สรรคเล็กน้อยก็รสู้ ึกว่าไม่ทาดีกว่า ซึ่ง
เราก็เข้าใจแล้วปล่อยเขาไป ส่วนบางคนท่ีเข้ามาด้วยใจมากๆแล้วหัวอาจไม่ได้ เราก็มีการพัฒนา
ศักยภาพ อย่างช่วงโควิดที่งานหายไปบ้าง แต่เราไม่ได้ปรับลดเงินเดือนลง พยายามดูแลทุกอย่าง
ให้สบายที่สุด และให้ใช้เวลาว่างไปพัฒนาเพ่ิมพูนทักษะตัวเอง พอกลับมาทางาน ก็ต้องใช้ความ
สามารถนนั้ มาทางานใหม้ ากข้นึ ”
สาหรับธนบูรณ์เอง ชีวิตด้านในของเขายังคงเคล่ือนไปข้างหน้า พร้อมกับการเคล่ือนไปของการงานการเชื่อมโยงผู้คนให้
ช่วยกันสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม ในสิบปีสุดท้ายก่อนเกษียณ เขาหวังท่ีจะทาการงานที่แหลมคนมากขึ้น เพ่ือให้งานสร้างผลกระทบให้
เกิดการเปล่ยี นแปลงมากขนึ้ และคนทางานเหน่ือยนอ้ ยลง รวมทัง้ เตรียมการบรหิ ารจดั การองค์กรท่ีทาให้ทีมทางานเตบิ โตงอกงาม
ยง่ิ ขึ้น และสามารถทางานบางอยา่ งทเ่ี ขาเคยเปน็ ผู้นาในการคิดและผลักดันเปน็ หลักได้มากขึน้
ณฐั ดนยั ตระการศภุ กร
เจา้ ของแบรนด์นา้ ผ้งึ ป่า HOSTBEEHIVE
“ผมเป็นคนปกาเกอะญอ เราเคยไปทางานขา้ งนอก แล้วกลบั มาช่วยชุมชนทาธรุ กิจเพ่ือสังคมโดยใชว้ ัตถดุ บิ ทม่ี ใี น
ชุมชน เช่น น้าผ้ึงป่า ท่ีใช้ช่ือแบรนด์ว่า HOSTBEEHIVE ซึ่งเน้นการใช้น้าผ้ึงป่าสืบสานเร่ืองราวชุมชน รวมถึงองค์ความรู้
การทาไร่ตามประเพณีและการดูแลจัดการป่าผ่านรสชาติของน้าผ้ึง สองสามปีท่ีแล้วเราพัฒนาอีกแบรนด์หน่ึงชื่อ Little
Farm เป็นการขยายโมเดลของ HOSTBEEHIVE จาก 1 ชุมชน เป็น 7 ชุมชนหมู่บ้านปกาเกอะญอ ทาให้ผลผลิตตาม
ฤดูกาลและมีความหลากหลายมากๆ
เราไม่ใด้ทาธุรกิจเพื่อสังคมเท่านั้น แต่ทาเร่ืององค์ความรู้และถ่ายทอดสู่เด็กและคนรุ่นใหม่ด้วย โดยทางานกับ
โรงเรียนเรอื่ งหลกั สูตรทอ้ งถ่ิน และทางานสรา้ งความเขม้ แขง็ ใหช้ มุ ชน
เรามารว่ มกบั กรีนเนอรี่ตงั้ แต่แรกๆ โดยไปออกบธู เปน็ ผคู้ า้ ท่ีกรนี เนอรีม่ ารเ์ กต็ เขาให้พน้ื ท่ีเราสื่อสารถงึ คนในเมอื ง
ผ่านกจิ กรรมตา่ งๆ กรีนเนอรี่เขม้ แขง็ มากเรื่องการสอ่ื สารสคู่ นเมอื ง
พ่ีๆกรีนเนอรี่เป็นพ่ีน้องกันหมด เราเป็นผู้ประกอบการเชียงใหม่ท่ีอยากไปเปิดตลาดในกรุงเทพฯ เราขับรถไปทุก
คร้ังที่กรีนเนอรี่มีงาน รู้สึกคุ้มมากๆ แม้ยอดขายอาจไม่มาก แต่เราได้แพสชั่น และได้เจอพ่ีๆที่อบอุ่นมากและดูแลใส่ใจเรา
สดุ ๆเลย
27
ที่สาคญั กรีนเนอรี่สร้างวัฒนธรรมการทางานของเราด้วย ทุกวันนี้พ่อค้าแม่ค้าจากกรีนเนอร่ีก็ยังเจอกันอยู่ จะใช้
ขวดน้าส่วนตัว มีหลอด มีช้อนเอง เปลี่ยนนิสัยไปเลย เร่ืองบรรจุภณั ฑ์ท่ีใช้วัตถุดิบแบบไม่ก่อขยะซึ่งเป็นการสร้างซีโร่เวสต์
มายเซ็ตก็ทาได้ดีมาก ไม่ใช่แค่พ่อคา้ แม่ค้าเท่านั้น กับคนที่มาตลาดด้วย ทุกวันนี้เราไปเจอกันที่ตลาดอื่นพวกเราก็ใช้แก้วที่
ย่อยสลายได้ กลายเปน็ วา่ เราและทีมงานทกุ คนมีมายด์เซ็ตนตี้ ิดตวั ไปดว้ ย
ปกติขายน้าผ้ึงต้องใช้พลาสติกกันกระแทกค่อนข้างเยอะ เพราะเป็นขวดแก้ว แต่ทุกวันนี้เราใช้กันกระแทกจาก
กลว้ ยซึ่งพัฒนากันเอง เพราะที่บ้านเรากล้วยเยอะ ในชุมชนก็ทาเป็นแบรนด์กนั จรงิ จังช่ือ “กล้วยช่วยโลก” ซ่ึงเราเอามาใช้
ทาหีบห่อของแบรนด์เราท้ังหมด ลูกค้าทุกคนที่ได้ผลผลิตของเราไปน่าจะมีความสุขที่ได้ประสบการณ์ใหม่ๆในการเปิด
กล่อง พอเราติดนิสัยตรงน้ีแล้วเราก็ไปสร้างต่อให้คนอื่นๆ ผมถามพ่ีๆเพื่อนๆหลายคนท่ีอยู่ในกรีนเนอร่ีด้วยกัน ทุกคนคิด
อยา่ งนหี้ มดเลย
ตอนน้ีเราพัฒนาแนวคิดจากกรีนเนอรี่มาทาตลาดอีกแห่งช่ือ “ธรรมชาติคือชีวิต” บางทีพี่ๆเขาก็มาติดตามช่วย
สนับสนุนเราดว้ ย เวลาต้องการหาวัตถุดบิ ออรแ์ กนิกกจ็ ะคดิ ถึงคนทีไ่ ปเจอที่กรีนเนอร่ี อย่างดอกเกลือหนองมน คนจับปลา
ท่ีประจวบ เราเชื่อใจเร่ืองพ้ืนฐานของวัตถุดิบ เพราะเขาคัดเลือกออร์แกนิกค่อนข้างเข้มข้น เกิดเป็นความร่วมมือระหว่าง
แบรนด์กนั สนุกสนาน
ลูกค้าที่เราไปเจอท่ีกรนี เนอรี่มาร์เกต็ พยายามตามซ้ือของเราจนถึงทุกวันนี้ เขาเข้าใจเกษตรกรค่อนข้างเยอะ และ
ปล้ืมท่ีได้วัตถุดิบท่ีดีจากเรา เพราะเขาเชื่อใจกรีนเนอร่ีท่ีคัดสรรมาระดับหนึ่ง เขาตรวจลงลึกกับผลผลิต วิธีปลูก ส่วนผสม
มันกลายเป็นศูนย์รวมคนเก่งๆจากทั่วประเทศ สถานท่ีจัดงานอยู่บริเวณ Park@Siam ท่ีจุฬาฯ ตรงน้ันสร้างผลกระทบ
ค่อนข้างสูงกว่าทอ่ี ่ืน ฐานลกู ค้าในเมอื งของเราทกุ วนั นก้ี ็มาจากทน่ี ่นั ”
ทุกคนได้รับพลังจากการขับเคล่ือนต่างๆท่ีกรีนเนอรี่ทา ผมว่าเป็นชุมชนที่ดี ช่วงโควิดเราเชียร์วา่ อย่าหยดุ เราไป
กรีนเนอร่ีมาร์เก็ตไม่ได้ เราก็ร่วมมือกันทาออนไลน์ “Eco & Green Marketplace” เราว่าแต่ละแบรนด์ท่ีอยู่ท่ีน่ันได้รับ
การพัฒนาไปด้วยกัน แต่ละคนกาลังเริ่มเข้าออนไลน์และต้องปรับตัวในช่วงโควิดเหมือนกัน พวกเราก็พร้อมท่ีจะช่วย
กรนี เนอรด่ี ้วย”
28
วิมลมาลย์ เอกลัคนารัตน์
ผ้เู ขา้ รว่ มกิจกรรมกับ Greenery
“เราเป็นแม่บ้าน ดูแลบ้านเองท้งั หมด เลยเห็นภาพรวมสินคา้ อุปโภคบรโิ ภคในครัวเรือนว่าแต่ละบา้ นสรา้ งขยะใน
ชีวิตประจาวันมากแค่ไหน เห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคว่าต้องการสินค้าท่ีมีบรรจุภัณฑ์สวยงามมากขึ้น แต่ก็
เกินความจาเปน็ จนกลายเปน็ ปัญหาขยะในปัจจุบัน
ร่วมทากิจกรรมในกลุ่มเฟสบุ๊ก Greenery Challenge มา 3 ปี โดยเฉพาะเร่ืองการจัดการขยะ เพราะมองเห็น
ปัญหาขยะจากสินค้าทุกชนิดท่ีมีบรรจุภัณฑ์ส้ินเปลือง และเห็นภาครัฐไม่ชัดเจนต่อปัญหาขยะ เลยคิดว่าจะทาได้ด้วย
ตนเองตรงไหนได้บ้าง การเข้ามาร่วมกิจกรรมทาให้จัดการปัญหาขยะในครัวเรือนได้เหมาะสมข้ึน แม้จะต้องเสียเงินค่า
จัดการเอง แตก่ เ็ ปน็ การลงทุนเพอ่ื ส่งิ แวดลอ้ มทด่ี ีในอนาคต
ปัญหาและอุปสรรคแรกๆคือ บางคนไม่เข้าใจว่าทาไปทาไมเพราะไม่ความสะดวก การห้ิวปิ่นโต ถุงผ้า แก้วน้าไป
ใช้เอง ทาให้คนขายยุ่งยาก แต่เราก็พยายามทาอย่างสม่าเสมอให้เขาเห็นความต้ังใจ และช่วยให้เขามองถึงปัญหาขยะที่จะ
เกิดในอนาคต ความสมา่ เสมอทาใหเ้ ขาเข้าใจเรา และเปน็ วธิ ีการสือ่ สารอีกทางหนง่ึ
นอกจากการจัดการปัญหาขยะ กรีนเนอร่ียังช่วยเช่ือมโยงวิถีเกษตรอินทรีย์ที่เอื้อต่อสิ่งแวดล้อม ทาให้เราได้
บริโภคพืชผกั ท่ปี ลอดภัยมากข้นึ ส่งเสรมิ คณุ ภาพชวี ิตของทงั้ ผปู้ ลูกและผูบ้ รโิ ภคใหด้ ขี น้ึ ดว้ ยการบรโิ ภคอย่างปลอดภัย
เราเข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพราะมองว่าการส่ือสารเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ทุกคนทาได้ เหมือนเป็นการ
ทาจิตอาสาออนไลน์ และสามารถขยายฐานผู้รับได้เพ่ิมขึ้นด้วยการส่ือสารอย่างสม่าเสมอ คนในกลุ่มพูดคุยกันแบบเป็น
กันเอง สุภาพมากๆ มีการแบ่งปันไอเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิถีการลดขยะ การบริโภคท่ีปลอดภัย ความใส่ใจ
ส่งิ แวดลอ้ ม ทาให้ไดก้ าลังใจในการทาเร่อื งนี้อย่างตอ่ เนือ่ งจากกลุ่มด้วย
องค์กรท่ีมีคุณธรรมอาจหมายถึงองค์กรท่ีใส่ใจผลกระทบต่อส่วนรวม มีความตั้งใจแก้ปัญหาอย่างจริงใจ จริงจัง
และทาได้อย่างย่ังยืน กรีนเนอร่ีตั้งใจส่ือสารและลงมือแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและสม่าเสมอ เม่ือเราเข้าใจ
เราจะลงมือทาด้วยความเต็มใจ ซ่ึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ย่ังยืนด้วย เป็นความตั้งใจมอบของขวัญให้โลกใบนี้ ด้วยการใช้
ชวี ิตแบบ Eat Good. Live Green. อย่างท่เี ขาสอ่ื สารอยา่ งตอ่ เนื่องมาตลอด
เราอยากให้ช่วยกันสนับสนุนให้ระบบการศึกษาของประเทศเรามีการเรียนการสอนเรื่องสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ช้ัน
อนบุ าล หรือมหี ลกั สูตรแยกขยะเป็นพืน้ ฐานในโรงเรียนตน้ แบบ ก็นา่ จะเปน็ แนวทางทีพ่ อชว่ ยแกป้ ัญหาไดบ้ ้าง
29
4.2 บรษิ ัท เมดฟิ ดู ส์ (ประเทศไทย) จากัด
ผสู้ ร้างวงจรการค้าข้าวทีย่ ่ังยืนดว้ ยความรักและปญั ญา
“หลักธรรมท่แี ท้จรงิ คือการดารงอยูบ่ นความไม่เบยี ดเบยี น อนั นเี้ ป็นพน้ื ฐานของการทาขา้ ว”
วรวฒั น์ บญุ หลาย
กรรมการผจู้ ดั การ บรษิ ทั เมดฟิ ูดส์ (ประเทศไทย) จากัด
จบั กระแสความผดิ ปกติในวงจรการค้าข้าว
อาหารเป็นหน่ึงในปัจจัยพื้นฐานที่หล่อเลี้ยงชีวิต เป็นส่ิงสาคัญพื้นท่ีส่ิงมีชีวิตขาดไม่ได้ สุขภาพของเราขึ้นอยู่กับ
การบรโิ ภคอาหารที่ดีตอ่ สขุ ภาพ ขณะเดยี วกันการเลือกบริโภคอาหารกส็ ามารถช่วยรักษาโลก (และโรคภยั ) ได้เช่นเดียวกนั
วิถีเกษตรอินทรีย์เป็นหนทางท่ีสร้างความยั่งยืนตลอดท้ังวงจรอาหาร ท้ังด้านสุขภาพของผู้ผลิตและผู้บริโภคและด้านการ
รักษาสิง่ แวดลอ้ ม การเกษตรยั่งยนื จึงเปน็ วถิ ีแหง่ ความไมเ่ บยี ดเบียนตนเองและโลก
วรวัฒน์ วัชรพล และวรรณวิมล บุญหลาย สามพ่ีน้องเจ้าของบริษัท เมดิฟูดส์ (ประเทศไทย) จากัด คือกลมุ่ คนที่
เชื่อมั่นในวิถีเกษตรอินทรีย์ว่าเป็นหนทางท่ีจะสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจได้ พวกเขาก่อตั้ง บริษัท เมดิฟูดส์ (ประเทศไทย)
จากัด ข้ึนเมื่อปี พ.ศ. 2554 ท่ีอาเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภมู ิ เพ่ือผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์หรือข้าวออร์แกนิกอย่างครบ
วงจร โดยเน้นการทางานในวงจรข้าวตลอดสายจากถึงต้นน้าถึงปลายน้าอย่างประณีต รวมท้ังใช้ความรู้ และเทคโนโลยี
พัฒนาต่อยอดจนได้ผลิตภัณฑ์อาหาร เกรดพรีเมี่ยมนานาชนิดที่ ทั้งปลอดภัย และมีคุณค่าทางอาหารสูง ท้ังผลิตภัณฑ์
ต่างๆ ที่จาหน่ายในแบรนด์ “RIZSTEROLS” (ริซสเตอรอลส์), “Hugpun” (ฮักปัน) และข้าวสารตรา “Red Ant” (มด
แดง) และรับจ้างผลิตสินค้า หรือส่งวัตถุดิบคุณภาพสูงให้กับบริษัทผู้ผลิตอาหารท้ังใน และต่างประเทศ โดยสินค้าส่วน
ใหญ่ส่งออกขายต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป และจานวนไม่มากนักขายในประเทศไทยตามห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
ในปรมิ าณปลี ะ 300-500 ล้านบาท
ต้นทนุ ความรูแ้ ละความชานาญทางธุรกิจของ บริษัท เมดฟิ ดู ส์ (ประเทศไทย) จากัด มีทีม่ ายอ้ นกลับไปหลายสิบปี
จากธุรกิจลานซื้อข้าวเปลือกของพ่อ “เลียงเจริญการเกษตร” (ตั้งช่ือตามพ่อเลียง) ที่แก้งคร้อ ซ่ึงวรวัฒน์ดูแลกิจการ
สืบเนือ่ งมา ขณะท่ีวัชรพลซึ่งเป็นนอ้ งชายคนรองแต่งงานออกไป แล้วทาโรงสีและธรุ กจิ สง่ ออกขา้ วรายใหญข่ องประเทศกับ
ครอบครวั ของภรรยา ทาใหไ้ ดเ้ ดินทางติดตอ่ คา้ ขายขา้ วทว่ั โลก ส่วนวรรณวิมล หรือมดแดง น้องสาวคนเลก็ ไปเรยี นและใช้
ชวี ติ ในต่างประเทศเป็นเวลานานกอ่ นจะกลับมาทาธรุ กิจครอบครัวรว่ มกบั พชี่ าย
30
ยอ้ นไปกว่าสิบปกี ่อน วนั หนงึ่ พี่นอ้ งได้นง่ั คยุ กันถึงความผิดปกติบางอย่างในวงจรการค้าขา้ วทท่ี าให้ทกุ ส่วนในห่วง
โซ่ธุรกิจประสบปัญหาอย่างไม่เคยเกิดข้ึนมาก่อน ชาวนาไทยเต็มไปด้วยความทุกข์และหนี้สินภาคครัวเรือน ครอบครัว
แตกแยก ติดกับดักกับวงจรหนี้นอกระบบ รวมท้ังมีการเดินขบวนเรียกร้องเร่ืองข้าวทุกปี ขณะท่ีพ่อค้าคนกลางและโรงสี
ธุรกิจอยู่รอดได้ยากข้ึนกระท่ังล้มลงไปจานวนมาก และผู้ส่งออกข้าวหาตลาดข้าวในต่างประเทศลาบาก คาสั่งซ้ือหดหาย
เพราะข้าวจากพม่า เวียดนาม จีน อินเดีย เข้าสู่ตลาดโลกมากข้ึนด้วยราคาที่ต่ากว่าข้าวไทย ท้ังจากการท่ีเวียดนาม และ
กัมพูชาเพิ่งเปิดประเทศการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทาให้ได้ข้าวต่อพ้ืนที่มากขึ้น รัฐบาลของประเทศต่างๆ ได้ให้ความ
ชว่ ยเหลืออัดฉีดเข้าในวงจรค้าขา้ ว ของแตล่ ะประเทศ ในแต่ละปีเป็นเงนิ จานวนมาก
พวกเขาตั้งคาถามถึงความอยู่รอดอย่างยั่งยนื ของธุรกิจและชาวนา และความคดิ เร่ืองเมดิฟูดส์ก็เกิดขึ้น พร้อมกับ
คาตอบเร่ืองการใช้อาหารเป็นยา เพ่ือให้มนุษย์สามารถรับส่ิงดีๆที่ธรรมชาติมอบให้มาใช้อย่างเหมาะสม และใช้ “ธรรม”
เป็นหลักในการทางานตั้งแต่ต้นน้าจนถึงปลายน้า โดยนโยบายสาคัญประการหน่ึงของบริษัทคือการไม่ทาอาหารเกี่ยวกับ
สงิ่ มีชีวิต เพ่อื การไม่เบยี ดเบยี น ไมฆ่ า่ สัตว์ตัดชวี ติ
พฒั นาตน้ น้า -- วสิ าหกิจชุมชน “คนธรรมนา”
สามพี่น้องบุญหลายเกิดและเติบโตมาในครอบครัวพ่อค้าข้าวที่สนใจการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา วรวัฒน์
พี่ชายคนโตได้เดินตามท้องไร่ท้องนาและคลุกคลีใกล้ชิดกับชาวนาในฐานะคนรับซื้อข้าวมาต้ังแต่สิบขวบ เขาพบจุดอ่อนใน
วิธีคดิ หรือทัศนคติของชาวนา เช่นเดียวกับที่เกิดกับคนหลากหลายอาชีพในปัจจุบัน ว่าเกิดจากมิจฉาทิฐิในการว่ิงแสวงหา
กาไรจนทาส่ิงต่างๆที่ทาลายตัวเองและส่ิงแวดล้อม ชาวนาปลูกข้าวโดยใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงจานวนมหาศาลจนเกิดเป็น
สารพิษตกค้างในระบบห่วงโซ่อาหาร ทั้งผู้ปลูก ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อมจนส่งผลกลายเป็นความเจ็บป่วยขนาดใหญ่ของ
คนทั้งสงั คม
งานท่ตี ้นนา้ ของการผลติ อาหารปลอดภยั และมีคณุ ภาพสงู จงึ เรม่ิ ที่ต้นทางของอาหาร วรวัฒน์ได้เรมิ่ ทางานสื่อสาร
กับชาวนาในชัยภูมิท่ีเขารู้จักหรือคุ้นเคย และเห็นหน่วยก้านว่าน่าจะสนใจการปรับเปล่ยี นวิถีการผลิตมาเป็นทานาอินทรีย์
เพ่ือสร้างวิธีคิดและปลูกฝ่ังทัศนคติการทาการเกษตรอย่างย่ังยืน จึงชักชวนกันสร้างกลุ่มออร์แกนิกและจัดต้ังวิสาหกิจ
ชุมชน “คนธรรมนา” ขึ้น โดยยึดหลักธรรมแห่งความไม่เบียดเบียนเป็นแกนหลักของการทางานร่วมกัน เพื่อขยายตัวไปสู่
สงั คมแหง่ การให้ท่ยี ่ังยืน
“คนธรรมนา มาจากคาว่า คน ธรรม และนา ด้วยเชื่อว่าถือเป็นบุญสูงสุดแล้วที่เราได้เกิด
เป็นมนุษย์ และหลกั ธรรมท่ีแท้จริงคอื การดารงอยู่บนความไม่เบียดเบียน สงิ่ น้ีเป็นพื้นฐานของการทา
ข้าวออร์แกนิกด้วย เมื่อไหร่คนหยุดเบียดเบียนตัวเอง หยุดเบียดเบียนคนในครอบครัว สังคม และ
สิ่งแวดลอ้ ม สงั คมของเราจะน่าอยู่ข้ึน
31
มชี าวนามาถามว่าเขาจะให้อะไรกับสงั คมไดบ้ า้ ง ผมบอกเขาว่า การให้สงิ่ ท่ดี กี บั สังคมเรมิ่ จาก
การทาหน้าทขี่ องชาวนาท่ดี ี การรับผดิ ชอบตอ่ สงั คมในฐานะผผู้ ลิตขา้ ว คอื สง่ มอบอาหารทบี่ รสิ ทุ ธิ์ ท่ดี ี
ให้ผคู้ น”
สงิ่ ที่วรวัฒนเ์ น้นย้าในการทางานกบั “คนธรรมนา” คอื สร้างสติปัญญา โดยใช้แนวคิดหลักวา่ ปลกู ข้าว ปลูกธรรม
ปลูกปัญญา เขาปลูกฝังความรู้และความรักให้ชาวนาผ่านหลักธรรมในพุทธศาสนา ท่ีสาคัญคือการสร้างสัมมาทิฐิ การใช้
อิทธิบาท 4 ในการดาเนินชีวติ และการงาน การมีความรักและไม่เบียดเบยี น รวมถึงสร้างความเช่อื ม่ันในการผสานพลงั การ
ทางานรว่ มกนั
“ปัญญาคือความมีแสงสว่างในชีวิต คือเส้นทางท่ีเราเดินได้ถูกต้อง เราเชื่อว่า
การก้าวหน้าหรือการสรา้ งความเจริญไม่ได้อยู่ไกล แต่อยู่กับส่งิ ที่เราคิด เราทา ในตัวเราเอง การเร่ิมจาก
วิธีคิดท่ีดีเหมือนมีเข็มทิศ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า มีสัมมาทิฐิ คือความเห็นถูกในชีวิต เห็นว่า
คุณประโยชน์หรือคุณค่าของความเป็นมนุษย์เร่ิมจากไหน เราใช้ชีวิตทุกวันน้ีเพ่ืออะไร สัมมาทิฐิเป็นข้อ
แรกของมรรคองค์ 8 ซง่ึ เปน็ ฐานของความเจริญ เราตอ้ งเหน็ ถูกกอ่ น ถ้าเมอ่ื ไหรเ่ ห็นผดิ จะเจรญิ ยาก
ผมพยายามบอกชาวนาว่า เราสามารถเข้าถึงความสาเร็จได้ด้วยการใช้หลักอิทธิบาท 4
ข้อแรกคือ ฉันทะ คือความรัก ความชอบ มันถึงจะเกิดความวิริยะ และจะเกิดจิตตะ แล้ววิมังสา
น่ันหมายถึงต้องเกิดความชอบ ความพากเพียร การใจจดใจจ่อ และการไตร่ตรองเรียนรู้ จึงจะเกิด
ความสาเรจ็ ในการงาน
ท่านจะปลูกข้าว ท่านต้องภูมิใจในความเป็นชาวนา รักที่จะเป็นชาวนา ส่วนเมดิฟูดส์
จะช่วยต่อยอดวัตถุดิบท่ีดีของท่าน เราจะนาสิ่งที่ท่านรังสรรค์หรือพยายามทะนุถนอมไปแปรรูปให้
แลว้ สิ่งท่ีท่าน และเมดฟิ ูดสท์ าจะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนผ์ ู้บรโิ ภคและสงั คม
เราสอนให้เขารู้จักความรัก รักตัวเอง รักครอบครัว รักองค์กร รักสังคม ถ้าไม่ปลูกฝัง
ส่ิงเหล่านี้ ถ้าปัญญาไม่เกิด มันก็ยาก ไม่ใช่แค่ในภาคเกษตร ในอาชีพอ่ืนๆท้ังบุคลากรทางการแพทย์
หรอื สถาบันยุตธิ รรมตา่ งๆ ถ้าขาดศีล ขาดหลักเหลา่ นี้ กไ็ ม่รู้จะไปหาความยัง่ ยืนทไ่ี หน”
การทาสิ่งสวนกระแสโลกท่ีรุ่มร้อนด้วยเพลิงกิเลสเช่นนี้ย่อมไม่ง่าย โดยเฉพาะการต้องเจอกับแรงเสียดทาน
มหาศาลในระยะแรก การถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากสังคมของการเอารัดเอาเอาเปรียบและต้องหลบหลีกเอาตัวรอด ทาให้
ความคิดเร่ืองการใช้เมล็ดพันธุ์ท่ีดีปลูกข้าว การทะนุถนอมบารุงนา บารุงผืนดิน ผืนน้า เพื่อให้มีธาตุอาหารที่ดีและสร้าง
ความปลอดภัยให้สิง่ แวดล้อม รวมถึงการเก็บเก่ียวท่ีพิถีพิถัน เพื่อให้ได้ข้าวที่ดีและได้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล
32
ดูจะเป็นความคิดในโลกทิพย์สาหรับชาวนาที่ยังไม่เคยผลิตในวิถีอินทรีย์ และไม่เฉพาะช่วงปลูก การจะหาตลาดขายข้าว
ด้วยตวั เองกย็ ากลาบาก
เมดิฟูดส์ ใช้ระบบพันธะสัญญาในการทางานร่วมกับชาวนาของกลุ่ม โดยเริ่มจากนาเมล็ดพันธุ์ข้าวไปให้ หา
วิทยากรมาสอนมาสอนเร่อื งการใช้ปุ๋ยออรแ์ กนิก การดูแลจัดการพืช การให้ยืมเงินลงทุนจนกว่าจะต้ังตัวได้ และการรับซอ้ื
ผลลติ ซึ่งได้ราคามากกว่าการทานาท่วั ไปเกวียนละ 5,000 บาทหรือเป็นราคาเพ่ิมขึ้นเกือบเทา่ ตัว ท้ังนี้วรวัฒน์ต้ังหลักของ
ตัวเองไว้ว่า จะคอยบอกกลา่ ว ช้ีนา แต่ไม่คาดหวังว่าใครจะทาตามหรือไม่ เพราะทางเลือกในชีวติ เป็นของชาวนา เขาบอก
ว่า ตนไม่ได้มีหน้าท่ีทาให้คนรวย ส่วนการเป็นคนดีนั้นสอนกันได้ แต่การจะเป็นคนดีอยู่ที่แต่ละคนต้องลงมือทาเอง ใคร
พรอ้ มก็เดินไปก่อน ใครไม่พรอ้ มกต็ อ้ งรอจนกว่าจะเห็นแสงสว่างของชีวิตแลว้ เกิดการพลิกเปล่ยี น
“เราคุยกับชาวนาท่คี ุ้นเคย ให้เขาเห็นภาพว่า ถ้าทาแบบนี้จะได้อะไร ไม่ทาแบบน้ีจะไดอ้ ะไร
คนท่ีเชื่อมั่นในตัวเราเขาก็เดินตาม เราบอกว่าโครงสร้างของราคาออร์แกนิกไม่มีต่าหรอก เราการันตี
ราคา แลว้ กพ็ าเขาไปดูนาทท่ี าและเติบโตมาก่อนกล่มุ เรา ชวนให้ทาแล้วกเ็ ติบโตแบบเรยี นรู้ไปดว้ ยกนั
ระบบออร์แกนิกน่ีจริงๆ คือการให้หยุด หยุดหาเงินไปซ้ือปุ๋ย หยุดหาเงินซ้ือยา
ให้พ่ึงพาตัวเอง มันเรียบง่ายกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ส่วนใหญ่ความยากเกิดขึ้นเพราะความกลัวในใจ ทา
แล้วจะได้ขา้ วมย้ั ได้แลว้ จะขายยงั ไง
แรกๆเป็นปัญหามาก ตอนชาวนาเลิกใช้ปุ๋ยใหม่ๆ ผลผลิตมันน้อยลง หลายคนตกใจก็เลิก
ผลิตไป เวลาจะทาให้ฮิวมัสในดินฟ้ืนตัว ไม่ใช่ว่าปีหน่ึงจะทาได้ มันต้องค่อยๆปรับเปล่ียน ออร์แกนิก
ต้องมีปีท่ีหนึ่ง ท่ีสอง ท่ีสาม ความอยากได้เร็วจะไม่ทาให้เกิดความย่ังยืนในระบบออร์แกนิก ความ
ยง่ั ยนื ตอ้ งเริ่มจากแนวคิดว่า เราอยากทาสง่ิ นเ้ี พราะมันเปน็ ประโยชน์ ไมใ่ ชเ่ พราะเงิน
ทุกอย่างมีระบบ ขั้นตอน ก็ข้ึนกับความเข้มแข็งในใจของคนปลกู ถ้าไม่เข้มแขง็ เขาก็ไป คนที่
เข้มแข็งม่ันคงก็เดินต่อ อันน้ีเป็นหลักธรรมดา เดิมทีก็เป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วก็เร่ิมขยายแบบปากต่อปาก
คนเร่ิมเห็นว่า เอ๊ะ เพ่ือนเราทาไมเติบโตข้ึน ก็เร่ิมสนใจว่าอยากมาอยู่ในกลุ่มด้วย ก็เติบโตกัน
ตามลาดบั
เมื่อเหลียวไปดู ชีวิตเขาโอเคนะ มันเริ่มจากการปรับเปลี่ยนการคิด การอยู่เท่านั้นเอง เรา
ไม่ได้สอนให้เขารวย ไม่ได้ต้องการให้เขาต้องมาเป็นฮีโร่สร้างชาติสร้างแผน่ ดินอะไรมากมาย เพียงแต่
เริ่มจากสิ่งเล็กๆท่ีอยู่ใกล้ตัว ดูแลสิ่งแวดล้อม ดูแลชุมชน ดูแลคนที่เขาารัก ก็เป็นหน้าท่ีของคนทั่วไป
พึงมี หน้าท่สี ามัญของพลเมอื งของประเทศที่ดี”
ปัจจุบันกลุม่ นาอินทรียข์ องคนธรรมนามีเกษตรกรอยู่เกือบ 200 คน และนาอินทรีย์ในโครงการ 3,000-4,000 ไร่
จากเดิมท่ีมีราว 6,000 ไร่ ก่อนจะลดลงไปราวคร่ึงหนึ่งเมื่อเกิดโครงการจานาข้าว ที่ทาให้ชาวนาปลูกข้าวอย่างไรรัฐก็ให้
33
ราคาสูงเท่ากัน แม้การเติบโตท่ีชัยภูมิถือว่าเกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่หากมองในภาพใหญ่ของประเทศไทย การเกิดกลุ่มเกษตร
อินทรีย์ในพ้ืนท่ีต่างๆที่ทาระบบคุณภาพจนสามารถผลิตข้าวได้มาตรฐานยุโรปมีมากขึ้น หลายกลุ่มมีจานวนชาวนาและ
แปลงนาใหญ่กว่ากลุม่ คนธรรมนา เช่นเดียวกับความต้องการข้าวอาร์แกนิกในตลาดต่างประเทศก็เพิ่มขึ้น บริษัท เมดิฟูดส์
(ประเทศไทย) จากัด จึงเป็นแหล่งรับซ้ือข้าวออร์แกนิกจากจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสานอีกร่วมสิบจังหวัด เช่น สุรินทร์
อุบลราชธานี ศีรษะเกษ นครพนม เปน็ ต้น โดยรับซอื้ ข้าวจากชาวนาอนิ ทรีย์ได้ปลี ะประมาณ 8 พนั ตนั
สรา้ งข้อกลางใหแ้ ขง็ แกร่ง -- เชื่อมนวัตกรรมทางวิทยาศาสตรเ์ ข้ากบั ความรักและการแบง่ ปนั
พรอ้ มกบั การพัฒนาต้นนา้ ดว้ ยวสิ าหกิจชุมชนคนธรรมนา เมดิฟดู ส์ก็เริ่มสรา้ งความแข็งแกร่งภายในบรษิ ทั โดยเนน้
ทิศทางของการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมเพ่ือแปรรูปข้าวให้เป็นวัตถุดิบที่ดีเพ่ือเสนอต่อ
สังคมโลก ด้วยเล็งเห็นว่ากระบวนการแปรรูปข้าวเพ่ือเพิ่มมูลค่าจะช่วยแก้ปัญหาด้านราคาและการตลาดให้นาอินทรีย์ได้
เพราะแต่เดิมชาวนาผลิตข้าวอินทรีย์คุณภาพสูง แต่ปราศจากกระบวนการผลิตแปรรูปให้เป็นที่ต้องการของตลาด ทาให้
ต้องขายข้าวในราคาต่ากว่าท่ีควร ท้ังที่ๆในกระบวนการผลิตข้าวออร์แกนิก ส่ิงที่ใช้ประโยชน์ได้น้ันมีมากมายกว่าเมล็ด
ขา้ วสาร การเพิม่ มูลคา่ ผ่านกระบวนการแปรรูปจงึ จะชว่ ยใหว้ งจรการผลิตอาหารปลอดภยั เดินตอ่ ไปไดอ้ ย่างย่ังยนื
การลงทุนของเมดิฟูดส์ เริ่มอย่างพอเพียง โดยใช้เงินท่ีมีสร้างโรงงานแบบไม่กู้ยืม ทีมงานใช้เวลา 5 ปีแรกอย่าง
อดทนในการทาส่ิงที่ไม่เคยมีใครทามาก่อน และเป็น 5 ปีที่ไม่มีรายได้ คือการสร้างโรงงานขนาดพอเหมาะ เพ่ือรับสีข้าว
ออร์แกนิก ท่ีมีมามาตรฐานการผลิตสูง สามารถรองรับปริมาณการผลิตข้าวได้ประมาณ 100,000 ไร่ โรงงานแปรรูป
ผลิตภัณฑ์จากข้าวออร์แกนิก และการทุ่มเททาวิจัยเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกจนสาเร็จ คือน้ามันราข้าวสกัดเย็น
(Rizsterols) ซึ่งทดลองคิดค้นกระบวนการจนเกิดต้นแบบนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์น้ามันราข้าวสกัดเย็นแบบบริสุทธ์ิของ
บริษทั เมดฟิ ดู ส์ (ประเทศไทย) จากัด ท่ีมคี ณุ ค่าสารอาหารตา่ งๆสมบรู ณ์ครบถว้ น โดยผ่านกระบวนการผลติ ท่ีไดม้ าตรฐาน
โลกจนได้รางวัลน้ามันที่ทรงคุณค่าอันดับ 1 ของโลกประจาปี 2016 ในงานประชุมของสมาคมน้ามันโลก ท่ีประเทศญี่ปุ่น
เป็นน้ามนั ช้นั ดขี องโลกตะวันออกเทียบเคียงไดก้ บั ชือ่ เสยี งของนา้ มันมะกอกในโลกตะวันตก
นอกจากน้ี ข้าวสารตรามดแดงยังได้รบั รางวัลจากเวทีประกวดขา้ วระดับโลกถงึ 3 ปีซอ้ น รวมทั้งได้รางวลั และการ
รับรองมาตรฐานสากลระดับโลกอีกมากกว่า 10 รางวัลนับจากปี พ.ศ. 2553 จนถึงปัจจุบัน ทาให้ บริษัท เมดิฟูดส์
(ประเทศไทย) จากัด สามารถใช้ต้นทุนของ “ข้าวไทย” ที่มีช่ือเสียงในตลาดโลกมานาน ให้กลบั สู่ตลาดโลกอีกคร้ังด้วยขา้ ว
และผลิตภณั ฑ์อาหารจากข้าวเกรดพรเี มยี มตามมาตรฐานโลกได้เต็มภาคภูมินบั จากปี 2559 เป็นต้นมา
“เราล้มลุกคลุกคลานตลอดห้าปีของการทางานวิจัย เพราะเราทาส่ิงท่ีไม่เคยมีคนทามาก่อน
ท่ีผ่านมางานวิจัยก็เป็นแค่งานวิจัย ไม่มีคนคิดกลับด้าน คือสร้างโรงสีขึ้นให้แปลกใหม่และลงมือทาได้
จริงๆ โรงสีท่ีนี่แปลกสุดในประเทศไทย เพราะตั้งโรงสีเพื่อเอาจมูกข้าวและราข้าว ไม่ได้ต้ังโรงสีเพื่อ
34
เอาข้าวสาร ส่วนการทาน้ามันก็ทดลองหาวิธีกนั อย่างยากลาบาก ทางต้นน้าก็ต้องไปเริ่มฟูมฟักชาวนา
เริม่ พาเขาทา เริ่มจาก 10 คน เปน็ 20 คน เปน็ 50 คน โรงงานก็เรมิ่ สร้าง กลุ่มก็เริ่มสร้างไปด้วยกนั
ที่จริงเราเร่ิมสตาร์ตเข้าสนามแข่งขันเมื่อไม่ก่ีปีมาน่ีเอง คือหลังจากน้ามันราข้าวบริสุทธิ์สกัด
เย็นได้รางวัลน้ามันสกัดเย็นที่ดีที่สุดในโลกเม่ือปี 2559 ช่วงแรกเราว่ิงวุ่นอยู่สองด้าน ท้ังต้นน้า กลาง
น้า พอเร่ิมตั้งหลักได้ เริ่มได้ผลิตภัณฑ์นาร่อง ก็เริ่มไปโรดโชว์ต่างประเทศ และไปได้รางวัลสินค้าอิน
โนเวชั่นท่ีฝร่ังเศส พอตั้งหลักได้ปีสองปีก็เข้าโควิดแล้ว แต่โชคดีที่บริษัทยังมีรายได้เติบโตต่อเน่ืองมา
ตลอด”
ในการทาการตลาด เมดิฟูดส์สะท้อนความคิดและความเช่ือขององค์กรผ่านช่ือแบรนด์ “ฮักปัน” ซ่ึง
หมายถึงความรักและการแบ่งปัน แบรนด์ฮักปันผลิตสนิ ค้าออร์แกนิกหลากหลายจากข้าวอินทรีย์ เช่น ข้าวสาร
พันธ์ุต่างๆ น้ามันข้าว ข้าวเติมวิตามิน อาหารเด็ก โจ๊กกึ่งสาเร็จรูป ผงข้าวกลอ้ งสกัด เคร่ืองด่ืมจากข้าว นมข้าว
โปรตีนสกดั จากข้าว แปง้ ขา้ วเจา้ เปน็ ต้น
“ในฐานะผู้ผลิตอาหาร หน้าที่หลกั ของเรา คอื สง่ มอบความปลอดภัย ซงึ่ เปน็ ความรบั ผิดชอบ
ท่ีเราอยู่ในฐานะหนึ่ง ของห่วงโซ่ ของวงจรอาหาร ความปลอดภยั ของอาหารคอื ฐานใหญ่ของการผลติ
อาหารในวันข้างหน้า ถ้าไทยจะดารงความมั่นคงทางด้านอาหารในเวทีโลก มันไม่ใช่แค่เรื่องปริมาณ
เพียงอย่างเดยี วแลว้ แต่เป็นเรอื่ งคณุ ภาพ ควบคู่กันไปดว้ ย
ท่ีโรงงานเราได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตอาหารสากล ไม่ว่าจะเป็น GHP, HACCP,
BRC เป็นต้น ใช้การตรวจทง้ั ระบบทางวิทยาศาสตร์ 100% ต้นทุนเพิ่มขึ้นก็จรงิ แต่ผ้บู ริโภคควรได้ส่ิง
เหลา่ น้ี ควรให้เขามน่ั ใจอาหารที่เขาทานอยูบ่ นโต๊ะ เรารู้สึกวา่ ไดแ้ บ่งปนั ส่งิ เหล่านใี้ ห้กบั ผูบ้ ริโภค
สูงสุดของมนุษย์คือการแบ่งปัน จะแบ่งปันกันได้ต้องเริ่มจากความรัก ถ้าเรารักใคร เราก็
อยากแบ่งปันอะไรดีๆให้เขา ผลิตภัณฑ์ของเราจึงผลิตด้วยความพิถีพิถัน เพ่ือมอบอาหารท่ีดีท่ีสุดให้
ผบู้ รโิ ภค และชว่ ยรักษาโลกใหย้ งั่ ยนื ไปพร้อมๆกนั ”
แรงกระเพอ่ื มสสู่ งั คมไทย -- ศนู ย์การเรียนร้แู ละรา้ นวสิ าหกจิ การเกษตรตน้ แบบ
จากการเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจแปรรูปเกษตรอินทรีย์ครบวงจรมา 10 ปี เมดิฟูดส์มีส่วนช่วยให้วงจรการผลิตอาหาร
ปลอดภยั ขยายตัวเพ่ิมมากข้ึน หลายคนเอาโมเดลของเมดิฟูดส์ไปคดิ และทาต่อท้ังรูปแบบโมเดลและทัศนคติเบื้องหลังการ
ทางานเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและสังคม และปัจจุบัน วรวัฒน์กาลังเร่ิมทาศูนย์เรียนรู้เก่ียวกับเกษตรอินทรีย์ครบ
วงจรที่ชัยภูมิ ซึ่งจะเป็นที่ที่ชาวนามาเรียนรู้เร่ืองการทาข้าวและการคัดแยกเมล็ดพันธ์ุที่ดี ชาวบ้านมาเรียนรู้เร่ืองการเพาะ
35
เชื้อเห็ด เด็กๆมาเรียนวาดรูป เรียนดนตรี และเป็นที่สร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รวมท้ังเป็นพื้นท่ีเรียนรู้ให้
ผู้คนมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลากผา่ นกิจกรรมท่ีหมุนเวียนเปลยี่ นไปในแต่ละสัปดาห์ และเป็นพ้ืนที่สาหรับการเรียนรทู้ าง
ธรรมดว้ ย
ขณะเดียวกัน เขาก็จะใช้พื้นที่เดียวกันน้ีเป็นที่ตั้งร้านวิสาหกิจชุมชนภาคการเกษตรท่ีมีผลิตภัณฑ์ดีๆจากหลาย
จังหวัดมาวางขายเป็นท่ีเชิดหน้าชูตาประเทศไทย ซึ่งเขาอยากทาเป็นร้านค้าต้นแบบ เพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลนาไปต่อ
ยอดท่ัวประเทศ
คณุ ธรรมอยใู่ นการทาหนา้ ที่ของมนุษยใ์ หส้ มบูรณ์
เม่ือมองย้อนกลับมาสารวจวัฒนธรรมภายในองคก์ ร วรวัฒน์เลา่ ถึงวัฒนธรรมองคก์ รของเขาว่า เกิดขึ้นโดยอาศัย
หลกั 3 ก. ได้แก่ มีความเกื้อกูล มีความเป็นกัลยาณมิตร และมีความก้าวหน้าไปด้วยกัน โดยเริ่มจากผู้นาองค์กรสามพี่น้อง
มีแนวความคิดสอดคล้องกัน และคอยช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน วัฒนธรรมแห่งความเกื้อกูลนี้ยังถูกใช้เป็นหลักใน
การดูแลพนักงานร้อยกว่าชีวิตที่อยู่กันเหมือนครอบครัว เหมือนพ่ีน้อง และเป็นหลักสาคัญในการทาการค้ากับพันธมิตร
ทางธรุ กิจดว้ ย ซ่ึงเป็นปจั จัยสาคญั ท่ีช่วยขบั เคลอ่ื นองคก์ รสเู่ ป้าหมายท่วี างไว้
“ผมมีครอบครัวท่ดี ีและเก้ือหนุนซ่งึ กนั และกนั พ่ีน้องสามคนเห็นรว่ มกันว่าสิ่งทีเ่ ราทาให้เป็น
ประโยชน์ต่อประเทศ ต่อบ้านเมือง ต่อผู้คน มันเป็นบุญกุศล เลยไม่มีความกดดันมากนักในชีวิต รู้สึก
ว่าเบาสบาย เราเดินตามแนวทางชีวิตท่ีเราวางภาพเอาไว้
ในบริษัท เราอยกู่ ันเหมอื นครอบครวั เล็กๆครอบครัวหนึ่ง ใครมอี ะไรชว่ ยกันไดก้ ็ช่วย ไมใ่ ช่แค่
ทาหน้าที่ใครหน้าที่มัน แต่ร่วมกันคิด ร่วมกันสร้าง ร่วมกันปกป้อง ร่วมกันสร้างสรรค์งานในแต่ละ
พืน้ ที่ที่ตัวเองรับผิดชอบ กอ็ ยู่กนั แบบเรียบงา่ ยทสี่ ดุ ดูอบอนุ่ แล้วท่นี ก่ี ็จะเติบโต
ผมอยากสร้างองค์กรด้วยความรัก และอยู่กันด้วยความรัก สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมให้เขา
ถ้ามีโอกาสก็พาเขาไปฟังธรรมบ้าง สอนเขาทางโลกทางธรรมคู่กันไป ให้เขาเกิดมีความสุขเหมือนท่ีนี่
เป็นบ้านทีส่ องของเขา ชว่ ยให้เขามคี ุณภาพชวี ติ ทท่ี าให้เขามสี ติปญั ญาในการครองชีวติ ตนเองมากข้นึ
ส่วนพันธมิตรทางธุรกิจของเมดิฟูดส์ เราไม่ได้มองว่าใครรวย แต่ถ้าจะเป็นเพ่ือนทางการค้า
มาคุยกันก่อนว่าเป็นกัลยาณมิตรกันได้มั้ย ถ้าเป็นไม่ได้ ไม่คบไม่ค้า เพราะค้าไปเด๋ียวก็ทะเลาะกัน ไม่
เกิดประโยชน์ ไม่เกิดความย่ังยืน พอเป็นมิตรที่ดีแล้วต้องเกิดการเกื้อกูล เราเก้ือกูลเขา เกื้อกูลซ่ึงกัน
และกัน แล้วเราควรมชี วี ติ ทีก่ า้ วหนา้ ด้วยกนั ”
36
เรื่องเล่าการเดินทางของเมดิฟูดส์ สอดประสานไปกับท้ังจังหวะภายนอกของกระแสโลก และจังหวะชีวิตภายใน
ของวรวัฒน์และพี่น้องครอบครัวบุญหลาย เป็นการเดินทางท่ีมีสัมมาทิฐิเป็นเข็มทิศนาทาง ทาให้วรวัฒน์ตระหนักถึง
ความสาคญั และงดงามของโอกาสอันมีค่าท่ีได้เกิดมาเป็นมนษุ ย์ และทาหนา้ ท่ีของตนใหด้ ที ส่ี ดุ ในโอกาสทไ่ี ด้รบั ดว้ ยความไม่
เบียดเบียน ในการทางานอย่างทรหดอดทนแบบไม่มีวันหยุดต่อเน่ืองมาหลายปี สัมมาทิฐิทาเขาต่ืนมาพร้อมคาขอบคุณส่ิง
ตา่ งๆรอบตวั ในทกุ เชา้ และสัมผัสไดถ้ งึ ความกลมกลนื เป็นเน้ือเดียวกันของธรรมชาตแิ ละการดารงชวี ิตในทุกวัน
“ผมสวมหมวกสองใบ หมวกความเป็นมนุษย์ กับหมวกธุรกิจ หมวกความเป็นมนุษย์คือ
คนเราต้องอยู่บนพ้ืนฐานแห่งธรรม ผมไม่เคยเห็นว่ามีเงื่อนไขอะไรท่ีจะสร้างให้องค์กรหน่ึง
มคี วามย่งั ยืนได้หากปราศจากหลักธรรม
ส่วนหมวกทางธุรกิจ เราต้องมองว่า โลกธุรกิจในทุกวันน้ี และวันข้างหน้า ต้องมองถึงเร่ือง
ความยง่ั ยนื ส่วนมากคนไม่ประสบความสาเรจ็ เพราะมองไม่ไกล ความสาเร็จในการงาน อยบู่ นพ้นื ฐาน
ของหลักอิทธิบาทสี่ คุณต้องมีความรักในการงาน ต้องมีความพากเพียร คุณต้องจดจ่อกับส่ิงที่ทา
สุดท้ายคุณต้องใคร่ครวญไตร่ตรองในการงาน แต่ท้ายท่ีสุดต้องกลับมามองจากตัวเราเองเป็นหลัก
มันไม่มีแบบแผนของใครท่ีสมบูรณ์ ที่จะทาให้เราประสบความสาเร็จได้หรอก มีเพียงเราที่ต้องสร้าง
และเรียนรดู้ ้วยตัวเอง
มนุษย์ทุกคนมีหน้าท่ียกระดับชีวิตของตนเอง ก้าวข้ามความขัดแย้ง ความแก่งแย่ง ความเอา
รัดเอาเปรียบ แต่ใครจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้หรอก สาหรับผม ผมเอง ภูมิใจกับการที่ได้ทาหน้าท่ีท่ี
สมบูรณ์ ซึ่งเป็นความตั้งใจในระหว่างที่มีลมหายใจ ผมเชื่อเร่ืองการสร้างคุณงามความดี สร้าง
คุณประโยชน์ เกบ็ เสบียงบญุ ไวใ้ นกระเปา๋ เพอ่ื เดนิ ทางตอ่ ไปในวนั ข้างหน้า
อนั ท่ีจรงิ แลว้ ชีวิตมนษุ ย์เราเรยี บงา่ ยมาก ชีวติ ไม่ไดย้ งุ่ ยาก เราต่างหากที่พยายามใช้ชวี ติ ให้
มันยุ่งยาก มนุษย์จึงควรตะหนักในสงิ่ ที่กระทา เพื่อให้เกิดประโยชนท์ ั้งตนเอง และผู้อื่น แค่น้ีเรา ก็นับ
ไดว้ ่า เป็นมนษุ ย์ทส่ี มบูรณ์แลว้
37
MR. RUIBIN YE
ซีอโี อและผู้ก่อตงั้ บริษทั ฮารโ์ มนี โกลบอล (ไทยแลนด)์ จากดั
“ผมเจอเมดิฟูดส์คร้ังแรกตอนไปโรดโชว์ เมื่อปี 2558 จบงานแล้วต่างคนต่างเก็บของ เพื่อนมาบอกว่ามีบริษัท
หน่ึงขายอาหารสุขภาพเกี่ยวกับข้าว ให้ไปดูหน่อย พอเจอกันก็เหมือนเจอญาติ มันสนิทกันโดยธรรมชาติ เจอคร้ังแรกก็จับ
ไมจ้ บั มือแบบว่าคือเหมอื นครอบครวั เลย
ตอนน้ันเมดิฟูดส์เพ่ิงเริ่ม บริษัทผมก็เพ่ิงเริ่ม หลังจากนั้นอีกสามส่ีปีกว่าจะได้ร่วมโปรเจ็กต์กัน ตอนนี้เราร่วมงาน
กันมาสามปี ซื้อเครื่องจักรไปแล้วหลายชุด จากท่ีให้เขาผลิตสินค้าหน่ึงตัว ตอนนี้สบิ กว่าตัวแล้ว เป็นสินคา้ คล้ายๆผงชงดื่ม
จากราข้าวโอต๊ เดอื นหนึง่ บางทีก็ส่งไปจนี สบิ กวา่ ตู้คอนเทนเนอร์ สนิ คา้ 80% ของผมผลติ ทเ่ี มดฟิ ูดส์
เมดิฟูดส์ไม่เคยทาข้าวโอ๊ต เขาทาไลน์ผลิตทุกอย่างให้ใหม่หมด ซ้ือเครื่องจักรใหม่หมดเลย ข้าวโอ๊ตเป็นวัตถุดิบที่
จดั การยาก มนั เหนยี ว ตอ้ งเครอ่ื งจักรเกรดพิเศษหนอ่ ย ต้องปรบั เครื่องนัน่ น่ี กว่าจะลงตัวผมก็ซัดกบั เอน็ จิเนียร์ทีจ่ นี อยสู่ อง
สามเดือนแค่เรื่องบดข้าวโอ๊ตไม่ให้คา้ งเครือ่ ง โรงงานในเมืองไทยท่ีบดข้าวโอ๊ตได้ละเอียดขนาดนี้ก็มีทเ่ี มดฟิ ูดสเ์ จ้าเดียว จุด
แข็งของเขาคือเขามีประสบการณ์การบดขา้ วมากอ่ น แต่พอรับงานเราเขาก็ตอ้ งเรยี นรู้ด้วย ถ้าลงทุนเครื่องจกั รแลว้ ใช้ไดไ้ ม่
ดีเงนิ ก็จม
แต่เมดิฟูดส์เขาไม่ได้เอากาไรมาเป็นเบอร์หนึ่งอยู่แล้ว จุดเด่นของเขาคือเหมือนเป็นครอบครัว แบบมีอะไรก็
ช่วยๆกันทาก่อนให้เสร็จ อย่างเคร่ืองจักรก็ลงทุนก่อน สถานที่ก็สร้างไปก่อนเลย ถ้าจะบวกลบคูณหารกาไรจะไม่ได้ทากัน
พอดี เพราะขาดทนุ แนน่ อน พก่ี บ (วรวฒั น)์ เปน็ อารมณแ์ บบลยุ ๆเหมือนเชอื่ ใจกันมากกว่า เราเชอื่ ใจกนั วา่ ถา้ เขาลงทุนไป
แลว้ เขาไม่กลัวเราทิง้ หรอื ทาครึง่ ๆกลางๆ มันเหมือนดใู จกนั มาพกั หนง่ึ แล้ว พอเชอ่ื ใจกันกไ็ ม่มอี ะไรตอ้ งคิดเยอะ
ช่วงแรกเราก็ช่วยเมดิฟูดส์หมดใจนะ ช่วยติดต่อโรงงานผลิตเครื่องจักร แล้วก็ซื้อมาให้ก่อนเลย แล้วทาสัญญาว่า
พอส่งของแลว้ กห็ กั ค่าเครอื่ งจักรไปเรื่อยๆ มนั เหมอื นเราก็ช่วยเขา เขาก็ช่วยเรา สองสามเดือนกไ็ มม่ ปี ญั หาแล้ว
เมดิฟูดส์ให้เราใช้สถานท่ีในโรงงานเขาด้วย เรื่องแบบนี้เกิดได้ค่อนข้างยาก แต่เขากลา้ ทา ทาแล้วเขาก็ไม่เสียดาย
เหมอื นเลอื กแบบค่คู รอง เวลาเลือกแลว้ คอื เลือกเลย คอื เกนิ ร้อย
ที่เราเข้ากันได้ดี ผมว่าเพราะพื้นฐานของครอบครัวเมดิฟูดส์เขามีธรรมมะประกอบอยู่ เขาจะดูคนเป็นหลัก แล้ว
ให้ความสาคัญกับคน ซึ่งตรงกับวัฒนธรรมของบริษัทผม ถ้าพูดภาษาธรรมะคือมีศีลท่ีค่อนข้างเสมอกัน ความสุขของ
ทีมงานของพนักงานต้องมาก่อน ผมเห็นคนในทีมงานของเมดิฟูดส์ก็ทางานกันแฮปปี้ดีนะ คือคนชัยภูมิหรือคนอีสานก็
คอ่ นข้างอารมณ์ดีอยูแ่ ลว้
ลองนึกภาพนะครับ คอื ครอบครัวเดิมเขาเป็นธุรกิจแบบคนจนี พนี่ ้องสามคนชว่ ยกันดแู ลธรุ กจิ ของครอบครวั จาก
โรงสขี ้าวก็ต่อยอดมาเป็นโรงงานท่มี ีการวิจัยแล้วก็นวัตกรรมเกี่ยวกับน้ามันราข้าวพวกน้ีออกมา ตอนนั้นผมถามว่าทาไมถงึ
38
ทาน้ามันราข้าว เขาบอกว่า แค่อยากมีน้ามันดีๆให้คุณแม่ได้กิน ให้มีสุขภาพแข็งแรงมากข้ึน จุดเริ่มต้นมันแค่อยากผลิต
สินค้าให้ที่บ้าน ซึ่งผมวา่ มันเป็นจุดเลก็ ๆทีจ่ ุดประกายนะ
วัฒนธรรมของเมดิฟูดส์เลยกลายเป็นเหมือนทางานกับคนในครอบครัว ท้ังโรงงานก็เหมือนครอบครัวเดียว เวลา
คนท่บี ้านอยากให้ชว่ ยอะไร ก็ช่วยแบบไม่ได้หวงั ผลอะไร เรียกว่าทางานแบบไมค่ ิดมาก ไม่ถอื สา ซ่งึ เมืองไทยหาบริษัทแบบ
นีย้ าก ผมเจอโรงงานมาเยอะ ยงั ไม่มีที่เหมือนเมดิฟูดส์เลย
ความตรงไปตรงมาในการทาธุรกิจก็เป็นเร่ืองสาคัญ ถ้าบริษัทที่มีคณุ ธรรมเหมือนกันมาเจอกัน แป๊บเดียวก็รู้เร่ือง
แต่ถ้าบริษัทที่เข้ียวมาก เอาแต่ผลประโยชน์ แป๊บเดียวก็โดนสกรีนออก เมดิฟูดส์ทาข้าวมาสามสิบปี เจอคนมาสารพัด แค่
นง่ั คุยกันช่วั โมงสองชัว่ โมงก็รู้เรื่องแลว้ ถ้าคนมาแบบไม่ค่อยดีมนั จะมอี ปุ สรรคให้เห็น เราจะเซ้นส์ได้ และมนั จะหยดุ เองโดย
อัตโนมตั ิ
จุดรว่ มของสองบรษิ ทั ผมว่าอยทู่ ่ีการอยากช่วยคน จดุ ประสงคห์ ลักคอื อยากใหค้ นมีสุขภาพดี พอเวลาเรามสี ภาวะ
จิตที่เป็นกุศล ทุกอย่างที่เข้ามามันจะพาไปด้านนั้น เมดิฟูดส์ก็อยากจะเปลี่ยนแปลงสังคม อยากให้สังคมได้สินค้าท่ีดี แล้ว
ชีวิตของสังคมก็ดีข้ึนอะไรอย่างน้ี จิตใต้สานึกในการทาธุรกิจมันไม่ใช่เงินแล้วนะ เราข้ามพ้นเร่ืองเงินไปนานแล้ว ถ้าจะทา
เพื่อใหไ้ ด้กาไร มนั มีวธิ ที าอยา่ งอื่นเยอะแยะ งานตรงนมี้ นั เหมอื นเราได้ความสขุ จากการที่เห็นคนมีสขุ ภาพดี”
นงคล์ ักษณ์ อศั วสกลุ ชัย
ประธานกลุ่มวสิ าหกจิ ชมุ ชนกลุม่ แปรรูปขา้ วตาบลบ้านผงึ้ (ข้าวสุข) อาเภอเมอื ง จงั หวดั นครพนม
“การทานาอนิ ทรยี ์เปน็ ทางรอดจรงิ ๆ เรากาหนดราคาและชีวติ ของเราเองได้ ถ้าทาเกษตรเคมอี ย่างไรกต็ อ้ งขึ้นกบั
ระบบการค้าท่ีถูกต่อรองด้วยพ่อค้าหรือโรงสีเป็นหลัก เขาเป็นคนช้ีว่าปีน้ีข้าวกิโลละเท่านี้ เราไม่มีทางเลือก แต่ถ้าเป็น
เกษตรอินทรยี ์ ถา้ เราไดร้ ับการรบั รอง เราสามารถไปขายให้บริษทั ที่เขาสนใจ และช้ีแจงเรือ่ งต้นทนุ ท่ีเราลงไป คา่ ใชจ้ า่ ยใน
การผลติ บวกค่าแรงของเรา เราเสนอราคาทีม่ ันมีที่มาทไ่ี ป บรษิ ทั ไหนรับได้เขากจ็ ะซ้อื เรา หรือถ้าคณุ ภาพไมไ่ ด้ก็ต่อรองกนั
ได้ อย่างน้อยเรามีทางเลอื ก เพราะบริษทั ท่ีตัดสินใจมาทาเกษตรอนิ ทรีย์ ส่วนหนึ่งเขามีความรบั ผิดชอบต่อโลกใบน้ีอยู่แล้ว
ไมอ่ ยา่ งนัน้ เขาไมเ่ ลือกทาเกษตรอนิ ทรยี ์หรอก เพราะเป็นงานทีย่ ่งุ ยากมาก
การทาเกษตรอินทรีย์อาจไม่ได้ร่ารวย แต่ที่เราได้มากกว่าความร่ารวยคือการมีสุขภาพดี เริ่มต้นที่ตัวผู้ผลิต ผู้ทา
เอง รู้สึกจริงๆว่าพอทาให้ชวี ติ เราดขี น้ึ แลว้ เหลือกินเหลือใช้แล้ว เรากส็ ่งมอบสุขภาพดีไปให้ผู้บรโิ ภค ถงึ แม้จะเปน็ สว่ นน้อย
นิดของโลกและของประเทศไทย แต่ว่าก็ไดท้ าแล้วในการเกิดมาคร้ังน้ี
39
วิสาหกิจชุมชนข้าวสุขเกิดมาตั้งแต่ปี 2552 จากการรวมกลุ่มเกษตรกร กลุ่มแม่บ้าน ในช่วงมีโครงการรับจานา
ข้าวของรฐั พอจะหมดโครงการ และข้าวราคาไม่สูงแล้ว เราเลยคิดหาแนวทางที่แตกต่างทา เราชอบเกษตรอินทรยี อ์ ยแู่ ล้ว
เลยชวนกลุ่มแม่บ้านละแวกตาบลบ้านผ้ึงมาทาเกษตรอินทรีย์ด้วยกัน จากปีแรก 19 คน ปีท่ีสองก็ 60 คน ปีที่สามก็ 290
คน ค่อยๆปรับเปลยี่ นจนได้มาตรฐานเกษตรอินทรยี ์รับรองเต็มตวั 100% เม่ือปี 2556 เราเลยสร้างแบรนด์ “ขา้ วสขุ ” ออก
ขาย แล้วเร่ิมไปออกบูธแสดงสินค้าตามท่ตี ่างๆ และเริ่มมีลูกค้าจากตา่ งประเทศมาติดต่อ จนปี 2561 เราก็มีโรงสีประมาณ
30 ตันต่อวันพร้อมระบบปรับปรุงคุณภาพ ก็เร่ิมรับออเดอร์ของผู้ส่งออกมากขึ้น เราทาการตลาดไปด้วย พัฒนาและวิจัย
เรื่องบายโพรดกั ตไ์ ปด้วย แล้วกผ็ ลติ ผลิตภณั ฑ์เพม่ิ เร่ือยๆ รวมท้ังสรา้ งระบบตรวจรับรองมาตรฐานตา่ งๆ
เราขยายวงเกษตรกรเพ่ิมมากข้ึนจนเป็นท้ัง 12 อาเภอในนครพนม เราทาระบบ ICS มีผู้ตรวจสอบภายในของ
ตัวเองแบบไขวอ้ าเภอ แล้วเชญิ ผตู้ รวจภายนอกมาตรวจแลว้ ออกมาตรฐานรบั รองให้ ไดท้ ัง้ ออรแ์ กนิกไทยไลนดแ์ ละออร์แก
นิกสากล พอหลังปี 2561 ก็เริ่มเป็นขายเป็นล็อตใหญ่ให้ผสู้ ่งออก รวมทั้งเมดิฟูดส์ด้วย สง่ ข้าวเปลอื กและข้าวสารบางส่วน
ให้เขา ส่วนในไทยมีขายอยู่ท่ีตลาด อตก. กรุงเทพฯ โซนตลาดอินทรีย์ และท่ีตลาดไทย โซนข้าวสารปลอดภัย ปัจจุบันมี
เครือข่ายใน 5 จังหวัด รวมมากกว่า 2,000 ครอบครัว คือ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร กาฬสินธ์ุ และอุบลราชธานี เป็น
เครือขา่ ยเกษตรอินทรยี ์ทีใ่ หญ่อนั ดบั ต้นๆของไทย
ถ้าพูดเร่อื งการคา้ ขายกบั เมดฟิ ดู ส์ ก็ต้องแบง่ เปน็ สองเรอ่ื ง เรอื่ งแรก การทาธรุ กจิ กค็ อื ธรุ กิจ คือต้องอยู่รอดทาง
ธุรกจิ การจะมีใจคุณธรรมมากนอ้ ยแคไ่ หนก็เปน็ ส่วนทเี่ ราจะเตมิ เข้าไปใหธ้ รุ กจิ นนั้ สวยงามขนึ้ สองคือความเป็นเครือขา่ ย
เชน่ นครพนมเป็นเครือข่ายกับเมดิฟูดส์ แลว้ ทาไมความเป็นเครือข่ายถงึ ย่งั ยืน เหมอื นกบั ท่ีถามว่า ทาไมความสมั พันธ์
วิสาหกิจชมุ ชนกบั เกษตรกรถงึ ยัง่ ยืน เพราะมนั มกี ารเก้ือกลู กนั คือท้ังใหไ้ ปและรับกลับ เมดฟิ ูดส์ทเี่ ป็นบริษทั ใหญ่อยู่แล้ว
เราเป็นวสิ าหกจิ ชุมชนซงึ่ เลก็ กวา่ แตเ่ ราก็ไม่ไดไ้ ปเอาจากเขาอยา่ งเดียว
ปกติทุกปีเมดิฟูดสจ์ ะเป็นคนซื้อข้าวเรา แต่เม่ือไหร่ที่เราจะขายสนิ ค้าประเภทเดียวกันกับเมดิฟูดส์ เช่น น้ามันรา
ข้าวสกัดเย็น ซึ่งเมดิฟูดส์ลงทุนทาโรงงานไปสามร้อยกว่าล้าน ซ่ึงกลุ่มเราเคยทาโดยเคร่ืองหนีบราข้าวราคาสองแสน
เพราะฉะนั้นคณุ ภาพจะต่างกันมากเลย ถ้าเราดันทุรังทากจ็ ะขายได้ราคาถูก แต่ถ้าเราเลง็ ที่คุณภาพท่ีประเสริฐมากสาหรับ
ผบู้ ริโภค เราจะหยุดผลิต แล้วไปซ้ือของมาขายเลย ก็เป็นการช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ว่าเราขายให้เขาอย่างเดียว แต่เราซ้ือของ
เมดิฟูดส์กลับมาขายด้วย น้ามันราข้าวของเมดิฟูดส์ขายดีมาก เราเอามาขายให้เขาในราคาท่ีไม่ได้บวกกาไรมาก สมาชิก
ชาวนาเราก็สามารถกินน้ามันราข้าวได้ในราคาไม่แพงหมือนที่เขาขายในท้องตลาด เพราะเขาก็คดิ ราคาทุนให้ หรือบวกไม่
มาก
ทุกคร้ังท่ีเราขายข้าวเปลือกให้เมดิฟูดส์ เขาอาจซ้ือไปเยอะมากตอนต้นปี แต่บางทีลูกค้าผู้ส่งออกอยากได้ข้าว
แล้วข้าวในกลุ่มของเราเหลือไม่พอ เราจะไปซื้อกลับจากเมดิฟูดส์ หรืออย่างปีนี้ เราได้รับการจัดสรรโควต้าข้าวอียูจาก
กรมการค้าต่างประเทศ 900 กว่าตันนะคะ ซึ่งเยอะกว่าปกติมาก ซ่ึงถ้าเราจะไปศกึ ษาเรอ่ื งการส่งออกคงไมท่ นั เวลา เราจงึ
ตดั สินใจขายข้าวใหผ้ ู้สง่ ออกหรือแปรรูปข้าวให้ดที สี่ ดุ ให้ทาเรื่องสง่ ออกไปอยี เู ลยดีกวา่ เลยมอบสทิ ธ์ิให้เมดิฟูดสไ์ ป 800 ตนั
กเ็ ปน็ การเกื้อกลู กันและเกิดความยงั่ ยืน
40
4.3 โรงเรยี นมชี ัยพัฒนา
การศกึ ษาเพื่อพัฒนาคนและสังคม
บนฐานของความสขุ ร่วมกัน การแบง่ ปัน และมติ รไมตรี
“สิ่งน่คี อื Change maker ผู้ทเ่ี ปลย่ี นแปลงสงั คม ทกุ คนทาไดห้ มด
ไม่จาเปน็ ตอ้ งเปลยี่ นในหน่งึ ตารางเมตร หน่งึ ตารางนวิ้ ก็ได้
แต่ต้องมอี ะไรบางอย่างในชวี ติ รอบตัวทเี่ ราทาใหด้ ีข้นึ ”
มชี ยั วรี ะไวทยะ
ผูก้ ่อตัง้ โรงเรียนมีชัยพัฒนา และประธานมูลนธิ ิมชี ัย วีระไวทยะ
ความสร้างสรรคใ์ นบรรยากาศท้งั หมด
โรงเรียนมีชัยพัฒนา หรือ “โรงเรียนไม้ไผ่ – Mechai Bamboo School” ตั้งอยู่ท่ีอาเภอลาปลายมาศ จังหวัด
บุรีรัมย์ ก่อตั้งเม่ือ พ.ศ. 2552 โดยมีชัย วีระไวทยะ เป็นโรงเรียนประจาท่ีเปิดรับนักเรียนจากท่ัวประเทศเข้าศึกษาใน
ระดับชนั้ ม.1 ถึง ม.6 ปัจจบุ นั (ปีการศกึ ษา 2564) มนี ักเรยี น 167 คน และครู 16 คน กองทุนประชากรแหง่ สหประชาชาติ
(UNFPA) กล่าวว่า โรงเรียนมีชัยพัฒนาเป็นโรงเรียนท่ีมีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และ
คณะกรรมการสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ประเมินคุณภาพ
โรงเรียนอยู่ในเกณฑด์ ีเยี่ยม ซ่ึงเป็นผลประเมินขั้นสงู สุดทง้ั 3 ด้าน ได้แก่ ด้านคุณภาพผู้เรียน ด้านกระบวนการบรหิ ารและ
การจัดการ และดา้ นกระบวนการการจัดการเรียนร้ทู ่เี น้นผู้เรียนเปน็ สาคญั
ชื่อ “โรงเรียนไม้ไผ่” มาจากการใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลักในการสร้างสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นแปลกตา เร่ิมจาก
ทางเข้าโรงเรียนท่ีเป็น “ประตูควาย” แสดงถึงความโง่เขลา การเข้ามาเรียนตอนเช้าก็เปรียบเหมือนการเดินผ่านอวิชชา
เม่ือก้าวเข้าสู่ภายในโรงเรียนจะพบสะพานไม่ไผ่ เรียกว่า “สะพานเสมอภาค” มี “ศาลแผ่เมตตา” ที่ให้นักเรียนอธิษฐาน
“แบ่งปัน” จิตใจท่ีดีให้สงั คมและประเทศชาติแทนการสวดอ้อนวอน “ขอ” จากสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ มี “Geodesic Dome” หรือ
โดมไม้ไผ่ใหญ่ที่สดุ ในโลก ขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลาง 30 เมตร เป็นอาคารเอนกประสงค์สหรับทากิจกรรมต่างๆของนักเรียน
เช่น เคารพธงชาติ เล่นกีฬา และการต้อนรับคณะศึกษาดูงาน เป็นต้น ภายในโรงเรียนมีการทาสีสันสดใส ท้ังอาคารเรียน
ขอบทางเดิน แปลงเกษตร และต้นมะพร้าว เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และปลุกความคิดนอกกรอบด้วยบรรยากาศ
ทวั่ ไปทีอ่ วลด้วยความสนกุ และชีวิตชีวา
41
ความแปลกประหลาดระดับนวัตกรรมที่ร่าเริงและเปิดกว้างของโรงเรียนยังมีอีกหลายอย่าง เช่น โรงเรียนไม่เก็บ
คา่ เทอมเป็นเงิน แต่ให้ผู้ปกครองและนักเรียนร่วมกันจ่ายคา่ การศกึ ษาด้วยการทาความดีปีละ 800 ช่ัวโมง และปลูกต้นไม้
ปีละ 800 ต้น เครื่องแบบน่ารักของนักเรียนเป็นเสื้อเชิร์ตขาวประดับลายผา้ ขาวม้าสะท้อนอัตลักษณ์วัฒนธรรมภาคอีสาน
กระเป๋าเส้ือสีสันแตกต่างกันไปในแต่ละช้ันปี ผู้ชายสวมกางเกงขาส้ันกรมท่า ส่วนผู้หญิงสวมกระโปรงกางเกงหรือ “กระ
เปรง” ขาสนั้ ที่ช่วยใหเ้ คล่อื นไหวคล่องตวั และดูนาสมัย ในเดือนศลิ ปะของแตล่ ะปี เดก็ ๆจะย้อมสีผมไดอ้ ย่างอิสระเป็นเวลา
1 เดือน และสามารถแต่งตัวตามรสนิยมทางเพศที่หลากหลายของตนได้ทุกวันหยุด โรงเรียนเน้นกิจกรรมหลากหลายที่
สร้าง empathy หรือความสามารถไปน่ังในใจคนอ่นื จนเกดิ ควาเขา้ ใจและกรุณา เช่น การน่ังวีลแชร์ทางานเกษตรเดอื นละ
1 วัน เพื่อเป็นตัวอย่างในการสร้างรายได้สาหรับผู้มีความบกพร่องทางด้านร่างกาย อดอาหารเย็นทุกวันเสาร์ เพื่อรับรู้ถึง
ความลาบากและมแี รงบนั ดาลใจอยากช่วยเปล่ียนแปลงสังคม เดก็ ผูห้ ญิงพากนั พกถุงยางอนามยั อย่างสบายใจ พรอ้ มอวดผู้
มาเยอื นด้วยวา่ พวกเธอใช้ถงุ ยางขัดรองเทา้ นักเรียนได้เงากวา่ กีว่ีเสียอีก แถมไมด่ าเลอะเทอะถงุ เทา้ ดว้ ย
บรรยากาศเหล่าน้ีกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ เรียนรู้ถึงความม่ันคงในตัวเอง และการไม่
ตัดสนิ คนจากภายนอก ทั้งหมดเป็นไปเพ่ือมุ่งสู่เป้าหมายของโรงเรียน คอื การสร้างคนท่ีดี และเป็นท่ีพึ่งได้ทั้งสาหรบั ตนเอง
และผูอ้ น่ื
“เป้าหมายในการสร้างโรงเรียนคือ เราต้องการสร้างนักเรียนให้เป็นคนดี มีความซ่ือสัตย์
แบ่งปนั เป็น สง่ เสรมิ ความเสมอภาค เคารพสทิ ธขิ องผู้อ่ืน มีท้ังทักษะชวี ิตและทกั ษะอาชพี มคี วามเห็น
ใจและเข้าใจผู้ท่ีมีโอกาสน้อยกว่า เป็นคนดีท่ีมีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่พบเจอ ค้นคว้าหา
คาตอบเปน็
เป้าหมายของโรงเรียนคือ ต้องการให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและ
รายไดข้ องทุกๆคน”
ภทั รานิษฐ์ ขาวสุข (เปรีย้ ว) นักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6
เด็กๆที่รักการเรียนรู้ กับโรงเรียนที่บ่มเพาะพวกเขาให้เติบโต
นักเรียนของมีชัยพัฒนามาจากพ้ืนที่ท่ัวประเทศ หลากหลายชาติพันธ์ุ เช่น ม้ง มอญ กะเหรี่ยง อาข่า และลาหู่
รวมท้งั จากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว เมียนมาร์ กมั พชู า และเวียดนาม ท่ามกลางความหลากหลายเหลา่ นี้ สง่ิ ทีเ่ ป็นจดุ
ร่วมกันคือ แต่ละคนเลอื กที่จะมาเรียนที่น่ีด้วยตัวเอง รวมทั้งได้รับการคัดเลือกผ่านกระบวนการสัมภาษณ์ที่ให้ความสาคัญ
กับมุมมองและทัศนคติมากกว่าความเก่งทางวิชาการ มีความต้องการเรียนนรู้นอกห้องเรียน ผ่านการลงมือทาจริง สนใจ
การทางานเพื่อสังคม ต้องการมีทักษะอาชีพในการพ่ึงพาตนเองได้ มีความเข้มแข็ง เรียนรู้และสามารถปรับตัวในการ
พ่งึ ตนเองได้
42
“สภาพแวดล้อมต่างๆในโรงเรียน หรือแค่อาคารเรียนก็ไม่เหมือนโรงเรียนทั่วไปท่ีเคยเรียนมา
ตั้งแต่ชั้นประถม ซ่ึงมีแต่ตึก พอเห็นแล้วรู้สึกประทับใจและอยากเรียนท่ีน่ีเลย พอมาเรียนรู้จริงๆว่า
ระบบโรงเรยี นเป็นยังไงกร็ สู้ กึ ตรงกบั ตัวเอง เพราะเนน้ ไมใ่ ชค่ นท่ีชอบเรียนด้านวชิ าการเป็นหลักอยู่แลว้ ”
ชรัญญกร อตุ สา่ ห์ (เน้น) นักศกึ ษาสาขาวศิ วกรรมซอฟต์แวร์
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“ตอนแรกที่เข้ามาโรงเรียน มีพ่ีๆทาเกษตรอยู่หน้าโรงเรียน เขาสวัสดีผู้ปกครองหนู หนูก็
สวสั ดพี ีเ่ ขา ไม่ค่อยมโี รงเรียนไหนท่เี ราไม่ร้จู ักกนั แล้วเดินไปจะสวสั ดกี นั อย่างน้ี เป็นสงิ่ แรกที่ประทบั ใจ
มากๆ แล้วพอได้ศึกษาเร่ืองเก่ียวกับโรงเรียนเยอะข้ึน รู้สึกว่าเป็นโรงเรียนท่ีน่าสนใจมาก อยู่โรงเรียน
ขา้ งนอกแค่ไปโรงเรียนแลว้ กลบั บา้ น เราได้แค่ความรู้ที่อยู่ในหนงั สอื และในห้องเรยี น แตอ่ ยู่น่เี ราจะได้
ประสบการณ์ต่างๆ ได้ลองทาอะไรใหม่ๆ ได้ลงมือทาจริงๆ ซึ่งหนูรู้สึกว่าได้อะไรมากกว่าการเรียนใน
หนังสอื เป็นสง่ิ ทีจ่ าเปน็ ทเี่ ราควรรู้ และเรานา่ จะต้องการใช้ในอนาคต
หนูอยากมาท่ีนี่มาก ผู้ปกครองก็พามาสมัคร สัมภาษณ์ พอได้แล้วแม่ก็บอกว่ามันไกลบ้าน
จะไปจรงิ ๆม้ยั ตอนน้ันยงั เด็กอยู่ แลว้ กเ็ ป็นลกู คนเดียว แมไ่ มค่ ่อยอยากให้ไป แม่หว่ งวา่ จะอย่ไู ม่ได้ หนู
บอกว่าหนูจะมา พอมาอยู่สักพักแม่ก็บอกว่าไม่ต้องออก อยู่น่ีไปจนจบ ม. 6 เลย แม่ก็ชอบ เราก็ชอบ
ทไี่ ด้เรยี นรแู้ ล้วกท็ าอะไรหลายอย่างเอง”
ภทั ราวดี แคนสี (ทราย) นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6
“หนูอยากเรียนเพราะที่นี่สอนแนวคิดต่างๆท่ีโรงเรียนข้างนอกไม่เคยมองเห็น เช่น ปัญหา
ความเหลื่อมล้า หรือการช่วยเหลือชุมชนรอบๆโรงเรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน นอกจากสอนใน
หลักสูตรรายวิชาต่างๆแล้ว ยังสอนทักษะเกษตร ซ่ึงเป็นทักษะที่สามารถอยู่กับเราได้ตลอด นอกจาก
จะทาให้เรามีกินแล้ว ยงั สรา้ งรายไดท้ ่งี ดงามใหเ้ ราอีกดว้ ย”
วนสิ า วรรณะใจ (ววิ ) นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6
ในกระบวนการคัดเลือกนักเรียนใหม่ โรงเรียนให้รุ่นพี่มีส่วนร่วมในการสัมภาษณ์นักเรียนและผู้ปกครอง เพ่ือ
ประเมนิ ความคิดและทัศนคตวิ า่ มคี วามสอดคลอ้ งกบั โรงเรียนมากนอ้ ยเพยี งใดดว้ ย
“โรงเรียนของเราต้องการนักเรียนที่มีทัศนคติในทางที่ดี เช่น เป็นคนดี สามารถร่วม
รับผิดชอบสงั คมได้ เรยี นรู้พัฒนาตนเองและปรบั ตัวให้เขา้ กับสถานการณ์ปัจจุบัน เวลาที่น้องได้มาอยู่
43
ที่โรงเรียนนี้ ก็จะเข้าใจในความหมายของคนดีมากขึ้น คือคนดีมีได้หลากหลาย เช่น ไปช่วยเหลือ
ชุมชน ไปแก้ไขหรอื พฒั นาสิ่งท่ชี ุมชนตอ้ งการใหม้ ากขึน้ น้องๆจะได้เหน็ ภาพในมมุ ทีก่ วา้ งมากขึ้น”
ณฐมล แก้วสระแสน (ลูกหมี) นกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 6
“การมาเรียนท่ีโรงเรียนจะต้องปรับตัวเข้ากับคนท่ีไม่เคยรู้จักจากหลายพ้ืนท่ีและวัฒนธรรม
จาเป็นเป็นอย่างยิ่งที่น้องๆจะต้องปรับตัวเข้ากับเพ่ือนๆ เราจะดูจากทัศนคติและแนวคิดของน้องๆ
ก่อน ว่าตรงกับบริบทและกฎตา่ งๆของโรงเรียนหรือไม่ โรงเรยี นของเรามีการทาเกษตร ใช้โทรศัพทไ์ ด้
ใชแ้ ค่อาทิตยล์ ะหนึ่งชั่วโมง ผู้ปกครองมาเยย่ี มไดแ้ ค่เดอื นละหน่งึ ครงั้
มีการทาข้อสอบวัดความรู้พ้ืนฐานดว้ ย แต่มีผลนอ้ ยมากในการประเมิน และมกี ารปฏิบตั ิ เมอื่
น้องๆเข้ามาโรงเรียน เราจะสังเกตพฤติกรรมของน้องๆว่าสามารถเข้ากับรุ่นพ่ีในโรงเรียนหรือเพื่อน
ใหมไ่ ด้หรือไม่ และมที ักษะการใช้ชวี ติ เป็นอย่างไร”
วนิสา วรรณะใจ (ววิ ) นกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6
“เราดูด้วยว่าน้องอยากจะมาโรงเรียนของเราจริงๆ มีความพร้อมที่จะมาเรียนและพัฒนา
ตวั เอง”
ภัทราวดี แคนสี (ทราย) นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 6
เมื่อผ่านกระบวนการคดั เลือกแล้ว นักเรียนจะได้รับการบ่มเพาะผา่ นการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นนักเรียนเป็น
ศูนย์กลาง ฝกึ ฝนกระบวนการคิดวิเคราะห์ กระบวนการทางานกลุม่ และบูรณาการความรู้เข้ากับชีวิตจริง ซึ่งเป็นทักษะท่ี
สาคัญและจาเปน็ สาหรบั คนรนุ่ ใหม่
“โรงเรียนของเราส่งเสริมความคิดนอกกรอบ เลยไม่จากัดว่าห้องเรียนจะต้องจัดโต๊ะแบบ
ไหน แต่ละห้องสามารถออกแบบชั้นเรียนของตัวเองได้ตามต้องการ มีการส่งเสริมให้นักเรียนทา
การบ้านเป็นกลุ่ม เพราะในอนาคตเราต้องทางานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการทางานเป็นกลุ่มมีความจา
เป็นมาก
ที่น่ีฝึกให้นักเรียนคิดแล้วตั้งคาถามให้คุณครูหาคาตอบ หรือคุณครูให้คาตอบมาแล้วให้
นักเรียนแต่งคาถาม เพราะในหน่ึงคาถามสามารถตอบได้หลายคาตอบ แล้วก็ในหนึ่งคาตอบสามารถ
ถามไดห้ ลายคาถาม
44
โรงเรียนต้องการสร้างนักเรียนให้เป็นคนดีและมีวินัย นักเรียนต้ังแต่ ม.1-ม.4 จะได้ใช้
โทรศัพท์แค่ 1 ช่ัวโมงต่อสัปดาห์ ในการใช้โทรศัพท์จะต้องเขียนจดหมาย 3 ฉบับ แต่ละฉบับใช้ระดับ
ภาษาทีแ่ ตกตา่ งกันไป ซึ่งสามารถบูรณาการไปยังรายวชิ าภาษาไทยได้ดว้ ย”
ภัทรานษิ ฐ์ ขาวสขุ (เปรีย้ ว) นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6
สิ่งที่โรงเรียนมีชัยพัฒนาให้ความสาคัญอย่างย่ิงคือการจัดกระบวนเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในพ้ืนที่ทุก
ส่วนของโรงเรียนอย่างซื่อสัตย์และโปร่งใส โดยเข้าร่วมเป็น “คณะมนตรีโรงเรียน” ซ่ึงเป็นคณะทางานที่ทาหน้าที่บริหาร
จัดการและตัดสินใจเร่อื งสาคัญ เช่น การตรวจสอบงบประมาณ รายรับรายจ่าย และสิ่งต่างๆทเ่ี กย่ี วกบั การพัฒนาโรงเรยี น
ให้ดียิ่งข้ึน โดยแบ่งเป็น 10 คณะทางานย่อย เช่น คณะจัดซ้ือ หากโรงเรียนจะซ้ือรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ คณะจัดซ้ือมี
หน้าที่สารวจราคาและสภาพของในตลาด จนถึงการซ้ือของเข้าโรงเรียน โดยนักเรียนเป็นผู้หาข้อมูลเก่ียวกับรถย่ีห้อต่างๆ
แลว้ ประชมุ กนั ว่าจะซือ้ ย่ีหอ้ ไหน สอี ะไรคะ่ โดยมผี ูม้ คี วามรู้คอยชว่ ยเหลือแนะนา
นอกจากร่วมเป็นคณะมนตรีโรงเรียนแล้ว นักเรียนยังได้เข้าร่วมในกิจกรรมอื่นๆของโรงเรียนอย่างเต็มท่ี เช่น
ช่วยกันรับผดิ ชอบทาความสะอาดโรงเรียนเอง เพราะโรงเรียนไม่มีภารโรง เป็นผ้ตู ้อนรับ ดูแล และให้ข้อมูลต่างๆกับคณะ
ศกึ ษาดูงาน และมีสว่ นสาคญั ในการคัดเลือกและประเมนิ คุณครูด้วย
“คุณครูบางท่านมีความรู้ความสามารถมาก แต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาให้นักเรียนเข้าใจ
ได้ ตอนสัมภาษณ์จึงให้คุณครูสาธิตวิธีการสอน และหลังจากที่คุณครูได้มาสอนแล้ว เราจะมีการ
ประเมินคณุ ครวู า่ มีตรงไหนท่ีตอ้ งพัฒนา ตรงไหนที่เป็นข้อดขี อ้ ดอ้ ย”
ภทั รานษิ ฐ์ ขาวสุข (เปรย้ี ว) นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6
นักเรยี นมชี ัยพฒั นามภี าระหนา้ ท่หี ลากหลาย ทั้งการเรียนวชิ าการปกติ การทาธุรกจิ เพอื่ สังคม การรับผดิ ชอบงาน
บริหารโรงเรียนในคณะมนตรีโรงเรียน งานพัฒนาสังคมในชุมชนรอบโรงเรียน อีกท้ังต้องอยู่ร่วมกับเพ่ือนท่ีมาจากต่างถ่ิน
ทาให้เด็กๆได้รับการบ่มเพาะผ่านอุปสรรคและบททดสอบอันหลากหลาย ซ่ึงช่วยหล่อมหลอมให้พวกเขาพัฒนาความ
เข้มแข็งและความเป็นผู้ใหญ่ทั้งความคิดและจิตใจ ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวเข้ากับผู้คนได้ดี มีความเป็นผู้นาสงู อดทน
ตอ่ ความยากลาบาก เนน้ การเรียนรผู้ า่ นการปฺฏบิ ัติจริง และมจี ติ สานกึ ในการทางานเพอื่ พัฒนาสงั คม
“ช่วงที่หนูเข้ามา ม. 1 ตอนน้ันไม่ได้ติดโทรศัพท์ ไม่ติดเพ่ือน แล้วก็ไม่ติดที่บ้าน รู้สึกว่าตอน
วัยเด็กเป็นช่วงท่ีเราพร้อมจะพัฒนา เราสามารถปรับตัวได้ง่าย ท้ังพูดคุยกับเพ่ือนและเจอคนใหม่ๆ
ส่วนที่ยากจะเป็นการไม่ได้เจอผู้ปกครองเลย ต้องใช้ชีวิตเองทุกอย่าง และไม่ได้ใช้โทรศัพท์ หลายๆ
เร่อื งเราต้องตดั สนิ ใจเองหมดเลยโดยทไ่ี มม่ ผี ู้ปกครองคอยใหค้ าปรึกษา”
ภทั ราวดี แคนสี (ทราย) นกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6
45
“สง่ิ ท่ีหนูคดิ ว่ายากคือการแบ่งเวลา เราต้องเรยี นแล้วกท็ ากจิ กรรมหลายๆอย่าง ต้องควบคุม
ตัวเองให้ได้ มีความรับผิดชอบสูง และต้องแบ่งเวลาให้เป็น เราจะเรียนเหมือนโรงเรียนทั่วไปช่วงเช้า
วันจันทร์ถึงศุกร์ ส่วนการทากิจกรรมต่างๆหรือออกสารวจชุมชนจะนัดกันวันหยุดเสาร์อาทิตย์
โรงเรียนสอนเร่ืองการแบ่งเวลาและความรับผิดชอบต่างๆ ทาให้ผลการเรียนของเราสู้โรงเรยี นปกตไิ ด้
แน่นอนค่ะ ผลโอเน็ตปีท่ีแล้ว (พ.ศ. 2563) ได้ผลเฉล่ียเยอะกว่ามาตรฐานของประเทศ และมีรุ่นพี่ได้
เกยี รตนิ ิยมหลายคน”
ภทั รานิษฐ์ ขาวสขุ (เปรีย้ ว) นักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 6
“แต่ละคนเข้ามา ม. 1 ก็จะมีพื้นฐานแตกต่างกัน ไม่ใช่ทุกคนจะเข้ากันได้เลย ต้องมีการ
พูดคุยแล้วก็เรียนรู้กันไป สิ่งท่ีทาให้ผา่ นมาได้ก็คือ โรงเรียนทาให้เราฟังความคดิ เห็นมากกว่าไปตัดสนิ
ว่าส่งิ ท่ีเราคิดถูกหรอื ผดิ เราก็จะเรยี นรจู้ ากเพ่ือนไปด้วย แลว้ กท็ าใหเ้ ราอยดู่ ้วยกนั ได้จนจบ ม. 6
ด้วยความที่เราอยู่โรงเรียนประจา แล้วอยู่ด้วยกันตลอดเวลา มันต้องน่ังคุยกัน ถึงแม้จะมี
ความคดิ เห็นไมต่ รงกนั เราก็ต้องพูดตามความคิดเหน็ ทเ่ี รามีโดยไมไ่ ด้ทาร้ายอกี ฝา่ ยมากเกนิ ไป”
ชรัญญกร อตุ สา่ ห์ (เน้น) นกั ศกึ ษาสาขาวศิ วกรรมซอฟต์แวร์
คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
“โรงเรียนเราเน้นให้ปฏิบัติจริง ได้เจอหลายอย่าง ความโชคดีของนักเรียนที่นี่คือ เขาได้
ทดลองทาทุกอย่างในช่วงเป็นเด็ก แทนท่ีจะไปทาในช่วงผู้ใหญ่ ทาให้ตอนอยู่มหาวิทยาลัยไม่
จาเป็นต้องไปเรียนรู้ใหม่ สามารถใช้โอกาสนั้นทาอย่างอื่นกับคนอ่ืนได้เลย อย่างหนูมีโอกาสเข้าร่วม
โปรแกรม Genius Leadership Program ของรางวัลแมกไซไซ ซ่ึงเป็นโปรแกรมอบรมเยาวชนท่ี
สนใจจะเป็นผู้นา ทาให้หนูไปเจอกับเพื่อนต่างชาติท่ีเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกัน เรารู้สึกว่าสามารถ
ปรับตวั เขา้ กับเขาได้ รวู้ ่าจะต้องเรยี นรู้ยังไง รวู้ ่าต้องพูดอะไรกับเขา”
จิตตินี คามนิ ทร์ (นุ่น)
นกั ศกึ ษาหลกั สตู ร Pre-degree สาขาผปู้ ระกอบการสงั คม
หลักสตู รศิลปศาสตรบัณฑิต สถาบันอาศรมศลิ ป์
“พอเรียนจบปุ๊บ หนูกับนุ่นไปเรียนหลกั สตู รพรีดีกรี เลยไม่ได้เข้าระบบมหาวิทยาลยั ปกติ ไม่
คอ่ ยไดใ้ ชช้ วี ิตแบบนักศกึ ษาทัว่ ไป แต่เราทุม่ เทในการลงพ้นื ท่ีไปทาโครงการตา่ งๆในชมุ ชน ทาให้เราได้
46
พัฒนาศักยภาพตัวเอง และรู้สึกว่ามุมมองของเราเริ่มเติบโตขึ้นเร่ือยๆจากการได้ทดลองทางานจริง
ร่วมกับชุมชน
การท่ีเราไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย ทาให้มีโอกาสไปต่างประเทศจากโครงการต่างๆที่มีคนมา
เสนอให้โรงเรยี นมีชยั หนูกับนุ่นเคยไปออสเตรเลยี และอินเดีย ที่อินเดียเราสองคนไปอบรมเก่ยี วกับโซ
ล่าเซลล์ คนที่ไปมีแต่แม่ๆจากทั่วประเทศ พวกหนูเป็นเด็กอายุน้อยที่สุด ช่วงแรกเรารู้สึกว่า ฉันจะ
ปรบั ตัวเขา้ กบั แม่ๆได้ไหมนะ
ด้วยสภาพความเป็นอินเดียมันลาบาก พอไปก็ลาบากจรงิ ๆ แต่การที่เราอยโู่ รงเรียนมีชัยแลว้
ออกไปพบปะชุมชนก็ทาให้พวกหนูปรับตัวได้ เราได้ลงพื้นท่ีสารวจชุมชนอินเดีย ทาความรู้จักคนใน
ชุมชน ดูวิถชี วี ิตความเปน็ อยู่ เราปรับตวั ได้ไวกว่าปกติเพราะมปี ระสบการณเ์ หลา่ น้นั มาแล้ว แลว้ กเ็ ปน็
ที่รกั ของแม่ๆที่อนิ เดียด้วย”
ณฏั ฐา ชัยโชตกจิ (ณัฏ)
นกั ศกึ ษาหลักสตู ร Pre-degree สาขาผปู้ ระกอบการสงั คม
หลกั สตู รศลิ ปศาสตรบัณฑติ สถาบันอาศรมศลิ ป์
นอกจากการทางานชุมชนในช่วงเปิดภาคเรียนแล้ว ตอนปิดเทอมนักเรียนยังมีโอกาสฝึกประสบการณ์ทางานจริง
ในภาคธุรกิจกับบริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ คนท่ีสนใจงานบริการจะไปฝึกงานที่บริษัทอิเกียและดีแคทลอน คนสนใจเร่ือง
เคร่ืองด่ืมจะไปฝึกงานท่ีบริษัทเชลล์ ทรูคอฟฟ่ี หรืออินทนิลคอฟฟ่ี ใครสนใจด้านอาหารจะฝึกงานท่ีร้าน Cabbage &
Condom ของสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน ซึ่งมี 2 สาขาท่ีพัทยาและกรุงเทพ ส่วนคนอยากทาธุรกิจการเกษตรกจ็ ะ
ฝกึ งานท่ีโรงเรียนมชี ัยพัฒนา
โรงเรียนทสี่ ร้างผู้ประกอบการสงั คมและผเู้ ปล่ียนแปลงสงั คม
การศึกษาเพ่ือการเปล่ียนแปลงควรเช่ือมโยงกับปัญหาท่ีสังคมกาลังประสบอยู่ โดยเฉพาะในชนบทที่ต้องเผชิญ
ปัญหาหน้ีสินเร้ือรังจากวงจรการเกษตรที่ไม่เป็นธรรม และคนหนุ่มสาวพากันท้ิงถิ่นอพยพไปเรียนและทางานในเมือง
โรงเรียนมีชัยพัฒนาจึงมีแนวคดิ บ่มเพาะนักเรียนให้เป็นผปู้ ระกอบการสงั คม (Social Entrepreneur) ใน “ธุรกิจแบ่งปัน”
ผ่านการเรียนรู้ปัญหาภายในชุมชนและลงมือปฏิบัติงานจริง เพ่ือสร้างโอกาสให้นักเรียนได้สร้างสรรค์และพิจารณา
ดาเนินการเอง คิดเอง แนะนาเอง โดยโรงเรียนสนับสนุนความรู้และจัดต้ังกองทุนออมเงินให้นักเรียนที่เร่ิมทาธุรกิจ
การเกษตร โดยนักเรียนต้องเขียนแผนธุรกิจเพื่อนาเสนอกู้เงนิ กับกองทุน ดาเนินธุรกิจเอง และนากาไร 30% ไปช่วยเหลอื
สังคมและทากจิ กรรมเพ่อื สงั คม ทาให้ได้เรยี นรกู้ ารบูรณารายวิชาต่างๆในการทาธรุ กิจ มรี ายไดพ้ ึ่งตนเอง มีจิตวญิ ญาณของ
47