ป.1 การเรียนรู้แบบบูรณาการคุณธรรม ตามคุณค่าพระวรสาร
การปลูกฝังคุณค่าพระวรสารในโรงเรียนหัวหินวิทยาลัย อัตลักษณ์โรงเรียนหัวหินวิทยาลัย โรงเรียนหัวหินวิทยาลัยจัดการศึกษาที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ตัวบุคคลของนักเรียนแต่ละคน พร้อม กับความต้องการจำเป็นทั้งด้านวัตถุและด้านจิตวิญญานของเขา โรงเรียนของเรามุ่งมั่นที่จะ พัฒนา “ปริบุคคล” หรือบุคคลทั้งครบ ให้เจริญตามศักยภาพของตนในทุกมิติของชีวิต อันได้แก่ กาย สติปัญญา จิตใจ และจิตวิญญาณ หรือที่เรียกว่า การศึกษาแบบองค์รวม หลักการที่โรงเรียนใช้ในการพัฒนานักเรียนจึงเป็นหลักการของการบริรูปหล่อหลอมนักเรียนให้ เป็นบุคคลผู้เปี่ยมคุณธรรมตามคุณค่าพระวรสาร ดังนั้น โรงเรียนจึงสอนองค์ความรู้ มิใช่ใน ฐานะที่เป็นเป้าหมายสุดท้ายในตัวมันเอง แต่ในฐานะที่เป็นเครื่องมือให้นักเรียนใช้พิจารณา พินิจพิเคราะห์ ไตร่ตรอง จนกระทั่งนักเรียนเข้าใจและโอบรับ “คุณค่า” ต่าง ๆ ที่เขาสามารถ บูรณาการกลายเป็นจุดยืน เป็นมุมมอง เป็นกรอบคิด เป็นความเชื่อมั่น และเป็นเข็มทิศชีวิตของ ตนเอง และนำไปปฏิบัติในชีวิต ทั้งในมิติชีวิตด้านนอกและชีวิตด้านใน เมื่อ “คุณค่า” ถูกนำไป ปฏิบัติ ก็กลับเป็น “คุณธรรม” ประจำใจของผู้ปฏิบัติ เขาปฏิบัติซ้ และพัฒนาจนกลับเป็นวิถีชีวิต เป็นผู้เปี่ยมคุณธรรม นี่เป็นจุดมุ่งหมายที่แท้จริงและสูงส่งของการศึกษาคาทอลิก คุณธรรมตามคุณค่าพระวรสาร (Gospel Values) คุณค่าพระวรสาร คือคุณธรรมสากล หรือคุณค่าที่พระเยซูเจริญชีวิตและสั่งสอน ดังที่มีบันทึกใน พระคัมภีร์ตอนที่มีชื่อว่า “พระวรสาร” ซึ่งแปลว่า “ข่าวดี” ค ข่าวดี หมายถึงข่าวดีแห่งความ รอดพ้นของมนุษย์จากความหลงผิด ความทุกข์ และบาป ข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้าผู้รัก มนุษย์จนกระทั่งประทานพระบุตรของพระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแสดงพระธรรมแก่มนุษย์ และทำการกอบกู้มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป ได้รับชีวิตนิรันดร คุณค่าพระวรสารที่สำคัญได้แก่กลุ่มคุณค่า 21 ประการดังต่อไปนี้ กลุ่มต้น (1-11) เป็นคุณค่าที่ เป็นหน้าที่ต่อพระเจ้าและต่อตนเอง กลุ่มปลาย (11-21) เป็นคุณค่าที่เป็นหน้าที่ต่อผู้อื่นและต่อสิ่ง สร้าง 1. ความเชื่อ (faith) ความเชื่อหมายถึง ความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า ความเชื่อศรัทธาในโลกุตระ หรือความจริงเหนือ ธรรมชาติ ความเชื่อในความเป็นจริงที่อยู่นอกเหนือจากสิ่งที่เราจับต้องมองเห็น ความเชื่อใน ความเป็นจริงของจิตวิญญาณ และในมิติทางศาสนาของชีวิต พระเยซูสอนว่า หากเรามีความ เชื่อศรัทธา อัศจรรย์จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา หากเรามีความเชื่อศรัทธา เราจะได้รับความ รอดพ้นจากความหลงผิด ความทุกข์ และบาป เราต้องมีความเชื่อศรัธทาเมื่อเราภาวนา และเมื่อ เราอยู่ในวิกฤต ความเชื่อศรัทธาเป็นพื้นฐานของคุณค่าพระวรสารอื่น ๆ ทั้งหมด
2. ความจริง (truth) พระเยซูตรัสว่าพระองค์คือ “หนทาง ความจริง และชีวิต” ชีวิตของเราเป็นการแสวงหาความจริง ความจริงของโลก ความจริงของชีวิต และความจริงของมนุษย์ พระองค์สอนเราว่า ความจริง ทำให้เราเป็นไท บุคคลที่ไม่ซื่อตรงคือบุตรแห่งปีศาจผู้มีแต่ความเท็จ 3. การไตร่ตรอง / ภาวนา (reflection / prayer) พระเยซูสอนให้เราไตร่ตรองอยู่เสมอ พระองค์สอนให้เรารู้คุณค่าของความสงบและการ ไตร่ตรอง เพื่อหาความหมายที่ลึกซึ้งของปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต การไตร่ตรองน ไปสู่การเข้าใจ การยอมรับ และการปฏิบัติคุณค่าที่เรียนรู้ จนเกิดผลมากมาย พระเยซูสอนเรา ให้ภาวนาอยู่เป็นนิจ เราภาวนาเป็นพิเศษเมื่อประกอบภารกิจสำคัญ เมื่อมีการประจญ และเมื่อมี วิกฤติของชีวิต 4. มโนธรรม / วิจารณญาณ / ความกล้าหาญเชิงศีลธรรม (conscience / discernment / moral courage) พระเยซูสอนให้เรามีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการรักษาศีลธรรม มีมโนธรรมเที่ยงตรง วิจารณญาณแยกแยะชั่วดี รู้จักตัดสินใจเลือกทางแห่งความดีงาม และยีดมั่นในทางแห่งความดี แม้ในสถานการณ์ที่เราถูกคุกคาม 5. อิสรภาพ (freedom) พระเยซูสอนว่า “ความจริงทำให้ท่านเป็นอิสระ” ซึ่งหมายถึง ความเป็นอิสระจากการเป็นทาส ของบาปและกิเลสตัณหา เราปฏิบัติหน้าที่ของเราด้วยความเชื่อมั่น ด้วยความรัก มิใช่ด้วยความ กลัว 6. ความยินดี (joy) ความยินดีเป็นผลของประสพการณ์การสัมผัสความรักของพระเจ้า พระเยซูสอนให้เรามีใจเบิก บานอยู่เสมอ โดยตระหนักว่าชื่อของเราถูกจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดทำให้เราหวั่นไหว หรือหวาดกลัว เพราะพระเจ้ารักเรา และปกป้องเราดั่งแก้วตาของพระองค์ 7. ความเคารพ / ศักดิ์ศรี (respect / dignity) มนุษย์ถูกสร้างตามพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า มนุษย์เป็นลูกของพระเจ้า ดังนั้น ชีวิตมนุษย์จึงมี ความศักดิ์สิทธิ์ พระเยซูสอนให้เราเคารพศักดิ์ศรีของตนเอง และศักดิ์ศรีของผู้อื่น เราแต่ละคนมี ค่ามากในสายพระเนตรของพระเจ้า 8. ความสุภาพถ่อมตน (humility) พระเยซูเชื้อเชิญให้เราเลียนแบบพระองค์ “เรียนจากเราเพราะเรามีใจอ่อนโยนและสุภาพ” ค สอนที่พระเยซูเน้นย้ำบ่อยครั้งคือ ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น ผู้ใดมีใจ
สุภาพอ่อนโยน ผู้นั้นย่อมเป็นสุข ผู้ใดมีใจสุภาพเหมือนเด็กเล็ก ๆ ผู้นั้นจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในพระ อาณาจักรสวรรค์ 9. ความซื่อตรง (honesty) พระเยซูคาดหวังให้เราเป็น “มนุษย์ใหม่” มนุษย์ที่ซื่อตรง ชอบธรรม ประพฤติชอบในสาย พระเนตรของพระเจ้า ดำรงตนอยู่ในศีลธรรม ไม่หน้าซื่อใจคด ไม่คดโกงหรือเบียดเบียนผู้อื่น ผู้ซื่อตรงต้องเริ่มจากการซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย ผู้ที่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะซื่อสัตย์ในเรื่อง ใหญ่ด้วย ผู้ซื่อตรงจะเกิดผลมากมาย 10. ความเรียบง่าย / ความพอเพียง (simplicity / sufficiency) พระเยซูเจริญชีวิตที่เรียบง่าย ทุกคนเข้าหาพระองค์ได้ แม้แต่เด็ก ๆ พระองค์สอนเรามิให้กังวล ใจในเครื่องแต่งกาย ในอาหารการกิน เพราะพระเจ้าดูแลชีวิตของเราทุกคน สุนัขจิ้งจอกยังมี โพรง และนกในอากาศยังมีรัง แต่พระองค์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ 11. ความรัก (love) พระเยซูสอนให้เรามีความรักแท้ ความรักที่สูงส่งกว่าความรักใคร่ ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ หวังสิ่งตอบแทน ความรักที่มอบแก่ทุกคน ความรักที่เอาชนะอารมณ์ความรู้สึกของตน จนกระทั่ง สามารถรักแม้แต่คนที่เป็นอริกับเรา หลักปฏิบัติพื้นฐานของการแสดงความรักคือ “ปฏิบัติต่อผู้ อื่นดังที่เราอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา” หลักปฏิบัติขั้นสูงของการแสดงความรักคือ “รักกันและ กันเหมือนที่พระเจ้าทรงรักเรา” ความรักเป็นคุณค่าที่สำคัญที่สุด เป็นจุดมุ่งหมายของคุณค่าพระ วรสารอื่น ๆ ทั้งหมด 12. เมตตา (compassion) พระเยซูเจริญชีวิตที่เป็นแบบอย่างของความเมตตา พระองค์เมตตาต่อทุกคน คนเจ็บป่วย คนตก ทุกข์ได้ยาก และคนด้อยโอกาส พระองค์ร่วมทุกข์กับคนที่มีความทุกข์ เข้าถึงความรู้สึกและ ความต้องการของผู้อื่น พระองค์สอนเราให้รู้จักพระเจ้า พระบิดาผู้เมตตา และสอนให้เราเป็นผู้ เมตตา ดังที่พระบิดาทรงเป็นผู้เมตตา พระองค์เล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องชาวสะมาเรียผู้เมตตา เรื่องนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในโลก จนกระทั่งค “ชาวสะมาเรีย” (Samaritan) ถูกใช้ใน ความหมายของ ลักษณะของผู้เมตตา 13. ความกตัญญูรู้คุณ (gratitude) พระเยซูตรัสชมเชยผู้ที่พระองค์ทรงทำอัศจรรย์บำบัดรักษาจากโรค แล้วได้กลับมาขอบพระคุณ พระองค์ พระเยซูขอบพระคุณพระเจ้าในทุกขณะจิต พระองค์กำชับให้เรากตัญญูรู้คุณต่อพระเจ้า และต่อบิดามารดา ต่อครูบาอาจารย์ และต่อทุกคนที่มีพระคุณต่อเรา
14. การงาน / หน้าที่ (work / duty) พระเยซูสอนให้เราเห็นคุณค่าของการทำงาน ผู้ที่ทำงานก็สมควรได้รับค่าตอบแทน พระองค์จะ ประทานรางวัลแก่ทุกคนตามการทำงานของแต่ละคน พระองค์ทำงานอยู่เสมอเหมือนพระบิดา ทำงานอยู่เสมอ การทำงานเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราไม่เพียงทำงานเพื่อหาอาหาร เลี้ยงชีพ แต่เราต้องทำงานเพื่ออาหารที่คงอยู่เป็นชีวิตนิรันดร์ “จงทำงานหนักเพื่อเข้าประตูแคบ สู่พระอาณาจักรสวรรค์” 15. การรับใช้ (service) พระเยซูเสด็จมาในโลกเพื่อมารับใช้ มิใช่มาเพื่อได้รับการรับใช้ พระองค์สอนสานุศิษย์ว่า พระองค์ผู้เป็นพระเจ้ายังรับใช้พวกเขา ดังนั้นพวกเขาต้องรับใช้ผู้อื่นเช่นเดียวกัน ผู้ใหญ่กว่าจะ ต้องรับใช้ผู้น้อยกว่า 16. ความยุติธรรม (justice) พระเยซูสอนให้เราแสวงหาความยุติธรรมให้กับผู้อื่นก่อนให้กับตนเอง ความยุติธรรมเรียกร้อง ให้เราเปิดใจกว้างต่อความต้องการของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ด้อยกว่าเรา 17. สันติ / การคืนดี (peace / reconciliation) พระเยซูตรัสว่า พระองค์มอบสันติของพระองค์แก่เรา สันติเป็นผลมาจากความยุติธรรม เรา สามารถนำสันติสู่สังคมที่เราอยู่โดยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและกัน มีใจที่ปล่อยวาง หลุดพ้น จากความว้าวุ่นใจ หลีกเลี่ยงความรุนแรงทุกชนิด และเมื่อมีความขัดแย้ง เราต้องพร้อมที่จะคืนดี เสมอ การคืนดีเป็นผลจากการเคารพซึ่งกันและกัน และใจเปิดต่อการเสวนา 18. อภัย (forgiveness) พระเยซูสอนศิษย์ให้ภาวนาต่อพระบิดาเสมอ ๆ ว่า “โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนที่ข้าพเจ้าอภัย ให้ผู้อื่นที่ทำผิดต่อข้าพเจ้า” พระเยซูเล่านิทานเปรียบเทียบของบิดาผู้ใจดีที่ให้อภัยแก่ลูกที่ล้าง ผลาญทรัพย์สมบัติของบิดา พระเยซูกล่าวให้อภัยแก่ผู้ที่ตรึงพระองค์บนกางเขน การรู้จักให้อภัย ผู้อื่นเกิดขึ้นได้เมื่อเรารู้จักเอาชนะความโกรธเคือง ความอาฆาตมาดร้ายทุกชนิด การให้อภัย ของเราต้องไม่มีขอบเขตเหมือนที่พระเจ้าให้อภัยแก่เราอย่างไม่มีขอบเขต 19. ความเป็นหนึ่ง / ความเป็นชุมชน (unity / community) พระเยซูสอนว่า มนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน ทุกคนมีพระเจ้าเป็นพระบิดาองค์เดียวกัน ดังนั้น มนุษย์จึงต้องสร้างสังคมมนุษย์ให้น่าอยู่ มีความเป็นพี่เป็นน้องกัน มีสายใยยึดเหนี่ยวกันอย่าง มั่นคง ไม่ว่าเราจะอยู่ในหน่วยใดของสังคม ทั้งบ้าน โรงเรียน และท้องถิ่น เราต้องแสดงความ เป็นเจ้าของ และการมีส่วนร่วมในชีวิตของชุมชนนั้น ๆ
20. ความมหัศจรรย์ใจ / รักษ์ธรรมชาติ (wonder / conservation) พระเยซูสอนให้เรามองดูความสวยงามของธรรมชาติ ดวงดาวบนท้องฟ้า นกที่บินในอากาศ ดอกไม้ในทุ่งหญ้า แล้วมองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระผู้สร้างธรรมชาติ มองเห็นความน่า มหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ถูกสร้างมาเพื่อให้มนุษย์เอาใจใส่ดูแล เราจึงต้องหวงแหนธรรมชาติ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พิทักษ์โลกของเราให้อนุชนรุ่นหลัง 21. ความหวัง (hope) ความหวังมีพื้นฐานอยู่บนคำสัญญาของพระเยซูว่า พระองค์มาเพื่อกอบกู้มนุษย์ทุกคนให้ได้ ความรอดพ้นจากบาป และมีชีวิตนิรันดร์ ความหวังทำให้เรามีความอดทน พากเพียร และมั่นคง ในความดี ความหวังยังทำให้เราคิดบวก มองโลกในแง่ดี เรามิได้หวังในวัตถุ แต่เราหวังใน พระเจ้า ในบุญกุศลที่เราพากเพียรประกอบ ความหวังเป็นแรงบันดาลใจให้เรายึดมั่นในคุณค่า พระวรสารอื่น ๆ ทั้งหมด การปลูกฝังคุณค่าพระวรสาร โรงเรียนหัวหินวิทยาลัยปลูกฝังคุณค่าพระวรสาร ด้วยกระบวนการบริรูปหล่อหลอมนักเรียนแบบ คาทอลิกใน 3 มิติ ได้แก่ มิติของครูผู้สอน ครูในอุดมคติดำเนินชีวิตเป็นบุคคลต้นแบบ เอาใจใส่ ในการสอนแบบมืออาชีพ มีศาสตร์และศิลป์ในการบูรณาการคุณค่าพระวรสารในการจัดการ เรียนการสอน เขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อนักเรียนด้วยใจรัก มิติที่สองคือมิติของนักเรียน ซึ่งให้ความ ร่วมมือ ตอบสนองด้วยใจอิสระ เขาเรียนรู้แลกเปลี่ยนความนึกคิดกับครูและเพื่อน ๆ เขา ออกแรงพยายามที่จะบรรลุถึงระดับสูงสุดของการบริรูปหล่อหลอมตนเอง พัฒนาลักษณะพึง ประสงค์ตามคุณค่าพระวรสาร เจริญก้าวหน้า เติบโตในคุณธรรมจากภายในด้วยความเชื่อมั่น อย่างไรก็ดี มิติสำคัญที่ขาดเสียมิได้คือมิติของความช่วยเหลือจากเบื้องบน หรือมิติของพระ หรรษทาน (grace) ซึ่งเป็นพระคุณที่พระเจ้าประทานด้วยพระทัยรักและอิสระ อวยพรการทำงาน ของครูด้วยใจรักและการร่วมมือของนักเรียนด้วยใจอิสระให้บังเกิดผล มิติที่สามนี้เป็นมิติแห่ง พระหรรษทาน มิติแห่งจิตวิญญาณ มิติแห่งโลกุตระ มิติแห่งอานิสงส์ ดังนั้นโรงเรียนหัวหินวิทยาลัยจึงเป็นชุมชนการศึกษาที่มีบรรยากาศพิเศษ อันเปี่ยมด้วยจิตตา รมณ์พระวรสาร: จิตตารมณ์แห่งความรักและอิสรภาพ ซึ่งสะท้อนอยู่ในในวิธีคิด ทัศนคติ แนว ปฏิบัติ และวิถีชีวิตในโรงเรียน บรรยากาศของชุมชนทางการศึกษานี้เป็นผลจากปฎิสัมพันธ์และ การร่วมมือกันขององคาพยพต่าง ๆ ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ครู และผู้บริหาร ที่โรงเรียนหัวหินวิทยาลัยแห่งนี้ เราทุกคนเห็นพ้องกันในเป้าหมายทางการศึกษาร่วมกัน ให้ ความร่วมมือตามบทบาทของตนในการทำให้บรรลุผล เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล บนพื้นฐานของความรักและอิสรภาพ และเจริญชีวิตเป็นประจักษ์พยานถึงคุณธรรมตามคุณค่า พระวรสารในชีวิตประจำวัน
คุณครูรุจี เต่งตระกูล วิชาการงานอาชีพ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 คุณค่าพระวารสาร : ความพอเพียง และ รักษ์ธรรมชาติ การอบรมหน้าเสาธง หัวข้อที่ขาดไม่ได้ก็คือการรักษาความสะอาดบริเวณโรงเรียน การทิ้งขยะให้ถูกที่ และการแยกขยะก่อนทิ้ง ครูใช้คำถามถามนักเรียนว่า “แต่ละถังควรทิ้งขยะอะไร ขยะประเภทไหน” ให้ นักเรียนใช้ประสบการณ์เดิมในการตอบคำถาม แล้วครูชักชวนให้นักเรียนดูคลิปนี้เพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน https://youtu.be/V17eSbC4pzM เมื่อนักเรียนดูคลิปจบแล้ว ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนด้วยการทำใบงานคัดแยกขยะลงถัง ใบกิจกรรม คัดแยกขยะลงถัง ชื่อ..................................................................................... ชั้นประถมศึกษาปีที่ ............... เลขที่.............. คำชี้แจง : ให้นักเรียนคัดแยกชนิดของขยะและเขียนลงในช่องถังขยะประเภทต่างๆให้ถูกต้อง
จากนั้นครูกระตุ้นให้นักเรียนช่วยกันคิดหาความหมายของคำว่า “ขยะ” ฟังความคิดเห็นของนักเรียน แล้วร่วมกันสรุปว่า “ขยะคือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์สำหรับเรา” ดังนั้นถ้าเราจะแปลงร่างขยะจากสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เราควรทำอย่างไร ปล่อยให้นักเรียนได้ช่วยกันคิด ระดมสมอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน วิธีการของกันและกัน แล้วครูค่อยให้นักเรียนเรียนรู้วิธีการจัดการขยะด้วยวิธี 3R โดยให้นักเรียนช่วยกันแปล ความหมายของ 3R = Reduce (ลดใช้) Reuse (ใช้ซ้ำ) Recycle (นำมาแปรรูป) ในแง่ของการกระทำ Reduce (ลดใช้) เช่น การใช้กระดาษหน้าเดียว ใช้ดินสอกดแทนดินสอไม้ Reuse (ใช้ซ้ำ) เช่น การใช้ถุงพลาสติกใส่ของหรือใส่ขยะ นำสิ่งที่ไม่ใช้ไปขายในร้านขายของเก่าเพื่อให้ คนอื่นนำไปใช้ประโยชน์ต่อ Recycle (นำมาแปรรูป) เช่น การนำขวดน้ำมาประดิษฐ์เป็นของเล่นหรือของใช้ ขั้นตอนต่อไป ครูให้นักเรียนนำกระดาษที่ไม่ใช้แล้วมาคนละ 1 แผ่น แล้วนำมา Recycle เพื่อเป็น กระเป๋าใส่เงินตามคลิป https://youtu.be/NBaaFX40JBs โดยใช้กระบวนการทำงานประดิษฐ์ได้แก่ ขั้นที่ 1 กำหนดความต้องการว่านักเรียนอยากทำอะไรจากวัสดุที่นักเรียนเลือก ในระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 นี้นักเรียนเลือกวัสดุเป็นกระดาษเพื่อนำมาทำกระเป๋าใส่เงิน ขั้นที่ 2 รวบรวมข้อมูล สิ่งที่นักเรียนอยากประดิษฐ์ต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง เช่น กระดาษสมุด หรือ กระดาษสีขนาดเท่าใด กาว กรรไกร ฯลฯ ขั้นที่ 3 ออกแบบและลงมือปฏิบัติจัดหาอุปกรณ์และลงมือประดิษฐ์ตามแบบที่วางไว้ เมื่อนักเรียนได้ผลงานของตัวเองแล้ว ครูสร้างความท้าทายให้นักเรียนโดยการให้นักเรียนนำผลงานที่ ได้มาใช้จริงคือนำกระเป๋าเงินที่ได้มาใส่ธนบัตร แล้วดูว่ากระเป๋าของเราใหญ่ไปหรือเล็กไปหรือไม่ สีสวยไหม ต้องตกแต่งอะไรเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความชื่นชมและภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง จากนั้นให้นักเรียนหาจุดบกพร่องเพื่อพัฒนาชิ้นงานให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น จากบทเรียนนี้ครูสามารถชักชวนนักเรียนร่วมพูดคุยกันถึงการแก้ปัญหาขยะล้นโลก โดยเน้นการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนักเรียนประดิษฐ์ของเล่น ของใช้ จากขยะให้เป็นสิ่งของที่มีประโยชน์เป็นการ ประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย กระตุ้นนักเรียนให้ร่วมกันนำเสนอแนวคิดและวิธีการช่วยรักษาธรรมชาติไม่ให้เกิดมลพิษ จากขยะมูลฝอย ร่วมกันสรุปวิธีการแก้ปัญหาอย่างถาวรโดยแก้ปัญหาด้านจิตสำนึกของคนก่อน เพราะเมื่อมี จิตสำนึกที่ดีก็จะไม่ใช้สิ่งของฟุ่มเฟือย ลดขยะได้ เมื่อมีจิตสำนึกที่ดีก็จะทิ้งขยะถูกที่ถูกถัง ง่ายต่อการนำไป ทำลาย เป็นการช่วยลดมลพิษจากของเสียได้อีกช่องทางหนึ่ง แล้วครูจะต้องพยายามกระตุ้นให้นักเรียนนำ วิธีการที่เสนอร่วมกันนี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน และบอกต่อสู่ผู้ใหญ่ในครอบครัวอีกด้วย
ชั่งมันเถอะ! นางสาวพิมพ์ลดา เกริกอริยพัฒน์ คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่1 คุณค่าพระวรสาร : การไตร่ตรอง การชั่งมีทั้งเครื่องมือที่ไม่ใช่หน่วยมาตรฐาน และเครื่องมือที่มาตรฐาน แต่วันนี้เราจะมาหาน้ำหนักของสิ่งของ โดยใช้เครื่องมือที่มาตรฐานคือเครื่องชั่งสปริง เป็นกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบจัดกิจกรรมแบ่งได้ 6 ขั้นตอนคือ การทบทวนความรู้เดิม การแสวงหาความรู้ใหม่ การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และ เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับเพื่อนๆ การสรุปและการจัดระเบียบ ความรู้ การปฏิบัติและ/หรือการแสดงผลงาน การประยุกต์ใช้ความรู้ นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็น โดยใช้คำถามกระตุ้นความสนใจ ดังนี้ ร่วมกันอภิปรายว่าเครื่องชั่งที่ได้มาตรฐานเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง นักเรียนจะนำความรู้เรื่อง การชั่ง ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร นักเรียนทบทวนความรู้เดิม เรื่อง การวัดน้ำหนักเป็นขีดและกิโลกรัมจากรูปภาพ ผู้แทนนักเรียนออกมาชูบัตร ภาพการชั่งสิ่งของต่าง ๆ โดยใช้เครื่องชั่งสปริง นักเรียนในชั้นเรียนอ่านน้ำหนักแล้วช่วยกันบอกน้ำหนักดังตัวอย่าง แตงกวาหนัก 6 ขีด ปลาช่อนหนัก 1 กิโลกรัม เป็นการทบทวนความรู้เดิมซ้ำๆจนคำตอบเป็นที่น่าพอใจคืออ่านน้ำหนักได้ถูกต้อง นักเรียนศึกษารวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับการชั่งโดยการปฏิบัติจริง จากแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การสนทนากับเพื่อนในชั้นเรียน นักเรียนทุกคนได้ฝึกปฏิบัติการชั่ง ครูเตรียมเครื่องชั่งสปริงไว้ ส่วนสิ่งของที่สำหรับให้นักเรียนชั่ง คุณครูสั่งล่วงหน้าให้ นักเรียนทุกคนเตรียมมาจะเป็นสิ่งของอะไรก็ได้แต่สิ่งที่นักเรียนนำมาจะเป็นประเภทผักและผลไม้ต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ เช่น มะละกอ ส้ม องุ่น แตงกวา กล้วย แคนตาลูป เป็นต้น แต่ละคนปฏิบัติการชั่ง โดยให้ปฏิบัติการชั่งทีละคน และให้ อ่านน้ำหนักสิ่งของที่ตนชั่งให้เพื่อน ๆ ฟัง และเพื่อน ๆ ทุกคนช่วยกันตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่ โดยมีคุณครูคอย ตรวจสอบและชี้แนะ
นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติการชั่งว่า ก่อนวางสิ่งของบนเครื่องชั่งต้องดูให้เข็ม เครื่องชั่งชี้ที่เลข 0 เสมอ ซึ่งขีดและกิโลกรัมเป็นหน่วยการวัดน้ำหนักที่เป็นมาตรฐาน การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล / ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม คือ ขั้นที่ผู้เรียนศึกษาและ ทำความเข้าใจกับข้อมูล / ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนสร้างความหมายของข้อมูล / ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวน ต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด กระบวนการร่วมในการอภิปราย และสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูล นั้น ๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม นักเรียนทุกคนได้ฝึกปฏิบัติการชั่ง โดยการปฏิบัติจริง การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่มเพื่อน คือ ขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเพื่อนเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ ความรู้รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนเอง แก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน 1) ครูทบทวนสิ่งที่เรียนไปชั่วโมงที่แล้ว เกี่ยวกับการวัดน้ำหนักโดยใช้หน่วยที่เป็นหน่วยมาตรฐาน จากนั้นครูตั้งคำถามสิ่งของที่ครูวางบนเครื่องชั่งสปริง ให้นักเรียนช่วยกันตอบว่า มีน้ำหนักเท่าไร 2) ครูให้นักเรียนช่วยกันสังเกตโดยการเปรียบเทียบเช่น ครูชั่งส้ม มีน้ำหนักมากกว่าแครอทเท่าไรและ คิดได้อย่างไร ให้ทุกคนช่วยกันแสดงความคิดเห็น ช่วยกันหาคำตอบ ทำซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง จนทุกคน สามารถตอบได้อย่างถูกต้อง การสรุปและจัดระเบียบความรู้คือ ขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และจัด สิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบ เพื่อให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย ครูให้ผู้เรียนสรุปประเด็นสำคัญประกอบด้วย มโนทัศน์หลัก และมโนทัศน์ย่อยของความรู้ทั้งหมด แล้วนำมาเรียบเรียงให้ได้สาระสำคัญครบถ้วน นักเรียนร่วมกันสรุปสิ่งที่เข้าใจเป็นความรู้ร่วมกัน ดังนี้ การวัดน้ำหนักโดยเครื่องชั่ง ก่อนวางสิ่งของบนเครื่องชั่ง ต้องดูให้เข็มเครื่องชั่งชี้ที่เลข 0 เสมอ ขีดและกิโลกรัมเป็นหน่วยการวัดน้ำหนักที่เป็นมาตรฐาน นักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปเกี่ยวกับวิธีการทำงานให้เห็นการคิดเชิงระบบและการทำงานที่มีแบบแผน • สิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้ในวันนี้คืออะไร • นักเรียนมีส่วนร่วมกิจกรรมมากน้อยเพียงใด • นักเรียนพึงพอใจกับการเรียนในวันนี้หรือไม่ อย่างไร • นักเรียนจะนำความรู้ที่ได้นี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ครอบครัว และสังคมทั่วไป ได้อย่างไร จากนั้นแลกเปลี่ยนตรวจสอบขั้นตอนการทำงานทุกขั้นตอนว่าจะเพิ่มคุณค่าไปสู่สังคมและ 1) องุ่น 2) มะละกอ 3) กะหล่ำปลี 4) ข้าวสาร 5) ส้มเขียวหวาน 6) …………… ฯลฯ
เกิดประโยชน์ต่อสังคมให้มากขึ้นกว่าเดิมในขั้นตอนใดบ้างในครั้งนี้และสำหรับการทำงานในครั้งต่อไป การประยุกต์ใช้ความรู้คือ ขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ใน สถานการณ์ต่างๆที่หลากหลาย เพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำใน เรื่องนั้น ๆ เป็นการให้โอกาสผู้เรียนใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ เป็นการส่งเสริมเมื่อประสบการณ์ตรง เป็นได้ทั้ง ผู้ซื้อและผู้ขายที่ยุติธรรม และเที่ยงตรง • ครูมีคำถาม 2 ข้อให้นักเรียนได้คิด 1. ถ้านักเรียนเป็นคนขาย นักเรียนจะเป็นแม่ค้าที่ดีได้อย่างไร ? 2. ถ้านักเรียนเป็นคนซื้อ นักเรียนจะรู้ได้อย่างไรว่าคนขายมีความซื่อตรงในการชั่งน้ำหนัก? นักเรียนตอบคำถามให้เกิดความประทับใจว่า ➢“ถ้าเราเป็นคนขายเราต้องไม่โกงในการชั่ง ต้องชั่งตามน้ำหนักที่เป็นจริง ไม่เอาเปรียบและคดโกง ผู้อื่น เป็นแม่ค้าต้องซื่อตรง ซื่อสัตย์ต่อผู้ซื้อ” ➢“ถ้าเราเป็นคนซื้อ เราต้องสังเกตการชั่งของแม่ค้าว่าชั่งของตามน้ำหนักที่เราต้องการซื้อและเข็ม บอกน้ำหนักของสิ่งของตรงตามน้ำหนักที่จะจ่ายเงินหรือไม่”
1.
อาชีพในฝัน โตขึ้น “หนูอยากเป็นอะไร” เป็นคาถามที เด็ก่ๆมักถูกถามมาตังแต่ตัวเล็ก้ๆ ซึ่ง คาถามนี เป็นเหมือน ้ การสารวจความชอบ การคันหาตัวตนและการจุดประกายความใฝ่ฝัน แล้วจนอาจกลายเป็นเป้าหมายในชีวิตของเด็กแต่ละคน ความส าคัญของอาชีพ อาชีพทุกอาชีพล้วนแต่มีความส าคัญแตกต่างกันไปและต้องท างานสอดประสานเกี่ยวข้อง กัน ไม่ว่าจะเป็น หมอ พยาบาล ทหาร ครูต ารวจ นายกรัฐมนตรีช่างตัดผมหรือ พนักงาน เก็บขยะ คุณธรรมทีทุกอาชีพต้องมี่(นักเรียนได้ร่วมกันระดมความคิดและสรุปร่วมกับครู) งานและหน้าที่ทุกอาชีพต้องมีความรู้ความสามารถในการงานนั้นและมีความรับผิดชอบ ถูกต้องตามหน้าที่ของตน มโนธรรม เมื่อมีความรู้ ความช านาญในหน้าที่ของตนแล้ว ที่ทุกอาชีพต้องมีแล้ว ทุกคน ต้องมีมโนธรรม เป็นคนดี ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใด เมื่อเป็นคนดีแล้วงานก็ส าเร็จสังคมก็ จะน่าอยู่ ความซือ่ตรง หรือความซื่อสัตย์ เป็นเสมือนเกราะคุ้มครองตนได้อย่างดี ท าอะไรก็จะได้รับ การยกย่อง เชื่อถือ สังคมและประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรืองถ้าปราศจากการคดโกง ครูสอนให้นักเรียนขับร้องเพลงความซื่อสัตย์ อาชีพในฝัน ครูพิชญากร เปลี่ยนวงค์ ภาษาอังกฤษ ป.1 คุณค่าพระวารสาร: งาน/หน้าที่, มโนธรรม,ความซื่อตรง
เด็ก ๆได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะครบทัง้สีด้าน ่ทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน จากการลงมือปฏิบัติผ่านกิจกรรมและ เกม อย่างสนุกสนานซึง่มีทังกิจกรรม้ ร้องเพลง What do you do? โดยท าท่าทางประกอบ เพือให้จดจ าค าศัพท์ได้มากขึ ่น้ ท าชิ้นงานอาชีพในฝันทีท ามาจาก่วัสดุไม่ใช้แล้ว (กระดาษรองแก้วน ้าในถ้วยพลาสติก) เล่นเกมจับค่ค าศัพท์ูกับภาพและท่าทางประกอบ
ครูธัญดา สุชาติกุลวสุ วิชาภาษาจีน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง JumJeen จำจีนง่ายๆ หมวดสัตว์ คุณค่าพระวรสาร สันติ /การคืนดี/อภัย/ความเป็นหนึ่ง เริ่มต้นของการเรียนภาษาจีน สิ่งที่รู้สึกว่ายากที่สุดก็คือการจดจำตัวอักษรจีน ซึ่งตัวอักษรจีนมีขีดๆเส้นๆ มากมาย เคยสงสัยเหมือนกันว่ามันมาจากไหน มีที่มาที่ไปอย่างไร หรือชาวจีนแค่ขีดๆเขียนๆไปอย่างนั้น จนกระทั่ง ได้เรียนกับอาจารย์ท่านหนึ่ง เค้าบอกว่าชาวจีนนี่ฉลาดลึกล้ำมาก พวกเขาสังเกตธรรมชาติรอบตัวแล้วร่างขึ้นมา เป็นภาพค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าอักษรจีนสมัยโบราณ แตกต่างจากปัจจุบันมาก และวิธีเรียนอักษรจีนจากภาพเป็น อะไรที่สนุกมาก เรียนเพลินๆ เดี๋ยวเรามาลองเดาความหมายจากอักษรภาพตัวอย่างกัน เชื่อว่าถ้าเห็นภาพแล้ว จะต้องทราบความหมายกันแน่นอน เริ่มที่ภาพแรก 日 rì (รื่อ) ภาพที่สอง 月 yuè (เยวี่ย) ภาพที่สาม 山 shān (ชาน) ภาพที่สี่ 水 shuĭ (ชุ่ย) จากตัวอย่างจึงนำมาปรับใช้กับการสอนของตัวเองโดยให้นักเรียน มองตัวอักษรจีนให้เป็นรูปภาพ อย่างเช่น ยกตัวอย่างคำศัพท์เรื่องสัตว์
คำแรกคือคำว่า 狗 gŏu (โก่ว) แปลว่า สุนัข คุณครูให้นักเรียนดูตัวอักษรจีนพร้อมกับรูปภาพ แล้วก็บอกให้นักเรียนดูที่ รูปภาพนะ คุณครูจะเขียนตัวอักษรจีนลงบนตัวสุนัข นักเรียนเห็นไหมคะ ว่าสุนัขมีขาหน้า 2ขา คุณครูพูดพร้อมกับเขียนตัวอักษรจีนที่ขาหน้าของ สุนัข จากนั้นก็วาดขาหลัง แล้วก็บอกว่านี่คือขาหลังนะ แล้วคุณครูก็ถาม นักเรียนว่า แล้วส่วนสี่เหลี่ยมคืออะไรดีนะ นักเรียนช่วยกันคิด แล้วตอบว่ามันน่าจะเป็นท้องของสุนัขค่ะ / ครับ คุณครูก็เลยสรุปให้นักเรียนฟังว่าถ้านักเรียนเห็นตัวอักษรจีนที่มีขาหน้า ขาหลังแล้วก็ท้อง นั่นคือคำว่า 狗 นะ คำที่สอง 猫 māo (มาว) แปลว่า แมว คุณครูบอกนักเรียนว่าแมวมีขาหน้าเหมือนคำว่า 狗 เลย และน้องแมวจะมีหูเล็กๆ สั้นๆ น่ารัก คุณครูเขียนตัวอักษรจีนลงบน ตัวแมวขณะที่อธิบายด้วย คำที่สาม 鸟 niăo (เหนี่ยว) แปลว่านก คุณครูเขียนตัวอักษรจีนลงบนรูปภาพนก พร้อมอธิบายว่านี่คือส่วนของขนนก นะ นี่คือตานก และนี่คือ กิ่งไม้ซึ่งนกกำลังเกาะอยู่นะ จากการสอนด้วยวิธีนี้ ทำให้เห็นว่านักเรียนมีความสนใจและจำตัวอักษรจีนได้ดียิ่งขึ้น จากนั้นคุณครู ได้กระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจมากขึ้นด้วยการเล่นเกม เกมนี้มีชื่อว่า Space Race เกมท่องอวกาศ เป็นเกมที่จะพานักเรียนท่องไปในอวกาศ โดยจะแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ Rocket Ship กลุ่มสองคือ Alien Ship ที่ต่างมีจุดหมายเดียวกันคือ ดาวอังคาร นักเรียนจะต้องเปิดป้ายเพื่อตอบคำถามให้ ถูกต้อง โดยมีคำถามทั้งหมด 16 ข้อ ตัวอย่างของเกม Space Race เกมท่องอวกาศ จากกิจกรรมนี้นอกจากนักเรียนจะสามารถจดจำตัวอักษรจีนได้แล้ว ยังกระตุ้นความสนใจให้กับนักเรียน ได้ อย่างมากและยังสอดคล้องกับคุณค่าพระวรสารได้อย่างดี ในเรื่องของ สันติ การคืนดี อภัยและความเป็นหนึ่ง
เด็กหญิงอ่านได้ เด็กชายอ่านดี คุณครูวิลัยลักษณ์ แก้วชนะ (ภาษาไทย ป.1) คุณค่าพระวรสาร : หน้าที่ ในการเรียนวิชาภาษาไทยเป็นการเรียนรู้ที่นักเรียนต้องใช้ทักษะทางภาษา คือ การฟัง พูด อ่าน เขียน การอ่านถือเป็นหนึ่งในทักษะจำเป็นในชีวิตประจำวัน ทั้งการเรียนและการหาความรู้เพิ่มเติมนอกห้องเรียน การอ่านหนังสือคือรากฐานที่ดีในการพัฒนาด้านวิชาการของเด็กๆอีกทั้งยังเป็นวิธีการสอนที่ง่ายที่สุด สำหรับทำให้เด็กฉลาดขึ้นโดยไม่ต้องผลักดันเขาเลย การอ่านหนังสือสามารถเริ่มฝึกได้ทุกช่วงอายุและยังมีการวิจัย ในเรื่องการอ่านของเด็กๆ ที่ชี้แนะถึงผลลัพธ์ที่ดีเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กอีกด้วย การอ่านที่ดีเป็นพื้นฐานของการ ก้าวหน้าของในเรื่องการศึกษาของเด็กๆการฝึกให้เด็กๆเป็นคนรักการอ่านจะทำให้เขาสามารถเข้าใจในทุกๆเรื่องใน การเรียนรู้รวมทั้งความรู้รอบตัว ในการเรียนวิชาภาษาไทยในเรื่องของการอ่านคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตราจะพบปัญหาที่นักเรียนจะอ่าน ออกเสียงคำนั้นๆผิดไปเพราะว่ามีตัวสะกดที่แตกต่างจากคำที่คุ้นเคย ครูผู้สอนจึงจัดทำเกมเปิดป้ายอ่านคำที่มี ตัวสะกดไม่ตรงมาตราขึ้นเพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนอยากอ่านมากยิ่งขึ้น
ในการร่วมกิจกรรมกการอ่านคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตราจะให้นักเรียนเลือก เปิดแผ่นป้ายด้วยตนเองโดยครูจะนำเมาส์ไปให้นักเรียนคลิกเลือกและอ่านคำ เมื่ออ่าน ถูกต้องจะได้รับคำชมจากคุณครูและเพื่อนๆทันที
ในการฝึกอ่านคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตราครั้งนี้จะให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในกิจกรรม การเรียนการสอนโดยการให้นักเรียนเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตราลงในสมุดกลับไป ฝึกอ่านกับผู้ปกครองและใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีด้วยการส่งคลิปการอ่านให้คุณครูทาง ไลน์กลุ่มห้อง จากการร่วมกิจกรรมฝึกทักษะการอ่านคำที่ไม่ตรงมาตราทำให้นักเรียนอ่านคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตราได้ ดีขึ้น และยังรู้จักการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการเรียนอีกด้วยรวมทั้งผู้ปกครองได้เข้ามามีบทบาทสำคัญใน การพัฒนาการอ่านของบุตรหลาน และที่สำคัญยิ่งกว่าคือนักเรียนรู้จักหน้าที่ของตนเองและปฏิบัติตนตามหน้าที่ที่ ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี
เล่าเรื่องประกอบภาพ คุณครูบัณรสียางธิสาร (ภาษาไทย ป.1) คุณค่าพระวารสาร : การไตร่ตรอง / ภาวนา, ความมหัศจรรย์ใจ / รักษ์ธรรมชาติ การสอนภาษาไทยจุดมุ่งหมายสําคัญคือเพื่อให้นักเรียนมีทักษะทางภาษา ซึ่งประกอบด้วย ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน สามารถใช้ภาษาไทยเป็น เครื่องมือสําหรับสื่อสารและ เสาะแสวงหาความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นประโยชน์เพื่อการดํารงชีวิตของตนเองและ สังคมประเทศชาติการสอนภาษาไทยควรสอนให้สัมพันธ์กับกลุ่มประสบการณ์อื่น ๆ ผู้สอนจึงจําเป็นต้องนําเนื้อหาจากกลุ่มวิชา อื่นมาเป็นสถานการณ์เพื่อให้เกิดทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ฝนตกแดดออก ฝนตกแดดออก นกกระจอกแปลกใจ โผผินบินไป ไม่รู้หนทาง ไปพบมะพร้าว นกหนาวครวญคราง พี่มะพร้าวใจกว้าง ขอพักสักวัน ฝนตกแดดออก นกกระจอกพักผ่อน พอหายเหนื่อยอ่อน บินจรผายผัน ขอบใจพี่มะพร้าว ถึงคราวช่วยกัน น้ำใจผูกพัน ไม่ลืมบุญคุณ ผู้แต่งศาสตราจารย์กิตติคุณฐะปะนีย์ นาครทรรพ ฝนตกแดดออก เป็นบทอาขยานหลักของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 บทประพันธ์นี้ใช้ฉันทลักษณ์ที่ง่ายเหมาะ สำหรับเด็ก ให้คติเรื่องความมีน้ำใจ และการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน http://anyflip.com/logtr/jjgc ข้อสังเกตจากบทประพันธ์นี้มีเนื้อหาใจความที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติแวดล้อมรอบตัวเรา มีสิ่งต่างๆ และเรื่องราว มากมายควรแก่การสังเกตและหาคำตอบว่า สิ่งมีชีวิตชนิดใดจำเป็นต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตชนิดใดในการดำรงชีวิตบ้าง และอาศัยพึง พิงกันอย่างไร ผู้สอนจึงได้สอนบูรณาการกับกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์
ตัวอย่าง แมลงกับดอกไม้ นกเอี้ยงกับควาย ปลาฉลามกับเหาฉลาม นกกับต้นไม้ การพูดเป็นพัฒนาการทางภาษาที่สําคัญที่สุด จึงมีความจําเป็นที่จะต้องจัดกิจกรรมต่างๆ ในด้านการพูด เพื่อพัฒนาการ พูดของเด็ก เพราะเด็กแต่ละคนมีพื้นฐานมาจากทางบ้านที่แตกต่างกัน กิจกรรมการพูดที่ควรจัดในโรงเรียน ได้แก่การเล่านิทาน การสนทนา การอภิปราย การแสดงบทบาทสมมติการพูดแสดงความคิดเห็น การโต้วาทีการเล่าข่าว การเล่าเรื่องจากภาพ เป็นต้น ครูผู้สอนจึงให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการพูดจากภาพที่เกี่ยวข้องกับสิ่งธรรมชาติแวดล้อมรอบตัวเรา “มีสิ่งมีชีวิตชนิดใด จำเป็นต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตชนิดใดในการดำรงชีวิตบ้าง และอาศัยพึงพิงกันอย่างไร” เป็นการพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่ง กันและกันในการจัดการสนทนาเพื่อฝึกเด็ก ครูผู้สอนจัดให้สนทนาเป็นกลุ่มโดยเลือกหัวเรื่องที่กลุ่มสนใจมาสนทนา หรือครูอาจ จะกําหนดเรื่องให้นักเรียนสนทนากันประมาณ 4-5 คน และให้นักเรียนตัวแทนกลุ่มออกมาเล่าให้เพื่อนในชั้นเรียนฟัง
ภาพกิจกรรม
ทองไปในทองฟา คุณครูนภัทร โภคินชาวากุล วิชาวิทยาศาสตรประถมศึกษาปที่ ๑ คุณคาพระวรสาร : ความมหัศจรรยใจ / รักษธรรมชาติ __________________________________________________________________________ กลางวันและกลางคืน เมื่อพูดถึงเวลากลางวันและกลางคืน เปนเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่นักเรียนรูจักและพบเจอกันอยูทุกวันอยูแลว แตมีบางอยางที่นักเรียนยังไมทราบ ครูจึงอยากทำใหเรื่องธรรมดา ๆ ที่นักเรียนคุนเคย กลายเปนเรื่องมหัศจรรยที่นักเรียนสนใจ เริ่มจากการสรางบรรยากาศหองเรียนใหคลายกับเวลาในตอนกลางคืน โดยการปดไฟ ปดผามานกันแสงแดด ใหกลายเปนหองมืด กิจกรรมที่ ๑ “เห็นอะไรบางในเวลากลางวันและกลางคืน” ครูพูดคุยกับนักเรียนเรื่องความแตกตางกันของทองฟาในเวลากลางวันและกลางคืน โดยนักเรียนชายชวยกันบอกลักษณะตาง ๆ และสิ่งที่มองเห็นไดในเวลากลางวัน นักเรียนหญิงชวยกันบอกลักษณะตาง ๆ และสิ่งที่เห็นในเวลากลางคืน คำตอบที่ไดมาจากนักเรียนสวนใหญนั้น เปนคำตอบที่มาจากประสบการณหรือการรับรูไดดวยตาเปลาของนักเรียน เมื่อครูถามถึงการเกิดกลางวันและกลางคืน นักเรียนตอบครูไดเพียงวา เกิดจากดวงอาทิตยขึ้นจากขอบฟาเปนเวลากลางวัน และสวนเวลากลางคืนนั้น เกิดจากดวงอาทิตยตกและมีดวงจันทรขึ้นมาแทนที่เทานั้น ครูจึงใหนักเรียนไดรับชมวิดีโอ เรื่องกลางวันและกลางคืน https://youtu.be/qPvmpbvkarc ในขณะที่รับชมวิดีโอนั้น นักเรียนเกิดความสนใจ ทำใหนักเรียนอยากรูจักดวงดาวตาง ๆบนทองฟามากขึ้น พรอมทั้งเกิดคำถามตาง ๆ มากมายที่อยากใหครูอธิบาย กิจกรรมที่ ๒ “กลางวันและกลางคืนมีประโยชนอยางไรบางตอตัวเรา” เมื่อนักเรียนไดยินคำถามจากครูวา “กลางวันและกลางคืนมีประโยชนอยางไรบางตอตัวเรา” นักเรียนในชั้นเรียนรีบยกมือขึ้นตอบดวยความกระตือรือรน ซึ่งคำตอบทั้งหมดนั้นไดมาจากประสบการณตรงของนักเรียนนั่นเอง
กิจกรรมที่ ๓ ประดิษฐสื่อทำมือ ดวงอาทิตยโลก ดวงจันทร เมื่อนักเรียนไดเรียนรูเรื่อง ทองไปในทองฟา อยางเขาใจแลวนั้น ครูจึงใหนักเรียนประดิษฐสื่อทำมือ เกี่ยวกับดวงอาทิตยโลก ดวงจันทรนักเรียนทำดวยความตั้งใจ ผลงานที่ออกมานั้นสวยงามแสดงถึงความตั้งใจของนักเรียน และเมื่อนักเรียนทำเสร็จแลว ก็ไดนำมาเลนกับเพื่อนในหองเรียนอยางสนุกสนาน g.
สนุกกับเพลง คุณครูสุวรรณา อนันตโภค (วิชาดนตรี นาฏศิลป์ ป.1) คุณค่าพระวารสาร : ความยินดี การเคลื่อนไหวพื้นฐาน : การเคลื่อนไหวอย่างอิสระ กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ หมายถึง กิจกรรมที่จัดให้เด็กได้ เคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างอิสระ โดยใช้เสียงเพลง จังหวะ และท านอง ค าคล้องจอง หรือเครื่องดนตรี ประกอบ การ เคลื่อนไหว เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้จังหวะ และควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้ การเคลื่อนไหวอย่างอิสระ เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีรูปแบบ หรือกฎเกณฑ์มาบังคับ ผู้แสดงสามารถ เคลื่อนไหวได้ตามจินตนาการหรือตามความคิดของตนเอง เช่น การเคลื่อนไหวปกติในชีวิตประจ าวัน ไม่ว่าจะเป็นการ เดิน การวิ่ง การกระโดด เป็นต้น ถ้าได้ฝึกเคลื่อนไหวอย่างอิสระจนคล่องแคล่ว จะเป็นพื้นฐานที่ดีในการฝึกเคลื่อนไหวทางนาฏศิลป์ นอกจากนี้ จะ ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพให้สง่างามเป็นที่ชื่นชมแก่ผู้พบเห็น การใช้เพลงประกอบการเคลื่อนไหว เพลงสัตว์ในทุ่งนา ตัวของฉันอยู่ในทุ่งนา อีไออีไออู ที่ในทุ่งนานั้นมีกาอยู่ อีไออีไออู มันชอบร้องกากา และก็ร้องกากา โน่นก็กานี่ก็กา โน่นก็กานี่ก็กา อีไออีไออู การเคลื่อนไหวอย่างอิสระ สามารถฝึกโดยใช้เพลงประกอบการฝึก ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
ครูให้นักเรียนฝึกร้องและแสดงท่าทางประกอบเพลงตามขั้นตอนต่อไปนี้ - ครูอ่านเนื้อร้องเพลงสัตว์ในทุ่งนา ให้นักเรียนอ่านตามทีละท่อนจนจบเพลง - นักเรียนร้องเพลงสัตว์ในทุ่งนาทีละท่อน จนนักเรียนร้องได้ถูกต้องพร้อมเพรียงกัน - ครูสาธิตการแสดงท่าทางประกอบเพลงสัตว์ในทุ่งนาให้นักเรียนดู และท าตามจ านวน 3 รอบ - ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละเท่า ๆ กัน เพื่อร่วมกันฝึกการแสดงประกอบเพลงสัตว์ใน ทุ่งนา แบบเพื่อนสอนเพื่อน โดยมีครูคอยดูแลและแนะน าอย่างใกล้ชิดจนทุกคนสามารถท าได้ถูกต้องสวยงาม พร้อม เพรียงกัน - ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาท าการแสดงประกอบเพลงสัตว์ในทุ่งนาให้เพื่อนกลุ่มอื่น ๆ และครูดู ถ้า เพื่อนท า ได้ดีให้แต่ละกลุ่มร่วมกันแสดงความรู้สึกชื่นชมยินดี หากพบข้อบกพร่องให้ช่วยกันเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อให้ กลุ่มดังกล่าว น าไปปรับปรุงแก้ไขการแสดงของตนให้ดีขึ้นในโอกาสต่อไปทีละกลุ่มจนครบทุกกลุ่ม จากนั้นให้นักเรียนร่วมกันแสดงความรู้สึกต่อการแสดงประกอบเพลงสัตว์ในทุ่งนา โดยครูใช้ค าถาม ดังนี้ - นักเรียนรู้สึกอย่างไรเมื่อได้แสดงประกอบเพลง สัตว์ในทุ่งนา (ตัวอย่างค าตอบ สนุกสนาน เพลิดเพลิน) - นักเรียนต้องการแสดงประกอบเพลงอีกหรือไม่ เพราะเหตุใด (ตัวอย่างค าตอบ ต้องการ เพราะชอบ และเมื่อได้แสดงแล้วรู้สึกสนุกสนาน) ครูและนักเรียนร่วมกนสนทนาเกั ี่ ยวกบการแสดงประกอบเพลงที่เก ั ี่ ยวกบธรรมชาติและสัตว์ ั - การแสดงประกอบเพลงที่เกี่ ยวกบธรรมชาติและสัตว์มีประโยชน์อย ั างไร ่ (ตัวอย่างค าตอบ ฝึ กจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ ได้คล่องแคล่ว เข้าใจในธรรมชาติและสัตว์มากขึ้น สนุกสนาน เพลิดเพลิน)
ความยินดี ความยินดีเป็นผลของประสบการณ์การสัมผัสความรักของพระเจ้า พระเยซูสอนให้เรามีใจเบิกบานอยู่เสมอ เพราะชื่อของเราถูกจารึกไว้ใน สวรรค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดท าให้เราหวั่นไหว หรือหวาดกลัว เพราะพระเจ้ารักเรา
ครูสุภิญญา สุวรรณเลิศ (วิชาประวัติศาสตร์ป.1/6) คุณค่าพระวรสาร : ความเชื่อศรัทธา/ความกตัญญูรู้คุณ กิจกรรมวันลอยกระทงได้จัดขึ้นในวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ2565 ทางโรงเรียนหัวหินวิทยาลัยได้ ส่งเสริมให้นักเรียนแต่งกายตามวัฒนธรรม แต่งกายในตรีมชุดผ้าไทย มีกิจกรรมของทางแผนกEnglish program ประกวดนางนพมาส ซึ่งนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/6 ได้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 3 คน และได้รับรางวัลที่ 2 จากการตอบคำถามที่เกี่ยวเนื่องกับวันลอยกระทง ในชั้นเรียนครูซักถามเกี่ยวกับประวัติความ เป็นมาของวันลอยกระทงมีถิ่นกำเนิดจากทีใด จากนั้น นักเรียนและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับประวัติวันลอย กระทง ครูซักถามนักเรียนเกี่ยวกับความสำคัญของวัน ลอยกระทง ให้นักเรียนช่วยคิดว่ากิจกรรมลอยกระทง เป็นอย่างไร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร และมีกิจกรรม อะไรบ้างในวันลอยกระทง จากนั้นก็นำวีดีโอมาให้ นักเรียนดู เมื่อดูจบก็ให้สรุปถึงประวัติความเป็นมาของ วันลอยกระทง (Loi Krathong Festival) ประวัติความเป็นมาของวันลอยกระทง (Loi Krathong Festival) ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า “พิธีจองเปรียญ” หรือ “การลอย พระประทีป” และมีหลักฐานจากศิลาจารึก หลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็น งานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้ เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอย กระทงอย่างแน่นอน ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอย ก ร ะ ท ง จ ะ เ ป ็ น ก า ร ล อ ย โ ค ม โ ด ย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอย กับ
กระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการ ชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อ บูชารอย พระบาทของพระพุทธเจ้า ก่อนที่นางนพ มาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะ คิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการ ลอยโคม ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศที่ว่า “ครั้น วันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่ง ให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสง จันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลาย…” เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้ เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า “ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคม ลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน” พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยน รูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรง คนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรด ให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือ ลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า “เรือลอยประทีป” ต่อมาใน รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระ ราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระ ประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรง กระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราช อัธยาศัย
เหตุผลและความเชื่อของการลอยกระทง สาเหตุที่มีประเพณีลอยกระทงขึ้นนั้น เกิดจากความเชื่อหลาย ๆ ประการของแต่ละท้องที่ ได้แก่ 1. เพื่อแสดงความสำนึกถึงบุญคุณของแม่น้ำที่ให้เราได้อาศัยน้ำกิน น้ำใช้ ตลอดจนเป็นการขอขมาต่อพระ แม่คงคา ที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงไปในน้ำ อันเป็นสาเหตุให้แหล่งน้ำไม่สะอาด 2. เพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมโปรดใน นาคพิภพ และได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนหาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้น ทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุทท 3. เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เพราะการลอยกระทงเปรียบเหมือนการลอยความทุกข์ ความโศกเศร้า โรคภัยไข้เจ็บ และสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ให้ลอยตามแม่น้ำไปกับกระทง คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์ 4. เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุต ที่ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ใน ท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล โดยมีตำนานเล่าว่าพระอุปคุตเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถ ปราบพญามารได้ 5. เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้เกิดขึ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ 6. เพื่อความบันเทิงเริงใจ เนื่องจากการลอยกระทงเป็นการนัดพบปะสังสรรค์กันในหมู่ผู้ไปร่วมงาน 7. เพื่อส่งเสริมงานฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ เพราะเมื่อมีเทศกาลลอยกระทง มักจะมีการประกวด กระทงแข่งกัน ทำให้ผู้เข้าร่วมได้เกิดความคิดแปลกใหม่ และยังรักษาภูมิปัญญาพื้นบ้านไว้อีกด้วย กิจกรรมวันลอยกระทงได้ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย ส่งเสริมให้เด็กไทยเห็นความสำคัญของการดูแลแหล่งน้ำ ดื่มน้ำใช้ซึ่งในอดีตคนไทยจะใช้ชีวิตอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ประกอบอาชีพดำรงชีวิตโดยทางน้ำเป็นส่วนใหญ่ ให้เรามี ความกตัญญูต่อแม่น้ำ ทำกิจกรรมต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความเชื่อในสิ่งทีอยู่เหนือ ธรรมชาติ ตรงกับคุณค่าพระวรสาร คือ ความเชื่อศรัทธา นักเรียนมีความกตัญญูรู้คุณต่อแม่น้ำ ตรงกับคุณค่า พระวรสาร คือความกตัญญู ความรู้ความเข้าใจในคุณค่าโดยผ่านกิจกรรมลอยกะเธอ
เรื่อง คุณธรรม จริยธรรมนำใจสูวัยเด็ก..ชั้นประถมศึกษาปที่ 1 คุณครูบุษบา ฉิ่งเล็ก ครูผูสอนวิชาสังคม กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม คุณคาพระวรสาร : มโนธรรม / วิจารณญาณ / ความกลาหาญเชิงศีลธรรม การที่มนุษยเราจะอยูรวมกันในสังคมดวยความสงบสุข รมเย็น หรือทำงานรวมกันใหบรรลุผลสำเร็จได นั้น จะตองมีสิ่งยึดเหนี่ยวใหทุกคนคิดและกระทำในสิ่งที่ถูกตองและทุกคนถึงพอใจรวมกัน สิ่งนั้นเรียกวา “ความดี” กลาวคือ การคิดดี พูดดี ทำดี ซึ่งหากมีในบุคคลใดสังคมใดแลว บุคคลนั้นสังคมนั้นอาจเรียกไดวามี “คุณธรรมจริยธรรม” อันจะนำมาซึ่งคุณประโยชนสวนตนและสังคมสวนรวม เพราะความเจริญกาวหนาของ สังคมตั้งแตระดับเล็กสุด คือ ครอบครัว ชุมชน จนกระทั่งระดับใหญสุดคือประเทศชาติ จะเกิดขึ้นไดก็ตอเมื่อ คนในชาติทุกระดับชั้นมีคุณธรรมจริยธรรมเปนเครื่องหลอหลอมใหเกิดความรวมมือรวมใจ มีแรงผลักดันในการ พัฒนาประเทศ สามารถเสียสละประโยชนสวนตนเพื่อสวนรวม ขณะเดียวกันองคการระดับตางๆ ผูบริหารทุก ระดับ รวมทั้งสมาชิกในองคการจำเปนตองมีคุณธรรมจริยธรรมเพื่อเปนหลักในการดำรงพฤติกรรมในการครอง ตน ครองคนและครองงาน อันจะทำใหการปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและสงผลตอความสำเร็จขององคการตาม เปาหมายที่กำหนดไว ดังนั้นการสอนคุณธรรม จริยธรรมใหแกเด็ก ๆ ระดับประถมฯ จะตองมีการสอดแทรกนิทานเกี่ยวกับ คุณธรรม จริยธรรมเพื่อใหเด็ก ๆ สนใจในการเรียนวิชาสังคมศึกษา บทบาทของครูผูสอนจะตองเปนผูนำให นักเรียนสนใจในวิชานี้กอน โดยสรางองคความรูควบคูกับการสรางนวัตกรรมใหมมาใชในกระบวนการจัดการ เรียนรู โดยการจัดกิจกรรมที่เนนผูเรียนเปนสำคัญ จัดบรรยากาศที่เหมาะสมแกการเรียนรู ใชสื่อตาง ๆ และ เทคโนโลยีประกอบการจัดการเรียนรู จึงไดสรางหนังสือเลมเล็ก ชุดคุณธรรม จริยธรรม/บทบาท และหนาที่ เด็กดีไทยมาใชในการจัดกระบวนการเรียนการสอน ชุดหนังสือเลมเล็ก เรื่อง คุณธรรม จริยธรรม/บทบาท และหนาที่เด็กดีไทย เปนนวัตกรรมสื่อการสอน ที่เนนใหผูเรียนไดมีสวนรวมในการเรียนรู โดยรวมมือกับ หองสมุดประถมฯ โดยการจัดการเรียนการสอนใน หองเรียน และนำนักเรียนมาในชวงเวลาวางที่หองสมุดประถมฯ โดยใหนักเรียนอาน และทำความเขาใจใน เนื้อหาชุดหนังสือเลมเล็ก
ชุดหนังสือเลมเล็ก เรื่อง คุณธรรม จริยธรรม/บทบาท และหนาที่เด็กดีไทย การเรียนการสอนในรูปแบบนี้ใหนักเรียนไดเขารวมกิจกรรม ทำใหเด็กไดความรู และไดรับความ บันเทิงไมตองจำเจกับการเรียนการสอนในหองเรียน มีการสรางบรรยากาศในการเรียนการสอนที่ดี เด็กจึงมี ความสุขในการเรียนวิชาสังคมนี้ ชุดหนังสือเลมเล็ก ที่ทางหองสมุดจัดทำนั้นเปนอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับ การเรียนการสอนในครั้งนี้ทั้งยังสอดคลองกับมาตรฐาน ตัวชี้วัดของวิชาสังคมอีกดวย
ตามหากันจนเจอ ครูอโณวรณ นุชนารถ นอกจากนี้การบอกระยะทางช่วยให้เรารู้ว่า สถานที่หรือสิ่งสิ่ ที่เราพูดถึงอยู่ ห่างจากสถานที่หรือสิ่งสิ่ ที่เรารู้จักมากน้อยเพียงใด การบอกที่ตั้งหรือตำแหน่ง จะบอกได้อย่างชัดเจน และเข้าใจได้ง่ายต้องบอกทั้งทิศทางและระยะทาง เมื่อต้องการตามหาสถานที่ใด แผนผังภาพที่ย่อส่วนสิ่งสิ่ต่างฯ เช่น อาคารหรือ สถานที่ โดยเขียนลงบนกระดาษเพื่อแสดงส่วนต่างๆ ของบริเวณนั้นมีลักษณะ เป็นภาพที่มองจากด้านบน แผนผังต่างๆ เช่น แผนผังบ้าน แผนผังโรงเรียน คุณค่าพระวารสาร : การไตร่ตรอง ตำแหน่ง ทิศทาง ระยะทาง แผนผัง ที่ตั้งของสถานที่หรือสิ่งสิ่ต่างๆ การบอก ตำแหน่งทำได้ โดยบอกว่าสถานที่นั้นหรือสิ่งสิ่นั้นอยู่ทางทิศใดของสถานที่ที่เรา รู้จัก และอยู่ห่าง เป็นระยะทางเท่าใด ในส่วนการบอกทิศทางช่วยให้เรารู้ว่า สถานที่หรือสิ่งสิ่ ที่เราพูดถึง ตั้งอยู่ทางด้านใดของสถานที่หรือสิ่งสิ่ ที่เรารู้จัก เช่น ห้างสรรพสินค้าอยู่ทางด้านข้างของโรงเรียน สนามฟุตบอลอยู่ด้านหน้า โรงเรียน นอกจากนี้ยังนิยมบอกทิศทางเป็นชื่อทิศต่างๆ เช่น บ้านอยู่ทางทิศ เหนือของโรงเรียนวัดอยู่ทางทิศตะวันออกของโรงเรียน ทิศสำคัญหรือทิศหลักมี 4 ทิศ คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ทิศตะวันออก และทิศ ตะวันตกในตอนเช้าถ้าเราหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ด้านหน้าของเรา คือ ทิศ ตะวันออก ด้านหลัง เป็นทิศตะวันตก ด้านช้ายเป็นทิศเหนือ และด้านขวาเป็น ทิศใต้
ครูให้นักเรียนออกไปศึกษานอกห้องเรียนจากแสภาพแวดล้อมจริง ภายใน โรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ไปร่วมสังเกตเรียนรู้ด้วยตนเองจากสภาพแวดล้อม ทางธรรมชาติ เพื่อสังเกตแสง ทิศทาง และตำแหน่งของดวงอาทิตย์ หลังจาก นั้นเพื่อร่วมกันอภิปรายในชั้นเรียนร่วมกันจากกการได้ออกไปสำรวจ จากนั้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ถึงเนื้อหาโดยครูใช้การนำเสนอด้วย โปรแกรม Powerpoint เพื่อเชื่อมโยงความรู้สู่หลักการเนื้อหา จุดประสงค์ของการเรียน รู้ใน เรื่องตำแหน่ง ระยะ ทิศ แผนผัง และให้นักเรียนได้มีโอกาสประเมินผล ความสามารถของตนเองโดยผ่านการเล่นเกม เพื่อตรวจสอบความรู้จาก กิจกรรม
การแปรงฟัน ครูศิริพร เหลืองอร่าม (สุขศึกษา ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1) คุณค่าพระวรสาร : ความจริง สุขภาพฟัน เป็นหนึ่งในสุขภาพของร่างกายที่ควรจะได้รับการดูแลให้ดี เพราะ สุขภาพฟันเป็น ส่วนหนึ่งของ ความงามบนใบหน้า ซึ่งคนส่วนใหญ่จะประทับใจเมื่อได้แรกเห็น ผู้ที่มีสุขภาพฟันดี หรือกล่าวอีกนับหนึ่งมีฟัน สวยงาม ย่อมสร้างรอยยิ้มให้กับตัวเองได้อย่างน่าประทับใจ สุขภาพฟันช่วยให้สุขภาพอื่นๆ แข็งแรง ไป ด้วยกันสืบเนื่องจากฟันใช้ในการบดเคี้ยว ถ้าการบดเคี้ยวมีปัญหา อาจจะสามารถทำให้สุขภาพส่วนอื่นๆ เสีย ไปด้วยเช่นกัน เช่น การบดเคี้ยวไม่ละเอียด จะเป็นสาเหตุของปัญหา ของระบบย่อยอาหาร ทำให้เพิ่มระดับ ของปัญหาตามมาเรื่องของการย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหารต่างๆให้ร่างกายซึ่งสุดท้ายอาจจะส่งผลต่อ สุขภาพโดยรวม อนึ่งการที่สุขภาพฟันไม่ได้ มีการติดเชื้อ มีรายงานทางวิชาการมากมายว่าจะส่งผลต่อสุขภาพ และการเกิด โรคอื่นๆ ตามมา เช่นการเกิดโรคฟันผุลุกลาม อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อในกระแส เลือด , หรือโรค เหงือกอักเสบ/โรคปริทันต มีผลทำให้การเกิดโรคหัวใจ ลุกลามได้ เป็นต้น มีคนจำนวนมากทีเดียวที่ไม่ทราบ ว่า ฟันมีส่วนในเรื่องการออกเสียงด้วยเช่นกัน เช่นคำ ส. เสือ หรือ ฟ. ฟัน ถ้าไม่มีฟันหน้า บุคคลนั้นจะไม่ สามารถเปล่งเสียง ส และ ฟ. ฟันได้ถูกต้อง
สำหรับน้องๆ ช่วงอายุ 3-6 ปี คุณพ่อคุณแม่ควรสอนการแปรงฟันให้เด็กๆ แปรงฟันอย่างถูกวิธี ดีต่อสุขภาพ ปาก และลดปัญหาฟันผุ โดยพบว่า เด็กที่มีฟันผุในฟันน้ำนม จะมีโอกาสฟันผุในฟันแท้มากกว่า 3 เท่า เมื่อ เทียบกับเด็กที่ไม่เคยมีฟันผุเลย ขั้นตอนการแปรงฟันให้สะอาด และการดูแลรักษาฟัน วางแปรงสีฟันขนนุ่ม ทำมุม 45 องศา บริเวณรอยต่อระหว่างเหงือกและฟันถูแปรงสีฟันไปมาในช่วงสั้นๆ เบาๆ ตามแนวฟันและเหงือกแปรงให้ครบ 3 ด้าน ด้านนอก ด้านใน ด้านบดเคี้ยว อย่าลืมแปรงลิ้น และกระพุ้ง แก้ม เพื่อขจัดคราบจุลินทรีย์ และกลิ่นปาก สำหรับน้องๆ ช่วงอายุ 3-6 ปี คุณพ่อคุณแม่ควรสอนการแปรงฟัน ให้เด็กๆ แปรงฟันอย่างถูกวิธี ดีต่อสุขภาพปาก และลดปัญหาฟันผุ โดยพบว่า เด็กที่มีฟันผุในฟันน้ำนม จะมี โอกาสฟันผุในฟันแท้มากกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่เคยมีฟันผุเลย