The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มหาเวสสันดรชาดก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Thanaphon Kanyamee, 2022-12-22 04:55:12

มหาเวสสันดรชาดก

มหาเวสสันดรชาดก

มหาเวสสันดรชาดก


คำนำ

E-book เล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ท๓๑๑๐๒ ภาษาไทย ๒
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการศึกษาเรื่องมหาเวสสันดรชาดก และได้ศึกษาเพื่อประโยชน์แก่การเรียนในรายวิชา

นี้
ผู้จัดทำหวังว่า E-book เล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านหากมีข้อผิดพลาดประการใด
คณะผู้จัดทำขอน้อมรับและขออภัยมา ณ ที่นี้

คณะผู้จัดทำ


คำนำ สารบัญ ๑๗
สารบัญ ๑๘
ผู้แต่ง ๑ กัณฑ์ที่ ๑๑ ๑๙
ที่มาของเรื่อง ๒ กัณฑ์ที่ ๑๒ ๒๐
ลักษณะคำประพันธ์ ๓ กัณฑ์ที่ ๑๓ ๒๑
จุดประสงค์ในการแต่ง ๔ คำศัพท์ ๒๒
กัณฑ์ที่ ๑ ๕. ๒๓
กัณฑ์ที่ ๒ ๖ ข้อคิดที่ได้ของแต่ละ ๒๔
กัณฑ์ที่ ๓ ๗ กัณฑ์ ๒๕
กัณฑ์ที่ ๔ ๘ ความรู้ประกอบเรื่อง ๒๖
กัณฑ์ที่ ๕ ๙ วิจารณ์ตัวละครสำคัญ ๒๗
กัณฑ์ที่ ๖ ๑๐ . ๒๘
กัณฑ์ที่ ๗ ๑๑ . ๒๙
กัณฑ์ที่ ๘ ๑๒ . ๓๐
กัณฑ์ที่ ๙ ๑๓ . ๓๑
กัณฑ์ที่ ๑๐ ๑๔ . ๓๒
๑๕ .
๑๖ ฝนโบกขรพรรษ ๒


สารบัญ ๓๑
๓๒
ทศชาติ ๓๓
. ๓๔
. ๓๕
. ๓๖
. ๓๗
. ๓๘
. ๓๙
. ๔๐
. ๑๔
. ๔๒
. ๔๓
ข้อคิดจากเรื่องที่สามารถนำไปประยุกต์ในชีวิตประจำ
วัน ๓
รายชื่อผู้จัดทำ


ผู้แต่ง ผลงาน

เจ้าพระยาพระคลัง เป็นกวีเอกคนหนึ่งในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีนามเดิมว่า หน เกิดเมื่อใด แต่งในสมัยกรุงธนบุรี
ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด น่าจะอยู่ในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา และถึงแก่อสัญกรรม - ลิลิตเพชรมงกุฎ
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๔๘ ผลงานด้านวรรณคดีที่ท่านได้แต่งไว้หลายเรื่องด้วยกัน - อิเหนาคำฉันท์
แต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
เจ้าพระยาพระคลัง เป็นบุตรเจ้าพระยาบดินทร์สุรินทร์ฦๅชัย (บุญมี) กับท่านผู้หญิง - สามก๊ก (เป็นผู้อำนวยการแปล)
เจริญ มีบุตรธิดาหลายคน ที่มีชื่อเสียงคือ เจ้าจอมพุ่ม ในรัชกาลที่ ๒ เจ้าจอมมารดานิ่ม - ราชาธิราช (เป็นผู้อำนวยการแปล)
พระมารดาสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร (มั่ง) ในรัชกาลที่ ๒ นายเกต และนายพัด - กากีกลอนสุภาพ
ซึ่งเป็นกวีและครูพิณพาทย์ เป็นต้นสกุล บุญ-หลง - ร่ายยาวมหาชาติ กัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี
รับราชการ - ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง
- โคลงสุภาษิต
มีหลักฐานระบุได้ว่าท่านได้รับราชการมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี มีบรรดาศักดิ์เป็นหลวง - กลอนและร่ายจารึกเรื่องสร้างภูเขาที่วัดราชคฤห์
สรวิชิต ตำแหน่งนายด่านเมืองอุทัยธานี ครั้นเมื่อถึงปลายรัชกาล ที่เหตุระส่ำระสายเกิดจลาจล - ลิลิตศรีวิชัยชาดก
ในพระนครท่านได้ลอบส่งคนนำหนังสือแจ้งเหตุภายในพระนครไปถวายสมเด็จเจ้าพระยามหา - สมบัติอมรินทร์คำกลอน
กษัตริย์ศึก (ภายหลังคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ซึ่งกำลังยกกองทัพไปตี
เขมรหลวงสรวิชิต (ในเวลานั้น) ออกไปรับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกถึงทุ่งแสนแสบ แล้ว ๔
บอกข้อราชการต่างๆ จากนั้นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เข้ามาปราบเหตุจลาจลใน

พระนคร แล้วทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อ
เหตุการณ์ในพระนครสงบเรียบร้อย พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้
ท่านเป็นพระยาพิพัฒน์โกษา และในที่สุดเมื่อตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลังว่างลง
ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาพระคลัง เป็นเสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า
มีหน้าที่ควบคุมบังคับบัญชากิจการทางหัวเมืองชายทะเลทั้งหมด เจ้าพระยาพระคลังท่านนี้
นอกจากมีความสามารถในเชิงบริหารกิจการบ้านเมือง และเป็นนักรบแล้ว ยังมีความสามารถ
ในเชิงอักษรศาสตร์เป็นที่ยกย่องว่าเป็นกวีฝีปากเอก มีสำนวนโวหารไพเราะ
ทั้งร้อยกรองหลากหลายชนิด และสำนวนร้อยแก้วที่มีสำนวนโวหารไพเราะไม่แพ้กัน


ที่มาของเรื่อง

มาจากร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นชาดกเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยกล่าวถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์
ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร เดิมแต่งเป็นภาษาบาลี ต่อมามีการแปลเป็นภาษาไทยในสมัยกรุงสุโขทัย

ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรดเกล้าฯให้ปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งมหาชาติคำหลวง
ซึ่งเป็นมหาชาติสำนวนแรก โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้สวด ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าให้แต่งกาพย์
มหาชาติ เพื่อใช้สำหรับเทศน์ แต่เนื้อความในกาพย์มหาชาติค่อนข้างยาว ไม่สามารถเทศน์ให้จบภายใน ๑ วัน

จึงเกิดมหาชาติขึ้นใหม่อีกหลายสำนวน เพื่อให้เทศน์จบภายใน ๑ วัน
มหาชาติสำนวนใหม่นี้เรียกว่า มหาชาติกลอนเทศน์ หรือ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯโปรดเกล้าฯให้มีการชำระและรวบรวมมหาชาติ
กลอนเทศสำนวนต่าง ๆ แล้วคัดเลือกสำนวนที่ดีที่สุดของแต่ละกัณฑ์ นำมาจัดพิมพ์เป็นฉบับของหลวง ๒ ฉบับ

คือ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ และ ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ




ลักษณะคำประพันธ์

แต่งเป็นร่ายยาว มีพระคาถาภาษาบาลีนำ และพรรณนาเนื้อความโดยมีพระคาถาสลับเป็นตอน ๆ ไปจนจบกัณฑ์ คำ
ประพันธ์ประเภทร่ายยาว หนึ่งบทจะมีกี่วรรคก็ได้ แต่ส่วนมากมี ๕ วรรคขึ้นไป วรรคหนึ่ง ๆ มีตั้งแต่ ๖ คำขึ้นไป ถึง ๑๐ คำหรือ

มากกว่า
มีบังคับเฉพาะระหว่างวรรค คือ คำสุดท้ายของวรรคจะส่งสัมผัสไปที่คำที่ ๑ ถึง ๕ ของวรรคต่อไป เมื่อจบตอนมักมีคำสร้อย
เช่น “นั้นแล” “นี้แล” ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก เป็นร่ายยาวสำหรับเทศน์ จะมีคำศัพท์บาลีขึ้นก่อน แล้วแปลเป็นภาษาไทย
แล้วจึงมีร่ายตาม ในระหว่างการดำเนินเรื่องจะมีคำบาลีคั่นเป็นระยะ ๆ คำบาลีนั้นมีความหมายเกี่ยวเนื่องกับข้อความที่ตามมา


จุดประสงค์ในการแต่ง

เพื่อใช้เทศน์ให้ประชาชนฟัง มหาเสสันดรชาดก แต่งขึ้นเพื่อใช้เทศน์มหาชาติ
เนื่องจากร่ายยาวหมาเสสันดรชาดกเป็นชาดกเรื่องใหญ่ที่สุด

เป็นชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเสสันดร ซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
แล้วเสด็จออกผนวชกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องราวในพระชาติที่เป็นพระเวสสันดร
ได้ทรงบำเพ็ญทศบารมี ครบทั้ง ๑๐ ประการ โดนเฉพาะอย่างยิ่ง ทานบารมี
ซึ่งทรงบริจาคบุตรทารทาน คือ บริจาคพระชาลี พระกัณหา และพระนางมัทรี
จึงเป็นชาติที่สำคัญและยิ่งใหญ่ เรียกว่า “มหาชาติ” หรือ “มหาเสสันดรชาดก”


เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๑

กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร
เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี ก่อนที่จะจุติลงมาเป็นพระราชมารดาของพระเวสสันดรภาค
สวรรค์ พระนางผุสดีเทพอัปสรสิ้นบุญ ท้าวสักกะเทวราชสวามีทรงทราบจึงพาไปประทับยังสวนนันทวันในเทวโลก
พร้อมให้พร ๑๐ ประการ คือ ให้ได้อยู่ในประสาทของพระเจ้าสิริราชแห่งนครสีพี ขอให้มีจักษุดำดุจนัยน์ตาลูกเนื้อ

ขอให้คิ้วดำสนิท ขอให้พระนามว่า ผุสดี ขอให้มีโอรสที่ทรงเกียรติยศเหนือกษัตริย์ทั้งหลายและมีใจบุญ
ขอให้มีครรภ์ที่ผิดไปจากสตรีสามัญคือแบนราบในเวลาทรงครรภ์ ขอให้มีถันงามอย่ารู้ดำและหย่อนยาน

ขอให้มีเกศาดำสนิท ขอให้มีผิวงาม และข้อสุดท้ายขอให้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษได้




เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๒

กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์
เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรบริจาคทานช้างปัจจัยนาค ประชาชนสีพีโกรธแค้นจึงขับไล่ให้ไปอยู่เขาวงกต
พระนางผุสดีได้จุติลงมาเป็นพระราชธิดาพระเจ้ามัททราช เมื่อเจริญชนม์ได้ ๑๖ ชันษาจึงได้อภิเษกสมรสกับ
พระเจ้ากรุงสญชัย แห่งสีวิรัฐนคร ต่อมาได้ประสูติพระโอรสนามว่า “เวสสันดร”ในวันที่ประสูตินั้นได้มีนางช้างฉัททันต์
ตกลูกเป็นช้างเผือกขาวบริสุทธิ์จึงนำมาไว้ในโรงช้างต้นคู่บารมีให้มีนามว่า “ปัจจัยนาค” เมื่อพระเวสสันดรเจริญชนม์ ๑๖
พรรษา พระราชบิดาก็ยกสมบัติให้ครอบครองและทรงอภิเษกกับนางมัทรี พระราชบิดาราชวงศ์มัททราช มีพระโอรส ๑
องค์ชื่อ ชาลี ราชธิดา ชื่อ กัณหา พระองค์ได้สร้างโรงทาน บริจาคทานแก่ผู้เข็ญใจ ต่อพระเจ้ากาลิงคะแห่งนครกาลิงค
รัฐได้ส่งพราหมณ์มาขอพระราชทานช้างปัจจัยนาค พระองค์จึงพระราชทานช้างปัจจัยนาค พระองค์จึงพระราชทาน

ช้างปัจจัยนาคแก่พระเจ้ากาลิงคะ ชาวกรุงสัญชัย จึงเนรเทศพระเวสสันดรออกนอกพระนคร






เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๓

กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์
เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงแจกมหาสัตสดกทาน คือ การแจกทานครั้งยิ่งใหญ่
ก่อนที่พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระนางมัทรี ชาลี และกัณหาออกจากพระนคร จึงทูลขอพระราชทานโอกาสบำเพ็ญ
มหาสัตสดกทาน คือ การให้ทานครั้งยิ่งใหญ่ อันได้แก่ ช้าง ม้า โคนม นารี ทาสี ทาสาสรรพวัตถาภรณ์ต่างๆ รวมทั้ง

สุราบานอย่างละ ๗๐๐



๑๐


เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๔

กัณฑ์ที่ ๔ วนประเวศน์
เป็นกัณฑ์สี่กษัตริย์เดินดงบ่ายประพักตร์สู่เขาวงกต
เมื่อเดินทางถึงนครเจตราชทั้งสี่กษัตริย์จึงแวะเข้าประทับพักหนาศาลาพระกษัตริย์ผู้ครองนครเจตราช
จึงทูลเสด็จครองเมือง แต่พระเวสสันดรทรงปฏิเสธ และเมื่อเสด็จถึงถึงเขาวงกตได้พบศาลาอาศรม ซึ่งท้าววิษณุ
กรรมเนรมิตตามพระบัญชาของท้าวสักกะเทวราช กษัตริย์ทั้งสี่จึงทรงผนววชเป็นฤๅษีพำนักในอาศรมสืบมา




๑๑


เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๕

กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก
เป็นกัณฑ์ที่ชูชกได้นางอมิตตามาเป็นภรรยาและหมายจะได้โอรส และธิดาพระเวสสันดรมาเป็นทาส
ในแคว้นกาลิงคะมีพราหมณ์แก่ชื่อชูชก พนักในบ้านทุนวิฐะ เที่ยวขอทานในเมืองต่างๆ เมื่อได้เงินถึง ๑๐๐ กหาปณะ
จึงนำไปฝากไว้กับพราหมณ์ผัวเมีย แต่ได้นำเงินไปใช้เป็นการส่วนตัวเมื่อชูชกมาทวงเงินคืนจึงยกนางอมิตดาลูกสาว
ให้แก่ชูชก นางอมิตดาเมื่อมาอยู่ร่วมกับชูชกได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี ทำให้ชายในหมู่บ้านเปรียบเทียบกับภรรยา
ตน หญิงในหมู่บ้านจึงเกลียดชังและรุมทำร้ายทุบตีนางอมิตดา ชูชกจึงเดินทางไปทูลขอกัณหาชาลีเพื่อเป็นทาสรับ

ใช้ เมื่อเดินทางมาถึงเขาวงกตก็ถูกขัดขวางจากพราหมณ์เจตบุตรผู้รักษาประตูป่า





๑๒


เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๖

กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน
เป็นกัณฑ์ที่พรานเจตบุตรหลงชูชก และชี้ทางสู่อาศรมอจุตฤๅษี
ชูชกได้ชูกลักลักพริกขิงแก่พรานเจตบุตรอ้างว่าเป็นพระราชสาสน์ของเจ้ากรุงสญชัย

จึงได้พาไปยังต้นทางที่จะไปอาศรมฤๅษี



๑๓


เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๗

กัณฑ์ที่ ๗ มหาพน
เป็นกัณฑ์ป่าใหญ่ ชูชกหลอกหล่อจุตฤๅษีให้บอกทางสู่อาศรมพระเวสสันดรแล้วก็รอนแรมเดินไพรไปหา

เมื่อถึงอาศรมฤๅษี ชูชกได้พบกับจุตฤๅษี ชูชกใช้คารมหลอกหล่อนจนอจุตฤๅษี
ให้ที่พักหนึ่งคืนและบอกเส้นทางไปยังอาศรมพระเวสสันดร



๑๔


เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๘

กัณฑ์ที่ ๘ กัณฑ์กุมาร
เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงได้ทานสองโอรสแก่เฒ่าชูชก
พระนางมัทรีฝันร้ายเหมือนบอกเหตุแห่งการพลัดพรากรุ่งเช้าเมื่อนางมัทรีเข้าป่าหาอาหารแล้วชูชกจึงเข้าเฝ้าทูล
ขอสองกุมาร สองกุมารจึงพากันลงไปซ่อนตัวอยู่ที่สระพระเวสสันดรจึงลงเสด็จติดตามสองกุมาร แล้วจึงมอบให้แก่ชู

ชก



๑๕


เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๙

กัณฑ์ที่ ๙ กัณฑ์มัทรี
เป็นกัณฑ์ที่พระนางมัทรีทรงได้ตัดความห่วงหาอาลัยในสายเลือด อนุโมทนาทานโอรสทั้งสองแก่ชูชก
พระนางมัทรีเดินเข้าไปหาผลไม้ในป่าลึกจนคล้อยเย็นจึงเดินทางกลับอาศรม แต่มีเทวดาแปลงกายเป็นเสือนอนขวาง
ทางจนค่ำ เมื่อกลับถึงอาศรมไม่พบโอรส พระเวสสันดรได้กล่าวว่านางนอกใจ จึงออกเที่ยวหาโอรสและกลับมาสิ้นสติ
ต่อเบื้องพระพักตร์ พระองค์ทรงตกพระทัยลืมตนว่าเป็นดาบส จึงทรงเข้าอุ้มพระนางมัทรีและทรงกันแสง เมื่อนางมัทรี

ฟื้ นจึงถวายบังคมประทานโทษพระเวสสันดรจึงบอกความจริงว่าได้ประทานโอรสแก่ชูชกแล้ว
หากชีวิตไม่สิ้นคงจะได้พบนางจึงได้ทรงอนุโมทนา



๑๖


เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๑๐

กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ
เป็นกรรณที่พระอินทร์เจ้าจำแลงกายเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี แล้วสลบลงเมื่อได้พบ
ท้าวสักกะเทวราชเสด็จแปลงเป็นพราหมณ์เพื่อทูลขอนางมัทรีพระเวสสันดรจึงพระราชทานให้พระนางมัทรีก็ยินดี
อนุโมทนาเพื่อร่วมทานบารมีให้สำเร็จพระสัมโพธิญาณเป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวสะท้าน ท้าวสักกะเทวราชในร่าง
พราหมณ์จึงฝากนางมัทรีไว้ยังไม่รับไป ตรัสบอกความจริงและถวายคืนพร้อมถวายพระพร ๘ ประการ




๑๗


เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๑๑

กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราช
เป็นกัณฑ์ที่เทพเจ้าจำแลงองค์องค์ทำนุบำรุงขวัญสองกุมารก่อนเสด็จนิวัติถึงมหานครสีพี
เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ชูชกจะผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้ ส่วนตนปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้เหล่าเทวดาจึงแปลงร่างลง
มาปกป้องสองกุมาร จนเดินทางถึงกรุงสีพีเกิดนิมิตฝันตามคำทำนายยังความปีติปราโมทย์ เมื่อเสด็จลงหน้าลานหลวง
ตอนรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็นชูชกพากุมารน้อยสองพระองค์ ทรงทราบความจริงจึงพระราชทานค่าไถ่คืน
ต่อมาชูชกก็ดับชีพตักษัยด้วยเพราะเดโชธาตุไม่ย่อย ชาลีจูงได้ทูลขอให้ไปรับพระบิดาพระมารดานิวัติพระนคร

ในขณะเดียวกันเจ้านครกลิงคะได้โปรดคืนช้างปัจจัยนาคแก่นครสีพี



๑๘


เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๑๒

กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์
เป็นกัณฑ์ที่ทั้งหกกษัตริย์ถึงวิสัญญีภาพสลบลงเมื่อได้พบหน้า ณ อาศรมดาบสที่เขาวงกต
พระเจ้ากรุงสญชัยใช้เวลา ๑ เดือน กับ ๒๓ วัน จึงเดินถึงเขาวงกต เสียงโห่ ร้องของทหารทั้ง ๔ เหล่า
พระเวสสันดรทรงคิดว่าเป็นข้าศึกมารบนนครสีพี จึงชวนนางมัทรีขึ้นไปแอบดูที่ยอดเขาพระนางมัทรี
ทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดา ได้ทรงตรัสทูลพระเวสสันดรและเมื่อหกกษัตริย์ได้พบหน้ากันทรงกันแสงสุดประมาณ

รวมทั้งทหารเหล่าทัพ ทำให้ป่าใหญ่สนั่นครั่นครืน
ท้าวสักกะเทวราชจึงได้ทรงบันดาลให้ฝนตกประพรมหกกษัตริย์และหวยหาญได้หายเศร้าโศก






๑๙


เนื้อเรื่องย่อ กัณฑ์ที่ ๑๓

กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์
เป็นกัณฑ์ที่หกกษัตริย์นำพยุหโยธาเสด็จนิวัติพระนครททพระเวสสันดรขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดา
พระเจ้ากรุงสัญชัยตรัสสารภาพผิด พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรีและเสด็จกลับสู่สีพีนคร

เมื่อเสด็จถึงจึงรับสั่งให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขัง ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวิตกว่า
รุ่งเช้าประชาชนจะแตกตื่นมารับบริจาคทาน พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่ประชาชนท้าวโกสีห์ได้ทราบจึงบันดาล

ให้มีฝนแก้ว ๗ ประการ ตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนขน
เอาตามปรารถนา ที่เหลือให้ขนเข้าคลังหลวง ในการต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติปกครองนครสีพี

โดยทศพิธราชธรรมบ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขตลอดพระชนมายุ



๒๐


คำศัพท์ที่ปรากฏ ๒๑


กระลี หมายถึง เหตุร้าย
กเลวระ หมายถึง ซากศพ
ชี หมายถึง นักบวช ในที่นี้หมายถึงพระเวสสันดร
เต็มเดือด หมายถึง เดือดเต็มที่ หมายถึง โกรธจัด
เถื่อน หมายถึง ป่า
ทรามคะนอง หมายถึง กำลังคะนอง หมายถึง กำลังซน
ทุเรศ หมายถึง ไกล ในความหมายว่า จากบุรีทุเรศมา
น่าหลากใจ หมายถึง น่าประหลาดใจ
นิ่งมัธยัสถ์ หมายถึง ประหยัดถ้อยคำ ไม่ยอมพูด
บริจาริกาการ หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่หญิงรับใช้ ผู้ที่ทำหน้าที่ภรรยา ในที่นี้หมายถึง พระนางมัทรี
ปริภาษณา หมายถึง บริภาษ กล่าวโทษ
พญาพาฬมฤคราช หมายถึง ราชาแห่งสัตว์ร้าย ราชาแห่งสัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร
พระราชสมการ หมายถึง พระราชาผู้ออกบวช เป็นคำที่พะนางมัทรีเรียกพระเวสสันดร
พร้า หมายถึง มีดขนาดใหญ่
พฤกษาลดาวัลย์ หมายถึง ไม้เลื้อยหรือไม้เถา แต่ในที่นี้หมายถึงไม้ผล ซึ่งอาจหมายถึง ต้นไม้ที่ออกลูกออกผลแล้วตาย
พื้นปริมณฑล หมายถึง พื้นที่โดยรอบ ในที่นี้หมายถึง อาณาบริเวณ


คำศัพท์ที่ปรากฏ

มังสัง หมายถึง มังสะ เนื้อ ๒๒
มังฉริยธรรม หมายถึง ความตระหนี่

มาเลศ หมายถึง มาลี ดอกไม้
มุจลินท์ หมายถึง สระใหญ่ในป่าหิมพานต์ เป็นที่ที่หงส์อาศัยอยู่ “ปราศจากมุจลินท์” หมายความว่าไปจากสระมุจลินท์
มูนมอง หมายถึง มากมาย
เมิล หมายถึง มองดู
ไม่มีเนตร หมายถึง ไม่มีตา ในที่นี้หมายความว่า ไม่เห็นหนทาง หาทางออกไม่ได้
ยับ หมายถึง พังทลาย ในความว่า “อกของใครจะอาภัพยับพิกลเหมือนอกของมัทรี”
ยุบลสาร หมายถึง ข่าว
ระแนง หมายถึง เรียงราย ในความว่า “ดั่งบุคคลเอาแก้วมาระแนง”
ศิโรเพฐน์ หมายถึง ผ้าโพกศีรษะ ในที่นี้หมายถึงศีรษะ “บ่ายศิโรเพฐน์” คือ เอนศีรษะลง
สองรา หมายถึง สองคน คำว่า “รา” เป็นภาษาถิ่นล้านนา แปลว่า เราทั้งคู่
สัตพิธรัตน์ หมายถึง แก้ว ๗ ประการ ได้แก่ ทอง เงิน มุกดาหาร ทับทิม ไพฑูรย์ เพชร และแก้วประพาฬ
แสรกคาน หมายถึง สาแหรกและคาน ซึ่งเป็นเครื่องหาบ สาแหรกคือเครื่องใส่ของสำหรับหาบ ปกติทำด้วยหวาย ส่วนคานคือไม้คาน
ซึ่งใช้คอนสาแหรกตรงปลายไม้ทั้งสองข้าง
หน่อกษัตริย์ หมายถึง เชื้อสายกษัตริย์ ในที่นี้หมายถึงพระนางมัทรีผู้เป็นพระธิดาของกษัตริย์มัททราช
หน้าฉาน หมายถึง หน้าที่นั่ง ในที่นี้หมายถึงตรงหน้าพระอาศรมที่พระเวสสันดรประทับอยู่
อัฏฐาการ หมายถึง ลุกขึ้น


ข้อคิดที่ได้ในแต่ละกัณฑ์

๑) กัณฑ์ทศพร: การทำบุญจะได้ดังประสงค์ ต้องอธิษฐานจิต ตั้งเป้าหมายชีวิตที่ตน ปรารถนาไว้ ตั้งมั่นและบริบูรณ์ในศีล
ได้แก่ การทำความดี รักษาความดีนั้นไว้ และหมั่นเพิ่มพูนความดีให้มากยิ่งขึ้น
๒) กัณฑ์หิมพานต์: การทำความดี มักมีอุปสรรค กัณฑ์ทานกัณฑ์: พึงยอมเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม
๓) กัณฑ์ทานกัณฑ์: ความรักของแม่ ความห่วงของเมีย โทษทัณฑ์ของการเป็นหม้าย คือถูกประนามหยามหมิ่นอาจถึงจบชีวิต
ด้วยการก่อกองไฟให้รุ่งโรจน์แล้วโดดฆ่าตัวตาย เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม พึงยอมเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัว
ยามบุญมีเขาก็ยกยามตกต่ำเขาก็หยาม ชีวิตมีทั้งชื่นบานและขื่นขม
๔) กัณฑ์วนปเวศน์: มิตรแท้ แม้ในยามลำบากทุกข์ยากย่อมไม่ทอดทิ้งกัน
๕) กัณฑ์ชูชก: อย่าฝากของมีค่า ของสำคัญ หรือของหวงแหนไว้กับผู้อื่น
๖) กัณฑ์จุลพน: การรอบรู้กิจการงาน ผู้ที่ไม่รู้กิจการงานที่ทำ แม้จะเป็นคนฉลาดเฉลียว ก็อาจทำให้การงานเสียหายได้
แต่ถ้าคนฉลาดได้เรียนรู้ก็จะทำภารกิจได้ดี (มีอำนาจแต่ขาดปัญญาก็ไม่อาจประสบความสำเร็จในการทำกิจการงาน)
๗) กัณฑ์มหาพน: การเป็นคนฉลาด หากขาดสติ ก็อาจพลาดท่าเสียทีได้ ดังนั้นจึงต้องมีสติ ไตร่ตรองและรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่น
๘) กัณฑ์กุมาร: ความเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ รู้จักโอกาส รู้ความควรไม่ควร จะเป็นผู้ประสบ ความสำเร็จในสิ่งที่ตนเองปรารถนา
๙) กัณฑ์มัทรี: ไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่เท่าความรักของพ่อแม่
๑๐) กัณฑ์สักกบรรพ: การทำความดี แม้ไม่มีใครเห็น แต่เทวดาอารักษ์ย่อมรู้ย่อมเห็น
๑๑) กัณฑ์มหาราช: คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ย่อมได้รับการคุ้มครอง ปกป้องในทุกที่ทุกสถาน
๑๒) กัณฑ์ฉกษัตริย์: การให้อภัยสามารถลบรอยร้าวฉานและความบาดหมางทั้งปวง ก่อให้เกิด สันติสุขแก่ส่วนรวม
๑๓) กัณฑ์นครกัณฑ์: การทำความดี ย่อมได้รับผลตอบแทน การใช้ธรรมะในการปกครองจะทำให้ บ้านเมืองมีแต่ความสงบร่มเย็น ๒๓


พระเวสสันดร

เป็นพระโอรสของพระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดีแห่งเมืองสีพี
มีอุปนิสัย และพฤติกรรมที่สำคัญคือ การบริจาคทาน
พระราชกุมารเวสสันดรทรงบริจาคตั้งแต่เกิด

เป็นแบบอย่างของผู้เสียสละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
มุ่งบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง ยอมเสียสละความสุขส่วนพระองค์
แม้จะทุกข์ก็ไม่หวั่น เป็นแบบอย่างของบุคคลผู้ไม่ยึดติดอำนาจวาสนา
รู้ซึ้งถึงโลกธรรมที่ว่า "ยามมียศ เขาก็ยก ยามต่ำตกเขาก็หยาม"
หาได้หวั่นไหวหรือล้มเลิกบำเพ็ญบารมีไม่

๒๔


พระนางมัทรี

เป็นพระราชธิดาแห่งกษัตริย์มัทราช อภิเษกสมรสกับพระเวสสันดร
มีโอรสชื่อ พระกํณหา พระนางตามเสด็จพระเวสสันดรไปยังเขา
วงกต เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติต่างๆ ทั้งการเป็นแม่ที่ประเสริฐ
ของ
ลูก และการเป็นภรรยาที่ดีต่อสามี คือมีความอ่อนน้อม นอบน้อม
และอดทน เป็นภรรยาแม่แบบผู้มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตรของสามี
สนับสนุนเป้าหมายชีวิตอันประเสริฐที่พระสวามีได้ตั้งไว้ เป็นแบบ
อย่างของภรรยาตามทัศนะของคนตะวันออก
เป็นแม่แบบของภรรยาผู้มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตรของสามี
สนับสนุนเป้าหมายชีวิตอันประเสริฐที่สามีได้ตั้งไว้
และยังเป็นแบบอย่างของภรรยาตามทัศนะของคนตะวันออก
เช่น ปฏิบัติดูแลเรื่องข้าวปลาอาหาร เป็นต้น
ทรงคุณธรรมสำคัญ คือ "ซื่อตรง จงรัก หนักแน่น"

๒๕


พระกัณหา

เป็นผู้หนึ่งที่ทำให้พระเวสสันดรได้บำเพ็ญบุตรทานบารมี
ซึ่งเป็นทางอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ทั้งหลายไม่สามารถทำได้
พระกัณหาเป็นผู้ที่มีความกตัญญู เชื่อฟังคำสั่งสอน และมีความเฉลียวฉลาด
เป็นแบบอย่างของลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่ เข้าใจในเจตนาแห่งการประพฤติธรรม
เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากของพ่อคือพระเวสสันดร

๒๖


พระชาลี

เป็นพระราชโอรสของพระเวสสันดรกับพระนางมัทรี เป็นพระเชษฐา
ของพระกัณหา พระนัดดาของพระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี
เมื่อเวลาประสูติ พระประยูรญาติได้ทรงนำตาข่ายมารองรับ จึงได้
รับพระราชทานนามว่า ชาลี แปลว่า ผู้มีตาข่าย พระชาลีทรงมีความ
อ่อนน้อมถ่อมตน และมีคารมคมคาย

เป็นแบบอย่างของลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่ เข้าใจในเจตนาแห่งการประพฤติธรรม
เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากของพ่อคือพระเวสสันดร

๒๗


ชูชก

เป็นตัวละครประกอบอยู่ในวรรณคดีเรื่องร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
เป็นผู้เกิดในตะกูลพราหมณ์โภวาทิกชาติ ซึ่งเป็นพราหมณ์พวกที่ถือตนว่า
มีกำเนิดสูงกว่าผู้อื่นมักใช้คำว่า โภ แปลว่า ผู้เจริญ เป็นคำร้องเรียก
แม้ชูชกจะเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่ถือตนว่ามีกำเนิดสูงกว่าผู้อื่นแต่ชูชกก็ยากจน
เข็ญใจยิ่ง ต้องเที่ยวขอทานเขาเลี้ยงชีพ ชูชกมีบ้านอยู่ในหมู่บ้านทุนนวิฐติดกับ
เมืองกลิงคราษฎร์ มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด ประกอด้วยบุรุษโทษ ๑๘ ประการ

เป็นตัวอย่างของคนที่ติดอยู่ในกามคุณเข้าลักษณะว่า "วัวแก่กินหญ้าอ่อน"
ต้องตกระกำลำบากในยามชรา เพราะ "รักสนุก จึงต้องทุกข์ถนัด"
ตำราหิโตปเทศว่า " ความรู้เป็นพิษเพราะเหตุไม่ใช้ปราสาทเป็นพิษ
เพราะคนเข็ญใจ อาหารเป็นพิษเพราะไฟธาตุไม่ย่อย เมียสาวเป็นพิษเพราะผัว
แก่"

๒๘


พระนางผุสดี

เป็นธิดากษัตริย์มัทราช มเหสีของพระเจ้ากรุงสญชัย แห่งกรุงสีพีราษฎร์ และ
พระมารดาของพระเวสสันดร พระนางผุสดีมีอุปนิสัยรักสวยรักงาม ในฐานะ
พระราชมารดาทรงเป็นแม่ที่รักลูก ห่วงใยลูก เมื่อลูกมีปัญหาก็รีบหาทางช่วยแก้ไข

พระนางผุสดี เป็นแบบอย่างของนักปกครองระบอบประชาธิปไตย
ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ รู้จักผ่อนผัน
เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ไม่เว้นแก่พวกพ้อง แม้จะเป็นพระโอรสก็ตาม

๒๙


พระเจ้ากรุงสญชัย

เป็นพระราชาแห่งกรุงสีพีราษฎร์ พระราชบิดาของพระเวสสันดร
เมื่อพระโอรสมีพระชนมายุสมควรจะสืบราชสมบัติ
แล้วก็ทรงสละราชสมบัติให้ทรงปกครองต่อไป
พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่เห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมือง
มากกว่าประโยชน์ส่วนพระองค์เอง

พระเจ้ากรุงสญชัย เป็นแบบอย่างของนักปกครองระบอบประชาธิปไตย
ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ รู้จักผ่อนผัน
เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ไม่เว้นแก่พวกพ้อง แม้จะเป็นพระโอรสก็ตาม

๓๐


ฝนโบกขรพรรษ

ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพระประยูรญาติ เมื่อพระองค์เสด็จถึงพระนครกบิลพัสดุ์แล้ว ฝ่ายพระประยูร
ญาติมีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นประธานเสด็จมาต้อนรับ ต่างก็ยังมีทิฐิมานะแรงกล้าไม่ยอมนอบน้อมนมัสการ
พระบรมศาสดา ด้วยเห็นว่าพระพุทธองค์มีวัยอ่อนกว่าตนพระพุทธองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นเหตุดังนั้น จึง
ทรงแสดงปาฏิหาริย์เสด็จลอยขึ้นไปจงกรมอยู่บนอากาศ ให้ธุลีละอองพระบาทหล่นลงมาบนพระเศียรเหล่า
พระประยูรญาติลำดับนั้นหมู่พระประยูรญาติต่างพากันคลายทิฐิมานะประคองอัญชลีนมัสการชื่นชมโสมนัส

ด้วยบุญญาภินิหารของพระพุทธองค์ ขณะนั้น “ฝนโบกขรพรรษ” ก็ตกลงมาเป็นที่น่าอัศจรรย์

ฝนโบกขรพรรษมีลักษณะ ดังนี้
๑. น้ำฝนมีสีแดงดังเท้านกพิราบ เสียงสนั่นลั่นออกไปดังสายฝนธรรมดา
๒. ผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกายจึงจะเปียก หากมิได้ปรารถนาแม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียก
๓. เมื่อถูกกายแล้วจะหล่นสู่พื้นดินเสมือนหยาดน้ำที่ตกลงสู่ใบบัวแล้วกลิ้งตกลงไปฉะนั้น
๔. ไม่เจิ่งนองพื้นดิน เมื่อตกลงแล้วก็ซึมหายไปในแผ่นดินทันที

๓๑


ทศชาติ

ทศชาติชาดก เป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าตอนเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ๑๐ ชาติ
ก่อนจะตรัสรู้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละชาติทรงบำเพ็ญ “ทศบารมี” ต่าง ๆ กัน

เรียกว่า หัวใจพระเจ้าสิบชาติ

๓๒


ทศชาติ ชาติที่ ๑

ชาติที่ ๑ เตมียชาดก ( เต )
ทรงบำเพ็ญเนกขัมบารมี คือ การออกบวช
เนื้อเรื่อง คือ พระชาตินี้ทรงเกิดเป็นกษัตริย์ แต่แกล้งทำเป็นใบ้

เพื่อจะเสด็จออกบรรพชาได้สะดวก

๓๓


ทศชาติ ชาติที่ ๒

ชาติที่ ๒ มหาชนกชาดก ( ชะ )
ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี คือ ความเพียร
เนื้อเรื่อง คือ พระมหาชนกทรงโดยสารเรือ เรือแตกต้องว่ายอยู่ในมหาสมุทรถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
ในที่สุดขึ้นฝั่ งได้จากการช่วยเหลือของเทวดาผู้รักษามหาสมุทร

๓๔


ทศชาติ ชาติที่ ๓

ชาติที่ ๓ สุวรรณสามชาดก ( สุ )
ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี คือ ความเมตตา
เนื้อเรื่อง คือ พระสุวรรณสามทรงเมตตาสัตว์ในป่า
และมีความกตัญญูกตเวทีเลี้ยงดูบิดามารดาที่ตาบอดอยู่ในป่า

๓๕


ทศชาติ ชาติที่ ๔

ชาติที่ ๔ เนมิราชชาดก ( เน )
ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี คือ มีความตั้งใจมั่น
เนื้อเรื่อง คือ พระอินทร์ให้มาตุลีเทพบุตรพาพระเนมิราชไปชมนรกสวรรค์

๓๖


ทศชาติ ชาติที่ ๕

ชาติที่ ๕ มโหสถชาดก ( มะ )
ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี คือ มีปัญญา
เนื้อเรื่อง คือ พระมโหสถ ทรงใช้ปัญญาแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม

๓๗


ทศชาติ ชาติที่ ๖

ชาติที่ ๖ ภูริทัตชาดก ( ภู )
ทรงบำเพ็ญศีลบารมี คือ การรักษาศีล
เนื้อเรื่อง คือ พระภูริทัตถูกหมองูจับตัวไป แต่ก็มิได้ทรงทำอันตรายหมองู

เพราะเกรงว่าศีลจะขาด

๓๘


ทศชาติ ชาติที่ ๗

ชาติที่ ๗ จันทกุมารชาดก ( จะ )
ทรงบำเพ็ญขันติบารมี คือ ความอดทน
เนื้อเรื่อง คือ พระชาตินี้พระองค์ถูกจับบูชายันต์ แต่ในที่สุดพระอินทร์มาช่วยไว้ได้

๓๙


ทศชาติ ชาติที่ ๘

ชาติที่ ๘ นารทชาดก ( นา )
ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี คือ การวางเฉย
เนื้อเรื่อง คือ พระองค์ทรงเกิดเป็นพระพรหม แปลงลงมาทรมานกษัตริย์ที่มิจฉาทิฐิ

ให้กลับเป็นสัมมาทิฐิตามเดิม

๔๐


ทศชาติ ชาติที่ ๙

ชาติที่ ๙ วิทูรชาดก ( วิ )
ทรงเพ็ญสัจจาบารมี คือ การมีสัจจะ
เนื้อเรื่อง คือ พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดปุณกยักษ์ให้หมดยศ

๔๑


ทศชาติ ชาติที่ ๑๐

ชาติที่ ๑๐ เวสสันดรชาดก ( เว )
ทรงบำเพ็ญทานบารมี คือ การให้ทาน
เนื้อเรื่อง คือ พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานต่าง ๆ โดนเฉพาะอย่างยิ่งบุตรทารทานบารมี
คือ การให้บุตรภรรยาเป็นทาน ชาตินี้เป็นพระชาติสุดท้าย นับว่าเป็นพระชาติที่ยิ่งใหญ่

จึงเรียกพระชาตินี้ว่า “มหาชาติ”

๔๒


ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

ข้อคิด คติธรรม ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของทุกคนได้
เกี่ยวกับการเป็นคู่สามีภรรยาที่ดี การเสียสละ เป็นคุณธรรมที่น่ายกย่อง

และการบริจาคทาน เป็นการกระทำที่สมควรได้รับการอนุโมทนา

๔๓


บรรณานุกรม

https://sites.google.com/site/kanipa031/thima-khxng-reuxng

https://jirawanjane.wordpress.com/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%
B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%
AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C/

https://www.thaichildrights.org/projects/donatemahachart/

http://thn21655-01.blogspot.com/p/blog-page_622.html

https://jirawanjane.wordpress.com/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B
9%8C/

http://wutthichai28973.blogspot.com/2014/02/blog-post_5795.html

http://www.geocities.ws/sakyaputto/wijanchadok.htm

https://6232arunthipp.wordpress.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E
0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B
8%A3/

๔๔


ผลงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้รายวิชา ท๓๑๑๐๒ ภาษาไทย ๒

เสนอ

ครูสุชาติ พิบูลย์วรศักดิ์ (ครูประจำวิชา)

จัดทำโดย

๑) นายปภากร ยิ้มขลิบ เลขที่ ๓
๒) นายสยามรัฐ พูลสมบัติ เลขที่ ๑๐
๓) นายอติเทพ พลรักษา เลขที่ ๑๑
๔) นางสาวกัญญาณัฐ กรีธาธร เลขที่ ๓๔
๕) นางสาวธัญพิชชา แซ่โค้ว เลขที่ ๓๖
๖) นางสาวปรายฟ้า สุขคล้าย เลขที่ ๓๗
๗) นางสาวกุลนันท์ ศรีเวียง เลขที่ ๓๙
๘) นางสาวธนพร กันยะมี เลขที่ ๔๓
๙) นางสาวบุญญาเรศม์ เผือกละออ เลขที่ ๔๕

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔/๑๐ ๔๕


Click to View FlipBook Version