The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติหมู่บ้านคันรุ้ง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by มีนา พัชรมัย, 2024-01-22 21:30:29

ประวัติหมู่บ้านคันรุ้ง

ประวัติหมู่บ้านคันรุ้ง

~ 1 ~ ประวัติหมู่บ้าน ****************** 1. สภาพทั่วไปของหมู่บ้านคันรุ้ง 2. ประวัติหมู่บ้าน บ้านคันรุ้งหมู่ที่ 6 ตำบลเมืองไผ่ แต่เดิมชาวบ้านเรียกว่า “บ้านตาเสก” ซึ่งคำว่าตาเสกเป็นชื่อ ต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งขึ้นจำนวนมากชาวบ้านเลยเรียกว่าบ้านตาเสกตามชื่อต้นไม้ ผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อ นายเจน พิริรัมย์ แล้วต่อมามีการปรับเปลี่ยนโดยมีกำนันปลื้ม โพนรัมย์ ปกครองในสมัยนั้นและได้ เปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านคันรุ้ง ซึ่ง ในหมู่บ้านมีหนองน้ำขนาดใหญ่ อยู่ทางทิศตะวันออก จะเห็น รุ้งกินน้ำทุกครั้งเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงและในปัจจุบันมีนายสนั่น จอมมะเริง เป็นผู้ใหญ่บ้านคน ปัจจุบัน 3. ที่ตั้งและอาณาเขต อยู่ห่างจากอำเภอกระสัง ระยะทาง 12 กิโลเมตร และ ห่างจาก จังหวัดบุรีรัมย์ระยะทาง 35 กิโลเมตร และ มีอาณาเขตติดต่ออื่น ๆ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับบ้านโคกสูง หมู่ที่ 3 ตำบลศรีภูมิ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ทิศใต้ ติดต่อกับบ้านสวาย หมู่ที่ 13 ตำบลเมืองไผ่ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ทิศตะวันออก ติดต่อกับบ้านสก๊วน หมู่ที่ 10 ตำบลเมืองไผ่ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ทิศตะวันตก ติดต่อกับบ้านเมืองไผ่ หมู่ที่ 1 ตำบลเมืองไผ่ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์


~ 2 ~ 4. ด้านสังคมการปกครองในชุมชน แบ่งการปกครองเป็น 4 คุ้ม ประกอบด้วยคุ้มต่าง ๆ ดังนี้ 1) คุ้มทิศตะวันออก ประธานคุ้ม นายประทีป รุ่งเรือง จำนวน 45 ครัวเรือน 2) คุ้มทิศเหนือ ประธานคุ้ม นายชอม พะวิงรัมย์ จำนวน 24 ครัวเรือน 3) คุ้มทิศใต้ ประธานคุ้ม นางสาวอารีรัตน์ พิรัมย์ จำนวน 61 ครัวเรือน 4) คุ้มทิศตะวันตก ประธานคุ้ม นางไสว สินพิพัฒนพิบูลย์ จำนวน 51 ครัวเรือน ฯลฯ 5. ลักษณะภูมิประเทศ สภาพเป็นพื้นที่ราบลุ่มมีป่าไม้เป็นบางส่วน มีลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทราย พื้นทรายราบโล่ง พื้นที่ส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของการใช้ ประโยชน์ ดังนี้ ❖ พื้นที่ทั้งหมดของชุมชน จำนวน 4,103 ไร่ ดังนี้ • เป็นพื้นที่เพื่ออยู่อาศัย จำนวน 1,000 ไร่ • เป็นพื้นที่เพื่อการเกษตร จำนวน 3,074 ไร่ • เป็นพื้นที่สาธารณะ จำนวน 30 ไร่ 6. ลักษณะภูมิอากาศ บ้านคันรุ้ง หมู่ที่ 6 มีลักษณะภูมิอากาศแบบมรสุม 3 ฤดูประกอบด้วย ➢ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม ➢ ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ฝนตกลงมาในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม แต่อาจเกิดฝนทิ้งช่วงซึ่งอาจนานประมาณ 1-2 สัปดาห์หรือบางปีอาจเกิดขึ้นรุนแรง และ มีฝน น้อยนานนับเดือน ➢ ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ในช่วงเดือนตุลาคม นานราว 1-2 สัปดาห์เป็นช่วงเปลี่ยนฤดูจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาวอากาศแปรปรวนไม่แน่นอน อาจเริ่มมี อากาศเย็นหรืออาจจะมีฝนฟ้าคะนองอากาศหนาวอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 11 องศา


~ 3 ~ 7. วัฒนธรรม/ประเพณี/ภาษา - การนับถือศาสนา - ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 100 - วัด 1 แห่ง ❖ ประเพณีและงานประจำปี - ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ เดือนมกราคม จัดงานทำบุญตักบาตรร่วมกัน - ประเพณีทำบุญหมู่บ้าน ขึ้น 3 ค่ำเดือน 3 จัดให้มีการเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทางของหมู่บ้าน - ประเพณีวันสงกรานต์ วันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี จัดให้มีการรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ - ประเพณีลอยกระทง วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ของทุกปีจัดงานประเพณีลอยกระทง - ประเพณีวันเข้าพรรษา จัดให้มีการถวายเทียนเข้าพรรษา - ประเพณีวันหัวผักกาดขาว ข้าวสารหอม หมี่ยำไทย ร่วมกับอำเภอกระสัง - ประเพณีแซนโฎนตา วันแรม 15 ค่ำเดือน 10 จัดให้มีการแสดงความเคารพบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ❖ ภาษาถิ่นส่วนมากร้อยละ 90% พูดภาษาเขมร 8. การคมนาคม บ้านคันรุ้ง หมู่ที่ 6 ตำบลเมืองไผ่ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ทางทิศเหนืออยู่ห่างจาก อำเภอกระสัง ระยะทาง 12 กิโลเมต รห่างจากจังหวัดบุรีรัมย์ 35 กิโลเมตร 9. จำนวนประชากร/อาชีพในชุมชน 1. จำนวนครัวเรือนทั้งหมด 181 ครัวเรือน ➢ จำนวนประชากรทั้งหมด 771 คนแยกเป็น • ชาย 379 คน • หญิง 392 คน


~ 4 ~ 2. ข้อมูลด้านเศรษฐกิจอาชีพ - ด้านการเกษตร จำนวน 132 ครัวเรือน - รับราชการ จำนวน 7 ครัวเรือน - ค้าขาย จำนวน 14 ครัวเรือน - รับจ้าง จำนวน 28 ครัวเรือน 10.ข้อมูลสภาพทางสังคมและบริการขั้นพื้นฐานของชุมชน ❖ วัด จำนวน 1 แห่ง ❖ โรงเรียน จำนวน 1 แห่ง 11.ข้อมูลด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งแวดล้อม และ ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน 1. การมีไฟฟ้าใช้ของครัวเรือน - มีไฟฟ้าใช้ จำนวน 181 ครัวเรือน - ไม่มีไฟฟ้าใช้ จำนวน............ครัวเรือน 2. แหล่งน้ำสาธารณะ จำนวน 1 แห่ง 3. แหล่งน้ำตามธรรมชาติ จำนวน 1 แห่ง 4. แหล่งน้ำที่สร้างขึ้น ประกอบด้วย -บ่อบาดาล จำนวน 16 แห่ง - บ่อน้ำตื้น จำนวน 64 แห่ง - ถังเก็บน้ำฝน(คสล.) จำนวน 4 แห่ง - ธนาคารรับใต้ดินแบบปิด จำนวน 14 แห่ง 12.ข้อมูลด้านศักยภาพของชุมชน ชุมชนมีความเข้มแข็งเป็นปึกแผ่น มีความสามัคคีและเอื้ออาทรต่อกัน มีศักยภาพในเรื่องการ พึ่งพาตนเอง และ เรียนรู้เพื่อปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง โดยมีการจัดตั้งกลุ่มอาชีพต่างๆ ในชุมชน เช่น กลุ่มส่งเสริมการเลี้ยงโค กลุ่มทอผ้าพันคอผ้าไหมรังผึ้ง กลุ่มปลูกหม่อนเลี้ยงไหม กลุ่มทอผ้าพันคอ ไหมลายต่าง ๆ กลุ่มทอผ้าซิ่นริมแดง กลุ่มออมทรัพย์เป็นต้น เพื่อเป็นการส่งเสริม และ สนับสนุนให้ คนในชุมชนมีรายได้และ สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน วิสัยทัศน์ กล้าคิด กล้าทำ นำชุมชน สู่การพัฒนา


~ 5 ~ ประวัติตำบลเมืองไผ่ ******************** 1. สภาพทั่วไปของตำบลเมืองไผ่ 2. ประวัติชุมชน ชุมชนโบราณบ้านเมืองไผ่ คำว่า “เมืองไผ่” ได้มาจากชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มีจำนวนมากใน ละแวกนี้ ไม่ใช่ต้นไม้ไผ่อย่างที่ใคร ๆ เข้าใจกัน ต้นไม้ชนิดนี้หายาก ในปัจจุบันยังหาไม่พบ ซึ่งสันนิษฐาน ว่าอาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว ชุมชนโบราณบ้านเมืองไผ่เป็นชุมชนโบราณที่มีอายุหลายร้อยปี(นายสนีย์ อะ ภรรัมย์ : 2547) ชุมชนโบราณบ้านเมืองไผ่ เป็นชุมชนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมานานกว่าร้อยปี มาแล้ว จากหลักฐานการขุดพบโครงกระดูกของคนสมัยโบราณ และโบราณวัตถุที่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันหลายอย่างหลายประเภทเป็นจำนวนมากมาย ตลอดทั้งพบแหล่งโบราณที่ชำรุด เสียหายจนไม่เหลือร่องรอย และรูปเคารพลักษณะต่าง ๆ ทางลัทธิศาสนาพุทธที่ทำจากศิลาแลงหรือ ศิลาทราย นาก ทองสัมฤทธิ์ตะกั่ว และทองคำจำนวนมากมายหลายขนาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดได้แก่ รูป เคารพยายสร็อม หรือยายสม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่มีบุคคลที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเป็นแก่ความมักง่าย ได้ทำลายโบราณสถานเพื่อจับจองที่ทำกิน ส่วนโบราณวัตถุต่าง ๆ ได้ถูกขุดค้นขึ้นมาเพื่อจำหน่ายให้กับผู้ ที่นิยมรับซื้อของเก่าไปจัดซื้อถึงที่ นับเป็นการสูญเสียมรดกอันล้ำค่าที่ไม่สามารถประมาณค่าได้ครั้งใหญ่ ที่สุด


~ 6 ~ 2.ผังเมืองแนวการวางหลักเขตคูเมืองโบราณ ลักษณะผังเมืองชุมชนบ้านเมืองไผ่ เป็นลักษณะของเมืองเก่า เพราะมีคูน้ำและกำแพงดิน ล้อมรอบเมืองสามชั้น เป็นชุมชนที่มีความเจริญรุ่งเรืองในสมัยขอมเรืองอำนาจ แต่ด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ หลักฐานที่แน่ชัดว่าทำไมจึงเป็นเมืองร้างที่ไร้ผู้คนมาอาศัยเป็นเวลาช้านาน จวบจนกระทั้งได้มีตาจัน ยายนู พร้อมด้วยบริวาร ได้อพยพถิ่นฐานมาพบเมืองร้าง ณ ที่แห่งนี้แล้วตั้งหลักปักฐานเป็นชุมชนกลุ่ม แรกที่สามารถสืบทราบได้ว่า อพยพมาจากเมืองไผทสมัน (จังหวัดสุรินทร์ ในปัจจุบัน) เพราะหลบหนี ข้าศึกสงครามเมื่อปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา จากการถูกข้าศึกชาติลาวรบกวน เมื่อตั้งถิ่นฐานอยู่นั้นก็พบ สภาพของเมืองเป็นเมืองโบราณร้างไร้ผู้คนอาศัย มีแต่เถาวัลย์ พืชพรรณน้อยใหญ่ปกคลุม และอุดมไป ด้วยสัตว์ป่านานาชนิด เนื่องจากชุมชนแห่งนี้มีทำเลที่เหมาะสมในการอยู่อาศัยช่วงศึกสงคราม นั่นคือมี สภาพที่เป็นเนินสูงน้ำท่วมไม่ถึง พื้นที่โดยรอบเป็นที่ราบมีลำน้ำไหลผ่านสองสาย ซึ่งเหมาะแก่การ เกษตรกรรมอันเป็นอาชีพหลักของชุมชน ถัดจากนั้นก็เป็นป่าไม้ที่อุดมไปด้วยพันธุ์ไม้ และสัตว์ป่า ต่อมา ทำให้มีผู้คนอพยพมาตั้งถิ่นฐานเพิ่มขึ้นอีกเป็นลำดับ มีลูกหลานแยกครอบครัวทำมาหากินอยู่ต่างหาก จนกลายเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ ต่อมาได้มีพระธุดงค์ คือพระอาจารย์จันท์ ได้จาริกแสวงบุญมาปักกลด และเผยแพร่ พระพุทธศาสนา ณ บริเวณบ้านเมืองไผ่ ทำให้ชุมชนเมืองไผ่โดยการนำของตานาก ยายเอม ที่เป็น ลูกหลานเชื้อสายของตาจัน ยายนู ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพนับถือมากในสมัยนั้น มีความเลื่อมใสใน พระพุทธศาสนามาก จึงได้เชิญชวนชาวบ้านในชุมชน นิมนต์พระอาจารย์จันทร์ ให้จำอยู่ในหมู่บ้าน ณ สถานที่ที่จัดไว้ให้ เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจของชุมชนต่อไป ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2331 ชาวบ้านได้ร่วม แรงร่วมใจกันสร้างวัดจนแล้วเสร็จ โดยตั้งชื่อว่า “วัดแจ้งเมืองไผ่” และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ ปี พ.ศ.2369 ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กรมธนารักษ์ สังกัดกระทรวงการคลัง เข้าสำรวจการกำหนดขอบเขตที่ดินกำแพงเมือง – คู เมือง เมื่อปี พ.ศ.2554 และทำทะเบียนขึ้น เลขที่ทะเบียน 26 – 5 นับว่าชุมชนโบราณบ้านเมืองไผ่ ได้ เป็นชุมชนเมืองโบราณที่ภาครัฐให้ความสนใจ นอกจากกรมธนารักษ์แล้ว ยังมีหน่วยงานขององค์การ บริหารส่วนตำบลเมืองไผ่ ในส่วนการศึกษา และคณะกรรมการหมู่บ้าน ในส่วนของคณะกรรมการด้าน การอนุรักษ์โบราณวัตถุ และโบราณสถาน ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการอนุรักษ์วัตถุโบราณ และ โบราณสถาน เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยในความเป็นมาเป็นไปของชุมชนโบราณแห่งนี้สืบ ทอดไป


~ 7 ~ หน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่น ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ วิทยาลัยครูบุรีรัมย์ ได้โพสต์ข้อความลงในอินเตอร์เน็ตว่า “ชุมชนโบราณ ตั้งอยู่ที่ชุมชนบ้านเมืองไผ่ ต.เมืองไผ่ อ.กระสัง จ. บุรีรัมย์ มีลักษณะเป็นเนินดินสูงกว่าพื้นที่โดยรอบประมาณ 3 เมตร พื้นที่โดยรอบชุมชนเป็นที่ราบ มีลำ น้ำล้อมรอบทุกด้าน สำหรับผังเมืองชุมชนโบราณแหล่งนี้มีลักษณะเป็นรูปวงรี มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ 3 ชั้น ปัจจุบันคูน้ำบางส่วนมีสภาพตื้นเขิน บางส่วนได้รับการขุดลอกใหม่เพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ชื่อ ชุมชนเรียกตามชื่อไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายต้นขี้เหล็ก” จากการสอบถามชาวบ้านทราบว่า เคยขุดพบโครงกระดูกและโบราณวัตถุที่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ ในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องปั้นดินเผา ทั้งที่เป็นแบบดินธรรมดาและเคลือบสีต่าง ๆ พบรูปเคารพทาง ศาสนาทั้งที่ทำจากศิลาทรายและสำริด ถาดสำริด สิ่งของเครื่องใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น กระดิ่งสำริด เครื่องราชยานคานหาม เป็นต้น แต่น่าเสียดายที่ถูกโจรกรรมไปหมดแล้ว ภายในตัว เมืองพบใบเสมาหินขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าบริเวณนี้อาจเป็นวัดมาก่อน นอกตัวเมืองทางด้านทิศใต้ห่าง จากคูเมืองประมาณ 30 เมตร มีเนินดินชาวบ้านเรียกว่า “โนนยายสม” เคยมีศาสนสถานซึ่งชาวบ้าน เรียกว่า "ปราสาทยายสม" ภายในศาสนสถานเคยมีประติมากรรมรูปบุคคลตั้งอยู่บนแท่นศิวลึงค์ ปัจจุบันปราสาทยายสมถูกรื้อทำลายลงจนแทบไม่เห็นร่องรอยเดิม ส่วนประติมากรรมก็ถูกโจรกรรมไป นานกว่า 30 ปีแล้ว 3. พื้นที่ชุมชนบ้านเมืองไผ่ ❖ มีเนื้อที่ 7,500 ไร่ แบ่งเป็น • ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย 425 ไร่ • ที่ดินเพื่อการเกษตร (ทำนา ทำสวน ทำไร่) 6,100 ไร่ • ที่สาธารณะ 975 ไร่ • มีครัวเรือนทั้งหมด 365 ครัวเรือน และมีประชากรทั้งหมด 1,561 คน แบ่งเป็น - ประชากรเพศชาย 801 คน - ประชากรเพศหญิง 651 คน


~ 8 ~ 4. อาณาเขต อยู่ห่างจากอำเภอกระสัง 9 กิโลเมตร ถนนเส้นหลักที่ใช้คือสายกระสัง - เมืองโพธิ์ เริ่มต้นที่หลัง สถานีรถไฟอำเภอกระสัง และห่างจากตัวจังหวัดบุรีรัมย์ 24 กิโลเมตร ถนนเส้นหลักที่ใช้ เส้นเมืองไผ่ – ห้วยราช - บุรีรัมย์ ➢ ทิศเหนือ จดบ้านโคกสูงใต้ หมู่ที่ 9 ต.ศรีภูมิ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ➢ ทิศใต้ จดบ้านดอนยาว หมู่ที่ 3 ต.กันทรารมย์ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ➢ ทิศตะวันออก จดบ้านอโณทัย หมู่ที่ 5 ต.เมืองไผ่ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ➢ ทิศตะวันตก จดบ้านบุตาแพง หมู่ที่ 3 ต.เมืองไผ่ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ภาพรูปปั้นยายสม องค์ใหม่ทำจากปูน ซึ่งองค์เดิมที่ทำจากหินทรายแดงละเอียดถูก โจรกรรม


~ 9 ~ จากการขุดตรวจสอบทางโบราณคดีพบว่าชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนโบราณในวัฒนธรรมยุคโลหะ ตอนปลาย ซึ่งเทียบได้กับยุคโลหะตอนปลายของแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ซึ่งมีการกำหนดอายุไว้แล้ว (ช่วง 300 ปี ก่อนคริสต์ศตวรรษ ถึง ค.ศ. 200) เป็นชุมชนที่รู้จักการถลุงเหล็กเพื่อผลิตเป็นอาวุธ เช่น ใบหอก ขวาน และรู้จักผลิตเครื่องสำริด รู้จักใช้ควายเป็นเครื่องทุ่นแรงในการกสิกรรม และยังมี ความสามารถในการผลิตเครื่องปั้นดินเผาแบบต่าง ๆ อีกด้วย ระยะเวลาการอยู่อาศัยของชุมชนยาวนาน จากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อสมัยประวัติศาสตร์ และเข้าสู่ยุค ประวัติศาสตร์ตอนต้น คือ ตั้งแต่ช่วง 500-300 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษถึงพุทธศตวรรษที่ 18 แต่ช่วงที่ รุ่งเรืองที่สุดตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงพุทธศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นช่วงที่ชุมชนมี พัฒนาการด้านการผลิตเครื่องใช้ เครื่องประดับประเภทต่าง ๆ ที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดว่ามีเทคนิคการ ผลิตการตกแต่งอย่างประณีตสวยงาม ภาพไหโบราณแบบต่าง ๆ ที่ขุดพบในเขตชุมชนบ้านเมืองไผ่


~ 10 ~ ภาพเครื่องใช้โบราณแบบต่าง ๆ ที่ขุดพบในเขตชุมชนบ้านเมืองไผ่ ภาพการขุดพบไหดินเผา ที่มีโครงกระดูกมนุษย์ข้างใน สันนิษฐานว่าเป็นพิธีการ ปลงศพ โดยบรรจุลงในไหดินเผาแบบทั้งโครงและแบบบรรจุเพียงบางส่วน ซึ่งพิธีการปลง ศพแบบนี้เป็นประเพณีการปลงศพแบบโบราณ


~ 11 ~ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16-18 ชุมชนนี้ได้รับอิทธิพลทางการเมืองการปกครองและวัฒนธรรม ขอม (เขมร) เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน สิ่งของเครื่องใช้และความเชื่อของชุมชนก็ เปลี่ยนแปลงไป เช่น เครื่องปั้นดินเผาเป็นแบบเนื้อแกร่งเคลือบสีน้ำตาล (ดำ) พบรูปเคารพและศาสน สถานที่ก่อด้วยศิลาแลง เป็นต้น คติความเชื่อที่เห็นได้ชัด คือมีการปลงศพ โดยบรรจุลงในไหดินเผาแบบ ทั้งโครงและแบบบรรจุเพียงบางส่วน ซึ่งพิธีการปลงศพแบบนี้เป็นประเพณีการปลงศพแบบโบราณ ที่มี การแพร่หลายในเอเชียทั้งบนผืนแผ่นดินใหญ่ เช่น อินเดีย จีน และในหมู่เกาะต่าง ๆ และไกลออกไป ทางทิศตะวันออกถึงหมู่เกาะฟอร์โมซาและญี่ปุ่น ประเพณีดังกล่าวปรากฏอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 8- 16 เนื่องจากภาชนะที่ใช้บรรจุนี้เป็นกลุ่มภาชนะที่พบแพร่หลายตั้งแต่ชั้นวัฒนธรรมที่ 1-7 และแม้ว่า อิทธิพลอารยธรรมอินเดียจะเข้ามาปรากฏในวัฒนธรรมชั้นนี้แล้วก็ตาม แต่ชุมชนยังปลงศพด้วยวิธีการ บรรจุลงภาชนะดินเผา สำหรับการบรรจุศพเพียงบางชิ้นลงในภาชนะเรียกกันว่าเป็นการฝังศพครั้งที่ 2 โดยจะมีการทำความสะอาดโครงกระดูกอย่างดีแล้วบรรจุภาชนะฝัง ซึ่งชุมชนโบราณบ้านเมืองไผ่และ ชุมชนโบราณแถบลุ่มแม่น้ำมูล-ชี มีลักษณะอยู่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 เป็น ต้นไป พิธีปลงศพจึงเปลี่ยนเป็นการเผาศพ แล้วนำอัฐิไปบรรจุภาชนะดินเผาแล้วนำไปฝัง ซึ่งเป็นคติ นิยมของพุทธศาสนิกชนนิกายเถรวาท ซึ่งชุมชนโบราณนี้ก็พบภาชนะดินเผาเล็ก ๆ บรรจุอัฐิเช่นกัน แสดงว่าแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ได้เริ่มรับอิทธิพลต่อชุมชนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นไป (หน่วย อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่น ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ วิทยาลัยครูบุรีรัมย์. มปป. "ศิลปกรรมท้องถิ่นบุรีรัมย์". เรวัตการพิมพ์. บุรีรัมย์. หน้า 57-60) (กรมธนารัษ์ : 2554) ชุมชนโบราณบ้านเมืองไผ่มีแนวเขตกำแพงเมือง – คูเมือง ตั้งอยู่ในเขต การปกครองบ้านเมืองไผ่ หมู่ที่ 1 และบ้านเมืองไผ่ถาวร หมู่ที่ 2 ตำบลเมืองไผ่ อำเภอกระสัง จังหวัด บุรีรัมย์ ห่างจากอำเภอกระสังไปทางทิศเหนือประมาณ 9 กิโลเมตร ในบริเวณแอ่งที่ราบโคราชทางตอน ใต้ของแม่น้ำมูล ระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร พื้นที่รองรับด้วยหินตะกอน สภาพภูมิประเทศที่ตั้ง เมืองเป็นที่ราบต่อเนื่องจากเนินหินภูเขาไฟเขากระโดง ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกประมาณ 10 กิโลเมตร มีห้วยตารวก และห้วยไผ่ ระบายน้ำจากเนินหินภูเขาไฟผ่านบริเวณทิศเหนือ และทิศใต้ของ ที่ตั้งเมืองแล้วไหลมาบรรจบกับด้านตะวันออกของตัวเมืองไผ่ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร จากนั้น ไหลมารวมตัวกับห้วยกระเบื้อง ซึ่งไหลผ่านเมืองสองชั้น เรียกว่าห้วยฟาง ไหลลงลำน้ำชีซึ่งระบายน้ำ ไปทางทิศเหนือลงลำน้ำมูลที่ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ และต่อไปทางทิศตะวันออกลง สูแม่น้ำโขงที่จังหวัดอุบลราชธานี


~ 12 ~ กำแพงเมือง – คูเมืองขุดล้อมรอบเนินในที่ราบที่ระดับความสูง 140 เมตร คูขุดชิดลำห้วยตา รวก และลึกถึงระดับกักเก็บน้ำซ้อนกัน 2 – 3 ชั้น สลับด้วยคันดินยกระดับน้ำล้อมรอบบริเวณขนาด 760 เมตร × 760 เมตร เป็นลักษณะรูปแบบมุมมนคล้ายวงกลม มีคันดินด้านนอกยกระดับรับน้ำจาก ด้านตะวันตกสู้คูเมือง และระบายน้ำออกสู่แปลงนารอบด้านภายหลังขุดสระพัง ขนาด 130 × 240 ด้าน ทิศใต้ของกำแพงเมือง – คูเมืองเพื่ออุปโภค บริโภค รูปถ่ายทางอากาศ พ.ศ.2519 และ พ.ศ.2529 แสดงให้เห็นการขุดลอกกำแพงเมือง - คูเมืองเพื่อกักเก็บน้ำ ทำให้คูเมืองบางตอนขยายใหญ่ขึ้นเหลือ เพียงชั้นเดียวในปัจจุบัน ความสำคัญในทางประวัติศาสตร์กำแพงเมือง – คูเมืองเป็นที่ทราบของชุมชนท้องถิ่นอย่างดี เห็นได้จากการบันทึกไว้ในเอกสารการพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองไผ่ พ.ศ.2508 กรมศิลปากร ได้สำรวจเบื้องต้น และขึ้นทะเบียนเมืองไผ่เป็นแหล่งโบราณคดี (กรมศิลปากร พ.ศ.2532) โดยไม่ได้ ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน การขุดหลุมสำรวจโบราณคดีภายในเขตเมือง เมื่อปี พ.ศ.2536 โดยนายสมมาตร ผลเกิด นักโบราณคดี อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ สถาบันราชภัฏบุรีรัมย์ หรือ มหาวิทยาลัยราชภัฏในปัจจุบัน ในความสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พบ หลักฐานแสดงถึงการตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยซ้อนกันอย่างน้อย 3 ช่วงเวลาก่อนคนรุ่นปัจจุบันเข้าอยู่อาศัย คือ ช่วงแรกในยุคโลหะ (พุทธศตวรรษที่ 3 – 8) ช่วงกลางในยุคประวัติศาสตร์ (พุทธศตวรรษที่ 12 – 14 ) ช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 – 18 ได้พบโบราณวัตถุจำนวนมากและหนาแน่นกระจายอยู่ภายในเมือง และนอกเมือง ตะกรันเหล็ก และเครื่องมือเหล็กพบในทุกช่วงเวลา แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการด้านเทคโนโลยีและการใช้ประโยชน์ ต่อเนื่องในทุกยุคทุกสมัย (กรมธนารักษ์ พ.ศ.2553) พ.ศ.2471 บ้านเมืองไผ่ได้จัดตั้งเป็นหมู่ที่ 11 ขึ้นต่อตำบลห้วยราช อำเภอเมืองบุรีรัมย์ มี ผู้ใหญ่บ้านปกครองตามลำดับดังนี้ 1. นายเจ็น นาขนานรัมย์ ดำรงตำแหน่ง (ไม่ทราบ พ.ศ.) เจ้าของต้นตระกูลนาขนานรัมย์ ซึ่ง เป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความนับถือ


~ 13 ~ 2. นายสด ไมทราบนามสกุล ดำรงตำแหน่ง(ไม่ทราบ พ.ศ.) เป็นคนที่อยู่คุ้มซีกตะวันตกของ หมู่บ้าน 3. นายคง นิคงรัมย์ ดำรงตำแหน่ง(ไม่ทราบ พ.ศ.) ในสมัยนี้ เมื่อปี พ.ศ.2482 บ้านเมืองไผ่ ตั้งขึ้นเป็นหมู่ 12 ขึ้นต่อตำบลกระสัง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ 4. นายเขียน นิทะรัมย์ ดำรงตำแหน่ง(ไม่ทราบ พ.ศ.) ในสมัยนี้เมื่อปี พ.ศ.2497 ตำบลกระสัง ได้จัดตั้งให้เป็นกิ่งอำเภอกระสัง โดยบ้านเมืองไผ่เป็นหมู่ที่ 12 ตำบลกระสัง กิ่งอำเภอกระสัง จังหวัด บุรีรัมย์ 5. นายชื่น นิทะรัมย์ ดำรงตำแหน่ง(ไม่ทราบ พ.ศ.) ในสมัยนั้น เมื่อปี พ.ศ.2510 บ้านเมืองไผ่ ได้ยกฐานะขึ้นเป็นตำบลเมืองไผ่ บ้านเมืองไผ่เป็นหมู่ที่ 1 ตำบลเมืองไผ่ กิ่งอำเภอกระสัง จังหวัด บุรีรัมย์ ในปี พ.ศ.2503 กิ่งอำเภอกระสังได้ยกฐานะเป็น อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ 6. นายทอง นาขนานรัมย์ ดำรงตำแหน่ง(ไม่ทราบ พ.ศ.) ได้พัฒนาหมู่บ้านในทุก ๆ ด้าน ตลอดทั้งอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ให้อนุชนรุ่นหลังได้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน 7. นายทัน พิรัมย์ ดำรงตำแหน่ง(ไม่ทราบ พ.ศ.) ต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นกำนันตำบลเมืองไผ่ ในปี พ.ศ.2522 ได้แยกบ้านเมืองไผ่หมู่ที่ 1 จัดตั้งเป็นหมู่ที่ 12 บ้านบุตาแพง ตำบลเมืองไผ่ 8. นายเปือย อุทิศรัมย์ ดำรงตำแหน่งปี พ.ศ.2529 แยกบ้านเมืองไผ่อีกหนึ่งหมู่ เป็นหมู่ที่ 16 บ้านเมืองไผ่ถาวร โดยมีนายฉิม นิเรียงรัมย์เป็นผู้ใหญ่บ้าน ปี พ.ศ.2530 ตำบลเมืองไผ่ได้แยกตำบลเป็น ตำบลกันทรารมย์ ตำบลเมืองไผ่ จึงเปลี่ยนแปลงหมู่บ้านใหม่ 9 หมู่บ้าน ดังนี้ หมู่ที่ 1 บ้านเมืองไผ่ หมู่ที่ 2 บ้านเมืองไผ่ถาวร หมู่ที่ 3 บ้านบุตาแพง หมู่ที่ 4 บ้านกลัน หมู่ที่ 5 บ้านอโณทัย หมู่ที่ 6 บ้านคันรุ้ง หมู่ที่ 7 บ้านสวายสอ หมู่ที่ 8 บ้านโคกกล้วย หมู่ที่ 9 บ้านตะโกเปียน


~ 14 ~ 9. นายทองใบ อพรรัมย์ ดำรงตำแหน่ง(ไม่ทราบ พ.ศ.)เป็นผู้ใหญ่บ้านที่มีคุณธรรม ได้บริจาค ที่ให้ทางราชการสร้าง สถานีอนามัย (หลังเก่า) ปัจจุบันเป็นสนามกีฬา อยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน และบริจาคที่ดิน ให้ทางราชการแห่งที่ 2 ปัจจุบันได้สร้างสถานีอนามัย หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลเมืองไผ่ในปัจจุบัน และได้รับการคัดเลือกให้เป็น พ่อตัวอย่างระดับตำบล ประจำปี 2548 10. นางสาวศิริพร ขวัญศิวิลัย ดำรงตำแหน่ง (ไม่ทราบ พ.ศ.) 11. นายเกรียงศักดิ์ เจริญศิริ ดำรงตำแหน่ง(ไม่ทราบ พ.ศ.) 12. นายสาทิตย์ สืบกระกูลทอง ดำรงตำแหน่งเมื่อปีพ.ศ.2551 13. นายสมพงษ์ เกาะแก้ว ดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ.2552 และได้รับเลือกตั้งเป็นกำนัน ตำบลเมืองไผ่ในปี พ.ศ. 2556 จนถึงปัจจุบัน ในปัจจุบันได้มีหน่วยงานของภาครัฐที่สำคัญอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของชุมชนโบราณบ้านเมืองไผ่ ได้แก่ 1. องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองไผ่ 2. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเมืองไผ่ 3. โรงเรียนบ้านเมืองไผ่ ชุมชนโบราณบ้านเมืองไผ่ มีวัด 2 แห่ง ได้แก่ 1. วัดแจ้งเมืองไผ่ 2. วัดโนนยายสม (ยายสร็อม) วัดแจ้งเมืองไผ่ เป็นวัดที่เก่าแก่ราว 224 ปี นับจากวันก่อตั้งตามข้อมูลจากหนังสือประวัติวัดทั่ว ราชอาณาจักร เล่ม 18 ของกองพุทธศาสนสถาน กรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ นับได้ว่าเป็นวัดที่ เก่าแก่แห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์เลยก็ว่าได้ และมีประเพณีโบราณอันยาวนานสืบทอดมาหลายชั่วอายุ คนดังจะกล่าวในทำเนียบเจ้าอาวาสวัดแจ้งเมืองไผ่ จากเอกสารวัดแจ้งเมืองไผ่ วัดเก่าแก่ที่มีอายุเกินกว่า 200 ปี ของนายสนีย์ อะภรรัมย์ ได้แต่งไว้ เมื่อปี พ.ศ.2547 ดังต่อไปนี้


~ 15 ~ ทำเนียบเจ้าอาวาสวัดแจ้งเมืองไผ่ พระอาจารย์จันทร์ เป็นเจ้าอาวาสวัดแจ้งเมืองไผ่ ในราว พ.ศ.2330 ในระหว่างที่ปักกลดจำอยู่ ในหมู่บ้าน พระคุณเจ้า ได้ออกแบบก่อสร้างกุฏิ และอุโบสถหลังแรก เป็นอุโบสถประกอบด้วย เสาไม้ 16 ต้น หลังคาหน้าจั่วสูงมุงด้วยหญ้าคา ตีฝาผนังด้วยไม้กระดาน ติดช่องประตูหน้าต่างพร้อมสรรพเสร็จ แล้ว ได้นำพระพุทธรูปซึ่งทำด้วยไม้สะเตรา มาจากบ้านตันเลื่อบ (บ้านทุ่งวังในอำเภอสตึก) ประดิษฐาน เป็นพระประธานในอุโบสถ บนฐานที่สร้างจากก้อนดินผสมแกลบปั้นเป็นลูกบาศก์ขนาด 4×4×8 ลูก บาศ์นิ้ว วางซ้อนเป็นชั้น ๆ เป็นฐานขนาด 4×4 ศอก ฐานสูง 2 ศอก 1 คืบ พระประธานเป็นพระพุทธรูป ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอกระสัง เป็นพระพุทธรูปที่แปลกจากพระพุทธรูปอื่น ๆ ทั่วไป เพราะไม่สามารถ บอกได้ว่า เป็นพระพุธรูปปางอะไร (ดังรูปพระพุทธรูปไม้องค์บน) ในราวปี พ.ศ.2331 ได้มีการจัดงานทำพิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต มีพุทธศาสนิกชนมาจากทั่วทุก สารทิศ ตลอดทั้งเจ้าขุนมูลนายจากเมืองต่าง ๆ ทั้งหลายได้มาร่วมทำบุญ มีการฉลองสมโภชน์อัน ยิ่งใหญ่ด้วยวงปี่พาทย์ การละเล่นพื้นบ้านอันหลากหลาย มีโรงครัวโรงทานพร้อมสรรพไว้บริการผู้ที่มา ร่วมงานมิได้ขาด ในสมัยนั้นถือว่างานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต เป็นงานมงคลอันยิ่งใหญ่ นักเลงพระได้ ปลุกพระเครื่อง เครื่องรางของขลังต่าง ๆให้มีความศักดิ์สิทธิ์ฉมังเวทย์ยิ่ง ๆ ขึ้น เพราะนาน ๆ ที่จะมี งานในลักษณะนี้สักครั้งหนึ่ง พร้อมกันนี้ ยังได้มาเยี่ยมญาติสนิทมิตรสหาย หรือยังได้ทำความรู้จักมักคุ้น เพื่อการคบหาสมาคมเป็นเครือญาติมิตรสหายกันสืบไป หลวงพ่อเรือง เป็นเจ้าอาวาสในลำดับต่อมาราวปี พ.ศ.2368 เนื่องจากเป็นวัดที่มีพัทธสีมา จึงมี การจัดงานพิธีอุปสมบทพระภิกษุ สามเณรที่วัดนี้ก่อนวันเข้าพรรษาเป็นประจำทุกปี ในสมัยนั้นชุมชน เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ในระหว่างเดือนอ้ายถึงเดือนสามจะมีการจัดงานเทศน์มหาชาติซึ่งถือว่า เป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ของชุมชน การจัดงานแต่ละครั้งจะมีพุทธศาสนิกชนในหมู่บ้านและหมู่บ้าน ใกล้เคียงทั้งใกล้ และไกล ได้จัดจตุปัจจัยเป็นกัณฑ์เทศน์ จัดเป็นขบวนใหญ่ แล้วแห่มาร่วมงานทำบุญที่ วัดเป็นเวลาหลายวัน ตามความเลื่อมใสศรัทธา จะขาดมิได้คือการบรรเลงเพลงวงปี่พาทย์ เป็นวงประจำ หมู่บ้าน โดยศิลปินผู้มีความสามารถในหมู่บ้าน หลวงพ่อเยาะ เป็นเจ้าอาวาสในราวปี พ.ศ.2490 เป็นพระอาจารย์ที่มีความรู้เก่งกล้าในด้านไสย ศาสตร์ ด้านคาถาอาคมอยู่ยงคงกระพัน ด้านเมตตามหานิยม และเป็นหมอแผนโบราณรักษาโรคด้วย สมุนไพร ชุมชนใกล้ไกล เลื่อมใสศรัทธามาก จึงได้นำลูกหลานมาฝาก หรือผู้คงแก่เรียนโดยเฉพาะชาย ฉกรรจ์จากทั่วสารทิศ ได้มาฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อร่ำเรียนตำราตามต้องการของตน หรือของผู้ปกครอง


~ 16 ~ เนื่องจากพระคุณเจ้าได้จำพรรษาที่วัดนี้เป็นเวลายาวนาน ดังนั้น จึงมีลูกศิษย์ของหลวงพ่อมากมาย กระจายกันอยู่ในเขตอีสานใต้ และลูกศิษย์บางรุ่นก็ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน หลวงพ่อสงวน เป็นเจ้าอาวาสในราว พ.ศ.2456 พระคุณเจ้าจำพรรษาอยู่ที่วัดได้ไม่นานนักก็ ธุดงค์จาริกแสวงบุญไปที่อื่น ตามความเลื่อมใสของพระภิกษุสงค์ในสมัยนั้น หลวงพ่อโพน เป็นเจ้าอาวาสในราวปี พ.ศ.2460 เมื่ออายุ 20 ปี เพราะพระคุณเจ้าได้บวชเป็น สามเณรตั้งแต่อายุ 8 ปี ได้ร่ำเรียนตำราพระธรรมจากพระอาจารย์ในวัดเรื่อยมาจนอุปสมบถเป็น พระภิกษุ ก็ได้รับการนิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดแจ้งเมืองไผ่ในทันที หลวงพ่อโพน เป็นพระภิกษุ รูปงาม และมีกิจวัตรที่เป็นเลิศ เคร่งในพระธรรมวินัย จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วทุก สารทิศ จนเลื่องลือไปจนถึงสำนักพระราชวัง และได้มีพระราชสาส์น ให้หลวงพ่อโพนเข้าเฝ้าฯ แต่ด้วย บุญบารมี หรือวาสนาไม่เพียงพอไม่อาจทราบได้ พระคุณเจ้าก็ด่วนมรณภาพเสียก่อน เมื่อปี พ.ศ.2480 สร้างความเศร้าโศกเสียใจแก่ชาวพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง ในสมัยหลวงพ่อโพน ตลอดอายุขัยของการเป็นเจ้าอาวาส ได้บูรณปฏิสังขรณ์บวรสถานวัตถุต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะอุโบสถหลังแรกที่ทรุดโทรมลงเป็นอย่างมาก ในปี พ.ศ.2475 พระคุณเจ้าได้เกณฑ์ แรงกาย แรงทรัพย์ และแรงศรัทธาของพุทธบริษัทที่เลื่อมใส จัดหาวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างปฏิสังขรณ์ อุโบสถ เช่น เตรียมเสาไม้ เครื่องเครา หล่อกระเบื้องมุงหลังคา ฯลฯ มีนายเตียว และนายทอง จากบ้าน คันรุ้ง เป็นหัวหน้าชั่งดำเนินการก่อสร้าง โดยรื้อหลังเก่าออกทั้งหลัง แล้วสร้างขึ้นใหม่แทนที่หลังเก่า หลังคาหน้าจั่วสูง เสริมซ้อนกันเป็นสองชั้น มุงด้วยกระเบื้องหล่อขึ้นเอง จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2479 แล้วนำพระประธานมาประดิษฐานไว้อย่างเดิม นับเป็นอุโบสถที่สวยสง่างามมากในสมัยนั้น โดยเฉพาะ เสา เป็นเสาแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่จำนวน 24 ต้น มีลวดลายบัวหงาย บัวคว่ำตรงหัวเสา หน้ามุข ด้านหน้าและด้านหลังแกะสลัก แกะสลักประตู หน้าต่าง เพดาน แล้วทาสีสวยงาม สำหรับเสาไม้โบสถ์ หลังเก่าได้เอาไปสร้างสะพานข้ามห้วยลำไผ่ (ห้วยรันเดง) อันเป็นเส้นทางสัญจรไปมาระหว่างบ้านเมือง ไผ่กับบ้านอโณทัย วัดโคกสูง ตั้งอยู่บนเนินดินใจกลางหมู่บ้านเป็นวัดร้าง วัดธรรมถาวร มีหลวงพ่อโงนเป็นเจ้าอาวาส วัดคันธารมณ์ มีหลวงพ่อเม็งเป็นเจ้าอาวาส


~ 17 ~ วัดกระสัง (วัดท่าสว่าง ไม่ทราบนามเจ้าอาวาส) วัดลำดวน ไม่ทราบนามเจ้าอาวาส วัดโคกเหล็ก ตำบลสามแวง มีหลวงพ่อสมเป็นเจ้าอาวาส วัดบ้านใหม่ ตำบลสามแวง มีหลวงพ่อต๊ะ เป็นเจ้าอาวาส วัดห้วยราช มีหลวงพ่อคลิดเป็นเจ้าอาวาส ทุกวัดที่กล่าวมา ในสมัยนั้นล้วนอยู่ในเขตบริมณฑลของตำบลห้วยราชทั้งสิ้น ในการจัดงานพิธี อุปสม-บถที่วัดแจ้งเมืองไผ่แต่ละครั้ง จัดได้ว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่งไม่แพ้งานเทศน์มหาชาติ เนื่องจากสมัยนั้นหาวัดที่มีพัทธสีมายากนัก และอุปสมบถ แต่ละครั้งต้องใช้เวลาหลายวัน เพราะจะมี การแห่นาคด้วยกระบวนช้าง (เป็นการยกฐานะของผู้ที่จะอุปสมบถ) ไปยังวัดต่าง ๆ ในปริมณฑล ใกล้เคียง เพื่อให้พุทธศาสนิกชนในหมู่บ้านต่าง ๆ จะได้มีโอกาสร่วมทำบุญอนุโมทนาส่วนบุญส่วนกุศลได้ อย่างทั่วถึง ขบวนแห่นาคเมื่อไปถึงวัดใดก็จะหยุดพักเพื่อนาคจะได้ทำพิธีกราบลาอุปสมบถ ในระหว่าง การพักก็จะมีการแสดงการต่อสู้ระหว่างช้างกับม้าบนบริเวณลานกว้างที่ทางวัดจัดให้ โดยมีเจ้าของขี่หลัง คอบบังคับหรือสั่งการต่อสู้ สร้างความเร้าใจและหวาดเสียวแก่ผู้เข้าชมเป็นอย่างยิ่ง หลังจากแห่ผ่านมา ได้หลายวัดซึ่งใช้เวลาหลายวัน ขบวนแห่ก็จะมารวมกันในวัดที่จัดพิธีอุปสมบถเตรียมเข้าสู่พิธีการอุปสม บถต่อไป พระเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ สมัยนั้นนิยมนิมนต์หลวงพ่อทางเจ้าอาวาสวัดในจังหวัดบุรีรัมย์ (ไม่ทราบว่าวัดใด) มาเป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งหลวงพ่อท่านก็ไม่เคยขัดศรัทธา ท่านจะเดินทางมาเอง และ มาก่อนอย่างน้อย 3 วัน ด้วยพาหนะเกวียนประทุนเทียมวัวคู่ที่มีแอกและสายรัดคอวัวที่ห้อยกระดิ่ง หลายขนาดเป็นพวง เวลาเกวียนเคลื่อนที่ไปก็จะดังกังวานดั่งเสียงดนตรีที่หาฟังได้ยากในโลกปัจจุบัน เอกลักษณ์นี้พุทธศาสนิกชนล้วนทราบดีว่าหลวงพ่อท่านมาทางนี้แน่นอน เมื่อมาถึงบริเวณจัดงาน หลวง พ่อจะให้ทางวัดสร้างกุฏิที่จำวัดชั่วคราว แล้วหลวงพ่อจะเป็นผู้บริหารงาน และเตรียมงานร่วมกับหลวง พ่อวัดต่าง ๆ สำหรับนาคบ้านไกล จะต้องเตรียมปัจจัยมาค้างแรมที่วัด หรือที่บ้านญาติเป็นเวลาหลาย วันกว่าพิธีการจะเสร็จสิ้น หลังจากทำพิธีอุปสมบถเรียบร้อยแล้ว ก็จะแห่พระภิกษุไปจำ ณ วัดภูมิลำเนา เดิม หลวงพ่อโพน ท่านเป็นพระนักพัฒนา ซึ่งนอกจากจะสร้างอุโบสถแล้ว ยังได้สร้างศาลาโรงธรรม (ศาลาปริยัติธรรม) อันมีธรรมมาสน์ทรงสูงติดบันไดหลายขั้น แกะสลักลวดลายเป็นรูปพญานาค เพื่อใช้ ในงานเทศน์มหาชาติ ต่อมาศาลานี้ได้จัดเป็นสถานที่ให้การศึกษาเปิดเป็นโรงเรียนประชาบาล เมื่อปี พ.ศ. 2477 ในระดับชั้นประถมศึกษา โดยมีนายสุข ประพิน เป็นครูใหญ่ ได้สร้างสะพานข้ามหนองน้ำ


~ 18 ~ ขุดลอกสระน้ำไว้ให้ชุมชนได้อุปโภคบริโภค บูรณะศาลเจ้าประจำเมือง ศาลยายสม (ยายสร็อม ที่วัดโนน ยายสมปัจจุบัน) ศาลหลักเมือง และอื่น ๆ อีกมากมาย จนมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2480 รวมอายุได้ 40 ปี เท่านั้น จากนั้นหลวงพ่อเม็ง วัดคัณธารมณ์ ได้มาจัดการดำเนินการบริหารงานชั่วคราว พระอธิการดืน ชินปะตะโต เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. 2482 เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเยาะ จึงเก่งในด้านไสยศาสตร์ รักษาคนถูกคุณไสย จนมีลูกศิษย์มากมาย ต่อมาได้ลาสิกขาเมื่อปี พ.ศ. 2491 และออกไปมีครอบครัวอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆ กับบริเวณวัด ท่านเป็นผู้ที่มีคุณธรรมจึงสั่งสอน ลูกหลานจนได้ดีหลายคน ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว พระอธิการพลาง ศาลานุโล เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. 2492 เนื่องจากพระคุณเจ้าเคยเป็นเจ้า อาวาสที่วัดธรรมถาวร (บ้านคันรุ้ง) มาก่อน แล้วได้ลาสิกขาออกไปสร้างครอบครัวจนมีลูกหลานหลาย คน แต่มีปัญหาทางครอบครัวจึงได้เลิกรากันไป ต่อมาทางวัดขาดเจ้าอาวาสชาวบ้านได้ขอร้องให้ท่าน บวชอีกครั้ง เพื่อปกครองดูแลวัดมิให้เป็นวัดร้าง ท่านจึงบวช และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสในเวลา ต่อมา ท่านได้นำพาชาวบ้านรวมกันสร้างอนุสรณ์สถานเจดีย์บรรจุอัฐิของหลวงพ่อโพน จนแล้วเสร็จเมื่อ ปี พ.ศ. 495 เนื่องจากภรรยาที่เลิกกันไปนั้นได้กลับมารังควานเป็นประจำ เพื่อตัดปัญหามิให้ศาสนามัว หมอง ท่านจึงได้ลาสิกขาในปีนั้นเอง พระอธิการสมร วิถูโร (ตามอล) เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. 2495 ได้รื้อกุฏิหลังเก่าที่ทรุดโทรม ตามกาลเวลา ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของอุโบสถ แล้วไปสร้างกุฏิหลังใหม่ทางทิศอีสาน (ทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือ) ของอุโบสถจนแล้วเสร็จ และลาสิกขาเมื่อปี พ.ศ. 2504 ออกไปมีครอบครัว ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ จากนั้น วัดแจ้งเมืองไผ่ก็ขาดพระผู้เป็นเจ้าอาวาส แต่ยังได้หลวงพ่อพูน อารักขโย เจ้าอาวาสวัด บ้านเมืองโพธิ์ ตำบลสามแวง อำเภอห้วยราชในขณะนั้น (ปัจจุบันเป็น ตำบลเมืองโพธิ์ อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์) และหลวงพ่อจาด วัดคันธารมณ์ โดยช่วยกันดูแลวัดเพื่อไม่ให้เป็นวัดร้าง จึงได้ส่งพระ ลูกวัดมาปกครองดูแลหลายรูปเช่น พระภิกษุซิม พระภิกษุสมุน เป็นต้น ซึ่งพระภิกษุทั้งสองรูปอยู่ดูแล ปกครองวัดได้ไม่นาน ก็ลาสิกขาออกไปมีครอบครัวตามลำดับ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ในระหว่างที่ยังขาดเจ้าอาวาส หลวงพ่อทั้งสอง คือหลวงพ่อพูน อารักขโย และหลวงพ่อจาด ได้ สร้างความเจริญมาสู่หมู่บ้านเมืองไผ่หลายอย่าง เช่น สร้างโรงเรียนขึ้นใหม่ในที่สาธารณะ ห่างจาก หมู่บ้านไปทางทิศอีสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) ห่างจากหมู่บ้าน 700 เมตร โดยตั้งชื่อว่า “โรงเรียน บ้านเมืองไผ่ พูนคุรุราษฏร์วิทยาคาร” สร้างสถานีอนามัยประจำหมู่บ้าน โดยมีนายทองใบ อพรรัมย์


~ 19 ~ บริจาคที่ดินให้ในขณะนั้น และมีคุณหมอบุญเลิศ เจริญศิริ ประจำการอยู่ ได้สร้างถนนไปอำเภอกระสัง ให้ชื่อว่า “ถนนอารักขยาประชานุสรณ์” ทำให้การสัญจรติดต่อกับอำเภอสะดวกขึ้น และใกล้ขึ้น พระอธิการสุวรรณ พรหมจาโร เป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ. 2512 เป็นพระจาริกจากประเทศ กัมพูชา ซึ่งแสวงบุญอยู่ในเขตประเทศไทยเป็นเวลานานเนา หลวงพ่อเป็นพระนักพัฒนา ปฏิสังขรณ์ได้ บูรณะโบสถ์ด้วยการเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาที่แตกเป็นส่วนออก แล้วมุงด้วยสังกะสีแทน สร้างฐานพระ ประธานด้วยคอนกรีตรอบฐานเก่าให้มีขนาดใหญ่ และสูงกว่าเดิม ยกพื้นโบสถ์ให้สูงขึ้น แล้วปูพื้นด้วย คอนกรีต ก่อผนังด้วนอิฐฉาบปูน แต่ไม่แล้วเสร็จเนื่องจากขาดปัจจัย และหลวงพ่อมีธุระทางบ้าน จึง เดินทางกลับประเทศกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 2516 ภายหลังได้กลับมาและได้เป็นเจ้าอาวาสวัดกระชาย ตำบลบ้านด่าน อำเภอเมืองบุรีรัมย์ (ปัจจุบันเป็นวัดกระชาย ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่าน จังหวัด บุรีรัมย์) ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว พระภิกษุสนาน รตนาโค (ตาโฮ) รักษาการเจ้าอาวาส ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ. 2518 เป็นพระอธิการสนาน รตนาโค ในระหว่างนี้ได้มีการจัดการศึกษาพระธรรมวินัยอย่าง จริงจัง แต่ละปีได้ส่งนักศึกษาพระธรรมวินัยไปสอบสนามหลวงหลายรูป หลายคน สอบได้นักธรรมตรี บ้าง ได้นักธรรมโทบ้าง ญาติธรรม และพุทธศาสนิกชนมีความเลื่อมใสนิยมเข้าวัดเข้าวาร่วมทำบุญในวัน สวนะและวันสำคัญทางศาสนาอยู่เป็นนิจ มีการจัดกิจกรรมธรรมะ เช่น การโต้วาทีธรรมะ นอกจากนี้ยัง ได้พัฒนาอาณาบริเวณวิสุงคามให้เป็นสัดส่วน ทำให้น่าดู น่าอาศัย และน่าจูงใจให้เข้าวัดเข้าวาสม่ำเสมอ ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ไม่นาน ได้ลาสิกขาเมื่อปี พ.ศ. 2520 ออกไปมีครอบครัว ปัจจุบันนี้ท่านยังใส่ใจใน การศึกษา พยายามหาความรู้อยู่เสมอ และช่วยกิจการวัดเสมอมา พระอธิการเทือก ธัมมะธีโร เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. 2520 ได้นำเนื้อดินจากการขุดลอก หนองตาเมียน มาถมบริเวณวัด ตลอดทั้งสระน้ำเก่าแก่ภายในวัด จนทำให้อาณาบริเวณที่กว้างขวาง จากนั้นได้ทำการปลูกป่าให้ความร่มรื่นมีสัตว์ปีกนานาชนิดได้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ต่อมาท่านได้ สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นในที่สาธารณะเนินยายสม (ยายสร็อม) ทางทิศใต้ของทางหมู่บ้าน และมีผู้บริจาคที่ดิน ให้บางส่วน สร้างจนแล้วเสร็จ ตั้งชื่อว่า “วัดโนนยายสม” แล้วท่านก็จำพรรษาอยู่ที่นี่ตลอดไม่ยอมกลับ วัดแจ้งเมืองไผ่ ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว พระอธิการสุรัตน์ พรหมจาโร เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. 2524 ได้ปรับแต่งอาณาบริเวณวัด ด้วยการใช้รถแทรคเตอร์ไถเกลี่ยและปรับแต่งให้อยู่ในประเด็นเดียวกัน โดยเฉพาะดินรอบโบสถ์ ซึ่งสูง กว่าที่อื่น ก็ได้ปรับแต่งให้ต่ำลง ทำให้ฐานโบสถ์แลเห็นสูงเด่นเป็นสง่า จากนั้นได้นำหินก้อนใหญ่มาวาง


~ 20 ~ เรียงรอบฐานโบสถ์เป็นชั้น ๆ แล้วฉาบด้วยคอนกรีตป้องกันการพังทลาย ได้บูรณะซ่อมแซมหลังคาโบสถ์ โดยเปลี่ยนไม้แปเป็นเหล็กทั้งหมด แล้วมุงหลังคาด้วยกระเบื้องลอนใหญ่ ได้สร้างกุฏิอีกหนึ่งหลังเป็นกุฏิ สองชั้น สร้างกำแพงวัดโดยรอบได้ 3 ด้าน สร้างซุ้มประตูเข้าออกทางทิศตะวันออก 1 ที่ และนายฉิม นิ เรียงรัมย์ พร้อมญาติได้สร้างถวายซุ้มประตูเข้าออกทางทิศตะวันตกอีก 1 ที่ พระคุณเจ้าได้ริเริ่มการ รณรงค์การปลูกป่าเพื่อให้เป็นป่าชุมชน การได้พัฒนาวัดและสร้างถาวรสถานหลายอย่าง จนเป็นที่ เลื่อมใสศรัทธาในด้านการสร้างสรรค์ ทำให้ชาวบ้านได้ร่วมใจกันจัดกองผ้าป่าสามัคคีมาทอดถวายเป็น ประจำทุกปี แต่กระนั้นพระคุณเจ้าก็อยู่ได้ไม่นานต้องลาสิกขาเพื่ออยู่ร่วมกับครอบครัวที่จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันท่านเสียชีวิตแล้ว พระอธิการบุญห่ม สุภาทะโร เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. 2533 เป็นพระเทศน์ในคณะธรรมทูต สายที่ 6 ของคณะธรรมทูตจังหวัดสุรินทร์


~ 21 ~ ข้อมูลทั่วไป 1. การประกอบอาชีพ 1.1 อาชีพหลักของครัวเรือน อาชีพเกษตรกรรม จำนวน 179 ครัวเรือน อาชีพรับราชการ จำนวน 11 ครัวเรือน อาชีพค้าขาย จำนวน 8 ครัวเรือน อาชีพรับจ้างทั่วไป จำนวน 45 ครัวเรือน 2. จำนวนกลุ่มกิจกรรม กลุ่มอาชีพมีจำนวน กลุ่มดังนี้ 2.1 ชื่อกลุ่มน้ำพริกปลาร้าบ้านเมืองไผ่ จำนวนสมาชิก 16 คน 2.2 ชื่อกลุ่มเลี้ยงโคขุน จำนวนสมาชิก 25คน 2.3 ชื่อกลุ่มเกษตรอินทรีย์ จำนวนสมาชิก 46คน 3. กองทุน/สหกรณ์ในชุมชน มีจำนวน 2 กองทุน/สหกรณ์ มีดังนี้ 1. กองทุนเงินล้าน งบประมาณ 1,000,000 บาท 2. กองทุนคัดเมล็ดพันธ์ข้าวเปลือก งบประมาณ 300,000 บาท 4. ข้อมูลความต้องการของสมาชิกในการพัฒนาชุมชนกลุ่ม ดังนี้ หมวดที่ 1 สุขภาพดี 1 เด็กแรกเกิดมีน้ำหนัก 2,500 กรัม ขึ้นไป 2 เด็กแรกเกิดได้กินนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนแรกติดต่อกัน 3 เด็กแรกเกิดถึง 12 ปี ได้รับวัคซีนป้องกันโรคครบตามตารางสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค 4 ครัวเรือนกินอาหารถูกสุขลักษณะ ปลอดภัย และได้มาตรฐาน 5 ครัวเรือนมีการใช้ยาเพื่อบำบัด บรรเทาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นอย่างเหมาะสม 6 คนอายุ 35 ปีขึ้นไป ได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี 7 คนอายุ 6 ปีขึ้นไป ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 30 นาที


~ 22 ~ หมวดที่ 2 สภาพแวดล้อม 1 ครัวเรือนมีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย และบ้านมีสภาพคงทนถาวร 2 ครัวเรือนมีน้ำสะอาดสำหรับดื่ม และบริโภคเพียงพอตลอดปีอย่างน้อยคนละ 5 ลิตร ต่อวัน 3 ครัวเรือนมีน้ำใช้เพียงพอตลอดปี อย่างน้อย คนละ 45 ลิตรต่อวัน 4 ครัวเรือนมีการจัดบ้านเรือนเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาด และถูกสุขลักษณะ 5 ครัวเรือนไม่ถูกรบกวนจากมลพิษ 6 ครัวเรือนมีการป้องกันอุบัติภัยและภัยธรรมชาติอย่างถูกวิธี 7 ครัวเรือนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หมวดที่ 3 การศึกษา 1. เด็กอายุ 3 – 5 ปี ได้รับการบริการเลี้ยงดูเตรียมความพร้อม ก่อนวัยเรียน 2. เด็กอายุ 6 – 14 ปี ได้รับการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี 3. เด็กจบชั้น ม.3 ได้เรียนต่อชั้น ม.4 หรือเทียบเท่า 4. คนในครัวเรือนที่จบการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี ที่ไม่ได้เรียนต่อ และยังไม่มีงานทำได้รับการฝึกอบรม ด้านอาชีพ 5. คนอายุ 15 – 59 ปี อ่าน เขียนภาษาไทย และคิดเลขอย่างง่ายได้ หมวดที่ 4 การมีงานทำและรายได้ 1. คนอายุ 15 – 59 ปี มีอาชีพ และรายได้ 2. คนอายุ 60 ปีขึ้นไป มีอาชีพ และรายได้ 3. รายได้เฉลี่ยของคนในครัวเรือนต่อปี 4. ครัวเรือนมีการเก็บออมเงิน หมวดที่ 5 ค่านิยม 1. คนในครัวเรือนไม่ดื่มสุรา 2. คนในครัวเรือนไม่สูบบุหรี่ 3. คนอายุ 6 ปีขึ้นไป ปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง


~ 23 ~ 5. ข้อมูลด้านสาธารณูปโภค 5.1 การเดินทางเข้าชุมชน บ้านเมืองไผ่ หมู่ที่ 1 ตำบลเมืองไผ่ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เชื่อมต่อกับทางหลวงชนบท เส้นกระสัง-เมืองโพธิ์ ออกจากอำเภอกระสังมุ่งหน้าทางทิศเหนือ อยู่ห่างจากอำเภอกระสัง ระยะทาง 10 กิโลเมตรห่างจากจังหวัดบุรีรัมย์ 23 กิโลเมตร 5.2 สาธารณูปโภค ( ไฟฟ้า น้ำประปา อินเทอร์เน็ต ) 1. การมีไฟฟ้าใช้ของครัวเรือน • มีไฟฟ้าใช้ จำนวน 263 ครัวเรือน • ไม่มีไฟฟ้าใช้ จำนวน - ครัวเรือน 2. แหล่งน้ำสาธารณะ จำนวน 5 แห่ง 3. แหล่งน้ำตามธรรมชาติ จำนวน 1 แห่ง 4. แหล่งน้ำที่สร้างขึ้นประกอบด้วย • บ่อบาดาล จำนวน 1 แห่ง • บ่อน้ำตื้น จำนวน - แห่ง • ถังเก็บน้ำฝน (คสล.) จำนวน - แห่ง • ธนาคารน้ำใต้ดิน (แบบปิด) จำนวน 11 แห่ง


~ 24 ~ 6. ข้อมูลด้านศักยภาพของชุมชน มีการประชุมพูดคุยกับคณะกรรมการหมู่บ้าน และประชาชน ให้มีการพัฒนาหมู่บ้านให้ดียิ่งขึ้น และประชาชนในหมู่บ้านช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแลเรื่องความสงบเรียบร้อยของชุมชนอยู่เป็น ประจำ 7. วิสัยทัศน์ ต้องการให้ชาวบ้านมีอยู่มีกิน อยู่อย่างพอเพียงตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ให้ประชาชนของ ท่านได้อยู่แบบพึ่งตนเอง และกินอยู่อย่างพอเพียง 8. ด้านสังคม การปกครองในชุมชน แบ่งการปกครองเป็น 4 คุ่ม ประกอบด้วยคุ้มต่าง ๆ ดังนี้ 1. คุ้มซอยตัน ประธานคุ้ม นายบุญยัง กระแสร์อินทร์ จำนวน 20 ครัวเรือน 2. คุ้มกันตู ประธานคุ้ม นางประไพ จงตั้งกลาง จำนวน 20 ครัวเรือน 3. คุ้มบัลลัง ประธานคุ้ม นางนาน ตรีวิเศษ จำนวน 20 ครัวเรือน 4. คุ้ม ศรีเมืองไผ่ ประธานคุ้ม นายยอม นิเรืองรัมย์ จำนวน 20 ครัวเรือน 9. ลักษณะภูมิประเทศ สภาพเป็นพื้นที่ราบ โดยสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของการใช้ประโยชน์ ดังนี้ พื้นที่ทั้งหมดของชุมชนจำนวน 5,000 ไร่ ดังนี้ • เป็นพื้นที่เพื่ออยู่อาศัย จำนวน 175 ไร่ • เป็นพื้นที่เพื่อการเกษตร จำนวน 4,000 ไร่ • เป็นพื้นที่สาธารณะ จำนวน 825 ไร่ 10. ลักษณะภูมิอากาศ ภูมิอากาศบ้านเมืองไผ่ มีลักษณะอากาศแบบร้อนชื้นสลับแห้งแล้งหรือฝน โดยฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่ กลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือนตุลาคม และฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึงเดือนมกราคม


~ 25 ~ 11. วัฒนธรรม/ประเพณี/ภาษา กิจกรรมประเพณีทรงน้ำพระในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ ประเพณีก่อเจดีย์ทราย และการ ทำบุญหมู่บ้าน ภาษาที่นิยมใช้จะเป็นภาษาท้องถิ่น (ภาษาเขมร) และภาษากลาง


~ 26 ~ ภาคผนวก


~ 27 ~ บริเวณทางเข้าหน้าหมู่บ้าน ศาลากลางหมู่บ้าน


~ 28 ~ ผู้นำชุมชนและคณะกรรมการหมู่บ้าน


~ 29 ~ วัดประจำหมู่บ้าน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กประจำหมู่บ้าน


~ 30 ~ โรงเรียนประจำหมู่บ้าน


~ 31 ~ กิจกรรมต่าง ๆ ของหมู่บ้าน


~ 32 ~ ภาพตำบลเมืองไผ่


~ 33 ~ วัดประจำตำบลเมืองไผ่


~ 34 ~ ศาลประจำตำบลเมืองไผ่


~ 35 ~ แหล่งวัตถุโบราณประจำตำบลเมืองไผ่


~ 36 ~ ศาลากลางหมู่บ้านเมืองไผ่ แหล่งน้ำของชุมชนตำบลเมืองไผ่


Click to View FlipBook Version