The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

EP5 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม แก่นแท้พุทธธรรมฯ 20 พย 64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aoraboonchuay, 2021-11-23 17:23:48

EP5 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม แก่นแท้พุทธธรรมฯ 20 พย 64

EP5 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม แก่นแท้พุทธธรรมฯ 20 พย 64

ความรู้พนื้ ฐานเกี่ยวกบั คณุ ธรรมจรยิ ธรรม

แกน่ แทพ้ ุทธธรรม : มัชเฌนธรรมและมัชฌิมาปฏปิ ทา

มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่ พระครูปลดั บุญช่วย โชติวํโส, ดร.

พระครปู ลัดบญุ ช่วย โชตวิ โํ ส,ดร.

- อาจารย์หลกั สตู รครศุ าสตรมหาบณั ฑิต (ค.ม.) สาขาวิชาพทุ ธบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่
- เลขานุการหลกั สูตรครุศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าพทุ ธบริหารการศกึ ษา
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น
- กรรมการบริหารงานบัณฑิตศึกษา มจร.วิทยาเขตขอนแกน่

- นกั ธรรมช้นั เอก

- ปริญญาพทุ ธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) พระพทุ ธศาสนา มจร.วิทยาเขตขอนแกน่
- ประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชพี ครู (ป.บณั ฑิต) วชิ าชีพครู มจร.วทิ ยาเขตขอนแก่น
- ปริญญาศกึ ษาศาสตรม์ หาบัณฑิต (ศษ.ม.) การบรหิ ารการศกึ ษา

ม.ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื
- ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑติ (พธ.ม.) พระพทุ ธศาสนา มจร.วทิ ยาเขตขอนแกน่
- ปรญิ ญาปรัชญาดุษฎบี ณั ฑิต (ปร.ด.) การบริหารการศึกษา ม.ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื

มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น พระครปู ลัดบุญช่วย โชตวิ ํโส, ดร.

เอกสารประกอบการบรรยาย ชุดที่ 5

เรื่อง ความรพู้ น้ื ฐานเกย่ี วกบั คณุ ธรรมจริยธรรมแก่นแทพ้ ุทธธรรม : มชั เฌนธรรมและมัชฌิมาปฏิปทา
ภายใตว้ ิชา คณุ ธรรมจรยิ ธรรมและจรรยาบรรณวิชาชพี (รหัสวชิ า 610 206)
(Morality and Professional Ethics)
อาจารย์ผบู้ รรยาย พระครปู ลดั บญุ ช่วย โชตวิ ํโส,ดร.

ภาคการศึกษา ท่ี 2/2564
หลกั สตู ร ครุศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าพทุ ธบรหิ ารการศกึ ษา
สถานที่ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น

มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น พพรระะคครปูรลูปัดลบัดุญบชญุ ว่ ยช่วโยชตโวิ ชโํ สต,วิดรํโส. , ดร.

หวั ข้อบรรยาย

- ความรู้พน้ื ฐานเกย่ี วกบั คุณธรรมจริยธรรม
- ความหมายของคณุ ธรรมจรยิ ธรรม
- แหล่งท่ีมาของคุณธรรม
- แก่นแทพ้ ทุ ธธรรม : มัชเฌนธรรมและมชั ฌมิ าปฏิปทา

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น พพรระะคครปูรลปู ัดลบดั ญุ บชญุ ่วยช่วโยชตโิวชํโสต,วิดรํโส. , ดร.

ความรพู้ ้ืนฐานเก่ียวกบั คณุ ธรรมจริยธรรม

ความหมาย คุณธรรม (Morality/Virtue) และจริยธรรม (Ethics) เปน็ คาํ ศัพท์ท่ีมคี วามหมาย ใกล้เคียง
ของคุณธรรม กนั ท้งั ในภาษาไทยและอังกฤษ ตามที่บัญญัติไว้ในพจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒

จรยิ ธรรม คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดี เป็นสภาพคุณงามความดีทางความ ประพฤติและ

จติ ใจ ซ่งึ สามารถแยกออกเปน็ ๒ ความหมาย คือ

๑) ความประพฤตดิ งี าม เพ่อื ประโยชน์สขุ แก่ตนและสังคม ซ่งึ มพี ้ืนฐานมาจากหลกั

ศลี ธรรมทางศาสนา ค่านิยมทางวฒั นธรรม ประเพณี หลักกฎหมาย จรรยาบรรณวิชาชพี

๒) การรูจ้ กั ไตร่ตรอง ว่าอะไรควรทาํ ไมค่ วรทาํ และอาจกลา่ วไดว้ า่ คุณธรรม คอื

จรยิ ธรรมแตล่ ะขอ้ ท่ีนาํ มาปฏบิ ตั จิ นเป็นนิสยั

เช่น เป็นคนซือ่ สัตย์ เสียสละ อดทน มีความรับผดิ ชอบ ฯลฯ

มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ พระครปู ลดั บญุ ชว่ ย โชตวิ ํโส, ดร.

ความหมายของคณุ ธรรมจริยธรรม (ต่อ)

คุณธรรม ประกอบด้วยคําสองคํา คือ คําว่า คุณ แปลว่า ประโยชน์ และคําว่า ธรรม ใน

ทํานองเดียวกันกับคําว่า จริยธรรม ก็ประกอบด้วยคําว่า จริย แปลว่า ความประพฤติท่ีพึง
ประสงค์ ท้ังคุณธรรมและจริยธรรม มคี าํ วา่ ธรรม เปน็ คาํ รว่ ม

พระเทวินทร์ เทวินโท (๒๕๔๔) อธิบายความหมายของคําว่าธรรม ว่า หมายถึง
ความจรงิ ความประพฤติดี ความถกู ต้อง คณุ ความดี ความชอบ คําสงั่ สอน

ดังนน้ั เพือ่ ความเข้าใจในความหมายของท้งั สองคาํ น้ีจงึ ควรพจิ ารณาคํานยิ าม
ตามแนวทศั นะของจริยศาสตร์และสังคมศาสตร์ควบคกู่ นั ไปดว้ ย คาํ ว่า คณุ ธรรม
(Moral) และจริยธรรม (Ethics) ในทัศนะของจริยศาสตร์และสังคมศาสตร์มี
ความหมายดงั ต่อไปน้ี

มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น พระครูปลดั บุญช่วย โชตวิ ํโส, ดร.

ความหมายของคุณธรรมจรยิ ธรรม (ต่อ)

คุณธรรม หมายถึง หลักจรยิ ธรรมทีส่ ร้างความร้สู กึ ผดิ ชอบชว่ั ดี มีคุณงามความดภี ายในจิตใจอยูใ่ น
ขั้นสมบรู ณ์จนเตม็ เป่ียมไปด้วยความสขุ ความยินดี (ประภาศรี สหี อําไพ, ๒๕๔๓)

คณุ ธรรม หมายถึง สิ่งทบ่ี คุ คลยอมรบั ว่าเปน็ สง่ิ ทด่ี งี ามมปี ระโยชน์มากมายและมีโทษน้อย
(ดวงเดือน พันธุมนาวนิ , ๒๕๓๘)

ธรรมท่ีเป็นคุณ, ความดีงาม, สภาพท่ีเกื้อกูล; ตามความหมายเดิมในภาษาบาลี คุณธรรม คือความดีงาม มีศีลเป็นต้น แต่
ตามท่ีใช้ปัจจุบันในภาษาไทย คุณธรรม หมายถึงความดีงามในจิตใจ โดยมักพูดคู่กับ จริยธรรม ซ่ึงในภาษาไทยปัจจุบัน
หมายถงึ ความดงี ามที่แสดงออกเป็นพฤติกรรม เป็นความประพฤติปฏิบัติที่ปรากฏ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต))

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น พระครปู ลัดบุญชว่ ย โชตวิ ํโส, ดร.

ความหมายของคุณธรรมจรยิ ธรรม (ตอ่ )

จริยธรรม หมายถึง ความประพฤตปิ ฏิบัติที่มธี รรมะเป็นตัวกํากับ จรยิ ธรรมก็คอื ธรรมที่
๑ เป็นไป ธรรมทเี่ ปน็ ข้อประพฤตปิ ฏบิ ัติ ศลี ธรรม กฎศีลธรรม (พระเทวนิ ทร์ เทวินโท,

๒๕๔๔)

๒ จรยิ ธรรม ถ้าจะตคี วามแคบๆ จริยธรรมคงหมายถึง ศลี ธรรมประการหนึง่ และคณุ ธรรม
อกี ประการหน่งึ รวมเปน็ สองประการด้วยกนั (สุนทร โคตรบรรเทา, ๒๕๔๔)

๓ จริยธรรม เป็นส่ิงพึงประพฤติ จะต้องประพฤติ ส่วนศีลธรรม น้ัน คือสิ่งที่กําลังประพฤติ
อยู่หรือประพฤติดแี ล้ว (พระราชชัยกวี (พทุ ธทาส อนิ ทปญั โญ))

๔ จรยิ ธรรม คือความประพฤติตามคา่ นิยมท่พี ึงประสงค์ (วทิ ย์ วิศทเวทย์)

จริยธรรม คือ หลักความประพฤติที่อบรมกิริยาและปลูกฝังลักษณะนิสัยให้อยู่ในครรลองของของ
๕ คุณธรรมหรือศลี ธรรม (สาโรช บัวศร)ี

มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่ พระครูปลดั บุญชว่ ย โชติวํโส, ดร.

ความหมายของ จริยธรรม คอื ส่ิงที่คนในสงั คมเกดิ ความเชอื่ ถอื ซง่ึ มีตวั ตนมาจากปรมตั ถสจั จะ (สุลักษณ์ ศวิ รักษ)์
คณุ ธรรม
จริยธรรม ประมวลความประพฤตแิ ละความนึกคิดในสง่ิ ทด่ี งี ามและเหมาะสม (ก่อ สวสั ดิพาณชิ ย์)
จริยธรรม (ต่อ)
จริยธรรม หมายถึง ระบบการทําความดี ละเว้นความช่ัว ซ่ึงเป็นระบบท่ีหมายถึง
สาเหตุท่ีบุคคลจะกระทําหรือไม่กระทํา และผลของการกระทําและไม่กระทํา
ตลอดจนกระบวนการเกิดและการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้ด้วย (ดวงเดือน
พันธมุ นาวนิ , ๒๕๓๘)

สรุปไดว้ า่

จากความหมายของท้ังสองคําดังกล่าว พบว่ามีความใกล้เคียงกันเป็นอย่างมากจึง
มักเป็นคําท่ีใช้คู่กัน แต่อย่างไรก็ตามสรุปได้ว่าการมีคุณธรรมและจริยธรรมของ
บุคคลทั้งในการดํารงชีวิตประจําวันและในการทํางานหรือการประกอบวิชาชีพจะ
สง่ ผลใหบ้ คุ คลมีความสขุ ในการอยู่ร่วมกนั ในสังคม

มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น พระครูปลัดบญุ ช่วย โชติวํโส, ดร.

ความรพู้ ้ืนฐานเกี่ยวกบั คณุ ธรรมจริยธรรม

แหลง่ ทมี่ าของคุณธรรม

คณุ ธรรม เปน็ หลักการทม่ี นษุ ยใ์ นสงั คมควรยึดถือปฏิบัตเิ พ่ือการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขในสังคม ปัจจัยที่
มอี ิทธพิ ลต่อการเกิดคุณธรรมข้ึนในสังคมตลอดมา เนือ่ งจากมีความพยายามทตี่ ้องการสร้างหลกั คุณธรรม
ท่ีเป็นสากลให้บุคคลเกิดความรู้สึกในเรื่องของคุณธรรมในแนวทางที่สอดคล้องกับพฤติกรรม แหล่งก่อกําเนิด
ของคณุ ธรรมอาจแบ่งออกไดเ้ ป็น ๒ ประการ คือ

๑. แหลง่ กาํ เนิดภายในตัวบุคคล

๒. แหล่งกําเนดิ ภายนอกตัวบคุ คล

มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ พระครูปลดั บญุ ช่วย โชตวิ ํโส, ดร.

๑. แหลง่ กาํ เนิดภายในตวั บคุ คล

อริสโตเติล (Aristotle) ได้แยกแยะแหล่งท่ีเกิดของคุณธรรมว่าเป็นคุณธรรมอันเกิดจาก
ปัญญา และคณุ ธรรมอันเกิดจากศีลธรรมและจริยธรรมว่า คุณธรรมอันเกิดจากปัญญา เป็นคุณ
ธรรมในระดับปัจเจกบุคคลกล่าวคือ ผู้ที่มีสติปัญญามักจะสามารถพัฒนาจริยธรรมได้ด้วยหลัก
ของการคิดไตร่ตรอง สว่ นคุณธรรมอนั เกิดจากศีลธรรมและจริยธรรมนั้น เป็นคุณธรรมท่ีเกิดจากการ
ปฏิบัติจริงด้วยการเรียนรู้จากการอยู่ร่วมกัน เป็นการแสดงพฤติกรรมที่ถูกต้องซ่ึงนําไปสู่สภาวะของ
ความเปน็ สขุ ซ่งึ แบง่ แยกออกเป็น ๒ ประการ คอื
๑) ตัวกําหนดมาจากพันธุกรรมท่ีส่งทอดมาจากบรรพบุรุษ ผ่านกระกระบวนการทางพันธุกรรม การ
พัฒนาของสมองจะดาํ เนินไปตามรหัสพันธุกรรมทก่ี าํ หนดไวต้ ัง้ แตเ่ กิด
๒) ตัวกําหนดมาจากสภาพจิต กําเนิดจาก ความรู้สึกผิดชอบช่ัวดี ซ่ึงเกิดข้ึนจากมโนธรรมท่ีอยู่ใน
ความร้สู กึ นกึ คิด ดงั นัน้ แหล่งกาํ เนดิ ของคุณธรรมจึงเปน็ คุณภาพของสมองในการคิด และคุณภาพของจิตท่ีสามารถ
แยกแยะความถูก ผดิ ได้เปน็ พ้ืนฐาน

มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่ พระครูปลัดบญุ ชว่ ย โชตวิ ํโส, ดร.

3 ๒. แหลง่ กาํ เนิดภายนอกตัวบุคคล

การทบี่ ุคคลนัน้ จะทําความดี หรอื ละเวน้ การกระทําท่ีไม่นา่
พงึ ปรารถนามากนอ้ ยเพยี งใดนั้น สาเหตุท่ีสาํ คญั คือ
คนรอบข้าง กฎระเบียบ สังคม วัฒนธรรมและสถานการณ์
ทบี่ คุ คลประสบอยู่ นอกจากสภาพแวดลอ้ มในการทํางาน
การมีหรอื การขาดแคลนส่ิงเออ้ื อาํ นวยในการทาํ งาน
ตลอดจนบรรยากาศทางสงั คมในท่ีทาํ งาน กลมุ่ เพอื่ นและ
วฒั นธรรมในองค์กร จะมีผลต่อพฤตกิ รรมการทํางาน และ
สุขภาพจติ ตลอดจนความสขุ ความพอใจในการทํางาน

วรยิ า ชนิ วรรโณ (๒๕๔๖) อธบิ ายถึงอทิ ธิพลที่เปน็ ผลตอ่ การเกิด
คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในประเทศไทยซงึ่ เริ่มมขี ึ้นในสมัยรชั กาลที่ ๕ ซึง่ อาจกล่าวได้ว่าเปน็
รากฐานของแหลง่ คุณธรรมจรยิ ธรรม เช่น

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่ พระครปู ลดั บุญชว่ ย โชติวํโส, ดร.

3๒. แหล่งกาํ เนิดภายนอกตวั บคุ คล (ตอ่ )

๑) อิทธิพลของคําสาบานกฎหมาย นอกจากกฎหมายที่ระบุไว้เป็นจริยธรรม
หรือวินัยของผู้ปฏิบัติงาน การให้คําสาบานจึงเป็นการกําหนดพฤติกรรมที่เป็น
คุณธรรมจริยธรรมซ่ึงเป็นเงื่อนไขผูกมัดด้วยวาจาที่เชื่อมโยงกับความศักดิ์ของ
พธิ ีกรรม ซ่ึงทําให้เกดิ เป็นข้อกาํ หนดแนวทางความประพฤติซึ่งมีวัฒนธรรมเป็นตัว
กาํ กับอยู่ดว้ ยและอาจกลายมาเป็นกฎเกณฑ์ในท่ีสุด

๒) อิทธพิ ลของศาสนา ทกุ ศาสนายอ่ มมคี ําสั่งสอนเป็นศีลและธรรมให้บุคคลผู้
นับถอื และศรัทธาให้การยอมรบั และเชื่อ

มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น พระครูปลัดบุญช่วย โชติวํโส, ดร.

แหล่งทีม่ าของจรยิ ธรรม

แหลง่ ทเ่ี ป็นบอ่ เกดิ ของจรยิ ธรรมท่เี ป็นแหล่งสาํ คญั มีดังนี้

ปรัชญา วชิ าปรชั ญาคอื วิชาที่ว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง สาระของปรัชญาจะกล่าวถึงลักษณะ
ของชีวติ ท่ีพงึ ปรารถนาควรเปน็ อย่างไร ธรรมชาตขิ องมนุษย์ สภาพสังคมท่ีดี ความคิดเชิงปรัชญาจะแถลง
ออกมาเป็นความเช่ืออย่างมีเหตุผล จนคนต้องยอมรับว่าเป็นความคิดที่ได้รับการพิจารณาไตร่ตรอง
รอบคอบแล้วปรัชญาจะกล่าวถึงเรื่องเก่ียวกับความดี ความงาม ค่านิยม เพื่อจะได้ยึดเป็นหลักปฏิบัติ
ประจําตวั ตอ่ ไป

ศาสนา คาํ สอนของศาสดาในศาสนาต่างๆ ตามทศ่ี าสดาเหลา่ นนั้ ทา่ นไดป้ ฏบิ ัติเองและสัง่ สอนให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม จน
เกดิ ผลดงี ามของการปฏิบตั นิ ัน้ เป็นทปี่ ระจกั ษม์ าแลว้ เช่น หลักคาํ สอนของพระพทุ ธศาสนา คาํ สอนของศาสนาคริสต์
หรือขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องศาสนาอิสลามเป็นต้น

สังคม สง่ิ ทสี่ งั คมกําหนดนับถือร่วมปฏิบัติด้วยกัน อันได้แก่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งเป็นข้อกําหนดที่ถือปฏิบัติ
กนั ในสงั คมและยอมรับสบื ทอดกันมา

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่ พระครปู ลดั บญุ ชว่ ย โชตวิ ํโส, ดร.

แหล่งที่มาของจรยิ ธรรม (ตอ่ )

การเมืองการปกครอง ในระบอบการเมืองการปกครอง ได้กําหนดข้อบังคับระเบียบ
กฎหมายของบ้านเมือง จรรยาบรรณต่างๆ ซึ่งเป็นข้อบังคับหรือแนวปฏิบัติ เพื่อการ
อยรู่ ว่ มกันอยา่ งสนั ติสขุ และเพ่อื ความยตุ ิธรรมโดยท่ัวกัน

มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น พระครปู ลดั บญุ ช่วย โชตวิ ํโส, ดร.

ระดบั ของคุณธรรมจริยธรรม

เป้าหมายของคุณงามความดีที่บุคคลได้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง จะได้รับผลมากน้อยขึ้นอยู่กับระดับ
สตปิ ัญญาของบุคคลน้ันๆ ในทางพระพทุ ธศาสนาแบ่งระดบั คุณธรรมจรยิ ธรรมไว้เปน็ ๒ ระดบั คอื

๑. ระดับโลกียธรรม ได้แก่ ธรรมอันเป็นวิสัยของโลก สภาวะ
เน่ืองในโลก เช่น ศีล ๕ เป็นต้น โลกียธรรมเป็นธรรมข้ันต้น
สําหรับผู้มีสติปัญญาไม่แก่กล้า การปฏิบัติตามโลกียธรรมมุ่งให้
บุคคลในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสันติสุขไม่เบียดเบียนซ่ึง
กันและกัน ไม่ทําชั่วสร้างแต่คุณงามความดีและทําจิตใจให้
บรสิ ทุ ธ์ผิ ่องใส เป็นการน้อมนําเอาพุทธโอวาทมาปฏิบัติในฐานะ
ท่ียังเป็นปุถุชนอยู่ จริยธรรมในระดับโลกียธรรม จะถูกกําหนด
ออกมาในรูปแบบต่าง ๆ นอกจากคําสอนของศาสนาแล้วก็ยังมี
องค์กรทางสังคม เช่น ระเบียบ กติกา จารีต ประเพณี
วัฒนธรรม ฯลฯ องค์กรทางการเมือง อันได้แก่ กฎหมาย
พระราชบัญญตั ิ พระราชกาํ หนด เป็นต้น

มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น พระครูปลัดบญุ ชว่ ย โชติวํโส, ดร.

๒.ระดับโลกุตตรธรรม พระครูปลดั บุญชว่ ย โชตวิ ํโส, ดร.
ได้แก่ ธรรมอนั มิใช่โลก สภาวะพน้ โลก ได้แก่

มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
ผู้บรรลุจริยธรรมระดับน้ีจัดเป็นอริยบุคคล คือผู้พ้นจาก

กิเลส ซึ่งแบง่ ออกเปน็ ๔ ระดับ
จากระดับตํ่าไปสู่ระดับสูง ดังนี้ โสดาบันอริยบุคคล

สกทาคามีอริยบุคคล อนาคามอี ริยบคุ คล อรหนั ตอรยิ บุคคล

มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น

องค์ประกอบของคุณธรรมจรยิ ธรรม พระครปู ลดั บญุ ชว่ ย โชตวิ ํโส, ดร.

กรมวชิ าการ (๒๕๓๕ : ๕) ได้จดั ทาํ เอกสารการประชุมเกี่ยวกบั จรยิ ธรรมไทย
สรปุ วา่ จรยิ ธรรมของบุคคลมีองคป์ ระกอบ ๓ ประการ คือ

ด้านความรู้ (moral reasoning) คือ ความเข้าใจในเหตผุ ล
ของความถกู ตอ้ งดงี าม สามารถตัดสินแยกความถกู ตอ้ งออก
จากความไมถ่ กู ต้องได้ด้วยการคิด
ดา้ นอารมณ์ความรู้สกึ (moral attitude and belief) คือ
ความพงึ พอใจ ความศรัทธาเลื่อมใส ความนยิ มยนิ ดี ทจี่ ะรับ
จริยธรรมมาเปน็ แนวทางในการประพฤติปฏบิ ัตติ น
ดา้ นพฤติกรรม (moral conduct) คอื การกระทําหรอื
การแสดงออกของบุคคลในสถานการณต์ า่ งๆ
ซึ่งเช่อื วา่ เกิดจากอิทธพิ ลของทง้ั สององคป์ ระกอบขา้ งต้น

มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่

แก่นแทพ้ ทุ ธธรรม : มชั เฌนธรรมและมชั ฌิมาปฏิปทา

พุทธธรรม แต่งโดยพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) แรกเร่ิมท่านเขียนเป็นบทความขนาด
ยาวลงพมิ พเ์ พอ่ื เปน็ อนสุ รณ์แกพ่ ระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนนราธิปพงศ์ประพันธ์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า
พระองคว์ รรณฯ ต่อมาได้ขยายบทความชนิ้ น้ันมาเป็นหนงั สือขนาดย่อม แล้วมาขยายเป็นฉบับขยาย
ความดังที่ปรากฏในปัจจุบัน หนังสือ พุทธธรรม ของพระพรหมคุณาภรณ์เล่มน้ี เป็นหนังสือที่
ทรงคุณค่าทางพระพุทธศาสนามากท่ีสุดเล่มหน่ึง เพราะประมวลหลักพุทธธรรม หรือกฎของ
ธรรมชาติในแง่มุมต่างๆ โดยดงึ เอาคําอธิบายจากพระไตรปฎิ ก, อรรถกถา,ฎกี า, อนุฎีกา ฯลฯ เพ่ือให้
พุทธวจนะแจ่มกระจ่างไว้ครบถ้วน สมบูรณ์มาก เหมาะสําหรับผู้สนใจใฝ่รู้เนื้อหาพระพุทธศาสนา
โดยภาพรวมท้ังหมดไว้ประจําบ้าน นับเป็นหนึ่งในหนังสือดี ๑๐๐ เล่มท่ีคนไทยควรอ่าน นับเป็น
หนังสอื ที่สาํ คัญเล่มหนึง่ ในวงการพทุ ธศาสนา และได้รบั การยกย่องเสมอมา จนปจั จบุ ัน

มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ พระครปู ลดั บญุ ชว่ ย โชตวิ ํโส, ดร.

มชั เฌนธรรม

คือ การแสดงความจริงเป็นกลาง พอดี ตามสภาวะของธรรมชาติ ไม่เฉ ไม่เอียง ไมส่ ุดโตง่ เลย
เถิดไป เชน่ ไมก่ ลายเปน็ อัตถิกวาท (ลัทธิว่าทกุ อย่างมีจรงิ ) หรอื นัตถกิ วาท (ลัทธวิ ่าไม่มอี ะไรจรงิ
เลย) ไมเ่ ป็นสัสสตวาท (ลัทธวิ า่ เทีย่ งแท)้ หรืออุจเฉทวาท (ลัทธิวา่ ขาดสญู ) เปน็ ต้น พระพทุ ธเจา้
ตรสั รอู้ ะไร? (วา่ ตามธรรม) ปฏิจจสมุปบาท : กฎธรรมชาตสิ ากลแห่งปจั จยาการ ภายใต้รม่ มหาโพธ์ิ
ณ ริมฝัง่ แม่นํา้ เนรัญชรา พระพทุ ธเจา้ เมื่อตรสั ร้แู ล้ว ยงั คงประทับทน่ี ั่น เสวยวิมตุ ตสิ ขุ ๖ สปั ดาห์
จากนน้ั เสด็จออกจากสมาธิ แลว้ ทรงพจิ ารณาปฏิจจสมุปบาท ที่ไดต้ รสั รู้ ตลอดเวลา ๓ ยามแหง่
ราตรี โดย

ในยามที่ ๑ ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทน้นั แบบอนุโลมคอื ตามลําดับกระบวนการแหง่ เหตปุ ัจจัย
ในการเกดิ ขน้ึ ของสภาวธรรมที่เรียกวา่ ทกุ ข์ จบแล้ว มีพุทธอทุ านใจความว่า เมือ่ ธรรมทั้ง หลายแจ่มแจง้
ชัดเจน ก็ส้นิ สงสยั เพราะร้เู ขา้ ใจธรรมพร้อมท้งั เหตุปจั จยั นคี่ ือปฏิจจสมุปบาท ฝา่ ยกระบวนการกอ่ เกิด
ทกุ ข์ ทเ่ี รยี กว่าสมุทัย

มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ พระครูปลัดบญุ ช่วย โชตวิ ํโส, ดร.

ในยามที่ ๒ ทรงพจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาทนนั้ แบบปฏโิ ลม คอื ย้อนลาํ ดบั ตามกระบวนการ
ดับไปของสภาวะทเี่ รียกว่าทุกขน์ ้ัน จบแลว้ มีพุทธอทุ านใจความว่า เมือ่ ธรรมทง้ั หลายแจม่
แจง้ ชัดเจน ก็ สิน้ สงสยั เพราะไดร้ ้แู จง้ สภาวะท่ีสน้ิ เหตุปัจจัย น่ีคอื ปฏิจจสมุปบาท ฝ่าย

กระบวนการดบั สลายทุกข์ ที่เรยี กว่านิโรธ

ในยามที่ ๓ ทรงพิจารณาปฏจิ จสมปุ บาทนน้ั ทัง้ อนโุ ลม-ปฏโิ ลม คอื ทง้ั กระบวนการ
เกิดขึน้ และกระบวนการดับสลายแหง่ เหตปุ จั จัยในการกอ่ เกิดทุกข์นนั้ จบแล้ว มีพุทธอุทาน
ใจความว่า เม่ือ ธรรมท้ังหลายแจ่มแจง้ ชัดเจน กข็ จดั ราศมารเสนา ดังตวงสรุ ยิ าสว่างฟ้า
เจิดจ้าอาํ ไพ รวมความวา่ พระพุทธเจา้ ตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาท หรอื เมื่อตรสั รูป้ ฏิจจสมุปบาท

จงึ เปน็ พระพทุ ธเจ้า

มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่ พระครปู ลดั บุญช่วย โชตวิ ํโส, ดร.

สรุปว่า มัชเฌนธรรมเทศนา คือ ธรรมทพี่ ระพุทธเจา้ ทรงแสดงเป็นกลางๆ
ตามความจรงิ ของธรรมชาติ คอื ตามสภาวะทส่ี ่งิ ท้ังหลายมนั เป็นของมันเอง
ตามเหตปุ ัจจัย ไม่ตดิ ขอ้ งในทิฏฐิ คอื ทฤษฎีหรอื แนวคดิ เอียงสดุ ทง้ั หลาย ที่
มนษุ ย์วาดใหเ้ ข้ากบั ความหมายรู้ท่ผี ิดพลาด และความยดึ ความอยากของ

ตน ท่จี ะใหโ้ ลกและชวี ติ เปน็ อยา่ งน้นั อยา่ งนไี้ ปตามทต่ี นปรงุ แต่ง

มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น พระครปู ลัดบุญชว่ ย โชตวิ ํโส, ดร.

มชั ฌมิ าปฏปิ ทา

การดําเนินชีวิตสายกลางอย่างถูกต้องพอดีสอดคล้องกับความเป็นจริงของ
กฏธรรมชาติ ท่ีจะให้การปฏิบัติ ดําเนินการต่างๆ ของมนุษย์ เกิดผลดีท่ีพึงมุ่ง
หมายได้สูงสุดเต็ม สภาวะของธรรมชาติ โดยไม่กลายเป็นสุดโต่งท่ีพลาดไป ท้ัง
ทางถึงเครียดบีบคั้นตัว และทางย่อหย่อนมุ่งแต่เอามาบําเรอตัว บนฐาน
แหง่ มัชเฌนเทศนา วางปฏบิ ัติการที่เป็นมัชฌิมา

พระพทุ ธเจ้าเม่ือตรสั รู้แลว้ หลังจากเสวยวิมุตติสุข ๑ สัปดาห์ ได้เสด็จออก
จากสมาธิ แล้วทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท ท่ีได้ตรัสรู้น้ัน ตลอดเวลา ๓ ยาม
แห่งราตรี ต่อมาเมื่อสิ้นระยะเสวยวิมุตติสุข ๗ สัปดาห์แล้ว เมื่อปรารภการที่จะ
ทรงประกาศธรรมสั่งสอนประชาชนต่อไป ทรงพระดําริว่า ธรรมที่เราได้บรรลุ
แล้วนี้ เป็นของลึกซ้ึง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ฐานะนี้ย่อมเป็นส่ิงที่เห็นได้ยาก
กล่าวคือ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท, แม้ฐานะน้ีก็เห็นได้ยาก กล่าวคือ
นพิ พาน

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น พระครปู ลดั บุญช่วย โชตวิ ํโส, ดร.

มัชฌิมาปฏปิ ทา (ตอ่ )

ในการเทศน์ครั้งแรกนั้น ทรงเร่ิมด้วยการให้พระเบญจวัคคีย์รู้จักแยกวิถี
ใหม่ของพระพุทธศาสนา เรียกว่าทางสายกลาง คือมัชฌิมาปฏิปทา ออกจากวิถี
สุดโต่ง ๒ ฝ่ายที่แพร่หลายอยู่และพระ เบญจวัคคีย์ก็ได้คุ้นมากับตัวแล้วในเวลา
น้ัน คอื การหมกม่นุ สยบอยูใ่ นกามสุข (กามสุขัลลิกานุโยค) กับการทรมานบีบกัน
ตัวเองให้ยากลําบาก (อัตตกิลมถานุโยค) เม่ือทําความเข้าใจเบื้องต้นพอให้
มองเห็น วิถีมขมิมาอยา่ งใหม่แล้ว ก็ทรงแสดงเนอ่ื ตวั ของพุทธธรรม คอื อริยสัจ ๔

เม่ือเรยี นรู้เรื่องมัชเฌนธรรมเทศนามาตามลําดับ จนถงึ รจู้ กั กระบวนการดับ
ทุกขใ์ นขอ้ วา่ ดว้ ยนิโรธ (นิพพาน) เป็นอันได้เข้าใจหลักการดับทุกข์ หรือหลักการ
แก้ปัญหาแล้ว ต่อมาเป็นภาคปฏิบัติ อันกล่าวถึงวิธีการท่ีจะทําให้เกิดผลสําเร็จ
ตามหลกั การหรอื กระบวนการน้ันได้อย่างไร

มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่ พระครูปลัดบุญชว่ ย โชตวิ ํโส, ดร.

มัชฌมิ าปฏิปทา (ตอ่ )

มัชฌิมาปฏิปทา หรืออริยสัจข้อสุดท้าย คือ มรรค เป็นประมวลหลักความ
ประพฤติปฏิบัติ หรือระบบจริยธรรมทั้งหมดในพระพุทธศาสนา เป็นคําสอน
ภาคปฏิบัตทิ ี่จะชว่ ยใหก้ ารดําเนินสู่จุดหมายตามแนวทางที่ได้พิจารณาไว้แล้วนั้น
เป็นผลสําเร็จขึ้นมาในชีวิตจริง พูดอีกอย่างหน่ึงว่า ผ่านจากขั้นรู้ความจริง
เกี่ยวกับกฎธรรมชาติ มาสู่ข้ันประยุกต์ความรู้น้ันจัดวางเป็นระบบวิธีประพฤติ
ปฏิบตั ขิ องมนุษย์

ทางสายกลางน้ัน มิใช่หมายถึงอยู่กึ่งกลางระหว่าง ที่สุดท้ัง ๒ ทาง หรือ
ก่ึงกลางของทางหลายๆทาง แต่หมายถึง ความมีเป้าหมายท่ีแน่ชัด แล้วกระทํา
ตรงจดุ ตรงกลางเปา้ หมาย พอเหมาะพอดีจะใหผ้ ลสําเรจ็ ตามเป้าหมายนั้นไม่เขว
ออกไปเสยี

มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น พระครปู ลัดบุญช่วย โชติวํโส, ดร.

มัชฌมิ าปฏปิ ทา (ต่อ)

การเพยี รพยายามไมต่ ึงเกนิ ไป ไม่หย่อนเกนิ ไป บางคราวก็นิยมพูดกัน
ว่า เป็นทางสายกลาง คําพูดนี้เข้าลักษณะทางสายกลางได้ในบางแง่ แต่ไม่ถูกแท้
ทีเดียว บางคราวถ้าชัดเจนว่าเดินถูกทาง มั่นใจและพร้อมทุกอย่างแล้ว ท่านให้
ระดมความเพียรสดุ กาํ ลงั กม็ ี เรื่องน้ีจึงไม่ควรสบั สนกบั ทางสายกลาง

อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนามิได้มองข้ามประโยชน์หรือจุดหมายขั้น
รองลดหลั่นกันลงมา ท่ีมนุษย์จะพึงถึงตามระดับความพร้อมของตน โดย
จัดแบง่ จดุ หมายไวเ้ ป็น ๓ ระดับ

มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่ พระครูปลดั บญุ ช่วย โชติวํโส, ดร.

มชั ฌิมาปฏิปทา (ตอ่ )

ทิฏฐธัมมิกัตถะ : ประโยชน์ปัจจุบัน เป็นจุดหมายขั้นต้น หมายถึงประโยชน์
อย่างที่มองเห็นๆกันอยู่ในชีวิตประจําวัน ได้แก่ ทรัพย์สิน ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นต้น
อนั จะสาํ เรจ็ ด้วยธรรม ๔ ประการ คือ ความเพียร การดูแลรักษา กัลยาณมิตร และ
การเลยี้ งชวี ิตตามสมควรแก่กําลังทรพั ยท์ ีห่ าได้

สัมปรายกิ ัตถะ : ประโยชนเ์ บอ้ื งหน้า ประโยชน์ที่ลกึ ลํ้าย่งิ กว่าท่ีจะมองเห็นกัน
อย่างผิวเผินภายนอก เก่ียวด้วยชีวิตด้านใน เป็นจุดหมายข้ันสูงข้ึนไป ซึ่งเป็น
หลักประกันชีวิตเม่ือละโลกนี้ไป หรือเป็นเครื่องประกันการได้คุณค่าท่ีสูงล้ําเลิศ
ย่ิงข้ึนไป ได้แก่ ความเจริญงอกงามแห่งชีวิตจิตใจอันประกอบด้วยคุณธรรม ๕
ประการคอื ศรัทธา ศลี สุตะ จาคะ ปญั ญา

ปรมตั ถะ : ประโยชน์อย่างยงิ่ หรอื ประโยชนท์ ่เี ปน็ สาระแท้จริงของชีวิต ได้แก่
การรู้แจ้งสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จึงไม่ตกเป็นทาสของชีวิตและ
โลก มีจติ ใจเปน็ อสิ ระ โปร่งโลง่ ผอ่ งใส เบกิ บาน สะอาดบรสิ ุทธ์ิสิน้ เชงิ คือ นิพพาน

มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น พระครูปลดั บญุ ชว่ ย โชติวํโส, ดร.

บทสรปุ

ต้องฝึกคนให้พัฒนาปัญญา เม่ือมีปัญญาเกิดข้ึนแล้ว พฤติกรรมก็จะเปล่ียนไป เช่นการบริโภคอาหาร ก็จะ
กาํ หนดรูด้ ว้ ยปัญญาวา่ เรากินเพื่อบํารุงรา่ งกายให้ดํารงชวี ติ อยู่ได้ ใหม้ คี วามสขุ ภาพดี เพอ่ื ใหเ้ รามีชีวิตที่ผาสุก หรือ
เป็นเครื่องเก้ือหนุนชีวิตที่ดีงาม เพื่อการบําเพ็ญกิจอันประเสริฐคือการทําหน้าที่และประโยชน์ต่างๆ นั่นก็คือใช้
ปัญญาในการทําหน้าท่ีรู้คุณค่าของอาหาร รู้ความประสงค์ในการกินการบริโภคและ “ปัญญา” น้ีจะมาเป็นตัวนํา
พฤติกรรมตัวใหม่ “ปญั ญา” จะมากาํ หนดพฤติกรรมแทน “ตณั หา” นก่ี ค็ ือจดุ เร่ิมต้นของการศึกษาหรือการพัฒนา
คน คือพฒั นาปญั ญาหรอื ความรู้

คณุ ธรรมถอื วา่ เป็นสิง่ ทท่ี ุกคนควรมี เพราะคุณธรรมเป็นคุณสมบัติหรือคุณลักษณะท่ีทําให้มนุษย์แตกต่างจาก
สัตว์ทั่วไป คุณธรรมตามแนวคิดของนักปราชญ์ท้ังหลาจําแนกออกเป็น ๓ ส่วน คือ ส่วนความรู้ความเข้าใจ ส่วน
อารมณ์ความรู้สึกและส่วนท่ีเป็นพฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงอกมา เช่น การปฏิบัติตามศาสนา การควบคุมตนเอง
ความกล้าหาญ ความยตุ ิธรรม ฯลฯ ผมู้ คี ุณธรรมจึงเป็นผ้ทู ี่ถึงพร้อมด้วยความรคู้ วามเข้าใจ อารมณ์ ความรู้สึกและ
พฤติกรรมทีแ่ สดงออกอย่างถกู ต้องดงี าม

มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่ พระครูปลดั บุญชว่ ย โชติวํโส, ดร.

บทสรปุ (ต่อ)

องค์ประกอบของจริยธรรมทั้ง ๓ ส่วน คือ ปัญญา จิตใจ และพฤติกรรม คนส่วนใหญ่จะเข้าใจกันว่า
จิตใจเป็นส่วนสําคัญที่สุด เป็นตัวท่ีควบคุมพฤติกรรมของคนดังคํากล่าวท่ีว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” คํา
กลา่ วนไ้ี มผ่ ดิ เพราะมหี ลกั ฐานใหพ้ บเห็นเสมอว่า ความอุตสาหะ ความกล้าหาญ ความรัก ความชัง ฯลฯ ล้วน
เป็นความรู้สึกทางจิตใจท่ีมีผลให้คนแสดงพฤติกรรมออกมาในรูปแบบท่ีแตกต่างกัน หากแต่ถ้าพิจารณาให้ลึก
ลงไปแล้ว จิตใจของคนเราย่อมอ่อนไหวผันแปรได้ง่าย หากไม่มีปัญญาเป็นตัวกํากับ อาจมีสิ่งจูงใจให้จิตใจ
อ่อนไหวไปตามโลกธรรม คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ เมื่อจิตใจผันผวนปรวนแปรพฤติกรรมของคนก็จะ
เปล่ียนแปลง เพราะเกดิ ตัณหาเป็นตัวนําจิตใจ แต่ถ้าหากบุคคลผู้น้ันเป็นผู้มีปัญญา รู้แจ้งในความเป็นจริงของ
โลกและชวี ิต ปัญญาก็จะเป็นตวั ชีน้ าํ ไมใ่ ห้จิตใจอ่อนไหวไปตามสงิ่ ทมี่ า

จึงสรุปได้ว่า ในองค์ประกอบของจริยธรรมทั้ง ๓ ส่วนน้ี “ปัญญา” เป็นองค์ประกอบท่ีสําคัญที่สุด ที่จะ

ชี้นําให้จิตใจและพฤติกรรมของคนดําเนินไปอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรม ดังพุทธพจน์ท่ีว่า“สพฺเพ

ธมมฺ า ปญญฺ ตุ ตฺ า” แปลวา่ “ธรรมท้งั หลายมีปญั ญาเป็นเย่ยี มยอด”

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่ พระครูปลัดบญุ ช่วย โชตวิ ํโส, ดร.

จบการบรรยาย

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่ พระครปู ลดั บญุ ชว่ ย โชตวิ ํโส, ดร.


Click to View FlipBook Version