The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผลลงานของ
นาย ภูธเนศ บุญประเสริฐ เลขที่ 5
นาย ณัฐภัทร ค้ำชู เลขที่ 6
นาย กานต์ จิตต์แพทย์ เลขที่ 8
นาย ฉัตรเพชร โมระกรานต์ เลขที่ 11
นาย วรยุทธ์ ตันติสันถวพงศ์ เลขที่ 13

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by YC tourlife AA, 2020-02-16 22:20:34

โครงงานคอม ม.5/4

ผลลงานของ
นาย ภูธเนศ บุญประเสริฐ เลขที่ 5
นาย ณัฐภัทร ค้ำชู เลขที่ 6
นาย กานต์ จิตต์แพทย์ เลขที่ 8
นาย ฉัตรเพชร โมระกรานต์ เลขที่ 11
นาย วรยุทธ์ ตันติสันถวพงศ์ เลขที่ 13

Electronic Book

About

RESPIRATORY AND
EXCRETION SYSTEM

จัดทําโ ด ย

1 . น า ย ภู ธ เ น ศ บุ ญ ป ร ะ เ ส ริฐ ม . 5 / 4
เ ล ข ที 5

2 . น า ย ณั ฐ ภั ท ร คํา ชู ม . 5 / 4 เ ล ข ที 6
3 . น า ย ก า น ต์ จิ ต ต์ แ พ ท ย์ ม . 5 / 4 เ ล ข ที 8

4 . น า ย ฉั ต ร เ พ ช ร โ ม ร ะ ก ร า น ต์ ม . 5 / 4
เ ล ข ที 1 1

5 . น า ย ว ร ยุ ท ธิ ตั น ติ สั น ถ ว พ ง ศ์ ม . 5 / 4
เ ล ข ที 1 3

นาํ เสนอ
คณุ ครู ปรชี า กิจจาการ

RESPIRATORY SYSTEM(ระบบหายใจ)

ระบบหายใจ     มนษุ ยท์ ุกคนตอ้ งหายใจเพือมชี วี ตอยู่ การหายใจ
เข้า อากาศผา่ นไปตามอวยั วะของระบบหายใจตามลําดบั ดังน ี     

1.จมกู  (Nose)     จมกู ส่วนนอกเปนส่วนทยี ืนออกมาจากตรง
กึงกลางของใบหนา้ รูปร่างของจมกู มีลกั ษณะเปนรูปสามเหลียม
พรี ะมดิ ฐานของรูปสามเหลียมวางปะ ติดกับหนา้ ผากระหวา่ งตา
สองขา้ ง สนั จมกู หรอดังจมูก มีรูปร่างและขนาดต่างๆกนั ยนื ตงั แต่
ฐานออกมาข้างนอกและลงข้างลา่ งมาสุดทปี ลายจมูก อกี ดา้ นหนงึ
ของรูปสามเหลยี มห้อยติดกบั รมฝปากบนรู จมกู เปดออกส่ภู ายนก
ทางด้านนี รูจมูกทาํ หนา้ ทเี ปนทางผา่ นของอากาศทหี ายใจเขา้ ไปยัง

ชอ่ งจมกู และกรองฝนุ ละอองด้วย     
2. คอหอย (Pharynx)     เมืออากาศผ่านรูจมกู แล้วก็ผ่านเข้าสู่

หลอดคอ ซึงเปนหลอดตังตรงยาวประมาณยาวประมาณ 5 "
หลอดคอติดต่อทังช่องปากและช่องจมกู จึงแบ่งเปนหลอดคอสว่ น
จมกู กบั หลอดคอส่วนปาก โดยมเี พดานอ่อนเปนตัวแยกสองสว่ น
นอี อกจากกัน โครงของหลอดคอประกอบดว้ ยกระดูกออ่ น 9 ชิน

ด้วยกนั ชินทใี หญ่ทสี ุด คือกระดกู ธัยรอยด์ ทเี ราเรยกวา่
"ลกู กระเดอื ก" ในผ้ชู ายเหน็ ได้ชัดกวา่ ผูห้ ญิง

3. หลอดเสยี ง (Larynx)     เปนหลอดยาวประมาณ 4.5 cm ใน
ผชู้ าย และ 3.5 cm ในผู้หญิง หลอดเสยี งเจรญเตยิ โตขนึ มาเรอยๆ
ตามอายุ ในวยั เรมเปนหน่มุ สาว หลอดเสยี งเจรญขึนอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะในผู้ชาย เนอื งจากสายเสยี ง (Vocal cord) ซึงอยู่ภายใน
หลอดเสยี งนยี าวและหนาขนึ อยา่ งรวดเร็วเกินไป จึงทําให้เสียงแตก

พร่า การเปลยี นแปลงนีเกดิ จากฮอร์โมนของเพศชาย     
4. หลอดลม (Trachea)     เปนส่วนทีต่ออกมาจากหลอดเสียง ยาว

ลงไปในทรวงอก ลกั ษณะรูปร่างของหลอดลมเปนหลอดกลมๆ
ประกอบด้วยกระดูกออ่ นรูปวงแหวน หรอรูปตวั U ซงึ มีอยู่ 20 ชิน
วางอยู่ทางด้านหลงั ของหลอดลม ชอ่ งวา่ ง ระหวา่ งกระดูกอ่อนรูปตวั
U ทีวางเรยงตอ่ กนั มเี นือเยอื และกลา้ มเนอื เรยบมายดึ ติดกนั การที
หลอดลมมีกระดกู ออ่ นจงึ ทําใหเ้ ปดอยตู่ ลอดเวลา ไม่มีโอกาสทจี ะแฟบ
เข้าหากันไดโ้ ดยแรงดนั จากภายนอก จึงรับประกนั ไดว้ า่ อากาศเขา้ ได้
ตลอดเวลา หลอดลม ส่วนทีตรงกับกระดกู สนั หลังช่วงอกแตกแขนง
ออกเปนหลอดลมแขนงใหญ่ (Bronchi) ข้างซ้ายและขวา เมอื เขา้ สู่
ปอดก็แตกแขนงเปนหลอดลมเลก็ ในปอดหรอทีเรยกวา่ หลอดลมฝอย
(Bronchiole) และไปสุดทีถุงลม (Aveolus) ซึงเปนการทอี ากาศ

อยู่ ใกลก้ ับเลอื ดในปอดมากทีสดุ จงึ เปนบรเวณแลกเปลยี นก๊าซ
ออกซิเจน กับคาร์บอนไดออกไซด์

5. ปอด (Lung)     ปอดมีอยู่สองข้าง วางอยู่ในทรวงอก มี
รูปร่างคลา้ ยกรวย มปี ลายหรอยอดชีขนึ ไปข้างบนและไปสวม

พอดกี ับชอ่ งเปดแคบๆของทรวงอก ซงึ ชอ่ งเปดแคบๆนี
ประกอบขนึ ดว้ ยซโี ครงบนของกระดกู สนั อกและกระดูกสนั
หลัง ฐานของปอดแตล่ ะข้างจะใหญ่และวางแนบสนิทกับกระ
บังลม     ระหวา่ งปอด 2 ขา้ ง จะพบวา่ มหี ัวใจอยู่ ปอดข้าง
ขวาจะโตกว่าปอดขา้ งซา้ ยเลก็ น้อย และมีอยู่ 3 กอ้ น ส่วนขา้ ง
ซ้ายมี 2 กอ้ น     หนา้ ทีของปอดคอื การนําก๊าซ CO2 ออก
จากเลือด และนําออกซเิ จนเข้าสเู่ ลือด ปอดจงึ มรี ูปร่างใหญ่ มี

ลักษณะยดื หยุ่นคลา้ ยฟองนํา     
6. เยือหุม้ ปอด (Pleura)     เปนเยือทีบางและละเอยี ดออ่ น
เปยกชืน และเปนมนั ลนื หุม้ ผิวภายนอกของปอด เยอื หมุ้ นี
ไม่เพียงคลมุ ปอดเทา่ นนั ยงั ไปบุผิวหนงั ดา้ นในของทรวงอก

อีก หรอกลา่ วไดอ้ ีกอย่างหนงึ ว่า เยือหุ้มปอดซงึ มี 2 ชนั
ระหว่าง 2 ชนั นมี ี ของเหลวอย่นู ิดหน่อย เพอื ลดแรงเสียดสี
ระหวา่ งเยอื ห้มุ มโี พรงว่าง เรยกวา่ ช่องระหว่างเยอื หมุ้ ปอด

กระบวนการในการหายใจ

กระบวนการในการหายใจ     ในการหายใจนนั มโี ครงกระดกู สว่ นอกและ
กลา้ มเนือบรเวณอกเปนตัวช่วยขณะหายใจเข้า กลา้ ม เนอื หลายมัดหด
ตัวทาํ ให้ทรวงอกขยายออกไปข้างหน้า และยกขึนบน ในเวลาเดียวกนั
กะบงั ลมจะลดตาํ ลง การกระทาํ ทงั สองอยา่ งนที าํ ใหโ้ พรงของทรวงอก
ขยาย ใหญม่ ากขนึ เมือกล้ามเนึอหยดุ ทํางานและหยอ่ นตวั ลง ทรวงอก
ยุบลงและความดนั ในชอ่ งทอ้ งจะดนั กะบังลม กลบั ขึนมาอยู่ในลักษณะ
เดมิ กระบวนการเข่นนที าํ ให้ ความดนั ในปอดเพมิ ขนึ เมอื ความดนั ใน
ปอดเพิมขึนสูง กว่าความดันของบรรยากาศ อากาศจะถกู ดนั ออกจาก

ปอด ฉะนันจงึ สรุปได้วา่ ปจจัยประการแรกทีทาํ ให้ อากาศมีการ
เคลอื นไหวเข้าออกจากปอดไดน้ นั เกดิ จากความดันทแี ตกต่างกันนนั เอง
การแลกเปลียนก๊าซและการใช้ออกซเิ จน     เมือเราหายใจเข้า อากาศ
ภายนอกเข้าสอู่ วัยวะ ของระบบหายใจไปยงั ถุงลมในปอด ทีผนงั ของถงุ
ลมมหี ลอดเลอื ดแดงฝอยตดิ อยู่ ดังนนั อากาศจึงมโี อกาสใกล้ชดิ กับเม็ด
เลอื ดแดงมากออกชิเจนก็จะผ่านผนังนเี ข้าสู่เมด็ เลอื ดแดง และคาร์บอน
ไดออกไชด์ก็จะออกจากเม็ดเลอื ดผ่านผนังออกมาสถู่ ุงลม ปกติในอากาศ

มอี อกชิเจนร้อยละ 20 แตอ่ ากาศทเี ราหายใจมอี อกขเิ จนร้อยละ 13

กระบวนการหายใจ การหายใจเขา้
และ

หายใจออก

การหายใจเขา้ และหายใจออกเกดิ จากการทาํ งาน
ของกลา้ มเนอื กะบังลมและกลา้ มยึดกระดูก
ซโี ครง                

การหายใจเข้า   กล้ามเนอื กะบังลมหดตวั และ
กลา้ มเนือยึดกระดูกซีโครงดึงกระดกู ซีโครงให้ยก
ตวั ขึน ปรมาตรของช่องอกทีเพิมขึน ทําให้ความ

ดนั ในชอ่ งอกลดลง ส่งผลใหอ้ ากาศจาก
ภายนอกเคลอื นทีเข้าส่ปู อด                
การหายใจออก  กล้ามเนือกะบงั ลมคลายตัวจะ
ยกตวั สูงขนึ เปนจงั หวะเดยี วกบั กระดกู ซีโครงลด
ตําลง ทาํ ใหป้ รมาตรในช่องอกลดลง ความดัน
เพมิ ขนึ มากกวา่ ความดนั ของอากาศภายนอก

อากาศจงึ เคลอื นทีออกจากปอด

แผนภมู แิ สดงสดั สว่ นของแก๊สชนดิ ตา่ ง ๆ
ในลมหายใจเขา้ และออก

ความจุอากาศของปอด    ความจอุ ากาศของปอดในแต่ละคนจะแตก
ต่างกนั ขึนอยู่กบั

1.   เพศ   เพศชายจะมคี วามจุปอดมากกวา่ เพศหญิง
2.  สภาพร่างกาย   นักกีฬามีความจุของปอดมากกวา่ คนปกติ

3.  อายุ   ผู้สงู อายจุ ะมีความจุปอดลดลง
4. โรคทีเกดิ กับปอด  โรคบางชนดิ เช่นถงุ ลมโปงพอง โรคมะเร็งจะ

ทําให้มคี วามจุปอด ลดลง

ปจจัยทมี ีผลตอ่ การกําหนดอตั ราการ
หายใจเข้าและการหายใจออก

ทสี าํ คญั ประการหนงึ คือ ความเขม้ ขน้ ของแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ในเลอื ด เชน่ ในขณะ ทีเรากลัน
หายใจ ความเขม้ ขน้ ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ใน
เลอื ดจะสงู ขึน        ซงึ ความเขม้ ขน้ ทีเพมิ ขนึ นีจะไป
กระตุน้ การทาํ งานของร่างกายใหเ้ กิดการหายใจขึนจน
ได้ ในขณะทนี อนหลับร่างกายจะถกู กระตุน้ นอ้ ยลง จงึ
ทาํ ให้การหายใจเปนไปอย่างชา้ ความเข้มข้น ของแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ ในเลือดทมี ีมากเกนิ ไป เปนอกี
สาเหตุ หนงึ ทีทาํ ใหเ้ กิดอาการหาว ซึงการหาวทเี กิด
ขนึ นนั ก็เพือ เปนการขบั เอาแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์

ทสี ะสมอยู่มากเกนิ ไปออกจากร่างกาย

การแลกเปลียนแกส๊ ของปลา

ปลาหายใจดว้ ยเหงอื ก โดยการอา้ ปาก
ใหน้ าํ ทีมีแกส๊ ออกซิเจนละลายอยู่เขา้
ทางปาก   แลว้ ผ่านออกทางเหงอื ก 
แกส๊ ออกซเิ จนจะแพร่เขา้ สูเ่ สน้ เลือด
ฝอยทีเหงอื กแล้วหมนุ เวยนไปตาม

ระบบหมนุ เวยนเลือดต่อไป

การแลกเปลียนแก๊สของแมลง

อากาศจะเข้าและออกจากร่างกายแมลงทาง
ช่องหายใจซงึ อยู่เปนแถวบรเวณท้อง ช่อง
หายใจจะติดกับท่อลม โดยทอ่ ลมน ีจะแตก
เปนแขนงเลก็ ไปยงั เนอื เยือ ทวั ร่างกายของ
แมลงเพอื แลกเปลยี นแกส๊   อากาศจาก
ภายนอก จะเคลือนทไี ป ตามท่อลม ไปยังเซลล์
แก๊สออกซเิ จน ในอากาศจะแพร่เข้าส่เู ซลล์ ใน
ขณะที ีแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ จากภายใน

ร่างกาย แพร่ออกสู่อากาศในท่อลมและ
เคลอื นทียอ้ นกลบั ออกสภู่ ายนอกร่างกาย

การแลกเปลยี นแกส๊ ของไฮดรา

ไฮดรา ไมม่ ีอวยั วะทีใชใ้ นการ
หายใจ แกส๊ ออกซิเจนทีละลาย
อยใู่ นนํา และแกส๊ คาร์บอนได
ออกไซด ท์ เี กิดขนึ ภายในเซลล์
เข้าและ ออกจากเซลล์โดยการ

แพร่ผ่านเยือหุม้ เซลล์

ชี ว วิ ท ย า

ระบบขับถ่าย

ก า ร ขับ ่ถ า ยบ ท นาํ )NOITERCXE(

การกําจัดของเสียที
เกิดจากเมแทบอลิ
ซึม (METABOLIC
WASTE) โดยการ
กําจัดออกจาก
ร่างกายหรือเปลียน
เปนสารทีมีอันตราย
น้อยกว่าแล้วกําจัด
ออกนอกร่างกาย
ภายหลัง
แบ่งได้3อย่าง

ของเสียทีเกิดจากเมแทบอลิซึม

1. ของเสียทีมีธาตุไนโตรเจนเปนองค์ประกอบ (Nitrogenous wastes) เกิดจากการ
สลายสารโปรตีนและกรดนิวคลีอิก ประกอบด้วย - แอมโมเนีย (Ammonia; NH3) ซึงมี

ความเปนพิษสูง มีคุณสมบัติละลายนาํ ได้ดี จะกําจัดออกในรูปของแอมโมเนียมไอออน
(NH+4) การกําจัดต้องใช้นาํ ปรมิ าณมาก พบในสัตว์นาํ ทังหมดและปลาส่วนใหญ่ สิงมีชีวิต
บางชนิดสามารถเปลียนแอมโมเนียให้อยู่ในสภาพทีเปนพิษน้อยลง เช่น ยูเรยี (Urea) หรอื
กรดยูรกิ (Uric acid) - ยูเรยี (Urea) มีความเปนพิษน้อยกว่าแอมโมเนีย ละลายนาํ ได้
กําจัดออกในรูปของสารละลาย เปนของเสียทีถูกขับออกมาจากสัตว์เลียงลูกด้วยนาํ นม สัตว์
สะเทินนาํ สะเทินบก ฉลาม และปลากระดูกแข็งบางชนิด - กรดยูรกิ (Uric acid) การกําจัด
ออกนอกรา่ งกายมีการสูญเสียนาํ น้อยทีสุด เนืองจากกรดยูรกิ เปนสารทีละลายนาํ ได้น้อยและ
ก่อนการกําจัดออกรา่ งกายสามารถดูดนาํ กลับคืนได้เกือบหมด โดยขับถ่ายออกมาปนกับ
อุจจาระในลักษณะครงึ แข็งครงึ เหลว (Semisolid) พบในสัตว์พวก แมลง นก สัตว์เลือย

คลาน และหอยทีอาศัยอยู่บนบก

2. แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์
(CO2)

3. ไฮโดรเจน (Hydrogen) เกลือแร่
(Mineral) และ นาํ (H2O) ทีมากเกิน

ความต้องการของรา่ งกาย

โ พ ร ทิ ส ต์ เ ซ ล ล์ เ ดี ย ว เ ช่ น พ า ร า
มี เ ซี ย ม อ ะ มี บ า ยู ก ลี น า ข อ ง
เ สี ย ที เ กิ ด ขึ น ไ ด้ แ ก่ แ พ ร่ ผ่ า น

เ ยื อ หุ้ ม เ ซ ล ล์ อ อ ก สู่ สิ ง แ ว ด ล้ อ ม
โ พ ร ทิ ส ต์ บ า ง ช นิ ด ที อ า ศั ย อ ยู่ ใ น
นํา จื ด มี อ อ ร์ แ ก เ น ล ล์ ค อ น แ ท ร็ ก

ไ ท ล์ แ ว คิ ว
โอล(CONTRACTILE
V A C U O L E ) เ พื อ ทํา ห น้ า ที รั ก ษ า

ส ม ดุ ล ข อ ง นํา

ฟองนาํ (SPONGES)ไม่มีอวัยวะในการขับถ่ายของเสีย แต่ละเซลล์สัมผัสกับนาํ โดยตรง ใช้วิธี
การกําจัดของเสียด้วยการแพร่ (DIFFUSION) ผ่านเยือหุ้มเซลล์ (CELL MEMBRANE)

- ไฮดรา (HYDRA)ไม่มีอวัยวะในการขับถ่าย แต่กําจัดแก๊สและของเสียพวกแอมโมเนียโดยวิธีการแพร่
(DIFFUSION)ผ่านเยือหุ้มเซลล์ (CELL MEMBRANE)

- หนอนตัวแบน(FLAT WORMS)เปนสัตว์ไฟลัมแรกทีมีระบบขับถ่าย เรียกว่า โพรโทเนฟริเดีย
(PROTONEPHRIDIA) ประกอบด้วยท่อตามยาวกระจายอยู่ข้างตลอดตามความยาวของลําตัว ทีปลายท่อมีเฟล
มเซลล์ (FLAME CELL = เซลล์เปลวไฟ) ซิเลียจะโบกพัดนาํ และของเสียจากเฟลมเซลล์ให้ไหลออกมาตามท่อรับ

ของเหลวและออกภายนอกทางช่องขับถ่ายทีผนังลําตัว

แอนนิลิด (Annelid)เช่น ไส้เดือนดิน มีลําตัวแบ่งเปนข้อปล้อง แต่ละปล้องจะมี
อวัยวะขับถ่าย เรยี กว่า เนฟรเิ ดียม (Nephridium) ปล้องละ 1 คู่ เนฟรเิ ดียม
ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนทีมีลักษณะเหมือนปากแตรภายในมีซิเลียล้อมรอบ ทํา
หน้าทีรบั ของเหลวจากช่องลําตัว เรยี กว่าเนโฟรสโตม(Nephrostome)ส่วนที
เปนท่อยาว(Nephridial tubule)ขดไปมามีเส้นเลือดพันรอบท่อนีเพือดูดนาํ
และของเหลวทีมีประโยชน์กลับนาํ ไปใช้ประโยชน์อีกครงั ตอนปลายของท่อพอง
ขยายออกเปนถุง (Bladder)และเนฟรดิ ิโอพอร์ (Nephridiopore)เปน

ปลายของท่อเปดออกสู่ภายนอกทางผิวหนัง

อารโทรพอด (Arthropod)พวกแมลง มอี วยั วะขับถายเรียกวาทอมัลพิ
เกยี น (Malpighian tubule)มลี กั ษณะคลายถงุ ย่ืนออกมาจากทางเดิน
อาหารตรงบริเวณรอยตอ ของทางเดนิ อาหารสวนกลางและทา ย ปลายข
องทอ มลั พเิ กยี นจะลอยอยูใ นชองของลําตัว ของเสีย นํ้า และสารตา งจะ
ถกู ลาํ เลยี งเขา สูทอมัลพเิ กยี น ผา นไปตามทางเดนิ อาหารและมกี ลมุ เซลล
บรเิ วณไสตรงทําหนาท่ดี ูดนํ้าและสารท่ีมีประโยชนก ลบั เขา สรู ะบบ
หมุนเวียนเลอื ด สวนของเสียพวกสารประกอบไนโตรเจนเปล่ียนเป็นผลึก
กรดยูรกิ เพ่อื ขับออกจากรางกายพรอ มกบั กากอาหาร

กงุ มีอวัยวะขบั ถาย เรียกวา ตอ มเขียว (Green gland) หรือ
ตอ มแอนเทนนัล (Antennal gland) จาํ นวน 1 คู ท่ีบรเิ วณ
ฐานของหนวด โดยทาํ หนาท่ีกรองของเสยี สารประกอบ
พวกไนโตรเจน ของเสยี ผานไปตามทอ และตอนปลายข
องทอพองออกเป็นถงุ (Bladder) กอนปลอยออกนอก
รางกายทางรขู ับถาย (Excretory pore)

โครงสรา้ งภายในของไต
1.รนี ลั แคปซูล (Renal capsule) เปนสว่ นทีอยูด่ า้ นนอกสดุ หมุ้ รอบไต
2. เนอื ไต ประกอบดว้ ย 2 สว่ น คือ-เนอื ไตชนั นอก--> คอรเ์ ทกซ์
(Cortex)ประกอบดว้ ยกล่มุ เสน้ เลือดฝอยเรยี กวา่ โกลเมอรลู ัส
(Glomerulus) และถงุ โบวแ์ มนสแ์ คบซูล (Bowman's Capsule) ทําหนา้ ที
เกียวกับการกรองของเสยี ออกจากเลือด และเปนทีอยูข่ องท่อหนว่ ยไตสว่ น
ต้น (Proximal convoluted tubule) และท่อหนว่ ยไตสว่ นปลาย (Distal
convoluted tubule) ซงึ เปนสว่ นประกอบของหนว่ ยไต (Nephron)-เนอื
ไตชนั ใน--> เมดลั ลา (medulla)มสี จี างกวา่ เนอื ไตชนั นอก มลี ักษณะเปนเสน้
ๆ หรอื หลอดเล็ก ๆ รวมกันเปนกล่มุ ๆ นาํ ปสสาวะจะสง่ เขา้ สกู่ รวยไต
3. กรวยไต (Renal pelvis) ซงึ ทําหนา้ ทีรองรบั นาํ ปสสาวะและสง่ ต่อไปสทู่ ่อ
ไต (Ureter) นาํ เขา้ สกู่ ระเพาะปสสาวะและสง่ ต่อไปยงั ท่อปสสาวะ

(ไ(tลปหเDร(แปจ(ดขCHCRตuวาลกนรสัว้iา้bกแeมeoseะยะษสมว่ กcnทuตlrnกHย-lาณาeteaอlอ่lลว่โนใัeeยenecกนlบะปะะ)xอ’tอtส่dnขsลคทดเuสi)ยยปniงlา่l้เลอเne่bวสo้มงใปู่ตgทนนา’หgย้uาosจอนยทสอtี่ว)โนlpะl2uรeบบแoถวไะ่ปําว)่ปลbู)ห(วนสลoรว้ปหรยUสยuัแ์เนยวpะถิะ่ลรวไทกlงrมันต(าeด้ะัณเขอeGกอทกปอ่นใ)-จอtดห-ขรlบอสนโีทhสาoงทบโญวาบรกดทคrมแี์mเขอยว่aาห้โดวคอง้ก่้ี่แนงบๆึ์รไ)eลยตรวข้บาตวนมวr(ควปรยหูดมAซuแ(นา์าํทดอPนทตืไมลปูlมsส(ปuกดี1ูeอวCว่่cัลสน(แs์มรยl.กยBeสoสvํา)สคสอาnไลดวูo-่ilยาตใวแsบ่l์ง-dนนบวeัwบั>น)นืคไซหiะcตชสทดnเทmกบล(ูtรขนาัาFอจ่g่้iเีลอซรnงาื้a(กค)ะuไBไ-ตมตผลเูุ่gnปๆยnอีนทoาห'่าd่(ใ(cวsรฟดงBอนนwU่ลutขเc์ๆงทรขัioเชอcrอoma้ขอนดกewนเtัดpnงาข้)นa-tีสซเมsเกamตeาม้ทnลuว่(์lสา(บrัNอด่'Cออนืua่ยls)รู่eกกลnดขnักปงeoะcั)าบบ’ลดัiฝapบรrลทsรttบาทpะ)hสรากอcําeเโย(sไพเrอaวห่่ิยรดxMหวuoนpขอน(า)ณยล(lnDsะดตแeGeงา้หเปu)ท)วdนลi(สนป้lsนFสl-oยีuกeะี2วีt่ร-(วiสเ่ma>น)llนPรปะ.ltยขามสlaอเeปrดสeวดcลไ)าวo่rงตละrวoร่ปณอไืนixuส(ปnนวาn(UดรiทยlNามgmมตvuะ1รมอr่กกouาทseน้อeaาลขออlนnpัcํากขnlอuาอ้ยบหacihทอaนทtกtงoใpู่ดeนr)rทงีนหสจีซหoniydวา้้ทlอา่ชนดงุlนึnvทยbaกtอรน่ปัว-่)oวu่นrีlพวทหยหaแครiยlbeมาํudอนละว่ตอ่ไเนusกtตปงdขาว่รล)e่lาํอสeเนeยาเทdะ์ฮทลบ)มอrไขีนถต)กงนาั ดเใดัซ(ลมห์ ี้

กเUกจเปขาํารlา้นtนรอสrกกวงaโู่ บนรรfขiอะวl1อบtงแ์ r2งวสมaนเ0tาหนe0กรลสทาไmวแด์รโี ทกแคแl้ ผเีลรปกลกเา่ซ่อืมนนทลูดอาํจสีปกรยารรกลูรเูา้ะรอสกังมยีง(านาGรผกณาํ กlปลา่oรน1โสูmคอโ2สกงสe5าลrวเโรumซเะมย-lีเalดอแกหrยรตีวfลลูมiาล่่ lงั tสัGคะrจนซaลlาoาtกงอึ ทimoจนไจีระneนัะดทมr/เ์ําuลเเUีกหลlอื aลนlอืดtrอืrา้ดจFaทแเะifขเีlอรiปtlา้ตtอr่ สนraาก่ aไเู่tงตยจteiๆาอืoหกnจรโะ)กอื-ล
เอมออกรจลู าสั กไไปตเไลปยี ทงาสงว่หนลตอา่ดงเๆลอืขดอรงนที ลัอ่ เหวนนว่-ยกไาตรกแรลอะเงปอลายีศนยั เแปรนงเดลนอืั ดขอดงาํ แลว้
ของเหลวในเสน้ เลอื ดฝอยบรเิ วณโกลเมอรลู สั โดยเยอื กรองจะยอมใหน้ าํ
แไใป9นดล9สค้แะส%สนตาาปวจซ่ระกะงทึอไตเมมอีปพยิ่กขีนอนบมสมวาาาดเาใร่ พหพโทมสย้ี ลมี เางาลปีรส1กขรม.ะนลุ5โาเยา-จล2ดชะก็ ถใลนหกกูตจิ์ญวกะรา่ถผร่รซกูอูา่เงึ ดชนงเปนปดู่ เชนรกยนะ่เลเูมพรบเั ายซยีี หณลงโมซลว1ดเเ์นัด%มลยีด็ จะมเะ1ลถก8อื กูล0ดขโู คลโบั ปตสิ อรรผอตแกา่นี นตมไอม่าขออมี กกีนั ม-า

การดดู สารกลบั ทที อ่ หนว่ ยไต(Tubular reabsorption)- ทอ่ ขดสว่ นตน้ เกดิ การ
ดดู กลบั มากทสี ดุ (ประมาณ 80%) มกี ารดดู กลบั แบบใชพ้ ลงั งาน (Active
transport) ไดแ้ ก่ กลโู คส โปรตนี โมเลกลุ เลก็ กรดอะมโิ น วติ ามนิ Na+K+และการ
ดดู กลบั แบบไมใ่ ชพ้ ลงั งาน (Passive transport) ไดแ้ ก่ ยเู รยี นํา Cl-HCO-3-
หว่ งเฮนเล (Henle’s loop)ทอ่ ขาลงจะเกดิ การเคลอื นทขี องนําออกจากหว่ งเฮนเล
โดยกระบวนการออสโมซสิ ทอ่ ขาขนึ จะมกี ารดดู NaCl กลบั ทงั แบบไมใ่ ชพ้ ลงั งาน
และแบบใชพ้ ลงั งาน และผนงั สว่ นขาขนึ นมี คี ณุ สมบตั ไิ มย่ อมใหน้ ําผา่ น
(Impermeable)- ทอ่ ขดสว่ นปลาย มกี ารดดู นํากลบั แบบไมใ่ ชพ้ ลงั งาน โดยการ
ควบคมุ ของฮอรโ์ มน ADH (Antidiuretic hormone) สว่ น NaCl และ HCO-
3จะถกู ดดู กลบั แบบใชพ้ ลงั งาน โดยการควบคมุ ของฮอรโ์ มน Aldosterone- ทอ่
รวม (Collecting tubule) มกี ารดดู นํากลบั แบบไมใ่ ชพ้ ลงั งาน ดดู กลบั ของ
Na+แบบใชพ้ ลงั งาน และยอมใหย้ เู รยี แพรอ่ อก โดยการดดู กลบั อยภู่ ายใตอ้ ทิ ธพิ ล
ของฮอรโ์ มน ADH

เมอื นําในเลอื ดนอ้ ยทําใหค้ วามเขม้ ขน้ ของเลอื ดเพมิ มากขนึ ทําใหแ้ รงดนั ออสโมตกิ ของ
เลอื ดสงู ขนึ ไปกระตนุ้ ตวั รบั รู้ (Receptor) การเปลยี นแปลงแรงดนั ออสโมตกิ ในสมอง
สว่ นไฮโพทามสั และตอ่ มใตส้ มองสว่ นทา้ ย (Posterior lobe of piuitary gland) ปลอ่ ย
ฮอรโ์ มนแอนตไิ ดยเู รตกิ (Antidiuretic hormone; ADH หรอื Vasopressin) สง่ ไปยงั ทอ่
หนว่ ยไตสว่ นปลายและทอ่ รวม ทําใหเ้ กดิ การดดู นํากลบั เขา้ สเู่ ลอื ดมากขนึ ปรมิ าตรของ
เลอื ดมากขนึ พรอ้ มกบั ขบั นําปสสาวะออกนอ้ ยลง นอกจากนภี าวะทมี กี ารขาดนําของ
รา่ งกายยงั กระตนุ้ ศนู ยค์ วบคมุ การกระหายนําในสมองสว่ นไฮโพทาลามสั ทําให้ เกดิ การก
ระหายนํา เมอื ดมื นํามากขนึ แรงดนั ออสโมตกิ ในเลอื ดจงึ เขา้ สสู่ ภาวะปกติ

แอลโดสเตอโรน (Aldosterone) จากตอ่ มหมวกไตกระตนุ้ ใหม้ ี
การดดู กลบั โซเดยี ม โพแทสเซยี ม และฟอสเฟต โดยสารดงั
กลา่ วกลบั เขา้ สกู่ ระแสเลอื ด- ไตชว่ ยรกั ษาสมดลุ ของกรด-เบส
ในรา่ งกายดว้ ยการขบั ไฮโดรเจนไอออนออก และดดู ซมึ
ไฮโดรเจนคารบ์ อเนตไอออนกลบั จากทอ่ ไตทที อ่ ขดสว่ นตน้ และ
สว่ นปลาย

โรคนวิ (Calculus) --> เกดิ จากตะกอนของแรธ่ าตตุ า่ ง ๆ
ในนําปสสาวะรวมตวั เปนกอ้ นอดุ ตนั ในทอ่ ปสสาวะ อาจจะเกดิ
การอกั เสบตดิ เชอื หรอื การบรโิ ภคผกั บางชนดิ เชน่ ใบชะพลู
ผกั โขม เปนตน้ ซงึ มสี ารออกซาเลตสงู ทําใหม้ โี อกาสเปนนวิ ได้
งา่ ย รกั ษาโดยการใชย้ า ผา่ ตดั หรอื สลายนวิ โดยใชค้ ลนื เสยี งทมี ี
ความถสี งู (Ultra sound) ปองกนั ไดโ้ ดยการรบั ประทาน
อาหารประเภทโปรตนี ซงึ ฟอสฟอรสั ชว่ ยไมใ่ หส้ ารพวกออกซา
เลตจบั ตวั เปนกอ้ นนวิ และควรหลกี เลยี งการบรโิ ภคอาหารทมี ี
ออกซาเลตสงู นอกจากนกี ารดมื นําสะอาดวนั ละมาก ๆ อาจทําให้
กอ้ นนวิ ขนาดเลก็ ออกมาพรอ้ มกบั นําปสสาวะไดโ้ รคไตวาย
(Renal failure) --> ไตสญู เสยี การทํางาน ทําใหข้ องเสยี
จะถกู สะสมอยใู่ นรา่ งกายไมส่ ามารถขบั ถา่ ยออกทางนําปสสาวะ
สง่ ผลใหเ้ กดิ ความผดิ ปกตใิ นการรกั ษาสมดลุ นํา แรธ่ าตุ และ
ความเปนกรด-เบส ของสารในรา่ งกาย หรอื อาจมสี าเหตมุ าจาก
การตดิ เชอื ทรี นุ แรง การสญู เสยี เลอื ดจาํ นวนมาก หรอื อาจเกดิ
จากการเปนโรคเบาหวานเปนเวลานาน รกั ษาโดยการควบคมุ
ชนดิ และปรมิ าณของอาหาร ใชย้ า หรอื การฟอกเลอื ดโดยใชไ้ ต
เทยี ม (Artificial kidney)


Click to View FlipBook Version