แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 18
กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รหสั ว31221 รายวชิ า เคมี 1 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4
เวลา 22 ชั่วโมง
ชื่อหนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 พันธะเคมี เวลา 3 ชั่วโมง
เรื่องย่อยท่ี 2 เรอื่ ง พันธะโคเวเลนต์
(รปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนต์, สภาพข้วั ของโมเลกุลโคเวเลนต์)
ผสู้ อน นางสาวณัฐธดิ า ดวงสมร
1. มาตรฐานการเรยี นรู้และทักษะกระบวนการ
มาตรฐาน ว 5.1 เขา้ ใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัตขิ องธาตุ พนั ธะเคมีและ
สมบตั ขิ องสาร แก๊สและสมบตั ิของแกส๊ ประเภทและสมบัตขิ องสารประกอบอนิ ทรีย์และพอลิเมอร์ รวมทง้ั การ
นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรียนรู้
17. คาดคะเนรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์โดยใช้ทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์และ
ระบุสภาพขว้ั ของโมเลกลุ โคเวเลนต์
3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์ อาจพิจารณาโดยใช้ทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์
(VSEPR) ซง่ึ ข้ึนอยกู่ ับจำนวนพนั ธะและจำนวนอิเลก็ ตรอนคู่โดดเดี่ยวรอบอะตอมกลาง โมเลกุลโคเวเลนต์มีท้ัง
โมเลกุลมีขัว้ และไม่มีขัว้ สภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์เป็นผลรวมปริมาณเวกเตอร์สภาพขัว้ ของแต่ละพันธะ
ตามรูปรา่ งโมเลกุล
4. จุดประสงค์
4.1 คาดคะเนรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนตโ์ ดยใชท้ ฤษฎกี ารผลักระหว่างคอู่ ิเลก็ ตรอนในวงเวเลนซ์ (K)
5. สาระการเรยี นรู้
รูปร่างโมเลกลุ โคเวลนต์
การจัดเรียงอะตอมตา่ ง ๆ ในโมเลกุลโคเวเลนต์มีตำแหน่งและทิศทางที่แน่นอนจงึ ทำให้โมเลกุลโคเว
เลนต์ของสารต่าง ๆ มีรูปร่างแตกต่างกัน สิ่งที่ใช้บอกรูปรา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ คือ การจัดเวเลนต์อิเล็กตรอน
รอบอะตอมกลางของธาตใุ นโมเลกุลโคเวเลนต์ นอกจากนั้นความยาวพนั ธะและมุมระหว่างพนั ธะยังสามารถใช้
บอกรูปร่างโมเลกลุ ไดด้ ้วย
ความยาวพันธะ(Bond length) คอื ระยะทางระหว่างนวิ เคลียสของอะตอมคู่หนึ่งที่มีพันธะ
ต่อกัน
มุมระหว่างพันธะ(Bond angle) คือ มุมที่เกิดจากอะตอมสองอะตอมทำกับอะตอมกลาง
หรอื มมุ ทีเ่ กิดระหวา่ งพนั ธะสองพันธะ เช่น
มุม เป็นมุมระหว่างพันธะในโมเลกุล yx2 และมุมระหว่างพันธะจะกว้างหรือแคบขึ้นอยู่กับ
แรงผลกั ระหว่างอเิ ล็กตรอนคูโ่ ดดเดี่ยวและอิเลก็ ตรอนครู่ ่วมพนั ธะรอบ ๆ อะตอมกลาง โดยถือหลักว่าโมเลกุล
ที่เสถียรจะต้องมพี ลังงานต่ำ นั่นคือ อะตอมในโมเลกลุ ต้องจัดเรยี งตัวกันเพือ่ ให้มีแรงผลักของคูอ่ ิเล็กตรอนให้
น้อยทส่ี ุด
การทำนายรูปร่างโมเลกลุ โคเวเลนต์ โมเลกุลโคเวเลนตจ์ ะมรี ปู ร่างเป็นอยา่ งไร พิจารณาจาก
1. จำนวนอิเลก็ ตรอนครู่ ว่ มพันธะรอบอะตอมกลาง (bonding electron)
2. จำนวนอิเลก็ ตรอนคู่โดดเดี่ยวรอบอะตอมกลาง (non bonding electron)
ดังนั้น การทำนายรูปร่างโมเลกุลให้เลือกอะตอมกลาง ซึ่งเป็นอะตอมที่สร้างพันธะได้มากที่สุดก่อน
และนับจำนวนพันธะทีอ่ ะตอมกลางสร้างได้ และจำนวนอิเล็กตรอนคูโ่ ดดเดี่ยวรอบอะตอมกลางนั้น แรงผลัก
ทั้งหมดของคู่อิเลก็ ตรอนที่เกิดจากการสรา้ งพนั ธะ และไม่ได้สร้างพนั ธะจะทำให้เกิดรปู ร่างโมเลกุลที่แตกตา่ ง
กัน
ภาพขั้วของพนั ธะโคเวเลนต์ (Polarity of covalent bond)
คือ ความแรงของขัว้ ของพันธะโคเวเลนต์ กล่าวคือ พนั ธะโคเวเลนตใ์ ดทีม่ อี ะตอมของธาตุท้ัง
สองมีผลต่างของค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีมาก ขั้วของพันธะโคเวเลนต์มีขั้วนั้นจะมีอำนาจขั้วไฟฟ้ามาก คือ มี
สภาพขัว้ แรง ส่วนพันธะโคเวเลนต์ใดท่ีมีอะตอมของธาตทุ ง้ั สองมีผลต่างของค่าอิเลก็ โตรเนกาติวิตนี ้อย ขั้วของ
พันธะโคเวเลนต์มีขวั้ น้นั จะมอี ำนาจไฟฟ้าน้อย คือ มีสภาพขั้วต่ำ เช่น
HCl H มี EN = 2.20 Cl มี EN = 3.16
ผลต่างของค่า EN ของอะตอม H กบั Cl = 3.16 - 2.20 = 0.96
FCl F มี EN = 3.98 Cl มี EN = 3.16
ผลต่างของคา่ EN ของอะตอม F กบั Cl = 3.98 - 3.16 = 0.82
จะเห็นได้ว่าผลต่างของค่า EN ที่เกิดจากธาตุของพันธะ H - Cl มากกว่าของพันธะ F - Cl
ดงั น้ันขัว้ ของพันธะ H - Cl มีสภาพขั้วแรงกวา่ ข้วั ของพันธะ F - Cl
6. ทกั ษะ/กระบวนการ
6.1 เขยี นแสดงทศิ ทางขั้วพันธะและทศิ ทางขว้ั ของโมเลกุล รวมท้งั ระบุสภาพขั้วของโมเลกลุ โคเวเลนต์
(P)
7. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน
ความสามารถในการส่ือสาร ความสามารถในการคดิ
ความสามารถในการแกป้ ัญหา ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
8. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยู่อย่างพอเพียง ซอื่ สัตย์สุจริต
มุง่ มน่ั ในการทำงาน มีวินัย รักความเป็นไทย
ใฝเ่ รยี นรู้ มีจติ สาธารณะ
9. หลักฐานการเรียนรู้
9.1 ช้ินงาน/ภาระงาน
- กิจกรรม การจดั ตวั ของลกู โปง่ กบั รปู รา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์
- เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์, สภาพขว้ั ของโมเลกุลโคเวเลนต์
10. กระบวนการจัดการเรียนรู้ : วธิ สี อนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E)
ขั้นท่ี 1 ขัน้ สร้างความสนใจ
1. ครูตง้ั คำถามว่า “นกั เรยี นคิดวา่ โมเลกุลโคเวเลนต์แต่ละชนิดจะมีรูปร่างเหมือนกันหรือไม่
อย่างไร” (แนวคำตอบ ไม่เหมอื นกัน เนื่องจากการจัดเรียงอะตอมต่าง ๆ ในโมเลกุลโคเวเลนต์แต่ละชนิดจะมี
ลกั ษณะและตำแหน่งทแี่ นน่ อน ทำใหโ้ มเลกลุ โคเวเลนต์มรี ูปร่างแตกต่างกันออกไป)
2. “นักเรียนคิดว่ารูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์ขึ้นอยู่กบั ปัจจัยใดบ้าง” (แนวคำตอบ ความ
ยาวพนั ธะ และมุมพันธะซงึ่ เกดิ จากแรงผลักของอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว)
3. ครูให้นักเรียนพิจารณาแบบจำลองโครงสร้างสามมิติหรือโปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้ใน
การศกึ ษารูปร่างโมเลกุลของโมเลกลุ โคเวเลนต์ทม่ี รี ูปรา่ งโมเลกุลตา่ งกัน แลว้ ตัง้ คำถามวา่ “รปู ร่างโมเลกุลของ
สารเหล่านี้เหมือนหรือต่างกันหรือไม่ เพราะเหตุใด” (แนวคำตอบ รูปร่างโมเลกุลของสารต่างกัน ขึ้นอยู่กับ
จำนวนอะตอมและจำนวนอเิ ล็กตรอนค่โู ดดเดย่ี วรอบอะตอมกลาง)
ขน้ั ท่ี 2 ข้ันสำรวจและคน้ หา
4. ครใู ห้นักเรียนแบ่งกล่มุ โดยแตล่ ะกลุม่ ทำกิจกรรม การจัดตัวของลกู โปง่ กับรูปร่างโมเลกุล
โคเวเลนต์ ตอนท่ี 1 และตอนที่ 2 เพอื่ ศึกษารูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ทีอ่ ะตอมกลางไมม่ อี ิเลก็ ตรอนคโู่ ดดเด่ียว
และท่มี ีอเิ ล็กตรอนคโู่ ดดเดยี่ ว โดยใชล้ กู โปง่ แทนแบบจำลองโมเลกลุ
5. ครใู ห้นกั เรยี นแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการทำกจิ กรรม พรอ้ มโชว์ลกู โป่งของกลมุ่ ตวั เอง
6. ครูและนักเรียนร่วมกนั อภิปรายสรุปผลการทำกิจกรรม ควรได้ข้อสรุปว่า “เมื่อใช้ลูกโป่ง
แทนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวและอิเล็กตรอนคูร่ ่วมพนั ธะ เมื่อนำมาผูกขั้วติดกัน พบว่าลูกโป่งแต่ละลูกผลักกนั
เกดิ การจดั ตวั เปน็ รปู ร่างต่าง ๆ ท่ีมสี มมาตร โดยเมอ่ื จำนวนอะตอมลอ้ มรอบหรือจำนวนอิเลก็ ตรอนคู่โดดเดี่ยว
มากขึน้ จะมีจำนวนพันธะมากขึน้ ซ่ึงอเิ ล็กตรอนในพันธะจะผลกั กนั ทำใหร้ ปู ร่างโมเลกุลมที ศิ ทางของพนั ธะอยู่
ห่างกันมากที่สุด ดังนั้นรูปร่างโมเลกุลขึ้นอยู่กับจำนวนพันธะและจำนวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวรอบอะตอม
กลาง”
ขนั้ ที่ 3 ข้ันอธบิ ายและลงขอ้ สรุป
7. ครูอธบิ ายเกย่ี วกบั ทฤษฎกี ารผลกั ระหวา่ งคอู่ ิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ (VSEPR theory) เพือ่
เช่อื มโยงไปสู่การคาดคะเนรปู ร่างโมเลกลุ
8. ครูอธิบายเกี่ยวกับรูปร่างโมเลกุลและมุมระหว่างพันธะของโมเลกุลโคเวเลนต์ที่อะตอม
กลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียวและที่อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว โดยให้นักเรียนพิจารณาตัวอย่าง
รูปรา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ในตาราง 3.13 ประกอบการอธิบาย
9. ครใู ห้นักเรียนพิจารณารูป 3.11 และอธิบายเกี่ยวกับการแสดงขั้วของพันธะของอะตอมที่
แสดงประจุไฟฟ้าค่อนข้างบวกและอะตอมที่แสดงประจุไฟฟ้าค่อนขา้ งลบ และการเขียนแสดงสัญลักษณ์และ
ทิศทางของขวั้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์
10. ครูตั้งคำถามนำว่า “โมเลกุลโคเวเลนต์ที่ประกอบด้วยอะตอมมากกว่า 2 อะตอม และ
พนั ธะระหว่างคอู่ ะตอมเป็นพนั ธะมขี ั้ว จะเปน็ โมเลกุลมีขวั้ หรือไม่”
11. ครูอธิบายว่า สภาพข้ัวของพันธะเปน็ ปริมาณเวกเตอร์ การรวมกนั ของเวกเตอร์ของแต่ละ
พันธะจะไดเ้ ป็นสภาพขว้ั ของโมเลกุล ดังน้นั ถ้าเวกเตอร์หกั ล้างกนั หมดจะเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว แต่ถ้าหักล้างกัน
ไม่หมดจะเป็นโมเลกุลมีขั้ว และโมเลกุลที่อะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวและอะตอมล้อมรอบ
เหมือนกันทุกอะตอมจะเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว แม้ว่าพันธะภายในโมเลกุลจะเป็นพันธะที่มีขั้ว เนื่องจากรูปร่าง
โมเลกลุ มีสมมาตรท่ีทำให้เวกเตอร์สภาพขั้วของพันธะหักลา้ งกันหมด
12. ครูใหน้ กั เรยี นพิจารณาตาราง 3.14 และรปู 3.12 เพอ่ื ศกึ ษาการเขยี นทศิ ทางของขั้วของ
พันธะ และการรวมเวกเตอร์สภาพข้ัวของโมเลกลุ โคเวเลนตไ์ ม่มีขั้วและโมเลกุลมีขัว้
ขน้ั ท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้
13. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่าสภาพขั้วของโมเลกุลสามารถใช้ทำนายการละลายเป็นเนื้อ
เดยี วกันระหว่างสารโคเวเลนต์ 2 ชนดิ ได้ สารทม่ี สี ภาพข้ัวใกล้เคยี งกันจะละลายเปน็ เนื้อเดียวกัน ส่วนสารที่มี
สภาพขัว้ ตา่ งกันมากจะไมล่ ะลายเปน็ เนือ้ เดยี วกนั
14. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกนั เพอ่ื สรุปความรู้เก่ียวกับรูปรา่ งโมเลกุลและสภาพข้ัวของ
โมเลกลุ โคเวเลนต์ ดังน้ี
- รูปร่างโมเลกุลสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวง
เวเลนซ์(VSEPR) ซ่งึ พิจารณาจากจำนวนพันธะและจำนวนอิเล็กตรอนคูโ่ ดดเดย่ี วรอบอะตอมกลาง
- สภาพข้วั ของโมเลกุลเป็นการรวมเวกเตอร์สภาพขว้ั ของแต่ละพันธะในรูปร่างโมเลกุลซ่ึงทำ
ใหโ้ มเลกุลโคเวเลนตม์ ีทง้ั โมเลกลุ มีข้วั และโมเลกลุ ไม่มขี ัว้
15. ให้นกั เรยี นแตล่ ะคนทำแบบฝึกหัดข้อ 1 และร่วมกนั เฉลย
ขั้นท่ี 5 ข้นั ประเมินผล
16. ครูใหน้ กั เรยี นลงมอื ทำแบบฝึกหดั ในเอกสารประกอบการเรียน เรือ่ ง รูปร่างโมเลกุลโคเว
เลนต์, สภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์
10. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้
10.1 แบบจำลองโครงสรา้ งสามมิตหิ รอื โปรแกรมสำเร็จรปู
10.2 สอ่ื การสอน PowerPoint
10.3 เอกสารประกอบการเรียน เรอ่ื ง รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์, สภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์
10.4 หนังสอื เรยี นรายวชิ าเพิม่ เติมวิทยาศาสตร์ เคมเี ล่ม 1 ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4
(ฉบบั ปรังปรงุ พ.ศ.2560)
11. การวัดและประเมนิ ผล
เป้าหมาย วธิ ีวดั เคร่อื งมือวดั เกณฑ์การประเมิน
ดา้ นความรู้
คาดคะเนรูปร่างโมเลกุล การอภปิ รายระหวา่ งเรยี น แบบประเมนิ การอภิปราย ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 60
โคเวเลนต์โดยใช้ทฤษฎีการ และตรวจเอกสาร และเอกสารประกอบการ
ผลกั ระหวา่ งคู่อเิ ล็กตรอนใน ประกอบการเรยี น เรียน
วงเวเลนซ์ (K)
ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ
เขยี นแสดงทศิ ทางข้วั พนั ธะ ตรวจเอกสารประกอบการ เอกสารประกอบการเรียน ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 60
และทิศทางขวั้ ของโมเลกลุ เรยี น
รวมทัง้ ระบสุ ภาพขว้ั ของ
โมเลกุลโคเวเลนต์ (P)
ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ
ประสงค์
ใฝเ่ รียนรู้ 1. ประเมินจากการสงั เกต 1. แบบประเมนิ พฤติกรรม ระดับคณุ ภาพพอใชข้ ึ้นไป
พฤตกิ รรมในชน้ั เรียน ในชนั้ เรยี น (ผ่านเกณฑ์)
มุง่ ม่ันในการทำงาน 1. ประเมินจากการสังเกต 1. แบบประเมินพฤตกิ รรม ระดบั คุณภาพพอใช้ข้นึ ไป
พฤติกรรมในชน้ั เรียน ในชนั้ เรียน (ผา่ นเกณฑ์)
มวี นิ ัย 1. ประเมินจากการสงั เกต 1. แบบประเมินพฤติกรรม ระดับคณุ ภาพพอใช้ข้นึ ไป
พฤตกิ รรมในช้นั เรียน ในชั้นเรยี น (ผ่านเกณฑ์)
ด้านสมรรถนะสำคญั ของ
ผเู้ รยี น
ความสามารถในการสอ่ื สาร 1. ประเมินจากแบบ 1. แบบประเมินสมรรถนะ ระดับคุณภาพพอใช้ขึ้นไป
ประเมินสมรรถนะ ด้าน สำคัญของผู้เรยี น (ผ่านเกณฑ์)
ความสามารถในการ
สอ่ื สาร
เป้าหมาย วธิ วี ดั เครื่องมอื วัด เกณฑ์การประเมนิ
ความสามารถในการคิด 1. ประเมนิ จากแบบ
ประเมนิ สมรรถนะ 1. แบบประเมนิ สมรรถนะ ระดบั คณุ ภาพพอใชข้ น้ึ ไป
ความสามารถในการใช้ ความสามารถในการคิด
ทักษะชีวติ 1. ประเมินจากแบบ สำคัญของผู้เรียน (ผา่ นเกณฑ์)
ประเมินสมรรถนะ
ความสามารถในการ ความสามารถในการใช้ 1. แบบประเมนิ สมรรถนะ ระดบั คุณภาพพอใชข้ ้ึนไป
แกป้ ญั หา ทกั ษะชวี ติ
1. ประเมนิ จากแบบ สำคญั ของผ้เู รยี น (ผา่ นเกณฑ์)
ประเมินสมรรถนะ
ความสามารถในการ 1. แบบประเมนิ สมรรถนะ ระดับคุณภาพพอใชข้ น้ึ ไป
แกป้ ัญหา
สำคญั ของผูเ้ รียน (ผ่านเกณฑ์)
บันทึกหลงั สอน
1. ผลการสอน
⬜ สอนได้ตามแผนการจัดการเรียนรู้
⬜ สอนไมไ่ ด้ตามแผนการจดั การเรียนรู้ เนือ่ งจาก .................................................................
................................................................................................................................................................................
2. ผลการเรียนของนกั เรยี น
⬜ จำนวนนักเรียนที่ผ่านการประเมนิ .......................... คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ .........................
⬜ จำนวนนกั เรยี นท่ไี มผ่ ่านการประเมิน ....................... คน คดิ เป็นร้อยละ ........................
⬜ อ่ืนๆ .................................................................................................................................
3. ปัญหาและอปุ สรรค
⬜ กิจกรรมการจดั การเรียนรู้ ไม่เหมาะสมกบั เวลา
⬜ มีนักเรยี นทำใบงาน/ใบกจิ กรรมไมท่ นั ตามกำหนดเวลา
⬜ มนี ักเรียนทีไ่ มส่ นใจเรยี น
⬜ อื่นๆ ...................................................................................................................................
4. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
⬜ ควรนำแผนไปปรบั ปรุง เรื่อง ............................................................................................
...............................................................................................................................................................................
⬜ แนวทางแกไ้ ขนกั เรยี นทไี่ มผ่ ่านการประเมนิ .....................................................................
................................................................................................................................................................................
⬜ ไมม่ ีข้อเสนอแนะ
ลงชอ่ื ...................................................... ผู้บนั ทึก
(นางสาวณัฐธิดา ดวงสมร)
ครผู ู้สอน
บันทึกหลังการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับนี้ ได้รับการพิจารณาจากแผนกวิชาและฝ่าย
วชิ าการแล้ว
ลงชอื่ ......................................................
(นางสาวอกั ษรวดี มณีพรหม)
กลุ่มงานบริหารวิชาการ
ลงชอ่ื ....................................................
(นายพรศกั ด์ิ ทวรี ส)
ผู้อำนวยการโรงเรยี นตะก่ัวทงุ่ งานทวีวทิ ยาคม
แบบประเมนิ การอภปิ ราย
วชิ า ......................................... แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ .............................................................................
ภาคเรียนท.่ี ...............................ปีการศึกษา.....................................ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่................................
ครผู สู้ อน……….......………..…………………………………..........................วันท่ีประเมนิ ………........……………………
คำชี้แจง : ให้ครูประเมินโดยการสังเกตการร่วมกันอภิปรายในระหว่างเรียน โดยให้ระดับคะแนน 3, 2, 1
ลงในตารางทต่ี รงกับพฤติกรรมของผ้เู รียน
รายการประเมนิ
เลข ชื่อ-นามสกุล การร่วมแสดง รวม
ท่ี ความ ิคดเห็น คะแนน
ยอมรับฟังความ (15)
ิคดเ ็หนของ ู้ผ ื่อน
ีตความหมายของ
้ขอมูล
การสรุป ้ขอมูล
ีมความเ ่ืชอ ัม่นใน
การแสดงออก
ลงชอื่ .....................................................ผ้ปู ระเมิน
()
เกณฑ์การประเมิน
พฤติกรรมที่ปฏิบัตสิ มบูรณ์ชดั เจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
พฤติกรรมทปี่ ฏิบตั สิ มบรู ณช์ ดั เจนและบ่อยคร้งั ให้ 1 คะแนน
พฤตกิ รรมที่ปฏิบตั สิ มบูรณช์ ดั เจนบางครัง้
เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11 - 15 ดี
6 - 10 พอใช้
ตำ่ กว่า 5 ปรับปรุง
9 คะแนนขึ้นไป ผา่ นเกณฑ์
แบบประเมินพฤตกิ รรมในชัน้ เรยี น
วิชา ......................................... แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ .............................................................................
ภาคเรยี นท.่ี ...............................ปีการศึกษา.....................................ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี................................
ครผู ้สู อน……….......………..…………………………………..........................วนั ทป่ี ระเมนิ ………........……………………
คำชี้แจง : ใหค้ รูบันทกึ โดยใชเ้ ครื่องหมาย ✓ = แสดงพฤติกรรมทพ่ี ึงประสงค์ตามคาดหวัง = ไมแ่ สดง
พฤติกรรมที่พึงประสงคต์ ามคาดหวัง
มุ่งม่ันใน
เลขท่ี ชื่อ-สกุล ใฝ่เรียนรู้ การ มวี นิ ยั รวมคะแนน (9)
ทำงาน
123123123
ลงชอื่ .....................................................ผ้ปู ระเมนิ
()
เกณฑก์ ารประเมนิ
พฤติกรรมสมบรู ณช์ ัดเจน ให้ 3 คะแนน
พฤตกิ รรมมีข้อบกพร่องบางสว่ น ให้ 2 คะแนน
พฤติกรรมมขี ้อบกพรอ่ งมาก ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
7 - 9 ดี
4 - 6 พอใช้
ต่ำกวา่ 4 ปรับปรงุ
4 คะแนนขนึ้ ไป ผา่ นเกณฑ์
แบบการประเมินสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน
วิชา ......................................... แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี .............................................................................
ภาคเรียนท่.ี ...............................ปีการศึกษา.....................................ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี................................
ครผู ูส้ อน……….......………..…………………………………..........................วนั ทปี่ ระเมนิ ………........……………………
คำชี้แจง : ให้ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน และเขียนคะแนน 3, 2, 1 ลงในช่องสมรรถนะสำคัญของ
ผเู้ รยี น
สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน
ความสามารถใน รวม
การ ่ืสอสาร
เลขท่ี ช่อื -นามสกลุ คะแนน
ความสามารถใน
การ ิคด (12)
ความสามารถใน
การใ ้ช ัทกษะ ีชวิต
ความสามารถใน
การแก้ ัปญหา
ลงช่อื .....................................................ผู้ประเมนิ
()
เกณฑ์การประเมิน 3 ระดบั คะแนน 1
สมรรถนะสำคัญของ มีการรบั -ส่งสาร การ 2 มีการรบั -สง่ สาร แต่ใช้ภาษา
ผูเ้ รยี น ถา่ ยทอดความรู้ ความคดิ ในการถา่ ยทอดความรู้
โดยใชภ้ าษาอย่างเหมาะสม มกี ารรับ-ส่งสาร การ ความคิด และเลอื กวิธีการ
ความสามารถในการ และเลอื กวิธกี ารสื่อสารที่ ถ่ายทอดความรู้ ความคดิ สื่อสารท่ีไมเ่ หมาะสม
สือ่ สาร เหมาะสม โดยใชภ้ าษาอย่างเหมาะสม
สามารถคิดวิเคราะห์ แตเ่ ลอื กวิธีการส่ือสารยังไม่ สามารถคิดวเิ คราะห์
ความสามารถในการคิด สังเคราะห์ มีการคดิ นอก เหมาะสม สังเคราะห์ คดิ อย่างมี
กรอบอย่างสร้างสรรค์ คิด สามารถคิดวเิ คราะห์ วิจารณญาณ แตไ่ มม่ กี ารคดิ
ความสามารถในการใช้ อย่างมีวจิ ารณญาณ สงั เคราะห์ มีการคดิ นอก นอกกรอบอย่างสรา้ งสรรค์
ทักษะชีวิต และมีความสามารถสรา้ ง กรอบอย่างสร้างสรรค์ คดิ และขาดความสามารถใน
องค์ความรู้ อยา่ งมวี ิจารณญาณ การสร้างองคค์ วามรู้
ความสามารถในการ เรียนรูด้ ้วยตนเองได้ดี แตย่ ังไม่สามารถสรา้ งองค์ เรียนรดู้ ้วยตนเองไดด้ ี
แกป้ ญั หา สามารถทำงานกลมุ่ ร่วมกับ ความรู้ได้ สามารถทำงานกล่มุ ร่วมกบั
ผู้อ่ืนได้ และจัดการปัญหา เรยี นรู้ด้วยตนเองไดด้ ี ผ้อู น่ื ได้ แตจ่ ัดการปัญหา
ความขดั แย้งไดเ้ หมาะสม สามารถทำงานกลมุ่ ร่วมกับ ความขดั แยง้ ไมไ่ ด้
สามารถแกป้ ัญหาและ ผู้อ่ืนได้ แต่จดั การปัญหา สามารถแก้ปัญหาและ
อปุ สรรคต่างๆ ได้ มกี าร ความขดั แย้งไดไ้ มเ่ หมาะสม อปุ สรรคต่างๆ ได้ แต่ขาด
แสวงหาความรู้มาใช้ในการ สามารถแก้ปัญหาและ การแสวงหาความรู้มาใช้ใน
แกไ้ ขปัญหา และสามารถ อปุ สรรคตา่ งๆ ได้ มีการ การแก้ไขปัญหา และไม่
ตัดสินใจได้เหมาะสม แสวงหาความรู้มาใชใ้ นการ สามารถตัดสินใจได้
แกไ้ ขปญั หา แต่ขาดการ เหมาะสม
ตัดสนิ ใจที่เหมาะสม
เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ระดบั คณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ดี
9 - 12 พอใช้
5-8 ปรับปรงุ
ต่ำกวา่ 5 ผา่ นเกณฑ์
5 คะแนนข้ึนไป