แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 13
กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รหสั ว31221 รายวิชา เคมี 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4
ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 พันธะเคมี เวลา 22 ช่ัวโมง
เรื่องย่อยท่ี 1 เรอ่ื ง พันธะไอออนกิ เวลา 3 ชัว่ โมง
(การเกิดพันธะไอออนกิ , สตู รเคมแี ละช่อื ของสารประกอบไอออนิก)
ผูส้ อน นางสาวณัฐธิดา ดวงสมร
1. มาตรฐานการเรียนรู้และทกั ษะกระบวนการ
มาตรฐาน ว 5.1 เขา้ ใจโครงสรา้ งอะตอม การจัดเรยี งธาตใุ นตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและ
สมบัติของสาร แกส๊ และสมบัตขิ องแก๊ส ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอินทรีย์และพอลเิ มอร์ รวมท้ังการ
นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
9. อธบิ ายการเกิดไอออนและการเกดิ พนั ธะไอออนิก โดยใชแ้ ผนภาพหรอื สัญลักษณ์แบบจดุ ของลวิ อสิ
10. เขยี นสตู รและเรยี กชอ่ื สารประกอบไอออนิก
3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
สารเคมีเกิดจากการยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะเคมี ซึ่งเกี่ยวข้องกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่แสดงได้ด้วย
สญั ลักษณ์แบบจดุ ของลิวอิส โดยการเกดิ พนั ธะเคมสี ่วนใหญ่เป็นไปตามกฎออกเตต
พันธะไอออนิกเกิดจากการยึดเหนี่ยวระหว่างประจุไฟฟ้าของไอออนบวกกับไอออนลบ ส่วนใหญ่
ไอออนบวกเกิดจากโลหะเสียอิเล็กตรอนและไอออนลบเกิดจากอโลหะรับอิเล็กตรอนสารประกอบที่เกิดจาก
พันธะไอออนิกเรียกว่า สารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิกไม่อยู่ในรูปโมเลกุล แต่เป็นโครงผลึกท่ี
ประกอบดว้ ยไอออนบวกและไอออนลบจดั เรยี งตัวตอ่ เน่ืองกันไปทัง้ สามมิติ
สารประกอบไอออนิกเขยี นแสดงสูตรเคมี โดยให้สัญลักษณ์ธาตุท่ีเป็นไอออนบวกไว้ข้างหน้าตามดว้ ย
สัญลักษณ์ธาตทุ ่ีเป็นไอออนลบ โดยมีตวั เลขแสดงอัตราสว่ นอย่างต่ำของจำนวนไอออนที่เปน็ องคป์ ระกอบ
การเรียกชื่อสารประกอบไอออนิกทำได้โดยเรียกชื่อไอออนบวกแล้วตามด้วยชื่อไอออนลบสำหรับ
สารประกอบไอออนิกทเ่ี กิดจากโลหะทีม่ ีเลขออกซเิ ดชนั ได้หลายค่า ตอ้ งระบเุ ลขออกซเิ ดชนั ของโลหะด้วย
4. จุดประสงค์
4.1 เขียนสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสของธาตุและไอออน และระบุได้ว่าธาตุหรือไอออนนั้นเป็นไป
ตามกฎออกเตต (K)
4.2 อธิบายการเกดิ ไอออนและการเกิดพันธะไอออนกิ โดยใช้แผนภาพหรือสัญลกั ษณ์แบบจุดของลวิ
อิส (K)
4.3 อธบิ ายโครงสรา้ งของสารประกอบไอออนกิ (K)
5. สาระการเรยี นรู้
พันธะไอออนิก คือ พันธะที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากแรงดึงดูดทางไฟฟ้าสถิตระหว่างไอออนบวก
(cation) และไอออนลบ(anion) อันเนอื่ งมาจากการถ่ายโอนอิเลก็ ตรอน จากโลหะให้แกอ่ โลหะ โดยทว่ั ไปแลว้
พันธะไอออนิกเป็นพันธะท่ีเกิดข้ึนระหว่างโลหะและอโลหะ ทั้งนี้เนื่องจากวา่ โลหะมีค่าพลังงานไอออไนเซชัน
(ionization energy) ต่ำ แต่อโลหะมีค่าสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน (electron affinity) สูง ดังนั้นโลหะจึงมี
แนวโนม้ ทจี่ ะให้อิเล็กตรอน และอโลหะมแี นวโนม้ ท่จี ะรับอเิ ล็กตรอน
เมอ่ื โลหะเสียอิเล็กตรอนกจ็ ะกลายเปน็ ไอออนบวก
อโลหะเมือ่ รับอเิ ล็กตรอนกจ็ ะกลายเปน็ ไอออนลบ
ประจุบวกและลบที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดแรงดึงดูดทางไฟฟ้าซึ่งกันและกันเกิดเป็นพันธะไอออนิก และเพื่อความ
เขา้ ใจมากขนึ้ ขออธบิ ายการเกดิ พนั ธะไอออนิกระหวา่ ง อะตอมของโซเดยี มและคลอไรด์
การเรยี กชอื่ สารประกอบไอออนิก
เน่ืองจากสารประกอบไอออนกิ มีลักษณะการสร้างพันธะต่อเน่ืองกันเป็นผลึก ไมไ่ ด้อยู่ในลักษณะของ
โมเลกลุ เหมือนในสารประกอบโคเวเลนต์ ดังนั้นสารประกอบไอออนิกจึงไม่มีสูตรโมเลกุลท่ีแท้จริง แต่จะมีการ
เขียนสตู รเพอื่ แสดงอัตราส่วนอย่างต่ำของจำนวนธาตุต่าง ๆ ท่เี ปน็ องค์ประกอบ เชน่ โซเดียมคลอไรด์ เกิดจาก
อะตอมของธาตุโซเดียม (Na) อย่างน้อยที่สุด 1 อะตอม และอะตอมของธาตุคลอรีน (Cl) อย่างน้อยที่สุด 1
อะตอม จึงสามารถเขียนสูตรได้เป็น NaCl โดยการเขียนสูตรของสารประกอบไอออนิกจะเขียนนำด้วยธาตุท่ี
เกิดเปน็ ไอออนบวก กอ่ น จากนนั้ จึงเขยี นตามดว้ ยธาตุท่ีเกิดเปน็ ไอออนลบตามลำดับ
วิธีการอ่านชือ่ สารประกอบไอออนกิ ให้อ่านตามลำดับของธาตุที่เขียนในสูตร คือ เริ่มจากธาตุแรกซง่ึ
เกิดเปน็ ไอออนบวก (ธาตโุ ลหะ) แลว้ ตามด้วยธาตุหลงั ซ่งึ เป็นไอออนลบ (ธาตอุ โลหะ) ดงั น้ี
1. เร่ิมจากอ่านชือ่ ไอออนบวก (ธาตุโลหะ) ก่อน
2. อ่านชือ่ ธาตุไอออนลบ (ธาตุอโลหะ) โดยเปล่ยี นเสยี งสุดท้ายเปน็ -ไอด์ (-ide) ดังตัวอย่างเช่น
NaCl อา่ นว่า โซเดียมคลอไรด์
MgO อา่ นว่า แมกนีเซียมออกไซด์
Al2O3 อ่านว่า อะลมู เิ นียมออกไซด์
3. หากไอออนลบมลี กั ษณะเปน็ กลุ่มธาตุ จะมชี อ่ื เรียกเฉพาะทแี่ ตกตา่ งกนั เช่น No3-เรียกวา่ ไนเดรต,
CO32- เรียกวา่ คารบ์ อเนต, SO42- เรยี กวา่ ซลั เฟต OH- เรียกว่า ไฮดรอกไซด์ เป็นตน้ ดงั ตวั อย่างเชน่
CaCO3 อา่ นว่า แคลเซยี มคารบ์ อเนต Na2SO4 อ่านว่า โซเดยี มซัลเฟต
การอา่ นชือ่ สารประกอบไอออนกิ
1. สารประกอบธาตคุ ู่ ถ้าสารประกอบเกิดจาก ธาตุโลหะท่ีมีไอออนไดช้ นิดเดยี วรวมกับอโลหะ ให้อ่าน
ชือ่ โลหะทเ่ี ปน็ ไอออนบวก แลว้ ตามด้วยช่ือธาตอุ โลหะทเี่ ป็นไอออนลบ โดยเปล่ยี นเสยี งพยางค์ท้ายเป็น ไอด์
(ide) เช่น
อออซิเจน เปลี่ยนเปน็ ออกไซด์ (oxide) ไฮโดรเจน เปล่ียนเปน็ ไฮไดรด์ (hydride)
คลอรีน เปล่ียนเป็น คลอไรด์ (chloride) ไอโอดนี เปลยี่ นเป็น ไอโอไดด์ (iodide)
ตัวอย่างการอา่ นชื่อสารประกอบไอออนกิ ธาตุคู่
NaCl อา่ นว่า โซเดยี มคลอไรด์ CaI2 อ่านวา่ แคลเซียมไอโอไดด์
(Sodium chloridr) (Calcium iodide)
KBr อ่านว่า โพแทสเซียมโบรไมด์ CaCl2 อา่ นว่า แคลเซยี มคลอไรด์
(Potascium bromide) (Calcium chloride)
ถ้าสารประกอบท่ีเกดิ จากธาตโุ ลหะเดียวกนั ทม่ี ีไอออนไดห้ ลายชนดิ รวมตัวกับอโลหะ ให้อ่านช่ือโลหะ
ท่ีเป็นไอออนบวกแล้วตามด้วยค่าประจุของไอออนของโลหะโดยวงเล็บเป็นเลขโรมัน แล้วตามด้วยอโลหะที่เป็น
ไอออนลบ โดยเปลี่ยนเสียงพยางค์ท้ายเป็น ไอด์ (ide) เช่นFe เกิดไอออนได้ 2 ชนิดคือ Fe2+ และ Fe3+ และ
Cu เกดิ อิออนได้ 2 ชนิดคือ Cu+ และ Cu2+สารประกอบทีเ่ กดิ ขึน้ และการอ่านชอื่ ดังน้ี
FeCl2 อา่ นวา่ ไอรอ์ อน (II) คลอไรด์ CuS อา่ นวา่ คอปเปอร์ (I) ซลั ไฟด์
( Iron (II) chloride ) ( Cupper (I) sunfide )
FeCl3 อ่านวา่ ไอรอ์ อน(III) คลอไรด์ Cu2S อ่านว่า คอปเปอร์ (II) ซัลไฟด์
( Iron (III) chloride ) ( Copper (II) sunfide )
2. สารประกอบธาตสุ ามหรือมากกว่าถ้าสารประกอบเกดิ จากไอออนบวกของโลหะ หรือกลุ่มไอออน
บวกรวมตัวกับกลุ่มไอออนลบ ให้อ่านชื่อไอออนบวกของโลหะหรือชื่อกลุ่มไอออนบวก แล้วตามด้วยกลุ่ม
ไอออนลบ เชน่
CaCO3 อ่านวา่ แคลเซียมคาร์บอนเนต KNO3 อ่านว่า โพแทสเซยี มไนเตรต
(Calcium carbonat) (Potascium nitrae)
Ba(OH)2 อ่านวา่ แบเรยี มไฮดรอกไซด์ (NH4)3PO4 อ่านว่า แอมโมเนยี มฟอสเฟต
(Barium hydroxide) (Ammomium pospate)
การเรยี กชือ่ สารประกอบเชงิ ซ้อน
หลกั การเรียกชอื่ สารเชิงซ้อนและไอออนเชิงซอ้ น RULES FOR NAMING COORDINATION
COMPLEXES
• เรียกชอื่ ของไอออนบวกก่อนไอออนลบ
• เรียกช่อื ลแิ กนดก์ อ่ นชอื่ ของโลหะในไอออนเชิงซ้อนทเ่ี กดิ พนั ธะโคออร์ดเิ นต
• ใช้ตัวเลขภาษากรีกระบุจำนวน mono-, di-, tri-, tetra-, penta-, hexa-, ในการใช้ระบุจำนวนลิ
แกนด์เมื่อลิแกนด์โดยมีความสัมพันธ์อย่างง่าย และใช้คำอุปสรรคในภาษากรีก bis-, tris-, and
tetrakis- กบั ลแิ กนดท์ ม่ี คี วามซบั ซอ้ น
• ชอื่ ของลแิ กนดใ์ นไอออนลบจะลงทา้ ยดว้ ย o, เชน่ fluoro (F-), chloro (Cl-), bromo (Br-), iodo (I-),
oxo (O2-), hydroxo (OH-), และ cyano (CN-)
• มีลิแกนดด์เป็นกลางจำนวนเล็กน้อยใช้ชื่อสามญั เช่น น้ำ ใช้ aquo (H2O), แอมโมเนีย ใช้ ammine
(NH3), และคาร์บอนลิ ใช้ carbonyl (CO)
• การเรียงลำดับของลิแกนด์ให้เรียงลำดับดังนี้: ไอออนลบ โมเลกุลที่เป็นกลาง ไอออนบวก สำหรับลิ
แกนด์ท่ีมีประจุเหมือนกันใหเ้ รยี งลำดบั ตามตวั อกั ษรในภาษาอังกฤษ
• ระบเุ ลขออกซิเดชันของอะตอมโลหะแทรนซิชันเป็นตัวเลขโรมนั อกั ษรตัวใหญต่ ามหลงั อะตอมโลหะ
• ชื่อของไอออนเชงิ ซ้อนลบจะลงท้ายด้วย –ate เชน่ Co(SCN)42-, อ่านว่าtetrathiocyanatocobaltate
(II) ion เมื่อสัญลักษณ์ของโลหะแทรนซิชันมาจากภาษาละตนิ ให้ลงท้ายชื่อโลหะ ให้ลงท้ายช่ือด้วย-
ate เช่น Fe ในไออนเชิงซอ้ นลบคำในภาษาละตินคอื ferrum ช่ือของ Fe จึงเปน็ อ ferrate และของ
ทองแดง Cu จึงเป็ นcuprate
• ชื่อของโลหะแทรนซิซันในไอออนเชิงซ้อนบวก ให้อ่านเป็นภาษาอังกฤษตากปกติ และต้องระบุเลข
ออกซเิ ดชนั ดว้ ย
6. ทักษะ/กระบวนการ ความสามารถในการคดิ
6.1 เขียนสูตรและเรยี กช่ือสารประกอบไอออนิก (P) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ
7. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
ความสามารถในการส่ือสาร
ความสามารถในการแก้ปญั หา
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
8. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อย่อู ย่างพอเพียง ซ่ือสัตยส์ ุจริต
มุ่งมัน่ ในการทำงาน มวี ินยั รกั ความเป็นไทย
ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ
9. หลักฐานการเรียนรู้
9.1 ช้ินงาน/ภาระงาน
- กจิ กรรมสารประกอบไอออนกิ เขยี นแบบจดุ ของลิวอสิ
- เอกสารประกอบการเรียน เรือ่ ง การเกิดพนั ธะไอออนิก, สูตรเคมแี ละชอื่ ของสารประกอบ
ไอออนิก
10. กระบวนการจัดการเรียนรู้ : วิธสี อนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E)
ขั้นท่ี 1 ขั้นสร้างความสนใจ
1. ครูใหน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ งสตู รเคมีของสารต่าง ๆ ทน่ี กั เรยี นรจู้ กั ทั้งนี้สารทยี่ กตัวอย่างควร
มีท้ังธาตุ สารประกอบ และธาตุหมู่ VIIIA หรอื แก๊สมีสกลุ เช่น O2 CO2 H2O NaCl He
2. ตงั้ คำถามว่า “สูตรเคมีของสารทยี่ กตัวอยา่ งมาส่วนใหญ่ประกอบดว้ ยธาตุเพียง 1 อะตอม
หรอื มากกว่า 1 อะตอม (แนวคำตอบ สารส่วนใหญ่ประกอบดว้ ยธาตมุ ากกวา่ 1 อะตอม) จากนั้นเชือ่ มโยงเข้าสู่
ความหมายของพันธะเคมวี า่ เป็นการยดึ เหนี่ยวกันของอะตอมหรือไอออนในสาร
3. ครูใช้คำถามทบทวนความรเู้ ดิมว่า “ธาตหุ มู่ VIIIA หรือแก๊สมสี กุล เชน่ He Ne ซงึ่ อย่ใู นรูป
อะตอมเดย่ี วมีจำนวนเวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอนเป็นเท่าใด และบรรจเุ ต็มออรบ์ ทิ ัลในระดับพลังงานหลกั หรอื ไม่” (แนว
คำตอบ He มี 2 เวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอน Ne มี 8 เวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอน และเต็มออร์บิทัลในระดบั พลงั งานหลัก ทำให้
อะตอมแกส๊ มีสกุลมีความเสถยี ร)
4. ครูให้นักเรียนพิจารณารูป 3.1 แล้วอธิบายว่า จุดในสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสแสดง
เวเลนซ์อิเล็กตรอน เช่น He มี 2 จุด แสดงว่ามี 2 เวเลนซ์อิเล็กตรอน Na มี 1 จุด แสดงว่ามี 1 เวเลนซ์
อเิ ล็กตรอน จากน้นั อธิบายวิธกี ารเขยี นสญั ลกั ษณ์แบบจุดของลวิ อิสโดยเขยี นจดุ เดย่ี วทั้ง 4 ดา้ นรอบสัญลักษณ์
ของธาตกุ ่อน แลว้ จงึ เตมิ จุดให้เปน็ คู่
5. ครูให้นักเรยี นพิจารณาสัญลักษณแ์ บบจุดของลิวอิสของ Na และ Cl แลว้ อภิปรายร่วมกัน
ใหไ้ ดข้ ้อสรปุ ว่า Na ให้ 1 อิเลก็ ตรอนเกิดเปน็ ไอออน Na+ และมจี ำนวนเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนเทา่ กับ Ne ส่วน Cl
รับ 1 อิเล็กตรอน เกิดเป็นไอออน Cl- และมีจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ Ar จากนั้นอธิบายเพิ่มเติมว่า
หลักการที่อะตอมของธาตุอื่น ๆ มีแนวโน้มที่จะรวมตัวกันเพื่อที่จะทำให้แต่ละอะตอมมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน
เทา่ กับ 8 เรยี กหลักการนวี้ า่ กฎออกเตต
ขัน้ ท่ี 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา
6. ครูให้นักเรียนจับคูก่ ันร่วมกันทำกิจกรรม ครูให้นักเรียนแต่ละคู่ช่วยกันเขียนการจัดเรียง
อเิ ล็กตรอน แบบจำลองอะตอมของโบร์ และสญั ลกั ษณ์แบบจดุ ของลวิ อิสของ Cl และ Cl- จากน้ันให้พิจารณา
สัญลกั ษณ์แบบจดุ ของลวิ อสิ ของ Cl พบว่ามี 7 จดุ และเมื่อรบั อเิ ล็กตรอน สญั ลักษณแ์ บบจดุ ของลวิ อสิ ของ Cl-
จะแสดงจุด 8 จดุ เป็นไปตามกฎออกเตต
7. ครูให้นักเรียนแต่ละคู่เขียนสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสของธาตุที่อยู่หมู่ 1 ถึงหมู่ 7 และ
หาสารประกอบไอออนกิ ทัง้ หมด 20 สารประกอบ พร้อมทั้งระบุชื่อของสารทีห่ ามาได้ โดยสามารถสืบคน้ ข้อมูล
จากสารสนเทศได้
8. นกั เรียนแตล่ ะคสู่ ง่ ตัวแทนออกมาเขียนสัญลกั ษณ์แบบจดุ ของลิวอิสของธาตุทอี่ ยูห่ มู่ 1 ถึง
หมู่ 7 และออกมาเขียนสารประกอบไอออนิกท่ีหามาได้พรอ้ มช่อื กลุ่มละ 2 สารประกอบ
9 ครูนำอภิปรายเพื่อตรวจคำตอบของสารประกอบไอออนิกทน่ี ักเรยี นออกมาเขียน
ขน้ั ท่ี 3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป
10. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับโครงสร้างของสารประกอบไอออนิก โดยให้
นักเรียนพิจารณาจากแบบจำลองหรือภาพโครงผลึกของสารในรูป 3.2 เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า “สารประกอบ
ไอออนิกในสถานะของแข็งอยู่ในรูปผลึกที่มีไอออนบวกและไอออนลบยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะไอออนิกอย่าง
ตอ่ เนอื่ งกนั ไปท้ังสามมติ เิ ปน็ โครงผลึก และไมอ่ ยู่ในรปู โมเลกุล”
11. ครูนำเข้าสู่การศึกษาเรื่องสูตรเคมีของสารประกอบไอออนิกโดยให้นักเรียนพิจารณา
ตาราง 3.1
12. ตง้ั คำถามว่า “ประจขุ องไอออนสมั พันธก์ ับเลขหมู่ของธาตุในตารางธาตุหรือไม่ อยา่ งไร”
(แนวคำตอบ ประจุของไอออนมีความสมั พันธ์กับเลขหมู่ของธาตุ โดยธาตุหมู่ IA IIA และ IIIA เมื่อเป็นไอออน
จะเป็นไอออนบวกที่มีประจุตามเลขหมู่ ส่วนธาตุหมู่ VA VIA และ VIIA เมื่อเป็นไอออนจะเป็นไอออนลบที่มี
ประจุ X – 8 เมื่อ X คอื เลขหมขู่ องธาตอุ โลหะ)
13. ครูให้นักเรียนพิจารณาตาราง 3.2 แล้วอธิบายว่า จากการที่โครงสร้างของสารประกอบ
ไอออนิกมไี อออนบวกและไอออนลบอยตู่ อ่ เนือ่ งกนั ไปทง้ั สามมิติ ไม่สามารถแยกเปน็ โมเลกุลได้ ดังนัน้ จงึ ใชส้ ูตร
เอมพิริคลั แสดงอัตราส่วนอยา่ งต่ำของจำนวนไอออนทเ่ี ปน็ องคป์ ระกอบ
14. ครูให้นักเรียนสงั เกตว่า การเขียนสูตรสารประกอบไอออนิก เช่น Al2O3 ได้จากการไขว้
ตัวเลขประจขุ อง O มาเป็นตัวเลขห้อยของ Al และตวั เลขประจุของ Al มาเป็นตวั เลขห้อยของ O
กรณีที่การไขว้ตัวเลขแล้วทำให้ได้ตัวเลขห้อยที่ยังไม่เป็นอัตราส่วนอย่างต่ำ ต้องปรับให้เป็น
อัตราส่วนอย่างต่ำก่อน เช่น Ca2+ รวมกบั O2- เมอ่ื ไขว้ตวั เลขจะไดเ้ ปน็ Ca2O2 ซง่ึ ต้องปรับให้เป็นอัตราส่วน
อย่างต่ำจงึ ไดส้ ตู รสารประกอบเป็น CaO
15. ครอู ธิบายการเรียกชือ่ สารประกอบไอออนกิ ดังตาราง 3.5 โดยเรยี กชือ่ ไอออนบวกแล้ว
ตามด้วยชอ่ื ไอออนลบโดยตัดคำว่า ไอออน ออก
ขัน้ ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้
16.ครูและนักเรยี นอภิปรายร่วมกันเพื่อสรุปความรู้เกี่ยวกับการเกิดพันธะไอออนิก สูตรเคมี
และช่ือของสารประกอบไอออนิก ดงั น้ี
- ไอออนบวกสว่ นใหญเ่ กิดจากธาตโุ ลหะเสียอิเลก็ ตรอน สว่ นไอออนลบส่วนใหญ่เกิดจากธาตุ
อโลหะรับอิเล็กตรอน เมื่อไอออนบวกและไอออนลบยดึ เหนี่ยวกันดว้ ยแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้า เรียกการ
ยดึ เหนยี่ วน้ีวา่ พันธะไอออนิก และเรยี กสารท่เี กดิ จากพันธะไอออนกิ ว่าสารประกอบไอออนกิ
- สารประกอบไอออนิกในสถานะของแข็งอยู่ในรูปผลึกที่มีไอออนบวกและไอออนลบยึด
เหน่ียวกนั ด้วยพนั ธะไอออนิกอยา่ งต่อเนื่องกันไปทัง้ สามมิตเิ ปน็ โครงผลกึ และไม่อยู่ในรูปโมเลกุล
- สูตรเคมีของสารประกอบไอออนิกเปน็ สูตรเอมพิริคัลท่แี สดงอัตราสว่ นอยา่ งต่ำของไอออนที่
ทำใหผ้ ลรวมของประจุเป็นศนู ย์ โดยแสดงสญั ลกั ษณธ์ าตุทีเ่ ปน็ ไอออนบวกไว้ขา้ งหน้าและตามด้วยไอออนลบ
- ชื่อของสารประกอบไอออนิกจะเรียกชื่อไอออนบวกแล้วตามดว้ ยชื่อไอออนลบ ถ้าไอออนบวกเป็น
โลหะท่ีมเี ลขออกซเิ ดชนั ได้หลายคา่ ตอ้ งระบเุ ลขออกซเิ ดชันด้วย
ข้นั ที่ 5 ขน้ั ประเมินผล
17. ครใู หน้ ักเรยี นลงมือทำแบบฝกึ หัดในเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การเกิดพนั ธะไอออ
นิก, สตู รเคมแี ละช่ือของสารประกอบไอออนิก
10. สอ่ื /แหลง่ การเรยี นรู้
10.1 กิจกรรมสารประกอบไอออนกิ เขียนแบบจุดของลิวอสิ
10.2 ส่ือการสอน PowerPoint
10.3 เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การเกดิ พนั ธะไอออนิก,
สตู รเคมแี ละช่ือของสารประกอบไอออนิก
10.4 หนงั สือเรยี นรายวชิ าเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมเี ลม่ 1 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4
(ฉบับปรงั ปรุง พ.ศ.2560)
11. การวัดและประเมนิ ผล
เป้าหมาย วธิ ีวดั เครื่องมอื วัด เกณฑก์ ารประเมนิ
ดา้ นความรู้
เขียนสัญลักษณ์แบบจุดของ ตรวจเอกสารประกอบการ เอกสารประกอบการเรยี น ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 60
ลิวอิสของธาตุและไอออน เรยี น
แ ล ะ ร ะ บ ุ ไ ด ้ ว ่ า ธ า ต ุ ห รื อ
ไอออนนั้นเป็นไปตามกฎ
ออกเตต (K)
เป้าหมาย วิธวี ดั เครือ่ งมอื วัด เกณฑก์ ารประเมิน
อธิบายการเกิดไอออนและ การอภิปรายระหวา่ งเรยี น เอกสารประกอบการเรียน ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 60
การเกิดพันธะไอออนิก โดย และตรวจเอกสาร
ใช้แผนภาพหรือสัญลักษณ์ ประกอบการเรยี น
แบบจุดของลวิ อิส (K)
อ ธ ิ บ า ย โ ค ร ง ส ร ้ าง ของ การอภิปรายระหว่างเรียน เอกสารประกอบการเรยี น ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 60
สารประกอบไอออนิก (K) และตรวจเอกสาร
ประกอบการเรียน
ดา้ นทักษะ/กระบวนการ
เขียนสูตรและเรยี กชือ่ ตรวจเอกสารประกอบการ เอกสารประกอบการเรียน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60
สารประกอบไอออนิก (P) เรียน
ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค์
ใฝเ่ รยี นรู้ 1. ประเมินจากการสังเกต 1. แบบประเมินพฤตกิ รรม ระดบั คณุ ภาพพอใชข้ นึ้ ไป
พฤตกิ รรมในช้ันเรยี น ในชน้ั เรียน (ผ่านเกณฑ์)
มุ่งมัน่ ในการทำงาน 1. ประเมนิ จากการสงั เกต 1. แบบประเมนิ พฤติกรรม ระดับคณุ ภาพพอใชข้ น้ึ ไป
พฤตกิ รรมในชัน้ เรียน ในชนั้ เรยี น (ผา่ นเกณฑ์)
มีวนิ ยั 1. ประเมนิ จากการสังเกต 1. แบบประเมนิ พฤติกรรม ระดบั คณุ ภาพพอใช้ขึ้นไป
พฤติกรรมในชั้นเรยี น ในช้ันเรยี น (ผ่านเกณฑ์)
ด้านสมรรถนะสำคัญของ
ผเู้ รยี น
ความสามารถในการส่อื สาร 1. ประเมนิ จากแบบ 1. แบบประเมนิ สมรรถนะ ระดับคณุ ภาพพอใชข้ น้ึ ไป
ประเมินสมรรถนะ ด้าน สำคญั ของผู้เรียน (ผา่ นเกณฑ์)
ความสามารถในการ
สอ่ื สาร
ความสามารถในการคดิ 1. ประเมนิ จากแบบ 1. แบบประเมนิ สมรรถนะ ระดบั คณุ ภาพพอใช้ขึ้นไป
ประเมนิ สมรรถนะ สำคญั ของผเู้ รียน (ผ่านเกณฑ์)
ความสามารถในการคดิ
ความสามารถในการใช้ 1. ประเมินจากแบบ 1. แบบประเมินสมรรถนะ ระดับคุณภาพพอใชข้ ึ้นไป
ทกั ษะชีวติ ประเมินสมรรถนะ สำคญั ของผู้เรยี น (ผา่ นเกณฑ์)
ความสามารถในการใช้
ทักษะชีวิต
เปา้ หมาย วิธวี ัด เครอื่ งมอื วัด เกณฑ์การประเมนิ
ความสามารถในการ 1. ประเมินจากแบบ
แกป้ ัญหา ประเมนิ สมรรถนะ 1. แบบประเมนิ สมรรถนะ ระดับคณุ ภาพพอใชข้ น้ึ ไป
ความสามารถในการ
ความสามารถในการใช้ แก้ปัญหา สำคัญของผู้เรียน (ผา่ นเกณฑ์)
เทคโนโลยี 1. ประเมนิ จากแบบ
ประเมินสมรรถนะ 1. แบบประเมินสมรรถนะ ระดับคุณภาพพอใช้ขึน้ ไป
ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยี สำคญั ของผูเ้ รยี น (ผ่านเกณฑ์)
บันทกึ หลังสอน
1. ผลการสอน
⬜ สอนได้ตามแผนการจัดการเรยี นรู้
⬜ สอนไมไ่ ดต้ ามแผนการจดั การเรียนรู้ เน่ืองจาก .................................................................
................................................................................................................................................................................
2. ผลการเรียนของนกั เรยี น
⬜ จำนวนนักเรียนที่ผ่านการประเมนิ .......................... คน คิดเปน็ รอ้ ยละ .........................
⬜ จำนวนนกั เรยี นท่ไี มผ่ ่านการประเมิน ....................... คน คดิ เป็นร้อยละ ........................
⬜ อ่ืนๆ .................................................................................................................................
3. ปัญหาและอปุ สรรค
⬜ กิจกรรมการจดั การเรียนรู้ ไม่เหมาะสมกบั เวลา
⬜ มีนักเรียนทำใบงาน/ใบกจิ กรรมไม่ทนั ตามกำหนดเวลา
⬜ มนี ักเรียนท่ีไม่สนใจเรยี น
⬜ อื่นๆ ...................................................................................................................................
4. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
⬜ ควรนำแผนไปปรบั ปรุง เรื่อง ............................................................................................
...............................................................................................................................................................................
⬜ แนวทางแก้ไขนกั เรยี นท่ีไมผ่ ่านการประเมิน .....................................................................
................................................................................................................................................................................
⬜ ไมม่ ีข้อเสนอแนะ
ลงช่อื ...................................................... ผูบ้ ันทึก
(นางสาวณฐั ธิดา ดวงสมร)
ครผู สู้ อน
บันทึกหลังการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับนี้ ได้รับการพิจารณาจากแผนกวิชาและฝ่าย
วชิ าการแล้ว
ลงช่ือ ......................................................
(นางสาวอักษรวดี มณพี รหม)
กลุ่มงานบริหารวชิ าการ
ลงชอื่ ....................................................
(นายพรศกั ด์ิ ทวีรส)
ผ้อู ำนวยการโรงเรยี นตะกัว่ ทงุ่ งานทววี ิทยาคม
แบบประเมนิ การอภปิ ราย
วชิ า ......................................... แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ .............................................................................
ภาคเรียนท.่ี ...............................ปีการศึกษา.....................................ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่................................
ครผู สู้ อน……….......………..…………………………………..........................วันท่ีประเมนิ ………........……………………
คำชี้แจง : ให้ครูประเมินโดยการสังเกตการร่วมกันอภิปรายในระหว่างเรียน โดยให้ระดับคะแนน 3, 2, 1
ลงในตารางทต่ี รงกับพฤติกรรมของผ้เู รียน
รายการประเมนิ
เลข ชื่อ-นามสกุล การร่วมแสดง รวม
ท่ี ความ ิคดเห็น คะแนน
ยอมรับฟังความ (15)
ิคดเ ็หนของ ู้ผ ื่อน
ีตความหมายของ
้ขอมูล
การสรุป ้ขอมูล
ีมความเ ่ืชอ ัม่นใน
การแสดงออก
ลงชอื่ .....................................................ผ้ปู ระเมิน
()
เกณฑ์การประเมิน
พฤติกรรมที่ปฏิบัตสิ มบูรณ์ชดั เจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
พฤติกรรมทปี่ ฏิบตั สิ มบรู ณช์ ดั เจนและบ่อยคร้งั ให้ 1 คะแนน
พฤตกิ รรมที่ปฏิบตั สิ มบูรณช์ ดั เจนบางครัง้
เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11 - 15 ดี
6 - 10 พอใช้
ตำ่ กว่า 5 ปรับปรุง
9 คะแนนขึ้นไป ผา่ นเกณฑ์
แบบประเมินพฤตกิ รรมในชัน้ เรยี น
วิชา ......................................... แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ .............................................................................
ภาคเรยี นท.่ี ...............................ปีการศึกษา.....................................ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี................................
ครผู ้สู อน……….......………..…………………………………..........................วนั ทป่ี ระเมนิ ………........……………………
คำชี้แจง : ใหค้ รูบันทกึ โดยใชเ้ ครื่องหมาย ✓ = แสดงพฤติกรรมทพ่ี ึงประสงค์ตามคาดหวัง = ไมแ่ สดง
พฤติกรรมที่พึงประสงคต์ ามคาดหวัง
มุ่งม่ันใน
เลขท่ี ชื่อ-สกุล ใฝ่เรียนรู้ การ มวี นิ ยั รวมคะแนน (9)
ทำงาน
123123123
ลงชอื่ .....................................................ผ้ปู ระเมนิ
()
เกณฑก์ ารประเมนิ
พฤติกรรมสมบรู ณช์ ัดเจน ให้ 3 คะแนน
พฤตกิ รรมมีข้อบกพร่องบางสว่ น ให้ 2 คะแนน
พฤติกรรมมขี ้อบกพรอ่ งมาก ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
7 - 9 ดี
4 - 6 พอใช้
ต่ำกวา่ 4 ปรับปรงุ
4 คะแนนขนึ้ ไป ผา่ นเกณฑ์
แบบการประเมินสมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน
วิชา ......................................... แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ .............................................................................
ภาคเรียนท่.ี ...............................ปีการศึกษา.....................................ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี................................
ครผู ูส้ อน……….......………..…………………………………..........................วันทป่ี ระเมนิ ………........……………………
คำชี้แจง : ให้ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน และเขียนคะแนน 3, 2, 1 ลงในช่องสมรรถนะสำคัญของ
ผเู้ รยี น
สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
เลขท่ี ชือ่ -นามสกลุ ความสามารถใน รวมคะแนน
การ ่ืสอสาร (15)
ความสามารถใน
การ ิคด
ความสามารถใน
การใ ้ช ัทกษะ ีชวิต
ความสามารถใน
การแก้ ัปญหา
ความสามารถใน
การใ ้ชเทคโนโล ีย
ลงช่อื .....................................................ผู้ประเมนิ
()
เกณฑก์ ารประเมิน ระดบั คะแนน
สมรรถนะสำคญั ของ
ผเู้ รยี น 32 1
มีการรบั -สง่ สาร แต่ใช้ภาษา
ความสามารถในการ มีการรบั -สง่ สาร การ มกี ารรบั -สง่ สาร การ ในการถา่ ยทอดความรู้
สื่อสาร ความคิด และเลือกวธิ ีการ
ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ส่อื สารที่ไม่เหมาะสม
ความสามารถในการคดิ
โดยใช้ภาษาอยา่ งเหมาะสม โดยใชภ้ าษาอย่างเหมาะสม สามารถคิดวิเคราะห์
ความสามารถในการใช้ สงั เคราะห์ คิดอย่างมี
ทักษะชวี ิต และเลอื กวิธีการสอื่ สารท่ี แตเ่ ลือกวธิ กี ารสอ่ื สารยงั ไม่ วจิ ารณญาณ แต่ไมม่ ีการคดิ
นอกกรอบอย่างสร้างสรรค์
ความสามารถในการ เหมาะสม เหมาะสม และขาดความสามารถใน
แก้ปญั หา การสร้างองค์ความรู้
สามารถคิดวิเคราะห์ สามารถคิดวิเคราะห์ เรียนรดู้ ว้ ยตนเองไดด้ ี
ความสามารถในการใช้ สามารถทำงานกลุ่มรว่ มกบั
เทคโนโลยี สังเคราะห์ มกี ารคดิ นอก สังเคราะห์ มกี ารคดิ นอก ผู้อืน่ ได้ แตจ่ ดั การปัญหา
ความขดั แย้งไมไ่ ด้
กรอบอยา่ งสรา้ งสรรค์ คิด กรอบอยา่ งสรา้ งสรรค์ คดิ สามารถแกป้ ัญหาและ
อปุ สรรคต่างๆ ได้ แต่ขาด
อย่างมีวจิ ารณญาณ อยา่ งมีวิจารณญาณ การแสวงหาความรู้มาใช้ใน
การแกไ้ ขปัญหา และไม่
และมีความสามารถสรา้ ง แตย่ งั ไม่สามารถสรา้ งองค์ สามารถตัดสินใจได้
เหมาะสม
องค์ความรู้ ความรู้ได้ เลือกและใช้เทคโนโลยีได้
เหมาะสม แตม่ ีทกั ษะ
เรยี นรดู้ ้วยตนเองได้ดี เรยี นรดู้ ว้ ยตนเองได้ดี กระบวนการทางเทคโนโลยี
นอ้ ย และขาดคุณธรรม
สามารถทำงานกลมุ่ ร่วมกบั สามารถทำงานกล่มุ ร่วมกบั จรยิ ธรรมในการใช้
เทคโนโลยี
ผ้อู น่ื ได้ และจดั การปัญหา ผอู้ ่ืนได้ แต่จดั การปัญหา
ความขดั แยง้ ได้เหมาะสม ความขดั แยง้ ได้ไมเ่ หมาะสม
สามารถแกป้ ญั หาและ สามารถแกป้ ญั หาและ
อปุ สรรคตา่ งๆ ได้ มีการ อุปสรรคตา่ งๆ ได้ มกี าร
แสวงหาความรู้มาใช้ในการ แสวงหาความรู้มาใชใ้ นการ
แกไ้ ขปัญหา และสามารถ แกไ้ ขปัญหา แต่ขาดการ
ตัดสินใจได้เหมาะสม ตัดสินใจที่เหมาะสม
เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยีได้ เลอื กและใช้เทคโนโลยีได้
เหมาะสม มีทกั ษะ เหมาะสม มีทักษะ
กระบวนการทางเทคโนโลยี กระบวนการทางเทคโนโลยี
และมีคุณธรรม จริยธรรม แตข่ าดคุณธรรม จรยิ ธรรม
ในการใช้เทคโนโลยี ในการใช้เทคโนโลยี
เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ ระดับคุณภาพ
ช่วงคะแนน ดี
10 - 15 พอใช้
4-9 ปรบั ปรุง
ตำ่ กว่า 4 ผ่านเกณฑ์
4 คะแนนข้นึ ไป