The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เพื่อเป็นเเนวทางการใช้ชีวิตประจำวัน
(cekhamdee thobaka)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by hamdee25, 2024-02-22 23:54:57

รวมผลไม้ ผัก บางสวนที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน

เพื่อเป็นเเนวทางการใช้ชีวิตประจำวัน
(cekhamdee thobaka)

สุดยอด 33 โรครักษาด้วย ฮับบะตุชเซาดาฮฺ ฮับะตุซเซาดาอ.เป็นชื่อสมุนไพร ชนิดหนึ่ง ชาวอียิปต์เรียกว่า “ฮับบะตุลบะรอกะฮฺ” หรือ “อัลกัม มูนอัลอัสวัด” ( ยี่หร่าด า ) ชาวยะมัน เรียกว่า “เกาะฮฺเฏาะฮฺ” ชาวอิหร่านเรียกว่า “ชุวัยนิช” และในเมืองไทยเป็นที่รู้จักกันดี เรียกว่า 33 โรคด้วยการรักษาผ่านสมุนไพร ฮับบะตุชเซาดาฮฺ ฮับะตุซเซาดาอ.เป็นชื่อสมุนไพร ชนิดหนึ่ง ชาวอียิปต์เรียกว่า “ฮับบะตุลบะรอกะฮฺ” หรือ “อัลกัม มูนอัลอัสวัด” ( ยี่หร่าด า ) ชาวยะมัน เรียกว่า “เกาะฮฺเฏาะฮฺ” ชาวอิหร่านเรียกว่า “ชุวัยนิช”และใน เมืองไทยเป็นที่รู้จักกันดี เรียกว่า “เทียนด า” ลักษณะของมันนั้น เมล็ดสีด าคล้ายกับงา รสชาติร้อน และขมเล็กน้อย ดร.อิบรอฮีม อับดุลฟัตตาฮ. กล่าวว่า “ถ้าท่านต้องการรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอยู่เสมอนั้น ต้องรับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น โดยการน าเอาฮับบะตุซเซาดาอ.บดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ น้ าผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 3 กลีบ น้ าอุ่น ½ แก้ว โดยน าเอาส่วนผสมทั้งหมดมาบดรวมกันแล้ว รับประทาน ท่านจะมีสุขภาพแข็งแรงด้วยการช่วยเหลือจากอัลเลาะฮฺ” การแพทย์สมัยก่อนนั้น น าฮับบะตุซเซาดาฮ.มาเป็นส่วนประกอบในการบ าบัดรักษาโรคทุกชนิด โดยอาศัยหะดีษ ซึ่งรายงานจาก อะบีฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮฮุอันฮุ ว่าแท้จริง ท่านรอซูล


ศ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “จ าเป็นส าหรับท่านทั้งหลาย คือ ฮับบะตุซเซาดาฮฺ เพราะ แท้จริงมันเป็นยาบ าบัดทุกโรค เว้นแต่ความตาย” ประโยชน์ของฮับบะตุซเซาดาอ.นั้นมีมากมาย รับประทานทุกวันท าให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถ บ าบัดรักษาโรคได้ทุกโรค อัลลอฮ.ตรัสว่า “มันจะท าลายทุกสิ่งตามบัญชาของพระเจ้าของเจ้า” ฮับะตุซเซาดา อ. บ าบัดรักษาโรคต่างๆ ดังนี้ 1. โรคโรมาติซัม (ปวดตามข้อ) ส่วนผสม น าน้ ามันฮับบะตุซเซาดะอ. มาทาบริเวณที่เจ็บปวดพร้อมกับน าฮับะตุซเซาดาอ.บดละเอียด ผสม กับน้ าผึ้งตามต้องการ แล้วรับประทานก่อนนอน 2. โรคเบาหวาน ส่วนผสม น าฮับะตุซเซาดาอ.มาบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ผักแว่นบดเป็นน้ า ½ แก้ว ทับทิมบดเป็นน้ า 1 แก้ว รากกระหล่ าปลีบดเป็นน้ า 1 แก้ว แล้วน ามาผสมกับนมเปรี้ยว แล้วรับประทาน 3. โรคผมร่วง ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดะอ. 1 ช้อนโต๊ะ น้ าส้มสายชู 1 ช้อนชา น้ าหัวหอม 1 แก้วเล็ก น้ ามันมะกอก 1 แก้ว เล็ก น ามาผสมรวมกันและชโลมบนศรีษะตอนเช้าทิ้งไว้ตอนเย็นแล้วล้างออกด้วยน้ าอุ่น 4. โรคปวดศรีษะ ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ. บดละเอียด กานพลู บดละเอียดผสมเท่าๆกัน แล้วน ามาผสมกับนมเปรี้ยว แล้ว รับประทาน เมื่อมีอาการปวดศรีษะแทนยาพาราเซตามอลได้ ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ. 5. อาการนอนไม่หลับ


ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ. 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับนมสด และน้ าผึ้ง 1 แก้ว ดื่มก่อนนอนพร้อมซิกรุลลอ ฮฺ อ่าน ดุอาอ.ก่อนนอนและอ่านอายะฮ.กุรซีย์ 6. โรคกลาก ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺบดแล้วน ามาทาบริเวณที่เป็นกลากวันละ 3 ครั้ง จนกว่าจะหายขาด 7. บาดแผลและขี้เรื้อน ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ บดละเอียด น้ าส้มสายชู 1 แก้วเล็ก น้ ากระเทียม 1 ช้อนชา น ามาผสม รวมกัน ทาบริเวณบาดแผล 8. โรคของสตรีและการคลอดบุตร ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ น้ าผึ้ง ดอกบาบูนิญ ( ดอกคาร์โมมาย ) ผสมกันท าให้คลอดบุตรง่าย 9. ปวดฟันและต่อมทอมซิลอักเสบ ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ บดผสมกับน้ าอุ่น น ามากลั้วในปากแล้วบ้วนทิ้งในขณะอักเสบ 10. สิว ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺบดละเอียด น้ ามันงา 1 ช้อนโต๊ะ ข้าวสาลีบดละเอียดแล้วน ามาทาทั่ว ใบหน้า ก่อนนอนในตอนเช้าล้างออกด้วยน้ าสบู่และน้ าอุ่น ท าติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ 11. โรคผิวหนัง ส่วนผสม น้ ามันฮับบะตุซเซาดาฮฺ น้ ามันดอกกุหลาบ ข้าวสาลีบดตามส่วนเท่ากัน แล้วทาบริเวณที่เป็น โรค ผิวหนังทุกวันจนกว่าจะหายขาด 12. หูดและไฝ ส่วนผสม น าฮับบะตุซเซาดาอฺบดละเอียดผสมกับน้ าส้มสายชู น ามาทาบริเวณที่เป็นหูด ไฝ กระ เช้าเย็น


ประมาณ 1 สัปดาห์หรือ ผักกาดหอม 1 ก ามือบดรวมกับฮับบะตุซเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วทาบริเวณ ที่เป็น กระ หูด ไฝ จะหายขาด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ 13. ท าให้ใบหน้าเต่งตึง และสวยงามขึ้น ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺบดละเอียด ผสมกับน้ ามันมะกอกน ามาทาบริเวณใบหน้าโดยไม่ถูกแดดทุก วัน ตามที่ต้องการ 14. ความดันโลหิตสูง ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ น้ าผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 3 กลีบ ผสมรวมกันรับประทาน ทุกวัน เช้า-เย็น 15. โรคไขมันในเลือด ( โคเลสเตอรอล ) ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 3 กลีบ ผักชนิดใดก็ได้ 1 ก ามือ น้ าผึ้ง 1 แก้วเล็ก น ามาบด รวมกันและรับประทาน เช้า-เย็น 16. โรคไตอักเสบ (ไตเสื่อม ) ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ ามันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ รับประทานทุกวันประมาณ 1 สัปดาห์ จะหายอักเสบด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ 17. สลายเม็ดนิ่ว ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ 1 แก้วเล็ก น้ าผึ้ง 1 แก้วเล็ก กระเทียม 3 กลีบ น ามาบดรวมกัน แล้ว รับประทาน ทุกวัน หลังจากนั้นดื่มน้ ามะนาวตาม สามารถล้างไตให้สะอาดได้


18. ต่อมลูกหมากโต ส่วนผสม น้ ามันของฮับบะตุซเซาดาอฺ ทาบริเวณกระเพาะ ปัสสาวะและลูกอัณฑะ พร้อมบดฮับบะตุซ เซา-ดาอฺ กับน้ าผึ้ง รับประทานทุกวันก่อนนอน 19. ตับอักเสบ ไวรัสบี ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ ว่านหางจระเข้ ส่วนที่เป็นวุ้น 1 อัน ผสมรวมกับน้ าผึ้ง 2 ช้อน โต๊ะ รับประทานทุกวันประมาณ 2 เดือนติดต่อกัน ท่านจะเห็นผลอย่างแน่นอนด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ 20. โรคท้องมาร ส่วนผสม น้ ามันฮับบะตุซเซาดาอฺ น้ าส้มสายชู ผสมรวมกันแล้วทาบริเวณท้อง พร้อมกับรับประทาน ฮับบะ-ตุซเวาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ าผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ รับประทานเช้า-เย็น ประมาณ 1 สัปดาห์ 21. นิ่วในถุงน้ าดี ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ ผักเบี้ยบดละเอียด ¼ ช้อนโต๊ะ น้ าผึ้ง 1 แก้ว ผสมรวมกัน รับประทานเช้า-เย็น รับประทานติดต่อกันทุกวัน จนกระทั่งอาการของท่านดีขึ้น 22. โรคม้าม ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ น้ ามันมะกอกผสมรวมกันแล้วทาบริเวณใต้ซี่โครงด้านซ้าย พร้อมกับน า ฮับบะตุซเซาดาอฺ และน้ าผึ้งมารับประทานด้วย และท่านจะพบว่าหลังจากนั้น 2 สัปดาห์ติดต่อกันม้าม ของท่าน จะดีขึ้นและความกระปรี้กระเปร่าจะกลับมาสู่สภาพเดิมพร้อมกับท่านต้องสรรเสริญอัลลอฮฺ 23. ปวดศรีษะและระบบหมุนเวียนของเลือด ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ น้ าผึ้ง ผสมรวมกัน รับประท่นได้ตลอดเวลาที่ท่านต้องการ 24. โรคล าไส้ปวดท้องจุกเสียด ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ เครื่องเทศ เช่น อบเชย,สะระแหน่,น้ าผึ้ง ผสมจ านวนเท่าๆกัน น ามา รับประทานพร้อมกับน้ ามันฮับบะตุซเซาดาอฺ และทาบริเวณท้อง ประมาณไม่กี่นาทีท่านก็จะเห็นผล และหายปวดด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ 25. โรคเกี่ยวกับตา


ส่วนผสม น้ ามันฮับบะตุซเซาดาอฺ หยดที่ตาทั้ง 2 ข้าง ก่อนนอน พร้อมกับน าน้ าแครอท ผสม น้ ามันฮับบะตุซเซาดาอฺ แล้วดื่มจนว่าจะหาย 26. เป็นหมัน ส่วนผสม มีส่วนประกอบ 3 อย่าง คือ ฮับบะตุซเซาดาอฺบด นมสด หัวไชเท้า ส่วนผสมเม่า ๆ กัน น ามาบดรวมกัน แล้วรับประทาน 1 ช้อนโต๊ะ เช้า – เย็น พร้อมมอบหมายต่ออัลลอฮฺ ถ้าหากอัลลอฮฺ ประสงค์ ท่านจะได้รับตามต้องการ 27. โรคอะมีบา ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ น้ ามะเขือเทศใส่เกลือเล็กน้อย 1 แก้ว น ามาผสมรวมกัน รับประทานทุกวัน ประมาณ 2 สัปดาห์ติดต่อกัน ท่านจะพบว่าหาบป่วยและสุขภาพ ดีขึ้นด้วยการอนุมัติจากอัลลอฮฺ 28. โรคมะเร็ง ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ น้ าแครอท 1 แก้วเล็ก กระเทียม 3 กลีบ น้ าผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกัน น ามารับประทานวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน พร้อมกับขอดุอาอฺ และอ่านอัลกุ รอานท่านจะพบความมหัศจรรย์ด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮฺ 29. โรคหอบหืด ส่วนผสม น าน้ ามันฮับบะตุซเซาดาอฺ แล้วสูดดมพร้อมกับน าน้ ามันฮับบะตุซเซาดาอฺ ทาบริเวณหน้าอก ก่อนนอนทุกวัน 30. เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 7 ฟอง กระเทียม 3 กลีบ ผสมรวมกัน น าไปทอดหรือ รับประทานสด วันเว้นวัน ประมาณ 1 เดือน แล้วท่านจะพบว่าก าลังงพละก าลังจะกลับมา ด้วยการ อนุมัติ ของอัลลลอฮฺและจ าเป็นแก่ผู้ป่วย คือ 1. เมื่อเข้าห้องน้ าปลดทุกข์แล้ว ก็อาบน้ าละหมาด 2. ขอดุอาอฺ ขณะร่วมหลับนอน 31. ท าให้สติปัญญาและความจ าดีขึ้น


ส่วนผสม ใบสะระแหน่ 1 ก ามือ น้ าผึ้ง น้ ามันฮับบะตุซเซาดาอฺ 7 หยด ผสมน้ าอุ่น ให้รับประทานกับ ชา หรือกาแฟ หรือนมสดจะท าให้ท่านเพิ่มความจ า สมองโล่ง ท่านจะพบว่า ถ้าหากท่านอ่านอัลกุ รอานจะจ าดีขึ้น 32. โรคเหน็บชา ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอฺ บดละเอียด น้ าส้มคั้น 1 แก้ว ดื่มทุกวัน ประมาณ 10 วัน ท่านจะเห็นผล ว่า ความ กระปรี้กระเปร่ากลับคืนมาอย่างรวดเร็ว 33. โรคเอดส์ เป็นโรคที่อัลลอฮฺให้การลงโทษแก่ผู้ที่ปฏิบัติผิดประเวณี นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถผลิตวัคซีน ป้องกันโรคเอดส์ได้ และจ าเป็นแก่มุสลิมทุกคนต้องย าเกรงต่ออัลลอฮฺ และออกห่างสิ่งที่อัลลอฮฺห้าม ซึ่งมันจะน าไปสู่ความหายนะ ดร.อะฮฺหมัด อัลกอฎี กล่าวว่า ท่านน าเอาฮับบะตุซเซาดาอฺมาสกัดรักษา โรคและได้ผล มาแล้วด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ คุณค่าที่ได้รับจากฮับบะตุซเซาดาอฺ ฮับะตุซเซาดาอฺนั้น ถูกผสมประสานในการรักษาโรคเป็นอย่างดีและโรคจะทุเลาอย่างน่าแปลกใจ ดังนั้น มันจึงมีประโยชน์และมีแร่ธาตุที่ร่างกายของมนุษย์ต้องการ เช่น ฟอสเฟต,ธาตุเหล็ก, ฟอสฟอรัส, คาร์โบไฮเดรต,ไขมันและสารเบต้าแคโรทีน ท าปฏิกิริยาต่อต้านมะเร็ง ฮับบะตุซเซาดะอ์” เป็นชื่อสมุนไพรชนิดหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันดีเรียกว่า “เทียนด า” ลักษณะของมัน นั้นเมล็ดสีด าคล้ายกับงา รสชาติร้อนและขมเล็กน้อย ฮับบะตุซเซาดะอ์ เป็นอาหารสุขภาพและ สมุนไพรที่ใช้ประโยชน์จากตัวมันได้อย่างมากมาย การแพทย์สมัยก่อนนั้น น าฮับบะตุซเซาดะอ์มา เป็นส่วน ประกอบในการบ าบัดโรคทุกชนิดโดยอาศัยหะดีษ รายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุว่า แท้จริงท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ((แท้จริงในเมล็ดฮับบะตุซเซาดะอ์นั้นมียารักษาส าหรับ ทุกโรคยกเว้นความตาย)) บันทึกโดยอัลบุ คอรีย์ 5687 และมุสลิม 5896


ฮับบะตุซเซาดะอ์นั้น ถูกผสมประสานในการรักษาโรคเป็นอย่างดีและโรคจะทุเลาอย่างน่าแปลกใจ ดังนั้น มันจึงมีประโยชน์และมีแร่ธาตุที่ร่างกายของมนุษย์ต้องการ เช่น ฟอสเฟต, ธาตุเหล็ก, ฟอสฟอรัส,คาร์โบไฮเดรต, ไขมัน และมีสารเบต้าแคโรทีน ท าปฏิกิริยาต่อต้านมะเร็ง ในวงการแพทย์ มุสลิมพบว่า ฮับบะตุซเซาดะอ์ นั้นเป็นยาที่มีประโยชน์มาก และสิ่งที่พวกเขามั่นใจก็คือ สิ่งที่ท่านเราะ สูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้บอกไว้ถึงสรรพคุณของมัน -อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงรู้ดียิ่ง ((จ าเป็นส าหรับท่านทั้งหลาย คือฮับบะตุซเซาดะอ์ เพราะแท้จริงมันเป็นยาบ าบัดทุกโรค เว้นแต่ความ ตาย)) บันทึกโดยอัตติรมิซีย์ 2041 (ชัยคฺอัลอัลบานีย์ กล่าวว่าเป็นหะดีษเศาะหีหฺ) น้ ามันฮับบะตุซเซาดะอ์สกัดบริสุทธิ์ 100 % สรรพคุณ : มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคชราภาพ ใช้ทาแผลสดและ สามารถบ าบัด รักษาได้ทุกโรค ฮับบะตุซเซาดะอ์ ในน้ าผึ้ง สรรพคุณ : มีประสิทธิภาพในการเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อต่อสู้กับโรคภัยไข้ เจ็บต่างๆ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บ ารุงโลหิต โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน ใช้บ ารุงครรภ์และ สภาพร่างกายภายหลังคลอด ด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ สาระแหน่ผสมฮับบะตุซเซาดะอ์และน้ าผึ้ง สรรพคุณ : มีประสิทธิภาพในการท าให้สติปัญญาดีและความจ าดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ นักเรียน นักศึกษา ทั้งยังช่วยขจัดลมร้อน ใช้เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการ หวัดลมร้อน รักษาอาการปวดศีรษะ กระเทียมผสมฮับบะตุซเซาดะอ์และน้ าผึ้ง สรรพคุณ : มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง และลดไขมันอุดตันในเส้นเลือด เซาดะอ์ออยล์ (ฮับบะตุซเซาดะอ์ในน้ ามันมะกอกบริสุทธิ์) สรรพคุณ : มีประสิทธิภาพในการบ ารุงไตลดการอักเสบของไต ลดอาการไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วย ในการย่อยอาหารและระบายท้อง บรรเทาอาการอักเสบของกระเพาะอาหาร ลดการสูญเสียแคลเซียม ในกระดูก บรรเทาอาการข้ออักเสบ ลดอาการบวมตามไขข้อ ลดการก่อตัวของมะเร็ง ด้วยการอนุมัติจากอัลลอฮฺ ฮับบะตุซเซาดาอฺ จึงรักษาได้ทุกโรคยกเว้นโรคของความตาย รู้ประโยชน์ อย่างนี้แล้วอย่าลืมหามารับประทานและดูแลสุขภาพพลานามัยให้สมบูรณ์กันนะคะ เพื่อการท าอาม้าล อิบาดะฮฺได้เต็มที่ตลอดเดือนรอมฎอนนี้และต่อๆไปในการด ารงชีวิต อัลฮัมดุลิลลาฮฺ


มะกอก ผลไม้ที่ถูกกล่าวในคัมภีร์อัลกุรอาน


มะกอก อัซซัยตูน ผลไม้ที่ถูกกล่าวในคัมภีร์อัลกุรอาน มะกอก มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ อาทิ กอกกุก กูก กอกเขา กอกหมอง ไพแช มะกอกบ้าน กราไพ้ย ไพ้ย เป็นต้น มะกอก โดยทั่วไปแล้วมะกอกจะมีอยู่ได้กัน 3-4 ชนิด ได้แก่ มะกอกป่า มะกอกฝรั่ง มะกอกน้้า และมะกอกโอลีฟ ในบทความนี้เราจะพูดถึงมะกอกไทยหรือมะกอกป่าเท่านั้น โดยมะกอกป่า (มะกอกไทย) เป็นมะกอกชนิดที่เราจะนิยมน้ามาใส่ในส้มต้ม ส่วนมะกอก ฝรั่ง (มะกอกหวาน) เป็นมะกอกที่นิยมน้ามารับประทานสดเป็นผลไม้หรือน้ามาท้าเป็น น้้าผลไม้ ส่วนมะกอกน้้า (สารภีน้้า, สมอพิพ่าย) เป็นมะกอกที่เอามาใช้ในการดองและ แช่อิ่ม และมะกอกโอลีฟ เป็นมะกอกที่น้ามาท้าเป็นน้้ามันมะกอกนั่นเอง ْون) มะกอก ُيت ْز ( َชื่อไม้ต้นขนาดใหญ่ Spondias pinnata Kurz ในวงศ์ Anacardiaceae ใบอ่อนมีรสเปรี้ยว ใช้เป็นผักดิบ ผลขนาดลูกหมากดิบ เมื่อสุกมีรส เปรี้ยวเจือฝาดใช้ปรุงอาหาร รากและเมล็ดใช้ท้ายาได้, มะกอกบ้าน หรือมะกอกป่า ก็ เรียก มะกอกฝรั่ง ชื่อไม้ต้นขนาดใหญ่ชนิด Spondias cytherea Sonn ในวงศ์


Anacardiaceae ผลใหญ่ เนื้อหนากรอบ กินดิบๆ ได้ มะกอกน้้า ชื่อไม้ต้นขนาดใหญ่ชนิด Elaeocarpus hygrophilus Kurz ในวงศ์ Elaeocarpaceae มักขึ้นริมน้้า ผลเล็กรี รสเปรี้ยวฝาด ใช้ดองเป็นอาหาร ชาวอาหรับเรียกมะกอกรวมๆ ว่า “ซัยตูน” (ونْ ُيت ْز ( َซึ่งมาจากค้าว่า ซัยตฺ (ت ي ْز ( َค้า ว่า “ซัยตฺ” ยังหมายถึง น้้ามันที่สกัดจากมะกอกหรือน้้ามันพืชโดยทั่วไป เช่น ซัยตฺซัยตูน (น้้ามันมะกอก), ซัยตฺซุรเราะฮฺ (น้้ามันข้าวโพด) และซัยตฺอันนัคละฮฺ (น้้ามันปาล์ม) เป็น ต้น ค้าว่า “ซัยตฺ” ถูกระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน 1 แห่งในบทอันนู๊ร อายะฮฺที่ 35 มีใจความ ว่า: อัลลอฮฺทรงเป็นดวงประทีปแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน อุปมาดวงประทีปของ พระองค์เสมือนดังช่องตามผนังที่มีตะเกียงอยู่ภายใน ตะเกียงนั้นอยู่ในโคมแก้ว อันโคม แก้วนั้นประหนึ่งดังดวงดาวที่ประกายแสงมลังมเลือง โดยมันถูกจุดขึ้นจาก (น้้ามัน) ของ ต้นไม้ที่มีความจ้าเริญ คือ ต้นมะกอก มันมิได้อยู่ทางตะวันออก และมิได้อยู่ทางตะวันตก น้้ามันของมันแทบจะประกายแสงออกมา แม้นว่าไฟมิได้สัมผัสมันก็ตาม..” ที่ว่า ต้น มะกอกไม่ได้อยู่ทางตะวันออก และมิได้อยู่ทางตะวันตกนั้น เพราะมันเป็นไม้ยืนต้นที่ ขึ้นอยู่ในเขตทะเลทรายของดินแดนกึ่งกลางของโลกตามแผนที่ ความร้อนและแสงแดด ได้แผดเผาผลมะกอกจนสุกงอม และน้้ามันที่สกัดจากผลมะกอกนั้นก็ใสสะอาด ความใส


สะอาดของน้้ามันมะกอกเกือบจะประกายแสงออกมาในตัวมันเอง แม้ว่าจะไม่ได้เอาไฟ ไปจุดให้มันลุกโพลง ความของอายะฮฺนี้เป็นการอุปมาอุปมัยความบริสุทธิ์แห่งหลักค้า สอนของอิสลามที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ทรงประทานให้กับเหล่ามวลบ่าว นอกเหนือจากความมหัศจรรย์ของต้นมะกอกและน้้ามันของมัน ส่วนค้าว่า “อัซซัยตูน” นั้นถูกระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน 6 แห่งด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเป็น เรื่องราวของสวนผลไม้ที่มีผลไม้หลากชนิด และกล่าวถึงผลไม้ในสวนสวรรค์ พระองค์ อัลลอฮฺ (ซ.บ) ทรงสาบานด้วยมะเดื่อและมะกอกในบทอัตตีน อายะฮฺที่ 1 ซึ่งนักวิชาการ อธิบายว่าการสาบานด้วยมะเดื่อและมะกอกเป็นนัยระบุถึง ภูเขามะกอกเทศ ในดินแดน ปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นนิวาสถานของท่านศาสดาอีซา (อะลัยฮิซซลาม) ทั้งนี้นับแต่สมัยโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ดินแดนปาเลสไตน์มีการเพาะปลูกมะกอก และมะเดื่อ มีหลักฐานยืนยันว่า ชาวยะบู๊ส ซึ่งเป็นชาวคะนาอัน (กันอาน) เป็นกลุ่มชน รุ่นแรกๆ ที่ท้าการเพาะปลูกมะกอก มะเดื่อ และองุ่น ในดินแดนนี้ และยังรู้จักการสกัด น้้ามันจากผลมะกอกอีกด้วย มีอัลฮะดีษระบุว่า “พวกท่านจงรับประทานมะกอกและทาด้วยน้้ามันมะกอกเพราะ น้้ามันมะกอกนั้นมาจากต้นไม้ที่จ้าเริญ” (จากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร.ฎ) บันทึกโดย อัต ติรมิซีย์และ อิบนุมาญะฮฺ) และอีกบทหนึ่งระบุว่า “พวกท่านจงท้าน้้าแกงด้วยผลมะกอก


(หรือน้้ามันมะกอก) และทาด้วยน้้ามันมะกอก เพราะมันมาจากต้นไม้ที่จ้าเริญ” (จาก ท่านอิบนุ อุมัร (ร.ฎ) บันทึกโดย อัลบัยฮะกีย์ และ อิบนุมาญะฮฺ)ท่านอิบนุ อัลก็อยยิม (ร.ฎ) ระบุว่า มะกอกมีสรรพคุณร้อน น้้าที่ถูกคั้นจากผลมะกอกสุกถือว่ามีประโยชน์มาก ผลสีด้ามีสรรพคุณล้างพิษและเป็นยาระบาย ขับพยาธิ และชะลอความแก่ น้้าผลมะกอก ที่ผสมเกลือจะบรรเทาอาการพุพองของแผลที่เกิดจากไฟไหม้ท้าให้เหงือกแข็งแรง ใบ มะกอกมีสรรพคุณแก้ผื่นผดคัน งูสวัด เริม และห้ามเลือด (ซาดุ้ลมะอ๊าด, อิบนุ อัล ก็อยยิม 3/272) นักการแพทย์สมัยใหม่ได้วิจัยถึงสรรพคุณของมะกอกและน้้ามันมะกอก พบว่า การ บริโภคอาหารของพลเมืองรอบๆ เขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ยุโรปตอนใต้-แอฟริกา เหนือ-เอเชียน้อย) ที่มีส่วนผสมของมะกอกและน้้ามันมะกอกมีอัตราของผู้ป่วยด้วยโรค เส้นเลือดหัวใจตีบมีน้อยกว่าในภูมิภาคอื่นๆ ผลการวิจัยยังพบอีกว่า น้้ามันมะกอก สามารถลดปริมาณคลอเรสเตอรอลในเลือด และมีผลป้องกันโรคมะเร็งในเต้านมส้าหรับ สตรีที่รับประทานน้้ามันมะกอกเป็นประจ้าอีกด้วย ท่านรอซูลุลลอฮฺصلى الله عليه وسلمกล่าวว่า : "พวกท่านจงกินน้้ามันมะกอกและทาศีรษะด้วยกับมันเถิด เพราะมันมาจากต้นไม้ที่มี ความจ้าเริญ"


อัศศ่อฮีฮะฮฺ (379) "...เพราะมันมาจากต้นไม้ที่มีความจ้าเริญ" : เช่นเดียวกัน อัลลอฮฺได้ทรงให้คุณลักษณะมันว่ามีความจ้าเริญ เนื่องด้วยมันมี คุณประโยชน์มากมายมหาศาล หรือเพราะมันได้งอกเงยบนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ และในเมื่อ เเผ่นดินมีความจ้าเริญ สิ่งที่งอกเงยออกมาจากมันก็ย่อมมีความจ้าเริญด้วย" #ประโยชน์ของน้้ามันมะกอก : ผิวแตกลาย การทดลองหนึ่งที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของน้้ามันมะกอกในการลดการเกิดผิวแตกลาย ในผู้หญิงตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 2 ที่ไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน จากผู้ทดลองทั้งสิ้น 360 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลองที่ใช้น้้ามันมะกอก กลุ่มที่ใช้ครีมรักษาชนิดหนึ่ง และกลุ่มควบคุม ที่ไม่ได้ใช้ครีมหรือน้้ามันชนิดใด ๆ ผลลัพธ์คือ ไม่ปรากฏประสิทธิผลทางการรักษาผิว แตกลายที่มีนัยส้าคัญในผู้รับการทดลองทั้ง 3 กลุ่ม อีกการทดลองหนึ่งที่ทดลองใน ผู้หญิงตั้งครรภ์ 100 คนที่ไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน พบว่าน้้ามันมะกอกช่วยลดระดับการ แตกลายของผู้ที่มีผิวแตกลายระดับรุนแรง แต่การลดระดับความรุนแรงในการแตกลาย ของผิวดังกล่าวก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้อย่างเพียงพอ หรือมีนัยส้าคัญที่สนับสนุนแนวคิด ในการป้องกันการเกิดผิวแตกลายได้แต่อย่างใด ส่วนผู้บริโภคที่ต้องการใช้น้้ามันมะกอก หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้้ามันมะกอกบ้ารุงสุขภาพในด้านต่าง ๆ ควรศึกษา ข้อมูลของส่วนประกอบ ปริมาณการใช้งาน และวิธีการในการบริโภคให้ดีก่อนเสมอ หาก มีข้อสงสัย ควรสอบถามและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการน้าไปใช้หรือการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีภาวะอาการป่วย ควรเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนที่แพทย์ ก้าหนด ไม่ควรใช้อาหารหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ รักษาอาการป่วยด้วยตนเองโดยไม่ได้รับ ค้าแนะน้าจากแพทย์


ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว เมื่อวิเคราะห์จากงานทดลองเกี่ยวกับประสิทธิภาพในเชิงป้องกันและลดความเสี่ยงใน การเกิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 6,705 คน ที่ได้ทดลองบริโภคอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่มีน้้ามันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษเป็น ส่วนผสม พบว่าการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของน้้ามันมะกอกบริสุทธิ์ อาจช่วยลด ความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วได้อย่างมีนัยส้าคัญ ความดันโลหิตสูง ในการทดลองหาประสิทธิผลของสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) ในน้้ามันมะกอกต่อการ ลดความดันโลหิตและการท้างานของหลอดเลือดหัวใจในหญิงสาวที่มีภาวะความดัน โลหิตสูงระดับไม่รุนแรง ผลลัพธ์ที่ได้แสดงถึงประสิทธิผลของสารโพลีฟีนอลในน้้ามัน มะกอกที่สามารถลดระดับความดันโลหิตในกลุ่มทดลองลงได้อย่างมีนัยส้าคัญ โดยระดับ ความดันซิสโตลิกที่ลดลง คือ 7.91 มิลลิเมตรปรอทในขณะที่ความดันไดแอสโตลิกลดลง 6.65 มิลลิเมตรปรอท และอาจช่วยปรับปรุงการท้างานของหลอดเลือดหัวใจให้ดีขึ้นได้ ในผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงระดับไม่รุนแรง กลุ่มอาการเมตาบอลิก งานวิจัยหนึ่งที่ศึกษาคุณสมบัติของน้้ามันมะกอกที่มีผลต่อระดับไขมันในเลือดและภาวะ เครียดออกซิเดชันในผู้ป่วย 102 รายที่มีกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome) หรือภาวะอ้วนลงพุง พบกว่าการบริโภคน้้ามันมะกอกพร้อมกับน้้ามันปลา ที่มีโอเมก้า-3 จะช่วยในกระบวนการเมตาบอลิซึมไขมัน ซึ่งเป็นการช่วยลดระดับไขมัน รวมและไขมันชนิดไม่ดี และยังพบว่าอาจช่วยลดปฏิกิริยาการเกิดอนุมูลอิสระในผู้ป่วย กลุ่มอาการเมตาบอลิกได้ ท้องผูก


จากการศึกษาประสิทธิผลระยะสั้นของน้้ามันมะกอกด้านการบ้าบัดรักษาภาวะท้องผูก ในผู้ป่วยที่ก้าลังเข้ารับการฟอกไต 50 ราย เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า การใช้ น้้ามันมะกอกในการรักษามีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการต่าง ๆ ในภาวะท้องผูกดีขึ้น อย่าง ความรู้สึกถ่ายอุจจาระไม่สุด อุจจาระเป็นก้อนแข็ง ขับถ่ายล้าบาก ดังนั้น การใช้น้้ามัน มะกอกเป็นประจ้าทุกวันอาจเป็นประโยชน์ต่อการขับถ่ายในผู้ป่วยที่มีภาวะท้องผูก อย่างไรก็ตาม การทดลองนี้เป็นเพียงผลการทดลองในระยะสั้น จึงควรมีการค้นคว้า ทดลองในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนอันเป็นประโยชน์ต่อการ วางแผนรักษาโรคและอาการที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต การต้านอนุมูลอิสระ จากการวิจัยน้้ามันมะกอกบริสุทธิ์ที่มีสารไลโคปีน (Lycopene) ถึงประสิทธิภาพในการ ต้านอนุมูลอิสระ ในกลุ่มทดลอง 3 ช่วงอายุ คือ วัยหนุ่มสาว (อายุ 25-30 ปี) วัย กลางคน (อายุ 35-55 ปี) และวัยชรา (อายุ 65-85 ปี) พบว่า การบริโภคน้้ามันมะกอก บริสุทธิ์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการต้านอนุมูลอิสระในระบบทางเดินปัสสาวะแก่ผู้ ทดลองวัยกลางคนและวัยชรา ในขณะที่น้้ามันมะกอกบริสุทธิ์ที่มีสารไลโคปีนช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพด้านการต้านอนุมูลอิสระในระบบทางเดินปัสสาวะให้สูงขึ้นได้ทั้งใน 3 กลุ่ม อายุ ซึ่งประสิทธิผลของน้้ามันมะกอกบริสุทธิ์นี้ อาจช่วยป้องกันหรือต้านทานโรคและ การเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับภาวะเครียดออกซิเดชันซึ่งสร้างสารอนุมูลอิสระได้ด้วย ดังนั้น จึงควรมีการศึกษาในด้านดังกล่าว เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ ยิ่งขึ้นต่อไป การติดเชื้อแบคทีเรีย เอช ไพโลไร


จากการวิเคราะห์ตัวอย่างกรณีศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิผลทางการรักษาของน้้ามันมะกอก บริสุทธิ์ต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เอช ไพโลไร (H. Pylori) ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรีย ชนิดนี้เข้ารับการทดลองกว่า 60 ราย หลังการทดลองด้วยการใช้น้้ามันมะกอกในผู้ป่วย เหล่านี้ จึงท้าการตรวจหาแบคทีเรียในกระเพาะอาหารผ่านทางลมหายใจ (Urea Breath Test) ผลปรากฏว่า น้้ามันมะกอกบริสุทธิ์มีประสิทธิภาพระดับปานกลางที่ ระดับ 10 และ 11% ในการก้าจัดเชื้อแบคทีเรีย เอช ไพโลไร ที่ 4-6 สัปดาห์ หลังได้รับ น้้ามันมะกอกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 14 วันแม้จะมีประสิทธิผลที่ปรากฏบางประการ แต่ การค้นคว้าทดลองต่อไปถึงประสิทธิผลของน้้ามันมะกอกก็ยังคงมีความจ้าเป็น เพื่อให้ได้ ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงประสิทธิผลของน้้ามันมะกอก ทั้งในการทดลองระยะยาว และใน การทดลองที่ใช้น้้ามันมะกอกหลากหลายชนิดต่อไป ภาวะไขมันในเลือดสูงและความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ จากการวิเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลของน้้ามันมะกอก 15 กรณีศึกษา ที่มีผู้เข้า รับการทดลองกว่า 1,053 ราย พบว่าน้้ามันมะกอกบริสุทธิ์อาจมีความสัมพันธ์ต่อการลด ระดับไขมันในเลือดรวม (Total Cholesterol) ในผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงได้ ช่วยป้องกัน ภาวะไขมันในเลือดสูง ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ และอาจเป็น ผลดีต่อผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial Infarction) ในขณะที่อีกงานวิจัยหนึ่งได้ท้าการทดลองประสิทธิผลของการบริโภคน้้ามันมะกอกต่อ การท้างานของหลอดเลือดหัวใจในกลุ่มทดลองผู้ชายที่มีภาวะอ้วนและภาวะน้้าหนักเกิน 28 คน พบว่าการบริโภคน้้ามันมะกอกไม่มีผลต่อการท้างานของหลอดเลือดหัวใจในกลุ่ม ทดลองอย่างมีนัยส้าคัญแต่อย่างใดอย่างไรก็ดี กลับไม่พบประสิทธิผลดังกล่าวในน้้ามัน มะกอกที่ไม่ได้ถูกสกัดมาแบบบริสุทธิ์ และการค้นคว้าถึงประสิทธิผลในด้านการลดระดับ ไขมันในเลือดที่อาจเป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคหัวใจชนิดต่าง ๆ ควรด้าเนินต่อไป เพื่อหาข้อ พิสูจน์เป็นหลักฐานที่ถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนจะน้าไปปรับใช้เป็นแนวทางในการรักษา โรคได้ในอนาคต


ลดน้้าหนัก จากการทดลองเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการช่วยลดน้้าหนักตัวระหว่างการบริโภค อาหารไขมันต่้าตามมาตรฐานทั่วไปกับอาหารที่มีน้้ามันมะกอกเป็นส่วนประกอบ ซึ่ง ทดลองในผู้ที่รอดชีวิตหลังป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมที่มีภาวะน้้าหนักเกินจ้านวน 44 ราย หลังการทดลองกว่า 8 สัปดาห์ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผู้ที่บริโภคอาหารที่มีน้้ามันมะกอกเป็น ส่วนประกอบมีน้้าหนักตัวที่ลดลงมากกว่าผู้ที่บริโภคอาหารไขมันต่้าตามมาตรฐานทั่วไป อีกหนึ่งกรณีศึกษา ที่ท้าการทดลองโดยให้ผู้ทดลองเพศชาย 11 คน บริโภคโยเกิร์ตไขมัน ต่้าเปรียบเทียบกับโยเกิร์ตไขมันต่้าที่ผสมสารแต่งกลิ่นน้้ามันมะกอก จากนั้นจึงวิเคราะห์ ผลด้วยภาพฉายจาก MRI Scan ที่แสดงปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนต่าง ๆ พบว่า การบริโภคโยเกิร์ตไขมันต่้าที่ผสมสารแต่งกลิ่นน้้ามันมะกอกอาจกระตุ้นประสาทรับรู้ใน สมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมไขมันในร่างกาย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการ บริโภคไขมันโดยปริยาย


เผยความลบัเหตุท ี่อลัลอฮฺทรงสาบานด ้ วยผลมะเดอ ื่ มะเดื่อ เผยความลบัเหตุที่อลัลอฮฺทรงสาบานด้วยผลมะเดื่อ ผลไม้ที่ถูกกล่าวไว้ในอลักุรอาน สุดยอดมาก... เผยความลับ เหตุที่อัลลอฮฺทรงสาบานด้วยผลมะเดื่อ มะเดื่อ นอกจากจะเป็นผลไมแ้ห่งบารอกตั (ความจ าเริญ) และเป็ นผลไม้จากสวรรค์ที่นบี (ซล.) เคยบอกวา่: “พวกเจ้าจงทานมะเดื่อ! หากจะใหฉ้นัพดูถึงผลไมท้ี่ถูกส่งลงมาจากสวรรค์ฉนัจะพดูถึงมะเดื่อ มนัคือผลไมท้ี่ ช่วยรักษาอาการปวดขอ้" (รายงานโดยอบูดัรดา รฎ.) มะเดื่อยังเป็ นผลไม้ชนิดเดียวที่อัลลอฮฺ (ซบ.) ยกให้เป็ นชื่อ หนึ่งของซูเราะฮฺในคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ซ่ึงก็คือ ซูเราะฮฺ อัต-ตีน ซูเราะฮฺที่ 95


มะเดอ ื่ผลไม ้ ท ี่ถูกกล่าวไว ้ในอลักรุอาน ชื่อไม้ต้นหลายชนิดในสกุล Ficus วงศ์ Moraceae เช่น มะเดื่อปล้อง (F.racemosa Linn.) มะเดื่ออุทุมพร หรือ มะเดื่อชุมพร (F.racemosa Linn.) ใบเกล้ียงผลกินได้มะเดื่อกวาง หรือลิ้นกระบือ(F.callosa Willd.) ใบแข็งหนา ชาวอาหรับเรียก “มะเดื่อ” วา่ “อัตตีน” ( ل َ ن يِّ ْت ا (หรือ “ตีน” (ن يِ ْت (ซ่ึงไม่ไดเ้กี่ยวอะไรกบัคา วา่ “ตีน” ในภาษาไทยแต่อยา่งใด ในคมัภีร์อลักุรอาน มีอยบู่ทหน่ึงเรียกวา่บทอตัตีน เพราะในอายะฮฺแรกจากบทน้ีพระองคอ์ลัลอฮฺ (ซ.บ) ทรงสาบานดว้ยกบัมะเดื่อแสดงวา่ผลไมช้นิด น้ีมีความสา คญัอยมู่ ิใช่นอ้ย นกัอรรถาธิบายอลักุรอานระบุวา่ “อัตตีน” (มะเดื่อ) ก็คือผลไมท้ี่เรารับประทานกนัอยนู่นั่เอง ท่านอิบนุอลัเญาซีย์(ร.ฮ) กล่าววา่: เหตุที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ทรงสาบานดว้ยผลมะเดื่อน้นัเพราะวา่ผลมะเดื่อเป็นผลไมท้ี่บริสุทธ์ิจากสิ่งเจือปนที่ ท าให้ระคายคอหรืออึดอัดจนหายใจไม่ออก(กล่าวคือกินแลว้สบายคอโล่งคอ) และหน่ึงผลของมะเดื่อก็พอดีคา มีเรื่องเพิ่มเติมเกี่ยวกบัคา ว่า “อัตตีน” และ “อัซซัยตูน” ที่ถูกระบุเอาไว้ในบท อตัตีน นกัวิชาการอธิบายว่าอตัตีน เป็นชื่อของมสัยิดที่นคร ดามสักสัและอซัซัยตูน เป็นชื่อมสัยิดที่นครบยัตุล้มกดิส ั (กรุงเยรูซาเล็ม) บา้งก็ว่าอตัตีน คือ มสัยิดที่ท่านศาสดานัวฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) สร้างบท ภูเขาญูดีย์บา้งก็วา่เป็นชื่อของภูเขาในผืนแผน่ดินชาม (ซีเรีย) แต่ท่านอิบนุญะรีร (ร.ฮ) กล่าวว่า : ที่ถูกตอ้งคือ อตัตีน น้ันหมายถึง ผลไมท้ ี่ถูกรับประทาน และอซัซัยตูน ก็คือ ผลไมท้ ี่ถูกสกัดน้า มนัของมนั ออกมา”กล่าวคืออตัตีน ก็คือผลมะเดื่อและซยัตูน ก็คือ มะกอกนนั่เอง ชัยคฺ มุฮัมหมัด มะฮฺมูด อับดุลลอฮฺ มีความเห็นว่า “การสาบานในคัมภีร์อัลกุรอานจะมีรายงานมา 2 ชนิด ลางทีก็เป็นเพราะความประเสริฐ ลางทีก็เป็นเพราะคุณประโยชน์และการสาบานดว้ยมะเดื่อและมะกอกน้นัมีระบุมาเนื่องดว้ยคุณประโยชน์สา หรับมนุษย์ ผลไมท้ ้งัสองเป็นท้งัเครื่องดื่ม, อาหาร, ยารักษาโรคและแกงที่ใช้จิ้ม การกล่าวผลไมท้ ้งัสองคู่กนัเพื่อบ่งถึงสรรพคุณที่สมบูรณ์มะเดื่อคู่กบัมะกอก เป็ นอาหารที่สมบูรณ์แบบโดยมนุษย์สามารถหยบิกินตามที่เขาตอ้งการท้งัอาหาร, ไวตามินและแร่ธาตุ มนุษยร์ู้จกัมะเดื่อมาแต่โบราณ และปลูกมะเดื่อมามากกวา่ 4,000 ปี มาแล้ว มะเดื่อถูกระบุไว้ในคัมภีร์เตารอตและคัมภีร์อินญีล เป็ นไม้ยืนต้นที่ แพร่หลายในเขต เมดิเตอร์เรเนียน โสเครติสและโฮมิรุส ต่างก็กล่าวถึงมะเดื่อ และพลาโตก้็ชอบรับประทานผลมะเดื่อเป็นอนัมาก ดว้ยเหตุน้ีจึง เรียกผลมะเดื่อวา่ “มิตรของนักปรัชญา” พวกฟินิเชียนก็นิยมใชผ้ลมะเดื่อเป็นอาหารและยารักษาโรคและพวกอิยปิตโ์บราณก็ใชผ้ลมะเดื่อในการรักษาอาการเจบ็ ปวดของกระเพาะอาหาร ท่านอิบนุซีนาย้า วา่มะเดื่อมีประโยชน์เป็นอนัมากสา หรับสตรีมีครรภแ์ละสตรีที่กา ลงัให้นมทารก ส่วนอรัรอซียฺกล่าววา่: มะเดื่อจะมีสรรพคุณลด กรดในร่างกายและขจดัผลขา้งเคียงของกรด ท่านอลัมวุ่ ฟั ฟักฺอลับฆัดาดีย์กล่าววา่: ผลมะเดื่อให้สารอาหารมากที่สุดในบรรดาผลไมด้ว้ยกนัมีสรรพคุณทา ให้อารมณ์อ่อนโยน ดบักระหาย บรรเทาอาการไอเร้ือรังและทา ให้ปัสสาวะคล่องการรับประทานผลมะเดื่อขณะทอ้งว่างมีผลดีในการเปิดหลอดอาหาร ท่านอิบนุอลัก็อยยมิกล่าววา่: “ผลมะเดื่อที่ดีที่สุดคือ ชนิดที่มีเปลือกสีขาว มีสรรพคุณขบักอ้นนิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะและลดอาการเป็นพิษ มะเดื่อเป็นผลไมท้ี่ให้สารอาหารมากที่สุด มีประโยชน์ต่ออาการเจบ็คอและหนา้อกลา้งตบัและมา้ม…”


ผลมะเดื่ออุดมดว้ยไวตามินต่าง ๆ โดยเฉพาะ B1 , B2 และ C และแคโรตีนของไวตามิน A และยงัมีแร่ธาตุที่สา คญัอาทิเช่น เหล็ก , แคลเซียม และทองแดง แร่ธาตุเหล่าน้ีมีประโยชน์ต่อเซลลใ์นร่างกายและการฟอกเลือด มีประโยชน์สา หรับคนที่ขาดเลือด นอกจากน้ีผลมะเดื่อยงัมี เปอร์เซ็นตข์องน้า ตาลระหวา่ง 18-30 % ตามความสดและแห้ง ผลมะเดื่อสดปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 70 แคเลอรี ถึง 267 แคเลอรี่ เมื่อเทียบกบัผลมะเดื่อแห้ง ดว้ยเหตุน้ีผูท้ี่รับประทานผลมะเดื่อจะมีกา ลงัวงัชาและทนต่อความหนาวไดเ้ป็นอยา่งดี ในปัจจุบนัมีผลงานวิจยัเกี่ยวกบั สรรพคุณทางยาของผลมะเดื่อออกมามากมาย แต่ดูเหมือนวา่ ในบา้นเรา (เมืองไทย) ไม่ค่อยไดร้ับขอ้มูลดงักล่าว อีกท้งัผลมะเดื่อก็เป็นผลไมท้ี่หา ยากในบ้านเรา บางคนไม่รู้จกัเสียดว้ยซ้า ไป คนที่เคยไปทา ฮจัญห์รืออุมเราะฮฺก็มกัจะซ้ือติดไม้ติดมือมาฝาก นนั่แหล่ะถึงจะไดก้ินกนัของดีก็หา ยากอยา่งน้ีแหล่ะ เป็ นธรรมดา


อินทผาลัม ที่อัลกุรอานกล่าวไว้ หะดีษเกี่ยวกับอินทผาลัม อินทผาลัม ที่อัลกุรอานกล่าวไว้ หะดีษเกี่ยวกับอินทผาลัม อินทผลัม อัจวะฮฺ มีสรรพคุณในการป้องการคุณไสยและพิษต่างๆ หากรับประทานเป็นประจ า จ านวน 7 เม็ด .... อินทผาลัม ที่อัลกุรอานกล่าวไว้ หะดีษเกี่ยวกับอินทผาลัม อินทผลัม เป็นชื่อปาล์มชนิด Phoenix dactylifera Linn ในวงศ์ Plamae ผลกินได้ ภาษา ปากมักเรียกว่า อินทผาลัม ในภาษาอาหรับ เรียกว่า อันนัคลุ้ (ل خَّ ْ لن َا (หรือ อันนะคีลฺ ِخْي ل) َّ لن َا (เป็นไม้ยืนต้นชอบขึ้นในเขตร้อน มีล าต้นตั้งตรงและยาว มีผลออกเป็นทะลาย ผล ของมันมีรสชาติอร่อย ใช้ท าแยมและบางชนิดใช้หมัก เรียกว่า นะบีซฺ อัลบะละฮฺ ( ِ بَلَح ْ ل اَ ْيذ ِ (نَب นักภาษาศาสตร์บอกว่า เหตุที่เรียกอินทผลัมว่า อันนะคีล เพราะมันมีรากศัพท์มาจากค าว่า นัคลฺ (ل خَ ْن (ซึ่งหมายถึง คัดเลือก กลั่นกรอง เพราะอินทผลัมจัดเป็นพืชยืนต้นที่มีเกียรติที่สุดในประดาพืชยืนต้น ด้วยกัน ในคัมภีร์อัลกุรอาน ได้กล่าวถึงเรื่องของอินทผลัมเอาไว้หลายแห่งและหลาย รูปค า กล่าวคือ ใช้ค าว่า “อันนัคลุ้” (ل خَّ ْ لن َا (10 แห่ง และใช้ค าว่า “นัคลัน” (خلاَ ْن (1 แห่งในบทอะบะสะ อายะฮฺที่ 29, และใช้ค าว่า “อันนัคละฮฺ” ( ةَخلَّ ْ لن َا (2 แห่งคือใน


บทมัรยัม อายะฮฺที่ 23 และ 25, และใช้ค าว่า “นะคีล” (يلْخِ َن (7 แห่งด้วยกัน รวม 20 แห่ง อินทผลัม มีหลายสายพันธุ์และผลอินทผลัมก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น อัลบะละฮฺ ح) بَلَ ْ ل َا (ซึ่งเป็นผลอินทผลัมช่วงก่อนสุก เมื่อเริ่มเข้าสีเรียกว่า อัลบุสรุ้ (ر س ْب ْ ل َا (พอเริ่มสุก เรียกว่า อัรรุฏ่อบุ้ (ب رطَ ُّ ال (ส่วนอินทผลัมแห้งอย่างที่วางขายทั่วไปนั้นเรียกว่า ตัมรฺ (ر مْ (تَ ส่วนหนึ่งจากสายพันธุ์ของอินทผลัม คือ ซุกกะรีย์ (يِ َّكر س ( และอัจญ์วะฮฺ (وة َج ْع ( َเป็นต้น มีปรากฏในอัลหะดีษซึ่งรายงานโดย อันนะซาอีย์และอิบนุมาญะฮฺ จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ) ว่า ท่านศาสดา (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า “พวกท่านจงกินอินทผลัม สด (อัลบะละฮฺ) กับอินทผลัมสุกที่แห้ง (อัตตัมรฺ)…” หะดีษเกี่ยวกับอินทผาลัม


นักการแพทย์ชาวมุสลิมระบุว่า ที่ท่านศาสดา (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ใช้ให้กิน อินทผลัมสดกับอินทผลัมสุกที่แห้งโดยไม่ใช้ให้กินอินทผลัมที่เริ่มเข้าสี กับอินทผลัมสุกที่แห้ง เป็นเพราะอินทผลัมสด มีสรรพคุณเป็นของเย็นและแห้ง ส่วนอินทผลัมสุกที่แห้ง มีสรรพคุณ เป็นของร้อนชื้น แต่ละชนิดจะแก้กัน เหมือนกับกินทุกเรียนซึ่งร้อนก็ให้กินมังคุดตามเพราะ เป็นของเย็น ส่วนอินทผลัมที่เข้าสีนั้นมีสรรพคุณเหมือนกับอินทผลัมสุกที่แห้ง คือเป็นของ ร้อน อินทผลัมมีสรรพคุณร้อนค่อนข้างมาก จึงไม่เป็นการดีที่จะรวมเอาของกินที่มีสรรพคุณ ร้อนกับร้อนมารวมกันหรือเย็นกับเย็นมารวมกันอินทผลัมสด (อัลบะละฮฺ) มีสรรพคุณเย็น และแห้ง ทางยาแล้วมีประโยชน์ต่อปาก, เหงือก และกระเพาะอาหาร แต่ไม่ดีส าหรับอก ปอด ซึ่งมีอาการอักเสบ ย่อยยาก แต่ดูดซึมเป็นสารอาหารได้ง่าย อินทผลัมที่เข้าสี (อัล บุสรุ้) มีสรรพคุณร้อนแห้ง ลดความชื้น ฟอกกระเพาะ แต่ท าให้ท้องผูกได้ มีเรื่องราวตอนที่พระนางมัรยัม (อะลัยฮิซซลาม) คลอดท่านศาสดาอีซา (อะลัยฮิซซลาม) ถูก ระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน บทมัรยัม อายะฮฺที่ 25 ว่า “และเจ้าจงเขย่าต้นอินทผลัมมาทาง เจ้า มันจะหล่นลงมาบนตัวเจ้า เป็นอินทผลัมที่สดมีรสอร่อย แล้วเจ้าจงกินและจงดื่ม และจงท าจิตใจให้เบิกบานเถิด” หะดีษเกี่ยวกับอินทผาลัม มหัศจรรย์ อินผลาลัมกับคนท้อง ที่ปรากฏในซูเราะห์มัรยัม


การเขย่าต้นอินทผลัมให้สะเทือนจนท าให้ผลของมันร่วงหล่นลงมา ดูจะเป็นเรื่องที่ยากเย็น ยิ่งนักส าหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ มิหน าซ้ ายังเป็นหญิงที่เพิ่งจะคลอดบุตร แต่ค าสั่งของพระผู้เป็น เจ้าในเรื่องนี้สอนให้รู้ถึงคุณค่าของความเพียรพยายาม ในการกระท าเหตุปัจจัย เสียก่อน ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นการเอื้ออ านวยของพระผู้เป็นเจ้า (ซ.บ) นักวิชาการระบุว่า ในผลอินทผลัมสดนั้น “มีฮอร์โมน ไบโตซีน” ซึ่งมีสรรพคุณในการท าให้ บาดแผลที่มดลูกหดหรือลดขนาดลงและห้ามเลือดออกที่มดลูกได้ นอกจากนี้อินทผลัมยังมี กลูโคส 75-87 % ฟรุกโตส 45% และยังมีโปรตีนและไขมันตลอดจนวิตามินบางชนิด เช่น 10, บี 2, บี12 และแร่ธาตุที่ส าคัญ เช่น แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, โปตัสเซียม, ก ามะถัน, โซเดียม, แมกนีเซียม, โคบอลต์, สังกะสี เป็นต้น ฟรุกโตสจะแปรสภาพเป็นกลูโคสอย่างรวดเร็วและดูดซึมโดยตรงจากระบบย่อยอาหาร จึง ลดอาการอ่อนเพลียและการที่ร่างกายสูญเสียน้ าและกระตุ้นการท างานของเซลล์สมอง ระบบประสาท เซลล์เลือดแดง และกระดูกเป็นต้น อินทผลัม ยังเป็นแหล่งรวมของวิตามินหลายตัว ซึ่งมีบทบาทส าคัญในการให้สารอาหาร การ ระงับประสาท การสร้างความชุ่มชื่น และการคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น (โดยสรุป, เมาซูอะฮฺ อัลอิอฺญาซฺ อัลอิลมี่ย์, ยูซุฟ อัลฮัจยีอะฮฺหมัด, ส านักพิมพ์ อิบนุ ฮะญัร, (2003) หน้า 755- 758) มีรายงานจากท่านอนัส (ร.ฎ) ว่า “ท่านศาสนทูต (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จะละศีล อดด้วยอินทผลัมสดหลายเม็ดก่อนหน้าที่ท่านจะละหมาด…” หะดีษเกี่ยวกับอินทผาลัม


ทั้งนี้เนื่องจากการถือศีลอด ท าให้กระเพาะอาหารว่าง เมื่อทานอินทผลัมสดเข้าไป ความ หวานของอินทผลัมจะไปดูดซึมไปหล่อเลี้ยงตับและอวัยวะต่างๆ ของร่างกายให้กลับมาชุ่ม ชื่นขึ้นอีกครั้ง ในนครมาดีนะฮฺ มีอินทผลัมสายพันธุ์ที่ดีที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง เรียกว่า อัจวะฮฺ ( وة َج ْع ( َมี รสชาติอร่อย ไม่หวานมาก มีประโยชน์ต่อร่างกายและเป็นยารักษาโรคได้ มีระบุในอัลหะดีษ ว่า “ผู้ใดรับประทานอินทผลัมอัจวะฮฺ 7 เม็ดในยามเช้า พิษและไสยศาสตร์ย่อมไม่ท า อันตรายผู้นั้นได้ในวันดังกล่าว” หะดีษเกี่ยวกับอินทผาลัม จากอัลหะดีษบทนี้ อินทผลัม อัจวะฮฺมีสรรพคุณในการป้องการคุณไสยและพิษต่างๆ หาก รับประทานเป็นประจ า จ านวน 7 เม็ด อินทผาลัม ช่วยป้องกันไสยศาสตร์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ 7 ประโยชน์ของอินทผลัมอัจวะฮฺ อัลหะดีษอีกบทหนึ่งระบุว่า : อินทผลัมที่ดีที่สุดของพวกท่านคือ อัลบุรนี่ย์ (ي ب ْرنِ ُّ ْ ل َا (มันจะ ท าให้โรคหมดไป และไม่มีโรคร้ายในมัน (บันทึกโดย อัตตอบรอนีย์, อัลฮากิม, อิบนุ อัซ ซุนนีย์ และอบูนุอัยมฺ เป็นหะดีษฮะซัน) ดร.อับดุลลอฮฺ อับดุรร่อซฺซ๊าก อัสสะอีด ได้ทดลอง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ปรากฏว่า เชื้อโรคไม่อาจมีชีวิตอยู่ในอินทผลัมได้จริงตามที่ระบุในอัลหะดีษ


องุ่น ผลไม้ที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน องุ่น ผลไม้ที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน ชื่อ ไม้เถาชนิด Vitis vinifera Linn ในวงศ์ Vitidaceae ผลเป็นพวง กินได้หรือใช้หมักท าเหล้า เรียกเหล้า องุ่น ในภาษาอาหรับเรียก “องุ่น” ว่า อินะบุน (بَ عنِ ) มีรูปพหูพจน์ว่า อะอฺนาบุน (ٌ ابَعن ْأ ( ค าว่า “อินะ บุน” ถูกกล่าวในคัมภีร์อัลกุรอาน 2 แห่งคือ ในบท อัลอิสรออฺ อายะฮฺที่ 91 ”หรือให้ท่านมีส่วนอินทผลัม และองุ่นให้มันแยกเป็นล าน าหลายสาย พวยพุ่งออกมาท่านกลางมัน" และบทอะบะซะ อายะฮฺที่ 27 - 28 "และเราได้ให้เมล็ดพืชงอกเงยขึ นจากในแผ่นดิน" "และองุ่นและพืชผัก' ส่วนค าว่า “อะอฺนาบุ้” ถูกกล่าวไว้ 9 แห่งด้วยกัน รวมทั งหมด 11 แห่ง ในจ านวนนี มีอยู่ 6 แห่งที่พระองค์ อัลลอฮฺ (ซ.บ) ทรงระบุเรื่อง “องุ่น” ไว้เกี่ยวกับบรรดาความโปรดปรานของพระองค์ที่ทรงประทานให้กับ มวลบ่าวของ พระองค์ในโลกนี และในสวนสวรรค์


ท่าน อิบนุ อัลก็อยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า : องุ่นเป็นผลไม้ที่ประเสริฐสุด มีประโยชน์ที่สุด รับประทานได้ทั งสด แห้ง เขียว และสุก เป็นผลไม้ที่ร่วมกับผลไม้ต่างๆ เป็นอาหารพร้อมกับอาหารหลัก เป็นแกงพร้อมกับน า แกงอื่น เป็นยาพร้อมกับบรรดายาทั งหลาย เป็นเครื่องดื่มร่วมกับเครื่องดื่มต่างๆ มีธรรมชาติเหมือนกับ ธัญพืช คือ ร้อนและเย็น องุ่น ที่ดีคือ องุ่นผลใหญ่ น ามาก องุ่นขาวดีกว่าองุ่นด า เมื่อมันมีรสหวานเท่ากัน ผลองุ่นที่ถูกเด็ดและปล่อย ไว้ 2 วันหรือ 3 วัน ย่อมดีกว่าผลองุ่นที่ถูกเด็ดในวันแรก องุ่นมีสรรพคุณดีต่อท้อง ท าให้ถ่ายง่าย องุ่นที่ติอยู่ กับต้นจนเปลือกลีบ ดีส าหรับการบริโภคเป็นอาหาร ท าให้ร่างกายแข็งแรง สารอาหารขององุ่นมีสรรพคุณ เหมือนกับมะเดื่อและลูกเกด แต่การกินองุ่นมากๆ อาจท าให้ปวดศีรษะได้ ให้กินทับทิมหรือกล้วยแก้ สรรพคุณขององุ่นท าให้อารมณ์ดีและท าให้มีน ามีนวล ถือเป็นราชาผลไม้หนึ่งในสามชนิด คือ องุ่น, อินทผลัม และมะเดื่อ (ซาดุ้ลม่าอ๊าด ฟี ฮัดยิค็อยริ ลอิบ๊าด, อิบนุ อัลก็อยยิม เล่ม 3 หน้า 284) มีรายงาน ระบุว่า ท่านศาสดา (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ชอบรับประทานองุ่นและแตงโม เมล็ดองุ่นมี OPC (Oligomericproanthocyanidins) ซึ่งเป็นสารที่จัดอยู่ในกลุ่ม ไบโอฟลาโวนอย1ด์ ที่มี มากในพืช กล่าวกันว่า โอพีซี มีฤทธิ์เป็นสารล้างพิษที่ดีกว่า ไวตามินซี และไวตามินอี ถึง 50 เท่าในการ ก าจัดสารพิษที่เกิดภายในเนื อเยื่อทั่วไปและในเนื อเยื่อไขมัน นอกจากนี ยังมีคุณสมบัติในการล้างผนังหลอดเลือดให้สะอาด เพื่อให้เลือดไหลไปเลี ยงส่วนต่างๆ ของ ร่างกายได้สะดวกและคล่องตัว โดยเฉพาะที่สมองและปลายมือ ปลายนิ ว แถมยังมีผู้อ้างว่า สาร โอพีซี ป้องกันบอดตาไส อันเกิดจากความเสื่อมของประสาทรับแสงที่จอภาพด้านหลังของลูกตาได้ด้วย นอกจากนี สารโอพีซี จะมีอยู่ในเปลือกขององุ่นแดงเป็นส่วนใหญ่ มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจอีกด้วย (นายแพทย์ สุวัฒน์ จันทร์จ านง, อาหารกับสุขภาพ (2547) ส านักพิมพ์สุขภาพใจ หน้า 103-104) เมล็ดองุ่นมีสรรพคุณมากขนาดนี คราวหน้ากินองุ่นอย่าบ้วนเม็ดองุ่นทิ งเสียล่ะ เคี ยวไปกับเนื อองุ่นเลย ขม หน่อยฝาดนิดแต่มีประโยชน์นะ จะบอกให้


ต้นว่านหางจระเข้ สุดยอดสมุนไพรของท่านนบี ต้นว่านหางจระเข้ นั้นนับเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง ที่มีสรรพคุณมากมาย ในปัจจุบันนี้ถูกน ามาสกัดผสมกับ ผลิตภัณฑ์หลายชนิด ต้นว่านหางจระเข้ สมุนไพรของท่านนบี ต้นว่านหางจระเข้ ต้นว่านหางจระเข้ นั้นนับเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง ที่มีสรรพคุณมากมาย ในปัจจุบันนี้ถูกน ามาสกัดผสมกับ ผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น ยาสระผม เครื่องส าอางต่างๆ ท่านดร.อัลซะฮฺฮาวีย์ กล่าว่า “ปัจจุบันต้นว่านหางจระเข้ ถูกน ามาท าน้ าหอม และยาวิทยาศาสตร์หลายชนิด” ต้นว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณรักษาโรคได้ดังนี้ 1. โรคกระเพาะอาหาร 2. ท าให้เลือดดี 3. ท าให้สายตาแข็งแรง 4. ท าให้หัวใจขยายตัวดี 5. โรคปวดหัว 6. โรคไวรัสตับอักเสบบี 7. รักษาบาดแผลไฟไหม้ น้ าร้อนหลวก ใช้วุ้นใส แปะบริเวณแผล วันละ 3-4 ครั้ง


ที่มา: หนังสือความมหัศจรรย์ของสมุนไพร ตามแนวทางการแพทย์ของ ท่านน บีศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ขิง สมุนไพรในอัลกรุอาน ที่คุณต้องอึ้ง! กระเทียม ขิง สมุนไพรในอัลกรุอาน และในสวนสวรรค์นั้นพวกจะได้รับเครื่องดื่มจากแก้วซึ่งผสมด้วยขิง... ขิง สมุนไพรในอัลกรุอาน ที่คุณต้องอึ้ง! ขิง ชาวอาหรับเรียกว่า ซันญะบีล เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม มีอายุขัย มีล าต้นสูงประมาณ 1.5 เมตร ใบ เหมือนหอกมีสีเขียวเข้ม อัลลอฮฺทรงตรัสถึงขิงไว้ในซูเราะฮฺอัลอินซาน อายะฮฺที่ 17 เพื่อเป็นการตอบแทนแก่ผู้ย าเกรงพระองค์ ي ًل ِ ًسا َكا َن ِم َزا جهَا َزن َجب ْ ْو َن فِيهَا َكأ َوي ْسقَ ความว่า: " และในสวนสวรรค์นั้นพวกจะได้รับเครื่องดื่มจากแก้วซึ่งผสมด้วยขิง " ขิง ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Zingiber officinale Roscoe ในวงศ์ Zingiberaceae เหง้ามีกลิ่น รสเผ็ด ใช้ประกอบ อาหารและท ายาได้ ขิงแกลงหรือขิงแครงก็เรียก ชาวอาหรับเรียก “ขิง” ว่า ซันญะบีล (يلْ ِ َجب ْزن ( َเป็นค าที่มี รากศัพท์มาจากภาษาเปอร์เซีย มีถิ่นก าเนิดในอินเดีย


ท่านอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า ชาวอาหรับจะดื่มด่ ากับเครื่องดื่มที่มีขิงเจือหรือผสม เพราะให้กลิ่นหอมละมุน ท าให้ลิ้นสะอาด และช่วยย่อยอาหารได้ดี อัซซันญะบีล (يلْ ِ َجب زنْ ل َّ َا – ( Zingiber Ginger – เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม มีอายุขัย มีล าต้นสูงประมาณ 1.5 เมตร ใบเหมือนหอกมีสีเขียวเข้ม บ้างก็ว่า ขิง มีถิ่นก าเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่แหล่งผลิตจะอยู่ ในเขตศูนย์สูตรของแอฟริกาและอินเดีย ชาวจีนและอินเดียรู้จักใช้ขิงเป็นยารักษาโรคและเครื่องเทศนับแต่ สมัยโบราณ กาลิโนส กล่าวว่า : ขิงมีสรรพคุณในการให้ความร้อนสูง หากเราต้องการให้ร่างกายอบอุ่นในเวลาอันรวดเร็ว ก็ต้องกินขิง มีรายงานระบุว่า : กษัตริย์แห่งโรมันได้เคยมอบขิงจ านวนหนึ่งให้เป็นของก านัลแก่ท่านศาสดา (ศ้อลลัลลอ ฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แล้วท่านได้แบ่งให้ผู้คนน าไปท าอาหารส่วนหนึ่ง ให้ท่านอบูสะอีด อัลคุดรีย์ (ร.ฎ) ส่วน หนึ่ง (บันทึกโดย อบูนุอัยม์ในอัฏฏิบบุนนะบะวีย์) ท่านอิบนุ อัลก็อยยิม (ร.ฮ) ระบุว่า : กล่าวโดยรวมแล้ว ขิงมีประโยชน์ต่อตับและกระเพาะ น้ าขิงคั้นมี สรรพคุณบ ารุงก าลัง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เพิ่มน้ าอสุจิ และท าให้จดจ าดี อิบนุ ซีนา กล่าวถึงสรรพคุณของขิงว่า : เพิ่มความจ า ลดอาการปวดไมเกรนและอาการคอแห้ง มีฤทธิ์ ป้องกันอากาศเป็นพิษ อย่างไรก็ตาม ขิง มีส่วนประกอบที่มีรสเผ็ด ควรรับประทานแต่พอดี ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะจะ เป็นผลอันตรายต่อเยื่อบุทางเดินอาหารและระบบการย่อย ขิงยังมีสรรพคุณท าให้กระปี้กระเป่า กระตุ้นการ เต้นของหัวใจและระบบการหายใจ ไล่ลม บรรเทาอาการเจ็บกระเพาะได้ดีอีกด้วย


เฮนนา ต้นเทียน สารพัดประโยชน์ สุขภาพดีตามสูตรนบี ต้นเทียนหรือเฮนนาที่ผู้หญิงน ามาใช้ทามือ เล็บ และผมเพื่อความสวยงามนั้นมีประโยชน์มากกว่าเพียงความ สวยงาม...เฮนน่า เป็นสมุนไพรที่ได้จากใบของพืชเขตร้อนชนิดหนึ่งที่มีการปลูกเชิงพาณิชย์ในประเทศอินเดีย , ปากีสถาน และบางประเทศแถบอาฟริกา ลักษณะของต้นเฮนน่าเป็นไม้พุ่มใบเขียว ดอกสีขาวกลิ่นหอม ตระกูลลีทราซี (Lythaceae) หรือตระกูล "เทียน" มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Lawsonia inermis มีชื่อแบบ ไทยๆหลายชื่อเช่น เทียนขาว เทียนต้น เทียนกิ่ง เทียนไม้ เทียนย้อมเป็นต้น ต้นเฮนน่า สามารถพบได้ทั่วไปทั้งใน เนปาล อาราเบีย มอร๊อคโค มอริทาเนีย มาลี เซเนกัล ซูดาน อิหร่าน ปากีสถาน มาดากัสการ์ ออสเตรเลีย และอเมริกา เฮนนา สารพัดประโยชน์สุขภาพดีตามสูตรนบี


ต้นเทียนหรือเฮนนาที่ผู้หญิงน ามาใช้ทามือ เล็บ และผมเพื่อความสวยงามนั้นมีประโยชน์มากกว่า เพียงความสวยงาม สรรพคุณของต้นเทียนมีมากมาย นอกจากน้ ามันที่ท าให้ผมและเล็บเงางามแข็งแรงแล้วยังช่วยรักษา หนองที่ขา เท้า และส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย ต้นเทียน มีประโยชน์ในการสมานแผลไฟไหม้ท าให้เส้นประสาทสมานตัวดีขึ้น เมื่อน ามาเคี้ยวจะรักษา แผลและผื่นในปาก รักษาโรคปากเปื่อยในเด็กได้ เมื่อมีโรคไข้ทรพิษเกิดขึ้นในเด็กให้เอาต้นเทียนมาทาที่ฝ่า เท้าจะป้องกันนัยต์ตาของเด็กไม่ให้เป็นแผลจากไข้ทรพิษ ดอกของต้นเทียนเมื่อน ามาป่นกับไขมันบริสุทธิ์และ น้ ามันดอกกุหลาบจะรักษาโรคเจ็บชายโครง เมื่อน าดอกของต้นเทียนมาวางที่ผ้าขนสัตว์จะท าให้ผ้าหอมและ ป้องกันมอดกินผ้าได้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อน าใบของต้นเทียนมาใส่ลงในน้ าสะอาด คั้นและดื่มเป็นเวลาสี่สิบวัน วัน ละยี่สิบดิรฮัม(หนึ่งดิรฮัมเท่ากับ3.12กรัม) ร่วมกับน้ าตาลสิบดิรฮัมและการกินเนื้อแกะสาว จะป้องกันโรค เรื้อนได้อย่างชะงัด มีเรื่องเล่าในหนังสือการแพทย์ตามแนวทางท่านศาสดามุฮัมมัด ซล. ของอิบนุก็อยยิม อัลเญาซียะฮฺ ว่า ชายคนหนึ่งเป็นแผลแตกที่มือของเขาและประกาศจะให้รางวัลแก่คนที่รักษาเขาให้หายแต่ก็ไม่มีใครท าได้ จนกระทั่งมีหญิงสาวคนหนึ่งน าให้เขาดื่มน้ าต้มต้นเทียนเป็นเวลาสิบวันแต่เขาก็ไม่ท าตาม แต่หลังจากนั้นเขา ก็น าใบต้นเทียนมาใส่ในน้ าและดื่มน้ านั้น แผลที่มือเขาหายไป


กระเทียม สมุนไพรจาก อัล-กุรอาน เรื่องที่น่าอ่านในอิสลาม! กระเทียม สมุนไพรจาก อัล-กุรอาน มีไว้ว่าอย่างไร... กระเทียม สมุนไพรจาก อัล-กุรอาน กระเทียมนั้นถูกน ามาประกอบอาหารหลายชนิดด้วยกัน รสชาติของมันเผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุน เป็นที่รู้จักกัน มาถึง 4,500 ปีมาแล้ว ท่านดาวูด อัลอันฏอกียฺ กล่าวว่า: กระเทียมนั้นสามารถน ามารักษาโรคได้มากกว่าสี่สิบโรค และสามารถลดโคเลสเตอรอลนเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุท าให้เกิดโรคเส้นเลือดตีบตัน และโรคหัวใจ ท่านอิบนิ ซีนาอฺกล่าวว่า: กระเทียมนั้นมีประโยชน์มากมาย สามารถรักษาโรคต่างๆได้ เช่นผิวหนัง ขี้เรื้อน ตาแดง โรมาติซัม เก๋าต์ อาการไอกรน และขับเสมหะ กระเทียมนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการโดยมีโปรตีน 49 % น้ ามัน 25 % ปัจจุบันนี้ กระเทียมถูกน ามาสกัดเป็นแคปซูลหรืออัดเม็ด โดยมีราคาแพงมาก ถ้าหากเราน ามารับประทาน สดๆ มันจะได้ผลมากกว่า อินชาอัลลอฮฺ.. อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 61 ว่า " ดังนั้นพวกเราให้ท่านได้โปรดวิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลของท่านให้พระองค์ ทรงผลิผลแก่พวกเราจาก แผ่นดิน ผัก แตงกวา กระเทียม ถั่ว และหัวหอม " กระเทียมสามารถรักษาโรคต่างๆดังนี้ 1. แก้พิษต่างๆ ส่วนผสม: กระเทียม 5 กลีบ น้ าผึ้ง 1 แก้วเล็ก ฮับบะตุสเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ น ามาบดรวมกัน รับประทานเช้าและเย็น 2. โรมาติซัม ส่วนผสม: กระเทียม 5 กลีบ น้ าผึ้ง 1 แก้วเล็ก น้ ามันฮับบะตุสเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ น ามาบด รวมกัน แล้วทาบริเวณที่เจ็บปวด วันละหนึ่งถึงสองครั้ง เช้าและเย็น 3. สลายนิ่ว ส่วนผสม: น้ ามะนาว 1 แก้วเล็ก น้ ามันมะกอก 1แก้วเล็ก กระเทียมบดครึ่งแก้วเล็ก ผักชีฝรั่ง 1 ก ามือ น าส่วนผสมทั้งหมดมาบดรวมกัน รับประทาน 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอนทุกวัน


พุทรา ชื่อไม้ต้นชนิด Zizyphus mauritiana Lamk. ในวงศ์ Rhamnaceae กิ่งมีหนาม ผลมีทั้งกลม และรี พายัพและอีสานเรียก กะทัน ทัน หรือหมากทัน ในภาษาอาหรับเรียกต้นพุทรา ว่า อัซซิดรุ้ (ر دْس ( ال ِّ และเรียกลูกพุทรา ว่า อันนับกุ้ (ق بْ َّ الن ( หรือ อันนิบกุ้ (ق بْ ِّ الن ( หรืออันนะบัก (ق بَ َّ الن ( และต้นพุทราต้น เดียวเรียกว่า อัซซิดเราะฮฺ ( ر َة دْس ( ال ِّ ค าว่า ซิดริน (ر دْس ( ِถูกระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน 2 แห่ง คือ ในบทสะบะอฺ อายะฮฺที่ 16 และในบท อัลวากิอะฮฺ อายะฮฺที่ 28 ซึ่งกล่าวถึง “ชาวขวา” (อัศฮาบุ้ลยะมีน) ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของต้น พุทราที่ไร้หนามในสวนสวรรค์ และค าว่า ซิดเราะฮฺ ( رة َدْس ( ِถูกระบุไว้ 2 แห่ง คือ ในบทอันนัจญมุ้ อายะฮฺที่ 14 และอายะฮฺที่ 16 ซึ่งกล่าวถึง ซิดเราะฮฺ อัลมุนตะฮา ( ه ِسْدَرة مْنَت ْ ى ال ( อันเป็นต้นไม้ในสวรรค์ชั้น อัล มะอฺวา ( و َمأ ْ ال َّة َجن ى ซึ่งท่านศาสดามุฮ ามัด (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ยลโฉมที่แท้จริงของท่านญิบรีล (อะ ลัยฮิซซลาม) ณ ต้นไม้นี้ เมื่อครั้งที่ท่านเดินทางขึ้นสู่ชั้นฟ้าเบื้องบน (อัลมิอฺรอจฺญ์) ผลของต้นไม้นี้ใหญ่ขนาดโอ่งที่ปั้นจากเมือง ฮิจรฺ ใบ ของมันใหญ่ขนาดใบหูของช้าง มีแม่น้ า 4 สายไหลออกมาจากเบื้องใต้ 2 สาย เป็นแม่น้ าภายในและอีกสอง สายเป็นแม่น้ าภายนอก คือ แม่น้ าไนล์ และฟุร๊อต (ยูเฟรติส)


ท่านอัลบุคอรีย์และมุสลิมระบุเรื่องนี้เอาไว้ ท่านอิบนุ กะซีร (ร.ฮ) ได้เล่าจากท่าน กอตาดะฮฺ (ร.ฮ) ว่า : “พวกเราเคยพูดคุยถึงต้นพุทราที่ไร้หนาม (ซิดริน มัคฎู๊ด) ส่วนพุทราในโลกนี้มีหนามและมี ผลน้อย” ท่านฮาฟิซฺ อัซซะฮฺบีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า : การอาบน้ าด้วยพุทราจะท าให้ศีรษะสะอาดหมดจดยิ่ง กว่าสิ่งอื่นใด และจะดับความร้อน และท่านศาสดา (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ระบุถึงพุทราในการ อาบน้ าศพ อันนะบะกุ้( ب ّ ق الن ( คือ ผลของพุทรา มีลักษณะคล้ายผลซะอฺรู๊ร (ر وْر ع ْز َّ ال ( รับประทาน แล้วท าให้อารมณ์เป็นปกติและเคลือบกระเพาะอาหาร ท่านอิบนุ อัลก็อยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า “ผลของ พุทรามีประโยชน์ในการบรรเทาอาการท้องเสีย และบรรเทาอาการดีซ่าน บ ารุงร่างกายท าให้เจริญ อาหาร…” ผลพุทรามีรสหวาน กลิ่นหอม ส่วนประกอบที่ส าคัญในผลพุทราคือ น้ าตาลขององุ่นและฟรุกโตส และกรดพุทรา (Acide Zizyphique) เป็นยาระบาย ลดอาการไข้ตัวร้อน ขับเสมหะ มีประโยชน์ส าหรับผู้ที่ ออกหัด และกระเพาะเป็นหนอง ใบพุทราต้มสุกแก้ท้องเดินและขับพยาธิ ท าให้รากผม ขนแข็งแรง และมี สรรพคุณในการรักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจและปอด


Click to View FlipBook Version