ปัญหาพิเศษ การเพาะเลี้ยงปูทะเล นางสาวกัญญาภัค บุษบา เสนอ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง เพื่อความสมบูรณ์แห่งปริญญาวิทยาศาสตร์บัณทิต(เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ) พ.ศ. 2567
ใบอนุมัติโครงงาน/ปัญหาพิเศษ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต (เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ) สาขา เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (หลักสูตร 4 ปี) เรื่อง การเพาะเลี้ยงปูทะเล นามผู้วิจัย นางสาวกัญญาภัค บุษบา ได้รับความเห็นชอบโดย ประธานกรรมการที่ปรึกษา ............................................. วันที่ .......... เดือน .......... พ.ศ. ....... ( ผศ.ดร.สุพัชชา ชูเสียงแจ้ว) กรรมการที่ปรึกษา ............................................. วันที่ .......... เดือน .......... พ.ศ. ....... (ผศ.ว่าที่ พ.ต.ดำรงค์ โลหะลักษณาเดช) กรรมการที่ปรึกษา ............................................. วันที่ .......... เดือน .......... พ.ศ. ....... (อาจารย์ ทินวุฒิ ล่องพริก) หัวหน้าสาขา ............................................. วันที่ .......... เดือน .......... พ.ศ. ....... เทคโนโลยีการประมง (ผศ.ดร.ปรีดา ภูมี)
บทคัดย่อ โครงการ : การเพาะเลี้ยงปูทะเล โดย : นางสาวกัญญาภัค บุษบา ชื่อปริญญา : วิทยาศาสตรบัณทิต (เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ) สาขา : เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประธานกรรมการที่ปรึกษาโครงการ : ผศ.ดร.สุพัชชา ชูเสียงแจ้ว ปีการศึกษา 2566
กิตติกรรมประกาศ
ก สารบัญ เรื่อง หน้า สารบัญ ก-ข สารบัญตาราง ค สารบัญภาพ ง บทที่ 1 บทนํา ที่มาและความสำคัญ 1 วัตถุประสงค์ 2 สมมติฐานการศึกษา 2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2 ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง 2 ขอบเขตการศึกษา 2 บทที่ 2 ตรวจเอกสาร เอกสารวิชาการ 3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีการ การคัดเลือดพันธุ์ 7 การเลือกสถานที่เพาะเลี้ยง 8 วิธีการ 9-11 บทที่ 4 ผลและวิจารณ์ผลการทดลอง ผลการทดลอง 12 บทที่ 5 สรุปผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง 13 วิจารณ์ผลการทดลอง 13
ข ข้อเสนอแนะ 13 เอกสารอ้างอิง 14
ค สารบัญตาราง
ง สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า วงจรชีวิตกุ้ง 4
1 บทที่ 1 บทนำ ที่มา และความสำคัญ กรมประมง(2561) ปูทะเลเป็นทรัพยากรสัตว์น้ำอีกประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องจากปูทะเลประกอบด้วยสารอาหารและวิตามินมากมายหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจึงเป็นที่ นิยมบริโภคและการบริโภคมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในขณะเดียวกันทรัพยากรธรรมชาติเกิดความเสื่อมโทรมเพิ่ม มากขึ้นเช่นกันทำให้ปริมาณผลผลิตปูทะเลจากธรรมชาติก็มีปริมาณลดลงดังนั้นเพื่อให้มีปริมาณปูทะเลเพียงพอ ต่อความต้องการบริโภคกรมประมงมีการพัฒนาและส่งเสริมการเพาะเลี้ยงปูทะเลตามแนวพื้นที่จังหวัดชายฝั่ง ทะเลและได้ทำการสำรวจสถิติฟาร์มเลี้ยงปูทะเล โดยวิธีการสำรวจด้วยตัวอย่างเป็นประจำทุกปี เนื่องจากมีรสชาติดีและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงผลผลิตปูทะเลส่วนใหญ่ได้จากการจับปูธรรมชาติจะ มีปริมาณลดลงไปทุกทีเนื่องจากความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นทุกๆปีซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการนำปูทะเลที่ ไม่ได้ทั้งขนาดและคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ เช่น ปูไข่อ่อนและปูเล็กมาขุนเลี้ยงต่อบ้างแล้วก็ตามแต่ยังไม่ เป็นที่แพร่หลายเท่าที่ควรประเทศไทยนั้นมีปูทะเลอาศัยอยู่อย่างชุกชุมซึ่งแสดงว่าชายฝั่งทะเลของเราศักยภาพ ในการพัฒนาเพื่อการเพาะเลี้ยงปูทะเลได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น การเผยแพร่ความรู้พื้นฐานทางด้านชีววิทยาและ เทคนิคการเลี้ยงปูทะเลอันจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรในด้านการพัฒนาวิธีเพราะเลี้ยงให้ได้ผลสำเร็จนอกจากนี้ ยังมีประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์พันธุ์ปูทะเล งานวิจัยฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการการเพาะเลี้ยงปูทะเลซึ่งมีประเภทการเลี้ยงที่นิยมเลี้ยงกัน โดยทั่วๆไปอยู่3 วิธี คือ การนำปูทะเลมาขุนจากปูโพรกให้เป็นปูเนื้อแน่นและจากปูไข่อ่อนให้เป็นปูไข่แก่ การ เลี้ยงปูขนาดเล็กให้เป็นปูขนาดใหญ่ และการเลี้ยงปูนิ่ม เพื่อสามารถเพิ่มปริมาณปูทะเลให้พอต่อความต้องการ
2 วัตถุประสงค์ 1) เพื่อต้องการเพิ่มจำนวนของปูทะเลและลดการจับปูทะเลจากธรรมชาติ 2) เพื่ออนุรักษ์ปูทะเลในประเทศไทยไม่ให้สูญพันธุ์จากการจับจากธรรมชาติที่มากเกินไป 3) ศึกษาผลผลิต อัตราการรอด อัตราการการเจริญเติบโตและปริมาณความดกของไข่ สมมติฐานการศึกษา การเพาะเลี้ยงปูทะเลในแต่ละวิธีการที่แตกต่างกัน เพื่อการเพิ่มจำนวนของปูทะเลให้มีปริมาณที่ เพียงพอต่อความต้องการและลดการจับปูทะเลจากธรรมชาติได้ส่วนหนึ่ง ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้สามารถช่วยให้เกษตรกรและบุคคลทั่วไปสามารถใช้เป็นแนวทางใน การดำเนินงาน ทำการเพาะเลี้ยงด้วยตนเองและลดการจับจากธรรมชาติรวมทั้งสามารถนำไปปรับใช้ในการ เพาะเลี้ยงปูทะเล ขอบเขตการศึกษา การศึกษาครั้งนี้ได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกรมประมงในพื้นที่ต่างๆที่มีการเพาะเลี้ยงปูทะเลทั่ว ประเทศ จำนวน 23 จังหวัด โดยปูที่นิยมเลี้ยงกันคือ ปูขาวและปูดำ รองลงมาคือปูม่วงและปูเขียว
3 บทที่ 2 ตรวจเอกสาร อนุกรมวิธานของปูทะเล Kingdom Animalia Phylum Arthropoda Subphylum Crustacea Class Malacostraca Order Decapoda Family Portunidae ปูทะเล มีชื่อสามัญว่า (Mud crab) เป็นปูกลุ่มเดียวกับปูม้า ปูดาว ปูลาย ปูกะตอยเขียว ปูหินก้ามฟ้า และปูตายาว เป็นต้น ปูกลุ่มนี้มีขาคู่สุดท้ายมีลักษณะแบนเหมือนใบพายใช้สำหรับการว่ายน้ำซึ่งเป็นลักษณะ สำคัญที่พบได้ในปูกลุ่มนี้ซึ่งเป็นปูในวงศ์ (Portunidae) มีลักษณะกระดองกลมรีเป็นรูปไข่ สีดำปนแดงหรือสี น้ำตาลเข้ม ขอบระหว่างนัยน์ตามีหนาม 4 อัน ส่วนด้านข้าง นัยน์ตาแต่ละข้างมีหนามข้างละ 8-9 อัน ก้ามจะมี หนามแหลม ส่วนขาอื่น ๆ ไม่มีหนาม ตัวผู้จะมีก้ามขนาดใหญ่แข็งแรง กว่าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัด เจริญเติบโต ด้วยวิธีการลอกคราบ โดยตรงขอบหลังของกระดองจะเผยออกให้เห็นกระดองใหม่ ยังเป็นเนื้อเยื่อบาง ๆ ซึ่ง เรียกว่า ปูสองกระดอง ถ้าหากเป็นตัวเมียที่มีความสมบูรณ์เพศจะมีไข่อยู่ในกระดอง ซึ่งพบมากใน เดือน พฤศจิกายน ปลายสุดของขาคู่ที่ 2-4 มีลักษณะแหลมเรียกว่า "ขาเดิน" ทำหน้าที่ในการเดินเคลื่อนที่ ส่วนขาคู่ที่ 5 เป็นคู่สุดท้ายเรียกว่า "ขาว่ายน้ำ"ตอนปลายสุดของขาคู่นี้มีลักษณะแบนคล้ายใบพาย ใช้สำหรับว่ายน้ำ ปู ทะเลในประเทศไทยมี 4 ชนิดด้วยกัน คือ 1. ปูดำ Scylla olivacea 2. ปูขาว S. paramamosain 3. ปูเขียว S. serrata 4. ปูม่วง S. tranquebarica ปูทะเลที่พบมากในประเทศไทยและเลี้ยงกันอยู่ในปัจจุบัน คือ ปูทะเล ชนิดปูดำ และปูขาว ซึ่งปูดำจะพบมากทางฝั่งอันดา มัน เช่น ระนอง ภูเก็ต พังงา ส่วนปูขาว จะพบชุกชุมในฝั่ง อ่าวไทย เช่น สุราษฎร์ธานี จันทบุรี นครศรีธรรมราช เป็นต้น วงจรชีวิตของปูทะเลเมื่อปูเพศเมียได้ผ่านการจับคู่ผสมพันธุ์แล้วจะออกไปวางไข่ในทะเลในขณะที่ กำลังเดินทางออกสู่ทะเลปูบางตัวอาจจะปล่อยไข่ออกมาไว้ที่ส่วนท้องแล้วลูกปูวัยอ่อนมีอยู่ 2 ระยะ คือ ระยะชู เอีย (zoea) เป็นระยะที่รยางค์ยังไม่สามารถใช้ว่ายน้ำได้ต้องล่องลอยหากินไปตามกระแสน้ำเมื่อเข้าระยะเม กาโลปา (megalopa) รยางค์เริ่มใช้งานได้โดยว่ายน้ำสลับกับการหยุดเกาะอยู่กับที่เป็นครั้งคราวในระยะนี้เริ่มมี
4 การแพร่กระจายเข้ามาหากินในบริเวณน้ำกร่อยเมื่อลูกปูลอกคราบจากระยะเมกาโลปาเป็นปูตัวเต็มวัยเหมือน พ่อแม่ทุกประการจะออกหากินอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยได้อย่างอิสระหลังจากนั้นปูเพศเมียที่สมบูรณ์เพศและผ่าน การจับคู่ผสมพันธุ์แล้วจะอพยพออกไปวางไข่ในทะเลเป็นวัฏจักรสืบไป (อนุวัฒน์ และคณะ, 2548) วงจรชีวิตปูทะเล ภาพจาก https://www4.fisheries.go.th ประเภทของปูทะเลชนิดต่างๆที่พบในประเทศไทย ปูทะเลที่พบในประเทศไทยและมีความสำคัญทาง เศรษฐกิจ ได้แก่ ปูขาว ปูดำ ปูเขียว ปูม่วง (กรมประมง,2556) 1. ปูขาว, ปูทองหลาง ชื่อวิทยาศาสตร์: Scylla paramamosain ลักษณะโดยทั่วไปเหมือนปูทะเล แตกต่างตรงที่ปูขาวมีหนามบริเวณขอบระหว่างนัยน์ตา 4 อัน สูงยาวแต่สั้นกว่าปูเขียวสัณฐานแบบสามเหลี่ยม ด้านเท่า ส่วนด้านข้างนัยน์ตาแต่ละข้างมีหนามข้างละ 8-9 อัน ปล้องกลางของกล้ามมีหนามแหลมชัดเจน เฉพาะด้านใน ขณะที่ด้านนอกไม่เด่นชัดบริเวณครึ่งบนของหน้าก้ามมีสีเขียวอมน้ำตาลมีจุดสีเขียวเข้มอมเหลือง กระจายอยู่ทั่วส่วนครึ่งล่างของหน้าก้ามมีสีเหลืองอ่อนหรือส้ม ลายร่างแห่เด่นชัดบริเวณขาคู่ที่ 4 และขาว่ายน้ำ ตัวผู้จะมีก้ามขนาดใหญ่แข็งแรงกว่าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัดมักสับสนกับปูเขียว เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงกัน 2.ปูดำ, ปูแดง, ปูทองแดง ชื่อวิทยาศาสตร์: Scylla olivaceaลักษณะโดยทั่วไปเหมือนปูทะเล แตกต่างตรงที่ขอบระหว่างนัยน์ตาปูเขียวมีหนาม 4 อัน มีลักษณะมนปาน ฐานกว้างและชี้ออกด้านข้าง ส่วน ด้านข้างนัยน์ตาแต่ละข้างมีหนามข้างละ 8-9 อัน หนามแหลมที่ปล้องกลางของกล้ามไม่ชัดเจนทั้งด้านในและ ด้านนอก ก้ามไม่มีจุดสี ครึ่งล่างของหน้าก้ามมีสีน้ำตาล น้ำตาลแดง หรือแดง ไม่มีลายร่างแหบนรยางค์
5 3. ปูเขียว, ปูทองโหลง ชื่อวิทยาศาสตร์: Scylla serrata ลักษณะโดยทั่วไปเหมือนปูทะเลแตกต่าง ตรงที่ขอบระหว่างนัยน์ตาปูเขียวมีหนาม 4 อัน สูงยาวแต่ปลายทู่เมื่อเทียบกับปูชนิดอื่นฐานหนามแคบกว่าปู ขาวส่วนด้านข้างนัยน์ตาแต่ละข้างมีหนามข้างละ 8-9 อัน ปล้องกลางของกล้ามมีหนามแหลมชัดเจนทั้งด้านใน และด้านนอกทั้งขาและก้ามมีสีเขี้ยวเข้มหรือเขียวเหลือบม่วงมีจุดขาวเล็ก ๆ ประปรายและมีลายล่างแห่ชัดเจน ตัวผู้จะมีก้ามขนาดใหญ่แข็งแรงกว่าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัด เมื่อโตเต็มจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุลปูทะเล มัก สับสนกับปูขาวเนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงกัน 4.ปูม่วง ชื่อวิทยาศาสตร์: Scylla tranquebarica ลักษณะโดยทั่วไปเหมือนปูทะเลแตกต่างตรงที่ กระดองและปากมีสีน้ำตาลอ่อนปนม่วงหนาม 4 อันบริเวณขอบระหว่างนัยน์ตาสูงปานกลางและปลายมน ครึ่งบนด้านหน้าของก้ามไม่มีจุดสี ครึ่งล่างด้านหน้าของก้ามมีสีน้ำตาลหรือน้ำตาลม่วง มีลายล่างแห่ชัดเจน เฉพาะ 2 ขาคู่สุดท้ายปล้องกลางของกล้ามมีหนามแหลมคมชัดเจนทั้งด้านในและด้านนอก ฤดูกาลวางไข่ผสมพันธุ์ของปูทะเลอยู่ในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม และแม่ปูจะมีไข่ในระหว่างเดือน กันยายนตุลาคมปูทะเลสามารถวางไข่ได้ตลอดทั้งปีโดยจะวางไข่ชุกชุมในระหว่างเดือนสิงหาคม-ธันวาคมไข่ของ ปูทะเลจะมีสีส้มแดงเมื่อไข่แก่ขึ้นจะเป็นสีน้ำตาลเกือบดำซึ่งจะถูกปล่อยออกมานอกกระดองบริเวณใต้จับปิ้งมี น้ำหนักประมาณ 45 กรัม มีจำนวนประมาณ 1,800,000 ถึง 1,900,000 ฟอง โดยเฉลี่ยแล้วปูทะเลโตเต็มที่ตัว หนึ่งจะมีไข่จำนวนประมาณ 2,200,000 ถึง 2,800,000 ฟอง (อนุวัฒน์ และคณะ, 2548) ปูทะเลเจริญเติบโตโดยอาศัยการลอกคราบระยะเวลาตั้งแต่ลอกคราบหลบซ่อนตัวจนกระทั่งกระดอง ใหม่แข็งแรงสมบูรณ์เต็มที่แล้วสามารถออกมาจากที่ซ่อนได้กินเวลาประมาณ 7 วันเพื่อขยายขนาดกระดองปูมี องค์ประกอบหลักคือพอลิแซคคาไรด์ที่เรียกว่าไคตินและมีสารอนินทรีย์จำพวกแคลเซียมคาร์บอเนตอยู่ด้วยจึงมี ความแข็งแรงและไม่สามารถยึดขยายออกได้เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่คือมีเนื้อแน่นเต็มกระดองจึงจะมีการลอก คราบเพื่อขยายขนาดซึ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักและขนาดตัวโดยการสร้างกระดองใหม่มาแทนที่ระยะเวลาในการ ลอกคราบของปูจะเพิ่มมากขึ้นตามอายุของปู (อนุวัฒน์ และคณะ, 2548) เมื่อปูทะเลลอกคราบใหม่ๆ กระดอง ใหม่จะนิ่ม ผิวเปลือกย่นเรียกว่า "ปูนิ่ม" (soft shell crab) ซึ่งต่อมาจะค่อยๆ ดึงและแข็งตัวขึ้น ในระยะที่เป็น ปูนิ่มจะเป็นระยะที่ปูมีความ อ่อนแอมากที่สุด แทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้ จึงต้องหาที่หลบซ่อนตัวให้พ้นจากศัตรู ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่ลอกคราบจะหลบซ่อนจนกระทั่งกระดองใหม่แข็งแรงสมบูรณ์เต็มที่แล้วจะสามารถออกจาก ที่ซ่อนได้กินเวลาประมาณ 7 วัน ปูทะเลในเขตร้อนจะใช้ระยะเวลาในการเจริญเติบโตจนถึงขั้น สมบูรณ์เพศ ประมาณ 1 ปีครึ่ง (ปรีชา และ อัญจนา, 2546: อนุวัฒน์ และคณะ, 2548)
6 ปูทะเลเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมออกหากินในเวลากลางคืนหลังจากดวงอาทิตย์ตกประมาณ 1 ชั่วโมง และเข้าหลบซ่อนตัวก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นเพียงเล็กน้อย สำหรับอาหารที่ตรวจพบในกระเพาะอาหารของปูทะเล ได้แก่ หอยฝาเดียว หอยสองฝา กุ้ง ปู ปลา และเศษพืชปกติแล้วปูทะเลจะไม่กินอาหารที่มีการเคลื่อนที่หรือ สามารถหลบหลีกได้ดี เช่น ปลาและกุ้งเมื่อปูทะเลกินอาหารพบว่าอวัยวะสำคัญที่ใช้ในการดักจับเหยื่อและ ตรวจสอบวัสดุต่างๆว่าเป็นอาหารหรือไม่ คือ ส่วนปลายของขาเดินอาหารจะถูกส่งเข้าไปในปากผ่านไปถึง กระเพาะแล้วออกสู่ลำไส้ใหญ่ซึ่งทอดผ่านจับปิ้งกากอาหารจะถูกถ่ายออกมาทางปล้องปลายสุดของจับปิ้งการ เลือกแหล่งหากินของปูทะเล ปูทะเลแต่ละวัยหากินในบริเวณที่แตกต่างกัน คือ ปูวัยอ่อน (Juvenile ขนาด 20- 99 มิลลิเมตร) ปูทะเลหากินในบริเวณป่าชายเลนและอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ขณะที่น้ำทะเลได้ลดลงแล้ว ปูวัยรุ่น (Subadult ขนาด 100-149 มิลลิเมตร) เป็นพวกตามการขึ้นของน้ำเข้ามาหากินในบริเวณป่าชายเลนและกลับ ลงสู่ทะเลไปพร้อมๆกับน้ำทะเลปูโตเต็มวัย (Adult ขนาดตั้งแต่ 150 มิลลิเมตรขึ้นไป) มีการแพร่กระจายเข้ามา หากินพร้อมกับระดับน้ำที่สูงขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในระดับลึกกว่าน้ำลงต่ำสุด งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บังอร (2538) ทดลองเลี้ยงปูทะเลในบ่อคอนกรีตที่มีทรายรองพื้นเต็มบ่อแบบรวมและแบบแยกเลี้ยง แต่ละตัวโดยใช้กรงพลาสติกพบว่าแม่ปูสามารถปล่อยไข่ออกนอกกระดองเฉลี่ย 45.56 และ 54.44 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนแม่ปูทั้งหมด สุรชาติและคณะ (2538) ทดลองเลี้ยงแม่ปูทะเลระยะสมบูรณ์เพศให้มีไข่นอกกระดองในบ่อคอนกรีต ที่มีทรายรองพื้น ได้ผลผลิตแม่ปูไข่นอกกระดอง 38.32 เปอร์เซ็นต์ รัชฎา และสำรวย (2540) ทดลองเลี้ยงแม่ปูทะเลไข่ในกระดอง ขนาดความกว้างกระดองเฉลี่ย 10.74 เซนติเมตรน้ำหนักเฉลี่ย 249.28 กรัม เลี้ยงในบ่อดินเป็นระยะเวลา 113 วัน ได้ผลผลิตแม่ปูทะเลไข่ นอก กระดอง 27.12 เปอร์เซ็นต์ของแม่ปูทั้งหมด สุรชาติและสินธุวัฒน์ (2543) ได้ทดลองเลี้ยงแม่พันธุ์ปูทะเลให้มีไข่นอกกระดองจากปูทะเลเพศเมีย ระยะเจริญพันธุ์ขั้นที่ 2 ปล่อยให้ผสมพันธุ์กับปูทะเลเพศผู้ในบ่อคอนกรีตที่มีทรายรองพื้นเมื่อผสมพันธุ์เสร็จ แล้วจึงแยกแม่ปูออกมาเลี้ยงให้รังไข่พัฒนาจนปล่อยไข่ออกนอกกระดองได้ผลผลิต 37.78 เปอร์เซ็นต์
7 บทที่ 3 วิธีดำเนินการ 1) การคัดเลือกพันธุ์ปูทะเล แนวทางการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ปูทะเล 1. คัดเลือกจากลูกที่มีลักษณะดี โตเร็ว ต้านทานโรค มาเลี้ยงเพื่อสร้างเป็น พ่อแม่พันธุ์ในแต่ละรุ่น 2. คัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ปูทะเลจากธรรมชาติมาผสมกับพ่อแม่พันธุ์ปูทะเลที่ได้ จากการเพาะเลี้ยง 3. ป้องกันการผสมเลือดชิด การผสมเลือดชิดจะส่งผลให้ปูมีการเจริญเติบโตช้าได้ลูกน้อยและปูอาจอ่อนแอเกิดโรคง่ายโดยแนว ทางแก้ไขเบื้องต้น คือ เกษตรกรจะต้องเข้าใจและมีแผนการสร้างพันธุ์แต่ละรุ่นอย่างชัดเจนทำให้มีพ่อแม่พันธุ์ปู ทะเลจำนวนมากพอสำหรับการเพาะพันธุ์ในครอบครัวเดียวกันและไม่เป็นการผสมพันธุ์กัน และการนำพ่อแม่ พันธุ์ปูทะเลที่รวบรวมได้จากธรรมชาติมาวางแผนการผสมพันธุ์กับพ่อแม่พันธุ์ปูทะเลที่ได้จากการเพาะเลี้ยง การคัดเลือกแม่พันธุ์ทะเลไข่แก่ 1. คัดเลือกแม่พันธุ์ปูทะเลไข่ในกระดองที่มีไข่ระยะที่ 3 หรือ 4 ซึ่งสังเกตไข่ได้จากการใช้วัสดุที่มี ลักษณะแข็งและแบนราบเช่น มีดปลายทู่ เป็นต้น กดระหว่างส่วนท้ายของกระดองกับจับปิ้งเพื่อเปิดดูไข่ว่ามี ปริมาณเต็มกระดองหรือไม่ 2. น้ำหนักแม่ปูที่เหมาะสมสำหรับเป็นแม่พันธุ์คือ มีน้ำหนักตั้งแต่ 300 กรัม และ ขนาดความกว้าง กระดองตั้งแต่ 10 เซนติเมตรขึ้นไป 3. แม่พันธุ์ปูทะเลต้องมีลักษณะภายนอกที่สมบูรณ์ เช่น มีรยางค์ทุกส่วนครบสมบูรณ์เปลือกไม่กร่อน หรือเป็นแผลไม่มีเพรียงถั่วงอกหรือสิ่งอื่นๆเกาะติด เป็นต้น การจัดการแม่พันธุ์ปูไข่แกก่อนปล่อยลงบ่อขุนเลี้ยง 1. ก่อนปล่อยแม่ปูลงบ่อเลี้ยงต้องเอาน้ำในบ่อรดตัวปูหรือเอาปูแช่น้ำอย่างน้อย 15 นาทีเพื่อให้แม่ปู ปรับตัวกับน้ำในบ่อเลี้ยง 2. สังเกตอาการของปูหลังจากตัดเชือกที่มัดตัวปูออกว่าปูมีความแข็งแรงว่องไวหรือมีขาหรือก้ามหลุด หรือไม่ถ้ามีให้แยกแม่ปูเหล่านั้นไปไว้อีกบ่อหนึ่ง
8 2. สถานที่สำหรับการเพาะเลี้ยง การเลือกพื้นที่ทำเลที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการเลี้ยงปูทะเลโดยมีข้อพิจารณา ดังนี้ 1. อยู่บริเวณที่ได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเล ขึ้น - ลง โดยที่น้ำไม่ท่วมบ่อขณะเมื่อน้ำทะเลมีระดับสูงสุด และสามารถระบายน้ำแห้งได้เมื่อน้ำลงต่ำสุด 2. เป็นแหล่งน้ำกร่อย ซึ่งระดับความเค็มที่เหมาะสมในการเลี้ยงปูทะเล คือ 10 - 30 ส่วนในพันส่วน ตลอดทั้งปี 3. สภาพดินเป็นดินเหนียวหรือดินเหนียวปนทราย สามารถเก็บกักน้ำได้ดี 4. เป็นแหล่งที่สามารถจัดหาหรือรวบรวมพันธุ์ปูทะเลได้ง่าย 5. เป็นแหล่งที่ง่ายต่อการจัดหาอาหารสำหรับใช้เลี้ยงปู เช่น ปลาเป็ด หอยกะพง เป็นต้น 6. มีระบบสาธารณูปโภคและมีถนนเข้าออกฟาร์มที่สะดวก 7. ห่างไกลจากโรงงานอุตสาหกรรมและมลภาวะ 8. ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ 9. แหล่งน้ำโรงเพาะฟักปูทะเลควรอยู่ใกล้แหล่งน้ำทะเลที่มีความเค็มค่อนข้างสูงไม่ควรต่ำกว่า 30 ส่วนในพันส่วน และใกล้แหล่งน้ำจืด 10. สิ่งแวดล้อมควรห่างไกลจากแหล่งมลพิษ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม แหล่ง สารเคมีต่างๆ รวมไปถึง แหล่งน้ำทิ้งจากชุมชน 11. แหล่งแม่พันธุ์ในขบวนการผลิตลูกพันธุ์ปูทะเลถ้าสามารถผลิตแม่ปูทะเลไข่นอกกระดองให้ได้ จำนวนมากและมีคุณภาพจะส่งผลให้การผลิตลูกพันธุ์เป็นไปอย่างต่อเนื่องและได้ปริมาณมากในการเลือก สถานที่สำหรับโรงเพาะฟักปูทะเลจึงควรที่จะอยู่ ในพื้นที่ที่ใกล้แหล่งแม่พันธุ์ปูเพื่อสะดวกในการรวบรวม 12. การคมนาคม มีการขนส่งที่สะดวกมีถนนสำหรับรถยนต์สามารถเข้าออกได้ 13. สาธารณูปโภคมีระบบไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น ระบบโรงเพาะฟักปูทะเลควรประกอบด้วย 1.บ่อขุนเลี้ยงแม่พันธุ์ปูให้มีไข่นอกกระดองแยกเป็นสัดส่วนกับบ่ออนุบาลลูกปู
9 2. ถังหรือภาชนะไว้สำหรับให้แม่ปูไข่นอกกระดองฟักไข่เป็นตัวอ่อนระยะชูเอี้ย ส่วนใหญ่เลือกใช้เป็น ถังขนาด 100-300 ลิตร เพื่อสะดวกและง่ายในการจัดการ 3. บ่ออนุบาลลูกปูวัยอ่อนเป็นบ่อที่ใช้อนุบาลลูกปูตั้งแต่ระยะซูเอี้ยถึงระยะยังแครบโดยส่วนใหญ่จะใช้ บ่อคอนกรีตขนาด 2 ตันขึ้นไป 4. ถังเพาะไรน้ำเค็ม (อาร์ทีเมีย) นิยมใช้ถังไฟเบอร์กลาสทรงกรวยขนาด 1 ตัน 5. ถังและบ่อเพาะแพลงก์ตอนพืช 6. บ่อคอนกรีตสำหรับเพาะโรติเฟอร์ 1) วิธีการ วิธีการเลี้ยงปูทะเล ประเภทการเลี้ยงปูทะเลที่นิยมเลี้ยงกันทั่วๆไปมีอยู่ 3 วิธี 1. การขุนปูจะใช้ระยะเวลาค่อนข้างสั้น คือ ประมาณ 15 -30 วัน โดยน า ปูที่มีขนาดตั้งแต่ 2 - 4 ตัว ต่อกิโลกรัมซึ่งเป็นปูที่มีเนื้อน้อยหรือมีไข่อ่อนมาขุนโดยปูไม่ได้ผ่านการลอกคราบเป็นเพียงการที่ปูสร้างเนื้อหรือ ไข่ให้แน่นเต็มกระดองส่วนใหญ่จะนิยมขุนเลี้ยงในบ่อดินซึ่งมีขนาดเล็ก พื้นที่ประมาณไม่เกิน 1 ไร่ เพื่อง่ายใน การเก็บเกี่ยวผลผลิตอัตราการรอดตายสูง 80 -90 เปอร์เซ็นต์ การจัดการขุนเลี้ยงแม่พันธุ์ปูทะเลไข่แก่ให้มีไข่นอกกระดอง ในการผลิตแม่ปูทะเลไข่นอกกระดองโดยทั่วไปจะนิยมเลี้ยงในบ่อคอนกรีตเพราะสะดวกในการจัดการ ง่ายต่อการตรวจเช็คแม่ปูไข่นอกกระดองและได้แม่ปูที่สะอาดและมีคุณภาพซึ่งมีการจัดการก่อนและระหว่าง เลี้ยง ดังนี้ อัตราการปล่อยแม่ปูทะเล 1 ตัวต่อตารางเมตร ความเค็มน้ำทะเลที่เหมาะสมในการผลิตแม่ปูทะเลไข่นอกกระดองอยู่ระหว่าง 30 -35 ส่วนในพันส่วน ระดับความลึกของน้ำในบ่อเลี้ยง คือ 30 - 40 เซนติเมตร ซึ่งสะดวกและง่ายต่อการตรวจเช็คแม่ปูไข่นอก กระดอง 1) ปูพื้นบ่อด้วยทรายที่มีเศษเปลือกหอยหรือเศษปะการังหักๆ ประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของพื้นบ่อ เพื่อให้แม่ปู ใช้ฝังตัวและในขั้นตอนที่แม่ปูปล่อยไข่ออกมาข้างนอกเพื่อที่จะเก็บไว้ที่จับปิ้ง พื้นทรายมีส่วนช่วยให้แม่ปู รวบรวมไข่ไว้ที่จับปิ้งได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ควรใช้ทรายละเอียดหรือทรายขี้เป็ดมาปูพื้นบ่อเพราะจะทำ ให้ เกิดการหมักของเชื้อโรคได้ง่ายและเกิดก๊าซไข่เน่า (H2S)
10 2) การให้อาหารอาหารที่นำมาขุนเลี้ยงแม่ปู เช่น หอยแครง หอยแมลงภู่ เพรียงทราย หมึก หรือปลาหลังเขียว ซึ่งควรเป็นอาหารที่สดปราศจากการปนเปื้อนของ เชื้อโรคโดยให้วันละมื้อในตอนเย็นในปริมาณมากเกินพอ 3) ระบบน้ำมีการขุนเลี้ยงแม่ปูทั้งในระบบน้ำแบบปิด (recirculating system) โดยนำน้ำในบ่อเลี้ยงกลับมาใช้ ใหม่และระบบน้ำไหลผ่านตลอด (flow though) 4) ระยะเวลาขุนเลี้ยงนาน 3 สัปดาห์ - 3 เดือน แม่ปูก็จะมีไข่นอกกระดอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของแม่ พันธุ์ 1. การเลี้ยงปูขนาดเล็กให้เป็นปูขนาดใหญ่โดยส่วนใหญ่จะนำปูขนาดเล็กซึ่งมีขนาดประมาณ 6 -20 ตัวต่อ กิโลกรัม มาเลี้ยงในระยะเวลาตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปจนได้ปูขนาดใหญ่ระยะเวลาการเลี้ยงขึ้นอยู่กับขนาดพันธุ์ ปูที่นำมาปล่อยเลี้ยงการเลี้ยงปูเล็กให้เป็นปูใหญ่ปูจะผ่านการลอกคราบหลายครั้งมีโอกาสสูญเสียเยอะ เนื่องจากปูเมื่อลอกคราบแล้วจะกินกันเองหรือปูอาจจะลอกคราบไม่ออกจึงทำให้การเลี้ยงลักษณะนี้มีอัตรา การรอดตายน้อยกว่าการขุนปู คือ มีอัตรารอดตายประมาณ 50 - 70 เปอร์เซ็นต์ 2. การเลี้ยงปูนิ่ม ปูที่ลอกคราบใหม่ๆ ไม่เกิน 4 –6 ชั่วโมงกระดองยังมีลักษณะเป็นแผ่นเนื้อเยื่อบางๆ นิ่ม ไม่ แข็งตัวรวบรวมพันธุ์ปูขนาด 12 -18 ตัวต่อกิโลกรัม มาเลี้ยงเพราะมีราคาถู และเมื่อลอกคราบแล้วจะได้ปู ขนาดประมาณ 8 –12 ตัวต่อกิโลกรัมถ้านำปูใหญ่มาทำปูนิ่มจะทำให้ประสบปัญหาในเรื่องต้นทุนที่สูงเพราะ ราคาขายปูนิ่มไม่ได้ต่างกันมากพันธุ์ปูที่ใช้ควรเป็นปูที่อยู่ในระยะลอกคราบที่ 3 หรือใกล้ลอกคราบ การเลี้ยงปูทะเลในบ่อดิน การเลี้ยงปูทะเลในบ่อดินเป็นอาชีพที่กำลังได้รับความสนใจในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเนื่องจากเป็น อาชีพที่ใช้เงินทุนไม่มากและมีความเสี่ยงน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการเลี้ยงกุ้งทะเลซึ่งปัจจุบันปูทะเลเป็นสัตว์น้ำ ที่ตลาดมีความต้องการสูงเนื่องจากได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพราะปูทะเลมีรสชาติดีประกอบอาหาร ได้ หลากหลายจึงส่งผลให้ราคาปูทะเลมีราคาสูงด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดสุ ราษฎร์ธานีและพื้นที่ใกล้เคียงมีความสนใจเลี้ยงปูทะเลกันอย่างกว้างขวางดังนั้นบทความเรื่องการเลี้ยงปูทะเล ในบ่อดินเรื่องนี้หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจเลี้ยงปูทะเลในบ่อดินได้นำข้อมูลไปปรับ ใช้กับ การเลี้ยงของเกษตรกรเพื่อสร้างความยั่งยืนด้านการเลี้ยงปูต่อไป 1. การเตรียมบ่อใช้บ่อดินขนาด 1 ไร่ ขุดขาวังกว้าง 2 เมตร ลึก 80 เซนติเมตร 3 ด้าน กั้นบ่อด้วยพลาสติกพีอี กันปูปืนออกให้รอบบ่อเลี้ยง และตากบ่อทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หว่านปูนขาว 500 กิโลกรัม ต่อไร่ เพื่อปรับสภาพ พื้น บ่อหลังจากนั้นนำน้ำในบ่อพักน้ำเข้าบ่อให้ได้ระดับความลึก 0.80-1.0 เมตร โดยมีการกรองด้วยตาข่าย ไนลอน ขนาด 16 ตาต่อนิ้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกปลาติดเข้ามาในบ่อเลี้ยง
11 2.การเลี้ยงปูทะเล เตรียมกระชังตาข่ายไนลอน(มุ่งฟ้า) ขนาด 2x10x1 เมตร ลงแขวนไว้ในบ่อเลี้ยงเพื่ออนุบาลลูกปู ทะเลโดย ในกระชังมีการใส่เนื้ออวนไนลอน(อวนทำการประมงปูม้าที่ชำรุดแล้ว) มัดรวมกันเป็นกระจุกเพื่อเป็น ที่ หลบซ่อนป้องกันการกินกันเองของลูกปูในช่วงลอกคราบ นำลูกพันธุ์ปูทะเล ขนาด 0.5 เซนติเมตรจากโรงเพาะฟักมาเลี้ยงในกระชังอนุบาลที่เตรียมไว้ในอัตราส่วน 100 ตัวต่อตารางเมตรให้ อาหารกุ้งขาวแวนนาไม (เบอร์2) ในอัตราส่วน 100 % ของน้ำหนักตัว วันละ 2 มื้อ เช้าและเย็น อนุบาล เป็นเวลา 2 สัปดาห์ได้ลูกปู ทะเลขนาดความกว้างกระดองเฉลี่ย 1.50 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 0.9-1.0 กรัมต่อตัว อัตราการรอดตาย 60- 70 % ซึ่งลูกปูที่ได้มีความแข็งแรงมากขึ้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ในบ่อดิน ได้ดีกว่าลูกปูขนาดเล็กที่ไม่ได้อนุบาลต่อจากนั้นนำลูกปูทะเลขนาดความกว้างกระดองประมาณ 1.50 เซนติเมตรที่ได้จากการอนุบาลในกระชังปล่อยลงเลี้ยงในบ่อดินขนาด 1 ไร่ ในอัตราส่วน 1 ตัวต่อตาราง เมตรให้อาหารกุ้งขาวแวนนาไม วันละ 2 มื้อ เช้า-เย็น โดยในช่วงอายุ 1 เดือนแรก ให้อาหาร 50 % ของ น้ำหนักตัว อายุ 2-5 เดือนให้อาหาร 3% ของน้ำหนักตัว ในระหว่างการเลี้ยงสุ่มชั่งวัดขนาดปูทะเลเพื่อดู อัตราการเจริญเติบโตและปรับปริมาณอาหารทุกเดือน
12 บทที่ 4 ผลและวิจารณ์ผลการทดลอง
13 บทที่ 5 สรุปผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง วิจารณ์ผลการทดลอง ข้อเสนอแนะ
14 อ้างอิง ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งกรมประมง 2564. จากhttps://www4.fisheries.go.th นายอนุรักษ์ รัตนโชติ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งและคณะ กองส่งเสริมการประมง กรมประมง. ศึกษาการเลี้ยงปูทะเล จาก https://www.eto.ku.ac.th/ สิริวรรณ หนูเซ่ง .ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง เขต3 . ศึกษาการเพาะพันธุ์และอนุบาลลูกปูทะเล จาก https://www4.fisheries.go.th ชูชาติชัยรัตน์, 2538. "การศึกษาเกี่ยวกับปูทะเล" รายงานประจําปี 2528-2529. สถานีประมงนํ้ากร่อย จังหวัด จันทบุรีกรมประมง : 23-28 สุภาพ ไพรพนาพงศ์และทวีศักดิ์ยังวนิชเศรษฐ, 2534. "การทดลองเลี้ยงปูทะเล" วารสารการประมง ปีที่ 44(3): 229-232. สิริทุกข์วินาศ และทวีศักดิ์ยังวนิชเศรษฐ, 2529. "การเลี้ยงปูทะเลขุนที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี" วารสารการประมง ปีที่ 39(4): 377-382.
15