The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานผลการจัดการศึกษาต่อเนื่องโครงการอบรมด้านการป้องกันมลพิษและการรณรงค์ลดการเผา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pathchirana Chbysw, 2024-04-23 02:49:34

รายงานผลการจัดการศึกษาต่อเนื่องโครงการอบรมด้านการป้องกันมลพิษและการรณรงค์ลดการเผา

รายงานผลการจัดการศึกษาต่อเนื่องโครงการอบรมด้านการป้องกันมลพิษและการรณรงค์ลดการเผา

เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๑


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๒ บันทึกข้อความ ส่วนราชการ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอพาน โทร. 053-722693 ที่ ศธ. 07042.09/ วันที่ เดือนเมษายน พ.ศ.2567 เรื่อง รายงานผลการจัดการศึกษาต่อเนื่องโครงการอบรมด้านการป้องกันมลพิษและการรณรงค์ลดการเผา เรียน ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอพาน เรื่องเดิม ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอพาน อนุญาตให้จัดการศึกษาต่อเนื่องโครงการอบรมด้านการป้องกัน มลพิษและการรณรงค์ลดการเผา ข้อเท็จจริง บัดนี้ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเสร็จสิ้นแล้ว จึงขอรายงานผลการจัดการศึกษาต่อเนื่อง โครงการอบรมด้านการป้องกันมลพิษและการรณรงค์ลดการเผา สถานที่จัด องค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง หมู่ที่ 1 ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 21 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เวลา 08.30 – 16.30 น. จำนวนผู้เรียน รวมทั้งหมด 30 คน จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและดำเนินการต่อไป (นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์) ครู กศน.ตำบลป่าหุ่ง


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๓ คำนำ สรุปผลการจัดการศึกษาต่อเนื่องโครงการอบรมด้านการป้องกันมลพิษและการรณรงค์ลดการเผา สถานที่ จัด องค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง หมู่ที่ 1 ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย วันที่ 21 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เวลา 08.30 – 16.30 น. จำนวนผู้เรียนทั้งหมด 30 คน โดยมี จ่าสิบเอกราชันย์ บุญเรือง เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตำบลป่าหุ่ง เป็นวิทยากรให้ความรู้จัดขึ้นตามแผนประจำปี 2567 ของ ศกร. ตำบลป่าหุ่ง สังกัดศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอพาน โดยการประชุมและการสำรวจความต้องการของผู้เรียน ทั้งนี้การจัดการเรียนการสอนได้ยืดหยุ่นตามสภาพในการดำรงชีวิตของผู้เรียน โดยวิทยากรผู้สอนมีกระบวนการใน การถ่ายทอดความรู้ ได้เป็นอย่างดี ผู้จัดทำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดการเรียนการสอนในครั้งนี้ ผู้เรียนจะได้รับความรู้นำไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ และขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้ ให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมครั้งนี้จนสำเร็จบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ด้วยดี ปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ผู้จัดทำ


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๔ สารบัญ หน้า คำนำ .................................................................................................................................................... ก สารบัญ ................................................................................................................................................ ข แบบรายงานผลจัดกิจกรรม.................................................................................................................... 5 บทที่ 1 บทนำ............................................................................................................................ 5 บทที่ 2 เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง.......................................................................................................... 6 บทที่ 3 วิธีดำเนินการ................................................................................................................ 11 บทที่ 4 ผลการดำเนินการ......................................................................................................... 12 บทที่ 5 สรุป อภิปรายรายงานและข้อเสนอแนะ……………………………………………………………… 13 ภาคผนวก ภาคผนวก ก ภาพประกอบการรายงานผลการจัดกิจกรรม ภาคผนวก ข แบบติดตามผู้เข้าร่วมโครงการ (ผู้จบหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องนำความรู้ไปใช้) ภาคผนวก ค แบบประเมินความพึงพอใจผู้เรียนผู้ใช้บริการ/ผู้เข้าร่วมโครงการ ภาคผนวก ง โครงการ / แบบขออนุญาตจัดการศึกษาต่อเนื่อง ภาคผนวก จ ใบสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๕ ปัญหามลพิษทางอากาศในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยเป็นปัญหาสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมเนื่องจาก ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งทางด้านผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิ ต้านทานต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ และบดบังทัศนวิสัยเป็นอุปสรรคในการคมนาคม และขนส่ง การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และระบบนิเวศป่าไม้ รวมทั้งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวที่เป็นระบบ เศรษฐกิจที่สำคัญของพื้นที่ ซึ่งความรุนแรงของปัญหาโดยทั่วไปปรากฏชัดเจน ในช่วงหน้าแล้ง เดือนมกราคม – เดือนพฤษภาคมของทุกปี ที่มีสภาวะอากาศที่แห้ง ทำให้ฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นสามารถแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศได้ นาน นอกจากนี้ยังพบว่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กเพิ่มขึ้นเนื่องจากความแห้งแล้งที่ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของไฟ ป่า ประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าว การเผาเศษวัชพืชและการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับ ทำการเกษตรในช่วงฤดูฝน ซึ่งประกอบกับภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะและ มีภูเขาล้อมรอบ จึงทำให้เพิ่ม ความรุนแรงของปัญหายิ่งขึ้นและเกิดจากปัญหาหมอกควันข้ามแดนจากการเกิด ไฟป่าที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ติด พรมแดน และตามที่สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเชียงราย ร่วมแสดงเจตนารมย์ในการรณรงค์และส่งเสริม สนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหา หมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ตามนโยบายของจังหวัด เชียงราย ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอพานมีหน้าที่การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน ให้ชุมชนพึ่งตนเอง ได้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มีความเอื้ออาทร มีคุณธรรม จริยธรรม สืบทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญาและ ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม จึงได้จัดโครงการอบรมด้านป้องกันมลพิษ ทางและการรณรงค์ลดการเผา เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับจัดฝึกอบรมและรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันแบบบูรณาการ และลดปัจจัยเสี่ยงด้านมลพิษ ทางอากาศที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจการลดการเผาขยะทุกชนิด ป้องกันหมอกควันและแก้ไขปัญหา มลพิษอากาศ 2. เพื่อให้ประชาชนรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์มากที่สุดและเห็นความสำคัญของการมี สิ่งแวดล้อมที่ดี ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในการลดการเผาขยะทุกชนิด ป้องกันหมอกควันและแก้ไขปัญหามลพิษ อากาศ 2. ประชาชนรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์มากที่สุดและเห็นความสำคัญของการมีสิ่งแวดล้อม ที่ดี บทที่ 1 บทนำ


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๖ ไฟป่า คืออะไร? ไฟป่า หมายถึง ไฟที่เกิดจากสาเหตุใดก็ตามแล้วลุกลามไหม้ในป่าได้โดยอิสระโดยไม่สามารถควบคุมได้ ไม่ ว่าไฟจะลุกลามไหม้ในป่าธรรมชาติ หรือพื้นที่สาธารณะไฟป่าส่วนใหญ่เกิดจากความร้อนและความแห้งของอากาศ ที่ทำให้พื้นที่หรือป่าแห้งและเกิดเป็นเปลวไฟ ซึ่งมักจะเกิดในช่วงฤดูแล้งที่มีอากาศร้อนจัด ซึ่งหากไฟป่ามีขนาดพื้นที่ ไม่ใหญ่มากนัก จะสามารถดับได้โดยทีมผู้สืบสวนและทีมผู้ดับเพลิง โดยอาศัยการใช้น้ำและอุปกรณ์ดับเพลิงต่างๆ เช่น หัวฉีดน้ำ เครื่องดับเพลิง หรือถังน้ำแรงดันสูง สาเหตุของไฟป่า การเกิดไฟป่ามีได้หลากหลายสาเหตุด้วยกัน โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ไฟป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดจากฟ้าผ่า อากาศร้อนขึ้น แสงตกกระทบกับผลึกหิน กิ่งไม้เสียดสี กัน ภูเขาไฟระเบิด 2. ไฟป่าที่มีสาเหตุมาจากมนุษย์ การหาของป่า การจุดกระตุ้นการงอกของเห็ด หรือพืชบางชนิดโดย รวมถึงการจุดเพื่อให้ป่าโล่งเพื่อลักลอบทำปศุสัตว์ อันตรายจากไฟป่า ไฟป่าก่อเกิดความเสียหายอย่างมาก หากเกิดการไหม้ในวงกว้างทำให้สูญเสียพื้นที่ป่า ทำให้แหล่งที่อยู่อาศัย ของสัตว์ป่าถูกทำลาย ทำลายแหล่งอาหารของสัตว์ป่า สัตว์บางชนิดที่เคลื่อนที่ช้าจะถูกรมควันโดนไฟคลอกตายหรือ สัตว์ป่าบางชนิดอาจเกิดการสูญพันธุ์ ไฟป่ามีอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม การเกิดไฟป่าจะทำให้เกิดเขม่าเป็น จำนวนมากทั้งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและฝุ่นที่มองไม่เห็นมีขนาดเล็กขนาดเท่า PM10 หรือ PM2.5 ฝุ่น จากการเผาไหม้นี้สามารถลอยตามลมไปได้ไกลเป็นร้อยกิโลเมตรและสามารถลอยอยู่บนชั้นบรรยากาศได้นานนับ เดือนหากไม่มีฝนตกลงมา และเขม่าจากการเผาไหม้พวกนี้สามารถเป็นสารก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อร่างกายและ ผิวหนังของมนุษย์ หากสูดดมเข้าไปมากๆ จะสะสมในร่างกายก่อให้เกิดอาการแพ้หรือก่อให้เกิดโรคร้ายแรงได้ เช่น โรคหอบหืด โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคมะเร็ง สำหรับคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายได้อาการสังเกตอาการ ได้อย่างชัดเจนหรือสะสมในร่างกายและส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวเป็นสิบปี ไฟป่า (Wildfire) คือ ไฟที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงธรรมชาติ เช่น เศษดิน เศษหญ้า กิ่งไม้ และใบไม้แห้ง รวมไปถึงต้นไม้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ภายในป่า (Forest) หรือสวนป่า (Urban Forest) จนเกิดไฟลุกไหม้ที่ปราศจากการควบคุม สามารถ ลุกลามต่อเนื่องไปได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่มีขอบเขต ไฟป่าสามารถเกิดได้เองตามธรรมชาติ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ น้อยมากๆ ซึ่งในบางครั้งเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศป่าไม้เช่น ป่าเต็งรัง ในต้นฤดูแล้งใบไม้ในป่าจะพร้อมใจกัน ผลัดใบเป็นสีแดง เหลือง ส้ม อย่างสวยงาม แล้วจะสลัดใบทิ้งจนหมดกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี เพื่อเป็นการคัดเลือก พันธุ์ไม้และทำให้พืชบางชนิดมีเปลือกเมล็ดที่ แข็งเกิดการงอกของต้นอ่อนทันที เป็นการช่วยในการขยายพันธุ์ของ พืชจำพวกนี้ ในต่างประเทศ ปัจจัยทางธรรมชาติที่สามารถเกิดได้หลายรูปแบบ สิ่งที่สามารถเป็นประกายไฟได้ เด่นชัดที่สุด คือ ฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นโดยไม่มีฝนตกร่วม เช่น ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นราว 11,000 ครั้งทางตอนเหนือ และตอนกลางของรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2020 เนื่องจากป่าช่วยจำกัดอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นด้วยการเก็บกักคาร์บอนที่ บทที่ 2 เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๗ เป็นตัวการที่ทำให้โลกร้อนขึ้นเอาไว้ ดังนั้นแล้ว การเกิดฟ้าผ่ามากขึ้นอาจทำให้เกิดวงจรที่เลวร้าย เมื่อต้นไม้และผืน ดินที่ติดไฟปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ส่งผลให้ยิ่งมีโอกาสเกิดพายุบ่อยขึ้น ซึ่งนั่นก็อาจทำให้เกิดฟ้าผ่า บ่อยขึ้นซ้ำอีกด้วย ทั้งนี้ สาเหตุหลักของไฟป่าที่พบในปัจจุบันนั้นมักเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การลอบ วางเพลิง การตั้งแคมป์กองไฟที่ไม่ได้รับการดูแล สามารถเกิดได้จากสิ่งเล็กๆ อย่างก้นบุหรี่ที่ยังไม่ได้ดับรวมถึงการ เผาขยะ และจุดเพื่อเหตุผลทางการเกษตร จนลามจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง จากการลามของเชื้อไฟหรือถูก กระแสลมพัดเอาเศษซากเชื้อไฟกระจายไปยังพื้นที่ป่าใกล้เคียงได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันได้มีการพิจารณาบทบาทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่ามีส่วนทำให้ไฟป่า มีความเลวร้ายลงมากขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น และช่วงฤดูแล้งยาวนานขึ้น รูปแบบหยาดน้ำฟ้า (Precipitation) ที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยที่พื้นผิวโลกสูงขึ้น การระเหยจะเกิดมากขึ้น ซึ่งในทางกลับกัน ปริมาณน้ำฝนโดยรวมจะเพิ่มขึ้น แต่ส่งผลพืชพรรณในบางพื้นที่นั้นแห้งมากขึ้นและเสี่ยงต่อการติดไฟมากขึ้น และฤดู ของไฟป่าก็ยาวนานขึ้นจากความแห้งของอากาศ สิ่งนี้นำไปสู่ไฟป่าที่ใหญ่ขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นซึ่งยากต่อการจัดการ ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อไฟป่านั้น ปรากฏชัดในฤดูไฟป่าของออสเตรเลีย ระหว่างปี 2019-2020 หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ฤดูร้อนสีดำ’ (Black summer) และไฟป่าที่เกิดขึ้นในโปรตุเกสในปี 2017 ถือเป็นสองตัวอย่างที่น่าสนใจของภัยคุกคามจากไฟป่าทั่วโลก ในประเทศออสเตรเลีย สภาพอากาศแห้งแล้ง เป็นเวลานาน อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น และลมแรงจัด ส่งผลให้เกิดสภาวะระเบิดที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ ที่สร้างความ เสียหายร้ายแรง ไฟเหล่านี้เผาผลาญพื้นที่กว่า 100 ล้านไร่ ทำลายบ้านเรือนหลายพันหลัง และก่อให้เกิดการสูญเสีย ชีวิตและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีนัยสำคัญ ภัยพิบัติครั้งนั้นเน้นย้ำถึงอิทธิพลอันลึกซึ้งของการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความถี่และความรุนแรงของไฟป่า เมื่อเกิดไฟป่า การสูญเสียทางนิเวศวิทยาที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือทรัพยากรป่าไม้ รวมถึงความหลากหลาย ทางชีวภาพอันกว้างใหญ่ภายในแหล่งที่อยู่อาศัยเหล่านี้ พืชและสัตว์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นและไม่สามารถทดแทน ได้ ต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์ ทำลายระบบนิเวศ และนำไปสู่ความไม่สมดุลของระบบนิเวศในระยะยาว ดินซึ่งเป็น องค์ประกอบพื้นฐานของระบบนิเวศป่าไม้ เผชิญกับความเสื่อมโทรม สูญเสียความอุดมสมบูรณ์และอินทรียวัตถุ การสูญเสียนี้เพิ่มความเสี่ยงจากการกัดเซาะและลดความสามารถในการฟื้นฟูของที่ดิน ป่าไม้มีบทบาทสำคัญในการ กักเก็บคาร์บอน แต่ไฟป่าส่งผลกระทบต่อการทำงานนี้โดยการปล่อยคาร์บอนที่สะสมออกสู่ชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้ วิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกรุนแรงขึ้น ในเวลาเดียวกัน หน้าที่สำคัญในการควบคุมวัฎจักรของน้ำในท้องถิ่นและระดับ ภูมิภาคจะหยุดชะงัก ส่งผลต่อรูปแบบของการตกตะกอนและคุณภาพน้ำ ความกังวลเร่งด่วนที่สุดสำหรับสัตว์ป่าคือการสูญเสียถิ่นที่อยู่ ซึ่งบังคับให้พวกมันต้องหนีไปยังพื้นที่แห่งใหม่ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกล่า ความอดอยาก และความขัดแย้งกับมนุษย์ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากอันตรายที่เกิดขึ้น ในทันทีเหล่านี้ ผลที่ตามมาของไฟป่ายังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญของสัตว์ป่าอีกด้วย เนื่องจากอาจประสบ ปัญหาระบบทางเดินหายใจเนื่องจากการสูดดมควันและเถ้าถ่าน ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับความเครียด และความ เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และการเข้าถึงน้ำสะอาดและอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ที่ลดลง ไฟป่ามีผลกระทบต่อสุขภาพหลายประการต่อมนุษย์ปัญหาระบบทางเดินหายใจเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในวง กว้างและเกิดขึ้นทันที ควันไฟป่าเป็นส่วนผสมที่ซับซ้อนของฝุ่นละออง คาร์บอนมอนอกไซด์ สารประกอบอินทรีย์


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๘ ระเหยง่าย และมลพิษที่เป็นอันตรายอื่นๆ ที่อาจทำให้โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease หรือ COPD) และโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ แย่ลง ผลพวงของไฟป่าอาจทำให้แหล่งน้ำปนเปื้อนสารเคมีและเศษขยะ ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างรุนแรงต่อ มนุษย์และสัตว์ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคทางน้ำและส่งผลกระทบต่อน้ำดื่มและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร อีกทั้งยังอาจทำให้ เกิดความไม่สมดุลของระบบนิเวศ ซึ่งอาจส่งผลให้มนุษย์และสัตว์ป่าเผชิญหน้ากันบ่อยขึ้น ส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคจากสัตว์สู่คนได้ นอกจากนี้ การทำลายสิ่งกีดขวางทางธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สามารถขัดขวาง รูปแบบของโรคที่มีแมลงเป็นพาหะ ซึ่งอาจนำไปสู่การระบาดของโรคต่าง ๆ เช่น ไวรัสเวสต์ไนล์ (West Nile Virus) โรคไลม์ (Lyme disease) การติดเชื้ออื่น ๆ ที่ติดต่อโดยยุง เห็บ และหมัด ไฟป่ามีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง อาทิการสูญเสียไม้มีค่าทางเศรษฐกิจและทรัพยากรป่าไม้อื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชุมชนท้องถิ่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะต้องปรับปรุงเช่นกัน ผลกระทบ ของไฟลุกลามไปไกลกว่าพื้นที่ป่า เนื่องจากทรัพย์สิน บ้าน และโครงสร้างพื้นฐานถูกทำลาย นำไปสู่ความยากลำบาก ทางการเงินและทางอารมณ์สำหรับบุคคลและชุมชน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวเป็นสิ่งที่ท้าทาย โดยต้อง ใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการฟื้นฟูและการปลูกป่า และมักจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจะ ฟื้นตัวเต็มที่ ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับไฟเกิดขึ้นเพิ่มเติม อาทิ การจัดบุคลากร ดับเพลิง เฮลิคอปเตอร์ และยานพาหนะภาคพื้นดิน ตลอดจนการบำรุงรักษาและใช้งานอุปกรณ์และโครงสร้าง พื้นฐานที่จำเป็น ความพยายามทั้งทางร่างกายและจิตใจของนักดับเพลิงพร้อมทั้งทีมสนับสนุน มีความเสี่ยงตลอด ภารกิจจากการบาดเจ็บและเสียชีวิต สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน ได้มีการออกกฎหมายการเผาป่าในเขตอุทยานซึ่งมีโทษหนัก จำคุกสูงสุด 20 ปี ปรับสูงสุด 2 ล้านปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แจ้งเตือน หากจุดไฟแล้วเกิดลุกลามเข้าพื้นที่ป่า จะเป็นการตั้งใจหรือไม่ก็ ตาม จะได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ บุคคลใดเผาป่าในอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์หรือ สวนรุกขชาติ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี หรือปรับตั้งแต่ 400,000-2,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับตาม มาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 สาเหตุการเกิดไฟป่า ไฟป่าเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ 1. เกิดจากธรรมชาติ ไฟป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่นฟ้าผ่า กิ่งไม้เสียดสีกัน ภูเขาไฟระเบิด ก้อนหิน กระทบกัน แสงแดดตกกระทบผลึกหิน แสงแดดส่องผ่านหยดน้ำ ปฏิกริยาเคมีในดินป่าพรุ การลุกไหม้ในตัวเองของ สิ่งมีชีวิต (Spontaneous Combustion) แต่สาเหตุที่สำคัญ คือ 1.1 ฟ้าผ่า เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดไฟป่าในเขตอบอุ่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศ แคนาดา พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของไฟป่าที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากฟ้าผ่า ทั้งนี้โดยที่ฟ้าผ่าแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๙ (1) ฟ้าผ่าแห้ง (Dry or Red Lightning) คือฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นในขณะที่ไม่มีฝนตก มักเกิด ในช่วงฤดูหนาวไปจนถึงเข้าฤดูร้อน (ซึ่งมีอากาศแห้ง) สายฟ้าจะเป็นสีแดง เกิดจากเมฆที่เรียกว่า เมฆฟ้าผ่า ซึ่งเมฆดังกล่าวจะมีแนวการเคลื่อนตัวที่แน่นอนเป็นประจำทุกปี ฟ้าผ่าแห้งเป็นสาเหตุ สำคัญของไฟป่าในเขตอบอุ่น (2) ฟ้าผ่าเปียก (Wet or Blue Lightning) คือฟ้าผ่าที่เกิดควบคู่ไปกับการเกิดพายุฝนฟ้า คะนอง (Thunderstorm) ดังนั้นประกายไฟที่เกิดจากฟ้าผ่าจึงมักไม่ทำให้เกิดไฟไหม้ หรืออาจเกิด ได้บ้างแต่ไม่ลุกลามไปไกล เนื่องจากความชื้นสัมพัทธ์และความชื้นของเชื้อเพลิงสูง ฟ้าผ่าในเขต ร้อนรวมถึงประเทศไทยมักจะเป็นฟ้าผ่าเปียก จึงแทบจะไม่เป็นสาเหตุของไฟป่าในเขตร้อนนี้เลย 1.2 กิ่งไม้เสียดสีกัน อาจเกิดขึ้นได้ในพื้นที่ป่าที่มีไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นและมีสภาพอากาศแห้งจัด เช่น ในป่าไผ่หรือป่าสน 2. สาเหตุจากมนุษย์ ไฟป่าที่เกิดในประเทศกำลังพัฒนาในเขตร้อนส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย์ สำหรับ ประเทศไทยจากการเก็บสถิติไฟป่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 – 2542 ซึ่งมีสถิติไฟป่าทั้งสิ้น 73,630 ครั้ง พบว่าเกิดจาก สาเหตุตามธรรมชาติคือฟ้าผ่าเพียง 4 ครั้ง เท่านั้น คือเกิดที่ภูกระดึง จังหวัดเลย ที่ห้วยน้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ท่า แซะ จังหวัดชุมพร และที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา แห่งละหนึ่งครั้ง ดังนั้นจึงถือได้ว่าไฟป่าในประเทศไทย ทั้งหมดเกิดจากการกระทำของคน โดยมีสาเหตุต่าง ๆ กันไป ได้แก่ 2.1 เก็บหาของป่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟป่ามากที่สุด การเก็บหาของป่าส่วนใหญ่ได้แก่ ไข่มด แดง เห็ด ใบตองตึง ไม้ไผ่ น้ำผึ้ง ผักหวาน และไม้ฟืน การจุดไฟส่วนใหญ่เพื่อให้พื้นป่าโล่ง เดินสะดวก หรือ ให้แสงสว่างในระหว่างการเดินทางผ่านป่าในเวลากลางคืน หรือจุดเพื่อกระตุ้นการงอกของเห็ด หรือกระตุ้น การแตกใบใหม่ของผักหวานและใบตองตึง หรือจุดเพื่อไล่ตัวมดแดงออกจากรัง รมควันไล่ผึ้ง หรือไล่แมลง ต่างๆ ในขณะที่อยู่ในป่า 2.2 เผาไร่ เป็นสาเหตุที่สำคัญรองลงมา การเผาไร่ก็เพื่อกำจัดวัชพืชหรือเศษซากพืชที่เหลืออยู่ ภายหลังการเก็บเกี่ยว ทั้งนี้เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในรอบต่อไป ทั้งนี้โดยปราศจากการทำแนวกันไฟและ ปราศจากการควบคุม ไฟจึงลามเข้าป่าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง 2.3 แกล้งจุด ในกรณีที่ประชาชนในพื้นที่มีปัญหาความขัดแย้งกับหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องที่ทำกินหรือถูกจับกุมจากการกระทำผิดในเรื่องป่าไม้ ก็มักจะหาทางแก้แค้น เจ้าหน้าที่ด้วยการเผาป่า 2.4 ความประมาท เกิดจากการเข้าไปพักแรมในป่า ก่อกองไฟแล้วลืมดับ หรือทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น ป่า เป็นต้น 2.5 ล่าสัตว์ โดยใช้วิธีไล่เหล่า คือจุดไฟไล่ให้สัตว์หนีออกจากที่ซ่อน หรือจุดไฟเพื่อให้แมลงบินหนี ไฟ นกชนิดต่างๆ จะบินมากินแมลง แล้วดักยิงนกอีกทอดหนึ่ง หรือจุดไฟเผาทุ่งหญ้า เพื่อให้หญ้าใหม่แตก ระบัด ล่อให้สัตว์ชนิดต่างๆ เช่น กระทิง กวาง กระต่าย มากินหญ้า แล้วดักรอยิงสัตว์นั้นๆ


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๑๐ 2.6 เลี้ยงปศุสัตว์ ประชาชนที่เลี้ยงปศุสัตว์แบบปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาติ มักลักลอบจุดไฟ เผาป่าให้โล่งมีสภาพเป็นทุ่งหญ้าเพื่อเป็นแหล่งอาหารสัตว์ 2.7 ความคึกคะนอง บางครั้งการจุดไฟเผาป่าเกิดจากความคึกคะนองของผู้จุด โดยไม่มี วัตถุประสงค์ใด ๆ แต่จุดเล่นเพื่อความสนุกสนาน เท่านั้น ช่วงเวลาและพื้นที่ที่มักเกิดไฟป่า ไฟป่าในที่นี้ จะกล่าวถึงเฉพาะไฟป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งมักเกิดขึ้นบริเวณทางตอนบนของประเทศ เช่น ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะเกิดในช่วงระหว่างปลายเดือนกุมภาพันธถึงต้นเดือนพฤษภาคม สําหรับภาคใต้มักได้รับผลกระทบจากไฟป่าที่เกิดขึ้นบริเวณเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย สาเหตุของการเกิด ไฟป่าจะขึ้นกับสภาพอากาศและสสารที่เป็นเชื้อเพลิงโดยรอบพื้นที่นั้น ๆ เป็นสําคัญ พื้นที่จังหวัดที่เสี่ยงภัยต่อการเกิดไฟป่า ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย จ.ลำพูน จ.ลำปาง จ.ตาก จ.แพร่ จ.สุโขทัย จ.พิจิตร จ.เพชรบูรณ์ และ จ.พิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.นครราชสีมา จ.ชัยภูมิ จ.ขอนแก่น จ.มหาสารคาม จ.สุรินทร์ และ จ.บุรีรัมย์ ภาคกลาง จ.ราชบุรี จ.กาญจนบุรี จ.สุพรรณบุรี จ.ชัยนาท จ.นครสวรรค์ จ.อุทัยธานี จ.ลพบุรี จ.สระบุรี และ จ.อ่างทอง ภาคตะวันออก จ.นครนายก จ.ปราจีนบุรี จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง ภาคใต้ฝั่งตะวันออก จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ชุมพร จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.นครศรีธรรมราช ภาคใต้ฝั่งตะวันตก จ.พังงา จ.กระบี่ จ.ตรัง และ จ.สตูล ชนิดของไฟป่า การแบ่งชนิดของไฟป่าที่ได้รับการยอมรับและใช้กันมายาวนานนั้น ถือเอาการไหม้เชื้อเพลิงในระดับต่างๆใน แนวดิ่ง ตั้งแต่ระดับชั้นดินขึ้นไปจนถึงระดับยอดไม้ เป็นเกณฑ์ การแบ่งชนิดไฟป่าตามเกณฑ์ดังกล่าวทำให้แบ่งไฟป่า ออกเป็น 3 ชนิด คือ ไฟใต้ดิน ไฟผิวดิน และไฟเรือนยอด (Brown and Davis,1973) 1. ไฟใต้ดิน (Ground Fire) คือไฟที่ไหม้อินทรียวัตถุที่อยู่ใต้ชั้นผิวของพื้นป่า เกิดขึ้นในป่าบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าในเขตอบอุ่นที่มีระดับความสูงมากๆ ซึ่งอากาศหนาวเย็นทำให้อัตราการย่อยสลายอินทรียวัตถุ ต่ำ จึงมีปริมาณอินทรียวัตถุสะสมอยู่บนหน้าดินแท้ (Mineral soil) ในปริมาณมากและเป็นชั้นหนา โดยอินทรียวัตถุ


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๑๑ ดังกล่าวอาจจะอยู่ในรูปของ duff, muck, หรือ peat ในบริเวณที่ชั้นอินทรียวัตถุหนามาก ไฟชนิดนี้อาจไหม้แทรก ลงไปใต้ผิวพื้นป่า (Surface Litter)ได้หลายฟุตและลุกลามไปเรื่อยๆใต้ผิวพื้นป่าในลักษณะการครุกรุ่นอย่างช้าๆ ไม่มี เปลวไฟ และมีควันน้อยมาก จึงเป็นไฟที่ตรวจพบหรือสังเกตพบได้ยากที่สุดและเป็นไฟที่มีอัตราการลุกลามช้าที่สุด แต่เป็นไฟที่สร้างความเสียหายให้แก่พื้นที่ป่าไม้มากที่สุด เพราะไฟจะไหม้ทำลายรากไม้ ทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยทั้งป่า ตายในเวลาต่อมา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นไฟที่ควบคุมได้ยากที่สุดอีกด้วย ไฟใต้ดินโดยทั่วไปมักจะเกิดจากไฟผิวดินก่อนแล้วลุกลามลงใต้ผิวพื้นป่า ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ ชัดเจนไม่สับสน ในที่นี้จึงขอแบ่งไฟใต้ดินออกเป็น 2 ชนิดย่อย คือ 1.1 ไฟใต้ดินสมบูรณ์แบบ (True Ground Fire) คือไฟที่ไหม้อินทรียวัตถุอยู่ใต้ผิวพื้นป่าจริงๆ ดังนั้นเมื่อยืนอยู่บนพื้นป่าจึงไม่สามารถตรวจพบไฟได้ ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ เช่นเครื่องตรวจจับความร้อน เพื่อตรวจหาไฟชนิดนี้ ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนของไฟใต้ดินสมบูรณ์แบบ คือ ไฟที่ไหม้ชั้นถ่านหินใต้ดิน (Coal Seam Fire) บนเกาะกาลิมันตันของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงการเกิดปรากฎการณ์ เอลนีนโญ่ ในปี ค.ศ. 1982 ไฟถ่านหินดังกล่าวครุกรุ่นกินพื้นที่ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ สร้างความ ยากลำบากในการตรวจหาขอบเขตของไฟและยังไม่สามารถควบคุมไฟได้ทั้งหมดจนถึงปัจจุบันนี้ ในบาง พื้นที่กว่าจะทราบว่าไฟดังกล่าวไหม้ผ่านก็ต่อเมื่อไฟไหม้ผ่านไปแล้วเกือบสองปีและต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ทำลาย ระบบรากเริ่มยืนแห้งตายพร้อมกันทั้งป่า สำหรับประเทศไทยยังไม่เคยพบไฟใต้ดินสมบูรณ์แบบเช่นนี้มา ก่อน 1.2 ไฟกึ่งผิวดินกึ่งใต้ดิน (Semi-Ground Fire) ได้แก่ไฟที่ไหม้ในสองมิติ คือส่วนหนึ่งไหม้ไปในแนว ระนาบไปตามผิวพื้นป่าเช่นเดียวกับไฟผิวดิน ในขณะเดียวกันอีกส่วนหนึ่งจะไหม้ในแนวดิ่งลึกลงไปในชั้น อินทรียวัตถุใต้ผิวพื้นป่า ซึ่งอาจไหม้ลึกลงไปได้หลายฟุต ไฟดังกล่าวสามารถตรวจพบได้โดยง่ายเช่นเดียวกับ ไฟผิวดินทั่วๆไป แต่การดับไฟจะต้องใช้เทคนิคการดับไฟผิวดินผสมผสานกับเทคนิคการดับไฟใต้ดิน จึงจะ สามารถควบคุมไฟได้ ตัวอย่างของไฟชนิดนี้ได้แก่ไฟที่ไหม้ป่าพรุในเกาะสุมาตรา และเกาะกาลิมันตัน ของ ประเทศอินโดนีเซีย และไฟที่ไหม้ป่าพรุโต๊ะแดง และป่าพรุบาเจาะ ในจังหวัดนราธิวาส ของประเทศไทย 2. ไฟผิวดิน (Surface Fire) คือไฟที่ไหม้ลุกลามไปตามผิวดิน โดยเผาไหม้เชื้อเพลิงบนพื้นป่า อันได้แก่ ใบไม้ กิ่งก้านไม้แห้งที่ตกสะสมอยู่บนพื้นป่า หญ้า ลูกไม้เล็กๆ ไม้พื้นล่าง กอไผ่ ไม้พุ่ม ไฟชนิดนี้เป็นไฟที่พบมากที่สุดและ พบโดยทั่วไปในแทบทุกภูมิภาคของโลก ความรุนแรงของไฟจะขึ้นอยู่กับชนิดและประเภทของเชื้อเพลิง โดยทั่วไปไฟ ชนิดนี้จะไม่ทำอันตรายต้นไม้ใหญ่ถึงตาย แต่จะทำให้เกิดรอยแผลไฟไหม้ ซึ่งมีผลให้อัตราการเจริญเติบโตของต้นไม้ ลดลง คุณภาพของเนื้อไม้ลดลง ไม้มีรอยตำหนิ และทำให้ต้นไม้อ่อนแอจนโรคและแมลงสามารถเข้าทำอันตราย ต้นไม้ได้โดยง่าย สำหรับประเทศไทย ไฟป่าส่วนใหญ่จะเป็นไฟชนิดนี้ โดยจะมีความสูงเปลวไฟ ตั้งแต่ 0.5 – 3 เมตร ในป่า เต็งรัง จนถึงความสูงเปลวไฟ 5 – 6 เมตร ในป่าเบญจพรรณที่มีกอไผ่หนาแน่นไฟป่าชนิดนี้ หากสามารถตรวจพบได้ ในขณะเพิ่งเกิด และส่งกำลังเข้าไปควบคุมอย่างรวดเร็ว ก็จะสามารถควบคุมไฟได้โดยไม่ยากลำบากนัก แต่หากทอด เวลาให้ยืดยาวออกไปจนไฟสามารถแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างมากเท่าไร การควบคุมก็จะยากขึ้นมากเท่านั้น 3. ไฟเรือนยอด (Crown Fire) คือไฟที่ไหม้ลุกลามจากยอดของต้นไม้หรือไม้พุ่มต้นหนึ่งไปยังยอดของต้นไม้ หรือไม้พุ่มอีกต้นหนึ่ง ส่วนใหญ่เกิดในป่าสนในเขตอบอุ่น ไฟชนิดนี้มีอัตราการลุกลามที่รวดเร็วมาก และเป็นอันตราย


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๑๒ อย่างยิ่งสำหรับพนักงานดับไฟป่า ทั้งนี้เนื่องจากไฟมีความรุนแรงมากและมีความสูงเปลวไฟประมาณ 10 – 30 เมตร แต่ในบางกรณีไฟอาจมีความสูงถึง 40 – 50 เมตร โดยเท่าที่ผ่านมาปรากฎว่ามีพนักงานดับไฟป่า จำนวนไม่น้อยถูก ไฟชนิดนี้ล้อมจนหมดทางหนีและถูกไฟครอกตายในที่สุด ไฟเรือนยอดโดยทั่วไปอาจต้องอาศัยไฟผิวดินเป็นสื่อไม่มาก ก็น้อย ดังนั้น เพื่อความชัดเจน จึงสามารถแบ่งไฟเรือนยอดออกเป็น 2 ชนิดย่อย ได้ดังนี้ 3.1 ไฟเรือนยอดที่ต้องอาศัยไฟผิวดินเป็นสื่อ (Dependent Crown Fire) คือไฟเรือนยอดที่ต้อง อาศัยไฟที่ลุกลามไปตามผิวดินเป็นตัวนำเปลวไฟขึ้นไปสู่เรือนยอดของต้นไม้อื่นที่อยู่ใกล้เคียง ไฟชนิดนี้มัก เกิดในป่าที่ต้นไม้ไม่หนาแน่น เรือนยอดของต้นไม้จึงอยู่ห่างกัน แต่บนพื้นป่ามีเชื้อเพลิงอยู่หนาแน่นและ ต่อเนื่อง การลุกลามของไฟจากยอดไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งต้องอาศัยไฟที่ลุกลามไปตามผิวดินเป็นตัวนำ เปลวไฟไปยังต้นไม้ จนต้นไม้ที่ไฟผิวดินลุกลามไปถึงแห้งและร้อนจนถึงจุดสันดาป ลักษณะของไฟชนิดนี้ จะ เห็นไฟผิวดินลุกลามไปก่อนแล้วตามด้วยไฟเรือนยอด 3.2 ไฟเรือนยอดที่ไม่ต้องอาศัยไฟผิวดิน (Running Crown Fire) เกิดในป่าที่มีต้นไม้ที่ติดไฟได้ง่าย และมีเรือนยอดแน่นทึบติดต่อกัน เช่นในป่าสนเขตอบอุ่น การลุกลามจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงจาก เรือนยอดหนึ่งไปสู่อีกเรือนยอดหนึ่งที่อยู่ข้างเคียงได้โดยตรง จึงเกิดการลุกลามไปตามเรือนยอดอย่าง ต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ลูกไฟจากเรือนยอดจะตกลงบนพื้นป่า ก่อให้เกิดไฟผิวดินไปพร้อมๆกันด้วย ทำให้ ป่าถูกเผาผลาญอย่างราบพนาสูญ การดับไฟทำได้ยากมาก จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรกลหนัก และการดับไฟ ทางอากาศเข้าช่วย สำหรับประเทศไทย โอกาสเกิดไฟเรือนยอดเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่มีความชื้น ค่อนข้างสูง ประกอบกับชนิดไม้ป่าส่วนใหญ่ลำต้นไม่มีน้ำมันหรือยาง ซึ่งจะทำให้ติดไฟได้ง่ายเหมือนไม้สนในเขต อบอุ่น อย่างไรก็ตาม ในภาคเหนือของประเทศ ซึ่งมีการปลูกสวนป่าสนสามใบอย่างกว้างขวางมาเป็นเวลานาน จน ในปัจจุบันต้นสนเจริญเติบโตจนเรือนยอดแผ่ขยายมาชิดติดกัน ดังนั้นหากเกิดไฟไหม้ในสวนป่าดังกล่าวในช่วงที่ อากาศแห้งแล้งอย่างรุนแรง โอกาสที่จะเกิดเป็นไฟเรือนยอด ก็มีความเป็นไปได้สูง ไฟป่าเป็นต้นเหตุของ pm2.5 มั้ย ? ฝุ่น PM2.5 เกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งไฟป่าอาจไม่ใช่ต้นเหตุของการเกิดฝุ่น PM2.5 ทั้งหมดโดยตรงแต่ก็ เป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดฝุ่นชนิดนี้ และยังส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วย เมื่อไฟป่าเกิดขึ้น จะมีการไหม้วัชพืช ต้นไม้และอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุให้เกิดควันและฝุ่นละอองในอากาศ โดยเฉพาะในช่วงที่มีอากาศและอากาศขาด ความชื้นและมีลมแรง จะทำให้ไฟป่าขยายพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและส่งผลต่อคุณภาพของอากาศในพื้นที่โดยรอบ และจะเพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้ที่ต้องการหายใจ เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง และผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อ การเป็นโรคทางเดินหายใจ ดังนั้น ไฟป่าส่งผลต่อค่า PM2.5 และสามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ได้อย่าง มาก การฟุ้งกระจายของ pm2.5 ไปไกลแค่ไหน


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๑๓ ตามงานวิจัย พบว่า PM2.5 ที่เกิดจากไฟป่าสามารถกระจายได้ไกลถึงกว่า 100 กิโลเมตร โดยพบว่า PM2.5 มีความเข้มสูงสุดในบริเวณที่อยู่ใกล้กับจุดไฟไหม้ แต่สามารถพบได้ในระยะไกลจากจุดไฟไหม้ อย่างไรก็ตาม รัศมีการ ฟุ้งกระจายของ PM2.5 อาจแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขอากาศและสภาพแวดล้อมของแต่ละสถานที่ เช่น ลม การพัด พาของสภาพอากาศ สภาพอากาศและระยะจากแหล่งกำเนิด การป้องกันไฟป่า 1.กำจัดวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงบริเวณริมชายป่า 2.หลีกเลี่ยงการประกอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับไฟ ใกล้แนวชายป่าและในป่า 3.ทำแนวคันดิน หรือขุดร่องดิน เพื่อป้องกันการลุกลามในพื้นที่ใกล้เคียง การป้องกันหมอกควัน 1.หลีกเลี่ยงการเผาในที่โล่งแจ้งใช้วิธีฝังกลบหรือทำเป็นปุ๋ย 2.หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งเมื่ออยู่ในพื้นที่หมอกควัน 3.สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่หมวกควัน 4.ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิดเพื่อลดปริมาณฝุ่นในบ้าน 5.ขับรถด้วยความระมัดระวังเมื่อผ่านเส้นทางที่มีหมอกควัน


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๑๔ ขั้นตอนการดำเนินงาน กิจกรรมหลัก วัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมายและเป้าหมาย พื้นที่ ดำเนินการ ระยะเวลา ดำเนิน การ งบ ประมาณ (บาท) กลุ่ม เป้าหมาย เป้าหมาย (เชิงคุณภาพ) 6.1ประชุม ปรึกษาหารือและ หาแนวทางในการ จัดกิจกรรม - เพื่อให้ผู้บริหาร และ ครูได้ทราบวัตถุประสงค์ และกำหนดแผนการ ดำเนินงาน 420 คน ทราบปัญหาและ ความต้องการ ของชุมชนเพื่อ วางแผนการจัด กิจกรรม สกร.อำเภอ พาน 5 กุมภาพันธ์ 2567 - 6.2 วางแผน ออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้กำหนด ระยะเวลาในการจัด กิจกรรมและเตรียม วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อประสานและ ดำเนินงานร่วมกับฝ่าย งานที่เกี่ยวข้อง -เพื่อนำเสนอผู้เกี่ยวข้อง ผู้บริหารสถานศึกษา พิจารณาอนุมัติ 420 คน ร่วมวางแผนการ จัดกิจกรรมกับ กลุ่มเป้าหมาย สกร.อำเภอ พาน 9 กุมภาพัน ธ์ 2567 - 6.3 ดำเนินกิจกรรม ตามโครงการอบรมด้าน ป้องกันมลพิษทางและการ รณรงค์ลดการเผา ดังนี้ - กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การป้องกันการเผาป่า หรือเผาวัสดุใด ๆ ที่เป็น สาเหตุให้เกิดไฟไหม้และ เกิดหมอกควันจนเป็น อันตรายต่อสุขภาพของ ประชาชน - มลพิษในอากาศสร้าง ปัญหาสุขภาพ - การรณรงค์ลดการเผา และป้องกันมลพิษทาง อากาศ - การสร้างแนวกันไฟป่า - เพื่อให้ประชาชนมี ความรู้ความเข้าใจใน การลดการเผาขยะทุก ชนิดป้องกันหมอกควัน และแก้ไขปัญหามลพิษ อากาศ - เพื่อให้ประชาชนใช้ ทรัพยากรธรรมชาติให้ เกิดประโยชน์มากที่สุด และเห็นความสำคัญ ของการมีสิ่งแวดล้อมที่ ดี 420 คน ประชาชนมีความ ตระหนักในการ ใช้ทรัพยากร ธรรม ชาติสิ่งแวดล้อม ให้เกิดประโยชน์ มากที่สุดและเห็น ความสำคัญของ สิ่งแวดล้อม ทั้ง แนวทางการ อนุรักษ์และการ พัฒนาที่ยั่งยืน พื้นที่ 14 ตำบล อำเภอพาน 14 -23 กุมภาพัน ธ์ 2567 63,700.0 0 6.4 ประเมินผลการ จัดโครงการ - เพื่อทราบผลการ ดำเนินงานในการ ปรับปรุงพัฒนา คณะ นิเทศ สกร. ได้แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นเพื่อ กศน.ทั้ง 14 ตำบล หลังเสร็จ สิ้น - บทที่ 3 วิธีดำเนินการ


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๑๕ อำเภอ พาน นำไปพัฒนา ต่อไป กิจกรรม 6.5 สรุปและ รายงานผลการ ดำเนินงาน - เพื่อนำผลการประเมิน ไปปรับปรุงและพัฒนา ต่อไป - ได้นำผลการ ประเมินไป ปรับปรุงและ พัฒนาต่อไป กศน.ทั้ง 14 ตำบล 23 กุมภาพันธ์ 2567 - 1.เป้าหมาย 1.1 เชิงปริมาณ (กลุ่มเป้าหมาย) -ประชาชนในพื้นที่ตำบลป่าหุ่ง จำนวน 30 คน 1.2 เชิงคุณภาพ - เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในการลดการเผาขยะทุกชนิด ป้องกันหมอกควันและแก้ไขปัญหา มลพิษอากาศ 2. ความสำเร็จของโครงการ 2.1 ตัวชี้วัดผลผลิต (Output) ประชาชนเข้าร่วมโครงการ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 มีความรู้ ความเข้าใจใน การลดการเผาขยะทุกชนิด ป้องกันหมอกควันและแก้ไขปัญหามลพิษอากาศ 2.2 ตัวชี้วัดผลลัพธ์ (Outcome) ประชาชนเข้าร่วมโครงการประชาชนรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิด ประโยชน์มากที่สุดและเห็นความสำคัญของการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี เป้าหมาย ผลการดำเนินงาน หมายเหตุ ประชาชนตำบลป่าหุ่ง เข้าร่วม โครงการ จำนวน 30 คน ประชาชนตำบลป่าหุ่ง เข้าร่วม โครงการ จำนวน 30 คน บรรลุผลการดำเนินงานตามเป้าหมาย คิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๑๖ จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการมีทั้งหมด 30 คน เป็นชาย 7 คน หญิง 23 คน จากการประเมินระดับความ พึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 30 คนสามารถสรุปได้ดังนี้ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน ร้อยละ หมายเหตุ 1.ครูอาสาฯ 0 0.00 2.ครูกศน.ตำบล 0 0.00 3.ครูศรช 0 0.00 4.ครูปวช. 0 0.00 5.ผู้เรียนประถม 0 0.00 6.ผู้เรียน ม.ต้น 0 0.00 7.ผู้เรียน ม.ปลาย 0 0.00 8.ผู้เรียน ปวช. 0 0.00 9.ประชาชนทั่วไป 30 100.00 10.อื่นๆ 0 0.00 รวม 30 100.00 บทที่ 5 สรุป อภิปรายรายงานและข้อเสนอแนะ


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๑๗ ส่วนที่ 2 ด้านกระบวนการจัดกิจกรรมและความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน ร้อยละ หมายเหตุ เพศ ชาย 7 23.33 หญิง 23 76.64 รวม 30 100 ช่วงอายุ ต่ำกว่า 15 ปี - - 16-39 ปี - - 40-49 ปี - - 50-59 ปี 4 13.33 60ปีขึ้นไป 26 86.67 รวม 30 100 อาชีพ ข้าราชการ - - รับจ้าง - - ค้าขาย - - เกษตรกร 21 70.00 อื่นๆ 9 30.00 รวม 30 100 ตอนที่ 3 ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๑๘ ที่ รายการ ระดับการประเมินมากที่สุด (5) ร้อยละ มาก (4) ร้อยละ ปานกลาง (3) ร้อยละ น้อย (2) ร้อยละ น้อยที่สุด (1) ร้อยละ คะแนน เฉลี่ย เปอร์เซ็นต์ คะแนนเฉลี่ย 1 กิจกรรมที่จัดสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ 27 90.00 3 10.00 0 0 0 0 0 0 4.90 98.00 2 เนื้อหาตรงกับความต้องการ ของผู้เข้าร่วมโครงการ 25 83.33 5 16.67 0 0 0 0 0 0 4.83 96.67 3 ผู้เข้าร่วมโครงการมีส่วนร่วมใน การแสดงความคิดเห็น 27 90.00 3 10.00 0 0 0 0 0 0 4.90 98.00 4 การจัดกิจกรรมเป็นไป ตามลำดับขั้นตอน 28 93.33 2 6.67 0 0 0 0 0 0 4.93 98.67 5 การเตรียมตัวและความพร้อม ในการจัดโครงการ 27 90.00 3 10.00 0 0 0 0 0 0 4.90 98.00 6 ความเหมาะสมของสื่อและ วัสดุอุปกรณ์ 28 93.33 2 6.67 0 0 0 0 0 0 4.93 98.67 7 ความรู้และความเข้าใจที่ได้รับ จากโครงการ 27 90.00 3 10.00 0 0 0 0 0 0 4.90 98.00 8 ความมั่นใจในการนำผลที่ได้รับ จากโครงการไปประยุกต์ใช้ 24 80.00 6 20.00 0 0 0 0 0 0 4.80 96.00 9 ความเหมาะสมของสถานที่ 22 73.33 8 26.67 0 0 0 0 0 0 4.73 94.67 10 ความเหมาะสมของระยะเวลา ของโครงการ 25 83.33 5 16.67 0 0 0 0 0 0 4.83 96.67 4.87 97.33 หมายเหตุ เอกสารแบบประเมินความพึงพอใจแนบท้ายภาคผนวก เกณฑ์การประเมินความพึงพอใจ (เปอร์เซ็นต์) สรุปโดยรวมของการตอบแบบสอบถามความพึงใจที่มีต่อโครงการนี้ คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.87 และคิดเป็นร้อยละ 97.33 อยู่ในเกณฑ์ พึงพอใจมากที่สุด


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๑๙ เปอร์เซ็นต์คะแนนเฉลี่ยในแต่ละหัวข้อ 1 – 20 % หมายความว่า พึงพอใจน้อยที่สุด เปอร์เซ็นต์คะแนนเฉลี่ยในแต่ละหัวข้อ >20 - 40 % หมายความว่า พึงพอใจน้อย เปอร์เซ็นต์คะแนนเฉลี่ยในแต่ละหัวข้อ >40 - 60 % หมายความว่า พึงพอใจปานกลาง เปอร์เซ็นต์คะแนนเฉลี่ยในแต่ละหัวข้อ >60 - 80 % หมายความว่า พึงพอใจมาก เปอร์เซ็นต์คะแนนเฉลี่ยในแต่ละหัวข้อ >80 - 100 % หมายความว่า พึงพอใจมากที่สุด เกณฑ์การประเมินความพึงพอใจ (ค่าเฉลี่ย) 4.51 – 5.00 หมายความว่า มากที่สุด 3.51 – 4.50 หมายความว่า มาก 2.51 – 3.50 หมายความว่า ปานกลาง 1.51 – 2.50 หมายความว่า น้อย 0.00 – 1.50 หมายความว่า น้อยที่สุด ลงชื่อ .......................................................................ผู้รายงาน (นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์) ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๒๐ ภาคผนวก ภาคผนวก ก ภาพประกอบการรายงานผลการจัดกิจกรรม


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๒๑ ภาพกิจกรรม การจัดการศึกษาต่อเนื่องโครงการอบรมด้านการป้องกันมลพิษและการรณรงค์ลดการเผา สถานที่จัด องค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง ม.1 ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย วันที่ 21 เดือนกุมภาพันธ์พ.ศ.2567 เวลา 08.30 – 16.30 น.


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๒๒ ภาคผนวก ข แบบติดตามผู้เข้าร่วมโครงการ (ผู้จบหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องนำความรู้ไปใช้)


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๒๓ ค่าเป้าหมายตามแผนของร้อยละผู้จบหลักสูตรที่นำความรู้ไปใช้คิดเป็นร้อยละ 100 ของผู้จบ หลักสูตรนำ ความรู้ไปใช้ตามลักษณะของหลักสูตร (นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์) ครู กศน.ตำบลป่าหุ่ง การน าไปใช้ประโยชน์ ร้อยละ 0 50 100 น าความรู้ไปใช้ในการพัฒนาชุมชนและสังคม น าความรู้ไปใช้ในการพัฒนาชุมชนและสังคม การน าไปใช้ประโยชน์ 30 ร้อยละ 100 ร้อยละของผู้จบหลักสูตรท่นี ำควำมรู้ไปใช้ แบบติดตามผู้เข้าร่วมโครงการ การจัดการศึกษาต่อเนื่องโครงการอบรมด้านการป้องกันมลพิษและการรณรงค์ลดการเผา สถานที่จัด องค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง ม.1 ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย วันที่ 21 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เวลา 08.30 – 16.30 น.


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๒๔ ภาคผนวก ค แบบประเมินความพึงพอใจ ผู้เรียนผู้ใช้บริการ/ผู้เข้าร่วมโครงการ


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๒๕ ภาคผนวก ง โครงการ/แบบขออนุญาตจัดการศึกษาต่อเนื่อง


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๒๖ ภาคผนวก จ ใบสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ


เอกสารประกอบการประเมินพนักงานราชการ นางสาวปัณณทัษข์ โชคบุญญะสวัสดิ์ ต าแหน่ง ครูกศน.ต าบล ๒๗


Click to View FlipBook Version