The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-12-04 10:24:15

กัณฑ์มัทรี

กัณฑ์มัทรี

กัณฑ์มัทรี

จัดทำโดย
นางสาวติญาภา จินดาวงษ์

ม.๕/๙ เลขที่๓๐

ประวัติผู้แต่ง

ผู้แต่งเรื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี คือ
เจ้าพระยา พระคลัง นามเดิมว่า หน เป็นเสนาบดี
จตุสดมภ์กรมท่า เดิม เป็นหลวงสรวิชิต เคยตามเสด็จ
พระราชดำเนินราชการสงคราม ในสมัยรัชกาลที่ ๑
เมื่อครั้งหลวงสรวิชิตรับราชการอยู่ที่กรุงธนบุรีมีความดี
ความชอบมาก โดยเฉพาะฝีมือในการเรียบเรียงหนังสือ
รัชกาลที่ ๑ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเป็นพระยาพิพัฒโกษา

ต่อมาตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลังว่างลง รัชกาลที่ ๑ จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระยา
พิพัฒโกษาขึ้นเป็นเจ้าพระยา พระคลัง (หน) พระยาพิพัฒโกษามีบุตรชาย ๒ คน คนหนึ่งเป็น
จินตกวี และอีกคนหนึ่งเป็นครูพิณพาทย์ ส่วนบุตรหญิง คือ เจ้าจอมมารดานิ่ม เป็นเจ้าจอม
มารดาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ในรัชกาลที่ ๒

เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๔๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๑
หนังสือที่เจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่งที่สำคัญ ได้แก่ มหาชาติกลอนเทศน์หรือเวสสันดร
ชาดก กัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี โดยทั้งสองกัณฑ์นี้นับได้ว่าแต่งได้ดีเยี่ยม ไม่มีสำนวนของ
ผู้ใดสู้ได้ แม้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสจะได้ทรงนิพนธ์ขึ้นอีกสำนวน
หนึ่งในภายหลัง ก็ยังเว้นกัณฑ์ทั้งสองนี้ เพราะของเดิมดีเยี่ยมอยู่แล้ว

ลักษณะคำประพันธ์

มหาเวสสันดรชาดกที่เป็นมหาชาติกลอนเทศน์ มีลักษณะคำประพันธ์เป็นร่ายยาวที่มี
คาถาบาลีน่า

ร่ายยาว บทหนึ่งไม่จำกัดจำนวนวรรค ซึ่งนิยมตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป โดยแต่ละวรรค
ไม่จำกัด จำนวนคำ แต่ไม่ควรน้อยกว่า ๕ คำ ซึ่งคำสุดท้ายของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสไป
วรรคหลังคำใดก็ได้ เว้นคำสุดท้าย และอาจจบลงด้วย “คำสร้อย” (คำสร้อย เช่น ฉะนี้ ดังนี้
นั้นเถิด นั้นแล แล้วแล ด้วยประการฉะนี้ เป็นต้น) ดังแผนผังและตัวอย่างบทประพันธ์ ดังนี้

ตัวอย่างเช่น
“...จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยจะมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือกระไร
ไม่รู้เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว...”

จุดเด่นของร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก คือ การมีคาถาบาลีขึ้นต้น เช่น
“...อิมาตา โปกฺขรณี รมฺมา เจ้าเคยมาประพาสสรงสนานในสระศรี โบกขรณีตำแหน่งนอก
พระอาวาส นางเสด็จลีลาสไปเที่ยวเวียนรอบ จึ่งตรัสว่าน้ำเอ๋ยเคยเปี่ยมขอบเป็นไร…”

ความเป็นมา

เรื่องมหาเวสสันดรชาดก เป็นวรรณคดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามีที่มาจากคัมภีร์
“จริยาปิฎก" และคัมภีร์ “ชาดก” พระสุตตันตปิฎก หมวดขุททกนิกาย ซึ่งกล่าวถึงมูลเหตุ
ของการตรัสเล่าเรื่อง มหาชาติว่า เมื่อทรงตรัสรู้แล้วจึงเสด็จไปโปรดพระราชบิดาและพระ
ประยูรญาติ ขณะที่ประทับ ณ วัดนิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ เมื่อบรรดาพระประยูรญาติ
มาเฝ้า ต่างมีใจกระด้างด้วยทิฐิมานะ ถือตนมิยอมเคารพไหว้ พระพุทธเจ้าจึงแสดง
ปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศเหนือพระประยูรญาติ ยังให้สิ้นมานะละพยศในใจ บังเกิด
ศรัทธาเลื่อมใสและถวายอภิวาทบังคม เมื่อเหตุเป็นดังนั้น ก็เกิด ฝนโบกขรพรรษตกลงมา
เป็นเครื่องแสดงความปราโมทย์ยินดี ด้วยเหตุทรงละพยศในใจพระญาติ ทั้งปวงให้ศรัทธา
เลื่อมใสได้

ภายหลังเมื่อพระราชบิดาและพระประยูรญาติทั้งปวงทูลลากลับ พระสาวกจึงได้
ทูลถามถึง ความน่าอัศจรรย์ในเหตุแห่งฝนนี้ พระองค์จึงตรัสว่าฝนโบกขรพรรษที่ตกมานี้
ไม่อัศจรรย์เลย เพราะ ในชาติก่อนเมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวย
พระชาติเป็นพระเวสสันดรนั้น ฝนชนิดนี้ก็เคยตกมาแล้วครั้งหนึ่ง พระสาวกทั้งหลายจึง
กราบทูลอาราธนาให้ทรงเล่าเรื่องนี้ พระองค์จึง ทรงเทศน์เรื่องมหาเวสสันดรชาดก
เพราะฉะนั้น อาจกล่าวได้ว่าฝนโบกขรพรรษเป็นสาเหตุที่ ทำให้พระพุทธเจ้าทรงเทศน์
เรื่องมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบพระชาติสุดท้ายก่อนบรรลุ ธรรมวิเศษ
โดยแต่ละพระชาติทรงบำเพ็ญบารมีแตกต่างกัน ได้แก่ เตมีย์ชาดก มหาชนกชาดก

สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก มโหสถชาดก ภูริทัตชาดก จันทชาดก นารทชาดก
วิทูรชาดก และเวสสันดรชาดก ซึ่งแต่ละชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีในรูปแบบที่
แตกต่างกันออกไป สำหรับชาติสุดท้าย คือ เวสสันดรชาดก ประกอบด้วย ๑๓ กัณฑ์
แต่ละกัณฑ์จะมีผู้ประพันธ์แตกต่างกันออกไป โดยจุดประสงค์หลักในการแต่งคือใช้
สำหรับเทศนาให้กับพุทธศาสนิกชนหรือบุคคลที่สนใจ

ตัวละคร

พระเวสสันดร พระเวสสันดรเป็นตัวละครหลักของร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
เป็นพระโอรสของ พระเจ้ากรุงสัญชัยและพระนางผุสดีแห่งเมืองสีพี พระเวสสันดร
มักจะบริจาคทานด้วยวิธีต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก เช่น ยกเครื่องประดับเงินทองแก้ว
เพชรของตนให้ผู้อื่น ต่อมาเมื่ออภิเษกกับพระนางมัทรี และมีลูกชื่อพระกัณหา
และพระชาลี พระองค์ได้ตั้งโรงทานจำนวนมาก และบริจาคช้างปัจจัยนาเคนทร์
ซึ่งเป็นช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองให้กับทูตของเมืองอื่นที่มาขอช้างเชือกนี้ ทำให้ชาว
เมืองไม่พอใจจึงเรียกร้องให้พระเจ้ากรุงสัญชัยเนรเทศพระเวสสันดรออกจากเมือง
พระเวสสันดร พระนางมัทรีและลูก ๆ จึงต้องออกจากเมืองไปอยู่ในป่า ซึ่งพระ
เวสสันดรได้บำเพ็ญเพียรภาวนาประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในอาศรม ส่วนพระนาง
มัทรีได้ดูแลปรนนิบัติลูกและสามีที่อาศัยอยู่ในอาศรมแห่งนี้

พระนางมัทรี พระนางมัทรีเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์มัทราช อภิเษกสมรสกับ
พระเวสสันดร มีพระโอรสชื่อพระชาลี และมีพระธิดาชื่อพระกัณฑ์หา ด้วยความ
ภักดีต่อพระสวามีนางจึงพาลูก ๆ ตามเสด็จพระเวสสันดรออกมาอยู่ในป่าด้วย ทั้ง
ยังทำหน้าที่ดูและปรนนิบัติรับใช้สามีและดูแลลูกทั้งสองตามหน้าที่ของตน

พระชาลี พระชาลีเป็นพระราชโอรสของพระเวสสันดรกับพระนางมัทรี ซึ่งคำว่า
ชาลี หมายถึง ตาข่าย มาจากตอนที่พระชาลีประสูติ เหล่าพระประยูรญาติได้นำ
ตาข่ายทองมารองรับพระชาลี

พระกัณหา พระกัณหา พระกัณหาเป็นพระราชธิดาของพระเวสสันดรกับพระนาง
มัทรีและเป็นพระกนิษฐา (น้องสาว) ของพระชาลี

ชูชก ชูชกเกิดในตระกูลพราหมณ์แต่กลับเที่ยวขอทานผู้อื่นเพื่อเลี้ยงชีพ และมีนิสัย
ที่เรียกว่า บุรุษโทษ ๑๘ ประการ เช่น ความตระหนี่ ความโลภ ความฉลาดในกล
อุบายและเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ เป็นต้น

เรื่องย่อ

พระนางมัทรีฝันร้ายว่ามีบุรุษมาทำร้าย จึงขอให้พระเวสสันดรทำนายฝันให้
แต่พระนางก็ยังไม่สบายพระทัย ก่อนเข้าป่า พระนางฝากพระโอรสกับพระธิดากับ
พระเวสสันดรให้ช่วยดูแล หลังจากนั้นพระนางมัทรีก็เสด็จเข้าป่าเพื่อหาผลไม้มา
ปรนนิบัติพระเวสสันดรและสองกุมาร ขณะที่อยู่ในป่า พระนางพบว่าธรรมชาติ
ผิดปกติไปจากที่เคยพบเห็น เช่น ต้นไม้ที่เคยมีผลก็กลายเป็นต้นที่มีแต่ดอก
ต้นที่เคยมีกิ่งโน้มลงมาให้พอเก็บผลได้ง่าย ก็กลับกลายเป็นต้นตรงสูงเก็บผลไม่ถึง
ทั้งท้องฟ้าก็มืดมิด ขอบฟ้าเป็นสีเหลืองให้รู้สึกหวั่นหวาดเป็นอย่างลยิ่ง ไม้คานที่
เคยหาบแสรกผลไม้ก็พลัดตกจากบ่า ไม้ตะขอที่ใช้เกี่ยวผลไม้พลัดหลุดจากมือ
ยิ่งพาให้กังวลใจยิ่งขึ้นบรรดาเทพยดาทั้งหลายต่างพากันกังวลว่า หากนางมัทรี
กลับออกจากป่าเร็วและทราบเรื่องที่พระเวสสันดร ทรงบริจาคพระโอรสธิดาเป็นทาน
ก็จะต้องออกติดตามพระกุมารทั้งสองคืนจากชูชก พระอินทร์จึงส่งเทพบริวาร ๓
องค์ ให้แปลงกายเป็นสัตว์ร้าย ๓ ตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ขวาง
ทางไม่ให้เสด็จกลับอาศรมได้ตามเวลาปกติ เมื่อล่วงเวลาดึกแล้วจึงหลีกทางให้พระนาง
เสด็จกลับอาศรม เมื่อพระนางเสด็จกลับถึงอาศรม ไม่พบสองกุมารก็โศกเศร้าเสีย
พระทัย เที่ยวตามหาและร้องไห้คร่ำครวญ พระเวสสันดรทรงเห็นพระนางเศร้าโศก
จึงหาวิธีตัดความทุกข์โศก

ด้วยการแกล้งกล่าวหานางว่าคิดนอกใจคบหากับชายอื่น จึงกลับมาถึงอาศรม
ในเวลาดึก เพราะทรงเกรงว่าถ้าบอกความจริงในขณะที่ พระนางกำลังโศกเศร้า
และกำลังอ่อนล้า พระนางจะเป็นอันตรายได้ ในที่สุดพระนางมัทรีทรงคร่ำครวญ
หาลูกจนสิ้นสติไป ครั้นเมื่อฟื้นขึ้น พระเวสสันดรทรงเล่าความจริงว่า พระองค์ได้
ประทานกุมารทั้งสองแก่ชูชกไปแล้วด้วยเหตุผลที่จะทรงบำเพ็ญทานบารมี พระนาง
มัทรีจึงทรงค่อยหายโศกเศร้าและทรงอนุโมทนาในการบำเพ็ญทานบารมีของพระ
เวสสันดรด้วย

ถอดคำประพันธ์

คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผลไม้ในป่า พระกุมารทั้งสอง
ฝันร้าย ทำให้พระนางหวั่นวิตกนึกถึงลูกตลอดเวลาจนน้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้าง พลาง
สังเกตเห็นว่าต้นที่มีผลไม้กลับกลายเป็นดอกไม้ ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็นผลไม้
ขึ้นแทน ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บไปร้อยให้ลูกก็ถูกลมพัดปลิวร่วงลงมา เมื่อมองไปรอบทิศ
ก็มืดมัวทุกหนแห่ง ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงคล้ายกับลางบอกเหตุร้าย สายตาของ
พระนางก็เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า
ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนางคิดเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น

ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก พระนางจึงรีบเก็บผลไม้เพื่อจะได้รีบกลับไปหาลูกที่
อาศรม แต่ระหว่างทางกลับเจอ สิงโต เสือเหลือง และเสือโคร่ง ขวางทางไว้ นางกลัว
จนใจสั่นร่ำไห้ คิดไปว่าเป็นกรรมของตนเอง นางจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะถูกสัตว์
ทั้งสามกั้นไว้ทุกทิศทางจนฟ้ามืด พระนางมัทรีไม่รู้จะทำอย่างไร จึงยกมือไหว้อ้อนวอน
ขอให้สัตว์หิมพานต์ทั้งสามเปิดทางให้ตน โดยกล่าวว่า พระนางคือพระนางมัทรีเป็น
ภรรยาของพระเวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมในป่าด้วยความบริสุทธิ์ใจและกตัญญู
ต่อสามี นี่ก็เวลาย่ำค่ำแล้วลูกคงหิวนม โปรดเปิดทางให้พระนางกลับไปที่อาศรมแล้ว
ตนจะแบ่งผลไม้ให้ จากนั้นไม่นานสัตว์หิมพานต์ทั้งสามจึงยอมเปิดทางให้ พระนาง
มัทรีก็รีบวิ่งกลับไปที่อาศรมด้วยแก้มที่อาบน้ำตา

เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ในอาศรม ร้องเรียกหาเท่าไรก็
ไม่มีใครตอบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะออกมาหาแม่กันพร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอกินนม ส่วน
ชาลีจะขอกินผลไม้ พระนางมัทรีเสียใจมาก พร่ำบอกว่าที่ผ่านมาก็ดูแลลูกอย่างดี
แบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หวังจะกลับมาพบลูกให้ชื่นใจ ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียง
ลูกเล่นกันอยู่แถวนี้ นั่นก็รอยเท้าชาลี นี่ก็ของเล่นกัณหา แต่เมื่อลูกหายไปอาศรม
กลับดูเงียบเหงาเศร้าหม่น นางจึงไปถามพระเวสสันดรว่าลูกหายไปไหน เหตุใดจึง
ปล่อยให้คลาดสายตา หากมีสัตว์ป่าจับไปจะทำอย่างไร แต่พระเวสสันดรกลับไม่ตอบ
อะไร ทำให้นางกลุ้มใจยิ่งไปว่าเก่า

ด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล กระวนกระวายพลางบอกว่า ไม่เคยมีครั้ง
ใดที่นางรู้สึกแค้นเคืองใจขนาดนี้ เพราะนางออกจากเมืองมาก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้
สุขใจเพราะอยู่พร้อมหน้ากับลูกและสามี แต่เมื่อลูกหายตัวไป ความหวังนั้นก็คล้ายจะดับ
สิ้นพระนางมัทรีอ้อนวอนขอให้พระเวสสันดรตรัสกับนางบ้าง เพราะการนั่งนิ่งเหมือน
โกรธเคืองพระนางมัทรีนั้นยิ่งทำให้ปวดใจราวกับมีคนเอาเหล็กรนไฟมาแทงที่หัวใจ หรือ
เป็นคนไข้ที่หมอนำยาพิษมาให้ดื่ม อีกไม่กี่วันคงสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อพระเวสสันดร
ได้ยินพระนางมัทรีดังนั้น ก็คิดว่าหากใช้ความหึงหวงคงเป็นวิธีคลายความโศกให้พระนาง
ได้ จึงตรัสว่า ในป่าหิมพานต์แห่งนี้มีทั้งพระดาบสและนายพรานจำนวนมาก เจ้าออกไป
เก็บผลไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ หากไปทำอะไรในป่าแห่งนี้ก็คงจะไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึงทิ้ง
ลูกหนีเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ พอกลับมายังห่วงแต่ลูก ไม่ห่วงสามีแต่อย่างใด หรือ
หากไม่นึกถึงสามีก็ไม่ควรหายเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ จะให้เราเข้าใจได้อย่างไร

เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุใดพระองค์จึงไม่ได้ยินเสียง
ของราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง เพราะสัตว์ทั้งสามนี้ทำให้ทำให้พระนางไม่
สามารถกลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิดเหตุร้ายหลายประการขณะที่นางเข้าไปในป่า ทั้งของ
ที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า ต้นไม้ที่เคยผลิดอกก็ออกผล ต้นไม้ที่
เคยออกผลก็ผลิดอกออกมา ชวนให้หวาดกลัวจนตัวสั่น อธิษฐานภาวนาให้ลูกและสามี
ปลอดภัย แล้วรีบกลับมายังอาศรมแต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัวนอนขวางทางเอาไว้ จึงต้อง
กราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิดทางให้จนพระอาทิตย์ตกดินสัตว์ทั้งสามจึงหลีกทาง
แล้วพระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับมายังอาศรมนี้ มิได้ไปทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควรแต่อย่างใด
ฝ่ายพระเวสสันดรเมื่อฟังคำตอบของพระนามัทรีก็เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งเช้า

ระหว่างนั้นพระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญว่าตนปฏิบัติต่อสามีดั่งศิษย์ปฏิบัติ
ต่อครู ดูแลลูกทั้งสองแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้ให้อาบน้ำ จัดหาอาหาร
มาให้มิได้ขาด แล้วอ้อนวอนให้สามีเรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา ถามว่าลูกอยู่แห่งหน
ใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา แต่ไม่ว่าจะร้องขออ้อนวอนอย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด
ออกมา พระนางจึงถวายบังคมลาออกไปตามหาลูกทั้งสองในป่าหิมพานต์ เมื่อออกตาม
หาจนทั่วแล้วไม่พบจึงกลับมาที่อาศรมพบว่าพระเวสสันดรยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนก่อน
หน้าไม่มีผิด พระนางจึงตัดพ้อว่า เหตุใดพระเวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ลุกมาผ่าฝืน ตัด
น้ำใส่บ่อ หรือก่อไฟไว้อย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน พร้อมกับบอกว่าพระเวสสันดร
นั้นเป็นที่รักของพระนางมัทรีอย่างยิ่ง เมื่อกลับมาจากป่าเห็นพระพักตร์ของพระองค์
และได้เห็นลูกทั้งสองวิ่งเล่น ก็คลายความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง

แต่วันนี้กลับกลายเป็นความทุกข์ร้อน เศร้าโศก เพราะพระองค์ไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับ
พระนาง แม้พระนางมัทรีจะได้ออกตามหาพระกัณหาและพระชาลีไปทั่วป่า ทั้งราตรี
แล้วกลับมาหาพระเวสสันดรอย่างไรพระองค์ก็ไม่ยอมตรัสสิ่งใดอยู่เช่นเดิม นางมัทรี
สะอื้นไห้จนหมดสติล้มลงกับพื้น

พระเวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า ๗ เดือน ไม่เคยได้แตะต้องตัวพระนาง
มัทรี แต่วันนี้ด้วยความเศร้าโศกและตระหนกตกใจเกรงว่าพระนางจะเป็นอะไรไป
พระเวสสันดรจึงเข้าไปตรวจชีพจรดูแลนางจนได้สติตื่นฟื้นขึ้นมา ฝ่ายพระนางมัทรี
เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ทูลถามอีกครั้งว่าลูกทั้งสองอยู่แห่งหนใด กลับมาแล้วหรือไม่พระเวส
สันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระกัณหากับพระชาลีให้กับชูชกไปแล้ว แต่พระองค์มิได้
บอกกับพระนางมัทรีตั้งแต่ต้นเกรงว่าพระนางจะเศร้าโศกเสียใจ เมื่อได้รู้ความจริงแล้ว
พระนางมัทรีจึงคลายความทุกข์เศร้าลงแล้วอนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระเวสสันดร
ได้ปฏิบัติในครั้งนี้

ข้อคิดที่สำคัญ

๑. ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก แนวคิด พระนางมัทรีมีความรักใน
สองกุมารยิ่งนัก พระนางทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญาที่มีเพื่อค้นหาสองกุมารจน
หมดสิ้นเรี่ยวแรง และสิ้นเสียงที่ร่ำร้องเรียกหา พระนางมัทรีดั้นด้นตามหาสองกุมารใน
ป่าโดยมิได้พรั่นกลัวต่อภยันตรายเลยถึง ๓ รอบ จนกระทั่งหมดกำลังและสิ้นสติไปใน
ที่สุด

๒. ผู้ที่ปรารถนาสิ่งต่างๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วยความอดทนและเสียสละ
อันยิ่งใหญ่ด้วย แนวคิด เฉกเช่นพระเวสสันดรที่ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ จึงต้อง
ทรงบำเพ็ญบุตรทานที่ถือว่าเป็นทานที่สูงส่ง พระองค์ต้องทรงตัดความอาลัยรักที่มี
ต่อพระลูกรักทั้งสอง ทั้งยังทรงต้องตัดความรักความสงสารที่มีต่อพระมเหสีมัทรีด้วย
ทั้งๆที่ในพระทัยนั้นต้องเจ็บปวดยิ่งนักเพราะไหนจะทรงห่วงใยพระลูกรักและยังต้อง
เสแสร้งแกล้งทำเป็นตัดพ้อต่อว่าพระนางมัทรีด้วยการกล่าวบริภาษที่รุนแรงและยัง
ต้องทรงทนทำเฉยเมยไม่แยแสกับการตัดพ้อต่อว่าคร่ำครวญของพระนางมัทรีด้วย

๓. ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข แนวคิด
เฉกเช่นพระนางมัทรีมีความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดรยิ่งนัก ไม่ว่าพระเวสสันดร
จะทรงกล่าวบริภาษพระนางอย่างรุนแรงก็ตาม อาทิ หาว่าพระนางคบชู้สู่ชาย แม้จะ
สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจแก่พระนางยิ่งนัก แต่พระนางมัทรีก็มิได้ทรงถือโกรธ ทั้งยัง
กล่าวชี้แจงเหตุผลตามความเป็นจริงอีกด้วย

๔. ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี แนวคิด เห็นได้จากพระ
เวสสันดรที่ทรงมีปฏิภาณไหวพริบเป็นเยี่ยมในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเมื่อ
ทรงเห็นว่าพระนางมัทรีกำลังมีแต่ความทุกข์เศร้าโศกที่ตามหาสองกุมารไม่พบพระองค์
จึงทรงเบี่ยงเบนความคิดและอารมณ์ทุกข์โศกของพระนางด้วยการทำเป็นตัดพ้อต่อว่า
ด่าทอที่พระนางมัทรีกลับมาถึงพระอาศรมค่ำๆ มืดๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนซึ่งก็
ทำให้พระนางมัทรีบรรเทาความทุกข์โศกลง เพราะความน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกต่อว่าทั้งๆ
ที่ไม่มีความผิด ทั้งยังต้องคิดถ้อยคำกราบทูลถึงเหตุผลที่แท้จริงให้พระสวามีทรงทราบ
อีกด้วยและครั้นพระเวสสันดรทรงเห็นพระนางสร่างโศกแล้วจึงทรงเล่าความจริงให้ฟัง

๕. การบริจาคบุตรทานงบารมีเป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่ใครจะกระทำได้ง่ายๆ แนวคิด
เฉกเช่นพระเวสสันดรที่ทรงกระทำด้วยการให้บุตรทั้งสองแก่ชูชกทั้งๆ ที่ทรงรู้ว่าชูชก
จะนำไปเป็นข้ารับใช้ พระองค์ก็ยังมีพระทัยอันแน่วแน่ที่จะทรงกระทำ และอีกทั้งพระ
นางมัทรีเมื่อทรงทราบว่าพระเวสสันดรได้ทรงบำเพ็ญทานดังกล่าว พระนางก็ยังทรง
ยินดีร่วมอนุโมทนาด้วยอีก


Click to View FlipBook Version