The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชุดที่ ๔ การอ่านจับใจความจากบทความ ป.6 พร้อม (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Suwaree Na Badalung, 2022-09-22 14:01:03

ชุดที่ ๔ การอ่านจับใจความจากบทความ ป.6 พร้อม (1)

ชุดที่ ๔ การอ่านจับใจความจากบทความ ป.6 พร้อม (1)

ชดุ ที่ ๔ การอา่ นจับใจความจากบทความ หน้า



ชดุ ที่ ๔ การอ่านจบั ใจความจากบทความ หน้า

สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้

สาระท่ี ๑ : การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ : ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความรู้และความคดิ ไปใช้ตดั สนิ ใจ
แก้ปัญหาและสร้างวิสยั ทศั น์ในการดาเนนิ ชีวติ และมนี สิ ยั รักการอ่าน

สาระสาคัญ

ส่วนใดเป็นสาระหรอื ไมเ่ ปน็ สาระ สว่ นใดควรเช่ือถือหรือไมค่ วรเชื่อถอื รวมทงั้
พจิ ารณาจดุ ประสงค์และทัศนะของผ้เู ขยี น ท้ังน้ีเพ่ือแยกแยะและเลือกสาระท่ีดไี ว้
ใช้ประโยชน์

บทความ เป็นขอ้ เขียนความเรียงท่มี ีจุดประสงค์เพื่อแสดงความรเู้ สนอ
ขอ้ เทจ็ จริงความคดิ เหน็ ตั้งข้อสังเกต วิเคราะห์วิจารณ์ โดยมีหลกั ฐาน มเี หตผุ ล
น่าเช่ือถือ หากมขี ้อเสนอแนะใด ๆ ตอ้ งเปน็ ในทางสร้างสรรค์ดังนนั้ การคดิ
วิเคราะห์จากบทความ ผอู้ ่านจะตอ้ งอา่ นอย่างมวี จารณญาณ คดิ ไตรต่ รองอย่างมี
เหตผุ ล สามารถแสดงความคิดเหน็ ต่อบทความน้นั ไดอ้ ย่างตรงประเด็น

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

๑. เพ่ือใหน้ ักเรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจหลักการอ่านคิดวเิ คราะห์
๒. เพ่ือให้นักเรยี นสามารถแยกแยะข้อมลู วเิ คราะหแ์ ละสังเคราะห์ขอ้ มลู

จากบทความทอ่ี ่านได้
๓. นกั เรียนสามารถศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองและใช้กระบวนการอ่านคดิ

วเิ คราะหบ์ ทความที่อ่านได้
๔. เพ่ือปลูกฝงั ให้นกั เรียนเปน็ ผมู้ ีความซอ่ื สตั ยส์ ุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนและมงุ่ ม่ัน

ในการทางาน



ชุดที่ ๔ การอา่ นจับใจความจากบทความ หนา้

คาชี้แจงการใชแ้ บบฝึกสาหรับครู

๑.แบบฝกึ เสริมทักษะการอ่านจับใจความเล่มนี้ ใชป้ ระกอบแผนการจดั กจิ กรรม
การเรียนรู้ เรอ่ื ง การอ่านจับใจความจากบทความ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖

๒. ครูใช้แบบฝกึ เสริมทกั ษะการอ่านจบั ใจความเปน็ สอ่ื หลักในการเรียนการสอน
เร่อื ง การอา่ นจับใจความจากบทความ เพือ่ ชว่ ยให้นกั เรียนเกดิ ความรู้ความเขา้ ใจ และมี
เจตคตทิ ่ีดตี อ่ การเรียนวิชาภาษาไทย

๓. ครูใชแ้ บบฝึกเสริมทักษะการอา่ นจบั ใจความเพ่อื ช่วยพัฒนานกั เรียนท่ีเรยี นชา้ ให้
เรยี นรู้ ไดเ้ รว็ ขึ้น และเปน็ การสง่ เสรมิ นกั เรียนท่ีเรยี นดใี ห้มผี ลการเรียนดยี ง่ิ ขึ้น

๔. ครูตอ้ งศึกษาเน้ือหาและกจิ กรรมในแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความจนเข้าใจ
ก่อน

๕. ครูควรศกึ ษากจิ กรรมใหเ้ ขา้ ใจก่อนใหค้ าแนะนาหรือใหค้ าปรกึ ษาแกน่ ักเรยี น
๖. ชี้แจงใหน้ กั เรียนเขา้ ใจข้ันตอนหรอื วิธกี ารศึกษาแบบฝึกเสริมทกั ษะการอ่านจับ
ใจความอย่างชดั เจน



ชุดที่ ๔ การอา่ นจบั ใจความจากบทความ หนา้

คาชแ้ี จงการใช้แบบฝึกสาหรับนักเรยี น

แบบฝึกเสริมทักษะการอา่ นจบั ใจความ เร่ือง การอ่านจบั ใจความจากบทความ
กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี ๖ จัดทาข้นึ เพือ่ ให้นักเรียนได้ศึกษา
ค้นคว้าหาความรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง โดยก่อนศึกษารายละเอยี ด ควรอ่านคาชแี้ จงการใช้และปฏิบตั ิ
ตามข้ันตอนทก่ี าหนดดงั น้ี

๑. ศกึ ษาจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ก่อนฝึกกิจกรรม
๒. อา่ นคาชี้แจงการใช้แบบฝึกเสรมิ ทักษะใหเ้ ข้าใจทลี ะขั้นตอน
๓. ทาแบบทดสอบก่อนเรยี น จานวน ๑๐ ขอ้ และตรวจคาตอบในเฉลย
แบบทดสอบก่อนเรียน
๔. นักเรยี นแบ่งกล่มุ ศกึ ษาเนื้อหาให้เขา้ ใจและเมือ่ ศึกษาเน้อื หาจบแล้ว ให้
นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ เขยี นอภิปรายผลตามแบบฝกึ แต่ละตอน / ตอบคาถาม /เรียงลาดับ
เหตกุ ารณ์ ในแบบฝกึ กจิ กรรมท่กี าหนดท้ายเนือ้ หานั้น ทกุ แบบฝึกกจิ กรรม
๕. เมอื่ ทาแบบฝึกกิจกรรมเสรจ็ แล้ว ให้ตรวจคาตอบของแตล่ ะแบบฝึกกจิ กรรม
ในส่วนของภาคผนวก
๖. นักเรยี นจับสลากเลือกตวั แทนกลุ่มๆละ ๑ คนออกนาเสนอผลงานหนา้ ช้ัน
เรียน
๗. ทาแบบทดสอบหลงั เรยี นในแบบฝึกเสริมทกั ษะ จานวน ๑๐ ข้อ และตรวจ
คาตอบในเฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน



ชดุ ท่ี ๔ การอ่านจบั ใจความจากบทความ หน้า

แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
แบบฝึกทักษะชุดท่ี ๔

คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนทาเคร่อื งหมาย × บนตวั อกั ษร ก ข ค และ ง ที่ถูกตอ้ งท่ีสุดเพียงขอ้
เดียวลงในกระดาษคาตอบ

๑. การอ่านคดิ วิเคราะห์ หมายถงึ ขอ้ ใด
ก. การอ่านอยา่ งถูกต้องสามารถจบั ใจความสาคัญได้
ข. การอ่านอย่างเพลิดเพลินสามารถเข้าใจเรอ่ื งได้อยา่ งรวดเร็ว
ค. การอ่านอยา่ งใคร่ครวญสามารถแยกแยะสรุปเร่ืองอย่างมีเหตุผล
ง. การอ่านอย่างเปน็ ระบบทั้งอา่ นในใจอ่านออกเสียงถูกต้องตามอักขรวิธี

๒. ข้อใดเปน็ ลักษณะของบทความ ๕
ก. งานเขียนความเรียงที่มจี ดุ ประสงค์เพ่ือแสดงความรู้และจนิ ตนาการของ
ผเู้ ขียนอยา่ งสร้างสรรค์
ข. งานเขยี นรอ้ ยกรองท่ีมีจดุ ประสงค์เพอ่ื แสดงความรู้ความคิดเหน็ ตอ่ สิ่งตา่ ง ๆ
อย่างมสี าระ สร้างสรรค์ และมเี หตุผลท่ีน่าเชือ่ ถอื
ค. งานเขยี นร้อยแกว้ หรือร้อยกรองท่มี ีจุดประสงค์เพ่อื เสนอความคดิ เห็นของ
ผู้เขียนในรูปแบบต่าง ๆอย่างมปี ระโยชน์
ง. งานเขียนความเรียงท่มี จี ุดประสงคเ์ พอื่ แสดงความรู้เสนอขอ้ เท็จจรงิ ความ
คิดเหน็ โดยมหี ลกั ฐานและเหตผุ ลทน่ี ่าเชอื่ ถือ

๓. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเก่ียวกบั ลักษณะของการอา่ นคิดวิเคราะห์
ก. มะลิอา่ นนทิ านแล้วเล่าเรอื่ งย่อให้เพ่อื นฟังได้
ข. ราตรอี ่านเร่อื งสามัคคเี สวกแล้วบอกข้อคดิ ทไี่ ด้รบั จากเรอ่ื งได้
ค. กหุ ลาบอ่านโคลงสุภาษิตแลว้ จบั ใจความสาคัญได้
ง. พกิ ลุ อ่านและทอ่ งบทอาขยานไดถ้ ูกต้องและไพเราะมาก

อา่ นขอ้ ความตอ่ ไปนแี้ ลว้ ตอบคาถามขอ้ ๔-๕

ชดุ ท่ี ๔ การอ่านจบั ใจความจากบทความ หน้า

“ปจั จุบันมีผ้ตู ดิ ยาเสพติดเป็นจานวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนจะตดิ ยาเสพตดิ
มากกวา่ กลุม่ คนกลุ่มอน่ื และทนี่ า่ เปน็ ห่วงกาลังแพร่ระบาดสูเ่ ดก็ นักเรียนวัย
๙-๑๐ ปี สาเหตุอาจเปน็ เพราะถกู เพอื่ นชักจงู ให้ลองเสพ อยากรู้ อยากลอง

ถกู ลอ่ ลวง และสาเหตสุ าคัญอกี ประการหนงึ่ คอื การขาดความอบอ่นุ ในครอบครัว
ปัญหาพอ่ แมห่ ยา่ ร้างกัน ผู้ใหญ่ไม่ไดส้ นใจดูแลหรอื เป็นทพ่ี ่งึ ของเดก็ ได้
เด็กเกิดความวา้ เหวไ่ ม่ร้จู ะปรกึ ษาใครเลยหันไปหายาเสพตดิ ”

๔. ผู้ปกครองควรปฏิบัตติ อ่ เด็กอยา่ งไรท่ีเป็นวิธดี ีท่สี ดุ เพื่อไม่ให้เดก็ ตดิ ยาเสพติด ๖
ก. ใหค้ วามรักความอบอนุ่ และ ใหค้ าปรึกษาอย่างใกล้ชดิ
ข. สอดส่องติดตามทกุ ฝกี า้ วเมือ่ เด็กนัดรวมกลุ่มกนั และแจง้ ครู
ค. สอนให้ลกู รู้จกั เลอื กคบเพ่ือนที่ดีมีฐานะ เพอ่ื จะไดไ้ มม่ ปี ญั หาพง่ึ พายาเสพติด
ง. เสนอกฎเกณฑ์ในการเรียนและความประพฤตอิ ย่างเข้มงวดท้งั ที่บา้ นและ
โรงเรียน

๕. จดุ ม่งุ หมายของผู้เขียนบทความน้คี อื ขอ้ ใด
ก. บอกวตั ถุประสงคใ์ นการใชย้ าเสพตดิ ในวยั รุ่น
ข. เพ่อื ให้ร้ถู ึงสาเหตุที่ทาให้วัยรนุ่ ตดิ ยาเสพตดิ
ค. เพ่อื ให้รถู้ ึงโทษของยาเสพตดิ
ง. เพ่อื แจ้งจานวนกลุ่มผตู้ ดิ ยาเสพติด

อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคาถามข้อ ๖

ชดุ ที่ ๔ การอ่านจับใจความจากบทความ หน้า

“คุณครคู ะ วนั นตี้ อนเดินมาโรงเรียนหนูเห็นคนตาบอดเดนิ ถือไมเ้ ท้าคลาทาง ๗
มาตรงทางม้าลายกาลงั จะข้ามถนน เขาเดนิ เซไปเซมาเหมือนจะล้มลงคะ่ หนจู งึ
เข้าไปประคองแล้วจูงมือเขา ช่วยพาเดินข้ามถนน เขาชมและขอบใจหนูด้วยค่ะ”

๖. คณุ ธรรมข้อใดสอดคล้องกบั ความหมายของข้อความน้ีมากท่ีสดุ
ก. ความโอบอ้อมอารี
ข. ความเมตตากรุณา
ค. ความเอ้อื เฟอื้ เผือ่ แผ่
ง. ความวิริยะอตุ สาหะ

อ่านขอ้ ความต่อไปนแ้ี ลว้ ตอบคาถามขอ้ ๗-๘

“แฝกเปน็ หญ้าชนดิ หนึง่ ขนึ้ เป็นกอ ใบแบนยาว ใช้มุงหลังคาและใชท้ ายา เปน็ พชื ที่มี
ระบบรากลึก เม่ือปลูกแล้วจะชว่ ยรักษาหน้าดิน พระองคจ์ ึงทรงแนะนาให้นาหญ้า
ชนิดนไ้ี ปปลูกเปน็ ขน้ั บันได เพ่อื เปน็ การป้องกันการพังทลายของหน้าดิน เพราะเม่ือฝน
ตกลงมาหญา้ แฝกจะชว่ ยดูดซมึ นา้ ไว้ ไม่ทาใหด้ นิ และน้าไหลไปส่ทู อี่ นื่ ทาให้เขตพนื้ ท่ี
ในแถบนัน้ มคี วามชมุ่ ช้นื ”

๗. พระองค์ ในที่น้หี มายถึงใคร
ก. พระสงฆ์
ข. พระพทุ ธรูป
ค´ นายกรัฐมนตรี
ง. พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว

๘. ขอ้ ความใดไม่ใชจ่ ุดประสงค์ของการปลูกหญ้าแฝก
ก. ลดความแหง้ แลง้
ข. ชว่ ยดดู ซบั น้าในดนิ
ค. ชว่ ยเสรมิ รายไดใ้ ห้แก่เกษตรกร
ง. ลดการพงั ทลายของหน้าดนิ

ชุดที่ ๔ การอา่ นจับใจความจากบทความ หน้า

อา่ นข้อความตอ่ ไปน้ีแลว้ ตอบคาถามข้อ ๙-๑๐ ๘

“ฝนพราตัง้ แต่เมื่อวานเยน็ จนกระท่ังเช้ากย็ ังไมห่ ยุด ใครจะบ่นอย่างไรก็หาฟงั ไม่
มันคงตกเรอ่ื ยไป หนา้ น้ีฤดฝู น มันทาหน้าที่ของมนั แล้วโดยชอบ หากฤดฝู น ฝนไมต่ กสิ
น่าประหลาด มันอยหู่ า่ งดนิ แต่มีทีท่ารักดิน รักนา้ รกั พฤกษาลดาวัลย์เสียเหลอื เกนิ
อาจเปน็ เพราะมนั ข้ึนไปจากน้ากระม่ัง ทานองเดียวกับมนุษยย์ อ่ มมหี น้าทีอ่ ย่างใด
อยา่ งหนงึ่ จึงควรทาหน้าทขี่ องตนใหส้ มบรู ณ์ทส่ี ุดตามกาลังความสามารถ มนษุ ย์ท่ีทา
หนา้ ท่ี ใครเลา่ จะตาหนหิ ากถกู ตาหนิกฟ็ ังเฉยเสียเหมอื นฝน”

๙. ผู้เขยี นแนะนาใหผ้ ู้อ่านทาตัวเช่นเดยี วกับฝนในเร่ืองใด
ก. มีความรับผดิ ชอบ
ข. มคี วามซอื่ สตั ย์
ค. มคี วามเสียสละ
ง. มีความเมตตา

๑๐. สาระสาคัญของขอ้ ความนคี้ อื อะไร
ก. ฝนควรภูมิใจท่ีไดท้ าหน้าทีข่ องมันอยา่ งสมบูรณ์
ข. มนษุ ย์ควรทาหนา้ ทข่ี องตนใหส้ มบูรณ์ที่สุดตามความสามารถ
ค. ฝนตกต้องตามฤดกู าล มนั คงทาหน้าท่อี ย่างครบถ้วน โดยไม่หวงั อามิส
สนิ จ้างใด ๆ
ง. คนท่คี ิดว่าตนได้กระทาความดีแลว้ หากถูกตาหนิก็ไม่ควรหว่นั ไหวหรอื โกรธ
เคอื ง



ชดุ ที่ ๔ การอา่ นจบั ใจความจากบทความ หน้า

ชดุ ท่ี ๔ การอ่านจับใจความจากบทความ หน้า

ใบความรู้
เรอื่ ง การอ่านจับใจความจากบทความ

ความหมายและลกั ษณะของบทความ
บทความ หมายถงึ ขอ้ เขยี นซ่งึ อาจจะเป็นรายงานหรือการแสดงความคิดเห็นมักตีพมิ พ์ใน

หนังสือพิมพ์ วารสาร สารานกุ รม เปน็ ตน้ บทความจึงเป็นความเรียงประเภทหน่งึ ซ่งึ มีจดุ ประสงค์
หลายลักษณะ เชน่ เพ่อื แสดงความรู้ เสนอข้อเท็จจริง ความคิดเห็น ตงั้ ข้อสังเกต วเิ คราะห์วจิ ารณ์
ฯลฯ โดยตอ้ งเขียนอยา่ งมหี ลกั ฐาน มีเหตผุ ล น่าเช่ือถอื หากมีข้อเสนอแนะใด ๆ ต้องเปน็ ในทางท่ี
สรา้ งสรรค์

ประเภทของบทความ ๑๐
ประเภทของบทความแบ่งตามเนือ้ หาบทความได้เป็น ๑๑ ประเภท ได้แก่
๑. บทบรรณาธกิ าร เปน็ บทความแสดงความคิดเหน็ ลักษณะหนงึ่ ท่ีเขียนขึ้น เพ่อื
แสดงแนวคิดหลกั ของหนงั สอื พมิ พ์ฉบับนน้ั ๆ ตอ่ เร่ืองใดเรอื่ งหนงึ่
๒. บทความสมั ภาษณ์เปน็ บทความทีเ่ ขียนข้นึ จากการสมั ภาษณ์บุคคลเก่ียวกับ
ความคิดเหน็ ตอ่ เรอื่ งใดเร่ืองหนึ่งหรอื หลายเร่ือง หรอื เกย่ี วกบั ชวี ติ ของบุคคลน้นั หรอื จาก
การสมั ภาษณบ์ ุคคลหลายคนในหัวขอ้ เดียวกัน
๓. บทความแสดงความคดิ เหน็ ทวั่ ๆ ไป มีเนอ้ื หาหลายลักษณะ เชน่ หยิบยก
ปญั หาเหตุการณห์ รือเรอ่ื งท่ีประชาชนสนใจมาแสดงความคดิ เหน็ หรือผเู้ ขียนเสนอ
ความคิดเหน็ สนบั สนนุ หรือคัดค้าน หรือทง้ั สนับสนุนและคดั คา้ นความคิดเห็นในเรอ่ื ง
เดยี วกันของคนอน่ื ๆ เปน็ ต้น

ลกั ษณะของบทความทดี่ ี
ลกั ษณะของบทความทดี่ ี ควรมลี ักษณะ ๔ ประการ ดงั นี้

๑. เอกภาพ กล่าวคือ เนื้อหาของบทความมีความเปน็ อนั หนึ่งอนั เดยี วกัน มีทศิ ทาง
ของเนื้อหาไปในทางเดยี วกัน เพื่อมุ่งสูป่ ระเดน็ หลกั ทตี่ อ้ งการนาเสนอ

๒. สารตั ถภาพ กลา่ วคอื ผูเ้ ขยี นต้องเน้นยา้ ประเดน็ สาคญั ให้ชัดเจนวา่ ต้องการ
นาเสนอแนวคดิ สาคญั อะไร ประโยคใจความสาคญั หรอื สาระสาคญั ท่ีโดดเด่นคืออะไร

๓. สัมพนั ธภาพ กลา่ วคือ มีความสมั พันธ์กนั โดยตลอด ทงั้ ในด้านการเรียบเรยี ง
ถอ้ ยคา ข้อความ และการจดั ลาดับเร่ืองทกุ ประโยคในแต่ละยอ่ หนา้ และย่อหน้าในแต่ละ
เร่ืองต้องเชอ่ื มโยงเข้าด้วยกันด้วยการใช้คาเช่ือมข้อความ

๔. ความสมบูรณ์กล่าวคือ มีความสมบูรณ์ในด้านเน้ือหา มเี นอื้ ความชดั เจน
กระจา่ งแจง้ อธบิ ายได้ครอบคลุมความคิดหลักทต่ี ้องการนาเสนอ ขอ้ มูลทนี่ าเสนอเปน็
ขอ้ เทจ็ จริงทีถ่ ูกต้อง หากเป็นความคิดเหน็ ตอ้ งมีความสมเหตุสมผล

ชุดท่ี ๔ การอา่ นจับใจความจากบทความ หน้า

๔. บทความวิจารณเ์ ขียนเพ่อื แสดงความคิดเห็นในเชงิ วิจารณ์เร่อื งราวทตี่ ้องการ ๑๑
วจิ ารณด์ ว้ ยเหตผุ ลและหลักวิชาเปน็ สาคัญ

๕. บทความวิเคราะห์เป็นบทความแสดงความคิดเห็นอย่างหนง่ึ ซง่ึ ผู้เขียนจะ
พจิ ารณาเร่อื งใดเรอื่ งหน่งึ ทเ่ี ผยแพรม่ าแลว้ อยา่ งละเอยี ด โดยแยกแยะใหเ้ ห็นส่วนต่าง ๆ
ของเรื่องนนั้ ผู้เขยี นเสนอความคดิ และวเิ คราะหเ์ หตุการณ์เรอ่ื งราวนั้นอย่างละเอียด แสดง
ขอ้ เท็จจริงเหตผุ ลเพื่อให้ผู้อา่ นได้ความรู้ ความคดิ เห็นเพิ่มเติม เกดิ ความคิดทช่ี ัดเจนยิ่งขนึ้
แบง่ เปน็ บทความวิเคราะห์ข่าวและบทความวิเคราะห์ปัญหา

๖. บทความสารคดีท่องเทยี่ ว มีเนื้อหาแนวบรรยายเลา่ เรอื่ งเกี่ยวกบั สถานท่ี
ทอ่ งเท่ียวตา่ ง ๆ ทีม่ ีทัศนยี ภาพสวยงามหรือมคี วามสาคัญในด้านต่าง ๆ เพอ่ื แนะนาให้
ผ้อู ่านรู้จกั สถานท่ที อ่ งเที่ยว ชกั ชวนให้สนใจไปพบเห็นสถานท่ีน้ัน ๆ

๗. บทความกึง่ ชีวประวัตเิ ป็นการเขียนบางส่วนของชวี ติ บุคคลเพ่ือใหผ้ ูอ้ ่านทราบ
โดยเฉพาะคุณสมบตั ิหรอื ผลงานเด่นที่ทาใหบ้ คุ คลนั้นมชี อื่ เสียง ประสบความสาเรจ็ ในชวี ิต
เพ่อื ช่ืนชม ยกยอ่ งเจ้าของประวตั แิ ละชใ้ี ห้ผู้อา่ นไดแ้ งค่ ิดเพื่อเป็นแนวทางในการดาเนินชวี ิต

๘. บทความรอบปีเป็นบทความที่มเี น้อื หาแนวบรรยาย เลา่ เร่อื งเก่ียวกับเร่ืองราว
เหตุการณพ์ ิธกี ารในเทศกาลหรือวนั สาคญั เช่น วันสาคญั ทางศาสนา ทางประวตั ศิ าสตร์
ทางวัฒนธรรม เกี่ยวกบั บุคคลสาคญั เป็นตน้

๙. บทความให้ความรู้ท่ัวไป ผู้เขียนจะอธบิ ายให้ความรแู้ ละคาแนะนาในเร่ือง
ท่วั ๆ ไปที่ใช้ในการดาเนินชวี ติ ประจาวัน เชน่ มารยาทการเขา้ สังคม การแต่งกายให้
เหมาะสมกบั กาลเทศะและบุคลิกภาพ เคลด็ ลับการครองชวี ิตคู่ เปน็ ตน้

๑๐. บทความเชิงธรรมะ จะอธิบายข้อธรรมะให้ผ้อู ่านเขา้ ใจไดง้ า่ ย หรอื ให้คติ
ในแนวทางการดาเนินชีวิตตามแนวพระพุทธศาสนา เสนอหาทางแก้ปญั หาตามแนวพทุ ธ
ปรัชญา

๑๑. บทความวิชาการ มเี น้ือหาแสดงข้อเทจ็ จรงิ ข้อความร้ทู างวชิ าการเรอื่ งใด
เรื่องหนง่ึ ในสาขาวิชาใดวชิ าหนึง่ โดยเฉพาะ

ชดุ ที่ ๔ การอ่านจับใจความจากบทความ หน้า

องคป์ ระกอบของบทความ ๑๒
การเขยี นบทความ ควรมีองคป์ ระกอบดังต่อไปนี้
๑. ชือ่ เรื่อง ต้องส่อื ความหมายอยา่ งชดั เจนว่าผู้เขียนต้องการนาเสนอเร่ืองอะไร
๒. สว่ นเกริน่ นา หรอื คานา เป็นการนาผอู้ ่านเข้าสู่เร่ือง
๓. ส่วนเนอื้ เรอื่ ง เปน็ ส่วนของการดาเนนิ เรอื่ งท้ังหมด
๔. สว่ นสรุป เปน็ ส่วนสรปุ จดุ ยืนของผู้เขยี นที่มตี อ่ เร่ืองและวตั ถปุ ระสงค์ในการเขียน

แบบฝึกทักษะท่ี ๑

คาชี้แจง ให้นกั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปนใ้ี ห้ถูกตอ้ งไดใ้ จความ ( ๑๐ คะแนน )

๑. บทความ คืออะไร ( ๒ คะแนน )
ตอบ

............................................................................................................................. ..................................
............................................................................................................................. ...................................
........................................................................................ ........................................................................

๒. บทความมีกี่ประเภท อะไรบา้ ง (๓ คะแนน )
ตอบ

............................................................................................................................. ..................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................

ชุดที่ ๔ การอา่ นจบั ใจความจากบทความ หนา้

๓. ลักษณะของบทความทีด่ ี เปน็ อย่างไร ( ๓ คะแนน )
ตอบ

............................................................................................................................. ..................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................

๔. องคก์ อบของบทความมีอะไรบ้าง ( ๒ คะแนน ) ๑๓
ตอบ

............................................................................................................................. ..................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................

แบบฝกึ ทกั ษะที่ ๒

คาช้ีแจง : ให้นักเรยี นอา่ นบทความท่ีกาหนดให้ แล้วตอบคาถามลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ตอ้ ง
ชดั เจน โดยเขียนตวั หนงั สือใหอ้ ่านงา่ ย สะอาดเรียบรอ้ ย ( ๑๐ คะแนน )

ชดุ ท่ี ๔ การอา่ นจบั ใจความจากบทความ หน้า

สบิง่ ทสาคควัญาอมกี เปรอื่ระงกการาหรนรกั่งึ คษอื าผก้ปูาย่วยแตล้อะงใกจายรกาามลเงัจใบ็จป“่วกยาลดัง้วใจยจกาากลใคังรใจหขนอองขตอนเปเอ็นทงานให้

ญฝนั าใตหพิ ้ใี่นฝ่อ้ ใงหช้คเีวนริตอื่ใกไงดเลจ้ม้ช็บีแดิ ปรจง่วใยาจกเปมใน็หิตเด้รรผวื่องูห้ งใวปจงักลดุกตี โิธจชระนรเปมคดน็วาาสมขง่ิ อสหงาวทคัง.ักุญ..ค”ชนว่ กยนาผลอ้ ลังยกัใคจดนซนั ึง่นใหหักลท้ผา้ปูไี่ ยม่วค่เยคนมยมีพเักจลจบ็ ังะปในคว่ ดิกยวาเลรา่ ตกยอ่ากลส็นังชู้ ใับวีจวติ จา่ าก
เคปตา็นอ่กไคลปว่าาวมนโ้ี ชคกคงไาดมลีด่มงั งั ใีใพจครทระซส่ี พาาบทุคัญซธองึ้ ทใงจ่สีคใดุ์ตนครคือสั ากวน่าา้เี ลท“งั ่าอใกจโรบัขคตอยัวงาตขนอปงเรอผมงปู้ าท่ว่ีจลยะาเอภเตงาิมเคเมตว่อื ็มามมใหีคไมว้เปาม่ ็นมโี รเพจคลบ็ เังปปท็นว่ ่ยี ลยิง่ าแใภหลว้ญอจ่ใันะหปท้ตราอ่ ะอสเยสชู้ ่ารีวงิฐติ ไ”ร
กตับ่อตไวั ปเอองย่าชงวี มิตีคขวอางมคนหเวรังาปกราะลกังอใจบทดี่ปว้ ยรกะากยอแบลดะ้วจยิตคกวาายมกอบั ดจทติ นผอูกพดกันลก้ันันอคยวตู่ าลมอพดยเวาลยาามเมตื่อ่อกสาู้กยับปค่วยวาม
เจกวเติจีย่่าใ็บโวจกปกกรบัว็จธดโะรอฯแคยปล่าฯญรงปามจรตีสิตวพิ ตจนนี่ิะเรจ้อมู้เ็บทงีสป่าตเพท่วิทยอื่ัน่ีมไนจ่ันปิตรคดว่ใงว้จมยขงสาอ่ังจนกงิตตาใหนจรนใจเหอ้าะทง้รนอ่า่ีกึกงยาคกู่ตรดิางลมยาอนปาดกแรเมลัวบลาะเปยาอลื่นสเจี่ยรๆ็บนา้ กงอมจ็ริรานิู้วิยก่าตามเบนจาาถย็บกเพหาวรา่ืุ่อนตกผว่าหา่องยยนกดุๆค็รยลนู้ว้ังา่าาไยมวนคุ่นไ่าดววว้กาาติม็จยกะเจโกทก็บังารวปใธลหวก้ด็รู้
อเาปกลา่ียรนเจจบ็ าปก่วกยาเรปน็นอมนาเกปข็นนึ้ การเดิน พินิจพิจารณารับรู้ถึงความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา อาการเจ็บป่วย
หายไปช่ัวขณ“จะติหเนป่ึงน็ นเมา่ือยรกู้สาึกยเเจป็บน็ ปบว่าดว”อีกคกา็กเดลิน่าวอนีกี้บเหง่ บมืออกนใเหดร้ินวู้ จ่างจกิตรเมปน็วันสง่ิหสนา่ึงคญัๆทเส่ีดาินมหาลราถยควๆบครุมอบ
รเ่ามงื่อกราู้ยสไึกดป้ แวมด้รกา่ ็เงดกินายเมเจ่ือ็บหปา่วยยกข็กอลใับหไ้ปป่วนยอเฉนพสาะลรับ่ากงกันาคยรั้งจแติ ลใจ้วไคมร่ป้ัง่วเลย่าไปจดนว้ จยิตมใีสจตไมริ ่บัทรุกู้คขว์ไาปมกเัจบ็บร่ปางวกดาย
ขกจแอ็จิขตะงง็รใคแจา่ อ่ รงพยกงราๆ้มอยกีมอลาทยดลี่จตู่คังะลวแารอลมักดะเษเจวกา็บลลราปับ่าวงไไมปดกลฟ่อางยยงุ้ ซู่ใในหา่ นส้หภแาปายพรปปท่วร่ีปยวกดนต้วไิเยปหกตมาาอื รมนรสไับภมปาเ่ คพรยะขเทจอา็บงนปรอ่า่วงายกหมาาายรกแอ่เมลนอ่ื ะจยติ าใไจดม้ดีสีสต่งมิ ผน่ั ลคใงห้รร่าา่ งงกกาายย
คจวาามกทปรรงะจสาบทก่เี ากริดณจา์ขกอกงผารู้เขใหยี ้กนาเลมงั อ่ื ใจปตว่ นยหเอนงักมทผี าลใทหา้ไใดหป้ จ้ ริตะใสจบเขกม้ าแรขณง็ ์พทิเศาษใหถ้มือคี เวปา็นมหวงั
บทท่ีจทะดตส่ออสบู้ฟชันีวฝิต่าทอ่ีสุปาสครัญรคทใานใหกา้ไดรข้ดอ้ารคงดิ ชสีวาิตคอญั ยนู่ มามีผาลสตอ่อนคใวจาตมนเเชอ่ืองมได่ันเ้ ปต็น่ออกยาา่รงตดัดีวส่าินเปมัอ่ืญคหวาาตม่าเจงบ็ ๆปใ่วหย้ผ่าน
มพา้เนยไอื ปนไดผ้ดปู้ ้วว่ ยยดตีดอ้ ้วงยยอกมาลรบัังใคจวขาอมงเปต็นนจเอรงิงขแอลงะคเวรา่ือมงเรจา็บวปเหวดลร่าา่ นงี้ไกดา้เยรอียยนู่ตรลู้วอ่าดทเวุกลสา่ิงทเจุก็บอกยร็ ่าวู้ งา่ อเจยบ็ ู่ที่ตัวของ ๑๔

ใใชหตคจ้ือน้มติตสีเอสนตงมัิกเทอผาั้งงกัสหกบัฯมบัลอดฯสยว่เู่มสนิตมขรออทงต่ีดราีท่ามง่ีสดกุดูคากยว็คาทือมีร่ ตรู้สู้สนึกึกเเอจขง็บองศอตัตานรจเูทจอี่ระง้าชดยว่ว้ กยยาคคจลวทาามย่ีสเอุดจดกบ็ ท็คปืนอวตดอนไดดเกอบ้ ลงา้ ้นั งผชู้ทหว่ั ่ีปาขกลณรอะูส้ บหกึ ในเจจงึ่ตบ็ นปเวอดงไมดา้ดกีท่ีสุดก็

ประสบการณ์นไ้ี ด้นาไปบอกเลา่ ให้ทุกคนทีร่ ู้จักอยู่เสมอในยามท่ีร่างกายเจ็บป่วยหรือ

ทอ้ แท้ ส้นิ หวัง วนุ่ วายใจ ฯลฯ โดยเฉพาะนกั เรยี น ใหก้ าลงั ใจตนเองอยเู่ สมอ โดยเร่ิมต้นตามดู

ความคดิ ความรสู้ ึกของตนเอง เช่น ในยามโกรธ กร็ ู้ว่าโกรธ อาจจะบอกกบั ตนเองว่าโกรธแล้วนะ

บอกกบั ใจตนเองหลาย ๆ คร้ัง แล้วความโกรธกจ็ ะหายไปเองเมอ่ื ตามดูตามคดิ ความรู้สึกของตนเองได้

การให้ กาลังตนเองกส็ ามารถทาไดเ้ ช่นกนั

(สมสมร จินดาประเสรฐิ , ๒๕๖๐)

ชุดที่ ๔ การอ่านจบั ใจความจากบทความ หนา้

๑๕

๑. “จติ เปน็ นาย กายเปน็ บา่ ว” จากบทความข้างตน้ มคี วามหมายวา่ อย่างไร (๒ คะแนน)
ตอบ ..................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................

๒. “กาลงั ใจจากใครหนอ ขอเปน็ ทาน ให้ฝ่นั ให้ใฝ่ ใหช้ ีวติ ได้มแี รงใจ ให้ดวงใจลุกโชน
ความหวัง” จากขอ้ ความข้างตน้ ผู้เขยี นตอ้ งการสือ่ ถงึ อะไร (๒ คะแนน)
ตอบ .....................................................................................................................................

..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
๓. จากบทความนี้กาลังใจท่ีสาคญั ที่สดุ ท่ีผเู้ ขียนกล่าวถงึ คอื กาลงั ใจจากใคร (๒ คะแนน)
ตอบ ..................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
๔. กาลังใจ ในบทความนี้ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง (๒ คะแนน)
ตอบ ...................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
๕. จากเรอ่ื งนี้ผู้เขียนต้องการบอกอะไรแก่ผู้อา่ น (๒ คะแนน)
ตอบ ..................................................................................................................................
............................................................................................................................................

...........................................................................................................................................

ชดุ ที่ ๔ การอา่ นจับใจความจากบทความ หน้า

๑๖

แบบฝกึ ทกั ษะท่ี ๓

คาชี้แจง ให้นกั เรยี นอ่านบทความท่กี าหนดให้ แล้วตอบคาถามลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ตอ้ ง
ชดั เจน โดยเขยี นตวั หนงั สือให้อ่านงา่ ย สะอาดเรียบร้อย (๑๐ คะแนน)

ชดุ ที่ ๔ การอ่านจับใจความจากบทความ หน้า

อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคาถามขอ้ ๑-๒

บทความเรอื่ ง ขา่ วร้าย-ข่าวดี ทนี่ ีไ่ มม่ ีใครสวมรองเท้าเลย

มีบริษัทผลิตรองเท้าบริษัทหน่ึงจะเปิดตลาดในทวีปแอฟริกาจึงส่งพนักงานขาย อันดับ ๑ ไป
ยังแอฟริกาเพ่ือทาการศึกษาศักยภาพของตลาด เมื่อไปถึงได้สังเกตว่า ชาวแอฟริกันส่วนมากเดินด้วย
เท้าเปล่า เขาก็เลยส่งข่าวกลับไปด้วยข้อความท่ีว่า “ข่าวร้าย ที่น่ีไม่มีใครสวมรองเท้าเลย” และไม่มี
ตลาดรองเทา้ ในทวปี แอฟริกานี้ ฝ่ายบรหิ ารก็พจิ ารณาว่า ควรจะหาข้อมูลเป็นครั้งที่ ๒ เพ่ือให้แนใ่ จ จึง
ตัดสินใจที่จะส่งพนักงานขายอีกคนหน่ึงไปเพื่อประเมินตลาดแห่งนี้พนักงานขายคนท่ี ๒ เมื่อไปถึง
แอฟริกาก็มีความต่ืนเต้นมากและส่งข่าวกลับมาทันทีด้วยข้อความว่า “ข่าวดี ไม่มีใครท่ีนี่สวมรองเท้า
เลย” เขารีบเดินทางกลับและรายงานแก่ฝ่ายบริหารว่า“สุภาพบุรุษท้ังหลาย เรากาลังจะรวยเพราะมี
ตลาดใหญม่ าก ในแอฟริกาและสง่ิ สาคญั ท่ีเราตอ้ งรีบทา คือ ใหก้ ารศึกษาแกช่ าวแอฟรกิ ัน
วา่ ประโยชนข์ องการใสร่ องเท้าคืออะไร”

(ขา่ วร้าย-ขา่ วดี ทน่ี ่ีไมม่ ีใครสวมรองเทา้ เลย, http://oknation.nationtv.๒๕๕๘) ๑๗

๑. ทาไมพนักงานคนที่ ๑ จงึ บอกว่า ข่าวร้าย (๒ คะแนน)
ตอบ ...................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................

ชุดที่ ๔ การอา่ นจับใจความจากบทความ หนา้

๒. ทาไมพนกั งานคนท่ี ๒ จงึ บอกวา่ ขา่ วดี (๒ คะแนน)
ตอบ .....................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................

๓. จากการอา่ นเรื่อง “ข่าวรา้ ย-ข่าวดี ที่น่ีไม่มใี ครสวมรองเท้าเลย” (๓ คะแนน)
ตอบ ข้อเทจ็ จรงิ คอื ...........................................................................................................
ข้อคดิ เหน็ คอื ............................................................................................................

๔. นักเรยี นเห็นด้วยกับคาพดู ของพนกั งานคนที่ ๑ หรอื คนท่ี ๒ เพราะเหตใุ ด คนท่ี ๑ “ขา่ ว
ร้ายที่นี่ไมม่ ใี ครสวมรองเทา้ เลย”คนท่ี ๒ “ขา่ วดไี ม่มใี ครท่นี ีส่ วมรองเท้าเลย”(๓ คะแนน)
ตอบ ....................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................

............................................................................................................................................. ๑๘

แบบทดสอบหลงั เรียน
แบบฝกึ ทักษะชดุ ท่ี ๔

คาชแ้ี จง จากเนื้อหาทีน่ ักเรียนไดเ้ รียนมา ให้นักเรียนกาเครอื่ งหมายกากบาท (X) ทับข้อ
ทถ่ี ูกตอ้ งที่สดุ เพยี งข้อเดยี ว

๑. การอา่ นคิดวิเคราะห์ หมายถงึ ขอ้ ใด
ก. การอ่านอยา่ งถกู ต้องสามารถจบั ใจความสาคัญได้
ข. การอา่ นอย่างเพลดิ เพลินสามารถเข้าใจเรื่องไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว

ชุดท่ี ๔ การอ่านจบั ใจความจากบทความ หน้า

ค. การอ่านอยา่ งใครค่ รวญสามารถแยกแยะสรุปเร่ืองอย่างมีเหตผุ ล
ง. การอ่านอย่างเปน็ ระบบทัง้ อ่านในใจอ่านออกเสยี งถูกต้องตามอกั ขรวิธี

๒. ขอ้ ใดเป็นลักษณะของบทความ ๑๙
ก. งานเขยี นความเรียงท่มี จี ุดประสงค์เพือ่ แสดงความร้แู ละจินตนาการของ
ผู้เขียนอยา่ งสรา้ งสรรค์
ข. งานเขียนร้อยกรองที่มจี ุดประสงคเ์ พ่ือแสดงความรูค้ วามคดิ เห็นต่อสิง่ ต่าง ๆ
อย่างมสี าระ สร้างสรรค์ และมเี หตุผลทน่ี ่าเชอื่ ถือ
ค. งานเขยี นร้อยแก้วหรอื รอ้ ยกรองทีม่ ีจุดประสงคเ์ พ่ือเสนอความคิดเหน็ ของ
ผู้เขียนในรูปแบบต่าง ๆอย่างมปี ระโยชน์
ง. งานเขียนความเรยี งทมี่ ีจดุ ประสงค์เพ่ือแสดงความรู้เสนอขอ้ เทจ็ จรงิ ความ
คิดเหน็ โดยมีหลักฐานและเหตุผลท่ีนา่ เช่อื ถือ

๓. ขอ้ ใดกล่าวถกู ตอ้ งเกี่ยวกับลกั ษณะของการอ่านคิดวิเคราะห์
ก. มะลิอ่านนิทานแลว้ เล่าเรอ่ื งย่อใหเ้ พอ่ื นฟงั ได้
ข. ราตรีอ่านเรอื่ งสามัคคีเสวกแลว้ บอกขอ้ คดิ ท่ีไดร้ บั จากเร่อื งได้
ค. กุหลาบอ่านโคลงสุภาษิตแล้วจบั ใจความสาคัญได้
ง. พกิ ุลอ่านและทอ่ งบทอาขยานได้ถกู ตอ้ งและไพเราะมาก

อ่านข้อความตอ่ ไปน้แี ลว้ ตอบคาถามข้อ ๔-๕

“ปจั จุบันมีผตู้ ดิ ยาเสพติดเป็นจานวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนจะตดิ ยาเสพตดิ
มากกวา่ กลมุ่ คนกลุ่มอนื่ และทนี่ า่ เป็นห่วงกาลงั แพร่ระบาดสู่เด็กนักเรียนวัย
๙-๑๐ ปี สาเหตอุ าจเปน็ เพราะถกู เพือ่ นชกั จงู ให้ลองเสพ อยากรู้ อยากลอง

ถกู ลอ่ ลวง และสาเหตุสาคัญอกี ประการหน่งึ คือ การขาดความอบอุน่ ในครอบครวั
ปัญหาพอ่ แมห่ ย่าร้างกัน ผู้ใหญไ่ มไ่ ด้สนใจดแู ลหรือเปน็ ทีพ่ งึ่ ของเด็กได้
เด็กเกิดความว้าเหวไ่ มร่ ู้จะปรกึ ษาใครเลยหันไปหายาเสพติด”

ชดุ ที่ ๔ การอ่านจบั ใจความจากบทความ หน้า

๔. ผ้ปู กครองควรปฏิบตั ติ อ่ เด็กอยา่ งไรที่เป็นวธิ ีดีท่สี ดุ เพ่อื ไมใ่ ห้เดก็ ติดยาเสพตดิ ๒๐
ก. ให้ความรักความอบอนุ่ และ ใหค้ าปรึกษาอย่างใกล้ชดิ
ข. สอดสอ่ งตดิ ตามทุกฝกี า้ วเมอ่ื เด็กนดั รวมกลุม่ กนั และแจ้งครู
ค. สอนใหล้ ูกรู้จกั เลือกคบเพ่อื นทดี่ มี ีฐานะ เพอ่ื จะไดไ้ มม่ ีปัญหาพึง่ พายาเสพติด
ง. เสนอกฎเกณฑ์ในการเรียนและความประพฤติอย่างเข้มงวดทง้ั ที่บา้ นและ
โรงเรยี น

๕. จดุ มุ่งหมายของผู้เขียนบทความนค้ี อื ข้อใด
ก. บอกวัตถุประสงคใ์ นการใชย้ าเสพตดิ ในวัยร่นุ
ข. เพื่อให้รถู้ ึงสาเหตทุ ี่ทาให้วัยรนุ่ ติดยาเสพตดิ
ค. เพื่อให้รูถ้ ึงโทษของยาเสพตดิ
ง. เพอื่ แจ้งจานวนกลุม่ ผู้ติดยาเสพตดิ

อ่านข้อความต่อไปนีแ้ ลว้ ตอบคาถามข้อ ๖

“คณุ ครคู ะ วันนต้ี อนเดินมาโรงเรยี นหนูเหน็ คนตาบอดเดนิ ถือไม้เทา้ คลาทาง
มาตรงทางม้าลายกาลังจะข้ามถนน เขาเดนิ เซไปเซมาเหมือนจะลม้ ลงค่ะ หนจู ึง
เข้าไปประคองแล้วจูงมือเขา ช่วยพาเดนิ ขา้ มถนน เขาชมและขอบใจหนดู ้วยคะ่ ”

๖. คุณธรรมข้อใดสอดคล้องกบั ความหมายของข้อความนม้ี ากท่ีสดุ
ก. ความโอบออ้ มอารี
ข. ความเมตตากรณุ า
ค. ความเอื้อเฟ้อื เผอ่ื แผ่
ง. ความวริ ิยะอุตสาหะ

อา่ นข้อความต่อไปน้แี ล้วตอบคาถามขอ้ ๗-๘

ชุดที่ ๔ การอ่านจบั ใจความจากบทความ หน้า

“แฝกเป็นหญ้าชนดิ หน่ึง ข้นึ เปน็ กอ ใบแบนยาว ใช้มงุ หลังคาและใชท้ ายา เปน็ พชื ทม่ี ี ๒๑
ระบบรากลกึ เม่อื ปลกู แลว้ จะชว่ ยรักษาหนา้ ดิน พระองคจ์ งึ ทรงแนะนาใหน้ าหญา้
ชนิดนไ้ี ปปลูกเป็นขัน้ บนั ได เพอ่ื เป็นการปอ้ งกันการพังทลายของหน้าดิน เพราะเมอ่ื ฝน
ตกลงมาหญา้ แฝกจะชว่ ยดดู ซึมน้าไว้ ไม่ทาใหด้ ินและน้าไหลไปสู่ท่ีอ่นื ทาให้เขตพืน้ ที่
ในแถบน้นั มีความชุ่มชนื้ ”

๗. พระองค์ ในท่ีน้ีหมายถึงใคร
ก. พระสงฆ์
ข. พระพทุ ธรูป
ค´ นายกรัฐมนตรี
ง. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว

๘. ข้อความใดไมใ่ ชจ่ ดุ ประสงคข์ องการปลูกหญา้ แฝก
ก. ลดความแห้งแล้ง
ข. ช่วยดดู ซบั นา้ ในดนิ
ค. ช่วยเสริมรายไดใ้ หแ้ กเ่ กษตรกร
ง. ลดการพงั ทลายของหน้าดิน

อ่านขอ้ ความตอ่ ไปน้ีแล้วตอบคาถามข้อ ๙-๑๐

“ฝนพราต้ังแตเ่ มอ่ื วานเย็นจนกระทง่ั เช้ากย็ งั ไมห่ ยุด ใครจะบ่นอยา่ งไรก็หาฟงั ไม่
มันคงตกเร่อื ยไป หนา้ นีฤ้ ดฝู น มนั ทาหน้าที่ของมันแล้วโดยชอบ หากฤดูฝน ฝนไมต่ กสิ
น่าประหลาด มันอยหู่ า่ งดนิ แต่มที ที า่ รกั ดนิ รกั นา้ รักพฤกษาลดาวัลย์เสียเหลือเกิน
อาจเปน็ เพราะมันขึ้นไปจากน้ากระมั่ง ทานองเดียวกับมนษุ ย์ย่อมมหี นา้ ทอ่ี ยา่ งใด
อยา่ งหน่ึง จงึ ควรทาหน้าท่ขี องตนใหส้ มบูรณ์ทีส่ ดุ ตามกาลงั ความสามารถ มนษุ ยท์ ที่ า
หน้าท่ี ใครเล่าจะตาหนหิ ากถกู ตาหนิกฟ็ ังเฉยเสยี เหมือนฝน”

ชดุ ที่ ๔ การอ่านจบั ใจความจากบทความ หนา้

๒๒

๙. ผ้เู ขยี นแนะนาให้ผอู้ ่านทาตวั เช่นเดียวกับฝนในเรื่องใด
ก. มคี วามรับผดิ ชอบ
ข. มคี วามซื่อสตั ย์
ค. มคี วามเสียสละ
ง. มคี วามเมตตา

๑๐. สาระสาคัญของขอ้ ความนค้ี อื อะไร
ก. ฝนควรภมู ิใจทไี่ ดท้ าหน้าทข่ี องมนั อย่างสมบรู ณ์
ข. มนษุ ย์ควรทาหน้าทข่ี องตนให้สมบูรณ์ทสี่ ดุ ตามความสามารถ
ค. ฝนตกตอ้ งตามฤดูกาล มันคงทาหน้าที่อย่างครบถ้วน โดยไมห่ วงั อามิส
สินจ้างใด ๆ
ง. คนทค่ี ดิ ว่าตนได้กระทาความดแี ล้วหากถูกตาหนิกไ็ มค่ วรหว่ันไหวหรือโกรธ
เคือง

๒๓

ชดุ ที่ ๔ การอา่ นจบั ใจความจากบทความ หน้า

เฉลยแบบฝกึ เสริมทักษะ

๒๔

เฉลยแบบฝึกทกั ษะที่ ๑

ชุดที่ ๔ การอ่านจับใจความจากบทความ หน้า

คาช้แี จง ให้นกั เรียนตอบคาถามต่อไปนใ้ี ห้ถูกตอ้ งไดใ้ จความ ( ๑๐ คะแนน )

๑. บทความ คืออะไร ( ๒ คะแนน )
ตอบ บทความ หมายถึง ข้อเขยี นซง่ึ อาจจะเปน็ รายงานหรือการแสดงความคดิ เหน็ มกั
ตีพมิ พใ์ นหนังสอื พิมพ์ วารสาร สารานกุ รม เปน็ ต้นบทความจึงเป็นความเรียงประเภท
หนง่ึ ซึง่ มีจุดประสงค์หลายลักษณะ เช่น เพือ่ แสดงความรู้ เสนอข้อเท็จจรงิ ความคิดเห็น
ตัง้ ข้อสังเกต วเิ คราะหว์ ิจารณ์ ฯลฯ โดยตอ้ งเขยี นอย่างมหี ลักฐาน มีเหตผุ ล นา่ เชอื่ ถอื
หากมขี ้อเสนอแนะใด ๆ ต้องเปน็ ในทางทสี่ รา้ งสรรค์

๒. บทความมีก่ีประเภท อะไรบา้ ง (๓ คะแนน ) ๒๕
ตอบ ประเภทของบทความแบง่ ตามเนอื้ หาบทความได้เป็น ๑๑ ประเภท ได้แก่
๑. บทบรรณาธิการ
๒. บทความสัมภาษณ์
๓. บทความแสดงความคิดเห็นทว่ั ๆ ไป
๔. บทความวิจารณเ์ ขียนเพ่ือแสดงความคิดเหน็
๕. บทความวิเคราะหเ์ ป็นบทความแสดงความคิดเหน็ อยา่ งหน่ึง
๖. บทความสารคดที อ่ งเท่ียว
๗. บทความกึ่งชีวประวตั ิ
๘. บทความรอบปีเปน็ บทความทม่ี เี นอ้ื หาแนวบรรยาย
๙. บทความให้ความรู้ท่วั ไป
๑๐. บทความเชิงธรรมะ
๑๑. บทความวชิ าการ

๓. ลกั ษณะของบทความท่ีดี เปน็ อยา่ งไร ( ๓ คะแนน )
ตอบ ลักษณะของบทความทด่ี ี ควรมลี ักษณะ ๔ ประการ ดังน้ี
๑. เอกภาพ กล่าวคือ เนอ้ื หาของบทความมคี วามเปน็ อนั หน่ึงอันเดียวกัน มีทศิ ทาง

ของเนือ้ หาไปในทางเดียวกัน เพอื่ มุง่ ส่ปู ระเดน็ หลักท่ีต้องการนาเสนอ
๒. สารตั ถภาพ กลา่ วคือ ผู้เขียนต้องเน้นย้าประเดน็ สาคญั ให้ชัดเจนวา่ ต้องการ

นาเสนอแนวคิดสาคญั อะไร ประโยคใจความสาคัญหรอื สาระสาคญั ท่ีโดดเดน่ คอื อะไร

ชุดที่ ๔ การอ่านจับใจความจากบทความ หนา้

๓. สัมพันธภาพ กล่าวคือ มคี วามสมั พนั ธ์กันโดยตลอด ท้ังในด้านการเรียบเรยี ง
ถ้อยคา ขอ้ ความ และการจดั ลาดบั เรอื่ งทุกประโยคในแต่ละย่อหนา้ และย่อหนา้ ในแต่ละ
เร่อื งต้องเชื่อมโยงเข้าดว้ ยกันดว้ ยการใชค้ าเชื่อมข้อความ

๔. ความสมบูรณ์กล่าวคือ มคี วามสมบรู ณใ์ นด้านเน้ือหา มีเนื้อความชัดเจน
กระจา่ งแจง้ อธิบายไดค้ รอบคลุมความคดิ หลักทต่ี ้องการนาเสนอ ขอ้ มูลท่ีนาเสนอเปน็
ขอ้ เท็จจรงิ ที่ถูกต้อง หากเป็นความคดิ เห็นต้องมคี วามสมเหตุสมผล

๔. องค์กอบของบทความมอี ะไรบา้ ง ( ๒ คะแนน )
ตอบองค์ประกอบของบทความ การเขยี นบทความ ควรมีองค์ประกอบดงั ตอ่ ไปนี้
๑. ช่ือเร่อื ง ต้องสอ่ื ความหมายอยา่ งชัดเจนว่าผู้เขยี นต้องการนาเสนอเรอื่ งอะไร
๒. สว่ นเกร่ินนา หรือ คานา เปน็ การนาผู้อ่านเข้าสเู่ รื่อง
๓. สว่ นเนอื้ เรื่อง เป็นสว่ นของการดาเนินเรื่องทั้งหมด
๔. สว่ นสรุป เป็นส่วนสรปุ จดุ ยนื ของผู้เขยี นทีม่ ีตอ่ เร่ืองและวตั ถปุ ระสงคใ์ นการเขียน

๒๖

เฉลยแบบฝึกทักษะท่ี ๒

คาชแี้ จง : ใหน้ กั เรยี นอา่ นบทความท่กี าหนดให้ แลว้ ตอบคาถามลงในช่องว่างให้ถกู ตอ้ ง
ชดั เจน โดยเขียนตัวหนงั สือให้อ่านง่าย สะอาดเรยี บรอ้ ย ( ๑๐ คะแนน )

บทความเร่ือง การรกั ษากายและใจยามเจบ็ ป่วยด้วยกาลังใจของตนเอง

เร่ืองเจบ็ ป่วยเปน็ เรื่องปกติธรรมดาของทุกคน น้อยคนนักทไี่ ม่เคยเจบ็ ป่วยเลย ก็นบั ว่า
เป็นความโชคดดี งั พระพุทธองค์ตรสั วา่ “อโรคยา ปรมา ลาภา ความไมม่ ีโรคเป็นลาภ อนั ประเสริฐ”
คากล่าวน้ีคงไม่มใี ครซาบซึ้งใจในคานี้เทา่ กับตัวของผู้ปว่ ยเอง เม่ือมีความเจ็บป่วยแล้วจะทาอย่างไรกบั
ตัวเองชวี ิตของคนเราประกอบด้วยกายและจิต กายกับจิต ผูกพันกนั อยู่ตลอดเวลา เมอ่ื กายป่วย จิตใจ
กจ็ ะแปรปรวนเจบ็ ปว่ ยไปดว้ ย จติ ใจจะนึกคดิ มากมาย สร้างจินตนาการต่าง ๆ นานา วติ กกังวล

ชดุ ท่ี ๔ การอา่ นจับใจความจากบทความ หน้า

๒๗

สงิ่ สาคัญอกี ประการหนึ่งคือ ผปู้ ว่ ยตอ้ งการกาลังใจ “กาลังใจจากใครหนอ ขอเปน็ ทานให้
ฝนั ให้ใฝ่ ใหช้ ีวิตไดม้ ีแรงใจ ให้ดวงใจลกุ โชนความหวัง...” กาลงั ใจซึ่งหลายคนมักจะคดิ วา่ กาลงั ใจจาก
ญาตพิ นี่ ้อง คนใกล้ชิด จากมติ รผู้หวังดี จะเปน็ สิ่งสาคญั ชว่ ยผลกั ดนั ใหผ้ ูป้ ่วยมีพลังในการตอ่ สู้ชีวิต
ตอ่ ไป

กาลังใจทีส่ าคัญทีส่ ุดคือกาลังใจของตนเองทจ่ี ะเตมิ เตม็ ใหเ้ ปน็ พลังทย่ี ง่ิ ใหญ่ใหต้ ่อสู้ชีวติ
ต่อไปอย่างมีความหวัง กาลังใจท่ีประกอบด้วยความอดทน อดกล้ัน ความพยายามต่อสู้กับความ
เจ็บปวดอย่างมีสติ รู้เท่าทันจติ ใจของตนเองอยู่ตลอดเวลา เจ็บก็รู้ว่าเจ็บ วุ่นวายก็รู้ว่าวนุ่ วาย โกรธก็รู้
ว่าโกรธ ฯลฯ จิตจะมีสติที่ม่ันคง ส่ังการให้ร่างกายปรับเปล่ียนอิริยาบถเพ่ือผ่อนคลายความเจ็บปวด
เปลี่ยนจากการนอนเป็นการเดิน พินิจพิจารณารับรู้ถึงความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา อาการเจ็บป่วย
หายไปช่ัวขณะหน่ึง เมื่อรู้สึกเจ็บปวดอีกก็เดินอีกเหมือนเดินจงกรม วันหนึ่ง ๆ เดินหลาย ๆ รอบ
เม่ือรู้สึกปวดก็เดิน เมื่อหายก็กลับไปนอน สลับกันครั้งแล้วคร้ังเล่า จนจิตใจไม่ทุกข์ไปกับร่างกาย
จิตใจพร้อมที่จะรักษาร่างกายให้หายป่วยด้วยการรับประทานอาหารและยาไ ด้ดีส่งผลให้ร่างกาย
แขง็ แรง มีกาลงั และกลบั ไปอยู่ในสภาพท่ปี กตเิ หมือนไม่เคยเจ็บปว่ ยมากอ่ น

ความทรงจาทีเ่ กิดจากการใหก้ าลังใจตนเอง มผี ลทาให้จติ ใจเขม้ แขง็ ทาให้มีความหวัง
ท่ีจะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคในการดารงชีวิตอยู่ มีผลต่อความเช่ือมั่น ต่อการตัดสินปัญหาต่าง ๆให้ผ่าน
พ้นไปได้ด้วยดีด้วยกาลังใจของตนเอง และเรื่องราวเหล่านี้ได้เรียนรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวของ
ตนเองท้ังหมด มิตรที่ดีที่สุดก็คือตนเอง ศัตรูที่ร้ายกาจท่ีสุดก็คือตนเอง ผู้ท่ีปลอบใจตนเองได้ดีท่ีสุดก็
คือตนเอง ฯลฯ

ชดุ ท่ี ๔ การอา่ นจบั ใจความจากบทความ หนา้

๒๘

๑. “จติ เป็นนาย กายเป็นบา่ ว” จากบทความข้างตน้ มคี วามหมายว่าอย่างไร (๒ คะแนน)
ตอบ จิตใจของเราน้ัน สามารถสั่งใหก้ ายทาในสิ่งทีต่ ้องการได้ เช่น คนทีค่ ิดดี กายย่อม
แสดงออกมาในทางดี

๒. “กาลงั ใจจากใครหนอ ขอเปน็ ทาน ใหฝ้ ่นั ให้ใฝ่ ให้ชวี ติ ได้มีแรงใจ ใหด้ วงใจลุกโชน
ความหวงั ” จากขอ้ ความขา้ งตน้ ผู้เขียนตอ้ งการส่ือถึงอะไร (๒ คะแนน)
ตอบ จากข้อความขา้ งต้น ผู้เขียนตอ้ งการสอ่ื ใหเ้ ห็นถึงการตอ้ งการกาลงั ใจจากใครซักคน
แต่กาลงั ใจที่สาคญั คือกาลังใจทีข่ องตนเองทจ่ี ะเติมเต็มใหเ้ ปน็ พลังที่ยง่ิ ใหญใ่ ห้ต่อส้ชู ีวิต
ตอ่ ไปอย่างมคี วามหวงั

๓. จากบทความน้ีกาลังใจท่ีสาคญั ท่ีสุดที่ผเู้ ขียนกล่าวถงึ คอื กาลงั ใจจากใคร (๒ คะแนน)
ตอบ กาลงั ใจที่สาคญั คอื กาลงั ใจท่ขี องตนเองทจี่ ะเติมเตม็ ให้เป็นพลังทยี่ งิ่ ใหญใ่ ห้ต่อสู้ชีวิต
ตอ่ ไปอย่างมีความหวงั

๔. กาลังใจ ในบทความน้ีประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง (๒ คะแนน)
ตอบ กาลังใจที่ประกอบด้วยความอดทน อดกล้นั ความพยายามตอ่ สู้กบั ความเจ็บปวด
อยา่ งมสี ติ รู้เท่าทนั จติ ใจของตนเองอยู่ตลอดเวลา เจ็บก็รวู้ ่าเจบ็ ว่นุ วายก็รูว้ ่าวุ่นวาย โกรธ
ก็ร้วู ่าโกรธ ฯลฯ จิตจะมสี ตทิ ่ีมัน่ คง

ชุดที่ ๔ การอ่านจบั ใจความจากบทความ หนา้

๕. จากเรือ่ งน้ผี ู้เขยี นต้องการบอกอะไรแก่ผูอ้ ่าน (๒ คะแนน) ๒๙
ตอบ ทุกสิ่งทกุ อย่างอยู่ทีต่ ัวของตนเองทง้ั หมด มติ รท่ีดีทส่ี ุดกค็ อื ตนเอง ศตั รทู ี่ร้ายกาจ
ท่ีสดุ ก็คอื ตนเอง ผู้ทป่ี ลอบใจตนเองได้ดีที่สุดกค็ อื ตนเอง ฯลฯ

เฉลยแบบฝึกทกั ษะท่ี ๓

คาชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นอ่านบทความทีก่ าหนดให้ แลว้ ตอบคาถามลงในชอ่ งว่างใหถ้ ูกต้อง
ชดั เจน โดยเขยี นตวั หนงั สือให้อา่ นง่าย สะอาดเรียบรอ้ ย (๑๐ คะแนน)

อ่านข้อความต่อไปนี้แลว้ ตอบคาถามขอ้ ๑-๒

บทความเรอ่ื ง ข่าวร้าย-ขา่ วดี ทีน่ ไ่ี มม่ ใี ครสวมรองเทา้ เลย

มีบริษัทผลิตรองเท้าบริษัทหน่ึงจะเปิดตลาดในทวีปแอฟริกาจึงส่งพนักงานขาย อันดับ ๑ ไป
ยังแอฟริกาเพื่อทาการศึกษาศักยภาพของตลาด เม่ือไปถึงได้สังเกตว่า ชาวแอฟริกันส่วนมากเดินด้วย
เท้าเปล่า เขาก็เลยส่งข่าวกลับไปด้วยข้อความท่ีว่า “ข่าวร้าย ท่ีนี่ไม่มีใครสวมรองเท้าเลย” และไม่มี
ตลาดรองเท้าในทวีปแอฟรกิ าน้ีฝา่ ยบริหารก็พิจารณาวา่ ควรจะหาข้อมูลเป็นครั้งท่ี ๒ เพ่ือให้แน่ใจ จึง
ตัดสินใจท่ีจะส่งพนักงานขายอีกคนหน่ึงไปเพ่ือประเมินตลาดแห่งนี้พนักงานขายคนท่ี ๒ เมื่อไปถึง
แอฟริกาก็มีความตื่นเต้นมากและส่งข่าวกลับมาทันทีด้วยข้อความว่า “ข่าวดีไม่มีใครที่นี่สวมรองเท้า
เลย” เขารีบเดินทางกลับและรายงานแก่ฝ่ายบริหารว่า“สุภาพบุรุษทั้งหลาย เรากาลังจะรวยเพราะมี
ตลาดใหญม่ าก ในแอฟรกิ าและสิ่งสาคญั ทีเ่ ราต้องรบี ทา คือ ใหก้ ารศกึ ษาแกช่ าวแอฟรกิ นั
วา่ ประโยชน์ของการใส่รองเทา้ คอื อะไร”

(ข่าวรา้ ย-ขา่ วดี ทนี่ ไี่ มม่ ีใครสวมรองเท้าเลย, http://oknation.nationtv.๒๕๕๘)

ชดุ ท่ี ๔ การอ่านจบั ใจความจากบทความ หน้า

๓๐

๑. ทาไมพนกั งานคนที่ ๑ จงึ บอกว่า ขา่ วร้าย (๒ คะแนน)
ตอบ เพราะพนกั งานคนท่ี ๑ ยงั ประเมนิ การตลาดไมอ่ อก

๒. ทาไมพนักงานคนที่ ๒ จงึ บอกวา่ ข่าวดี (๒ คะแนน)
ตอบ เพราะพนกั งานคนท่ี ๒ ประเมินการตลาดออก และเขา้ ใจถงึ โอกาสในการขายสนิ คา้
การไมม่ ีใครสวมรองเท้าเลย เทา่ กบั ว่าบริษัทสามารถนารองเท้ามาเปิดตลาดให้ชาว
แอฟรกิ า ไดส้ วมใสร่ องเท้า

๓. จากการอา่ นเรื่อง “ขา่ วรา้ ย-ขา่ วดี ท่นี ่ีไม่มีใครสวมรองเท้าเลย” (๓ คะแนน)
ตอบ ข้อเท็จจริง คือ ไมม่ ใี ครสวมรองเท้า
ขอ้ คิดเหน็ คือ การไม่มีใครสวมรองเท้าคอื โอกาสของการทาธุรกิจ

๔. นักเรยี นเหน็ ด้วยกบั คาพดู ของพนกั งานคนท่ี ๑ หรือ คนท่ี ๒ เพราะเหตุใด คนที่ ๑ “ขา่ ว
รา้ ยท่ีนี่ไม่มีใครสวมรองเทา้ เลย”คนท่ี ๒ “ขา่ วดไี ม่มใี ครท่ีน่สี วมรองเทา้ เลย”(๓ คะแนน)
ตอบ ....................................................................................................................................
..............................................................................................................................................

..........................................................................ข......น้ึ........อ......ย......ู่ก.......ั.บ......ด.......ุล.......พ........ิน......จิ........ข......อ......ง......ค......ร......ผู ......ู้ส........อ......น....................................................................................

..............................................................................................................................................
.............................................................................................................................................

๓๑

ชดุ ที่ ๔ การอา่ นจบั ใจความจากบทความ หน้า

เฉลยกแรบะบดทาดษสคอาบตอกบ่อน-หลังเรียน

๑. ค
๒. ง
๓. ข
๔. ก
๕. ข

๖. ข
๗. ง
๘. ก
๙. ก
๑๐. ข

๓๒

ชุดที่ ๔ การอา่ นจบั ใจความจากบทความ หน้า

ชือ่ …………………………………….นามสกลุ ……………………………………เลขท…่ี ………………………

แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน
ขอ้ ก ข ค ง ขอ้ ก ข ค ง
๑ ๑
๒ ๒
๓ ๓
๔ ๔
๕ ๕
๖ ๖
๗ ๗
๘ ๘
๙ ๙
๑๐ ๑๐

คะแนนทไี่ ด้ คะแนนทไี่ ด้

คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน ๓๓
ทดสอบกอ่ นเรียนได้ ………………. คะแนน
ทดสอบหลงั เรียนได้ ……………….. คะแนน
คะแนนพฒั นา……………….. คะแนน

แบบบนั ทึกคะแนน
ชดุ ที่ ๔ เรอื่ ง การอา่ นจับใจความจากบทความ

ชุดที่ ๔ การอา่ นจบั ใจความจากบทความ หน้า

รายการทดสอบ แบบทดสอบ แบบฝกึ แบบฝึก แบบฝึก แบบทดสอ
ก่อนเรยี น ทักษะที่ ๑ ทกั ษะท่ี ๒ ทกั ษะที่ ๓ บหลงั เรียน

คะแนนเตม็ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐
คะแนนที่ได้

รวมคะแนนแบบฝึกทกั ษะ คะแนน คดิ เปน็ รอ้ ยละ ผ่าน ไม่ผ่าน
๑๐

เกณฑ์การผา่ นประเมนิ การตัดสินการผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ต้องได้ คะแนนไมต่ ่า
กวา่ ร้อยละ ๗๕ ถอื ว่าผา่ นเกณฑ์การประเมนิ

๓๕

บรรณานุกรม

กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ. สารัตถะทักษะสมั พนั ธ์ เลม่ ๑. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์คุรุ
สภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๖.

กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ. สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้
ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๕.

ชุดท่ี ๔ การอ่านจบั ใจความจากบทความ หน้า

กรมวิชาการ กระทรงศึกษาธกิ าร. หลกั สูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช๒๕๔๔.
พมิ พ์คร้ังที่ ๑. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ครุ สุ ภาลาดพร้าว, ๒๕๔๕.

สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน. ร้อยเรยี งเคียงกนั ฉันกว.ี วารสารวิชาการ,
หน้า ๖๔-๖๕. ๒๕๔๗.


Click to View FlipBook Version