The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by natgynat0808, 2023-03-17 03:12:12

แผนพันธะเคมี

แผนพันธะเคมี

55 2) ครูให้นักเรียนพิจารณารูป 3.14 แล้วตั้งคำถามว่า แนวโน้มจุดเดือดของสารประกอบของ ไฮโดรเจนกับธาตุหมู่ IVA VA VIA และ VIIA เป�นอย่างไร ซึ่งควรได้คำาตอบว่าแนวโน้มจุดเดือดจะเพิ่มขึ้น ตามขนาดโมเลกุล เนื่องจากแรงแผ่กระจายลอนดอนยกเว้น NH3 HF และ H2O ที่ไม่เป�นไปตามแนวโน้ม 3) ครูอธิบายว่าการที่ NH3 HF และ H2O ไม่เป�นไปตามแนวโน้มเนื่องจากสารเหล่านี้ เกิดพันธะ ไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลโดยพันธะไฮโดรเจนเป�นแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลที่เกิดจากอะตอมไฮโดรเจนของ โมเลกุลหนึ่งกับอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวบนอะตอมของธาตุที่มีขนาดเล็กและมี อิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงของอีก โมเลกุลหนึ่ง 4) ครูให้นักเรียนพิจารณารูป 3.15 แล้วตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใด H2O จึงมีจุดเดือดสูงกว่า HF และ NH3 ที่เกิดพันธะไฮโดรเจนเหมือนกัน ซึ่งควรได้คำตอบว่า โมเลกุล H2O มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว 2 คู่ บน O ทำให้ H2O แต่ละโมเลกุลสามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนกับโมเลกุลข้างเคียง 4 โมเลกุล อย่างต่อเนื่องเป� น โครงร่างตาข่ายหรือคิดเป�น 2 พันธะไฮโดรเจนต่อ H2O 1 โมเลกุลจึงทำให้น้ำมีจุดเดือดสูงกว่า HF ซึ่งมีพันธะ ไฮโดรเจน 1 พันธะต่อ HF 1 โมเลกุลทั้งที่พันธะ H−O มีสภาพขั้วน้อยกว่าพันธะ H−F จึงทำาให้น้ำามีจุดเดือด สูงกว่า HF และ NH3 5) ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับสมบัติของสารโคเวเลนต์ซึ่งควรสรุปได้ว่าสารโคเวเลนต์ส่วนใหญ่มี จุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำกว่าสารประกอบไอออนิก เนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีค่าน้อยกว่า พันธะไอออนิกและสารละลายของสารโคเวเลนต์ในน้ำส่วนใหญ่มีสมบัติเป�นกรด 6) ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อสรุปความรู้เกี่ยวกับแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ของ สารโคเวเลนต์ดังนี้ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์หลายชนิด ซึ่งอาจเป�นแรงแผ่กระจาย ลอนดอน แรงระหว่างขั้ว หรือพันธะไฮโดรเจน ซึ่งมีผลต่อจุดหลอมเหลว จุดเดือด และการละลายน้ำของสาร 6.4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสมบัติความเป�นกรด-เบสของสารละลายที่เกิดจากสาร โคเวเลนต์ ประเภทคลอไรด์และออกไซด์ซึ่งสารโคเวเลนต์บางชนิดเมื่อเกิดปฏิกิริยากับน้ำาจะได้ สารละลายที่เป�นกรด เช่น CO2 SO2 PCl5 6.5 ขั้นประเมินผล 1) ครูให้นักเรียนทำแบบฝ�กหัด 3.11 เพื่อทบทวนความรู้ 7) สื่อการเรียนรู้ - http://pandora55.exteen.com - http://www.scimath.org/socialnetwork/groups/viewbulletin/


56 8) กระบวนการวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือที่ใช้วัด เกณฑ์การประเมิน 1. ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยว ระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ (K ) สังเกตพฤติกรรมการ ปฏิบัติงานกลุ่ม แบบสังเกต พฤติกรรม การปฏิบัติงานกลุ่ม นักเรียนสามารถผ่าน เกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 80 ขึ้นไป 2. เปรียบเทียบจุดหลอมเหลว จุด เดือดและการละลายน้ำของสาร โคเวเลนต์( P ) สังเกตพฤติกรรมการ ปฏิบัติงานกลุ่ม แบบสังเกต พฤติกรรม การปฏิบัติงานกลุ่ม นักเรียนสามารถผ่าน เกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 80 ขึ้นไป 2. มีความใจกว้างและใช้ วิจารณญาณ (A) การสังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน แบบประเมินด้าน พฤติกรรม นักเรียนสามารถทำงาน ได้อยู่ในช่วงคะแนนระดับ ดีขึ้นไป


57 9.บันทึกผลหลังการสอน ผลการจัดการเรียนการสอน/ป�ญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ______________________________(ผู้สอน) (นางป�ยะอนงค์ นิศาวัฒนานันท์ ) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ โรงเรียนกีฬานครนนท์วิทยา 6 กลุ่มที่ รายการประเมิน/คะแนน รวม ผ่าน/ ความใจกว้าง การใช้วิจารณญาณ ไม่ผ่าน 3 2 1 0 3 2 1 0 6 1 2 3 4 5 6


47 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาป�ที่ 4 รหัสวิชา ว31204 วิชาเคมีเพิ่มเติม หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง พันธะเคมี เรื่อง สภาพขั้วโมเลกุลโคเวเลนต์ เวลาเรียน 2 ชั่วโมง 1) มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2. 1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับโครงสร้างและแรงยึด เหนี่ยวระหว่างอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 : ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ป�ญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สังคม และ สิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 2) ผลการเรียนรู้ คาดคะเนรูปร่างโมเลกลุโคเวเลนต์โดยใช้ทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ และระบุ สภาพขั้วของโมเลกลุโคเวเลนต์ 3) สาระสำคัญ พันธะโคเวเลนซ์ที่เกิดจากอะตอมที่มีค่าสภาพไฟฟ้าลบไม่เท่ากัน การกระจายอิเล็กตรอนระหว่าง พันธะก็จะไม่เท่ากัน โดยอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะจะอยู่บริเวณอะตอมที่มีค่าสภาพไฟฟ้าลบมากกว่า ทำให้ อะตอมที่มีสภาพไฟฟ้าลบมากกว่าแสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างลบ ส่วนอะตอมที่มีสภาพไฟฟ้าลบน้อยกว่าจะ แสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างบวก และเกิดเป�นสภาพขั้วของพันธะโคเวเลนซ์ขึ้น 4) จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. เขียนแสดงทิศทางขั้วพันธะและทิศทางขั้วของโมเลกุลรวมทั้งระบุสภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์(K ) 2. มีความใจกว้างและการใช้วิจารณญาณ (A) 5) สาระการเรียนรู้ หลักการพิจารณาขั้วพันธะ 1. อะตอมของธาตุใดๆที่มีค่า EN สูง จะดึงอิเล็กตรอนเข้าหาตัวเองได้ดีกว่าอะตอมของธาตุที่มีค่า EN ต่ำ ดังนั้น


48 อะตอมใดมีค่า EN สูง จะมีสภาพขั้วเป�นลบ ( δ- อ่าน เดลต้าลบ ) อะตอมใดมีค่า EN ต่ำ จะมีสภาพขั้วเป�นบวก (δ+ อ่าน เดลต้าบวก ) 2. ความแรงของขั้วพันธะ พิจารณาจากค่าผลต่างของค่า EN ของอะตอมที่ร่วมพันธะกัน ถ้าค่า EN ต่างกันมาก ความแรงของขั้วพันธะก็จะมาก ถ้าค่า EN ต่างกันน้อย ความแรงของพันธะก็จะน้อย เช่น F-H ผลต่างของค่า EN = 4 – 2.1 = 1.9 Cl-F ผลต่างของค่า EN = 4 – 3.0 = 1.0 ดังนั้น F-H มีขั้วแรงกว่า Cl-F 3. ถ้าเป�นอะตอมชนิดเดียวกันมาเกิดพันธะกัน เรียกว่า พันธะโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว เพราะมีความสาม รถในการดึงอิเล็กตรอนได้เท่ากัน (EN เท่ากัน) จึงไม่ปรากฎประจุเด่นด้านใดด้านหนึ่ง เช่น H-H , Cl-Cl, F-F เป�นต้น H2 = H-H สรุป 1. พันธะโคเวเลนต์ระหว่างอะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน เป�น พันธะไม่มีขั้ว 2. พันธะโคเวเลนต์ระหว่างอะตอมของธาตุต่างชนิดกัน เป�น พันธะมีขั้ว 3. ค่า EN คู่ใดต่างกันมาก จะมีขั้วพันธะแรงกว่าคู่ที่มีค่า EN ต่างกันน้อย โมเลเกุลมีขั้ว คือ โมเลกุลโคเวเลนต์ที่เกิดจากพันธะโคเวเลนต์มีขั้ว โมเลกุลไม่มีขั้ว คือ โมเลกุลโคเวเลนต์ที่เกิดจากพันธะไม่มีขั้ว การพิจารณาว่าโมเลกุลมีขั้วหรือไม่ 1. ต้องเขียนสูตรโมเลกุล แสดงรูปร่างโมเลกุลและขั้วพันธะ เช่น CO2 O = C = O Oδ- = Cδ+ = O δ2. หาแรงลัพธ์ของขั้วพันธะ ถ้าแรงลัพธ์เป�นศูนย์ แสดงว่า โมเลกุลไม่มีขั้ว แต่ถ้าขั้วพันธะหักล้าง กันไม่หมด จะเป�นโมเลกุลมีขั้ว โดยพิจารณาทิศทางของแรงลัพธ์ หรือดูว่าโมเลกุลอยู่ในสมมาตรหรือไม่ (สองด้านแบ่งแล้วเท่ากันหรือไม่) ถ้าอยู่ในสมมาตร ขั้วพันธะจะหักล้างกันหมด เป�นโมเลกุลไม่มีขั้ว เช่น Oδ - = Cδ+ = Oδ -


49 6) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 6.1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูนำเข้าสู่การศึกษาเรื่องสภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์โดยอธิบายว่าพันธะโคเวเลนต์ ไม่มี ขั้วเป�นพันธะที่เกิดจากอะตอมชนิดเดียวกันมีการกระจายของกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ ระหว่าง อะตอมทั้งสองเท่ากัน เช่นแก๊สไฮโดรเจน (H2) และพันธะโคเวเลนต์มีขั้วเป�นพันธะที่เกิดจากอะตอมต่างชนิด กันและมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่างกันจะมีการกระจายของกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะระหว่างอะตอม ไม่เท่ากัน เช่น ไฮโดรเจนคลอไรด์ (HCl) 6.2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูให้นักเรียนพิจารณารูป 3.11 และอธิบายเกี่ยวกับการแสดงขั้วของพันธะของอะตอมที่ แสดงประจุไฟฟ้าค่อนข้างบวกและอะตอมที่แสดงประจุไฟฟ้าค่อนข้างลบ และการเขียนแสดงสัญลักษณ์และ ทิศทางของขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์ 2) ครูตั้งคำถามนำาว่า โมเลกุลโคเวเลนต์ที่ประกอบด้วยอะตอมมากกว่า 2อะตอม และพั น ธะ ระหว่างคู่อะตอมเป�นพันธะมีขั้วจะเป�นโมเลกุลมีขั้วหรือไม่ 3) จากนั้นครูอธิบายว่า สภาพขั้วของพันธะเป�นปริมาณเวกเตอร์ การรวมกันของเวกเตอร์ของ แต่ละพันธะจะได้เป�นสภาพขั้วของโมเลกุล ดังนั้น ถ้าเวกเตอร์หักล้างกันหมดจะเป�นโมเลกุลไม่มีขั้วแต่ถ้า หักล้างกันไม่หมดจะเป�นโมเลกุลมีขั้ว และโมเลกุลที่อะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวและอะตอมล้อมรอบ เหมือนกันทุกอะตอมจะเป�น โมเลกุลไม่มีขั้วแม้ว่าพันธะภายในโมเลกุลจะเป�นพันธะที่มีขั้วเนื่ องจากรูป ร่างโม เล กุ ล มี สมมาตรที่ ทำาให้เวกเตอร์สภาพขั้วของพันธะหักล้างกันหมด 6.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและหาข้อสรุปจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถามต่อไปนี้ - ความแรงของขั้วพันธะขึ้นอยู่กับค่าใด แนวตอบ ค่าความแตกต่างระหว่างสภาพไฟฟ้าลบของอะตอมที่สร้างพันธะโคเวเลนซ์ - สารโคเวเลนซ์จะเป�นโมเลกุลมีขั้วเมื่อใด แนวตอบ เมื่ออำนาจไฟฟ้าของพันธะไม่เกิดการหักล้างกันจนหมด - โมเลกุลไม่มีขั้วมักมีรูปร่างโมเลกุลลักษณะใด แนวตอบ มีรูปร่างสมมาตร 2) ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อสรุปความรู้เกี่ยวกับรูปร่างโมเลกุลและสภาพขั้วของ โมเลกุลโคเวเลนต์ดังนี้


50 -รูปร่างโมเลกุลสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ (VSEPR) ซึ่งพิจารณาจากจำานวนพันธะและจำานวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวรอบอะตอมกลาง - สภาพขั้วของโมเลกุลเป�นการรวมเวกเตอร์สภาพขั้วของแต่ละพันธะในรูปร่างโมเลกุล ซึ่งทำาให้โมเลกุลโคเวเลนต์มีทั้งโมเลกุลมีขั้วและโมเลกุลไม่มีขั้ว 6.4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโมเลกุลอะตอมคู่ที่ประกอบด้วยธาตุชนิดเดียวกันพันธะที่เกิดขึ้น เป�นพันธะโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว เช่น O2 Cl2 และเป�นโมเลกุลไม่มีขั้ว แต่ถ้าโมเลกุลอะตอมคู่ที่ประกอบด้วยธาตุต่าง ชนิดกัน พันธะที่เกิดขึ้นเป�นพันธะโคเวเลนต์มีขั้ว เช่น HF CO และเป�นโมเลกุล มีขั้ว 2) ครูให้นักเรียนพิจารณาตาราง 3.14 และรูป 3.12 เพื่อศึกษาการเขียนทิศทางของขั้วของ พันธะ และการรวมเวกเตอร์สภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์ไม่มีขั้วและโมเลกุลมีขั้ว 6.5 ขั้นประเมินผล 1) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนด้วยคำถามดังนี้ - เขียนสภาพขั้วของพันธะ N–O, C–Cl, Cl–F และ O–S - พันธะโคเวเลนซ์แบบมีขั้วจะทำให้สารโคเวเลนซ์เป�นโมเลกุลมีขั้วเสมอหรือไม่ - ทิศทางขั้วของ PH3 มีทิศทางใด 2) ครูให้นักเรียนทำแบบฝ�กหัด 3.10 เพื่อทบทวนความรู้ 7) สื่อการเรียนรู้ - http://pandora55.exteen.com - http://www.scimath.org/socialnetwork/groups/viewbulletin/ 8) กระบวนการวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือที่ใช้วัด เกณฑ์การประเมิน 1. เขียนแสดงทิศทางขั้วพันธะและ ทิศทางขั้วของโมเลกุล รวมทั้งระบุ สภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์(K) สังเกตพฤติกรรมการ ปฏิบัติงานกลุ่ม แบบสังเกต พฤติกรรม การปฏิบัติงานกลุ่ม นักเรียนสามารถผ่าน เกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 80 ขึ้นไป 2. มีความใจกว้างและใช้ วิจารณญาณ (A) การสังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน แบบประเมินด้าน พฤติกรรม นักเรียนสามารถทำงาน ได้อยู่ในช่วงคะแนนระดับ ดีขึ้นไป


51 9.บันทึกผลหลังการสอน ผลการจัดการเรียนการสอน/ป�ญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ______________________________(ผู้สอน) (นางป�ยะอนงค์ นิศาวัฒนานันท์ ) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ โรงเรียนกีฬานครนนท์วิทยา 6 กลุ่มที่ รายการประเมิน/คะแนน รวม ผ่าน/ ความใจกว้าง การใช้วิจารณญาณ ไม่ผ่าน 3 2 1 0 3 2 1 0 6 1 2 3 4 5 6


23 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาป�ที่ 4 รหัสวิชา ว31204 วิชาเคมีเพิ่มเติม หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง พันธะเคมี เรื่อง สมการไอออนิก เวลาเรียน 2 ชั่วโมง 1) มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2. 1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับโครงสร้างและแรงยึด เหนี่ยวระหว่างอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 : ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ป�ญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และ สิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 2) ผลการเรียนรู้ เขียนสมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุทธิของปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก 3) สาระสำคัญ สารประกอบไอออนสามารถละลายน้ำได้เพราะน้ำออกแรงดึงดูดให้ไอออนบวกและไอออนลบแยก ออกจากกัน จากนั้นน้ำจะเข้าไปล้อมไอออนทั้ง 2 ชนิดนี้ไว้แทน สารประกอบไอออนที่ไม่ละลายในน้ำเพราะ พลังงานแลตทิซมีค่าสูงกว่าพลังงานไฮเดรชันมาก เมื่อผสมสารละลายของสารประกอบไอออน 2 ชนิดเข้า ด้วยกัน ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นเมื่อไอออนบวกและไอออนลบเกิดการรวมตัวกันและเกิดเป�นตะกอนขึ้น 4) จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. เขียนสมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุทธิของปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก ( P ) 2. มีความใจกว้างและการใช้วิจารณญาณ (A) 5) สาระการเรียนรู้ สมการไอออนิก (Ionic equation ) คือ สมการเคมีที่เขียนเฉพาะไอออนหรือโมเลกุลของสารที่มี ส่วนในการเกิดปฏิกิริยา ส่วนไอออนหรือโมลกุลของสารใดไม่มีส่วนในการเกิดปฏิกิริยาไม่ต้องเขียน สมการไอออนิกจะต้องเป�นสมการที่มีสารใดสารหนึ่งเป�นไอออนร่วมอยู่ด้วยในปฏิกิริยานั้น เช่น


24 Zn (s) + 2H+ (aq) → Zn2+ (aq) + H2 (g) H+ (aq) + OH- (aq) → H2O (l) หลักการเขียนสมการไอออนิก 1. ให้เขียนเฉพาะส่วนไอออนหรือโมเลกุลของสารทำปฏิกิริยากันเท่านั้น 2. ถ้าสารที่เกี่ยวข้องในปฏิกิริยาเป�นสารที่ไม่ละลายน้ำหรือไม่แตกตัวเป�นไอออนหรือเป�นออกไซด์หรือ เป�นก๊าซให้เขียนสูตรโมเลกุลของสารนั้นในสมการได้ตัวอย่าง ออกไซด์เช่น CO2 , H2O ก๊าซ เช่น H2 , NH3 สารที่ไม่ละลายน้ำ เช่น CaCO3 , AgCl 3. ดุลสมการไอออนิกโดยทำจำนวนอะตอมและจำนวนไอออนของธาตุทุกธาตุทั้งทางซ้ายและทางขวา ของสมการให้เท่ากัน พร้อมทั้งดุลประจุรวมทั้งทางซ้ายและขวาของสมการให้เท่ากัน 6) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 6.1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูตั้งคำถามนำว่า ถ้าผสมสารละลายของสารประกอบไอออนิกสองชนิดทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงหรือไม่สังเกตได้อย่างไร เพื่อนำเข้าสู่กิจกรรม 3.1 เพื่อนำเข้าสู่การศึกษาสมบัติของ สารประกอบ ไอออนิก 6.2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำากิจกรรม 3.1 การทดลองการเกิดปฏิกิริยาของสารประกอบ ไอออนิกเพื่อศึกษาปฏิกิริยาการตกตะกอนเมื่อทำการผสมสารละลายของสารประกอบไอออนิกสองชนิดเข้า ด้วยกันแล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 6.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1) นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน 2) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและหาข้อสรุปจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม ต่อไปนี้ - สารประกอบไอออนคู่ใดทำปฏิกิริยาเคมีกัน และผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นมีลักษณะใด แนวตอบ Ca(OH)2 + Na2CO3 ได้ตะกอนสีขาว Ca(OH)2 + Pb(NO3)2 ได้ตะกอนสีขาว Na2SO4+ Pb(NO3)2 ได้ตะกอนสีขาว และ KI + Pb(NO3)2 ได้ตะกอนสีเหลือง - สมการไอออนสุทธิระหว่างสารประกอบที่เกิดปฏิกิริยาเคมีกันเขียนได้ว่าอย่างไร แนวตอบ Ca2+(aq) + CO2– 3 (aq) CaCO3(s), Pb2+(aq) + 2OH– (aq ) Pb(OH)2(s)


25 Pb2+(aq) + SO4 2– (aq) PbSO4(s), Pb2+(aq) + 2I– (aq) PbI2(s) - สารประกอบไอออนที่ไม่เกิดปฏิกิริยาเคมีกันเป�นเพราะเหตุใด แนวตอบ เพราะไอออนของสารเริ่มต้นไม่เข้าทำปฏิกิริยากัน - ผลสรุปของกิจกรรมนี้คืออะไร แนวตอบ เมื่อผสมสารละลายของสารประกอบไอออน 2 ชนิดเข้าด้วยกันแล้วเกิดตะกอน แสดงว่าเกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้น โดยไอออนในสารละลายจะรวมตัวกัน เกิดเป�นสาร ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ละลายน้ำ แต่ถ้าเมื่อผสมกันแล้วไม่มีตะกอนเกิดแสดงว่าไม่เกิด ปฏิกิริยาเคมีเพราะไอออนในสารละลายไม่รวมตัวกัน) 3) นักเรียนและครูร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยให้ได้ข้อสรุปว่าสารประกอบไอออน บางชนิดเมื่อทำปฏิกิริยากันจะเกิดผลิตภัณฑ์ขึ้น ซึ่งสามารถเขียนแสดงไอออนอิสระของสารประกอบไอออนใน สารละลายที่เข้าทำปฏิกิริยากันได้ด้วยสมการไอออน และเขียนแสดงเฉพาะไอออนที่เข้าทำปฏิกิริยากัน แล้ว เกิดเป�นผลิตภัณฑ์ได้ด้วยสมการไอออนสุทธิ 4) ครูอธิบายการเกิดตะกอนเมื่อผสมสารประกอบไอออนิกสองชนิดเข้าด้วยกัน โดยใช้รูป 3.8 ว่า สารประกอบไอออนิกเมื่อละลายน้ำ ไอออนบวกและไอออนลบจะแยกออกจากกัน ถ้าการผสมสารละลายของ สารประกอบไอออนิกทำให้เกิดตะกอน แสดงว่าไอออนในสารละลายผสมทำปฏิกิริยากันเกิดเป�นสารใหม่ที่ไม่ ละลายน้ำ ดังตะกอนซิลเวอร์คลอไรด์(AgCl) ซึ่งได้จากการผสม สารละลายซิลเวอร์ไนเทรต (AgNO3) กับ สารละลายโซเดียมคลอไรด์(NaCl) 5) ครูอธิบายวิธีการเขียนสมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุทธิโดยยกตัวอย่างปฏิกิริยาระหว่าง สารละลายซิลเวอร์ไนเทรต (AgNO3) กับสารละลายโซเดียมคลอไรด์(NaCl) 6.4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสารประกอบที่ละลายน้ำาและสารประกอบที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่ง เป�นข้อมูลเบื้องต้นในการอธิบายหรือการทำนายปฏิกิริยาการเกิดตะกอนของสารละลายของ สารประกอบไอออนิก 6.5 ขั้นประเมินผล 1) ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อสรุปความรู้เกี่ยวกับสมบัติของสารประกอบไอออนิกการ เขียนสมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุทธิแสดงการเกิดปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก ดังนี้ - สมบัติของสารประกอบไอออนิกส่วนใหญ่เป�นผลึกของแข็งเปราะ มีจุดหลอมเหลว และจุดเดือดสูง ละลายน้ำได้ไม่นำไฟฟ้าเมื่อเป�นของแข็ง แต่นำไฟฟ้าได้เมื่อหลอมเหลวหรือละลายในน้ำ และสารละลายของ สารประกอบไอออนิกในน้ำส่วนใหญ่มีสมบัติเป�นเบสหรือกลาง - สมการไอออนิกแสดงปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิกที่แสดงไอออนในสารละลาย ครบ ทุกชนิด ส่วนสมการไอออนิกสุทธิแสดงเฉพาะไอออนที่ทำาปฏิกิริยากันได้เป�นผลิตภัณฑ์


26 2) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น - สมการไอออนแตกต่างจากสมการไอออนสุทธิหรือไม่ อย่างไร - เมื่อสารละลายของสารประกอบไอออน KBr กับ AgNO3 เข้าทำปฏิกิริยากัน จะเขียน สมการไอออนและสมการไอออนสุทธิได้อย่างไร 3) ครูให้นักเรียนทำแบบฝ�กหัด 3.5 เพื่อทบทวนความรู้ 7) สื่อการเรียนรู้ - http://pandora55.exteen.com - http://www.scimath.org/socialnetwork/groups/viewbulletin/ - อุปกรณ์การทดลองกิจกรรม 3.1 การทดลองการเกิดปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิกก 8) กระบวนการวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือที่ใช้วัด เกณฑ์การประเมิน 1. เขียนสมการไอออนิกและ สมการไอออนิกสุทธิของปฏิกิริยา ของสารประกอบไอออนิก ( P ) สังเกตพฤติกรรมการ ปฏิบัติงานกลุ่ม แบบสังเกต พฤติกรรม การปฏิบัติงานกลุ่ม นักเรียนสามารถผ่าน เกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 80 ขึ้นไป 2. มีความใจกว้างและใช้ วิจารณญาณ (A) การสังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน แบบประเมินด้าน พฤติกรรม นักเรียนสามารถทำงาน ได้อยู่ในช่วงคะแนนระดับ ดีขึ้นไป


27 9.บันทึกผลหลังการสอน ผลการจัดการเรียนการสอน/ป�ญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ______________________________(ผู้สอน) (นางป�ยะอนงค์ นิศาวัฒนานันท์ ) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ โรงเรียนกีฬานครนนท์วิทยา 6 กลุ่มที่ รายการประเมิน/คะแนน รวม ผ่าน/ ความใจกว้าง การใช้วิจารณญาณ ไม่ผ่าน 3 2 1 0 3 2 1 0 6 1 2 3 4 5 6


19 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาป�ที่ 4 รหัสวิชา ว31204 วิชาเคมีเพิ่มเติม หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง พันธะเคมี เรื่อง สมบัติของสารประกอบไอออนิก เวลาเรียน 2 ชั่วโมง 1) มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2. 1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับโครงสร้างและแรงยึด เหนี่ยวระหว่างอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 : ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ป�ญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และ สิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 2) ผลการเรียนรู้ อธิบายสมบัติของสารประกอบไอออนิก 3) สาระสำคัญ พันธะไอออนิก ( Ionic bond ) หมายถึง แรงยึดเหนี่ยวที่เกิดในสารประกอบที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 อะตอมอะตอมที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีต่างกันมาก อะตอมที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีน้อยจะให้อิเล็กตรอนแก่ อะตอมที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีมาก และทำให้อิเล็กตรอนที่อยู่รอบๆ อะตอมครบ 8 ( octat rule ) กลายเป�นไอออนบวก และไอออนลบตามลำดับ เกิดแรงดึงดูดทางไฟฟ้าระหว่างไอออนบวกและไอออนลบ และเกิดเป�นโมเลกุลขึ้น 4) จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายสมบัติบางประการของสารประกอบไอออนิก( K ) 2. มีความใจกว้างและการใช้วิจารณญาณ (A) 5) สาระการเรียนรู้ สมบัติของสารประกอบไอออนิก 1. มีขั้ว เพราะสารประกอบไอออนิกไม่ได้เกิดขึ้นเป�นโมเลกุลเดี่ยวแต่จะเป�นของแข็งซึ่ง ประกอบด้วยไอออนจำนวนมากซึ่งยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงยึดเหนี่ยวทางไฟฟ้า


20 2. ไม่นำไฟฟ้าเมื่ออยู่ในสภาพของแข็งแต่จะนำไฟฟ้าได้เมื่อใส่สารประกอบไอออนิกลงใน น้ำ ไอออนจะแยกออกจากกันทำให้สารละลายนำไฟฟ้าในทำนองเดียวกันสารประกอบที่หลอมเหลวจะนำ ไฟฟ้าได้ด้วยเนื่องจากเมื่อหลอมเหลวไอออนจะเป�นอิสระจากกันเกิดการไหลเวียนอิเล็กตรอนทำให้อิเล็กตรอน เคลื่อนที่จึงเกิดการนำไฟฟ้า 3. มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง ใช้ความร้อนในการทำลายแรงดึงดูดระหว่างไอออนให้ กลายเป�นของเหลวต้องใช้พลังงานสูง 4 . สารประกอบไอออนิกทำให้เกิดปฏิกิริยาไอออนิก คือ ปฏิกิริยาระหว่างไอออนกับไอออน ทั้งนี้เพราะสารไอออนิกจะเป�นไอออนอิสระในสารละลาย ปฏิกิริยาจึงเกิดทันที 5 . สมบัติไม่แสดงทิศทางของพันธะไอออนิก สารประกอบไอออนิกเกิดจากไอออนที่มีประจุ ตรงกันข้ามรอบ ๆ ไอออนแต่ละไอออนจะมีสนามไฟฟ้าซึ่งไม่มีทิศทาง จึงทำให้เกิดสมบัติไม่แสดงทิศทางของ พันธะไอออนิก 6. เป�นผลึกแข็ง แต่เปราะและแตกง่าย 6) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 6.1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูให้นักเรียนดูวีดิทัศน์หรือภาพประกอบเมื่อทำการทุบผลึกของสารประกอบไอออนิกและ การเปลี่ยนแปลงของไอออนในโครงผลึก จากนั้นครูตั้งคำถามนำว่า เพราะเหตุใดเมื่อทุบผลึกของ สารประกอบ ไอออนิก แล้วผลึกของสารประกอบไอออนิกจึงแตก เพื่อนำเข้าสู่การศึกษาสมบัติของ สารประกอบไอออนิก 6.2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันโดยใช้รูป 3.5 ประกอบการอภิปรายเพื่อลงข้อสรุปว่า การที่ ผลึกแตกเนื่องจากการเลื่อนตำแหน่งเพียงเล็กน้อยของไอออนเมื่อมีแรงกระทำอาจทำให้ไอออน ชนิดเดียวกัน เลื่อนไถลไปอยู่ตำแหน่งตรงกัน จึงเกิดแรงผลักระหว่างกัน สารประกอบไอออนิกจึงมีสมบัติเปราะและแตกหัก ได้ง่าย 2) ครูให้นักเรียนพิจารณารูป 3.6 และตาราง 3.7 จากนั้นอภิปรายร่วมกันเพื่อให้ได้ ข้อสรุป เกี่ยวกับสมบัติของสารประกอบไอออนิกว่า สารประกอบไอออนิกสถานะของแข็งไม่นำไฟฟ้า เนื่องจากไอออน ที่เป�นองค์ประกอบยึดเหนี่ยวกันอย่างแข็งแรงไม่สามารถเคลื่อนที่ได้แต่เมื่อหลอมเหลวหรือละลายในน้ำจะนำ ไฟฟ้าได้เนื่องจากไอออนสามารถเคลื่อนที่ได้นอกจากนี้ สารประกอบไอออนิกที่มีสถานะเป�นของแข็ง มีจุด หลอมเหลวและจุดเดือดสูง ส่วนใหญ่ละลายน้ำได้และสารละลายของสารประกอบไอออนิกในน้ำส่วนใหญ่มี สมบัติเป�นเบสหรือกลาง โดยสารละลายของสารประกอบออกไซด์ มีสมบัติเป�นเบส และสารละลายของ สารประกอบคลอไรด์มีสมบัติเป�นกลาง


21 6.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1) ครูอธิบายเกี่ยวกับการละลายน้ำของสารประกอบไอออนิกในรูป 3.7 ซึ่งเกี่ยวข้องกับ กระบวนการที่ไอออนบวกและไอออนลบแยกออกจากโครงผลึกเป�นกระบวนการดูดพลังงานที่มีค่าเท่ากับ พลังงานแลตทิซ และกระบวนการที่โมเลกุลของน้ำล้อมรอบไอออนแต่ละชนิดเป�นกระบวนการคายพลังงานที่ เรียกว่าพลังงานไฮเดรชัน 6.4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่า 1) ถ้าค่าพลังงานแลตทิซน้อยกว่าค่าพลังงานไฮเดรชันการละลาย จะเป�นกระบวนการคาย พลังงานซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของสารละลายสูงขึ้นและสารจะละลายได้ดีที่อุณหภูมิต่ำ 2) ถ้าค่าพลังงานแลตทิซมากกว่าค่าพลังงานไฮเดรชันการละลายจะเป�นกระบวนการดูด พลงังาน ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของสารละลายลดลง และสารจะละลายได้ดีที่อุณหภูมิสูง 3) ค่าพลังงานแลตทิซมากกว่าค่าพลังงานไฮเดรชันมาก ๆ สารอาจละลายได้น้อยมากหรือไม่ ละลาย 6.5 ขั้นประเมินผล 1) ครูให้นักเรียนตอบคำาถามชวนคิด 3) ครูให้นักเรียนทำแบบฝ�กหัด 3.4 เพื่อทบทวนความรู้ 7) สื่อการเรียนรู้ - http://pandora55.exteen.com - http://www.scimath.org/socialnetwork/groups/viewbulletin/ - วีดิทัศน์หรือภาพประกอบเมื่อทำาการทุบผลึกของสารประกอบไอออนิกและการเปลี่ยนแปลง ของไอออนในโครงผลึก 8) กระบวนการวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือที่ใช้วัด เกณฑ์การประเมิน 1. อธิบายสมบัติบางประการของ สารประกอบไอออนิก( K ) สังเกตพฤติกรรมการ ปฏิบัติงานกลุ่ม แบบสังเกต พฤติกรรม การปฏิบัติงานกลุ่ม นักเรียนสามารถผ่าน เกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 80 ขึ้นไป 3. มีความใจกว้างและใช้ วิจารณญาณ (A) การสังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน แบบประเมินด้าน พฤติกรรม นักเรียนสามารถทำงาน ได้อยู่ในช่วงคะแนนระดับ ดีขึ้นไป


22 9.บันทึกผลหลังการสอน ผลการจัดการเรียนการสอน/ป�ญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ______________________________(ผู้สอน) (นางป�ยะอนงค์ นิศาวัฒนานันท์ ) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ โรงเรียนกีฬานครนนท์วิทยา 6 กลุ่มที่ รายการประเมิน/คะแนน รวม ผ่าน/ ความใจกว้าง การใช้วิจารณญาณ ไม่ผ่าน 3 2 1 0 3 2 1 0 6 1 2 3 4 5 6


1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาป�ที่ 4 รหัสวิชา ว31204 วิชาเคมีเพิ่มเติม หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง พันธะเคมี เรื่อง สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสและกฎออกเตต เวลาเรียน 1 ชั่วโมง 1) มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2. 1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับโครงสร้างและแรงยึด เหนี่ยวระหว่างอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 : ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ป�ญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และ สิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 2) ผลการเรียนรู้ อธิบายการเกิดไอออนและการเกิดพันธะไอออนิกโดยใช้แผนภาพหรือสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส 3) สาระสำคัญ พันธะไอออนิกเกิดจากไอออนบวกและไอออนลบมายึดเหนี่ยวกันด้วยแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้า ต่างชนิดกัน 4) จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ระบุได้ว่าธาตุหรือไอออนนั้นเป�น ไปตามกฎออกเตต( K) 2. เขียนสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสของธาตุและไอออน (P) 3. มีความใจกว้างและการใช้วิจารณญาณ (A) 5) สาระการเรียนรู้ พันธะเคมีเป�นแรงยึดเหนี่ยวที่เกิดขึ้นภายในโมเลกุล โดยธาตุแต่ละชนิดจะสร้างแรงยึดเหนี่ยวที่ แตกต่างกัน ซึ่งแบ่งลักษณะของพันธะเคมีที่เกิดขึ้นได้ 3 ชนิด ได้แก่ พันธะโคเวเลนซ์ พันธะไอออน และพันธะ โลหะ


2 พันธะไอออนิก (Ionic bond) คือ แรงยึดเหนี่ยวที่เกิดในสาร โดยที่อะตอมของธาตุที่มีค่า พลังงานไอออไนเซชันต่ำ ให้เวเลนต์อิเล็กตรอนแก่อะตอมของธาตุที่มีค่าพลังงานไอออนไนเซชันสูง กลายเป�น ไอออนที่มีประจุบวกและประจุลบ เมื่อไอออนทั้งสองเข้ามาอยู่ใกล้กันจะเกิดแรงดึงดูดทางไฟฟ้าที่แข็งแรง ระหว่างประจุไฟฟ้าตรงข้ามเหล่านั้น ทำให้ไอออนทั้งสองยึดเหนี่ยวกันด้วย พันธะเคมีที่เรียกว่า “พันธะไอออนิก” 6) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 6.1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างสูตรเคมีของสารต่าง ๆ ที่นักเรียนรู้จัก ทั้งนี้สารที่ยกตัวอย่างควรมีทั้ง ธาตุ สารประกอบ และธาตุหมู่ VIIIA หรือแก๊สมีสกุล เช่น O2 CO2 H2O NaCl He แล้วตั้งคำถามว่า - สูตรเคมีของสารที่ยกตัวอย่างมาส่วนใหญ่ประกอบด้วยธาตุเพียง 1 อะตอม หรือ มากกว่า 1 อะตอม แนวตอบ สารส่วนใหญ่ประกอบด้วยธาตุมากกว่า 1 อะตอม 2) ครูเชื่อมโยงเข้าสู่ความหมายของพันธะเคมีว่า เป�นการยึดเหนี่ยวกันของอะตอมหรือไออนใน สาร 6.2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูใช้คำถามทบทวนความรู้เดิมว่า ธาตุหมู่ VIIIA หรือแก๊สมีสกุล เช่น He Ne ซึ่งอยู่ในรูป อะตอมเดียวมีจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเป�นเท่าใด และบรรจุเต็มออร์บิทัลในระดับพลังงานหลักหรือไม่ ซึ่ง ควรตอบได้ว่า He มี 2 เวเลนซ์อิเล็กตรอน Ne มี 8 เวเลนซ์อิเล็กตรอน และเต็มออร์บิทัลในระดับพลังาน หลัก ทำให้อะตอมแก๊สมีสกุลมีความเสถียร 2) ครูให้นักเรียนพิจารณารูป 3.1 แล้วอธิบายว่า จุดในสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสแสดงเวเลนซ์ อิเล็กตรอน เช่น He มี2 จุด แสดงว่ามี 2 เวเลนซ์อิเล็กตรอน Na มี1 จุดแสดงว่ามี 1 เวเลนซ์อิเล็กตรอน 3) จากนั้นครูอธิบายวิธีการเขียนสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสโดยเขียนจุดเดียวทั้ง 4 ด้านรอบ สัญลักษณ์ของธาตุก่อน แล้วจึงเติมจุดให้เป�นคู่ 6.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1) ครูให้นักเรียนพิจารณาสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสของ Na และ Cl แล้วตั้งคำถามว่า - ถ้าจะทำให้จำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของธาตุทั้งสองเท่ากับของอะตอมแก๊สมีสกุลซึ่งเสถียร จะทำได้ง่ายที่สุดอย่างไรและจะได้จำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับแก๊สมีสกุลใด แนวตอบ Na ให้1อิเล็กตรอนเกิดเป�นไอออน Na+ และมีจำนวนเวเลนซ์อิเล็ตรอนเท่ากับ Ne ส่วน Cl รับ 1 อิเล็กตรอน เกิดเป�นไอออนClและมีจำนวนเวเลนซ์อิเล็ตรอน เท่ากับ Ar


3 2) จากนั้นอธิบายเพิ่มเติมว่า หลักการที่อะตอมของธาตุอื่น ๆ มีแนวโน้มที่จะรวมตัวกันเพื่อที่จะทำให้ แต่ละอะตอมมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 8 เรียกหลักการนี้ว่า กฎออกเตต 6.4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูอธิบายว่าสารที่ไม่อยู่ในรูปอะตอมเดี่ยวมีพันธะเคมียึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมหรือไอออน โดยที่อะตอมของธาตุอาจมีการให้อิเล็กตรอน รับอิเล็กตรอน หรือใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน ทำให้เกิดพันธะเคมี 3 ประเภท ได้แก่ พันธะไอออนิก พันธะโคเวเลนต์ และพันะโลหะ 6.5 ขั้นประเมินผล 1) ครูให้นักเรียนตอบคำถามตรวจสอบความเข้าใจ - เขียนสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสของไอออน Ca²+ - สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสของธาตุสมมติต่อไปนี้ X เป�นของธาตุหมู่ใด - สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสในข้อ 1 และ 2 มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเป�นไปตามกฎออกเตต หรือไม่ 7) สื่อการเรียนรู้ - http://pandora55.exteen.com - http://www.scimath.org/socialnetwork/groups/viewbulletin/ 8) กระบวนการวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือที่ใช้วัด เกณฑ์การประเมิน 1. ระบุได้ว่าธาตุหรือไอออนนั้น เป�น ไปตามกฎออกเตต( K) สังเกตพฤติกรรมการ ปฏิบัติงานกลุ่ม แบบสังเกต พฤติกรรม การปฏิบัติงานกลุ่ม นักเรียนสามารถผ่าน เกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 80 ขึ้นไป 2. เขียนสัญลักษณ์แบบจุดของลิว อิสของธาตุและไอออน (P) สังเกตพฤติกรรมการ ปฏิบัติงานกลุ่ม แบบสังเกต พฤติกรรม การปฏิบัติงานกลุ่ม นักเรียนสามารถผ่าน เกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 80 ขึ้นไป 3. มีความใจกว้างและใช้ วิจารณญาณ (A) การสังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน แบบประเมินด้าน พฤติกรรม นักเรียนสามารถทำงาน ได้อยู่ในช่วงคะแนนระดับ ดีขึ้นไป


4 9.บันทึกผลหลังการสอน ผลการจัดการเรียนการสอน/ป�ญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ______________________________(ผู้สอน) (นางป�ยะอนงค์ นิศาวัฒนานันท์ ) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ โรงเรียนกีฬานครนนท์วิทยา 6 กลุ่มที่ รายการประเมิน/คะแนน รวม ผ่าน/ ความใจกว้าง การใช้วิจารณญาณ ไม่ผ่าน 3 2 1 0 3 2 1 0 6 1 2 3 4 5 6


32 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาป�ที่ 4 รหัสวิชา ว31204 วิชาเคมีเพิ่มเติม หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง พันธะเคมี เรื่อง สูตรโมเลกุลและชื่อของสารโคเวเลนต์ เวลาเรียน 2 ชั่วโมง 1) มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2. 1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับโครงสร้างและแรงยึด เหนี่ยวระหว่างอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 : ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ป�ญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สังคม และ สิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 2) ผลการเรียนรู้ อธิบายการเกิดพันธะโคเวเลนต์แบบพันธะเดี่ยว พันธะคู่ และพันธะสามด้วยโครงสร้างลิวอิส เขียนสูตรและเรียกชื่อสารโคเวเลนต์ 3) สาระสำคัญ สารโคเวเลนต์มีความสัมพันธ์ระหว่างความยาวพันธะกับพลังงานพันธะแบบแปรผกผัน พลังงานของ ปฏิกิริยาของสารโคเวเลนต์เป�นพลังงานรวมของการสลายพันธะเคมีของสารเริ่มต้นและการสร้างพันธะเคมีของ ผลิตภัณฑ์ 4) จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายการเกิดพันธะโคเวเลนต์แบบพันธะเดี่ยว พันธะคู่ และพันธะสามด้วยโครงสร้างลิวอิส (K ) 2. เขียนสูตรและเรียกชื่อสารโคเวเลนต์( P ) 3. มีความใจกว้างและการใช้วิจารณญาณ (A)


33 5) สาระการเรียนรู้ การใช้อิเล็กตรอนร่วมกันในพันธะโคเวเลนต์เป�นไปตามกฎออกเตต โดยแบ่งพันธะโคเวเลนต์ออกเป�น 3 ชนิด ได้แก่ พันธะเดี่ยว พันธะคู่ และพันธะสาม สารโคเวเลนต์ที่ประกอบด้วยธาตุ 2 ชนิด ให้เรียกชื่อธาตุที่ อยู่ลำดับแรกก่อนและจึงเรียกชื่อธาตุที่อยู่ลำดับถัดมา โดยระบุจำนวนอะตอมของธาตุในลำดับแรกและลำดับที่ 2 ด้วยภาษากรีก ยกเว้นธาตุลำดับแรกมีอะตอมเดียวไม่ต้องระบุจำนวนอะตอม และเปลี่ยนชื่อธาตุพยางค์ท้าย เป�น ไ-ด์ 6) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 6.1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูเขียนแผนภาพแสดงการบรรจุอิเล็กตรอนในออร์บิทัลต่าง ๆ ของ Ne, O และ N ให้ นักเรียนดู ครูถามนักเรียนว่า - ถ้าต้องการให้ ธาตุทั้ง 3 ชนิดนี้อยู่เป�นอะตอมเดี่ยวที่มีความเสถียรได้ต้องทำอย่างไร แนวตอบ ให้อิเล็กตรอนแก่ O และ N จำนวน 2 และ 3 ตัวตามลำดับ ส่วน Ne สามารถอยู่ เป�นอะตอมเดี่ยวได้เพราะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8 ตัวแล้ว 2) ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับชนิดของพันธะโคเวเลนต์โดยใช้คำถามกระตุ้น เช่น - พันธะโคเวเลนต์แบ่งเป�นกี่ชนิด อะไรบ้าง - การใช้อิเล็กตรอนร่วมกันในพันธะโคเวเลนต์เป�นไปตามกฎใด 3) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจากแนวคำตอบของนักเรียน โดยครูยังไม่เน้นคำตอบที่ถูกต้อง 6.2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูให้นักเรียนศึกษาชนิดของพันธะโคเวเลนต์จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วย อธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การใช้อิเล็กตรอนร่วมกันในพันธะโคเวเลนต์เป�นไปตามกฎออกเตต โดยแบ่ง พันธะโคเวเลนต์ออกเป�น 3 ชนิด ได้แก่ พันธะเดี่ยว พันธะคู่ และพันธะสาม 2) ครูนำเสนอการเขียนแสดงการเกิดพันธะโคเวเลนต์ด้วยสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส โดยแสดง ให้เห็นถึงการเกิดพันธะเดี่ยว พันธะคู่ พันธะสาม พันธะโคเวเลนต์แบบโคออร์ดิเนต และพันธะในโมเลกุลที่ไม่ เป�นไปตามกฎออกเตต 3) ครูให้นักเรียนศึกษาการเขียนสูตรโมเลกุลและการเรียกชื่อสารโคเวเลนต์จากใบความรู้หรือใน หนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การเขียนสูตรโมเลกุลและการเรียกชื่อสารโคเวเลนต์นั้นมี วิธีการและขั้นตอนที่เป�นแบบแผนขึ้นอยู่กับจำนวนและชนิดของธาตุที่เป�นส่วนประกอบของสารโคเวเลนต์นั้น ๆ 4) แบ่งกลุ่มนักเรียนปฏิบัติกิจกรรม ฝ�กเขียนชื่อสารโคเวเลนต์


34 6.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1) ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อสรุปความรู้เกี่ยวกับการเกิดพันธะโคเวเลนต์สูตรโมเลกุล และชื่อของสารโคเวเลนต์ดังนี้ - ธาตุอโลหะมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงดังนั้นเมื่อรวมตัวกันจะไม่มีอะตอมใดยอมเสีย อิเล็กตรอนอะตอมจึงยึดเหนี่ยวกันโดยใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันเรียกการยึดเหนี่ยวนี้ว่าพันธะโคเวเลนต์ และเรียกสารที่อะตอมยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์ว่า สารโคเวเลนต์ - พันธะโคเวเลนต์ที่เกิดจากการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่ 2 คู่ หรือ 3 คู่ จะ เกิดเป�น พันธะเดี่ยว พันธะคู่ หรือพันธะสาม ตามลำาดับ ซึ่งส่วนใหญ่เป�นไปตามกฎออกเตต เขียนแสดงได้ด้วย โครงสร้างลิวอิส ทั้งนี้การเกิดพันธะโคเวเลนต์ในโมเลกุลโคเวเลนต์บางชนิดอาจไม่เป�นไปตามกฏออกเตต - สูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์แสดงสัญลักษณ์ของธาตุเรียงลำาดับตามค่าอิเล็กโทรเนกาติวิ ตีจากน้อยไปมากโดยระบุจำนวนอะตอมของธาตุที่มีจำนวนอะตอมมากกว่า 1 อะตอม - ชื่อของสารโคเวเลนต์จะเรียกชื่อธาตุตามลำดับจากซ้ายไปขวา ถ้ามีสารโคเวเลนต์ที่เกิดจาก ธาตุองค์ประกอบเดียวกันมากกว่า 1 ชนิด ต้องระบุจำนวนอะตอมธาตุองค์ประกอบด้วย คำระบุจำนวนใน ภาษากรีก 6.4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูเพิ่มเติมความรู้ให้กับนักเรียนว่า ลำดับธาตุที่ใช้เขียนสูตรเคมีสามารถเขียนได้ตามข้อตกลง ที่เป�นสากลดังนี้ Be, Si, C, Sb, As, P, N, H, Te, Se, S , At, I, Br, Cl, O, F 2) ครูอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า สารโคเวเลนต์บางชนิดอาจใช้ชื่อสามัญเรียก เช่น น้ำ (H2O), แอมโมเนีย (NH3), บอเรนหรือบอรีน (BH3), ฟอสฟ�น (PH3) และ อาร์ซีน (AsH3) 6.5 ขั้นประเมินผล 1) นักเรียนแต่ละคนพิจารณาเรื่องที่เรียนในคาบนี้ว่ามีเรื่องใดที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย - ถ้านักเรียนมีข้อสงสัยครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ - ถ้านักเรียนไม่มีข้อสงสัย ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนด้วยคำถามดังนี้ - เขียนโครงสร้างลิวอิสของ F2, C2H4 และ C2H2 - ยกตัวอย่างสารโคเวเลนต์ที่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวและสารโคเวเลนซ์ที่มีการใช้ อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะไม่เป�นไปตามกฎออกเตต พร้อมทั้งเขียนโครงสร้างลิวอิสอธิบายประกอบ - BeCl2, CS2 และ N2O4 มีชื่อเรียกว่าอะไร 2) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับชนิดของพันธะ การเขียนสูตร และการเรียกชื่อสาร โคเวเลนต์ 3) ครูให้นักเรียนทำาแบบฝ�กหัด 3.7 เพื่อทบทวนความรู้


35 7) สื่อการเรียนรู้ - http://pandora55.exteen.com - http://www.scimath.org/socialnetwork/groups/viewbulletin/ 8) กระบวนการวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือที่ใช้วัด เกณฑ์การประเมิน 1. อธิบายการเกิดพันธะโคเวเลนต์ แบบพันธะเดี่ยว พันธะคู่ และ พันธะสามด้วยโครงสร้างลิวอิส(K ) สังเกตพฤติกรรมการ ปฏิบัติงานกลุ่ม แบบสังเกต พฤติกรรม การปฏิบัติงานกลุ่ม นักเรียนสามารถผ่าน เกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 80 ขึ้นไป 2. เขียนสูตรและเรียกชื่อสาร โคเวเลนต์( P ) สังเกตพฤติกรรมการ ปฏิบัติงานกลุ่ม แบบสังเกต พฤติกรรม การปฏิบัติงานกลุ่ม นักเรียนสามารถผ่าน เกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 80 ขึ้นไป 3. มีความใจกว้างและใช้ วิจารณญาณ (A) การสังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน แบบประเมินด้าน พฤติกรรม นักเรียนสามารถทำงาน ได้อยู่ในช่วงคะแนนระดับ ดีขึ้นไป


36 9.บันทึกผลหลังการสอน ผลการจัดการเรียนการสอน/ป�ญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ______________________________(ผู้สอน) (นางป�ยะอนงค์ นิศาวัฒนานันท์ ) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ โรงเรียนกีฬานครนนท์วิทยา 6 กลุ่มที่ รายการประเมิน/คะแนน รวม ผ่าน/ ความใจกว้าง การใช้วิจารณญาณ ไม่ผ่าน 3 2 1 0 3 2 1 0 6 1 2 3 4 5 6


Click to View FlipBook Version