เทคนิคการวิเคราะห์
และการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
เรียบเรียง โดย ดร.ณัฐพงษ์ เพชรละออ
การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
ปัญหา
ปัญหา คือ ข้อสงสัย ข้อขัดข้อง หรือ สิ่งที่เป็นอุปสรรคและต้องพิจารณาแก้ไข
ปัญหา คือ สถานการณ์ เหตุการณ์ หรือรูปการ หรือกรณีใด ๆที่บุคคล หรือกลุ่ม
บุคคลในองค์กรได้รับทราบ หยั่งรู้ หรือเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าจำเป็นต้องได้รับการ
แก้ไขหรือทำให้หมดไป
การแก้ไขปัญหา วิธีคิดการแก้ไขปัญหา
การแก้ไขปัญหา จะต้องมีการคิดอย่างเป็นระบบ หาสาเหตุที่แท้จริง แล้วหา
แนวทางการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อหาแนวทางที่หลาก
หลาย และคัดเลือกแนวทางที่เหมาะสมมากที่สุด
และ เป็นการแก้ไขปัญหาโดยใช้กระบวนการทำงานภายใต้เกณฑ์ (criteria)
และข้อจำกัด (constrain) โดยนำปัญหาหรือความต้องการมาเป็นจุดเริมต้น เน้น
เชื่อมโยงความรู้สู่เทคโนโลยีซึ่งมีคณิตศาสร์ และวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการ
สร้างสรรค์ทางวิศวกรรม
การแก้ไขปัญหา วิธีคิดการแก้ไขปัญหา
นักแก้ปัญหาหรือนวัตกรที่ดีจะต้องเลือกใช้วิธีการแก้ปัญหาให้เหมาะกับประเภท
ของปัญหา เพื่อที่เราจะได้ไม่แก้ไขปัญหาด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสมตามคำพังเพยไทยที่
ว่า“ขี่ช้างจับตั๊กแตน”
วิธีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ 4 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์ปัญหา และกำหนดรายละเอียดของปัญหา
ขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนที่จะทำให้เข้าใจปัญหา โดยต้องจำแนกในการวิเคราะห์
ปัญหา ดังนี้
ขั้นตอนที่ 2 วางแผนในการแก้ปัญหา
ขั้นตอนนี้ ต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้แก้ไขปัญหา โดยเริ่มจากการเลือก
เครื่องมือในการแก้ไขปัญหา พิจารณาความเหมาะสมของเครื่องมือกับเงื่อนไข
ต่างๆ ของปัญหา
ขั้นตอนที่ 3 ดำเนินการแก้ปัญหา
ขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนที่ต้องลงมือแก้ปัญหาโดยใช้เครื่องมือที่ได้เลือกไว้ โดยขึ้น
ตอนนี้ต้องอาศัยความรู้เกีี่ยวกับเครื่องมือที่เลือกใช้ ซึ่งผู้แก้ไขปัญหาต้องศึกษาให้
เข้าใจและเชี่ยวชาญ ในขณะที่ดำเนินการหากพบแนวทางที่ดีกว่าออกแบบไว้ก็
สามารถปรับเปลี่ยนได้
ขั้นตอนที่ 4 การตรวจสอบและปรับปรุง
ขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนที่ลงมือแก้ปัญหาแล้ว ต้องมีการตรวจสอบว่าผลที่ได้
ลัพธ์ตรงกับเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่ ถ้าผลลัพธ์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ต้องมี
การวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาใหม่อีกครั้งเพื่อปรับปรุงแนวทางการแก้ไขปัญหา
ให้ครอบคลุมปัญหามากขึ้น โดยการตรวจสอบสามารถแบ่งได้ 2 ขั้นตอน ได้แก่
ประโยชน์ของการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
สามารถแก้ปัญหา ตัดสินใจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณลักษณะ 10 ประการของนักคิดอย่างเป็นระบบ
1) มีสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน สับสน มีสภาวะจิตนิ่ง มีความสามารถทางการใช้อารมณ์
2) มีความจำดี เพื่อสร้างฐานข้อมูล และนำออกมาใช้ได้อย่างมีระบบ
3) มีความช่างสังเกต เพื่อการรับข้อมูลต่างๆ นำมาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย
4) มีหลักการ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวหรือสาระสำคัญที่มั่นคง อ้างอิงได้
5) มีเหตุผล เป็นพื้นฐานในการวางรากฐานการจัดระบบสามารถใช้เหตุผลได้
อย่างถูกต้อง
คุณลักษณะ 10 ประการของนักคิดอย่างเป็นระบบ
6) มีระเบียบความคิด ระเบียบเป็นพื้นฐานสำคัญของการคิดเชิงระบบ
7) มีความคิดหลายมิติ ทั้งแนวดิ่ง แนวนอน แนวข้างและแบบวงกลม
8) มีความคิดทั้งภายในและภายนอก รูปแบบการคิดภายในเกิดจากการรับรู้หรือ
มีประสบการณ์จากภายนอก
9) มีความคิดเชิงบูรณาการ สามารถดึงความรู้ด้านต่างๆ มาผสมผสานกัน
10) มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ยึดติดกับแบบแผนและระบบเดิมๆ จนมากเกินไป
เทคนิคการคิดเชิงระบบ 4 ประการ
1) การคิดแบบวงกลม
2) การคิดอย่างมีการจัดความสัมพันธ์
3) การคิดอย่างมีแบบแผน
4) การคิดอย่างเป็นกระบวนการ (Processing)
เทคนิคการคิดเชิงระบบ 4 ประการ
1) การคิดแบบวงกลม
การคิดแบบวงกลม เป็นการเชื่อมต่อระหว่างส่วนต่างๆ จะก่อให้เกิดวงจร ย้อน
กลับ (Feedback Loops) ซึ่งการป้อนกลับเป็นผลมาจากการสะท้อนข้อมูลกลับ
ของระบบ มายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง โดยข้อมูลนั้นมีอิทธิพลต่อขั้นตอนต่อไปใน
พฤติกรรมของระบบนั้นๆ วงจรก็จะดำเนินไปตลอดเวลา ซึ่งการป้อนกลับอาจ
สมดุลหรือไม่สมดุล ดีหรือไม่ดีนั้น แล้วแต่สถานการณ์
เทคนิคการคิดเชิงระบบ 4 ประการ
2) การคิดอย่างมีการจัดความสัมพันธ์
การคิดอย่างมีการจัดความสัมพันธ์ ในการคิดรูปแบบนี้จะมีความสัมพันธ์เชิง
เหตุผล และความสัมพันธ์เชิงหน้าที่ รูปแบบของการใช้เหตุผลมี 2 รูปแบบ คือ
แบบนิรนัย (Deductive Reasoning) และแบบอุปนัย (Inductive
Reasoning) แบบนิรนัยเป็นการใช้เหตุผล อธิบายหลักการที่มีอยู่อย่างแน่นอน
แล้ว ส่วนอุปนัยเป็นการใช้เหตุผลจากส่วนย่อยไปสู่ หลักการ ส่วนความสัมพันธ์
เชิงหน้าที่นั้น เป็นการให้คำตอบว่าองค์ประกอบต่างๆ ของระบบ ที่มารวมกันทำ
หน้าที่อะไร และทำอย่างไร
รูปแบบของการใช้เหตุผล
รูปแบบนิรนัย (Deductive Reasoning)
เป็นการใช้เหตุผล อธิบายหลักการที่มีอยู่อย่างแน่นอนแล้ว ไปอธิบาย
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ สัตว์ปีก
ตัวอย่าง นกพิราบ
สัตว์ปีกทุกตัวเป็นสัตว์ดุร้าย
นกพิราบ เป็นสัตว์ปีก = นกพิราบเป็นสัตว์ดุร้าย
รูปแบบของการใช้เหตุผล
รูปแบบนิรนัย (Deductive Reasoning) ไปอธิบาย
เป็นการใช้เหตุผล อธิบายหลักการที่มีอยู่อย่างแน่นอนแล้ว
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ
ตัวอย่าง บินได้
เครื่องบินทุกลำ สามารถบินได้
เครื่องบิน
นกพิราบ
นกพิราบบินได้ = นกพิราบเป็นเครื่องบิน ?
รูปแบบของการใช้เหตุผล
รูปแบบนิรนัย (Deductive Reasoning) ไปอธิบาย
เป็นการใช้เหตุผล อธิบายหลักการที่มีอยู่อย่างแน่นอนแล้ว
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ
ตัวอย่าง โควิดอากาศ
- โควิด 19 ติดต่อได้ทางอากาศ
- โควิด 19 ติดต่อจากอากาศสู่คน นกพิราบ คน
- นกพิราบอยู่ในอากาศติดโควิด 19 ?
รูปแบบของการใช้เหตุผล
รูปแบบอุปนัย (Inductive Reasoning)
เป็นการใช้เหตุผลจากส่วนย่อยไปสู่ หลักการ
ตัวอย่าง
มีลูกบอลสีดำและขาว 20 ลูกอยู่ในกล่อง เพื่อประมาณปริมาณของทั้งสองสีคุณ
หยิบตัวอย่างออกมาสี่ลูกแล้วได้สีดำสามลูกและสีขาวหนึ่งลูก
เราจะวางในทั่วไปแบบอุปนัยว่าในกล่องมีลูกบอลสีดำ 15 ลูกและสีขาว 5 ลูก ?
รูปแบบของการใช้เหตุผล
ความสัมพันธ์เชิงหน้าที่ ส่วนความสัมพันธ์เชิงหน้าที่นั้น เป็นการให้คำตอบ
ว่าองค์ประกอบต่างๆ ของระบบ ที่มารวมกันทำหน้าที่อะไร และทำอย่างไร
รูปแบบของการใช้เหตุผล
ความสัมพันธ์เชิงหน้าที่ ส่วนความสัมพันธ์เชิงหน้าที่นั้น เป็นการให้คำตอบ
ว่าองค์ประกอบต่างๆ ของระบบ ที่มารวมกันทำหน้าที่อะไร และทำอย่างไร
เทคนิคการคิดเชิงระบบ 4 ประการ
3) การคิดอย่างมีแบบแผน
การคิดอย่างมีแบบแผน การคิดอย่างมีแบบแผนนั้นต้องเป็นไปตามกรอบที่ ชัดเจน
ซึ่งอาจมีการสร้างกรอบ โครงรูป โครงสร้าง โครงร่าง แบบจำลอง รูปแบบ องค์
ประกอบ หลักเกณฑ์มาตรฐานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันหลายๆอย่าง แล้วแต่
ลักษณะ ของความคิดนั่นเอง
เทคนิคการคิดเชิงระบบ 4 ประการ
4) การคิดอย่างเป็นกระบวนการ (Processing)
การคิดอย่างเป็นกระบวนการ (Processing) กระบวนการเป็นปรากฏการณ์ที่
ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบไปสู่ผลอีกอย่างหนึ่ง เป็นกรรมวิธีเพื่อการกระ
ทำซึ่งดำเนินต่อเนื่องกันไปจนสำเร็จ
ดังนั้น การคิดอย่างเป็นกระบวนการจึงเป็นการคิดอย่างเป็นขั้นตอน (Step
by Step) ต่อเนื่อง (Continuous) และคิดให้ตลอด (Break Through) คิดให้
ครบจนบรรลุ วัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น เป็นแผนกลยุทธ์ ขั้นตอนในการคิดจะ
ต้องวางแผน ลงมือปฏิบัติ และประเมินผล
เทคนิคการคิดเชิงระบบ 4 ประการ
4) การคิดอย่างเป็นกระบวนการ (Processing)
4) การคิดอย่างเป็นกระบวนการ (Processing)
ตัวอย่าง
ตัวอย่าง
4) การคิดอย่างเป็นกระบวนการ (Processing)
เครื่องมือที่ใช้ในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
การเขียนแผนผังความคิด หรือแผนที่ความคิด (Mind Map)
Mind Map คืออะไร ?
Mind Map คือ การถา ยทอดความคิด หรือขอมูลตาง ๆ ที่มีอยู ในสมองลง
กระดาษ โดยการใชภ าพ สีเสน และการโยงใย แทนการจดยอแบบเดิมที่เปน
บรรทัด ๆ เรียงจากบนลงลาง
ขณะเดียวกันมันก็ชว ยเปน สื่อนําขอมูลจากภายนอก เชน หนังสือ คํา บรรยาย
การประชุม สง เขา สมองใหเก็บรักษาไวไดดีกวาเดิม ชวยใหเ กิดความคิด
สรา งสรรคไ ดง ายเขา เนื่องจะเห็นเปนภาพรวม และเปด โอกาสใหส มองใหเ ชื่อมโยง
ตอ ขอ มูล หรือ ความคิดต่างๆ เขา หากันไดง า ยกวา
การเขียนแผนผังความคิด หรือแผนที่ความคิด (Mind Map)
“ใชแ สดงการเชื่อมโยงขอมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหวา งความคิดหลัก
ความคิด รอง และความคิดยอ ยที่เกี่ยวของสัมพันธกัน”
ผังความคิด (Mind Map)
การระดมสมอง หรือการระดมความคิด (Brainstorm)
การระดมสมอง หรือการระดมความคิด (Brainstorm) เพื่อปลุกไอเดีย
สร้างสรรค์ เป็นเทคนิคหนึ่งที่นิยมนำมาใช้ในการระดมความคิดเพื่อหาไอเดียสร้าง
สรรค์ไหม่ๆ หรือใช้ในระดมความคิดเพื่อแก้ไขปัญหา จากหลายๆมุมมอง หลาย
ความคิดของสมาชิกที่มาร่วมกิจกรรมระดมสมอง
"Brainstorm" มาจาก "Brain + Storming" ถ้าแปลตรงๆตัว ก็คงหมายถึง
พายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาในสมอง เทคนิคนี้ เกิดจากแนวคิดของ ออสบอร์น
การระดมสมอง หรือการระดมความคิด (Brainstorm)
“การระดมความคิด (Brainstorm )” โดยสรุปหมายถึง การระดมความคิดจาก
ทุกๆมุมมอง โดยไม่มีการตัดสินถูกผิด ของสมาชิกในกลุ่ม เพื่อหาทางเลือกในการ
ตัดสินใจ ความคิดใหม่ๆและใช้ในการการวางแผน
เทคนิควิธี “โมดิฟายด์ เดลฟี่”
สมาชิกในทีมของเขา จะเป็นประเภทชอบคิดแต่ไม่ชอบพูด หรือบางคนพูดมากจนไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นพูด
เทคนิคนี้มีกระบวนการง่ายๆ ดังนี้ครับ เริ่มจากให้หัวหน้าทีมหรือผู้ประสานงานแจ้งหรือทบทวนสาเหตุ ผลการ
วิเคราะห์ และข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นให้ทุกคนทราบ จากนั้นแจกกระดาษเปล่า เพื่อให้สมาชิกทุก
คนเขียนวิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โดยเขียนให้ได้มากที่สุด เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็เก็บกระดาษทั้งหมด มาจด
ลงบนกระดาน แล้วให้หัวหน้าทีมอ่านให้ทุกคนฟังชัดๆ เทคนิคโมดิฟายด์ เดลฟี่ คืออะไร และช่วยแก้ไขปัญหาใน
ทีม
จากนั้นก็แจกกระดาษเปล่าจากวิธีแก้ไข ซึ่งอาจจะให้จัดมา 5 อันดับจากวิธีแก้ไขที่อยู่บนกระดาษทั้งหมด
20 วิธี จากข้อมูลนี้เราก็นำมาจัดอันดับความสำคัญของวิธีแก้ปัญหาใหม่อีกครั้ง และสุดท้ายก็คือ พิจารณา
ว่าควรมีการแก้ไขอันดับที่ได้หรือไม่ แล้วร่วมกันลงมติเลือกกลุ่มวิธีแก้ที่ดีที่สุด
เทคนิคแผนภูมิก้างปลา
แผนภูมิก้างปลา (fishbone diagram) เป็นผังที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหากับสาเหตุของปัญหา
ทั้งหมด ชื่อเรียกผังก้างปลานี้เนื่องจากเป็นผังที่มีลักษณะคล้ายปลาที่ประกอบด้วย หัวปลา โครงร่างกระดูก
แกนกลาง และก้างปลา โดยระบุปัญหาที่หัวปลา ระบุสาเหตุหลักของปัญหาเป็นลูกศรเข้าสู่กระดูกแกนกลาง
และระบุสาเหตุย่อยที่เป็นไปได้ที่ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหานั้นเป็นลูกศรเข้าสู่สาเหตุหลัก นอกจากนี้ ผังก้างปลา
มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า แผนผังอิชิกาว่า (Ishikawa Diagram)
เทคนิคแผนภูมิก้างปลา
วัตถุประสงค์ของเครื่องมือ
1. เมื่อต้องการค้นหาสาเหตุของปัญหา ซึ่งปัญหาหนึ่งอาจมีปัจจัยหรือสาเหตุที่เกี่ยวข้องหลายปัจจัย
2. เมื่อต้องการใช้ระดมความคิด เพื่อให้สมาชิกของกลุ่มร่วมกันหาสาเหตุของปัญหาที่ระบุไว้ที่หัวปลา
วิธีการสร้างแผนภูมิก้างปลา
1. กำหนดหรือเขียนปัญหาที่หัวปลาทางด้านขวาของแผนภาพ
2. เขียนสาเหตุหรือปัจจัยหลัก ๆ ซึ่งอาจมีหลายสาเหตุไว้ที่ปลายก้างปลาแต่ละก้าง แยกแยะและกำหนด
สาเหตุต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ และเป็นเหตุเป็นผล ซึ่ง สาเหตุหรือปัจจัยหลัก ๆ อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นกับ
บริบทของปัญหา เช่น แยกตาม Man Machine Material Method Environment เป็นต้น
3. เขียนสาเหตุย่อยต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบในแต่ละสาเหตุหรือปัจจัยหลักไว้ที่ก้างปลาย่อย โดยอาจใช้
คำถามทำไม หลาย ๆ ครั้ง ในการเขียนแต่ละก้างปลาย่อย
4. เมื่อสิ้นสุดคำถามแล้ว จึงขยับไปที่ก้างต่อ ๆ ไป จนกว่าจะได้ผังก้างปลาที่สมบูรณ์
5. เมื่อทำผังก้างปลาเรียบร้อยแล้ว ควรตรวจทานดูว่า การเขียนเหตุผลบนผังมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ โดย
ให้ทดลองอ่านจากก้างที่เล็กที่สุด ไปยังก้างที่ใหญ่ที่สุด จนกระทั่งถึงหัวปลา
การเขียนแผนภูมิก้างปลา แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหากับสาเหตุ
ปัญหาค่าไฟฟ้า
โรงเรียนสูงขึ้น
การเขียนแผนภูมิก้างปลา แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหากับสาเหตุ
อุปกรณ์เพิ่มขึ้น นักเรียนมากขึ้น
อุปกรณ์ชำรุด
ลืมปิดไฟ ปัญหาค่าไฟฟ้า
โรงเรียนสูงขึ้น
อยู่ในช่วงฤดูร้อน กิจกรรมในโรงเรียนมากขึ้น
สามารถดำเนินการได้ตารางเปรียบเทียบผลกระทบ กับ ความสามารถในการแก้ไขในแต่ละปัญหา
ง่าย
ยาก
น้อย ผลกระทบ มาก
Thang You