The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประเทศเมียนมาร์ในอาเซียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by s6314158, 2020-11-03 06:58:41

ประเทศเมียนมาร์ในอาเซียน

ประเทศเมียนมาร์ในอาเซียน

ประเทศเมยี นมาร์ในอาเซียน

ประเทศพมา่ (Burma หรือ Myanmar) มีชื่ออยา่ งเป็นทางการวา่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพพมา่ (Republic of
the Union of Myanmar) เป็นประเทศในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ละคาบสมุทรอินโดจีนซ่ึงมีขนาดใหญท่ ่ี สุด
และมีพรมแดนทางแผน่ ดินติดตอ่ กบั สองประเทศ ซ่ึงเป็นแหลง่ อารยธรรมท่ีย่ิงใหญข่ องโลก ไดแ้ ก่ จีน และ
อินเดีย แต่เดิมชาวตะวนั ตกเรียกประเทศน้ีวา่ Burma จนกระทง่ั เมื่อปี พ.ศ. 2532 พมา่ ไดเ้ ปลย่ี นช่ือประเทศเป็น
Myanmar ชื่อ ใหม่น้ีเป็นที่ยอมรบั จากองคก์ ารสหประชาชาติ แต่บางชาติ เชน่ สหรัฐอเมริกา และสหราช
อาณาจกั ร ไม่ยอมรับการเปลี่ยนช่ือน้ี เน่ืองจากไมย่ อมรับรัฐบาลทหารท่ีเป็นผเู้ ปลยี่ นช่ือ ปัจจุบนั หลายคนใชค้ า
วา่ Myanmar ซ่ึงมาจากช่ือประเทศในภาษาพมา่ ว่า Myanma Naingngandaw ไมว่ ่าจะมีความเห็นเก่ียวกบั รัฐบาล
ทหารอยา่ งไรก็ตาม คาวา่ เมียนมาร์ เป็นการทบั ศพั ทม์ าจากภาษาองั กฤษวา่ Myanmar แตค่ วามจริงแลว้ ชาวพมา่
เรียกชื่อประเทศตนเองว่า มยะหมา่ /เมียนมา ส่วนส่ือไทยมกั สะกดวา่ เมยี นมาร์

การแบ่งเขตการปกครอง

ประเทศพม่าแบ่งเขตการปกครองออกเป็ น 7 รัฐ (states) และ 7 เขต (divisions) ดงั นี้

• รัฐ (States)

1.รัฐชิน (Chin) มีเมืองหลวงช่ือ เมืองฮะคา

2.รัฐกะฉ่ิน (Kachin) มีเมืองหลวงช่ือ เมืองมิตจีนา

3.รัฐกะเหร่ียง (Kayin) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองปะอาน

4.รัฐกะยา (Kayah) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองหลอยกอ่

5.รัฐมอญ (Mon) มีเมืองหลวงช่ือ เมอื งมะละแหมง่

6.รัฐยะไข่ (Rakhine) มีเมืองหลวงช่ือ เมืองซิตตเว

7.รัฐฉานหรือไทใหญ่ (Shan) มีเมืองหลวงช่ือ เมอื งตองยี

• เขต (Divisions)

1.เขตอริ วดี (Ayeyarwady) มีเมืองเอกช่ือ เมืองพะสิม

2.เขตพะโค (Bago) มีเมืองเอกชื่อ เมืองพะโค

3.เขตมาเกว (Magway) มีเมืองเอกชื่อ เมืองมาเกว

4.เขตมณั ฑะเลย์ (Mandalay) มีเมืองเอกช่ือ เมืองมณั ฑะเลย์

5.เขตสะกาย (Sagaing) มีเมืองเอกชื่อ เมืองสะกาย

6.เขตตะนาวศรี (Tanintharyi) มีเมืองเอกช่ือ เมอื งทวาย

7.เขตยา่ งกงุ้ (Yangon) มีเมืองเอกชื่อ เมืองยา่ งกุง้

ประวตั ศิ าสตร์พม่า

• ประวตั ิ ศาสตร์ของพมา่ น้นั มีความยาวนานและซบั ซอ้ น มีประชาชนหลายเผ่าพนั ธุเ์ คยอาศยั อยใู่ นดินแดนแห่ง
น้ี เผา่ พนั ธุเ์ ก่าแก่ที่สุดที่ปรากฏไดแ้ ก่มอญ ตอ่ มาราวพทุ ธศตวรรษท่ี 13 ชาวพม่าไดอ้ พยพลงมาจากบริเวณ
พรมแดนระหวา่ งจีนและทิเบต เขา้ สู่ที่ราบลมุ่ แมน่ ้าอิระวดี และไดก้ ลายเป็นชนเผ่าส่วนใหญ่ที่ปกครองประเทศ
ในเวลาตอ่ มา ความซบั ซอ้ นของประวตั ิศาสตร์พมา่ มิไดเ้ กิดข้ึนจากกลมุ่ ชนทอ่ี าศยั อยใู่ นดิน แดนพมา่ เทา่ น้นั แต่
เกิดจากความสมั พนั ธ์กบั เพอ่ื นบา้ นอนั ไดแ้ ก่ จีน อินเดีย บงั กลาเทศ ลาว และไทยอีกดว้ ย

มอญ

• มนุษยไ์ ดเ้ ขา้ มาอาศยั อยใู่ นดินแดนของประเทศพมา่ ราว 11,000 ปี มาแลว้ แต่ชนเผ่าแรกท่ีสามารถสร้างอารย
ธรรมข้ึนเป็นเอกลกั ษณ์ของตนไดก้ ค็ ือชาวมอญ ชาวมอญไดอ้ พยพเขา้ มาอาศยั อยใู่ นดนิ แดนแห่งน้ีเมื่อ
ราว 2,400 ปี ก่อนพทุ ธกาล และไดส้ ถาปนาอาณาจกั รสุวรรณภูมิ อนั เป็นอาณาจกั รแห่งแรกข้นึ ในราวพทุ ธ
ศตวรรษที่ 2 ณ บริเวณใกลเ้ มืองทา่ ตอน (Thaton) ชาวมอญไดร้ ับอิทธิพลของศาสนาพทุ ธผา่ นทางอนิ เดียในราว
พทุ ธศตวรรษที่ 2 ซ่ึงเช่ือว่ามาจากการเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาในรชั สมยั ของพระเจา้ อโศกมหาราช บนั ทึกของ
ชาวมอญส่วนใหญ่ถูกทาลายในระหว่างสงคราม วฒั นธรรมของชาวมอญเกิดข้ึนจากการผสมเอาวฒั นธรรมจาก
อินเดีย จึงเป็นเอกลกั ษณ์ของตนเองจนกลายเป็นวฒั นธรรมลกั ษณะลกู ผสม ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี 14 ชาวมอญ

ไดเ้ ขา้ ครอบครองและมีอิทธิพลในดินแดนตอนใตข้ องพม่าและไดเ้ กิดอาณาจกั ใหม่ข้ึนเรียกว่า อาณาจกั รสุธรรม
วดี ที่เมืองพะโค (หงสาวดี)

ปยุ : พยู : เพยี ว

• ชาวปยหุ รือพยหู รือเพยี ว คือกลุม่ ท่ีเขา้ มาอาศยั อยใู่ นดินแดนประเทศพม่าต้งั แตร่ าวพทุ ธศตวรรษที่ 4 และได้
สถาปนานครรัฐข้ึนหลายแห่ง เชน่ ที่ พินนาคา (Binnaka) มองกะโม้ (Mongamo) ศรีเกษตร (Sri Ksetra) เปี ยทะ
โนมโย (Peikthanomyo) และหะลินยี (Halingyi) ใน ช่วงเวลาดงั กล่าว ดินแดนพมา่ เป็นส่วนหน่ึงของเสน้ ทาง
การคา้ ระหวา่ งจีนและอินเดีย จากเอกสารของจีนพบวา่ มีเมืองอยภู่ ายใตอ้ านาจปกครองของชาวพยู 18 เมือง และ
ชาวพยเุ ป็นชนเผา่ ที่รักสงบ ไมป่ รากฏว่ามีสงครามเกิดข้ึนระหว่างชนเผ่าพยู ขอ้ ขดั แยง้ มกั ยตุ ิดว้ ยการคดั เลือก
ตวั แทนใหเ้ ขา้ ประลองความสามารถกนั ชาวพยสู วมใส่เคร่ืองแต่งกายที่ทาจากฝ้าย อาชญากรมกั ถูกลงโทษดว้ ย
การโบยหรือจาขงั เวน้ แตไ่ ดก้ ระทาความผิดอนั ร้ายแรงจึงตอ้ งโทษประหารชีวิต ชาวพยนู บั ถือพระพทุ ธศาสนา
นิกายเถรวาท เดก็ ๆ ไดร้ ับการศึกษาที่วดั ต้งั แต่อายุ 7 ขวบจนถึง 20 ปี

• นครรัฐ ของชาวปยไุ ม่เคยรวมตวั เป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั แต่นครรัฐขนาดใหญม่ กั มีอิทธิพลเหนือนครรัฐขนาด
เลก็ ซ่ึงแสดงออกโดยการส่งเคร่ืองบรรณาการให้ นครรัฐท่ีมีอิทธิพลมากท่ีสุดไดแ้ ก่ศรีเกษตร ซ่ึงมีหลกั ฐานเชื่อ
ไดว้ ่า เป็นเมืองโบราณท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสุดในประเทศพมา่ ไมป่ รากฏหลกั ฐานว่าอาณาจกั รศรีเกษตรถกู สถาปนา
ข้ึนเม่ือใด แต่มีการกลา่ วถึงในพงศาวดารว่ามีการเปล่ียนราชวงศเ์ กิดข้นึ ในปี พทุ ธศกั ราช 637 ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นวา่
อาณาจกั รศรีเกษตรตอ้ งไดร้ บั การสถาปนาข้ึนกอ่ นหนา้ น้นั มีความชดั เจนว่า อาณาจกั รศรีเกษตรถกู ละทิ้งไปใน
ปี พทุ ธศกั ราช 1199 เพือ่ อพยพยา้ ยข้ึนไปสถาปนาเมืองหลวงใหมท่ างตอนเหนือ แต่ยงั ไม่ทราบอยา่ งแน่ชดั วา่
เมืองดงั กล่าวคือเมืองใด นกั ประวตั ิศาสตร์บางทา่ นเชื่อว่าเมอื งดงั กล่าวคือเมืองหะลนิ คยี อยา่ งไรก็ตามเมือง
ดงั กลา่ วถกู รุกรานจากอาณาจกั รน่านเจา้ ในราวพทุ ธศตวรรษที่ 15 จากน้นั กไ็ มป่ รากฏหลกั ฐานกลา่ วถึงชาวพยู
อีก

อาณาจกั รพุกาม

• ชาวพม่าเป็นชนเผ่าจากทางตอนเหนือที่คอ่ ยๆ อพยพแทรกซึมเขา้ มาสง่ั สมอิทธิพลในดินแดนประเทศพม่าทีละ
นอ้ ย กระทงั่ ปี พทุ ธศกั ราช 1392จึงมีหลกั ฐานถึงอาณาจกั รอนั ทรงอานาจซ่ึงมีศนู ยก์ ลางอยทู่ ่ีเมอื ง "พกุ าม"
(Bagan) โดย ไดเ้ ขา้ มาแทนที่ภาวะสุญญากาศทางอานาจภายหลงั จากการเส่ือมสลายไปของอาณาจกั ร ชาวพยู
อาณาจกั รของชาวพกุ ามแต่แรกน้นั มิไดเ้ ติบโตข้ึนอยา่ งเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั กระทง่ั ในรชั สมยั ของพระ
เจา้ อโนรธา (พ.ศ. 1587–1620) พระองคจ์ ึงสามารถรวบรวมแผน่ ดินพมา่ ใหเ้ ป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั สาเร็จ และ

เม่ือพระองคท์ รงตีเมอื งท่าตอนของชาวมอญไดใ้ นปี พทุ ธศกั ราช 1600 อาณาจกั รพกุ ามกก็ ลายเป็นอาณาจกั รที่
เขม้ แขง็ ที่สุดในดินแดนพมา่ อาณาจกั รพกุ ามมีความเขม้ แขง็ เพมิ่ มากข้ึนในรชั สมยั ของพระเจา้ กยนั สิทธา
(พ.ศ. 1624–1655) และพระเจา้ อลองสิทธู (พ.ศ. 1655–1710) ทาใหใ้ นช่วงปลายพทุ ธศตวรรษที่ 17 ดินแดนใน
คาบสมทุ รสุวรรณภมู ิเกือบท้งั หมดถกู ครอบครองโดยอาณาจกั รเพียงสองแห่ง คอื เขมร(เมืองพระนคร) และ
พกุ าม

• อานาจ ของอาณาจกั รพกุ ามคอ่ ยๆ เส่ือมลง ดว้ ยเหตผุ ลหลกั สองประการ ส่วนหน่ึงจากการถกู เขา้ ครอบงาโดย
ของคณะสงฆผ์ มู้ อี านาจ และอีกส่วนหน่ึงจากการรุกรานของจกั รวรรดิมองโกลที่เขา้ มาทางตอนเหนือ พระเจา้
นราธิหบดี (ครองราชย์ พ.ศ. 1779–1830) ไดท้ รงนาทพั สู่ยนู นานเพอื่ ยบั ยง้ั การขยายอานาจของมองโกล แตเ่ ม่ือ
พระองคแ์ พส้ งคราม ในปี พทุ ธศกั ราช 1820 ทพั ของอาณาจกั รพกุ ามกร็ ะส่าระสายเกือบท้งั หมด พระเจา้ นราธิห
บดีถกู พระราชโอรสปลงพระชนมใ์ นปี พทุ ธศกั ราช 1830 กลายเป็นตวั เร่งท่ที าใหอ้ าณาจกั รมองโกลตดั สินใจ
รุกรานอาณาจกั รพกุ ามในปี เดียวกนั น้นั ภายหลงั สงครามคร้ังน้ี อาณาจกั รมองโกลก็สามารถเขา้ ครอบครอง
ดินแดนของอาณาจกั รพกุ ามไดท้ ้งั หมด ราชวงศพ์ กุ ามสิ้นสุดลงเม่ือมองโกลไดแ้ ตง่ ต้งั รัฐบาลหุ่นข้ึนบริหาร
ดินแดน พมา่ ในปี พทุ ธศกั ราช 1832

อังวะและหงสาวดี

• หลงั จากการลม่ สลายของอาณาจกั รพกุ าม พม่าไดแ้ ตกแยกออกจากกนั อีกคร้ัง ราชวงศอ์ งั วะซ่ึงไดร้ บั อิทธิพล
ทางวฒั นธรรมจากอาณาจกั รพกุ ามไดถ้ กู สถาปนาข้ึน ท่ีเมอื งองั วะในปี พทุ ธศกั ราช 1907 ศิลปะและวรรณกรรม
ของพกุ ามไดถ้ กู ฟ้ื นฟจู นยคุ น้ีกลายเป็นยคุ ทองแห่งวรรณกรรม ของพมา่ แตเ่ น่ืองดว้ ยอาณาเขตท่ียากตอ่ ป้องกนั
การรุกรานจากศตั รู เมืององั วะจึงถูกชาวไทใหญ่เขา้ ครอบครองไดใ้ นปี พทุ ธศกั ราช 2070

• สาหรับดินแดนทางใต้ ชาวมอญไดส้ ถาปนาอาณาจกั รของพวกตนข้นึ ใหมอ่ ีกคร้ังที่หงสาวดี โดยกษตั ริยธ์ รรม
เจดีย์ (ครองราชย์ พ.ศ. 1970 – 2035) เป็นจุดเริ่มตน้ ยคุ ทองของมอญ ซ่ึงเป็นศูนยก์ ลางของพทุ ธศาสนานิกายเถร
วาทและศนู ยก์ ลางทางการคา้ ขนาดใหญใ่ นเวลาตอ่ มา

อาณาจักรตองอู

• หลงั จากอาณาจกั รพกุ ามถูกรุกรานจากไทใหญ่ ชาวองั วะไดอ้ พยพลงมาสถาปนาอาณาจกั รแห่งใหม่ โดยมี
ศนู ยก์ ลางที่เมอื งตองอูภายใตก้ ารนาของพระเจา้ มิงคยินโย ในปี พทุ ธศกั ราช 2074 พระเจา้ ตะเบงชะเวต้ี
(ครองราชย์ พ.ศ. 2074–2093) ซ่ึงสามารถรวบรวมพม่าเกือบท้งั หมดใหเ้ ป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ไดอ้ ีกคร้ัง

• ใน ช่วงระยะเวลาน้ี ไดม้ ีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เกิดข้ึนในภูมิภาค ชาวไทใหญ่มีกาลงั เขม้ แขง็ เป็นอยา่ ง
มากทางตอนเหนือ การเมืองภายในอาณาจกั รอยธุ ยาเกิดความไมม่ นั่ คง ในขณะที่โปรตเุ กสไดเ้ ริ่มมีอิทธิพลใน
เอเชียตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ละสามารถเขา้ ครอบครองมะละกาได้ เกี่ยวกบั การเขา้ มาของบรรดาพอ่ คา้ ชาวยโุ รป
พม่ากลายเป็นศนู ยก์ ลางทางการคา้ ที่สาคญั อีกคร้งั หน่ึง การท่ีพระเจา้ ตะเบงชะเวต้ีไดย้ า้ ยเมอื งหลวงมาอยทู่ ่ีเมือง
หงสาวดี เหตผุ ลส่วนหน่ึงกเ็ น่ืองดว้ ยทาเลทางการคา้ พระเจา้ บเุ รงนอง (ครองราชย์ พ.ศ. 2094–2124) ซ่ึงเป็น
พระเทวนั (พีเ่ ขย)ของพระเจา้ ตะเบงชะเวต้ี ไดข้ ้ึนครองราชยส์ ืบต่อจากพระเจา้ ตะเบงชะเวต้ี และสามารถเขา้
ครอบครองอาณาจกั รตา่ ง ๆ รายรอบได้ อาทิ มณีปรุ ะ (พ.ศ.2103) อยธุ ยา (พ.ศ. 2112) ราชการ สงครามของ
พระองคท์ าใหพ้ มา่ มีอาณาเขตกวา้ งใหญไ่ พศาลท่สี ุด อยา่ งไรก็ตาม ท้งั มณีปุระและอยธุ ยา ต่างกส็ ามารถประกาศ
ตนเป็นอิสระไดภ้ ายในเวลาตอ่ มาไมน่ าน

• เมื่อ ตอ้ งเผชิญกบั การกอ่ กบฏจากเมอื งข้ึนหลายแห่ง ประกอบกบั การรุกรานของโปรตุเกส กษตั ริยแ์ ห่งราชวงศ์
ตองอจู าเป็นตอ้ งถอนตวั จากการครอบครองดินแดนทางตอนใต้ โดยยา้ ยเมืองหลวงไปอยทู่ ี่เมืององั วะ พระเจา้ อะ
นอกะเพตลนุ (Anaukpetlun) พระนดั ดาของพระเจา้ บุเรงนอง สามารถรวบรวมแผน่ ดินพม่าใหเ้ ป็นอนั หน่ึงอนั
เดียวกนั อีกคร้ังในพทุ ธศกั ราช 2156 พระองคต์ ดั สินใจทีจ่ ะใชก้ าลงั เขา้ ต่อตา้ นการรุกรานของโปรตเุ กส พระ
เจา้ ธารุน (Thalun) ผู้ สืบทอดราชบลั ลงั ก์ ไดฟ้ ้ื นฟหู ลกั ธรรมศาสตร์ของอาณาจกั รพกุ ามเก่า แตพ่ ระองคท์ รงใช้
เวลากบั เร่ืองศาสนามากเกินไป จนละเลยท่ีจะใส่ใจต่ออาณาเขตทางตอนใต้ ทา้ ยท่ีสุด หงสาวดี ที่ไดร้ ับการ
สนบั สนุนจากฝรั่งเศสซ่ึงต้งั มนั่ อยใู่ นอนิ เดีย ก็ไดท้ าการประกาศเอกราชจากองั วะ จากน้นั อาณาจกั รของชาวพมา่
กค็ อ่ ย ๆ ออ่ นแอลงและล่มสลายไปในปี พทุ ธศกั ราช 2295 จากการรุกรานของชาวมอญ

ราชวงศ์อลองพญา

• ราช วงศอ์ ลองพญาไดร้ ับการสถาปนาข้ึนและสรา้ งความเขม้ แขง็ จนถึงขีดสุดไดภ้ ายใน เวลาอนั รวดเร็ว อลอง
พญาซ่ึงเป็นผนู้ าทไ่ี ดร้ ับความนิยมจากชาวพมา่ ไดข้ บั ไลช่ าวมอญท่ีเขา้ มาครอบครองดินแดนของชาวพมา่ ไดใ้ น
ปี พ.ศ. 2296 จากน้นั กส็ ามารถเขา้ ยึดครองอาณาจกั รมอญไดอ้ ีกคร้ังในปี พ.ศ. 2302 ท้งั ยงั สามารถกลบั เขา้ ยดึ
ครองกรุงมณีปรุ ะไดใ้ นชว่ งเวลาเดียวกนั พระองคส์ ถาปนาใหเ้ มืองยา่ งกงุ้ เป็นเมอื งหลวงในปี พ.ศ.2303 หลงั จาก
เขา้ ยึดครองตะนาวศรี (Tenasserim) พระองคไ์ ดย้ าตราทพั เขา้ รุกรานอยธุ ยา แตต่ อ้ งประสบความลม้ เหลวเมอ่ื
พระองคท์ รงสวรรคตในระหว่างสงคราม พระเจา้ สินบูหชิน (Hsinbyushin, ครองราชย์ พ.ศ. 2306 – 2319)พระ
ราชโอรส ไดน้ าทพั เขา้ รุกรานอาณาจกั รอยธุ ยาอีกคร้ังในปี พ.ศ. 2309 และประสบความสาเร็จในปี ถดั มา ในรัช
สมยั น้ี แมจ้ ีนจะพยายามขยายอานาจเขา้ สู่ดินแดนพม่า แตพ่ ระองคก์ ส็ ามารถยบั ยง้ั การรุกรานของจีนไดท้ ้งั สี่คร้งั
(ในช่วงปี พ.ศ. 2309–2312) ทาการขยายพรมแดนของจีนทางดา้ นน้ีถกู ยตุ ิลง ในรัชสมยั ของพระเจา้ โบดอพญา
(Bodawpaya,ครองราชย์ พ.ศ. 2324–2362) พระโอรสอีกพระองคข์ องพระเจา้ อลองพญา พมา่ ตอ้ งสูญเสียอานาจ

ที่มีเหนืออยธุ ยาไป แต่ก็สามารถผนวกดินแดนยะไข่ (Arakan) และตะนาวศรี (Tenasserim) เขา้ มาไวไ้ ดใ้ นปี
พ.ศ. 2327 และ 2336 ตามลาดบั ในช่วงเดือนมกราคมของปี พ.ศ. 2366 ซ่ึงอยใู่ นรัชสมยั ของพระเจา้ บาคยดี อว์
(Bagyidaw) ครองราชย์ พ.ศ. 2362–2380) ขนุ นางช่ือมหาพนั ธุละ (Maha Bandula) เขา้ รุกรานแควน้ อสั สมั ได้
สาเร็จ ทาใหพ้ ม่าตอ้ งเผชิญหนา้ โดยตรงกบั องั กฤษท่ีครอบครองอินเดียอยใู่ นขณะน้นั

สงครามกับอังกฤษและการล่มสลายของราชอาณาจักรพม่า

• สงครามระหวา่ งพมา่ และองั กฤษคร้งั ท่ีหน่ึง (พ.ศ. 2367–2369) ยตุ ิลงโดยองั กฤษเป็นฝ่ ายไดร้ ับชยั ชนะ ฝ่ ายพม่า
จาตอ้ งทาสนธิสญั ญายนั ดาโบ (Yandaboo) กบั องั กฤษ ทาใหพ้ มา่ ตอ้ งสูญเสียดินแดนอสั สมั มณีปรุ ะ ยะขา่ ย
และตะนาวศรีไป ซ่ึงองั กฤษเร่ิมก็ตน้ ตกั ตวงทรัพยากรตา่ งๆ ของพม่านบั แตน่ ้นั เพ่อื เป็นหลกั ประกนั สาหรับ
วตั ถดุ ิบที่จะป้อนสู่สิงคโปร์ สร้างความแคน้ เคอื งใหก้ บั ทางพมา่ เป็นอยา่ งมาก กษตั ริยอ์ งคต์ ่อมาจึงทรงยกเลิก
สนธิสญั ญายนั ดาโบ และทาการโจมตีผลประโยชนข์ องฝ่ ายองั กฤษ ท้งั ตอ่ บุคคลและเรือ เป็นตน้ เหตใุ หเ้ กิด
สงครามระหว่างพมา่ และองั กฤษคร้ังท่ีสอง ซ่ึงกจ็ บลงโดยชยั ชนะเป็นขององั กฤษอีกคร้งั หลงั ส้ินสุดสงคราม
คร้ังน้ี องั กฤษไดผ้ นวกหงสาวดีและพ้นื ที่ใกลเ้ คียงเขา้ ไวก้ บั ตน โดยไดเ้ รียกดินแดนดงั กล่าวเสียใหมว่ า่ พมา่ ตอน
ใต้ สงครามคร้ังน้ีก่อใหเ้ กิดการปฏวิ ตั ิคร้ังใหญใ่ นพมา่ เริ่มตน้ ดว้ ยการเขา้ ยดึ อานาจโดยพระเจา้ มินดง (Mindon
Min) ครองราชย์ พ.ศ. 2396–2421) จากพระเจา้ ปะกนั (Pagin Min, ครองราชย์ พ.ศ. 2389–2396) ซ่ึง เป็นพระ
เชษฐาตา่ งพระชนนี พระเจา้ มินดงพยายามพฒั นาประเทศพม่าเพ่ือตอ่ ตา้ นการรุกรานขององั กฤษ พระองคไ์ ด้
สถาปนากรุงมณั ฑะเลย์ ซ่ึงยากตอ่ การรุกรานจากภายนอก ข้ึนเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ แตก่ ็ยงั ไม่เพียงพอทีจ่ ะ
หยดุ ย้งั การรุกรานจากองั กฤษได้

• รัชสมยั ตอ่ มา พระเจา้ ธีบอ (Thibow, ครองราชย์ พ.ศ. 2421–2428) ซ่ึง เป็นพระโอรสของพระเจา้ มนิ ดง ทรงมี
บารมีไม่พอท่จี ะควบคมุ พระราชอาณาจกั รได้ จึงทาใหเ้ กิดความวนุ่ วายข้ึนไปทวั่ ในบริเวณชายแดน ในท่ีสุด
พระองคไ์ ดต้ ดั สินพระทยั ยกเลิกสนธิสญั ญากบั องั กฤษท่ีพระเจา้ มินดงได้ ทรงกระทาไว้ และไดป้ ระกาศสงคราม
กบั องั กฤษเป็นคร้ังท่ีสามในปี พทุ ธศกั ราช 2428 ผลของสงครามคร้งั น้ีทาใหอ้ งั กฤษสามารถเขา้ ครอบครอง
ดินแดนประเทศพมา่ ส่วนท่ีเหลอื เอาไวไ้ ด้

ลาดบั เหตกุ ารณ์สาคัญในประเทศพม่า

• พ.ศ. 1043 : มีการจารึกเกิดข้ึนคร้ังแรกในพมา่ ของพทุ ธศาสนาลทั ธิอารี ในตาบลมะยงิ ยาน

• พ.ศ. 1297 : อาณาจกั รน่านเจา้ มีอานาจปกครองพมา่ ตอนเหนือ

• พทุ ธศตวรรษท่ี 13 : ราชวงศว์ ิกรมากาเนิดข้ึนท่ีเมืองแปร
• พ.ศ. 1343-1345 : ชนเผา่ พยสู ่งทตู มายงั ราชสานกั กรุงจีน
• พทุ ธศตวรรษที่ 14 : เมืองแปรลม่ สลาย
• กลางพทุ ธศตวรรษ่ี 14 : พอ่ คา้ ชาวอาหรับเดินเรือมาถึงพมา่ เป็นชาติแรก
• พ.ศ. 1392 : อาณาจกั รพกุ ามก่อต้งั ข้นึ ริมแม่น้าอิระวดี
• พ.ศ. 1587 : ยคุ ทองของพกุ าม พระเจา้ อโนรธาพิชิตดินแดนตา่ งๆเขา้ ไวเ้ ป็นปึ กแผน่ รวมท้งั อาณาจกั รสุธรรม
วดี(สะเทิม) ของชาวมอญ และทรงนาพทุ ธศาสนาลทั ธิหินยานเขา้ มาสู่พมา่ ตอนเหนือ ลทั ธิอารีจึงสูญส้ินไป
• พ.ศ. 1601 : มีการจารึกเป็นภาษาพมา่ เกิดข้ึนคร้งั แรก
• พ.ศ. 1602 : พระเจา้ อโนรธาเริ่มสร้างพระเจดียช์ เวดากอง ลดอานาจของยะไขเ่ หนือ เสดจ็ เยอื นเมืองยนู นาน ขดุ
คลองชื่อกะโยคเซ
• พ.ศ. 1627 : กองทพั ชาวเมอื งบกุ โจมตีเมืองพกุ าม
• พ.ศ. 1633 : พระเจา้ จนั สิทธะสร้างวดั อานนั ดา ส่งสมณทตู พม่าไปพทุ ธคยา
• พ.ศ. 1646 : ทตู พมา่ ไปเยือนเมืองยนู นาน
• พ.ศ. 1649 : ทตู พมา่ ไปเยอื นราชสานกั พระเจา้ กรุงจีน
• พ.ศ. 1655 : จารึกมยาเจดีย์
• พ.ศ. 1658 : ชินอรหนั ตม์ รณภาพ ทูตพมา่ ไปยนู นาน
• พ.ศ. 1661 : เลตะยะมินนนั ฟ้ื นฟอู าณาจกั รยะไขเ่ หนือ ซ่อมแซมพทุ ธคยา
• พ.ศ. 1687 : พระเจา้ อลองสิทธูสร้างวิหารธาตุพยนิ ยหู รือวิหารสพั พญั ญู
• พ.ศ. 1753 : สร้างเขอ่ื นกะโยคเซ

• พ.ศ. 1816 : พระเจา้ นราธิหะปติสง่ั ฆ่าคณะทตู จากพระเจา้ กุบไลขา่ น

• พ.ศ. 1820 : สงครามงาซางงาม

• พ.ศ. 1823 : สถาปนาอาณาจกั รตองอู

• พ.ศ. 1824 : พระเจา้ วเรรุ(พระเจา้ ฟ้ารั่ว) ฟ้ื นฟอู าณาจกั รมอญข้ึนใหม่ ต้งั ราชธานีที่เมืองเมาะตะมะ

• พ.ศ. 1830 : กองทพั ชาวมองโกลของพระเจา้ กุบไลขา่ นตีกรุงพกุ ามแตกในสมยั พระเจา้ นราธิหะปติ เป็นอนั
สิ้นสุดอาณาจกั ร พกุ ามซ่ึงเจริญรุ่งเรืองมาถงึ 438 ปี

• พ.ศ. 1912 : มอญยา้ ยเมืองหลวงม่ีเมืองหงสาวดี โดยมีเมืองทา่ คือ “ดากอง” หรือ “ตะเกิง”

• พ.ศ. 2029-2395 : อาณาจกั รราชวงศต์ องอเู จริญรุ่งเรือง

• พ.ศ. 2086 : พระเจา้ ตะเบงชเวต้ียกทพั มาตไี ทย ในสมยั พระเจา้ จกั รพรรดิ สมเดจ็ พระศรีสุริโยทยั ออกรบถกู พระ
เจา้ แปรฟันขาดคอชา้ งส้ินพระชนม์

• พ.ศ. 2094 : “บายนิ่ เนาน”์ หรือ พระเจา้ บุเรงนอง (ผชู้ นะสิบทิศ) ยึดครองหงสาวดีของมอญ ลม้ ราชวงศม์ อญ
แลว้ ครองราชยเ์ ป็นกษตั ริยแ์ ห่งหงสาวดี รวบรวมชาวพมา่ เป็นปึ กแผ่นเป็นสมยั ท่ี2

• พ.ศ. 2112 : พระเจา้ บุเรงนองตีกรุงศรีอยธุ ยาแตกคร้ังที่1

• พ.ศ. 2127 : สมเดจ็ พระนเรศวรแห่งกรุงศรีอยธุ ยา ประกาศอิสรภาพไม่ข้ึนกบั พมา่

• พ.ศ. 2143 : กองทพั ยะไขจ่ ากแควน้ อาระกนั ตีกรุงหงสาวดีแตกในสมยั ของพระเจา้ บุเรงนอง

• พ.ศ. 2295 : พระเจา้ อลองพญา ตน้ ราชวงศค์ องบอง รบชนะมอญรวบรวมพมา่ เป็นปึ กแผน่ สมยั ท่ี3และต้งั ราช
ธานีที่ชเวโบ

• พ.ศ. 2298 : พระเจา้ อลองพญามชี ยั ชนะเหนือมอญเบด็ เสร็จ เปล่ียนชื่อเมอื ง “ตะเกิง” หรือ “ดากอง” เมืองท่า
ของมอญ เป็น “ยา่ งกงุ้ ” หรือ “ยางกอน” ซ่ึงแปลว่า “สิ้นสุดสงคราม” หรือ “ส้ินสุดศตั รู”

• พ.ศ. 2303 : พระเจา้ ฉินบูชิน (มงั ระ) ข้ึนครองราชยห์ ลงั จากพระเจา้ อลองพญาสวรรคต ยา้ ยราชธานีไปอยทู่ ี่องั
วะ

• พ.ศ. 2310 : พระเจา้ มงั ระตีกรุงศรีอยธุ ยาแตกเป็นคร้ังที่2

• พ.ศ. 2367 : องั กฤษยดึ ครองอินเดียไดแ้ ลว้ กร็ ุกคบื สู่ลุ่มน้าอิระวดี เกิดสงครามระหว่างองั กฤษ-พมา่ คร้ังท่ี
1 จากน้นั องั กฤษกย็ ดึ ดินแดนของพม่าไดม้ ากข้ึนเรื่อยๆ ในสงครามองั กฤษ-พมา่ คร้ัง่ี2และคร้ังที่3

• พ.ศ. 2396-2428 : ราชวงศค์ องบองหรืออลองพญา พระเจา้ มินดงข้ึนครองราชยแ์ ลว้ ยา้ ยราชธานีจากอมรปรุ ะมา
ยงั มณั ฑะเลย์

• พ.ศ. 2428 : พมา่ เสียเมอื งใหแ้ ก่องั กฤษในสมยั พระเจา้ สีป่ อแห่งกรุงมณั ฑะเลย์ แลว้ ไดย้ า้ ยเมืองหลวงมายงั
กรุงยา่ งกงุ้

• พ.ศ. 2444 : นกั ศึกษามหาวทิ ยาลยั ยา่ งกงุ้ ก่อต้งั “ยวุ พทุ ธสมาคม” เป็นจุดกาเนิดของขบวนการกชู้ าติพม่า
(Yong Men Buddhist Association-YMBA)

• พ.ศ. 2460 : เกิดกรณี “หา้ มสวมเกือก” (No Footwear) ยวุ พทุ ธ-สมาคมประทว้ งชาวองั กฤษท่ีสวมรองเทา้ เขา้ วดั
เพราะชาวพมา่ ถือว่าเป็นการกระทาทลี่ บหลดู่ ูหม่ินพระศาสนามาก และพระสงฆช์ ่ือ “อวู ิสาร” ไดท้ าการอด
อาหารประทว้ งองั กฤษจนมรณภาพ

• พ.ศ. 2473 : เกิดกบฏ “ซายาซาน” หรือ “กบฏผมู้ บี ุญ” เป็น การลุกฮือของชาวไร่ชาวนาทว่ั ประเทศ โดยบารมี
อาจารยซ์ ายาซาน อดีตหมอยาแผนโบราณผูต้ ้งั ตนเป็นกษตั ริย์ สุดทา้ ยองั กฤษปราบได้ ซายาซานถกู แขวนคอ
และไดป้ ระกาศก่อนตายอยา่ งอาจหาญวา่ “เกิดชาตหิ นา้ ฉนั ใดขอใหข้ า้ พชิ ิตองั กฤษไดต้ ลอดไป”

• พ.ศ. 2478 : สมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุภาพเสดจ็ เยอื นพม่าทรงนิพนธห์ นงั สือทม่ี ีคณุ ค่ามากคอื “เที่ยวเมือง
พมา่ ”

• พ.ศ. 2484 : 30 สหาย หรือตรีทศมิตร (30 Comrades) ภายใตก้ ารนาของอองซานร่วมกบั กองทพั ญี่ป่ นุ
ปลดปลอ่ ยพมา่ จากองั กฤษ

• พ.ศ. 2485 : ญี่ป่ ุนปกครองพมา่ และรัฐฉาน อองซานไดเ้ ป็นนายพล ดารงตาแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม อายเุ พยี ง
28ปี เทา่ น้นั

• พ.ศ. 2486 : ญี่ป่ ุนใหเ้ อกราชแก่พมา่

• พ.ศ. 2488 : สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ญ่ีป่ นุ ท่ีฮิโรชิมา และนางาซากิยตุ ิสงครามโลกคร้ังที่2องั กฤษ
กลบั มายดึ ครองพม่าอีกคร้ัง อองซานต้งั สนั นิบาตเสรีชนตอ่ ตา้ นฟาสซิสต์ ตดั ความสมั พนั ธก์ บั ญ่ีป่ นุ

• พ.ศ. 2490 : องั กฤษลงนามคืนเอกราชใหพ้ ม่าในสนธิสญั ญา “แอตลี่อองซาน” โดยมีอองซานเป็น
นายกรัฐมนตรีคนแรกของ “สหภาพพม่า” ใน เดือนมกราคม ตอ่ มาเดือนกมุ ภาพนั ธอ์ องซานลงนามขอ้ ตกลงที่
เวียงปิ นหลง่ ยอมใหช้ นชาติส่วนนอ้ ยกล่มุ ตา่ งๆ ในพม่า แยกตวั เป็นอิศระไดภ้ ายหลงั รวมกบั พมา่ ครบ 10 ปี

• กรกฎาคม 2490 : อองซานถูกบกุ ยงิ ท่ีอาคารรัฐสภา เสียชีวิตพร้อมกบั รัฐมนตรีและทหารรกั ษาการณ์รวม8คน
จากฝี มือของอซู อ (อดีต30สหาย) และพรรคพวกทไ่ี ม่พอใจที่อองซานข้ึนตาแหน่งสูงสุดอยา่ งรวดเร็ว ตอ่ มาออง
ซานไดร้ ับการยกยอ่ งเป็น “บิดาแห่งเอกราชของพม่า”

• 4 มกราคม 2491 : พม่าไดร้ ับเอกราชจากองั กฤษอยา่ งเป็นทางการ หลงั ถกู ปกครองอยถู่ ึง63ปี โดยมอี นู ุ ( อดีต30
สหาย )เป็นนายกรัฐมนตรี

• พ.ศ. 2500 : อนู ุประกาศปฏิเสธที่จะใชช้ นกลมุ่ นอ้ ยแยกตวั เป็นอิสระตามขอ้ ตกลงที่เวียงปิ นหลง่ เกิดกบฏชน
กลมุ่ นอ้ ยเผา่ ตา่ งๆตามแนวชายแดน

• พ.ศ. 2505 : นายพลเนวนิ ก่อรัฐประหาร ประกาศปกครองพม่าแบบเผดจ็ การสงั คมนิยม ปิ ดประเทศเป็น “ฤาษี
แห่งเอเชีย” ไม่ติดตอ่ กบั โลกภายนอก

• พ.ศ. 2531 : นางอองซานซูจี บุตรสาวนายพลอองซาน ทางานในองคก์ ารสหประชาชาติที่นิวยอร์คและภฏู าน
เดินทางกลบั พม่าเพอื่ รักษาแมท่ ่ีกาลงั ป่ วยหนกั

• 8 สิงหาคม 2531 : เกิดกรณี “8.8.88” (วนั ที่ 8 เดือน8 ค.ศ.1988) เมื่อทหารพมา่ ปราบปรามฆ่าประชาชนท่ี
เรียกร้องประชาธิปไตยจนเกิดกลียคุ มีผูบ้ าดเจ็บ ตาย และถกู จบั กมุ เป็นจานวนมาก

• กนั ยายน 2531 : ทหารพม่าของนายพลเนวนิ ประกาศจดั ต้งั “สภาฟ้ื นฟูกฎระเบียบของชาติหรือสลอร์ค” (State
Law and Order Restoration Council-SLORC) โดยสญั ญาว่าจะจดั ใหม้ กี ารเลอื กต้งั ตามระบบประชาธิปไตย
ขณะท่ีนางอองซานซจู ีจดั ต้งั พรรคสนั นิบาตประชาธิปไตย

• พ.ศ. 2533 : มีการเลือกต้งั เป็นคร้งั แรกในรอบ 30ปี พรรคของนางอองซานซูจีไดร้ ับชยั ชนะทว่ มทน้ แตส่ ภา
สลอร์คไม่ยอมรับและไมย่ อมคนื อานาจใหป้ ระชาชน ซ้ายงั สง่ั กกั บริเวณนางอองซานซูจีในบา้ นของนางเอง
• กนั ยายน 2534 : นางอองซานซจู ีไดร้ ับรางวลั โนเบลสาขาสนั ติภาพ แตไ่ มไ่ ดร้ ับอนุญาตใหเ้ ดินทางไปรับรางวลั
• พ.ศ. 2535 : สลอร์ คประกาศเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจจากพทุ ธสงั คมนิยมมาเป็นก่ึงเสรีตามแนวทนุ นิยม เปิ ด
ประเทศตอ้ นรับนกั ลงทนุ นกั ทอ่ งเที่ยว และเปลี่ยนช่ือประเทศจาก “พม่า” (Burma) เป็น “เมียนมาร์” (Myanmar)
• พ.ศ. 2538 : สลอร์คใหอ้ ิสรภาพแก่นางอองซานซูจี หลงั จากกกั บริเวณมาเป็นเวลาถึง 6 ปี
• พ.ศ. 2539 : สลอร์คประกาศใหเ้ ป็นปี ทอ่ งเท่ยี วพมา่ ถึงปี 2540 และเขา้ เป็นสมาชิกสมาคมอาเซียนพร้อม
ประเทศลาว
• พ.ศ. 2540 : สลอร์คเปล่ียนช่ือเป็น “สภาแห่งสนั ติภาพและการพฒั นาประเทศ” (State of Peace And
Development Council = SPDC) มี พลเอกตานฉ่วยเป็นประธานสภาฯ ผบู้ ญั ชาการทหารสูงสุด และ
นายกรัฐมนตรีพลโทข่นิ ยนุ้ ต์ เป็นเลขาธิการสภาฯพลโทหมอ่ ง เอย์ คมุ กาลงั ทหารในส่วนภมู ิภาคท้งั หมด

ภูมิศาสตร์
- ลักษณะภูมิประเทศ
· ภาคเหนือ - เทือกเขาปัตไก เป็นพรมแดนระหวา่ งพม่าและอินเดีย
· ภาคตะวนั ตก - เทือกเขาอระกนั โนมาก้นั เป็นแนวยาว
· ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ - เป็นท่ีราบสูงชาน
· ภาคใต้ - มีทิวเขาตะนาวศรี ก้นั ระหว่างไทยกบั พมา่
· ภาคกลาง - เป็นที่ราบลมุ่ แมน่ ้าอิรวดี
- ลักษณะภูมอิ ากาศ

· มรสุมเมอื งร้อน
· ดา้ นหนา้ ภูเขาอาระกนั โยมา ฝนตกชุกมาก
· ภาคกลางตอนบนแหง้ แลง้ มาก เพราะมีภเู ขาก้นั กาลบั ลม
· ภาคกลางตอนลา่ งเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแมน่ ้าขนาดใหญ่ ปลกู ขา้ วเจา้ ปอ
· ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ อากาศคอ่ นขา้ งเยน็ และค่อนขา้ งแหง้ แลง้

ตราแผ่นดนิ ประเทศเมยี น

จตั เป็ น ประเทศเมยี นมาร์

เนปยดี อ เป็ น ประเทศเมยี นมาร์
ดอกไม้ประเทศเมยี นมาร์
ชุดประเทศเมยี นมาร์

หล่าเผด็ เป็ น อาหารประเทศเมียนมาร์
แผนทป่ี ระเทศเมยี ร์มา


Click to View FlipBook Version