คํานาํ
ส�านักงานสง่ เสริมและสนับสนุนวิชาการ 3 กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความม่นั คง
ของมนษุ ย์ มภี ารกจิ ในการสง่ เสริม สนับสนนุ และถา่ ยทอดองคค์ วามรดู้ า้ นการพฒั นาสงั คม
และจดั สวสั ดกิ าร รวมทงั้ การพฒั นาศกั ยภาพบคุ ลากรในสงั กดั กระทรวงการพฒั นาสงั คมและ
ความมน่ั คงของมนษุ ย์ ใหไ้ ดร้ บั ความรคู้ วามเชย่ี วชาญในการปฏบิ ตั งิ านดา้ นการพฒั นาสงั คม
หากกล่าวถึงความคิดเชิงบวกแล้ว ทุกคนคงวาดจินตนาการออกว่า คนที่มีความคิด
เชิงบวกน้ันเป็นอย่างไร เป็นคนที่อารมณ์ดี มีรอยยิ้ม แก้ปัญหาด้วยปัญญาแบบมีส่วนร่วม
และเป็นไปตามระบบมากกว่าการสร้างความเป็นเผด็จการ ความหมายของการคิดเชิงบวก
และสร้างสรรค์ เป็นการคดิ ท่ีสามารถวเิ คราะหห์ าส่วนดีของตน/คน ส่ิงของ และงาน แล้วมา
ประสมประสานกัน เพื่อให้เกิดงานตามภารกิจท่ีอยากให้เป็น ให้สามารถบรรลุเป้าประสงค์
ให้ได้ โดยอยู่บนพื้นฐานของ ความศรทั ธา ให้เกยี รติ และการมสี ่วนร่วม
เอกสาร “ทกั ษะการคดิ เชงิ บวกและสรา้ งสรรคเ์ พอื่ การทา� งานดา้ นสงั คม” เลม่ นจ้ี ดั ทา� ขนึ้
โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื เปน็ แนวทางในการวเิ คราะห์ ความคดิ เชงิ บวก ความคดิ สรา้ งสรรคโ์ ดย
มงุ่ เนน้ ความสนใจไปทวี่ ธิ กี ารกระทา� (manner) และการทา� งาน (working) ซงึ่ เปน็ การปฏบิ ตั กิ าร
ทางสติปัญญา เพ่ือให้ผู้ท่ีศึกษามีความคิดสร้างสรรค์ สามารถเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ได้
โดยเฉพาะการทา� งานดา้ นสงั คม หากบคุ ลากรมคี วามคดิ ทเ่ี ปน็ บวก กจ็ ะสง่ ผลใหม้ ที ศั นคตทิ ดี่ ี
สามารถจะเปน็ พลงั ทจ่ี ะขบั เคลอื่ นการทา� งานดา้ นสงั คม ชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบปญั หาทางสงั คมได้
ส�านักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 3 หวังเป็นอย่างย่ิงว่าเอกสารเล่มนี้ จะเป็น
แนวทางในการปฏิบัติงาน ให้บุคลากรสามารถท่ีจะร้อยจิตส�านึกให้มีความคิดเชิงบวกและ
มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกันคือท�าให้ทุกคนมีความรู้สึกที่ดีต่อสังคมที่ท�างานอยู่ ซ่ึงมี
องค์ประกอบท้ังผู้ที่ท�างาน เพ่ือนร่วมงาน ตนเอง และองค์กร ท�าให้เกิดการประสานพลัง
ของการท�างานเชงิ บวก ภายใต้เปา้ หมายหนง่ึ เดยี วคอื ความสา� เร็จขององค์กร
ส�านักงานส่งเสริมและสนับสนุนวชิ าการ 3
มนี าคม 2564
ทกั ษะการคดิ เชิงบวกและสรางสรรคเ พื่อการทํางานดา นสังคม 1
“ทกั ษะการคดิ เชิงบวกและสรา งสรรคเพ่อื การทํางานดา นสงั คม”
พระครปู ลัดสัมพพิ ัฒนธีราจารย ผูชวยเจา อาวาสวดั ยานนาวา พระอารามหลวง
ดร.มงคล สามารถ และ อาจารยคณศิ ร บุญยง
-----------------------------------------------------------------------
ชีวิตการท�างาน ก็เหมือนการเดินทางไกลของคนเรา บางคนใช้เวลาอยู่กับการท�างาน
ครึ่งค่อนชีวิตบนหนทางเส้นนี้ ซ่ึงก็แน่นอนว่ามักจะต้องพบเจอเรื่องราวมากมายทั้งความ
สา� เร็จ, อุปสรรค, ขอ้ จา� กัด, หรอื แม้แต่ปัญหาทต่ี อ้ งเผชิญและแกไ้ ขอยู่เสมอ
จากสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 หลายคน ตอ้ งปรบั ตวั และตดิ ตามขา่ วสาร
อย่างใกล้ชดิ จนอาจกลายเปน็ คนทีม่ องโลกในแง่ลบ และทา� ใหก้ า� ลังใจหรือพลงั งานด้านบวก
ของตัวเองลดลงอย่างต่อเน่ืองหากเรามองชีวิตเฉพาะในส่วนที่ล้มเหลว พลาดหวัง ชีวิต
กค็ งไรซ้ ง่ึ ความสขุ แตใ่ นทางกลบั กนั ถา้ หากคนเรามองชวี ติ ในดา้ นบวก และมองเหน็ ความสขุ
เล็ก ๆ นอ้ ย ๆ ในชีวิตแตล่ ะวนั แลว้ เลือกท่จี ะมองขา้ มส่วนทผ่ี ดิ พลาดลม้ เหลว หรอื อุปสรรค
ไป ชีวติ ของคุณจะมีคณุ ค่า และมีความสุขมากขน้ึ อย่างไมน่ า่ เชื่อ
มาเรียนรู้วิธีคิดและการสร้างพลังบวกให้ตัวเอง เพ่ือน�าไปใช้กับการท�างานอย่างมี
ความสขุ บนวถิ ปี กติใหมก่ ันดีกว่า…
จากหนังสือเดอะ ซีเคร็ท ซึ่งเขียนโดย รอนด้าเบรน บอกถึงวิธีการใช้พลังบวกในอีก
รปู แบบหนงึ่ คอื เรอื่ งของ “แรงดงึ ดดู ” เขาเปรยี บความคดิ เราเปน็ เสมอื น แมเ่ หลก็ และมคี ลน่ื
ความถี่ หากเราคิดอะไรสักอย่างหนึ่ง คล่ืนความคิดจะถูกส่งกระจายออกไปและดึงดูดคล่ืน
ความถ่ใี นระดับเดยี วกนั กลบั มายงั ตน้ กา� เนดิ น่ันคอื ตัวเรา
พูดง่าย ๆ คือ หากเราคิดแต่สิ่งท่ีไม่ดี สิ่งไม่ดีทั้งหลายก็จะถูกดึงดูดเข้ามาหาตัวเรา
แตใ่ นทางกลับกนั ถ้าเราคิดแต่ส่ิงทีด่ ี ๆ ส่งิ ดี ๆ ก็จะถกู ดึงดดู เข้ามาหาตวั เรา เชน่ กัน
ดังนั้น หากคณุ ตองการเปลีย่ นแปลงอะไรตาง ๆ ในชวี ติ ใหด ขี นึ้
เราตอ งเริม่ เปล่ยี นท่คี วามคิดของคณุ ซะกอน
แลว ชวี ิตของคณุ จะเปลี่ยนไปแนนอน
2 สํานกั งานสง เสรมิ และสนบั สนนุ วิชาการ 3
7 สญั ญาณอันตรายบง บอกวา คุณเปน คนคิดลบ (เร้ือรัง)
1. “คณุ ไมเ่ คยให้เครดติ ตัวเอง”
เวลาทค่ี ณุ ประสบความสา� เรจ็ คณุ จะมองวา่ เปน็ เพราะฟลคุ้ คณุ จะยกความดคี วามชอบ
ให้ใครคนอ่ืน หรือส่ิงอ่ืน แต่ยกเว้นยกให้กับ ความพยายามและความสามารถของตัวเอง
นน่ั เปน็ สาเหตุหน่งึ ว่าทา� ไมคุณถึงรสู้ ึกวา่ ตัวเองไม่คอ่ ยมีคา่ เทา่ ไหร่
2. “คุณยอมแพต้ ้ังแต่เกมเพิ่งเร่มิ ”
คุณมีความอดทนต่า� เวลาเจอปัญหา เพราะคณุ ประเมนิ แล้ววา่ มนั จะเลวร้าย ท�าให้คุณ
มักจะยอมแพ้ตั้งแต่ไก่โห่ ในขณะที่มีงานวิจัยบอกว่า คนมองโลกในแง่ดี มีแนวโน้มจะทน
ตอ่ อุปสรรคไดด้ กี วา่ คนพวกนีจ้ งึ มีโอกาสประสบความสา� เรจ็ สูงกว่าพวกมองโลกในแงร่ า้ ย
3. “คุณไมล่ ืมหรอื ใหอ้ ภัยใครไดง้ า่ ย ๆ”
คนมองโลกในแงร่ า้ ยจะไมเ่ ขา้ ใจวา่ จะยอมยกโทษ หรอื ใหอ้ ภยั ไดย้ งั ไง หรอื ใชเ้ วลานาน
กวา่ คนปกติ กวา่ จะยอมลมื หรอื ใหอ้ ภยั ใครบางคน หากคณุ นกึ ภาพไมอ่ อกดว้ ยซา�้ วา่ การปลอ่ ยวาง
เป็นยังไง นนั่ เป็นสัญญาณทช่ี ัดเจน
4. “คณุ มกั คดิ ว่าชีวิตข้างหน้าจะเจอแตเ่ ร่ืองร้าย”
คนมองโลกในแง่รา้ ยมักประเมินว่า จะมแี ต่เร่ืองไมด่ ี .. และทีแ่ ย่ไปกว่านน้ั คือ คุณจะ
ไม่ค่อยมีความหวัง ต่างจากคนมองโลกในแง่บวก พวกเขาประสบความส�าเร็จได้มากกว่า
เพราะมีความหวงั จากความพยายาม แมก้ ระทั่งในสถานการณ์ทเ่ี ลวร้าย
5. “คณุ มกั เหน็ แกต่ ัว”
คนมองโลกในแงร่ า้ ยมกั หมกมนุ่ แตเ่ รอื่ งของตวั เอง กลวั วา่ คนจะมาเอาเปรยี บ กลวั คนอน่ื
จะได้ดีกว่าจงึ อดไม่ไดท้ ่ีจะแสดงความเห็นแก่ตวั เพอ่ื ปกป้องตัวเอง สบื เนื่องมาจากพวกเขา
มกั ไม่ไว้ใจและกลวั วา่ คนอืน่ จะเขา้ มา แสวงหาผลประโยชนจ์ ากพวกเขานัน่ เอง
ทกั ษะการคดิ เชิงบวกและสรางสรรคเพอ่ื การทาํ งานดานสังคม 3
6. “คณุ หวาดระแวงคนอ่ืน”
คนมองโลกในแงร่ า้ ยไมไ่ วใ้ จใคร เพราะพวกเขาจะคดิ ไปเองวา่ โลกทงั้ ใบนจ้ี ะมาเอาเปรยี บ
และรุมท�าร้ายเขา เวลาที่ใครมาท�าดี พวกเขาจึงเต็มไปด้วยความหวาดระแวงสงสัย
วา่ คนท่เี ขา้ มาหาจะมาไม้ไหนกันแน่
7. “คุณอจิ ฉาเวลาทีเ่ หน็ คนอ่นื ได้ดี”
อย่างท่ีบอกว่าพวกมองโลกในแง่ร้าย มักคิดเสมอว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ และไม่ได้ดี
เหมอื นคนอนื่ ดงั นนั้ เมอ่ื พวกเขาเหน็ ใครไดด้ ี จงึ มกั จะตคี วามสา� เรจ็ ของคนอนื่ วา่ ไมไ่ ดม้ าจาก
ความสามารถที่แทจ้ รงิ หรอก (แล้วก็กลบั มาน้อยใจในโชคชะตาของตวั เองต่อ)
“ปญหาในชวี ิตมนั มอี ยแู ลว
ย่งิ คุณโฟกัสท่ีปญ หาคณุ กจ็ ะย่ิงแย
แคเ ปลยี่ นมามองหาโอกาสท่ซี อ นอยใู นทุกปญ หาใหเ จอ
แคน้ีชวี ิตคณุ กไ็ ดก าํ ไร กวา ใครหลายคนแลว”
4 สาํ นกั งานสงเสริมและสนับสนนุ วิชาการ 3
ความคดิ เชงิ บวก (positive thinking)
หมายถึง ความคิดท่ีเกิดจากการมองส่ิงต่าง ๆ อย่างเข้าใจ ยอมรับในสิ่งท่ีเกิดข้ึน
กบั ตวั เราทงั้ ในทกุ เรอ่ื ง และหากเปน็ เรอื่ งไมด่ กี ร็ จู้ กั คดิ และพยายามหามมุ มองทเ่ี ปน็ ประโยชน์
ทางดา้ นบวกจากสง่ิ นน้ั ๆ ใหเ้ กดิ ประโยชนก์ บั ตนเองและผอู้ น่ื การคดิ เชงิ บวกเปน็ การหามมุ มอง
ทเี่ ปน็ บวก มมุ มองทท่ี า� ใหเ้ รานนั้ มแี งค่ ดิ ทด่ี ี มมุ มองทท่ี า� ใหเ้ รามกี า� ลงั ใจ มมุ มองทท่ี า� ใหเ้ รารสู้ กึ
มคี วามทกุ ขน์ อ้ ยลง มมุ มองทท่ี า� ใหเ้ รามคี วามสขุ มากขนึ้ มแี รงจงู ใจทจ่ี ะตอ่ สกู้ บั ชวี ติ กลา้ ทจ่ี ะ
เผชิญชีวิต หรืออยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เพราะฉะน้ันถ้าสามารถคิดในเชิงบวก
ไดต้ ลอดเวลา แปลว่าเราสามารถมชี วี ิตอยู่ในสังคมไดอ้ ย่างมคี ณุ ภาพและความสขุ
ประโยชน์ของการคดิ เชงิ บวก
การคิดเชิงบวกเป็นการหามุมมองที่เป็นบวก มุมมองท่ีท�าให้เรานั้นมีแง่คิดท่ีดี ซ่ึงให้
ประโยชนด์ งั นี้
1. ทา� ใหเ้ รามกี �าลงั ใจมากขึน้
2. ทา� ใหเ้ รารสู้ กึ มคี วามทกุ ขน์ ้อยลงมคี วามสขุ มากขึ้น
3. ท�าให้เรามสี ุขภาพกายและสขุ ภาพใจทดี่ ียิ่งขึน้
4. ทา� ใหเ้ รามีแรงจงู ใจท่ีจะตอ่ สู้กับชวี ิต หรือพรอ้ มทจี่ ะเผชิญชวี ติ
5. ทา� ใหเ้ ราอยู่ในสงั คมได้อย่างมีความสขุ และพร้อมท่ีจะเสยี สละเพอื่ สงั คมมากข้นึ
การฝกสร้างความคิดเชิงบวก
ก่อนที่จะเรียนรู้ถึงวิธีคิดเชิงบวก ลองถามตัวเองดูก่อนว่าอยากเป็นคนท่ีมีความสุข
มากกว่านี้ไหม หรือก�าลังมีความทุกข์เพราะความคิดของตัวเองตลอดเวลาหรือเปล่า
หากคา� ตอบคอื “ใช”่ นนั่ คอื หวั ใจสา� คญั ของการฝกึ ฝน เพราะ “ความตง้ั ใจ” เทา่ นนั้ ทจี่ ะทา� ให้
การฝกึ ความคดิ เชิงบวกเป็นผลส�าเรจ็ ได้
ทักษะการคิดเชงิ บวกและสรางสรรคเ พ่อื การทํางานดานสังคม 5
บนั ไดขน้ั ท่ี 1 : มองตัวเองในแง่ดี
การท่ีคนเราจะมองโลกหรือมองคนอ่ืนในแง่ดีได้ ต้องมาจากพ้ืนฐานท่ีมองและเชื่อว่า
ตวั เองดีเสียกอ่ น ขนั้ ตอนเพอ่ื การมองตัวเองวา่ ดี มดี ังต่อไปนี้
- หาข้อดีของตนเอง ลองส�ำรวจพิจารณาข้อดีของตนเอง (ไม่ใช่การเข้าข้างตัวเอง)
อาจเป็นความดีเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ เช่น พาคนแก่ข้ามถนน ชว่ ยลกู นกท่ีตกต้นไม้ ฯลฯ เพือ่ ให้เกดิ
ความรักและความภาคภมู ใิ จในตัวเอง
- ถ่อมตวั การมองเห็นความดขี องตนเองน้นั มีไว้เพ่ือบอกตวั เราเองให้เกดิ ความพอใจ
ในตัวเอง รักตัวเอง แตไ่ ม่ใชเ่ พอ่ื ขม่ หรือคุยทับคนอื่น การถ่อมตวั จงึ เปน็ อกี คุณสมบัติหน่ึงที่
พงึ จะมคี วบคกู่ ัน
- นอกจากจะรจู้ ุดแข็ง (ขอ้ ด)ี แล้ว ยงั ต้องสำ� รวจจดุ ออ่ นของตนเองอกี ดว้ ย เมอื่ เรา
ยอมรบั ไดว้ า่ น่นั คือข้อบกพรอ่ งของเราจริง ๆ ก็จะนำ� ไปสกู่ ารเปล่ยี นแปลงได้ในที่สุด
- เพิ่มความดี แม้จะรู้ว่าตนมีข้อดีในด้านใดบ้าง ก็ไม่ควรหยุดตัวเองไว้เพียงเท่าน้ัน
แต่ควรเพิ่มคุณสมบัติอื่น ๆ ท่ีดีให้มากย่ิงขึ้น อาจเริ่มต้นโดยการต้ังเป้าหมายเป็นข้อ ๆ
วา่ อยากจะทำ� อะไรดี ๆ เพิ่มขึน้ อีกบ้าง แลว้ ค่อย ๆ ฝกึ ฝนไปทลี ะขอ้
บันไดขั้นที่ 2 : มองคนอนื่ ในแงด่ ี
เมื่อผ่านบันไดข้ันแรกมาแล้ว จะท�ำให้เราเริ่มตระหนักว่าคนทุกคนล้วนแต่ไม่สมบูรณ์
ย่อมมีขอ้ บกพรอ่ งมากนอ้ ยแตกต่างกันออกไป (แมแ้ ต่ตัวเราก็ยังมขี อ้ เสยี ) ดงั นั้น การมชี วี ิต
ท่ีมีความสุขจึงหมายถึงการอยู่ร่วมกันโดยเลือกมองและใช้ประโยชน์จากความดีท่ีผู้อื่นมีอยู่
โดยไมใ่ ช่การเสแสร้ง แต่เห็นความดีของเขาจรงิ ๆ
บันไดขั้นที่ 3 : มองวกิ ฤตใิ หเ้ ปน็ โอกาส
เมอ่ื เกดิ ปญั หาหรอื อปุ สรรคตา่ ง ๆ ขน้ึ ลองมองความทกุ ขห์ รอื ปญั หานน้ั เปน็ เรอ่ื งธรรมดา
เพราะส่งิ ที่เกดิ ขน้ึ ไปแลว้ ยอ่ มกลบั ไปแก้ไขไมไ่ ด้ แตเ่ ราสามารถน�ำมาพจิ ารณาได้ว่าในวิกฤติ
ท่ีเราพบน้ันมีข้อดีอะไรแฝงอยู่หรือจะใช้ประโยชน์จากปัญหานั้นได้อย่างไรบ้าง เช่น ผู้ป่วย
ที่เป็นมะเร็งรู้สึกว่า รักตัวเองมากข้ึน เลิกท�ำอะไรไร้สาระ แล้วหันมาให้ความส�ำคัญ
กบั การพัฒนาจิตใจมากขึน้ โดยการฝกึ สมาธิ ช่วยงานการกุศล เปน็ ต้น
6 ส�ำนักงานส่งเสริมและสนบั สนุนวิชาการ 3
บนั ไดข้นั ท่ี 4 : หม่นั บอกกบั ตวั เองในเร่อื งท่ดี ี
ข้ึนชือ่ วา่ เป็นความคิดกม็ กั จะอยู่กับเราไม่นาน แต่ความคิดกม็ ักเปน็ ต้นทางและบอ่ เกดิ
ของการกระทำ� ดงั นน้ั เราจงึ จำ� เปน็ ตอ้ งทำ� ใหค้ วามคดิ ดี ๆ อยกู่ บั เราตลอดเวลา เชน่ บอกตวั เอง
ว่าเป็นคนเก่งทุกคร้ังที่ท�ำอะไรส�ำเร็จ แม้จะเป็นเพียงความส�ำเร็จเล็กน้อย บอกตัวเองว่า
เพอ่ื นรว่ มงานกเ็ ปน็ คนดคี นหนงึ่ แมเ้ ขาจะมขี อ้ บกพรอ่ งอกี หลายอยา่ ง บอกตวั เองวา่ เราโชคดี
ที่ไดท้ �ำงานยาก ๆ แมค้ ่าตอบแทนจะนอ้ ยแตก่ ็ท�ำให้เราไดป้ ระสบการณท์ ่หี าไมไ่ ด้ง่าย ๆ ฯลฯ
บันไดขนั้ ท่ี 5 : ใชป้ ระโยชนจ์ ากค�ำวา่ “ขอบคณุ ”
เคยมคี ำ� สอนจากอาจารย์ รศ.ดร.ทศั นา เเสวงศกั ดิ์ ไดก้ ลา่ ววา่ เมอ่ื ตอ้ งพบเจอเรอื่ งรา้ ย
จงยิม้ แลว้ กลา่ วคำ� วา่ “ขอบคณุ ” เพราะนน่ั คือบททดสอบทดี่ ีของการมชี วี ติ ทเ่ี ข้มแขง็ หากมี
คนดา่ วา่ คณุ แทนทจี่ ะโตต้ อบใหก้ ลา่ วคำ� วา่ ขอบคณุ มนั จะชว่ ยลดทา่ ทคี วามรนุ แรงลงไดเ้ กอื บ
ทงั้ หมด ทงั้ ยงั ทำ� ใหบ้ คุ คลนน้ั แปลกใจและอาจกลบั ไปพจิ ารณาพฤตกิ รรมของตวั เองได้ โดยท่ี
คณุ ไมต่ อ้ งพดู อะไรเพม่ิ เตมิ อกี หากเราตงั้ สตแิ ละพนิ จิ พเิ คราะหอ์ ปุ สรรคตา่ ง ๆ อยา่ งมากพอ
เราจะรู้สึกขอบคุณต่อข้อขัดข้องเหล่านั้น อย่างน้อยมันก็ท�ำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งมาก
ย่ิงข้ึน เข้าใจถึงความผิดพลาดว่าสิ่งใดไม่ควรท�ำและช่วยให้รู้จักมีความรอบคอบมากยิ่งข้ึน
เพ่ือไมใ่ หเ้ กดิ ความผิดพลาดน้ันซำ้� อีก
ทักษะการคดิ เชงิ บวกและสร้างสรรค์เพื่อการทำ� งานด้านสงั คม 7
Fixed Mindset & Growth Mindset
เม่ือความเชอ่ื ทศั นคติของเราเรมิ่ ตกตะกอนเปน็ mindset มันจะถูกจัดอยใู่ น 2 รูปแบบนี้
คอื Fixed Mindset กบั Growth Mindset
Fixed Mindset
คือ การที่เราคิดว่าตัวเองดีพอแล้ว หรือไม่สามารถดีกว่าน้ี เป็นความคิดท�าให้เรา
ไม่กล้าจะที่ออกจาก comfort zone ของตวั เอง แบบเดมิ มนั ดีแล้ว ทา� แบบใหม่ก็กลัวจะแย่
พยายามไปก็ไมด่ กี วา่ นี้
เปนกระบวนการคดิ ทเ่ี รายึดติดวา เราไมสามารถพัฒนาตัวเองได
ทําใหเรา ‘กลวั ’ ท่จี ะกาวขา มขีดจาํ กัดของตวั เอง
Growth Mindset
คือ การที่เรามองว่าอุปสรรคไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นโอกาสท่ีท�าให้เราได้ ‘ลอง’ สิ่งใหม่
จะสา� เร็จหรือไม่กต็ าม แตถ่ ้าไมล่ องดู ใครจะไปรู้ เราอาจจะท�าได้ดกี วา่ ที่คิดซะอีก
เปน กระบวนการคดิ ที่ทําใหเ ราพยายามเอาตวั เองออกจากกรอบเดมิ ๆ
เพอ่ื คน หาสงิ่ ทด่ี กี วาและจะดีย่งิ ข้นึ ไปเรื่อย ๆ เทาที่เราคิดวา เราทํามนั ได
มุมมอง/แนวคดิ ทีแ่ ตกต่างของ 2 Mindset นี้
ดา้ นความท้าทาย
Fixed Mindset : จะชอบหลกี เลยี่ งความทา้ ทาย
Growth Mindset : มองความท้าทาย เปน็ เรอ่ื งท่ีน่าลอง น่าตื่นเต้น
8 สาํ นักงานสงเสริมและสนบั สนนุ วิชาการ 3
เมอ่ื เจออปุ สรรค
Fixed Mindset : จะยอมแพ้งา่ ย ๆ
Growth Mindset : มองว่ามนั ตอ้ งผ่านไปได้ จะลุยตอ่
ด้านความพยายาม
Fixed Mindset : ไม่เหน็ ต้องพยายามเลย เพราะถา้ พยายาม แสดงว่ายงั ไมด่ ีพอ
Growth Mindset : มองความพยายาม เป็นสิ่งที่สำ� คัญ เป็นส่วนหนึ่งของความส�ำเร็จ
ดา้ นการวจิ ารณ์
Fixed Mindset : ไม่ยอมรับการวจิ ารณเ์ ชงิ ลบ หรือฝา่ ยตรงข้าม
Growth Mindset : เปิดรบั และเรียนรจู้ ากการวจิ ารณ์
ด้านความส�ำเร็จของผูอ้ นื่
Fixed Mindset : ถากถางความสำ� เร็จของผ้อู ่ืน
Growth Mindset : เรียนรู้และหาแรงบันดาลใจ จากความส�ำเรจ็ ของผอู้ นื่
ดงั นน้ั ในการทำ� งาน เราควรจะปรบั เปน็ แนวคดิ แบบ Growth Mindset คอื หมนั่ ศกึ ษา
พฒั นา เรยี นรู้ ตอ่ ยอดในสง่ิ ทเ่ี ราจำ� เปน็ ตอ้ งรู้ ในการทำ� งานใหก้ บั ตวั เองตลอดเวลา เพราะเมอ่ื
ความคดิ เปลย่ี น มมุ มองเปลย่ี น กจ็ ะสง่ ผลใหพ้ ฤตกิ รรมหรอื การกระทำ� ของเราเปลยี่ นไปตาม
ทักษะการคดิ เชิงบวกและสร้างสรรคเ์ พือ่ การทำ� งานดา้ นสังคม 9
การทํางานแบบ “มรรคงา ย”
เมอ่ื ไดย้ นิ คา� วา่ “มรรคงา่ ย” หลายคนคงนกึ ถงึ พฤตกิ รรมของคนทา� งานที่ “มกั งา่ ย” คอื
จะอะไรก็เอาสะดวกเข้าว่า เช่น ทา� งานใหเ้ สรจ็ ๆ ไป แล้วค่อยมาแกไ้ ขกนั ใหม่ คา� วา่ “มัก”
ภาษาอสี านแปลวา่ “ชอบ” มกั ง่าย แปลแบบชาวบา้ นคือ ชอบทา� อะไรงา่ ย ๆ ไม่จรงิ จัง ท�า
แบบสกุ เอาเผากนิ ไรร้ ะเบยี บ ขาดความรบั ผดิ ชอบ หยบิ อะไรมาใชแ้ ลว้ กไ็ มเ่ กบ็ เขา้ ทเ่ี ขา้ ทาง
รวม ๆ แลว้ คอื นสิ ัยเสยี
แต่ “มรรคงา่ ย” ภาษาพระทา่ นหมายถงึ “หนทางการท�างานท่ีงา่ ยและงาม” หลายคร้ัง
ที่ไปบรรยายธรรมในหน่วยงานราชการหรือบริษัทเอกชน จะเร่ิมต้นการบรรยายธรรม
ดว้ ยคา� ถามวา่ “งานเสร็จ” กบั “งานส�าเรจ็ ” ตา่ งกนั อยา่ งไร ? กม็ หี ลายมมุ มองของคา� ตอบ
เชน่ งานตอ้ งเสรจ็ ใหท้ นั เวลา และสมบรู ณเ์ รยี บรอ้ ยจงึ เรยี กวา่ งานเสรจ็ แลว้ สา� เรจ็ แตค่ า� ตอบ
ทช่ี ดั เจนคือพระบรมราโชวาทในรชั กาลท่ี 9 ความตอนหนงึ่ ว่า “เมือ่ จะทา� งาน อยา่ หยิบยก
เอาความขาดแคลนมาเปน็ ขอ้ อา้ ง จงทา� งานทา่ มกลางความขาดแคลนใหบ้ รรลผุ ล ดว้ ยความ
ต้ังใจ และความซือ่ สัตย์”
หลายท่านก็ท้อแท้เพราะท�างานแล้วแต่ไม่ได้ดี ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงรับสั่งกับ
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ขณะก�าลังท�างานอยู่ในสภาพที่จิตใจย่�าแย่มาก ไม่มีก�าลังใจท�าอะไร
ท้อแท้กบั งานมาก ไม่มใี ครเข้าใจ เหมอื นทา� ดแี ตไ่ มด่ ีในหลวงทา่ นเสด็จมาพอดี พระองค์ทรง
ตัง้ ค�าถามและรบั สง่ั วา่ ทา่ นสเุ มธเคยขายเศษเหล็กไหม เศษเหล็กเหลา่ น้นั เวลาขายคุณคา่
มนั ตา�่ มาก คงไดเ้ งนิ ไมก่ บ่ี าท แลว้ ถา้ เราเอาเศษเหลก็ เหลา่ นนั้ มาหลอมรวมกนั เปน็ แทง่ เวลา
หลอมนี่เหล็กมันคงร้อนมาก พอหลอมเสร็จเราน�ามาท�าเป็นดาบ คงต้องน�ามาตีให้แบนอีก
เวลาตตี อ้ งเอาไปเผาดว้ ย ตไี ปเผาไป อยหู่ ลายรอบกวา่ จะเปน็ รปู ดาบอยา่ งทเี่ ราตอ้ งการ ตอ้ ง
ผา่ นความเจบ็ ปวด ความร้อนอยนู่ าน แถมเมอ่ื เสรจ็ แลว้ ถา้ จะใหส้ วยงามดงั ใจ กต็ ้องนา� ไป
แกะสลักลวดลาย กต็ อ้ งใชข้ องมีคมมาตีใหเ้ ปน็ ลวดลายอีก แตเ่ มอ่ื เสรจ็ เปน็ ดาบท่ีงดงาม ก็
จะมคี ณุ คา่ ทสี่ งู มาก เทยี บกบั เศษเหลก็ คงจะตา่ งกนั ลบิ ลบั จะเหน็ ไดว้ า่ กวา่ ทเ่ี ศษเหลก็ มคี ณุ คา่
ไมม่ ากนกั จะกลายเปน็ ดาบท่งี ดงามนั้น ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ทัง้ ความเจบ็ ปวดตา่ ง ๆ
10 สาํ นกั งานสงเสรมิ และสนับสนุนวิชาการ 3
กว่าจะประสบความส�ำเร็จ ดังนนั้ ขอใหจ้ ำ� ไว้อย่างหน่งึ ว่า “ใครไมเ่ คยถูกตี ถูกทุบ เจอเรื่อง
เลวร้ายในชีวิตมาเลยนั้น จงอย่าได้หาญคิดท�ำการใหญ่” พระราชด�ำรัสของพระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อย่หู วั เสมือนพรของชีวิตเป็นค�ำตอบของการทำ� งานแบบมรรคงา่ ย
ยุคไทยแลนด์ 4.0 มีมรรคงา่ ย ๆ กับทำ� งาน 5 หนทางคอื 1. จังหวะ 2. กาลเทศะ
3. จักขมุ า 4. เสนา และ 5. ปัญญา เพราะการทำ� งานทุกองค์กรมีคนท�ำงานอยู่ 4 ก. คอื
คนเก่ง คนแกรง่ คนเกา๋ คนมีกนึ๋ เราจึงต้องประยกุ ตม์ รรคงา่ ย ๆ เพ่อื ความง่ายงามในการ
ท�ำงาน และการท�ำงานวันน้ีต้องมีความเก่งบวกกับความเฮง เพราะเก่งอย่างเดียวอาจไป
ไมร่ อด เพราะความอนั ตรายของคนเกง่ ทบ่ี รหิ ารความเกง่ ไมไ่ ด้ กพ็ า่ ยแพค้ นแกรง่ และคนเกา๋
ส่วนคนทจ่ี ะอยู่รอดและมคี วามสุข คือ คนมกี ึน๋
มรรคท่ี 1 : จงั หวะ คนบางคนเสมอื นเมลด็ พนั ธท์ุ ดี่ ี แตไ่ ปตกอยบู่ นดนิ หว่ ย คนบางคน
เสมือนเมล็ดพันธุ์ที่ห่วย แต่ไปตกอยู่บนดินดี หลายคนขยันท�ำงานแต่ไม่ตรงตามเป้าหมาย
ขององคก์ ร งานจะไมส่ มั ฤทธ์ิ เพราะขยนั ผดิ เรอ่ื ง ขยนั เทา่ ไรกไ็ มส่ ำ� เรจ็ ในสมยั ร.5 มพี ระคณุ เจา้
รูปหน่ึงท่านมีนิสัยปกติชอบเร่ืองเหตุบ้านการเมือง คืนวันหนึ่งไฟไหม้ก�ำแพงวัง ชาวบ้าน
ต่างช่วยกันว่ิงตักน�้ำมาดับไฟ พระคุณเจ้ารูปน้ีท่านก็ไม่พลาดอยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้นด้วย
จนได้ยินเสียงมหาดเล็กตะโกนว่า “พระเจ้าแผ่นดินเสด็จฯ” ชาวบ้านต่างก้มกราบพระราชา
แต่พระคุณเจ้ารูปนั้นยืนเด่นอยู่รูปเดียว พระองค์ท่านจึงตรัสถามว่า “พระคุณเจ้ามาท�ำไม
ในยามวิกาลเช่นนี้” ท่านจึงถวายพระพรว่า “อาตมาเป็นห่วงมหาบพิตรจึงรีบมาช่วยดับไฟ
เป็นท่ีชื่นพระหฤทัยของพระองค์ย่ิง เช้าวันรุ่งข้ึนพระองค์ทรงต้ังพระคุณเจ้ารูปนั้น เป็น
พระราชาคณะ (เจา้ คุณ) ทนั ที ดว้ ยค�ำเดียวคอื เป็นหว่ งมหาบพิตร ท่านจงั หวะดีจรงิ ๆ
มรรคท่ี 2 : กาลเทศะ คำ� นส้ี ำ� คญั มาก เพราะการทำ� งานในบรบิ ทตา่ ง ๆ มคี นทำ� งาน
หลายระดบั ทงั้ สงู กวา่ เรา ทง้ั เสมอกนั กบั เรา และตำ�่ กวา่ เรา การวางตวั นน้ั สำ� คญั กวา่ การถอื ตวั
แตก่ ารวางตวั มากไปจะกลายเปน็ การถอื ตวั ดว้ ยเวลากบั สถานทน่ี น้ั สำ� คญั มาก เรอ่ื งบางเรอื่ ง
ท�ำในท่ี ๆ หนง่ึ ไมถ่ กู ตำ� หนิ แต่เรอื่ งเดียวกันไปทำ� อกี ที่หนึง่ กลบั ถกู ตอ่ ว่า บางครงั้ การถอยรถ
ให้หัวหนา้ จอดคร้งั เดียว ประทับใจไปตลอดการทำ� งาน มเี รือ่ งเลา่ กันวา่ มนี ายทหารทา่ นหน่งึ
ทักษะการคิดเชงิ บวกและสร้างสรรคเ์ พอ่ื การทำ� งานดา้ นสังคม 11
น้อยใจในวถิ กี ารท�ำงาน ขยนั แคไ่ หน ท�ำงานเทา่ ไร กไ็ มไ่ ดร้ บั การเลอ่ื นต�ำแหน่ง แต่เพอ่ื นรนุ่
เดียวกนั กลบั เจริญเอา ๆ วนั หนง่ึ มกี ารประชมุ นายทหาร นายพลท่านน้กี ำ� ลงั เลี้ยวรถจอดมรี ถ
คนั หนง่ึ บบี แตรมาแตไ่ กลวา่ ขอเราเขา้ จอดกอ่ นนะ รถคนั นน้ั คอื รถของเจา้ นายเกา่ นายทหาร
ทา่ นนน้ั จึงถอยรถใหจ้ อดแค่น้ัน ลงจากรถเจา้ นายถามวา่ เปน็ นายพลมากี่ปแี ลว้ หลายปีแล้ว
ครบั ท่าน โอเคเด๋ียวพ่ดี ูให้ (สว่ นท่านจะดใู ห้ปไี หนกอ็ กี เร่ืองนะ) แต่กลับเป็นความออ่ นน้อมที่
ประทับใจ เพราะการโยกย้ายต�ำแหน่งในปีถัดความอ่อนน้อมบันดลให้จากพลตรี เป็นพลโท
เพราะกาลเทศะ
มรรคที่ 3 : จกั ขมุ า เป็นภาษาพระ คือ มองการณ์ไกล ตาถงึ มที ักษะ เพราะ
คนท�ำงานมคี น 3 ตา คอื 1. ตาดีขา้ ง ตาบอดขา้ ง 2. ตาดที ง้ั สองข้าง 3. ตาบอดท้ังสองข้าง
บางคนตาดีข้างคือมีความรู้เยอะ แต่ดันตาบอดข้างเพราะไม่สามารถท�ำงานร่วมกับใคร
ได้ บางคนตาดีทั้งสองข้าง คอื มีความรแู้ ละมที ักษะทำ� งานรว่ มกบั เพอ่ื นรว่ มงานได้ดี และ
บางคนตาบอดท้ังสองข้าง คือ ความรู้ก็ไม่ดี พฤติกรรมก็ไม่งามอีกอย่าแค่ตาดีจับผิดใคร
ตอ้ งตาถงึ วิเคราะห์งานใหช้ ัดเจน
มรรคท่ี 4 : เสนา ไม่ใช่อ�ำเภอหน่ึงของอยุธยา แต่คอื ทีมงาน เพื่อนพ้องน้องพ่ี
เพราะโบราณท่านสอนกนั ว่า คนท�ำงานจะสำ� เรจ็ ต้องมี 4 ท. คือ มีทีม มที ุน มที �ำ มที บทวน
เพราะเกง่ งานไมพ่ อ ตอ้ งเกง่ เพอ่ื น เกง่ เครอื ขา่ ยดว้ ย เหมอื นขนุ หมนื่ อำ� นวยการสรา้ งกระทอ่ ม
นางรจนา อำ� นวยการงานด้วยทีมว่า “นายมีโคน่ ไผ่ นายใจขดุ หลมุ นายชนั้ นายชุ่ม คุมกันไป
เก่ียวแฝก เสร็จแลว้ เกลาเสา เอาโวย้ ยา้ ยแยก เลิกงานข้าจะแจกของแปลก ๆ ให้กิน” ทมี จึง
ส�ำคญั เพราะพระยงั สวดมนต์ 9 รูป เพราะสวดรูปเดียวนนั้ “เหนือ่ ย”
มรรคท่ี 5 : ปัญญา ในทางพระพุทธศาสนา ปัญญามี 3 ระดบั คอื 1. สุตมยปัญญา
ปัญญาท่ฟี ังเยอะ อ่านเยอะ เรยี นร้เู ยอะ ทนตอ่ ค�ำสอนของผ้ใู หญ่ไดด้ ี 2. จินตมยปัญญา ฟัง
แลว้ น�ำมาพิจารณา ขบคดิ แลกเปลยี่ น เพอ่ื ทบทวนน�ำไปปฏบิ ัตใิ ห้เป็นประโยชน์ 3. ภาวนา
มยปัญญา ลงมือท�ำอย่างต่อเนื่องให้เกิดความเช่ียวชาญเฉพาะด้าน และเป็นแบบอย่าง
แกค่ นอนื่ ได้ การทำ� งานแบบมรรคงา่ ย คอื เลอื กพดู ใหง้ า่ ย สอ่ื สารใหง้ า่ ย จดั พนื้ ทที่ ำ� งานใหห้ า
12 ส�ำนกั งานสง่ เสรมิ และสนบั สนุนวิชาการ 3
ของงา่ ย ๆ ทา� ตวั ในทีท่ า� งานให้งา่ ย ๆ กินง่ายอยูง่ า่ ย ท�างานทีร่ ับผิดชอบให้งา่ ยต่อการเข้าถงึ
เพื่อนร่วมงานเข้าถึงตัวได้ง่ายเป็นเจ้านายก็ลองเปิดประตูห้องท�างาน เป็นลูกน้องก็เงยหน้า
มอง เปน็ เพอื่ นรว่ มงานกห็ นั หนา้ เขา้ หากนั เพราะการทา� งานแบบมรรคงา่ ยนน้ั จะสา� เรจ็ ไดต้ อ้ ง
สมดงั กบั พระพทุ ธพจนบ์ ททีว่ ่า “อฏุ ฐานวโต สตมี โต สจุ ิกมฺมสฺส นิสมมฺ การโิ น สฺญตสฺส จ
ธมมฺ ชวี โิ น อปปฺ มตตฺ สสฺ ยโสภวิ ฑฒฺ ต”ิ ยศยอ่ มเจรญิ แกผ่ มู้ คี วามหมนั่ มสี ติ มกี ารงานสะอาด
ใครค่ รวญแล้วท�า ระวงั ดแี ล้ว
เปน อยูโดยธรรม และไมประมาท ท่ีสําคัญอยาทาํ งาน “แบบมักงา ย”
ทกั ษะการคดิ เชงิ บวกและสรางสรรคเพื่อการทํางานดา นสงั คม 13
• เปาหมายวิถีพทุ ธ กบั ชวี ิตการทํางาน •
แจก หม่า (Jack Ma) เจา้ ของบรษิ ทั อาลบี าบา มหาเศรษฐผี ู้รา�่ รวยแสนลา้ น ตอนหนุ่ม ๆ
เคยลม้ เหลวกับการท�างาน เพราะไปสมัครงานเป็นพนกั งานของ KFC สมคั ร 25 คน เขารบั
24 คน มีคนไมผ่ า่ นคนเดยี วคือ แจก หม่า คา� ปฏเิ สธคา� เดยี วคอื บคุ ลกิ ไมผ่ า่ น แต่แจกหม่า
ไมท่ อ้ แท้ ลม้ แลว้ รีบลุกขวนขวายหาความรภู้ าษาอังกฤษ และสมัครเป็นครูสอนภาษาองั กฤษ
และหาช่องทางความรู้เร่ืองเว็บไซต์และอินเทอร์เน็ตต่าง ๆ สุดท้ายตั้งบริษัทอาลีบาบา
ขายตรงสินค้าทางอินเทอร์เน็ต ประสบความส�าเร็จเป็นมหาเศรษฐี แล้วตัดสินใจกลับไปท่ี
จุดล้มเหลวคอื เขากลับไปซื้อกิจการของ KFC ในประเทศจีนท้ังหมด ไมย่ อมแพโ้ ชคชะตา
ที่ไม่ได้เป็นลูกจ้าง แต่ต่อสู้ชีวิตจนโชคชะตาไม่กล้าปฏิเสธ จึงยืนความส�าเร็จด้วยการเป็น
“เจา้ ของกจิ การ”
ค�าวา่ “ความส�าเรจ็ ” ทกุ คนยอ่ มปรารถนามากกว่า “ความล้มเหลว” เมื่อสา� เรจ็ การ
ศึกษาทกุ ชีวติ ก็เดินทางตอ่ ตามเป้าหมายของชวี ติ กบั การท�างาน ลองผดิ ลองถกู ตามความฝัน
ที่ตั้งใจ หลายคนก็ส�าเร็จ บางคนก็ผิดหวังกับการงาน เจอบททดสอบท้ังคนแบ่งพรรคแบ่ง
พวก ลอ่ ลวง เฝา้ จับผิด สอพลอ และประพฤติเหลวแหลก ภาษติ จีนจึงสอนกันว่า “ปจั จยั
แห่งความสา� เรจ็ ” ต้องอาศยั 3 ส่ิง คอื “ฟา้ -ดิน-คน” ฟ้า คือ เร่อื งรอบตัวท่เี ราควบคุม
ไม่ได้ ดนิ คือ สภาพแวดลอ้ มท่ีเราเลอื กจะยืนอยู่ และคน คอื ตัวเราเอง
วนั นจี้ งึ ขอนา� เสนอ “สตู รสา� เร็จวิถพี ทุ ธ” เพ่อื การท�างานในหน่วยงานภาครฐั เอกชน
หรือองค์กรระบบใดก็ตาม หากประกอบไปด้วยเหตุ 4 ประการน้ีแล้ว “โชคชะตาก็ไม่กล้า
ปฏเิ สธ” คือ
1. ปฏิรปู เทสวาสะ ผทู้ ี่ต้องการเพาะปลูก ควรอยู่ในพ้ืนท่ีท่ีอดุ มสมบูรณไ์ ปดว้ ยดนิ ดา�
น้า� ช่มุ ผ้ตู อ้ งการคา้ ขาย ควรอย่ใู นถนิ่ ท่มี ีประชาชนหนาแนน่ ผู้ตอ้ งการปฏิบตั ิธรรม ควรอยู่
ในส�านักที่มคี รบู าอาจารย์เกง่ ๆ และผ้ทู ีป่ รารถนาความส�าเร็จของชวี ติ ในการทา� งาน ควรอยู่
ในถิ่นท่มี ี คนดี คนเก่ง และคนให้โอกาส
14 สํานกั งานสงเสริมและสนบั สนุนวิชาการ 3
2. สัปปุริสูปสังเสวะ คบหาสัตบุรุษ มีต้นแบบในการท�ำงาน ควรไปเข้าในสมาคม
ของบณั ฑติ ควรเก็บเลก็ ผสมน้อย เทคนิค วธิ ีคดิ การบริหารจดั การ การประสาน การแกไ้ ข
ปัญหาของสัตบุรุษ เพราะการท�ำงานในยุคไทยแลนด์ 4.0 น้ันต้องสร้างภาพจึงจะได้ดี คือ
เป็นคนมคี ุณภาพท่ดี ี เปน็ คนมีศักยภาพท่เี ดน่ และมีสัมพันธภาพที่ง่ายงาม ทำ� งานกบั คนเก่ง
เราจะเก่งขึน้ ทำ� งานกบั คนดเี ราจะดขี ้ึน ผกู มิตรประสานไมตรมี เี ครอื ขา่ ยท้งั คนดแี ละคนเก่ง
3. อัตตสมั มาปณิธิ การต้งั ตนไวช้ อบ ดว้ ยการวางตวั ท่งี าม ไมถ่ ือตัวหลงผดิ เพราะ
การวางตัวกับการถือตัวแบ่งกันแค่เส้นด้ายฝึกออกก�ำลังกายชีวิตด้วยหลักพละ 5 คือมี
1. ศรทั ธาในองค์กร 2. มีความเพียรท่ีต่อเน่อื ง 3. มสี ตจิ ติ ส�ำนึก 4. มีสมาธติ ั้งมัน่ ไมว่ างเฉย
และ 5. มีปญั ญา ท่อี ดุ มไปดว้ ยการฟงั เปน็ วเิ คราะหด์ เี สยี สละ และลงมอื ทำ� เพราะผูใ้ หญ่
จะยกย่องใคร จะมอบหมายต�ำแหน่งอะไร ต้องอุดมตามวจีภาษิตท่ีว่า “หนักไปก็ยกไม่ข้ึน
เบาไปกไ็ วใ้ จไม่ได้”
4. ปุพเพกตปุญญตา การมีบุญดีแต่เดิม แล้วเพ่ิมเติมบุญใหม่ ไม่มัวเมาในบุญเก่า
ไม่ประมาทในบุญเล็กน้อย สะสมความดีตามขีดความสามารถและฐานะหน้าท่ี ดังปราชญ์
โบราณท่านกลา่ วว่า “เจ้านายดึง ลกู นอ้ งดัน คนเสมอกนั สนับสนนุ และบญุ รักษา”
การสร้างเปา้ หมายวิถพี ุทธน้ี ภาษาพระทา่ นเรียกว่า “จักร 4” เป็นฟนั เฟืองขับเคลื่อน
ชีวติ ให้ถึงเปา้ หมายของชวี ิต ดังทีท่ ุกคนปรารถนา คือ งานสำ� เร็จ ชวี ิตรื่นรมย์
ทกั ษะการคิดเชิงบวกและสรา้ งสรรค์เพื่อการทำ� งานดา้ นสงั คม 15
คณะผูจดั ทํา
ท่ปี รึกษา ผอู้ �านวยการส�านักงานส่งเสรมิ
และสนบั สนนุ วิชาการ 3
นางเบญจมาส แกน่ เมือง ผ้ชู ่วยเจ้าอาวาสวดั ยานนาวา พระอารามหลวง
พระครปู ลดั สมั พิพฒั นธรี าจารย์
ดร.มงคล สามารถ
อาจารยค์ ณิศร์ บญุ ยง
ผจู ัดทาํ นกั พฒั นาสงั คมช�านาญการ
นกั พฒั นาสังคมปฏบิ ตั ิการ
นางสาวพรี ภาว์ ลมิ ปนวัสส์ เจา้ พนักงานธรุ การช�านาญงาน
นางสาวมรนิ ทราณ์ ลอตระกูล นกั พัฒนาสังคม
นางสาวปวันรัตน์ สวุ กิ รม นักพฒั นาสังคม
นางสาวพชิ ญากร ศศชิ านารา เจา้ พนักงานพฒั นาสงั คม
นางสาวปรชี ญา อินทนชิตจุ้ย
นายเอกลกั ษณ์ ขมนิ้ ทอง