รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา พระพุทธศาสนาในอารยธรรมขอมจังหวัดสุรินทร์ (Buddhism in the Khmer civilization in Surin Province) ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ สรุปโครงการ สิกขาจาริกอารยธรรมทวารวดี ศรีวิชัย ขอม SUMMARY OF THE DVARAVATI CIVILIZATION SIKKHA PILGRIMAGE PROJECT, SRIVIJAYA, KHOM โดย พระปลัดสมหมาย สุรปญฺโญ (ใจงาม) เสนอ ผศ.บรรจง โสดาดี
ก คำนำ ในการทำรายงาน “สรุปโครงการ สิกขาจาริกอารยธรรมทวารวดี ศรีวิชัย ขอม” ครั้งนี้ ผู้ ศึกษาได้กำหนดเนื้อหาไว้๓ ตอน คือ ตอนที่ ๑ โสเหล่เสวนาก่อนสิกขาจาริก ประกอบไปด้วย พระพุทธศาสนากับอารยธรรมทวารวดีพระพุทธศาสนากับอารยธรรมศรีวิชัย พระพุทธศาสนากับ อารยธรรมขอม ตอนที่ ๒ สรุปบทเรียนสิกขาจารึก ประกอบไปด้วย ร่องรอยอารยธรรมทวารวดีอู่ทอง ร่องรอยอารยธรรมขอม ปราสาทเมืองสิงห์ร่องรอยอารยธรรมทวารวดี ขอม ราชบุรี กิจกรรมโสเหล่ เสวนา สิกขาจาริกวัดไร่ขิง นครปฐม มรดกโลก พระนครศรีอยุธยา สํารวจอารยธรรมขอม กลุ่ม ปราสาทตาเมือน ตอนที่ ๓ ถอดบทเรียนสิกขาจาริก ประกอบไปด้วย ความในใจที่อยากบอก ประโยชน์ที่รับในการสิกขาจาริกในครั้งนี้ สถานที่ที่อยากจะไป ในครั้งต่อไป และภาพแห่งความ ประทับใจ คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้จัดโครงการในครั้งนี้ ขึ้นมา เพื่อบูรณาการการเรียนการสอนในหลักสูตร ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญเอก เกี่ยวกับการศึกษานอกสถานที่อันเกี่ยวกับ ๑. ศาสนสถาน (สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา) ๒. ศาสนวัตถุ (วัตถุที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาในศาสนา) ๓. ศาสนบุคคล (บุคคลผู้ทำหน้าทีสืบทอดศาสนา) ๔. ศาสนพิธี(พิธีกรรมทางศาสนา) และ ๕. ศาสนธรรม (ธรรมคำสั่งสอนของมูลเหตุการเกิดศาสนา) และ จะเกิดประโยชน์ในการศึกษาสืบต่อไป
ข คำขอบคุณ รายงานฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะได้รับความอนุเคราะห์จากหลากหลายภาค ส่วน อันประกอบไปด้วย ขอขอบคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต สุรินทร์ โดยมี พระพรหมวชิรโมลี, ดร. (ทองอยู่ ญาณวิสุทฺโธ) รองอธิการบดีวิทยาเขตสุรินทร์ พร้อม ด้วยผู้บริหารที่ได้เปิดหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ขอบคุณ ขออนุโมทนา พระปลัดวัชระ วชิรญาโณ ผู้อำนวยการหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต และคณาจารย์ทุกท่านที่ได้มี เมตตาจิตประสาทความรู้ ตลอดถึงได้อบรมสั่งสอนให้อยู่ในกรอบของพระธรรมวินัย ขออนุโมทนาขอบคุณ ผศ.บรรจง โสดาดีอาจารย์ประจำวิชา พระพุทธศาสนาในอารย ธรรมขอมจังหวัดสุรินทร์ (Buddhism in the Khmer civilization in Surin Province) และคอย ช่วยเหลือ ให้กำลังใจรวมทั้งเป็นผู้ชี้แนะในการทำรายงานอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะที่เป็น ประโยชน์ต่อผู้ศึกษาขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ นอกจากนี้ กระผม/อาตมา ต้องขอขอบคุณ เพื่อนนิสิต พธ.บ. (พระพุทธศาสนา) รุ่น ๗๐ ทุกรูป/คน ที่กระผม/อาตมาภาพได้สอบถาม และให้คำปรึกษา รวมทั้งคอยเป็นกำลังใจตลอดมา รวมทั้งขอขอบคุณกัลยามิตรทุกท่าน ทั้งฝ่ายบรรพชิตทั้งฝ่ายฆราวาส ญาติมิตรที่คอยให้กำลังใจแก่ผู้ ศึกษามาโดยตลอด และที่ขาดมิได้ขอขอบคุณ คือ บิดา มารดา (นายเสา - นางอุ ใจงาม) ของอาตมา ภาพ ที่ได้ให้ชีวิตรวมถึงเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตตามครรลองคลองธรรม สุดท้ายนี้ ขอยกความสำเร็จครั้งนี้ให้แก่ท่านทั้งหลาย และขอคุณพระศรีรัตนตรัยจง คุ้มครองทุกท่านที่ได้เอ่ยมา ณ ที่นี้ ให้มีความเจริญในธรรมเจริญในการงานยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด พระปลัดสมหมาย สุรปญฺโญ (ใจงาม) ๑๔ กุมภาพันธ์๒๕๖๗
ค สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก คำขอบคุณ ข สารบัญ ค คำอธิบายสัญลักษณ์และคำย่อ จ ตอนที่ ๑ : โสเหล่เสวนาก่อนสิกขาจาริก ๑ ๑.๑ พระพุทธศาสนากับอารยธรรมทวารวดี(บรรยาย ครั้งที่ ๑) ๑ ๑.๒ พระพุทธศาสนากับอารยธรรมศรีวิชัย (บรรยาย ครั้งที่ ๒) ๖ ๑.๓ พระพุทธศาสนากับอารยธรรมขอม (บรรยาย ครั้งที่ ๓) ๙ ตอนที่ ๒ : สรุปบทเรียนสิกขาจารึก ๑๔ ๒.๑ ร่องรอยอารยธรรมทวารวดี อู่ทอง ๑๔ ๒.๑.๑ โบราณสถาน เจดีย์หมายเลข ๑๐ ๑๔ ๒.๑.๒ โบราณสถาน เจดีย์หมายเลข ๑๑ ๑๔ ๒.๑.๓ โบราณสถาน เจดีย์หมายเลข ๑๓ ๑๔ ๒.๑.๔ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ๑๔ ๒.๒ ร่องรอยอารยธรรมขอม ปราสาทเมืองสิงห์ ๑๕ ๒.๒.๑ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ ๑๕ ๒.๒.๒ ทางรถไฟสายมรณะ ๑๙ ๒.๒.๓ วัดตะคร้ำเอน ๒๒ ๒.๓ ร่องรอยอารยธรรมทวารวดี ขอม ราชบุรี ๒๒ ๒.๓.๑ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ๒๒ ๒.๓.๒ วัดมหาธาตุวรวิหาร ๒๓ ๒.๓.๓ วัดโขลงสุวรรณคีรี ๒๕ ๒.๔ กิจกรรมโสเหล่เสวนา สิกขาจาริกวัดไร่ขิง นครปฐม ๒๘ ๒.๔.๑ วัดไร่ขิง ๒๘ ๒.๔.๒ หลวงพ่อวัดไร่ขิง ๒๙
ง ๒.๕ มรดกโลก พระนครศรีอยุธยา ๓๑ ๒.๕.๑ วัดมหาธาตุ ๓๑ ๒.๕.๒ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ๓๓ ๒.๕.๓ วิหารพระมงคลบพิตร ๓๔ ๒.๕.๔ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๓๕ ๒.๖ สํารวจอารยธรรมขอม กลุ่มปราสาทตาเมือน ๓๘ ๒.๖.๑ ปราสาทตาเมือน (ปราสาทบายกรีม) ๓๘ ๒.๖.๒ ปราสาทตาเมือนโต๊ด ๓๘ ๒.๖.๓ ปราสาทตาเมือนธม ๓๙ ตอนที่ ๓ : ถอดบทเรียนสิกขาจาริก ๔๒ ๓.๑ ความในใจที่อยากบอก ๔๒ ๓.๒ ประโยชน์ที่รับในการสิกขาจาริกในครั้งนี้ ๔๒ ๓.๓ สถานที่ที่อยากจะไป ในครั้งต่อไป ๔๔ ภาคผนวก ๔๕ ภาพแห่งความประทับใจ ๔๖ ประวัติผู้วิจัย ๕๒
จ คำอธิบายสัญลักษณ์และคำย่อ อักษรย่อในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ใช้อ้างอิงจากพระไตรปิฎกภาษาภาษาไทย ฉบับลงกรณ ราชวิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ พุทธศักราช ๒๕๓๙ ๑. คำอธิบายคำย่อในภาษาไทย ก. คำย่อชื่อคัมภีร์พระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก คำย่อ ชื่อคัมภีร์ ภาษา ที.สี. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (ภาษาไทย) ที.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย) ม.มู. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ (ภาษาไทย) ม.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (ภาษาไทย) ม.อุ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ (ภาษาไทย) สํ.ส. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (ภาษาไทย) สํ.สฬา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค (ภาษาไทย) สํ.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค (ภาษาไทย) องฺ.ทุก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ติก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.จตุกฺก.(ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ปญฺจก.(ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.สตฺตก.(ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.อฏฺ ก.(ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ทสก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต (ภาษาไทย) ขุ.ธ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท (ภาษาไทย) ขุ.อุ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน (ภาษาไทย) ขุ.วิ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ (ภาษาไทย) ขุ.เปต. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ (ภาษาไทย)
ตอนที่ ๑ โสเหล่เสวนาก่อนสิกขาจาริก ๑.๑ พระพุทธศาสนากับอารยธรรมทวารวดี(บรรยาย ครั้งที่ ๑) ๑.๑.๑ วิทยากร วิทยากรในการบรรยาย พระพุทธศาสนากับอารยธรรมทวารวดี ครั้งที่ ๑ เรื่อง พระพุทธศาสนากับอารยธรรมทวารวดีในวันที่ ๔ เดือน มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๗ ในครั้งนี้ มี ๓ ท่าน ดังนี้ ผศ.ดร.ฉันทัส เพียรธรรม ประวัติการศึกษา - สถ.บ. (สถาปัตยกรรม) มหาวิทยาลัยศิลปากร - M.S. (City and Regional Planning, Prat Institute, USA - ปร.ด. (ปรัชญา) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปัจจุบัน - อาจารย์ หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร - ผู้ช่วยคณบดี คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนคร อ.ฉัตตริน เพียรธรรม ประวัติการศึกษา - ร.บ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - M.B.A. Strayer College, W.D.C., USA. - ศศ.ม. (ประวัติศาสตร์ศิลปะ) มหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบัน - กรรมการผู้จัดการ NC เอ็น.ซี.ทัวร์
๒ ดร.เพ็ญพรรณ เฟื่องฟูลอย ประวัติการศึกษา ศศ.บ. (เศรษฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคําแหง บธ.ม. (บริหารธุรกิจ) มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น พธ.ด. (ปรัชญา) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปัจจุบัน - รองผู้อํานวยการ วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๑.๑.๒ กะเหรี่ยง แผนที่กลุ่มชาติพันธุ์ตามภาษาในพม่า ชาวกะเหรี่ยงอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดีตอนใต้ และ ตามแนวชายแดนไทย ชาวกะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประชากร ราว ๕–๗ ล้านคน มีภาษาพูดที่เป็นสำเนียงต่าง ๆ มากถึงราว ๒๐ สำเนียง โดยกลุ่มที่เป็นกลุ่มใหญ่ ที่สุดคือกะเหรี่ยงสะกอและกะเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงกลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ กะยาห์ บเว กะยิน เบร ปะโอ เป็นต้น ภาษากะเหรี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มภาษาทิเบต-พม่า และตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ชาวกะเหรี่ยงมาถึงดินแดนที่เป็นประเทศพม่าในปัจจุบันเมื่อราว พ.ศ. ๔๓ เชื่อว่าชาว กะเหรี่ยงเดินทางมาจากบริเวณมองโกเลียและลงใต้มายังบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง อิรวดี และสาละ วิน คำว่ากะเหรี่ยงนั้นเป็นคำที่ชาวไตและชาวพม่าใช้เรียก หมายถึงคนที่อยู่ตามภูเขาและป่า แต่พวก เขาไม่เคยเรียกตัวเองว่ากะเหรี่ยง กะเหรี่ยงไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน กะเหรี่ยงต่างกลุ่มไม่ได้มีประวัติศาสตร์ ร่วมกันภายในราชอาณาจักรก่อนที่พม่าจะเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ชาวกะเหรี่ยงบางคนทำหน้าที่ เป็นเสนาบดีภายในราชอาณาจักรอื่น ๆ เช่น ราชอาณาจักรหงสาวดี ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ชาว กะเหรี่ยงอื่น ๆ อยู่ในป่าตามแนวชายแดนไทย ชาวกะเหรี่ยง ๒๐% เป็นชาวคริสต์ ในขณะที่อีก ๗๕% เป็นชาวพุทธ มีชาวกะเหรี่ยงกลุ่มเล็ก ๆ ที่นับถือผีอยู่ในพื้นที่ที่ราบลุ่มแม่น้ำ และมีกลุ่มเล็ก ๆ เรียก กะเหรี่ยงดำเป็นมุสลิม กะเหรี่ยงโปว์คิดเป็น ๘๐% ของประชากรกะเหรี่ยงทั้งหมด และเป็นชาวพุทธ เป็นส่วนใหญ่ ผู้พูดภาษากะเหรี่ยงโปว์อยู่ในที่ราบตอนกลางและตอนล่างของพม่า และมีระบบสังคม คล้ายชาวมอญ ทำให้บางครั้งเรียกกะเหรี่ยงมอญ (Talaing Kayin) ส่วนกะเหรี่ยงสะกอเป็นกลุ่มที่มี ระบบสังคมคล้ายชาวพม่า บางครั้งเรียกกะเหรี่ยงพม่า (Bama Kayin) กลุ่มนี้ถูกผลักดันให้มาอยู่ตาม แนวชายแดนไทย ชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในเทือกเขาดอว์นาและตะนาวศรีในพม่าตะวันออก พวกเขา
๓ ได้พัฒนาสังคมและประวัติศาสตร์เป็นของตนเอง ในปัจจุบันมีชาวกะเหรี่ยงอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี ราว ๓ ล้านคน มีวิถีชีวิตเป็นชาวนา ชุมชนชาวกะเหรี่ยงมีความแตกต่างกันทั้งทางศาสนา ภาษา วัฒนธรรม และการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ ๑.๒.๓ ลาวโซ่ง ลาวโซ่ง ลาวทรงดำ หรือ ไทยทรงดำ เป็นคำเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ ซึ่ง มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่สิบสองจุไทย หรือ เมืองแถง อยู่ตอนเหนือของประเทศเวียดนาม และถูกกวาดต้อน เข้ามาสู่ประเทศไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรด เกล้าฯ ให้กลุ่มชาวลาวโซ่งมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ปัจจุบันกลุ่มชาวลาวโซ่งมี การเคลื่อนย้ายและตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในบริเวณภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเพชรบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้น เรือนลาวโซ่งทำจากวัสดุธรรมชาติ เป็นเรือนมีใต้ถุนสูง ตัวเสาเรือนทำจากไม้เนื้อแข็งทั้งต้นที่ มีง่ามสำหรับวางคาน พื้นบ้านใช้ไม้กระดานหรือใช้ฟากที่ทำจากไม้ไผ่ทุบเป็นแผ่นแล้วปูแผ่ หลังคามุง ด้วยหน้าแฝกด้านหน้าและด้านหลังเป็นทรงโค้งมาเสมอกับชายคา และลาดต่ำคลุมลงมาถึงพื้นเรือน รอบผนังบ้านทุกด้าน ยอดจั่วประดับไม้แกะสลักคล้ายเขากวางไขว้ เรียกว่า “ขอกุด” ซึ่งเป็น เอกลักษณ์ของเรือนลาวโซ่ง เนื่องจากถิ่นฐานเดิมของลาวโซ่งอยู่ในเขตหนาวมาก่อน การทำผนังลาด ต่ำจึงช่วยป้องกันลมหนาวได้ การแบ่งพื้นที่การใช้งานภายในบ้าน บริเวณใต้ถุนบ้านใช้สำหรับเป็นพื้นที่ทอผ้า ตำข้าว สีข้าว เลี้ยงหมู เก็บเครื่องใช้ในการทำนาและจับปลา มีบันไดขึ้นที่ทางชานหน้าบ้าน มีผนังด้านสกัดกั้น ภายในบ้านกับชานบ้าน ภายในบ้านไม่มีการกั้นห้องแต่มีการแบ่งพื้นที่สำหรับประกอบอาหาร รับประทานอาหาร และที่นอน มุมของเสาบ้านเป็นที่เซ่นไหว้ผีเรือนทุกวันที่ ๕ และ ๑๐ วัน เรียกว่า “ปาดตง” โดยมีขันน้ำและชามข้าววางอยู่ สิ่งสำคัญที่คู่กับเรือนลาวโซ่งคือ ยุ้งข้าว สำหรับเก็บข้าวเปลือก ซึ่งมีขนาดและรูปทรงคล้ายตัว บ้าน อาจมีสะพานทอดเดินถึงกันได้ และที่สำคัญคือ มีฝาผนังที่สามารถเปิดเพื่อขนข้าวได้ มีพื้นสูงกว่า พื้นเรือน อาจเป็นเพราะชาวลาวโซ่งถือว่าข้าวมีพระแม่โพสพ ต้องเทิดทูนไว้ให้สูงกว่าบ้าน ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง เป็นที่ตั้งของเรือนลาวโซ่งที่มีความสมบูรณ์ เป็น สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเรือนชาติพันธุ์ลาวโซ่ง (ไทยทรงดำ) อย่าง แท้จริง จำนวน ๒ หลัง ได้แก่ เรือนผู้ท้าว ซึ่งเป็นเรือนหลักสำหรับพักอาศัยและประกอบพิธีกรรม และเรือนยุ้งข้าว นอกจากนั้นยังจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่ม ที่แสดงถึงวิถีชีวิต ประเพณี และความเชื่อของชาวลาวโซ่ง อีกด้วย
๔ ๑.๑.๔ สุพรรณบุรี สุพรรณบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพมหานคร ๑๐๗ กิโลเมตร จังหวัดที่อยู่ติดกัน (จากทิศเหนือ วนตามเข็มนาฬิกา) ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และกาญจนบุรี ประวัติศาสตร์ สุพรรณบุรีเป็นเมืองโบราณ พบหลักฐานทางโบราณคดีมีอายุไม่ต่ำกว่า ๓,๕๐๐-๓,๘๐๐ ปี โบราณวัตถุที่ขุดพบมีทั้งยุคหินใหม่ ยุคสำริด ยุคเหล็ก และสืบทอดวัฒนธรรมต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัย สุวรรณภูมิ ฟูนัน อมราวดี ทวารวดี และศรีวิชัย สุพรรณบุรีเดิมมีชื่อว่า ทวารวดีศรีสุพรรณภูมิ หรือ พันธุมบุรี ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำท่าจีน แถบ บริเวณตำบลรั้วใหญ่ไปจดตำบลพิหารแดง ต่อมาพระเจ้ากาแตได้ย้ายเมืองมาตั้งอยู่ที่ฝั่งขวาของแม่น้ำ แล้วโปรดให้มอญน้อยไปสร้างวัด สนามชัย และบูรณะวัดป่าเลไลยก์ ชักชวนให้ข้าราชการจำนวน ๒,๐๐๐ คนบวช จึงขนานนามเมือง ใหม่ว่า สองพันบุรี[ต้องการอ้างอิง] ครั้งถึงสมัยพระเจ้าอู่ทอง ได้สร้างเมืองมาทางฝั่งใต้หรือทางตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน ชื่อเมือง เรียกว่า อู่ทอง จวบจนสมัยขุนหลวงพะงั่ว เมืองนี้จึงเรียกว่าชื่อว่า สุพรรณบุรี นับแต่นั้นมา[ต้องการ อ้างอิง] สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองสุพรรณบุรีเป็นเมืองหน้าด่านและเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำที่ สำคัญ ต้องผ่านศึกสงครามหลายต่อหลายครั้ง สภาพเมืองตลอดจนโบราณสถานถูกทำลายเหลือเพียง ซากปรักหักพัง จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองสุพรรณบุรีได้ฟื้นตัวขึ้นใหม่ และตั้งอยู่บนฝั่ง ตะวันออกของแม่น้ำท่าจีน (ลำน้ำสุพรรณ) มาจนตราบทุกวันนี้ ความสำคัญของสุพรรณบุรีในด้านประวัติศาสตร์การกอบกู้เอกราชไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ ชัยชนะแห่งสงครามยุทธหัตถีที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา ณ สมรภูมิดอนเจดีย์ เป็นมหาวีรกรรมคชยุทธอันยิ่งใหญ่ที่ได้ถูกจารึกไว้ และมีการจัดงานเพื่อเฉลิม ฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ในด้านวรรณคดี เป็นเมืองต้นกำเนิดแห่งตำนาน "ขุนช้างขุนแผน" วรรณคดีไทยเรื่องราวและ สถานที่ที่ปรากฏตามท้องเรื่องยังคงมีให้เห็นในปัจจุบัน อาทิ บ้านรั้วใหญ่ วัดเขาใหญ่ ท่าสิบเบี้ย ไร่ ฝ้าย วัดป่าเลไลยก์ วัดแค อำเภออู่ทอง และอำเภอศรีประจันต์ สุพรรณบุรี ดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์บนพื้นที่ราบภาคกลางสืบสานความเจริญรุ่งเรือง มาตั้งแต่อดีตเมื่อ พ.ศ. ๑๔๒๐ จากนามเดิมเมืองพันธุมบุรีในยุคทวารวดีตามหลักฐานทางโบราณคดี ได้จารึกชื่อไว้ในพงศาวดารเหนือ และนาม "สุพรรณภูมิ" ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง
๕ มหาราชระบุว่าเป็นนครรัฐที่มีความสำคัญมาก่อนกรุงศรีอยุธยา เมื่อมีการสถาปนากรุงศรีอยุธยา เมือง สุพรรณบุรีจึงจัดอยู่ในฐานะเมืองลูกหลวงซึ่งเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญอีกด้วย ๑.๑.๕ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์อู่ทอง หรือ ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา หรือ ราชวงศ์เชียงราย ปกครองอาณาจักรกรุงศรี อยุธยารวมระยะเวลา สองครั้งราว ๔๒ ปี ทั้งหมดล้วนเป็นชื่อสมมุติที่นักประวัติศาสตร์ใช้เรียก ราชวงศ์แรกที่ปกครองกรุงศรีอยุธยา เพื่อความสะดวกในการศึกษาประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา โดย กำหนดเอาพระนามตามตำนานของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ที่มีพระนามเดิมว่า "พระเจ้าอู่ทอง" มา เป็นชื่อราชวงศ์ แต่ความเป็นมาของราชวงศ์ดังกล่าวยังคงคลุมเครืออยู่ ประวัติ ต้นสายเดิมของราชวงศ์นี้ยังเป็นปริศนาไม่ทราบแน่ชัด จึงมีการสมมติชื่อของราชวงศ์นี้ไว้ หลายชื่อ ดังข้อสันนิษฐานต่อไปนี้ เช่น: ทฤษฎีที่ต้นราชวงศ์มาจากภาคเหนือ และสถาปนาเป็นต้นราชวงศ์เชียงราย มาจากพระราชาธิบายของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า "พระเจ้าอู่ทองเป็นราช บุตรเขยของพระเจ้าศิริชัยเชียงแสน ได้รับราชสมบัติสืบพระวงศ์ทางพระมเหสี ครองราชสมบัติอยู่ ๖ ปี เกิดโรคห่าขึ้นในพระนคร จึงย้ายมาตั้งราชธานีที่เมืองศรีอยุธยา" ตำนานสิงหนวัติ, พงศาวดารเมืองเงินยาง เชียงแสน และพระราชพงศาวดารสังเขป ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ระบุว่า พระเจ้าอู่ทองเป็นเชื้อราชวงศ์ลาวจาก พระเจ้าพรหมแห่งเมืองเชียงแสน ทฤษฎีที่ต้นราชวงศ์อพยพหนีโรคห่ามาจากเมืองอู่ทอง ต่อเนื่องมาจากการอพยพลงมาสู่ตอนใต้ของทฤษฎีแรกที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองอู่ทอง แต่ เมืองอู่ทองเกิดโรคห่า จึงได้อพยพลงสู่กรุงศรีอยุธยา แต่ทฤษฎีนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว เพราะจากการสำรวจเมืองอู่ทองของมานิต วัลลิโภดม พบว่า เมืองอู่ทองร้างไปก่อนการตั้งกรุงศรีอยุธยาถึง ๓๐๐ ปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าเมืองอู่ทองจะหนีโรคห่ามา ในช่วงเวลานั้น ทฤษฎีที่เชื่อว่าต้นราชวงศ์มีความเกี่ยวดองกับละโว้มาก่อน เนื่องจากหลังการสถาปนากรุงอโยธยาในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ เอกสารของจีนยังคงเรียกอโยธยาว่า "หลอหู" ซึ่งคือละโว้ อันแสดงถึงความเกี่ยวดองกับละโว้มาก่อน โดยเฉพาะที่สมเด็จพระราเมศวรครอง เมืองละโว้ในฐานะลูกหลวงอีกประการหนึ่ง นอกจากนี้ใน พงศาวดารล้านช้าง ซึ่งเป็นพงศาวดารของลาว ได้ระบุว่า ขุนบรม (หรือ ขุนบู ลม ในภาษาลาว) ได้ให้กำเนิดบุตรเจ็ดคนไปครองเมืองต่าง ๆ โดยคนที่ห้าคือ "งัวอิน" ได้ครองเมืองอ
๖ โยธยา หรือในหนังสือ คู่มือทูตตอบ เขียนขึ้นโดยราชบัณฑิตไม่ปรากฏนามในสมัยกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๒๒๔ ระบุว่า กษัตริย์สืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระปฐมสุริยนารายณีศวรบพิตร์ และมีลูกหลาน คือสมเด็จพระพนมทะเลศรีมเหศวรวารินทร์ราชบพิตร อพยพไปกรุงสุโขทัยก่อนลงมาสร้างเมือง เพชรบุรี และต่อมาได้สร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีใหม่ เป็นต้น มีการสันนิษฐานว่าราชวงศ์นี้อาจมีเชื้อสายลาว ดังพระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า "ในต้นราชตระกูลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ นั้น เป็นเชื้อลาวมาตั้ง พระราชธานีในประเทศสยาม ธรรมเนียมต่าง ๆ คงยังเจือลาวอยู่บ้าง" บ้างก็ว่าอาจมีเชื้อสายพราหมณ์ เนื่องจากหลังการสิ้นอำนาจในการครองกรุงศรีอยุธยา ผู้สืบเชื้อสายจากราชวงศ์ดังกล่าวไม่ถูกสังหาร เหมือนพราหมณ์ในพระราชไอยการของกรุงศรีอยุธยาที่มิให้ต้องโทษหรือประหาร ทั้งนี้ทั้งนั้นความ เป็นมาหรือเชื้อสายของต้นราชวงศ์นี้ ยังคงคลุมเครืออยู่ในปัจจุบัน ๑.๒ พระพุทธศาสนากับอารยธรรมศรีวิชัย (บรรยาย ครั้งที่ ๒) ๑.๒.๑ ประวัติศาสตร์ศรีสะเกษออกเป็น ๔ สมัย พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล (๒๕๖๕) ได้ทําการศึกษาและแบ่งประวัติศาสตร์ศรีสะเกษ ออกเป็น ๔ สมัย ดังต่อไปนี้ ๑. ประวัติศาสตร์ศรีสะเกษก่อนสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ เสด็จมายังปราสาทเขา พระวิหาร ซึ่งตรงกับสมัย “อาณาจักรสุวรรณ ภูมิ หรือ อาณาจักรฟูนัน” ๒. ประวัติศาสตร์ศรีสะเกษสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ เสด็จมายังปราสาทเขาพระ วิหาร ซึ่งตรงกับสมัยสมัย “อาณาจักรเสียม หลอก๊ก” หรือ “อาณาจักรสยามละโว้" (ที่ระบุไว้ใน พงศาวดารจีน) ๓. ประวัติศาสตร์ศรีสะเกษสมัยหลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ เสด็จมายังปราสาท เขาพระวิหาร ซึ่งตรงกับสมัยสมัย “อาณาจักรกัมพูชาสมัยเมืองพระนคร” ๔. ประวัติศาสตร์ศรีสะเกษ สมัยหลัง “ราชวงศ์ศรีสะเกษ” ซึ่งตรงกับสมัย “ราชวงศ์ ตาแดงหวาน” หรือ “สมเด็จพระตระ กระ แอม” (พระบิดาของ “สมเด็จพระนิพัทธบท”) ก่อนพ่าย แพ้ตกเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา
๗ ๑.๒.๒ ปราสาทศรีพฤทเธศวร ๑. ปราสาทเขาพระวิหารและปราสาทบ้านสระกําแพงใหญ่ที่ถูกเปลี่ยนแปลงมาเป็น “ศรีศิข เรศวร” และ “ศรีพฤทเธศวร" ตามความเชื่อของพราหมณ์ลัทธิศิวนิกายของชาวเขมรนั้น ก่อน หน้านี้ได้ถูกสร้างตามอย่างสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และประติมากรรมพื้นถิ่นจากครูช่างชาวศรีสะ เกษ ๒. จากหลักฐานการสืบสวนประวัติพบว่า “ชาวกูย” หรือ “ชาวกวย” ซึ่งเป็นคน พื้นเมืองศรีสะ เกษ (ไม่ใช่ชาวกัมพูชา) ที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาพนมดงรักเป็นผู้ดูแลพื้นที่มรดกทาง ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในดินแดนศักดิ์สิทธิ์บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทบ้านสระ กําแพงใหญ่ และปราสาทบ้านปราสาท มาเป็นเวลาช้านานนับตั้งแต่อดีต ด้วยการบูชาวิญญาณ บรรพ กษัตริย์และบรรพบุรุษผสมผสานกับการนับถือพระนารายณ์ พระวิษณุ ด้วยการสังเวยเครื่องกราบไหว้ ซึ่งต่อมาก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธดังปรากฏภาพพุทธประวัติในวัฒนธรรมหินตั้ง ๓. ศาสนาพราหมณ์ ลัทธิศิวนิกายพึ่งเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ในสมัย “พระเจ้าชัยวร มันที่ ๒ หรือ “พระบาทปรเมศวร” ตอนที่พระองค์เข้ามาสักการะบรรพกษัตริย์ของพระมเหสีที่เขา พระวิหารในรายวิษณพระเจ้าบวชกับ ๔.ปรากฏเรื่องราวของ “พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ หรือ “พระบาทปรเมศวร พ.ศ.๑๓๙๖ ว่า ทรงถูกนําตัวไปเป็นตัวประกันที่ราชสํานักไศเลนทร์ที่ไชยาหลังจากที่มหาราชแห่งศรีวิชัย” ๖.พบว่าประวัติศาสตร์ศรีสะเกษเชื่อมโยงไปถึงสมัยอาณาจักรสุวรรณภูมิ(หรือ อาณาจักรฟูนัน) ต่อเนื่องมาจนถึงสมัย “อาณาจักรเสียมหลอก๊ก” หรือ “อาณาจักร สยามละโว้” ใน สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ครั้งที่พระองค์เสด็จมายังปราสาทเขาพระวิหาร ๗. ศาสนสถานที่สําคัญในดินแดนศรีสะเกษที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนที่พระเจ้าชัยวรมัน ที่ ๒ เสด็จมายัง ปราสาทเขาพระวิหารใน พ.ศ.๑๓๔๙ (ซึ่งตรงกับสมัย “อาณาจักรสุวรรณภูมิ หรือ อาณาจักรฟูนัน”) ได้แก่ ปราสาท เขาพระวิหาร ปราสาทบ้านสระกําแพงใหญ่ ปราสาทบ้านปราสาท ๘. หลักฐาน “ศิลาจารึกสต๊อกก๊อกธม” กล่าวว่า พระเจ้าชัยวมันที่ ๒ ผู้เป็นปฐม กษัตริย์แห่งอาณาจักรกัมพูชา สมัยเมืองพระนคร ได้เสด็จกลับมาจากชวา (กลับมาจากศรีวิชัย) แล้ว มาปกครองนครอินทรปุระ พ.ศ. ๑๓๔๕ และ ต่อมากษัตริย์ที่สืบจากราชวงศ์ศรีสะเกษครอง ราชอาณาจักรกัมพูชาสมัยเมืองพระนครต่อยาวนานกว่า ๒๐๐ ปี โดยมีพราหมณ์สายสกุลพราหมณ์ศิว ไกวัลย์ทําหน้าที่เป็นราชครูปุโรหิตประจําราชสํานัก ๙. มีข้อความในหลักศิลาจารึกที่ปราสาทเขาพระวิหารกล่าวถึงสมัย “พระเจ้ายโศวร มันที่ ๑" (รัชกาลที่ ๔ แห่งอาณาจักรกัมพูชาสมัยเมืองพระนคร ในปี พ.ศ.๑๔๓๖ ดังนี้
๘ ๙.๑ ว่าทรงสถาปนา “พระเทวราช” หรือ “ศิวลึงเคศวร” ขึ้นเหนือปราสาท เขาพระวิหาร และ ทรงพระราชทานนามว่า “ศรีศิขเรศวร” (ศาสนสถานของพราหมณ์) แปลว่า พระ อิศวรผู้เป็นใหญ่เหนือ เขาไกรลาศ ๙.๒ ว่าทรงพระราชทานนามปราสาทบ้านสระกําแพงใหญ่ว่า “ศรีพฤทเธ ศวร” (ศาสนสถานของ พราหมณ์) ๑.๒.๓ คํานึงถึงหลักการของศรีวิชัย การอยู่อย่างเรียบง่าย พอเพียง และไม่หยุดพัฒนา” ใช้ “หลักการมัชฌิมาปฏิปทา ของพุทธ ศาสนาเป็นแกนกลาง” โดย “พัฒนาทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ (ทางวิญญาณ) ควบคู่กันไปอย่าง สมดุล” การประพฤติตามอย่างพระโพธิสัตว์ความรุ่งเรือง มีความสงบสุขของศรีวิชัยมาจากสังคมที่ไร้ พรหมแดนการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยี และวัฒนธรรมด้วยความเข้าใจและมีความเคารพ ซึ่งกันและกัน ๑.๒.๔ บรรพบุรุษของศรีวิชัยและคนไทย: ราชวงศ์“ไศเลนทรวงศ์” (อินเดีย) ราชวงศ์ “สุวรรณภูมิ” (ไชยา) โดยในคัมภีร์มหาวงศ์ พุทธ ศตวรรษที่ ๓ (พ.ศ.๒๕๖) - เจ้าชายสุมิตร ทรงเป็นห รงเป็นหลานตาของพระเจ้าอโศกมหาราชและเป็น หลาน ยายของพระนางเวทิสาเทวี ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากศากยะวงศ์ของพระพุทธเจ้า - พระองค์เป็นโอรสของเจ้าชายอัคพรหมกับพระนางสังฆามิตตาเถรี ซึ่งทั้ง ๓ พระองค์มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมากจึงบรรพชา ต่อมาทรงเดินทางมาเผยแผ่พุทธ ศาสนากับพระมหินทรเถระ (ลุง)ในดินแดนสุวรรณภูมิ - ทรงอภิเษกกับเจ้าหญิงจันทราแห่งราชวงศ์สุวรรณปุระ (ไชยา) และ ก่อตั้งสุวรรณ ภูมิ นอกจากนั้น ทรงทํานุพุทธศาสนารุ่งเรืองจนได้รับพระนามว่า "พระเจ้าศรีธรรมโศกมหาราช” - พระองค์มีพระโอรส ๒ พระองค์ คือ เจ้าชายจตุคามและเจ้าชายราม เทพ ซึ่งทุก พระองค์ได้ร่วมกันสร้างความรุ่งเรือง โดยพัฒนาและขยาย อาณาเขตอย่างยิ่งใหญ่ภาพเจ้าชายจตุคาม และเจ้าชายรามเทพ
๙ ๑.๓ พระพุทธศาสนากับอารยธรรมขอม (บรรยาย ครั้งที่ ๓) ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ ม.ศิลปากร กล่าวว่า การตีความของชาวต่างชาติ จะคิดอีก แบบหนึ่งก็ได้ อาจจะเรื่องเดียวกัน แต่ความคิดเป็นคนละอย่างก็ได้ เพราะฉะนั้นเวลาเราไปตีความ มันมีดอกาสที่จะถูกหรือผิดก็ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งใด ที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจได้ว่า ว่าสิ่งที่เราคาด เดา นั้นถูกต้อง นั้นก็คือ อักษาจารึก เพราะสิ่งที่เขาไว้ คือ สิ่งที่เขาคิดแน่นอน เราจะเข้าใจความคิด ของคนโบราณได้ โดยการศึกษาศิลาจารึก ต่างๆ ในประเทศไทยเพิ่งเขียนได้ไม่นาน บ้านเราที่เป็น หลักการเขียนเป็นจารึกจริงๆ เขาเชื่อว่าเป็นจารึกที่เวียดนาม เพราะฉะนั้นเราจะใช้คำว่า ก่อนประวัติศาสตร์ โดยอาศัยการตีความเอา พอเข้าสู่การใช้ ตัวหนังสือมาอธิบายเรื่องราว เราเรียกว่าการเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ ในบ้านเราสมัย พ.ศ. ๑,๐๐๐ เริ่มมีการจารึกเป็นตัวหนังสือแล้ว เริ่มเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์แล้ว ถ้าเป็นประเทศอินเดีย ในทางตอน ใต้นั้น ในสมัยของราชวงค์ปัลลวะที่เรารู้จักกันดี ตัวหนังสือแบบแรกที่จารึกนั้น เรียกว่า จารึกโวคาญ เป็นจารึกที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ เชื่อว่าอายุ ๑,๗๐๐-๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิต คนคือ เราเกิดตายมาแล้ว ๑๘ ครั้ง อายุถึงจะเท่าจารึกหลักนี้ ศิลาจารึกนี้เป็นศิลาจารึกภาษาสันสกฤตที่เก่าที่สุดที่ค้นพบในแหลมอินโดจีนและหมู่เกาะ อินโดนีเซีย ค้นพบที่หมู่บ้านโวคาญ เขตเมืองญาตรัง เป็นจารึกที่สลักบนหินแกรนิต สูงกว่า ๒.๗๐ เมตร ตัดเป็นเสารูปสี่เหลียมกว้าง ๗๒ เซนติเมตร หนา ๖๗ เซนติเมตร ตัวอักษรที่จารึกมีขนาดใหญ่ ความสูงราว ๔ เซนติเมตร และคล้ายคลึงกับตัวอักษรบนจารึกของ รุทรทามัน (Rudradaman) ที่ คิ รนรร (Girnar) ของวาสิษฐีบุตร (Vasisthiputra) ที่กันเหริ (Kanheri) ซึ่งมีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษ ที่ ๗-๘ ศ. ฟิลลิโอซาต์ อธิบายว่า แม้จะจารึกในภาษาสันสกฤต แต่ต้นเค้าเดิมคงมาจากประเพณี ทมิฬ และคงไม่ใช่จารึกในพุทธศาสนา แต่แสดงประเพณีตามแบบศาสนาฮินดู และสรุปว่า พระเจ้า ศรีมาระอาจเป็นพระราชาในราชวงศ์ปาณฑยะทางประเทศอินเดียภาคใต้ จารึกโวคาญ
๑๐ ๑.๓.๑ ใครเป็นผู้สร้างจารึกโวคาญ ต้องดูความต่อไปนี้ ศรีมาร – เปาตร – ตนยา – กุล - นนทเนน “ลูกของตระกูลแห่งลูกสาว ของหลาน ของพระ เจ้าศรีมาระ" พระเจ้าศรีมาระ - มีลูก - ลูกของลูก (หลาน) - ลูกสาวของหลาน (เหลน) เหลน (ผู้หญิง) คนนี้แหละที่นับว่าอยู่ใน ตระกูลพระเจ้าศรีมาระ ลูกของคนที่เกิดในตระกูลนี้ (ซึ่งไม่รู้ว่านับจากเหลน คนนั้นก็รุ่น) เป็นคนสร้างจารึกหลักนี้ ๑.๓.๒ จารึกโวคาญ (Vo Cañh) จารึกโวคาญ (Vo Cañh) พบที่หมู่บ้านโวคาญ เมืองญาตรัง ประเทศเวียดนาม เป็นหลักฐาน ทางจารึกอักษรรุ่นแรกที่เก่าสุดในอุษาคเนย์ที่ได้รับอิทธิพลจากอักษรอินเดีย ศ.ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงเรียบเรียงบทความเกี่ยวกับจารึกโวคาญ จากภาษาฝรั่งเศสของ Jean Filliozard ลงในวารสารโบราณคดี เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๔ ทางเพจเห็นว่ามีประโยชน์แก่การศึกษา จารึกรุ่นแรกในอุษาคเนย์ จึงขอนำมาเผยแพร่ในชุดบทความคัดสรรประจำสัปดาห์ เป็นการแรกเริ่ม ซึ่งสามารถอ่านบทความฉบับเต็มได้ทีั่ลิงค์ของหอสมุดวังท่าพระ ๑.๓.๓ จารึกพระเจ้าภัทรวรมันที่ ๑ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรจามปา ครองราชย์เมื่อประมาณ ค.ศ. ๓๔๙-๓๖๙ (ประมาณ พ.ศ. ๘๙๒-๙๑๒) หรือเมื่อประมาณ ๑,๖๗๐ ปีที่แล้ว เรื่องราวของพระองค์น่าสนใจหลายเรื่อง ๑. ตัวหนังสือที่ใช้ในสมัยพระองค์ซึ่งเป็นสมัยแรกๆสุดของเอเชียอาคเนย์ น่าจะสืบ ทอดมาจากตัวหนังสือในจารึกโวคาญซึ่งไม่ใช่ตัวหนังสือที่รับมาจากอินเดียตอนใต้หรือจากราชวงศ์ปัล ลวะ แต่ไปคล้ายกับตัวหนังสือแบบราชวงศ์วากาฏกะ ซึ่งปกครองอินเดีย แถวภาคกลางๆ (ในภาพจะมี
๑๑ ตัวอย่างจารึกของราชวงศ์วากาฏกะ แต่จารึกหลักนี้อายุ น้อยกว่าจารึกของพระเจ้าภัทรวรมันแห่งจาม ปาเกือบร้อยปี แค่เอามาให้ดูเป็นตัวอย่างว่ามันคล้ายกันยังไง) ๒. การนําเอาชื่อกษัตริย์ไปรวมกับชื่อเทพ ภัทร+อิศวร - ภัทเรศวร ดูเหมือนในย่าน นี้ ถ้าดูหลักฐานที่พบในปัจจุบัน ท่านจะเป็นคนแรกที่ทําเช่นนี้ และท่านก็ใช้คําว่า วรมุม หรือ วรมัน ท้ายชื่อตามแบบอย่างของกษัตริย์อินเดียเป็นคนแรกในย่านนี้เช่นเดียวกัน ๓. เรื่องชื่อเทพ ภัพเรศวร ก็ ดี เรื่องกษัตริย์บูชายัญด้วยมนุษย์ก็ดี ที่ปรากฏในบันทึก ของจีน ๑.๓.๔ Đông Yên Châu inscription จารึกภาษาจามที่เก่าที่สุด ก่อน พ.ศ. ๑๐๐๐ พบเมื่อ ๑๙๓๖ (พ.ศ.๒๔๗๙) ที่ Đông Yên Châu ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ เมือง Tra Kiêu ใกล้กับเมืองอินทรปุระ เมืองหลวง เก่าของจาม ปัจจุบันอยู่ในประเทศเวียดนาม คําแปลที่ฝรั่งแปลไว้ Fortune this that serpent possess king. ๐ person respect in him, for him jewels fall from heaven. O person insult in him, for one thousand years remain in hell, with seven family he.
๑๒ ๑.๓.๕ จารึกมหานาวิกพุทธคุปต์ ข้อมูลทั่วไป อักษร : อักษรแบบราชวงศ์ปัลลวะ ภาษา : ภาษาสันสกฤต อายุ : พุทธศตวรรษที่ ๑๐ ลักษณะ : สถูปจําหลักนูนต่ํามีอักษรอยู่โดยรอบ สถานที่พบ : Bujang valley, Kedah, Malaysia ปัจจุบันอยู่ที่ : Indian Museum, Kolkata เนื้อหาโดยย่อ : ประกาศชื่อเจ้าของจารึกคือ มหานาวิกพุทธคุปต์, หลักธรรมเนื่องในพระพุทธศาสนา และคําอธิษฐาน ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ๑.๓.๖ จารึกพระเจ้าวีรจันทระ จารึกพระเจ้าวีรจันทระ แห่งเวสาลี อาณาจักรโบราณในรัฐอารกัน เมืองที่พุทธศาสนาตั้ง มั่นคงแห่งแรกๆ ในเอเชียอาคเนย์ - รัฐอารกัน หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า ยะไข่ เป็นที่ตั้งอาณาจักรโบราณร่วมสองพัน ปี หรือถ้าเชื่อตามตํานานก็ย้อนไปถึงห้า พันปี แต่หลักฐานที่สามารถจับต้องได้ พบว่าอาณาจักรแห่งนี้ รับพระพุทธศาสนาเข้ามาอย่างน้อยก็สองพันปี - ปัจจุบันเรารับรู้เรื่องราวของคนในถิ่นนี้ เป็นที่สร้างพระมหามัยมุนี และรู้จักแค่ว่า มีปัญหาเรื่องชาวโรฮิงญา แต่ถ้าได้ศึกษา ย้อนมองกลับไปในอดีตจะพบว่า บ้านเมืองเหล่านี้ตั้งเป็น อาณาจักรที่สืบทอดต่อกันมาถึงสองพันปี และเพิ่งจะเข้าร่วมเป็น ประเทศเดียวกับพม่าหลัง สงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ ๕ คือเมื่อไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมาแล้วนี่เอง
๑๓ - มีข้อมูลว่า จารึก เย ธัมมา ที่เขียนขึ้นในอาณาจักรนี้น่าจะเก่าเป็นลําดับต้นๆ ของ เอเชียอาคเนย์ทีเดียว ตามข้อมูลที่ รวบรวมมาได้บอกว่า จารึกเย ธัมมา ของที่นี่มีทั้งหมดทั้งที่เขียนบน แผ่นทอง แผ่นหิน อิฐ บนฐานพระและบนสกู๊ปรวม ๓๑ ชิ้น ชิ้นที่เก่าที่สุดที่บอกอายุสมัยได้ชัดเจน ที่สุดก็คือ จารึกเย ธัมมา สมัยพระเจ้านิติจันทระ ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๖๓-๑๑๑๘ โดยเป็น จารึกภาษาสันสกฤต ๔ บรรทัด สองบรรทัดแรกเป็นคาถา เย ธัมมา ส่วนอีกสองบรรทัดกล่าวถึงการ ทําบุญของเทวีของพระเจ้านีติจันทระนั่นเอง (จารึกที่เป็นภาษาบาลีน่าจะเก่ากว่านี้ แต่ไม่สามารถระบุ วันเดือนปีที่ชัดเจน
ตอนที่ ๒ สรุปบทเรียนสิกขาจารึก ๒.๑ ร่องรอยอารยธรรมทวารวดี อู่ทอง ๒.๑.๑ โบราณสถาน เจดีย์หมายเลข ๑๐ เจดีย์หมายเลข ๑๐ เป็นเนินปกคลุมไปด้วยต้นไม้ และมีร่องรอยการลักลอบขุดทั่วทั้งบริเวณ ได้รับการขุดแต่งจากกรมศิลปากรเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ และปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลม ความสูงประมาณ ๒ เมตร ก่ออิฐขึ้นไปแนวตรงไม่ย่อเป็นชั้น อีกทั้งเจดีย์หมายเลข ๑๐ พบชิ้นส่วน ของ องค์พระพุทธรูปปางสมาธิและระฆังหินขนาดเล็ก ๒.๑.๒ โบราณสถาน เจดีย์หมายเลข ๑๑ เจดีย์หมายเลข ๑๑ เป็นเนินสูงประมาณ ๒.๕๐ เมตร ยาวด้านละ ๒๐ เมตร ได้รับการขุดแต่ง จากกรมศิลปากรเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ และปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เจดีย์หมายเลข ๑๑ เป็นฐานรูปสี่เหลี่ยม จัตุรัส มีความยาวยาวด้านละ ๑๐.๖๐ เมตร สูง ๒.๕๖ เมตร ก่ออิฐขึ้นไปเป็นทางแนวตรง ที่ตั้ง : อยู่เชิงเขาทำเทียมนอกคันคูเมืองตะวันตก ๒.๑.๓ โบราณสถาน เจดีย์หมายเลข ๑๓ เจดีย์หมายเลข ๑๓ ที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก เป็นเจดีย์รูปทรง ๘ เหลี่ยม มีมุขยื่นสวยงาม เจดีย์หมายเลข ๑๓ มีความสูง ๓.๕ เมตร กว้าง ๒๐ เมตร บริเวณเจดีย์หมายเลข ๑๓ พบพระพุทธรูป ปางประทานธรรมประทับนั่งมีลักษณะเป็นศิลปะพื้นเมือง ซึ่งเชื่อว่าเป็นศิลปะสมัยทวารวดี ช่วงพุทธ ศตวรรษที่ ๑๖ และในปีที่ขุดแต่งเจดีย์หมายเลข ๑๓ ครั้งล่าสุดคือปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ที่ตั้ง : อยู่นอกคันคูเมืองทางทิศตะวันตก ๒.๑.๔ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ตั้งอยู่ในบริเวณทิศใต้ของที่ว่าการอำเภออู่ทอง จังหวัด สุพรรณบุรี ประกอบด้วยธรรมจักรศิลา พระพุทธรูปสำริด พระพุทธรูปดินเผา ประติมากรรมดินเผา ลูกปัด เครื่องประดับ เครื่องมือเครื่องใช้ ชิ้นส่วนสถาปัตยกรรม ลวดลายปูนปั้น ฯลฯ ประวัติ พ.ศ. ๒๔๔๖ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรี และเสด็จสำรวจเมืองโบราณอู่ทอง ทรง นิพนธ์เล่าเรื่องเมืองอู่ทองในรายงานเสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรีและทรงนิพนธ์หนังสือเรื่อง นิทานโบราณคดี
๑๕ พ.ศ. ๒๔๗๖ ราชบัณฑิตยสภาได้เริ่มทำการสำรวจทำแผนผังเมืองโบราณอู่ทองโดยสังเขป ซึ่ง ปรากฏว่าเป็นเมืองโบราณสำคัญที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีแห่งหนึ่ง พ.ศ. ๒๕๐๒ กรมศิลปากรได้จัดสร้าเพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ขึ้นเป็นอาคารชั่วคราว เพื่อเก็บรักษาโบราณวัตถุที่ได้จากการสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองโบราณอู่ทอง พ.ศ. ๒๕๐๔ กรมศิลปากรทำการสำรวจขุดแต่งโบราณสถานที่มีกระจายอยู่ทั่วไปในเมือง โบราณ พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๐๙ ศาตราจารย์ฌ็อง บัวสลีเยร์ (M.Jean Boisselier) ผู้เชี่ยวชาญด้าน โบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ชาวฝรั่งเศส และหัวหน้าหน่วยศิลปากรใน ขณะนั้น ได้ทำการสำรวจขุดแต่งโบราณสถานในเมืองอู่ทอง และศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีกับเมือง โบราณอู่ทอง พ.ศ. ๒๕๐๘-๒๕๐๙ กรมศิลปากรได้จัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทองขึ้นเป็น การถาวร เพื่อเก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุที่ได้จากขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อดำเนินการแล้ว เสร็จได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ ๒.๒ ร่องรอยอารยธรรมขอม ปราสาทเมืองสิงห์ ๒.๒.๑ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทยภายใต้ การดูแลของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยทางทิศเหนือในเขตตำบล สิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี แวดล้อมด้วยทิวเขาเป็นแนวยาวอยู่โดยรอบ ลักษณะผังเมือง เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลง กว้างประมาณ ๘๐๐ เมตร หมายถึงส่วนกว้างของ เมือง ยาวประมาณ ๘๕๐ เมตร และกำแพงสูง ๗ เมตร มีประตูเข้าออก ๔ ด้าน มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ภายในเมืองมีสระน้ำ ๖ สระ ประวัติ ปราสาทเมืองสิงห์ มีจุดมุ่งหมายสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา นิกาย มหายาน จากการขุดตกแต่งของกรมศิลปากรที่ค่อยทำค่อยไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘ แต่มาเริ่มบุกเบิกกัน จริงจังเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ แล้วเสร็จเป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ จึงสวยงามดังที่เห็นอยู่ ในวันนี้ ปราสาทเมืองสิงห์นี้กล่าวว่าสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของสมัยพระเจ้า
๑๖ ชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๐ - ๑๗๘๐) กษัตริย์นักสร้างปราสาทแห่งขอม จากการขุดแต่งของกรม ศิลปากร พบศิลปกรรมที่สำคัญยิ่งคือพระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และ นาง ปรัชญาปารมิตา และยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง รูปลักษณ์คล้ายกับที่ พบในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร แล้ว คงเหลือแต่องค์จำลองไว้ จากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา ซึ่งจารึกโดย พระวีรกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จารึกชื่อเมือง ๒๓ เมือง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้างไว้ มี เมืองชื่อ ศรีชัยสิงห์บุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าคือเมือง ปราสาทเมืองสิงห์ นี่เอง และยังมีชื่อของเมือง ละ โวธยปุระ หรือ ละโว้ หรือลพบุรี ที่มีพระปรางค์สามยอด เป็นโบราณวัตถุร่วมสมัย แต่ในเรื่องดังกล่าวรองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เห็นว่าการที่นำเอาชื่อเมืองที่ คล้ายคลึงกันในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาไปเปรียบเทียบกับบรรดาเมืองในเส้นทางคมนาคมในจารึก ปราสาทพระขรรค์อย่างง่ายๆ โดยไม่คำนึงถึงหลักภูมิศาสตร์ เท่ากับเป็นการบิดเบือนความจริงอย่าง มักง่าย๑ เพราะบรรดาปราสาทขอมที่เรียกว่าอโรคยาศาลนั้นมักพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (มีพบ บ้างในบางส่วนของจังหวัดปราจีนบุรี๒ ซึ่งปัจจุบันได้แยกเป็นจังหวัดสระแก้ว) และมีรูปแบบแตกต่าง จากปราสาทขอมที่พบในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างสิ้นเชิง๓ ตรงข้ามกับบรรดาปราสาทของที่พบบน เส้นทางคมนาคมจากละโว้ถึงเพชรบุรีและปราสาทเมืองสิงห์ แต่ละแห่งก็มีรูปแบบที่แตกต่างออกไป จะมีความคล้ายคลึงกันแต่รูปเคารพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และนางปรัชญาปารมิตาที่บ่งชี้ว่าน่าจะ แพร่หลายมาจากเมืองละโว้ และพระโพธิสัตว์บางองค์นำมาจากเมืองพระนครก็มี[๑] แต่หลักฐาน ทั้งหมดก็มิได้ปฏิเสธความสัมพันธ์ทั้งสังคมและวัฒนธรรมระหว่างละโว้กับเมืองพระนครในกัมพูชา๔ ในสมัย รัชกาลที่ ๑ เมืองสิงห์ได้มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่าน ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดให้เจ้า เมืองสิงห์เป็น พระสมิงสิงห์บุรินทร์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบ มณฑลเทศาภิบาล ดังนั้นจึงยุบเมืองสิงห์ให้เหลือเป็นฐานะเพียงตำบลหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ๑ ศรีศักร วัลลิโภคม รองศาสตราจารย์. พัฒนาการทางสังคม-วัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ , ๒๕๕๔. หน้า ๗๓. ๒ เรื่องเดียวกัน. หน้า๗๖. ๓ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๗๘. ๔ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๗๙.
๑๗ โบราณสถาน ปราสาทเมืองสิงห์ตั้งอยู่บริเวณที่ราบริมฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำแควน้อย พื้นที่โดยรอบโอบรอบ ด้วยภูเขาขนาดไม่สูงมากนัก บริเวณโบราณสถานจะมีกำแพงและคูคันดินเป็นชั้นๆ แนวกำแพง ดังกล่าวมีลักษณะเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยม คือแม่น้ำแควน้อยไหลผ่านด้านทิศใต้ ด้งนั้นพื้นที่ด้านนี้จึง ขยายออกไปตามแนวแม่น้ำ สำหรับด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือ แนวกำแพงต่อกัน เป็นรูปสีเหลี่ยม รอบนอกกำแพงจะเป็นคูคันดินล้อมรอบอยู่ โดยเฉพาะด้านตะวันตกปรากฏซากคัน ดินอยู่ถึง ๗ ชั้น กำแพงและคูดินนี้จะล้อมรอบกลุ่มโบราณสถานสำคัญ ซึ่งประกอบด้วยโบราณสถาน หมายเลข ๑ - ๔ กำแพงและประตู คูคันดิน สระน้ำ และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ โบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ สามารถแบ่งได้เป็นเช่นนี้ โบราณสถานหมายเลข ๑ โบราณสถานหมายเลข ๑ โบราณสถานหมายเลข ๑ ตั้งอยู่บริเวณใจกลางกลุ่มโบราณสถาน องค์โบราณสถานหันหน้าไปทางทิศตะวันออกและประกอบด้วยสิงห์สำคัญคือ ปรางค์ประธาน ระเบียง คด โคปุระ บรรณศาลาหรือบรรณาลัย และกำแพงแก้ว ปรางค์ประธานเป็นศูนย์กลางของโบราณสถานมีลักษณะเป็นปรางค์องค์เดียวทรงหอสูงคล้าย ฝักข้าวโพด องค์ประธานตั้งอยู่บนฐานย่อมุมไม้ ๒๐ ขนาดกว้างและยาวด้านละ ๑๓.๒๐ เมตร มีมุข ยื่นออกไปรับกับมุขด้านในของโคปุระทั้งสี่ทิศ โดยมุขด้านตะวันออกยาวกว่าด้านอื่นๆ และระหว่าง ปรางค์ประธานกับโคปุระด้านตะวันออกมีลานศิลาแลงเชื่อมเป็นลานกว้าง ระเบียนคดเป็นอาคารที่ ล้อมรอบองค์ปรางค์ประธาน ด้านเหนือและด้านใต้ยาวด้านละ ๔๒.๕๐ เมตร ด้านตะวันออกและด้าน ตะวันตกยาวด้านละ ๓๖.๔๐เมตร ตามมุมของระเบียนคดจะมีซุ้มทิศอยู่สี่มุม โคปุระหรือซุ้มประตูเข้าเป็นอาคารอยู่ระหว่างระเบียงคดทั้ง ๔ ด้าน ซึ่งอยู่ในแนวเดียวกับซุ้ม ขององค์ปรางค์ และมีทางเข้าเฉพาะซุ้มด้านทิศตะวันออกเท่านั้น บรรณศาลาหรือบรรณาลัยเป็นอาคารเล็กๆ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๔.๕๐เมตร ยาว ๕.๕๐ เมตร ตั้งอยู่ที่มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ขององค์ปรางค์ประธาน ประตูบรรณศาลามีประตู เดียวอยู่ทางตะวันตก สันนิษฐานว่าบรรณลัยนี้เป็นที่เก็บตำราหรือคัมภีร์ต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา กำแพงแก้วเป็นส่วนที่ล้อมรอบตัวปราสาทมีประตูเข้าทางตะวันออก กำแพงแก้วประกอบด้วยฐาน กว้าง ๒.๔๐ เมตร มีด้านกว้าง ๘๑.๒๐ เมตร และยาว ๙๗.๖๐เมตร โบราณสถานหมายเลข ๒ โบราณสถานหมายเลข ๒ ยังมีปรางค์ประธาน โคปุระ ๔ ด้าน แต่พังลงมามาก บูรณะได้น้อย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโบราณสถานหมายเลข๑ และมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
๑๘ เมตร ยาว ๕๔.๒๐ เมตร และสูง ๘๐ เมตร โบราณสถานหมายเลข ๒ ตั้งหันหน้าไปทางทิศ ตะวันออก และประกอบด้วยปรางค์ประธาน ระเบียงคดโคปุระ และกำแพงแก้ว ซึ่งมีลักษณะคล้าย กับโบราณสถานหมายเลข ๑ แต่มีขนาดเล็กกว่า โบราณสถานกลุ่มนี้ยังสร้างไม่เสร็จเรียบร้อย โบราณสถานหมายเลข ๑ และโบราณสถานหมายเลข ๒ เป็นอาคารที่สันนิษฐานว่า เป็นศา สนสถานที่สำคัญ มีองค์ปรางค์ประธานตั้งอยู่กลางอาคารและเป็นที่ตั้งของรูปเคารพที่สำคัญอีกด้วย การก่อสร้างใช้ศิลาแลงเป็นส่วนวัสดุสำคัญ วัสดุอืนๆที่ใช่ ประกอบอาคารคือ กระเบื้องดินเผา ไม้ ศิลา ทราย เหล็ก และอิฐ เป็นต้น การตกแต่งตัวอาคารใช้ปูนฉาบและประดับด้วยลายปูนปั้นตามปรางค์ ประธานและซุ้มทิศ ปูนปั้นใช้หินปูนและเปลือกหอยเผาบดแล้วผสมด้วยกาวหนังสัตว์หรือส่วนผสมที่มี ความข้นเหนียวและคลุกเคล้ากับน้ำอ้อยเพื่อให้ปูนแข็งตัวช้าทำให้ง่ายต่อการปั้นแต่งเป็นลวดลาย เทคนิคในการก่อสร้าง การก่อสร้างปรางค์ประธาน ซุ้มทิศ ระเบียง ล้วนใช้สิลาแลงและเรียงซ้อนขึ้นไป โดยมิได้ใช้ปูนสอ แต่บางแห่งก็ใช้เหล็กรูป ตัวไอ หรือ ตัวที ช่วยยึดระหว่างก้อนศิลา โบราณสถานหมายเลข ๓ โบราณสถานหมายเลข ๓ ตั้งอยู่นอกกำแพงแก้ว เป็นโบราณสถานขนาดเล็ก ก่อด้วยศิลาแลง อยู่บริเวณนอกกำแพงแก้วทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโบราณสถานหมายเลข ๑ องค์โบราณสถานมี ลักษณะเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กสร้างด้วยอิฐและศิลาแลง ซึ่งอาจจะเป็นฐานของเจดี ดังที่กรม ศิลปากรสันนิษฐานว่า สิ่งก่อสร้างสันนิษฐานว่าเป็นเจดี ๒ องค์ ฐานแรกมีขนาด ๕.๒๐ คูณ ๕.๒๐ เมตร เป็นฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูง ๑.๔๓ เมตร ลักษณะเป็นฐานเขียงสี่เหลี่ยม ก่อขึ้นไปเป็นฐานปัทม์(บัว คว่ำหงาย) ทั้งหมดนี้ก่อสร้างด้วยอิฐโดยใช้เทคนิคการเรียงอิฐแบบ Header Bond คือใช้ด้านสันของ อิฐโผล่ออกมาด้านนอก ชั้นบนของฐานปัทม์ขึ้นไปใช้ศิลาแลงก่อเป็นฐานเขียงอีกชั้นหนึ่ง...ฐานเจดีอีก องค์หนึ่งทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือใช้แลงก่อเป็นฐาน...ฐานเจดีอีกองค์นี้สภาพชำรุดมากจึงไม่ สามารถบอกขนนาดและลักษณะที่แน่นอนได้ โบราณสถานหมายเลข ๔ โบราณสถานหมายเลข ๔ อยู่ใกล้หมายเลข ๓ ยังบูรณะอยู่ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โบราณสถานหมายเลข๔โบราณสถานแห่งนี้เป็นอาคารรูปสี่เหลียมผืนผ้าแบ่งเป็นส่วนเรียงเป็นแถว แนวเหนือใต้ แต่ละส่วนมีขนาดกว้าง ๓.๙๐ เมตร และยาว ๖.๖๕ เมตร โดยเว้นระยะห่าง กัน ๐.๕๐ เมตรในแต่ล่ะส่วนทำเป็นขอบสูงขึ้นมาประมาณ ๔๐ เซนติเมตร บนฐานส่วนที่สองจากทิศของ ประติมากรรมตั้งอยู่ การก่อสร้างอาคารใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุสำคัญ
๑๙ ๒.๒.๒ ทางรถไฟสายมรณะ ทางรถไฟสายมรณะ (ทางรถไฟสายน้ำตก หรือ ทางรถไฟสายกาญจนบุรี เดิมเรียก ทางรถไฟ สายพม่า) เป็นเส้นทางรถไฟสายหนึ่งที่เริ่มต้นจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัด ราชบุรี ผ่านจังหวัดกาญจนบุรี ข้ามแม่น้ำแควใหญ่ โดยสะพานข้ามแม่น้ำแคว ไปทางทิศตะวันตก จนถึงด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงปลายทางที่เมืองตาน-พยูซะยะ ประเทศพม่า ในอดีตทางรถไฟสายมรณะมีความยาวจากหนองปลาดุกถึงสถานีตาน-พยูซะยะ รวม ๔๑๕ กิโลเมตร แบ่งเป็นทางรถไฟที่อยู่ในเขตประเทศไทยประมาณ ๓๐๓.๙๕ กิโลเมตร และอยู่ในเขตพม่า ๑๑๑.๐๕ กิโลเมตร มีจำนวนสถานีทั้งหมด ๓๗ สถานี ทางรถไฟสายนี้สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้ง ที่ ๒ โดยใช้แรงงานเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรและกรรมกรชาวเอเชียที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มาสร้าง เพื่อ ใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า ปัจจุบันเส้นทางนี้ไปสุดปลายทางที่ป้ายหยุดรถไฟน้ำตกไทรโยคน้อย บ้านท่าเสา ระยะทาง จากสถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตกเป็นระยะทางประมาณ ๗๗ กิโลเมตร การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเดินรถบนเส้นทางนี้ทุกวัน และมีการจัดรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพฯ-น้ำตก ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ จุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากคือช่วงสะพานข้ามแม่น้ำแคว และช่วงโค้ง มรณะ หรือช่วงระหว่างสถานีรถไฟลุ่มสุ่มและป้ายหยุดรถไฟถ้ำกระแซ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการสร้างสะพาน เลียบริมหน้าผาและแม่น้ำแควน้อย มีความยาวประมาณ ๔๐๐ เมตร ประวัติ ทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยรัฐบาลญี่ปุ่น ขอยืมเงินจาก รัฐบาลไทย จำนวน ๔ ล้านบาท การก่อสร้างใช้เวลาในการสร้างเสร็จเพียง ๑ ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า หลัง สงครามทางรถไฟบางส่วนถูกรื้อทิ้ง บางส่วนจมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ์ ทางรถไฟสายนี้ถือ เป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้น เนื่องจากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้าง เป็นของทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา เหตุที่ทางรถไฟสายนี้ได้ชื่อว่า ทางรถไฟสายมรณะ ก็เพราะว่า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ กองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดาและ นิวซีแลนด์ ประมาณ ๖๑,๗๐๐ คนและกรรมกรชาวชาวจีน ญวน ชวา มลายู พม่า อินเดีย อีกจำนวน มาก และคนไทยที่ถูกเกณฑ์เป็นทาสอีกนับแสนราย มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็น เส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า เพื่อลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งกำลังพล เพื่อจะไปโจมตีพม่าและ อินเดียต่อไป ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ เส้นทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแคว ใหญ่จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก
๒๐ ความทารุณของสงครามและโรคภัยตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่น คนต้องเสียชีวิตลง ทางรถไฟสายนี้สร้างเสร็จเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ และเปิดใช้ เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ปีเดียวกัน หลังสิ้นสุดสงครามรัฐบาลไทยได้จ่ายเงินจำนวน ๕๐ ล้านบาท เพื่อซื้อทางรถไฟสายนี้[๑]จาก อังกฤษ และทำการซ่อมบำรุงบางส่วนของเส้นทางดังกล่าว เพื่อเปิดการเดินรถตั้งแต่สถานีหนองปลา ดุกจนถึงสถานีน้ำตก โดยอยู่ในความดูแลของการรถไฟแห่งประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน เส้นทางรถไฟสายนี้เป็นอนุสรณ์ของโลกที่จารึกความโหดร้ายทารุณของสงครามโลกครั้งที่ ๒ และเป็นอนุสรณ์แก่ผู้เสียชีวิตในสงครามด้วย การท่องเที่ยว ทิวทัศน์ตลอดเส้นทางนี้มีความสวยงาม โดยเฉพาะบริเวณถ้ำกระแซ ที่เส้นทางรถไฟจะลัด เลาะไปตามเชิงผาเลียบไปกับลำน้ำแควน้อย ปัจจุบันทางรถไฟสายนี้สุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือ สถานีน้ำตก ระยะทางจากสถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตกเป็นระยะทางประมาณ ๗๗ กิโลเมตร การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดบริการเดินรถไฟขบวนปกติ ธนบุรี - น้ำตก ทุกวัน และจัด ขบวนพิเศษสายกรุงเทพ (หัวลําโพง) - น้ำตกไทรโยคน้อย ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ โครงการในอนาคต เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากเมืองย่างกุ้งว่าทางการ พม่าประกาศจะรื้อฟื้นเส้นทางรถไฟสายมรณะของไทย โดยนายอ่อง มิน รัฐมนตรีกระทรวงการรถไฟ พม่าซึ่งรับผิดชอบโครงการ เผยว่าได้ศึกษาความเป็นไปได้ของการบูรณะเส้นทางรถไฟ ความยาว ๑๐๕ กิโลเมตรจากด่านเจดีย์สามองค์ในพม่าไปยังเขตแดนไทย ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคมปี เดียวกันนี้ และทางการไทยได้รับปากที่จะให้ความช่วยเหลือ สำหรับการรื้อฟื้นเชื่อมต่อการเดินรถไฟ ข้ามแดนอีกครั้ง[๒]แต่ยังไม่มีการเริ่มดำเนินการจากฝั่งไทย สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับทางรถไฟสายมรณะ ๑. สะพานข้ามแม่น้ำแคว ๒. สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก ๓. พิพิธภัณฑ์สงครามอักษะและเชลยศึก ๔. พิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า ๕. หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ ๒ ๖. สุสานทหารสัมพันธมิตรช่องไก่ ๗. ช่องเขาขาด ๘. กาญจนบุรี
๒๑ รายชื่อสถานีสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ๑. กงม้า (คอนม้า) กม. ๒ + ๐๐๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๒. บ้านโป่งใหม่ กม. ๕ + ๑๘๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๓. เขาดิน กม. ๔๓ + ๑๕๔ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๔. ท้องช้าง กม. ๑๓๙ + ๐๕๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๕. ถ้ำผี กม. ๑๔๗ + ๕๒๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๖. หินตก กม. ๑๕๕ + ๐๓๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๗. แคนนิว กม. ๑๖๑ + ๔๐๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๘. ไทรโยค.. กม. ๑๖๗ + ๖๖๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๙. กิ่งไทรโยค กม. ๑๗๑ + ๗๒๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๑๐. ลิ่นถิ่น กม. ๑๘๐ + ๕๓๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๑๑. กุยแหย่ กม. ๑๙๐ + ๔๘๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๑๒. หินดาด กม. ๑๙๗ + ๗๕๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๑๓. ปรังกาสี กม. ๒๐๘ + ๑๑๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๑๔. ท่าขนุน กม. ๒๑๘ + ๑๕๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๑๕. น้ำโจนใหญ่ กม. ๒๒๙ + ๑๔๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๑๖. ท่ามะยอ กม. ๒๓๖ + ๘๐๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๑๗. ตำรองผาโท้ กม. ๒๔๔ + ๑๙๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๑๘. บ้านเกริงไกร กม. ๒๕๐ + ๑๓๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๑๙. คุริคอนตะ ๒๐. กองกุยตะ กม. ๒๖๒ + ๕๘๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๒๑. ทิมองตะ กม. ๒๗๓ + ๐๖๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๒๒. นิเกะ กม. ๒๘๑ + ๘๘๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๒๓. ซองกาเลีย กม. ๒๙๔ + ๐๒๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก ๒๔. ด่านเจดีย์สามองค์ กม. ๓๐๓ + ๖๓๐ นับจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก (สถานีจันการายา - ด่านพระเจดีย์สามองค์ฝั่งพม่า)
๒๒ ๒.๒.๓ วัดตะคร้ำเอน วัดตะคร้ำเอน เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลตะคร้ำเอน อำเภอ ท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี มีเนื้อที่ ๒๒ ไร่ ๒ งาน ๒๔ ตารางวา วัดตะคร้ำเอนสร้าง พ.ศ. ๒๔๙๘ โดยคหบดีทองหล่อ เช็งสุธา ได้เกิดศรัทธาจะสร้าง พระพุทธรูป รวม ๑๑๓ องค์ ในช่วงวันวิสาขบูชาเพื่อเป็นพุทธบูชาในปีที่จะครบกึ่งพุทธกาล โดยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่อเจ้าอาวาส พระครูประกาศสุนทรกิจ (หลวงพ่อสนธิ์) ได้ไปรับพระพุทธรูป และ อัญเชิญประดิษฐานเป็นพระประธานในอุโบสถ ราว พ.ศ. ๒๕๐๓–๒๕๐๔ หลวงพ่อเจ้าอาวาสได้นิมิต อยู่บ่อยครั้งว่า หลวงพ่อพระประธานไม่ประสงค์จะอยู่ในอุโบสถอยากจะอยู่หน้าอุโบสถ จึงได้อัญเชิญ มาประดิษฐาน ณ หน้าอุโบสถ เมื่อองค์พระลอกหลุดจึงคิดปิดทองอีก แต่หลวงพ่อท่านประสงค์สีดำคง ความสภาพเดิม จึงคงสภาพเดิมไว้ ชาวบ้านจึงเรียกว่า หลวงพ่อดำ๕ หลวงพ่อดำ เป็นพระพุทธรูปปาง มารวิชัยผสมผสานลักษณะอู่ทองประยุกต์ องค์พระเป็นสีดำสนิท หน้าตักกว้างประมาณ ๔๔ นิ้ว วัดตะคร้ำเอนเป็นศูนย์การอบรมคุณธรรม จริยธรรม สำหรับนักเรียน เยาวชน และประชาชน เป็นศูนย์กลางจัดกิจกรรมส่งเสริม ประเพณี วัฒนธรรม และภูมิปัญญาพื้นบ้าน๖ มีพิพิธภัณฑ์วัดตะคร้ำ เอนจัดแสดงในวิหารวัดตะคร้ำเอน (หลวงพ่อดำ) เป็นวิหารที่สร้างเลียนแบบศิลปะลพบุรี จัดแสดง ของเก่า เช่น ธนบัตรเก่า เงินเหรียญสมัยโบราณ อาวุธปืน เครื่องดินประเภทหม้อ ไห ถ้วย ชาม ฯลฯ ๒.๓ ร่องรอยอารยธรรมทวารวดี ขอม ราชบุรี ๒.๓.๑ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๙ โดยกรมศิลปากรได้ขออนุมัติใช้อาคารศาลากลางจังหวัดราชบุรีหลังเดิม ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ ปีพุทธศักราช ๒๔๖๕ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ใช้เป็นสถานที่จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ และเปิด อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๔ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ประกอบ ไปด้วยอาคารสำคัญ ๒ หลัง ได้แก่อาคารจัดแสดงนิทรรศการถาวร (ศาลารัฐบาลมณฑลราชบุรี) และ อาคารจัดนิทรรศการพิเศษ อาคารสำนักงาน และคลังโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ทำเนียบสมเด็จ เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) โดยมีการจัดแสดงนิทรรศการถาวรที่เน้นเรื่องราวของ ๕ "วัดตะคร้ำเอน". กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. ๖ "วัดตะคร้ำเอน". ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม.
๒๓ ท้องถิ่น ทั้งทางด้านธรณีวิทยา โบราณคดี ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ศิลป วัฒนธรรมพื้นบ้าน ชาติ พันธุ์วิทยา แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สำคัญของจังหวัดราชบุรี ๒.๓.๒ วัดมหาธาตุวรวิหาร วัดมหาธาตุวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร สร้างตั้งแต่สมัยของพระเจ้า ชัยวรมันที่ ๗ แห่งเขมร อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ถนนเขางู ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ตั้งอยู่เกือบใจกลางเมืองราชบุรี ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง เดิมเรียกว่า "วัด หน้าพระธาตุ" "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ" มีพระปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงสูง ๑๒ วา ภายในมีจิตรกรรมฝา ผนังที่พระปรางค์ เป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ปัจจุบันมีพระธรรมปัญญาภรณ์ (ไพบูลย์ ชินวํโส ป.ธ.๗) เจ้าคณะจังหวัดราชบุรี เป็นเจ้าอาวาส ประวัติ แรกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ วัฒนธรรมเขมรจากราชอาณาจักรกัมพูชาได้แพร่เข้าสู่ดินแดนราชบุรี จึงได้มีการก่อสร้างและ ดัดแปลงศาสนสถานกลางเมืองราชบุรีขึ้นเป็นพระปรางค์ และสร้างกำแพงศิลาแลงล้อมรอบเพื่อให้ เป็นศูนย์กลางของเมืองตามคติความเชื่อเรื่องภูมิจักรวาลของเขมร[๑] ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนต้น ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๑ ได้มีการก่อสร้างพระปรางค์แบบอยุธยาขึ้งซ้อนทับและสร้างพระปรางค์ บริวารขึ้นอีก ๓ องค์บนฐานเดียวกัน ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ย้ายเมืองราชบุรีจากฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออก ประชาชนก็ย้ายตามความเจริญไปด้วย วัด มหาธาตุจึงกลายเป็นวัดร้างไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. ๒๓๓๘ พระภิกษุองค์หนึ่งชื่อพระบุญมา ได้ธุดงค์มาเห็นวัดนี้มีสถานที่ร่มรื่น เหมาะ สำหรับการปฏิบัติธรรมจึงได้ขอความร่วมมือจากพุทธศาสนิกชนช่วยกันปัดกวาดซ่อมแซมเสนาสนะ ต่างๆ ในที่สุด วัดมหาธาตุจึงกลับมาเป็นศูนย์กลางของศาสนาเช่นเดิม และยังคงเป็นมาจนถึงปัจจุบัน ปฏิมากรรมที่สำคัญ พระปรางค์ประธาน เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และได้รับการ ซ่อมแซมเพิ่มเติมในสมัยอยุธยาตอนต้นตรงส่วนที่เป็นซุ้มด้านตะวันออก และภาพจิตรกรรมภายใน ประกอบด้วยพระปรางค์ประธานและพระปรางค์บริวาร ๓ องค์บนฐานเดียวกันมีการตกแต่งองค์พระ ปรางค์ทั้งหมดด้วยลวดลายปูนปั้นอย่างงดงาน ด้านตะวันออกของพระปรางค์ประธานมีบันไดและขึ้น มุขยื่น ภายในเป็นคูหาเชื่อมต่อกับพระปรางค์ ผนังภายในองค์พระปรางค์ทุกด้านมีภาพจิตรกรรมรูป พระอดีตพุทะเจ้า สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในสมัยเดียวกันกับการสร้างองค์พระปรางค์ พระวิหารหลวง อยู่ด้านหน้าพระปรางค์ภายนอกระเบียงคด เป็นซากอาคารในแผนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานด้านล่างสุด
๒๔ ก่อด้วยศิลาแลง ด้านหน้ามีมุขยื่น บนพระวิหารเคยมีเจดีย์ขนาดเล็กตั้งอยู่ แต่พังทลายลงหมด บนฐาน วิหารมีอาคารไม้โล่ง หลังคาเครื่องไม่มุงสังกะสี อาคารหลังนี้กล่าวกันว่า นายหยินบิดาของขุนสิทธิ สุวรรณพงศ์ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองราชบุรีเป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ พระวิหารนี้เคย เป็นที่ตั้งโรงเรียนพระอภิธรรมราชบุรี ภายในอาคารพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นแกนหิน ทรายขนาดใหญ่แสดงปางมารวิชัย ๒ องค์ ประทับนั่งหันพระปฤษฎางค์ชนกัน พุทธศิลปะแบบอยุยา ตอนต้น ด้านข้างทั้งสองและด้านหน้าของพระวิหารที่มุมด้านตะวันออกแยงเหนือและด้านตะวันออก เฉียงใต้ มีวิหารขนาดเล็ก ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายสีแดงปางมารวิชัยประทับนั่งหันพระ ปฤษฎางค์ชนกันคล้ายกับพระพุทธรูปบนพระวิหารหลวง พระอุโบสถ สันนิษฐานจากลักษณะทางสถาปัตยกรรมว่าสร้างขึ้นตอนปลายสมัยอยุธยาราว พุทธศตวรรษที่ ๒๒ ซ่อมแซมครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาลด ๒ ชั้น ๓ ตับ เป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ด้านหน้าและด้านหลังทำพาไลยื่นรองรับโครงหลังคาด้วยเสาปูนจำนวน ๓ ตับ ด้านข้างมีชายคาปีกนกโดยรอบ ฐานอาคารมีลักษณะศิลปะสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาตอน ปลาย คือแอ่นโค้งคล้ายท้องเรือสำเภาหรือที่เรียกว่าแอ่นท้องช้าง ซุ้มประตูหน้าต่างปั้นปูนประดับ กระจกเป็นซุ้มหน้านาง ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับนั่งบนฐาน ดอกบัว ด้านนอกโดยรอบมีกำแพงแก้วก่ออิฐถือปูนล้อมรอบ พระมณฑป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระปรางค์ประธานภายนอกกำแพงแก้วปัจจุบันอยู่ในเขต สังฆาวาสของวัด เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนในผังสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้ยี่สิบบนฐานเขียงรองรับฐานสิงห์ ผนัง รอบด้านมีซุ้มหน้าต่างทรงมณฑปด้านละ ๑ ซุ้ม เว้นด้านตะวันออกเป็นซุ้มประตูทางเข้ามีบันไดขึ้น – ลง เครื่องหลัวคาของพระมณฑปพังทลายลงหมดแล้ว ภายในพระมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธ บาททำด้วยหินทรายสีแดง ฝาผนังด้านในมีภาพจิตรกรรมเรื่องพุทธประวัติตอนเสด็จโปรดพระพุทธ มารดาบนดาวดึงส์ และตอนผจญกองทัพพญามาร ปัจจุบันมีสภาพลบเลือนเกือบหมด เพราะไม่มี หลังคาคลุมทำให้น้ำฝนชะล้างสีจนภาพเลอะเลือน พระมณฑปหลังนี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น พระเจดีย์ เป็นเจดีย์รายเรียงเป็นแถวอยู่ด้านหน้าพระมณฑปจำนวน ๕ องค์ เป็นพระเจดีย์ ทรงระฆังกลมจำนวน ๔ องค์ และพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองอีก ๑ องค์ ทั้งหมดเป็นศิลปะสมัย รัตนโกสินทร์ ที่ฐานของพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองมีจารึกบนแผ่นหินอ่อนความว่า พ.ศ. ๒๔๖๒ สาม เณรเซียะเล็ก พร้อมบุตรทิพ เจริญ ฮกเซ่งพิจารณาเห็นว่า พระเจดีย์เป็นปูชนียวัตถุถาวรจึงได้พร้อมใจ กันมีศรัทธาสร้างขึ้นไว้ในพระพุทธศาสนานิพ์พานปัจจ์โยโหตุอนาคตะฯ
๒๕ ความสำคัญ มวลสารวัตถุจากโบราณสถาน และโบราณวัตถุในที่นี้ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลย เดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้นำมาเป็นส่วนประกอบในการทำพระสมเด็จจิตรลดา โบราณสถานและโบราณวัตถุในที่นี้ดำรงมั่นคงสืบต่อยาวนานนับเป็นเวลามากกว่า ๗๕๐ ปี ๒.๓.๓ วัดโขลงสุวรรณคีรี วัดโขลงสุวรรณคีรี เป็นวัดในพระพุทธศาสนา สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่ที่ตำบลคูบัว อำเภอ เมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ตั้งมาประมาณ ๕๙ ปี เป็นวัดที่มีความสำคัญในฐานะเป็นศูนย์กลางของ ชาวพุทธในบริเวณตำบลคูบัว ประวัติ วัดโขลงสุวรรณคีรี ตั้งเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ หลวงพ่อธรรม สิริจนฺโท ได้ไปสร้างที่พักสงฆ์ มูลดินลักษณะคล้ายภูเขาขนาดย่อม (ปัจจุบันคือโบราณสถานสมัยทวา ราวดี หมายเลข ๑๘) สภาพเดิมมีต้นไม้ขึ้นปกคลุม รกทึบ มีพระพุทธรูปหินแดง ๓ องค์ ประดิษฐาน อยู่บนแท่นปูน มีเสาไม้แก่นเก่าๆ ไม่มีหลังคา ชาวบ้านเรียกสถานนี้ว่า “วัดโขลง” มาแต่เดิม พระพุทธรูป ๓ องค์ นี้สัณฐานตามพุทธลักษณะแล้วอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น จึงสันนิษฐานว่า “วัดโขลง” น่าจะเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นด้วยเช่นกัน แต่ตอนที่หลวงพ่อธรรมไป สร้างที่พักสงฆ์นั้น มีพระพุทธรูปเหลือเพียงองค์เดียว ชาวบ้านเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “หลวงพ่อ แดง” หลังจากหลวงพ่อธรรม สิริจนฺโท ได้สร้างที่พักสงฆ์ และจำพรรษาอยู่ที่วัดโขลงสุวรรณคีรีแล้วจึง ได้มีพระสงฆ์มาจำพรรษาเพิ่มขึ้น จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๐๔ กรมศิลปากร ได้ค้นพบโบราณสถานบ้านคูบัว จึงได้ดำเนินการขุด แต่ง และบูรณะโบราณสถานบ้านคูบัวทั้งหมด หลวงพ่อธรรม พร้อมด้วยชาวบ้านจึงได้เคลื่อนย้ายสิ่ง ปลูกสร้าง ซึ่งตั้งอยู่บนมูลดินซาก โบราณสถานลงมาปลูกบนพื้นราบรอบๆ โบราณสถาน พร้อมได้ เคลื่อนย้าย “หลวงพ่อแดง” ลงมาประดิษฐานไว้ในวิหาร วัดได้เจริญขึ้นตามลำดับมีสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้น หลวงพ่อธรรม สิริจนฺโท ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ พระครูเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท ที่ “พระครูสิริธรรมาภิรักษ์” จนถึง พ.ศ. ๒๕๓๔ ท่านได้มรณภาพ ต่อจากนั้นเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีได้แต่งตั้ง “พระครูสิทธิวชิราธร” เป็นเจ้าอาวาสวัดโขลงสุวรรณคีรี ตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดร้างมาก่อน โดยมาเริ่มฟื้นฟูเป็นที่พักสงฆ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ซึ่งอายุของ วัดนับได้เพียง ๕๙ ปีเท่านั้น กอปรกับสถานที่ตั้งวัดอยู่ห่างจากหมู่บ้าน ทำให้สิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายใน วัดไม่อยู่ในสภาพที่ถาวรและสวยงามเท่าที่ควร แต่ชาวบ้านต่างก็ภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วย อนุรักษ์ ดูแลโบราณสถานสำคัญ คือ โบราณสถานสมัยทวาราวดี ทางวัดได้มอบที่ดินของวัดส่วนหนึ่ง
๒๖ ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน โดยประชาชนชาวคูบัวร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด ราชบุรีร่วมกันก่อสร้าง เจ้าอาวาส ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลผู้บริหาร, สมภาร, เจ้าอาวาสที่ปกครองวัดสืบต่อกันมาเท่าที่ทราบนาม ของวัดโขลงสุวรรณคีรีจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีดังนี้ ๑) พระครูสิริธรรมาภิรักษ์ พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๓๔ ๒) พระครูสิทธิวชิราธร พ.ศ. ๒๕๓๔-๒๕๔๙ ๓) พระครูใบฎีกาสุพจน์ ธีรวํโส พ.ศ. ๒๕๕๐ ถึงปัจจุบัน ศาสนาสถานในวัด ๑) อุโบสถ อุโบสถ กว้าง ๒๒.๐๙ เมตร ยาว ๒๗.๐๙ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็น อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กทรงจตุรมุข ๒) ศาลาเอนกประสงค์ ศาลาเอนกประสงค์ กว้าง ๑๐.๓๐ เมตร ยาว ๑๘.๓๐ เมตร สร้าง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ๓) หอสวดมนต์ หอสวดมนต์ กว้าง ๑๔.๖๐ เมตร ยาว ๑๘.๒๐ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ๔) กุฏิสงฆ์ กุฏิสงฆ์ จำนวน ๖ หลัง เป็นอาคารไม้ ๕) วิหารพุทธสิริสุวัณณภูมิ ๖) โบราณสถานหมายเลข ๑๘ (วัดโขลงสุวรรณคีรี) ตั้งอยู่กลางเมืองคูบัวและมีขนาดสูง ใหญ่ที่สุดในโบราณสถานทั้งหมดของเมืองโบราณคูบัว สร้างด้วยอิฐขนาดใหญ่ เนื้ออิฐผสมด้วยแกลบ ข้าวเหนียวเมล็ดใหญ่ แล้วใช้ดินเหนียวเนื้อละเอียดผสมยางไม้หรือน้ำอ้อยเป็นดินสอหรือตัวประสาน นับเป็นอาคารพุทธศาสนสถานเนื่องในลัทธิมหายานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง โดยจากเค้าโครงหลักฐานที่ ปรากฏร่องรอยให้เห็น ทำให้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฐานของวิหาร เนื่องจากมีแผนผังเป็นรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้า มีบันไดขึ้นไปสู่ลานประทักษิณชั้นบนทาง ด้านทิศตะวันออก เปรียบเทียบได้กับสถูปที่ เมืองนาลันทา ประเทศอินเดีย ที่มีเครื่องบนเป็นเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ที่กึ่งกลาง โดยมีเจดีย์ทรง กลมขนาดเล็กเป็นบริวารที่มุมทั้งสีเข่นเดียวกัน ซึ่งมีลักษณะเป็นศิลปะทวารวดี ประมาณพุทธ ศตวรรษที่ ๑๔ ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๒ ๗) หอระฆัง-หอกลอง ๘) วิหารหลวงพ่อแดง ๙) โรงครัว กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ ๑๐) ศาลาเก็บรถ
๒๗ ๑๑) ศาลาปฏิบัติธรรม ๑๒) ศาลาบำเพ็ญกุศล ๑๓) ฌาปนสถาน ๑๔) กำแพงวัด ๑๕) ศาลปู่โสมเมม ๑๖) ศาลเจ้าแม่ทิพย์เกสร ๑๗) แท๊งน้ำที่รอน้ำฝน ๑๘) แท๊งน้ำบาดาล ๑๙) ห้องน้ำ-ห้องสุขา ๒๐) พิพิธภัณฑ์จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว เอกลักษณ์พิเศษวัดโขลงสุวรรณคีรี เอกลักษณ์พิเศษของวัดโขลงสุวรรณคีรีนั้น มีดังต่อไปนี้ ๑) หลวงพ่อแดง เป็นพระพุทธรูปศักดิ์ประจำวัดที่เก่าแก่ ที่ประชาชนตำบลคูบัว สักการบูชา และให้ความเคารพนับถือมายาวนาน ๒) อุโบสถจัตุรมุขประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของวัด เป็นอุโบสที่สวยงามมาก ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมและสักการะพระประธานในอุโบสถได้ทุกวัน ๓) พุทฺธสิริสุวณฺณภูมิ เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีดำที่มีนักท่องเที่ยว ประชาชนทั่วไป เมื่อวิ่งรถผ่านก็จะมองเห็นได้ชัดเจนเป็นที่สะดุดตา และที่ฐานด้านล่างพระพุทธสิริสุวรรณภูมินี้ก็ยังมี สถานที่ทำบุญ และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์วัตถุมงคลของวัด ที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยม ชมและสักการะได้ตามสะดวก ๔) พระพุทธศรีสุวรรณภูมิ จำลองอยู่ด้านล่างของฐานพระพุทธสิริสุวรรณภูมิที่ให้ ประชาชนทั่วไป และนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในวัดได้สักการะบูบูชาและปิดทองบูชา กิจกรรมในวัด ๑. เวียนเทียนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันวิสาขบูชา มาฆบูชา และวัน อาสาฬหบูชา เป็นต้น ๒. วันสำคัญทางราชการ เช่น ๑๒ สิงหา และ ๕ ธันวา ๓. ทำบุญตักบาตร ประจำวันพระ ๘, ๑๔ และ๑๕ ค่ำ ตลอดปี ๔. งานประเพณีสงกรานต์ ไทย-ยวน วัดโขงสุวรรณคีรี (THE OLD ราชบุรีแฟร์) ๑๓-๑๕ เมษายน ทุกปี
๒๘ ๒.๔ กิจกรรมโสเหล่เสวนา สิกขาจาริกวัดไร่ขิง นครปฐม ๒.๔.๑ วัดไร่ขิง วัดไร่ขิง เป็นวัดสำคัญตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำท่าจีน (เรียกอีกชื่อว่าแม่น้ำนครชัยศรี) ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย สร้างโดย "สมเด็จพระพุทธฒาจารย์ (พุก)" มีหลวงพ่อวัดไร่ขิงซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยเป็นพระประธาน ที่ชาวนครปฐมเคารพนับถือ เดิมเป็นวัดราษฏร์ ต่อมาจึงยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ประวัติ คนรุ่นเก่าได้เล่าสืบต่อกันมาว่า วัดไร่ขิงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๔ โดยพระธรรมราชานุวัตร (พุก) ชาวเมืองนครชัยศรี มณฑลนครชัยศรี (ต่อมา ท่านได้รับสถาปนาสมศักดิ์เป็น สมเด็จพระพุฒา จารย์ (พุก)) ในขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดศาลาปูนวรวิหาร ท่านได้กลับมาสร้างวัดไร่ ขิงและวัดดอนหวาย ซึ่งเป็นบ้านโยมบิดาและมารดาของท่าน แต่ยังไม่แล้วเสร็จ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) มรณภาพเมื่อปี วอก พ.ศ. ๒๔๒๗ รวมสิริอายุ ๙๑ ปี พระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๕ ปีระกา พ.ศ. ๒๔๒๘ ในการนี้พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณ หิศ สยามมกุฎราชกุมาร มาพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุพิเศษวัดศาลาปูน ดังนั้น งานทุกอย่างจึงตก เป็นภาระของพระธรรมราชานุวัตร (อาจ จนฺทโชโต) เจ้าอาวาสวัดศาลาปูนรูปที่ ๖ ซึ่งเป็นหลานชาย ของท่าน”๗ แต่ไม่ทราบว่าท่านกลับมาปฏิสังขรณ์วัดเมื่อใดหรือท่านอาจจะมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ตอน ที่ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระธรรมราชานุวัตรก็อาจเป็นไปได้ ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุ ๗๕ ปี และ เป็นเจ้าอาวาสวัดศาลาปูนรูปที่ ๖ ต่อจากสมเด็จพุฒาจารย์ (พุก) อย่างไรก็ตาม ในการปฏิสังขรณ์วัด ไร่ขิงในสมัยท่านอยู่ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๒๗ หรือ ๒๔๕๓ เป็นต้นมา สำหรับชื่อวัดนั้น มีเรื่องเล่าว่า พื้นที่วัดในอดีตมีชาวจีนปลูกบ้านอาศัยอยู่กันเป็นจำนวนมาก และชาวจีนที่มาปลูกบ้านอาศัยในบริเวณดังกล่าวก็นิยมปลูกขิงกันอย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นที่มา ของชื่อหมู่บ้านหรือชุมชนในแถบนี้ว่า “ไร่ขิง” นั่นเอง ต่อมาเมื่อมีชุมชนหนาแน่นมากยิ่งขึ้นจึงได้มีการ สร้างวัดเพื่อเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน ดังนั้น วัดจึงได้ชื่อตามชื่อของหมู่บ้านหรือชุมชนว่า “วัดไร่ขิง” ๗ หนังสืองานนมัสการปิดทองหลวงพ่อวัดไร่ขิง ปี พ.ศ. ๒๕๓๓
๒๙ ในราวปี พ.ศ. ๒๔๔๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศ วิหาร กรุงเทพฯ เสด็จตรวจเยี่ยมวัดในเขตอำเภอสามพราน สมเด็จฯ ได้เสด็จมาที่วัดไร่ขิง และทรงตั้ง ชื่อวัดใหม่ว่า “วัดมงคลจินดาราม” ทั้งทรงใส่วงเล็บชื่อเดิมต่อท้ายจึงกลายเป็น “วัดมงคลจินดาราม (ไร่ขิง)” เมื่อเวลาผ่านพ้นมานานและคงเป็นเพราะความกร่อนของภาษาจีนทำให้วงเล็บหายไป คงเหลือเพียงคำว่า “ไร่ขิง” ต่อท้ายคำว่า “มงคลจินดาราม” จึงต้องเขียนว่า “วัดมงคลจินดาราม-ไร่ ขิง” แต่ในทางราชการยังคงใช้ชื่อเดิมเพียงว่า “วัดไร่ขิง” สืบมาจนทุกวันนี้ ๒.๔.๒ หลวงพ่อวัดไร่ขิง องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๔ ศอก ๒ นิ้วเศษ สูง ๔ ศอก ๑๖ นิ้วเศษ ประดิษฐานอยู่บนฐานอยู่บนฐานชุกชี ๕ ชั้น เบื้องหน้าผ้าทิพย์ปูทอดลงมาองค์ หลวงพ่อวัดไร่ขิงประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ภายในอุโบสถ หันพระพักตร์ไปทางทิศอุดร (ทิศ เหนือ) ซึ่งหน้าวัดมีแม่น้ำนครชัยศรีหรือแม่น้ำท่าจีนไหลผ่าน จากหนังสือประวัติของวัดไร่ขิงได้กล่าวไว้ ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) ได้อัญเชิญมาจากวัดศาลาปูน โดยนำล่องมาทางน้ำด้วยการทำแพไม้ไผ่ หรือที่เรียกกันว่าแพลูกบวบรองรับองค์พระปฏิมากรณ์ เมื่อถึงหน้าวัดไร่ขิงจึงได้อัญเชิญขึ้น ประดิษฐานไว้ภายในอุโบสถ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ซึ่งเป็นวันสงกรานต์พอดีจึงมีประชาชน จำนวนมากมาชุมนุมกัน ในขณะที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นจากแพ สู่ปะรำพิธีได้เกิดอัศจรรย์แสงแดดที่ แผดจ้ากลับพลันหายไป ความร้อนระอุในวันสงกรานต์ก็บังเกิดมีเมฆดำมืดทะมึน ลมปั่นป่วน ฟ้า คะนอง และบันดาลให้มีฝนโปรยลงมาทำให้เกิดความเย็นฉ่ำและเกิดความปิติ ยินดีกันโดยทั่วหน้า ประชาชนที่มาต่างก็พากันตั้งจิตรอธิษฐานเป็นหนึ่งเดียวกัน ว่า “หลวงพ่อจะทำให้เกิดความร่มเย็น เป็นสุข ดับความร้อนร้ายคลายความทุกข์ให้หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำ เจริญงอกงามด้วย ธัญญาหารฉะนั้น” ดังนั้น วันดังกล่าวที่ตรงกับวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ของคนไทย ทางวัดจึงได้ ถือเป็นวันสำคัญ และได้จัดให้มีงานเทศกาลนมัสการปิดทองประจำปีหลวงพ่อวัดไร่ขิง สืบต่อมาจนถึง ทุกวันนี้ตำนานหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้นจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา หรือที่เรียกว่า "มุขปาฐะ" มีหลาย ตำนาน ดังนี้ ตำนานที่ ๑ ครั้งเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(พุก)ชาวเมืองนครชัยศรี ได้มาตรวจเยี่ยมวัดในเขต อำเภอสามพราน ได้เข้าไปในพระอุโบสถวัดไร่ขิง หลังจากกราบพระประธานแล้ว มีความเห็นว่าพระ ประธานมีขนาดเล็กเกินไป จึงบอกให้ท่านเจ้าอาวาสพร้อมชาวบ้านไปอัญเชิญมาจากวัดศาลาปูนฯ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยวางลงบนแบบไม้ไผ่และนำล่องมาตามลำน้ำและอัญเชิญขึ้นประดิษฐาน ในพระอุโบสถ ตรงกับวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ วันสงกรานต์พอดี ตำนานที่ ๒ วัดไร่ขิงสร้างเมื่อปีกุน พุทธศักราช ๒๓๙๔ ตรงกับปีสุดท้ายในรัชกาลที่ ๓ ต้นปี ในรัชกาลที่ ๔ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก)ซึ่งเป็นชาวเมืองนครชัยศรี ในขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์
๓๐ พระราชาคณะที่ "พระธรรมราชานุวัตร" ปกครองอยู่ที่วัดศาลาปูนวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้กลับมาสร้างวัดที่บ้านเกิดของตนที่ไร่ขิง เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูป สำคัญองค์หนึ่งจากกรุงเก่า ( จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ) มาเพื่อประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ แต่การสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ ท่านได้มรณภาพเสียก่อน ส่วนงานที่เหลืออยู่พระธรรมราชานุวัตร (อาจ จนฺทโชโต) หลานชายของท่านจึงดำเนินงานต่อจนเรียบร้อย และบูรณะดูแลมาโดยตลอดจนถึง แก่มรณภาพ ตำนานที่ ๓ ตามตำนานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับมีพระพุทธรูปลอยน้ำมา ๕ องค์ก็มี ๓ องค์ก็มีโดยเฉพาะในเรื่องที่เล่าว่ามี ๕ องค์นั้น ตรงกับคำว่า " ปัญจภาคี ปาฏิหาริยกสินธุ์โน " ซึ่งได้มีการเล่าเป็นนิทานว่า ในกาลครั้งหนึ่ง มีพี่น้องชาวเมืองเหนือ ๕ คน ได้บวชเป็นพระภิกษุใน พระพุทธศาสนาจนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมากได้พร้อมใจกันตั้ง สัตย์อธิษฐานว่า เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยให้สัตว์โลกได้พ้นทุกข์ แม้จะตายไปแล้ว ก็จะขอ สร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้ได้พ้นทุกข์ต่อไปจนกว่าจะถึงพระนิพานครั้งพระอริยบุคคลทั้ง ๕ องค์ ได้ดับ ขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าไปสถิตในพระพุทธรูปทั้ง ๕ องค์จะมีความปรารถนาที่จะช่วยคนทางเมืองใต้ที่อยู่ติด แม่น้ำให้ได้พ้นทุกข์ จึงได้พากันลอยน้ำลงมาตามลำน้ำทั้ง ๕ สาย เมื่อชาวบ้านตามเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำ เห็นเข้า จึงได้อัญเชิญและประดิษฐานไว้ตามวัดต่างๆ มีดังนี้ พระพุทธรูปองค์ที่ ๑ ลอยไปตามแม่น้ำบางปะกง ขึ้นสถิตที่วัดโสธรวรวิหาร เมืองแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกกันว่า "หลวงพ่อโสธร" พระพุทธรูปองค์ที่ ๒ ลอยไปตามแม่น้ำนครชัยศรี (ท่าจีน) ขึ้นสถิตที่วัดไร่ขิง เมืองนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง" พระพุทธรูปองค์ที่ ๓ ลอยไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสถิตที่วัดบางพลี เรียกกันว่า "หลวงพ่อ วัดบางพลี" แต่บางตำนานก็ว่า หลวงพ่อวัดบางพลีเป็นองค์แรกในจำนวน ๕ องค์ จึงเรียกว่า "หลวง พ่อโตวัดบางพลี " พระพุทธรูปองค์ที่ ๔ ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นสถิตที่วัดบ้านแหลม เมืองแม่กลอง เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม" พระพุทธรูปองค์ที่ ๕ ลอยไปตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเคราเมืองเพชรบุรี เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา" ส่วนตำนานของเมืองนครปฐมนั้นเล่าว่า มีพระ ๓ องค์ ลอยน้ำมาพร้อมกัน และแสดง ปาฏิหาริย์จะเข้าไปยังบ้านศรีมหาโพธิ์ ซึ่งมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ จึงได้เรียกตำบลนั้นว่า "บางพระ" พระพุทธรูป ๓ องค์ลอยไปจนถึงปากน้ำท่าจีนแล้วกลับลอยทวนน้ำขึ้นมาใหม่ จึงเรียกตำบลนั้นว่า "สามประทวน" หรือ "สัมปทวน" แต่เนื่องจากตำบลที่ชาวบ้านพากันไปชักพระขึ้นฝั่งเพื่อขึ้น
๓๑ ประดิษฐาน ณ หมู่บ้านของตน แต่ทำไม่สำเร็จ ต้องเปียกฝนและตากแดดตากลมจึงได้ชื่อว่า "บ้านลาน ตากฟ้า" และ "บ้านตากแดด" ในที่สุดพระพุทธรูปองค์แรกจึงยอมสถิต ณ วัดไร่ขิงเรียกกันว่า "หลวง พ่อวัดไร่ขิง" ส่วนองค์ที่ ๒ ลอยน้ำไปแล้วสถิตขึ้นที่วัดบ้านแหลมจังหวัดสมุทรสงคราม เรียกว่า "หลวง พ่อวัดบ้านแหลม" และองค์ที่ ๓ ลอยตามน้ำไปตามจังหวัดเพชรบุรี แล้วขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเครา เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา" ๒.๕ มรดกโลก พระนครศรีอยุธยา ๒.๕.๑ วัดมหาธาตุ วัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในวัดในเขตอุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา วัดมหาธาตุเป็นวัดที่มีความสำคัญยิ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นวัดที่ ประดิษฐานพระบรมธาตุใจกลางพระนคร และเป็นที่พำนักของสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสีอีก ด้วย วัดแห่งนี้จึงได้รับการก่อสร้างและดูแลตลอดเวลาจวบจนถูกทำลายและถูกทิ้งร้างลงหลังเสียกรุง ครั้งที่ ๒ ประวัติ พระปรางค์ประธานของวัดมหาธาตุ (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ก่อนที่จะพังทลายเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ วัดมหาธาตุเป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ใกล้วัดราชบูรณะ ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา สร้างในสมัย สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ขุนหลวงพะงั่ว เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๑๗ แต่ไม่แล้วเสร็จ เสด็จสวรรคตเสียก่อน และได้สร้างเพิ่มเติมจนเสร็จ ในสมัย สมเด็จพระราเมศวร โดย ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระปรางค์ประธาน และอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ใต้ฐานพระ ปรางค์ประธานของวัดมหาธาตุ เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๒๗ ซึ่งปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระ ราชหัตถเลขา ความสำคัญของวัดมหาธาตุนั้น นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุแล้ว ยัง ถือเป็นวัดที่เป็นศูนย์กลางเมืองและเป็นสถานที่จัดพระราชพิธีต่าง ๆ ของกรุงศรีอยุธยา โดยมีสมเด็จ พระสังฆราช ฝ่ายคามวาสีประทับอยู่ภายในวัด ส่วนพระสังฆราช ฝ่ายอรัญวาสีนั้น ประทับอยู่ที่วัดป่า แก้ว (วัดใหญ่ชัยมงคล) นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ ๆ พระศรีศิลป์และจหมื่นศรีสรรักษ์ พร้อมคณะได้ ซุ่มพลที่ปรางค์วัดมหาธาตุ ก่อนยกพลเข้าพระราชวังทางประตูมงคลสุนทร เพื่อจับกุมสมเด็จพระศรี เสาวภาคย์
๓๒ ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ปรางค์ของวัดองค์เดิมที่สร้างด้วยศิลาแลง ยอดพระปรางค์ได้ ทลายลงมาเกือบครึ่งองค์ถึงชั้นครุฑ แต่จะด้วยเหตุผลประการใดไม่ทราบ จึงยังมิได้ซ่อมแซมให้คืนดี ดั้งเดิมในรัชกาลนั้น ต่อมาสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงบูรณะใหม่รวมเป็นความสูง ๒๕ วา เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๗๖ และในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๕ - ๒๓๐๑ จนถึงช่วงเสียกรุงศรี อยุธยาครั้งที่๒ วัดมหาธาตุโดนทำลายจนเหลือเพียงซากปรักหักพังและถูกทิ้งร้าง ต่อมายอดพระ ปรางค์ได้พังทลายลงมาอีกครั้งในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ สิ่งก่อสร้าง พระปรางค์ขนาดใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันพังทลายลงมาหมดแล้ว แต่ราชทูตลังกาที่ได้เคยมาเยี่ยม ชมวัดมหาธาตุ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไว้ว่า ที่ฐานของพระปรางค์ มีรูปราชสีห์ หมี หงส์ นกยูง กินนร โค สุนัขป่า กระบือ มังกร เรียงรายอยู่โดยรอบ รูปเหล่านี้อาจหมายถึงสัตว์ในป่าหิม พานต์ที่รายล้อมอยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกนกลางของจักรวาล เจดีย์แปดเหลี่ยม เป็นเจดีย์ลดหลั่นกัน ๔ ชั้น ๘ เหลี่ยม ชั้นบนสุดประดิษฐานปรางค์ขนาด เล็ก ซึ่งเจดีย์องค์นี้จัดว่าเป็นเจดีย์ที่แปลกตา พบเพียงองค์เดียวในอยุธยา วิหารที่ฐานชุกชี ของพระประธานในวิหาร กรมศิลปากรพบว่ามีผู้ลักลอบขุดลงไปลึกถึง ๒ เมตร จึงดำเนินการขุดต่อไปอีก ๒ เมตร พบภาชนะดินเผาขนาดเล็ก ๕ ใบ บรรจุแผ่นทองเบารูปต่างๆ วิหารเล็ก วิหารเล็กแห่งนี้ มีรากไม้แผ่รากขึ้นเกาะเต็มผนัง รากไม้ส่วนหนึ่งได้ล้อมเศียร พระพุทธรูปไว้ พระปรางค์ขนาดกลางภายในพระปรางค์ มีภาพจิตรกรรม เรือนแก้วซึ่งเป็นตอนหนึ่งในพุทธ ประวัติ ตำหนักพระสังฆราช บริเวณพื้นที่ว่างทางด้านทิศตะวันตก เคยเป็นที่ตั้งพระตำหนัก พระสังฆราช ฝ่ายคามวาสี ราชทูตลังกาได้เล่าไว้ว่า เป็นตำหนักที่สลักลวดลายปิดทอง มีม่านปักทอง พื้นปูพรม มีขวดปักดอกไม้เรียงรายเป็นแถวเพดานแขวนอัจกลับ (โคม) มีบังลังก์ ๒ แห่ง จารึกแผ่นดีบุก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ มีการขุดค้นพบจารึกแผ่นดีบุกบริเวณกรุฐานพระปรางค์ พร้อมกับ โบราณวัตถุอีกหลายอย่าง ตัวจารึกเป็นอักษรไทยอยุธยา เนื้อหาโดยสังเขปเป็นคำอุทิศส่วนกุศลจาก การหล่อพระพุทธพิมพ์เท่าจำนวนวันเกิด การภาวนา และการบูชาพระรัตนตรัย ตอนท้ายระบุชื่อและ อายุของผู้สร้างพระพิมพ์คือ พ่ออ้ายและแม่เฉา อายุ ๗๕ ปี และระบุจำนวนวันตามอายุของตนว่า “.. ญิบหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยวัน..” (หมายถึง ๒๗,๕๐๐ วัน ซึ่งหากคำนวณแล้วจะพบว่าจำนวนวันมากกว่า ตามความจริงเล็กน้อย) เนื้อหาในจารึกแผ่นนี้จึงทำให้ทราบถึงการสร้างพระพิมพ์ในสมัยอยุธยาว่า นอกจากจะสร้างเพื่อสืบทอดศาสนาแล้ว ยังมีขนบการสร้างตามจำนวนเท่ากับวันเกิดของตนด้วย[๑]
๓๓ ๒.๕.๒ วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดพระศรีสรรเพชญ์หรือ วัดพระศรีสรรเพชญ เป็นอดีตวัดหลวงประจำพระราชวังโบราณ อยุธยา ตั้งอยู่ที่ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทางทิศเหนือของ วิหารพระมงคลบพิตรในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา๘ สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. ๒๐๓๕ โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ วัดพระศรีสรรเพชญ์ มีจุดที่น่าสนใจที่สำคัญคือเจดีย์ทรงลังกา จำนวนสามองค์ที่วางตัวเรียง ยาวตลอดทิศตะวันออกและทิศตะวันตก สร้างขึ้นเป็นองค์แรกทางฝั่งตะวันออก เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๓๕ โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พระราชบิดา) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๔๒ ก็ทรงให้สร้างเจดีย์องค์ต่อมา (องค์กลาง) ของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ (พระเชษฐาต่างพระมารดาของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒)และในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ ก็ทรงสร้างเจดีย์อีกองค์ในฝั่งทิศตะวันตกให้ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พระราชบิดาของสมเด็จ พระบรมราชาธิราชที่ ๔ (พระหน่อพุทธางกูร)) รวมเป็นสามองค์ตามปัจจุบัน วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดประจำวังที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา จึงกลายเป็นต้นแบบของ วัด พระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ในเวลาต่อมา ประวัติ ภาพพาโนรามิกตามเส้น (Linear panoramic) พระเจดีย์ประธาน ๓ องค์ซึ่งบรรจุพระบรม อัฐิสามารถเรียงจากซ้ายมาขวาได้ดังนี้ (๑) เจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (๒) เจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ และ (๓) เจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ วัดพระศรีสรรเพชญ์ เดิมในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ใช้เป็นที่ประทับ ต่อมาสมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถ ทรงสร้างพระราชมณเฑียรขึ้นใหม่ทางตอนเหนือ แล้วจึงโปรดฯให้ยกเป็นเขต พุทธาวาส เพื่อประกอบพิธีสำคัญต่าง ๆ ของบ้านเมือง จึงเป็นวัดในเขตพระราชวังที่ไม่มีพระสงฆ์จำ พรรษา ทั้งวัดพระศรีสรรเพชญ์ อยุธยา และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่างก็ถูกสถาปนาขึ้นในมูลเหตุ การสร้างวัดเดียวกันนั่นคือสร้างเพื่อเป็นวัดประจำพระราชวัง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๓๕ รัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง พระสถูปเจดีย์องค์ตะวันออก เพื่อบรรจุพระอัฐิของพระราชบิดา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และ ๘ ๑๔ สิ่งน่ารู้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ อยุธยา ไปเที่ยวกี่ครั้งก็ประทับใจ, เว็บไซด์: https://travel.kapook.com/ .สืบค้นเมื่อ ๐๗/๐๑/๒๕๖๐
๓๔ พระสถูปเจดีย์องค์กลางเพื่อบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ ผู้เป็นพระเชษฐา หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๐๔๒ พระองค์โปรดให้สร้างพระวิหารหลวงขึ้น ในปีต่อมา พ.ศ. ๒๐๔๓ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ทรงสร้างพระวิหาร ทรงหล่อพระพุทธรูป ยืนสูง ๘ วา (ประมาณ ๑๖ เมตร) หุ้มด้วยทองคำหนัก ๒๘๖ ชั่ง (ประมาณ ๑๗๑ กิโลกรัม) ประดิษฐานไว้ในวิหาร ถวายพระนามว่า พระศรีสรรเพชญดาญาณ ต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑โปรด เกล้าฯ ให้ย้ายมาประดิษฐานวัดพระเชตุพน และบรรจุชิ้นส่วนซึ่งบูรณะไม่ได้เหล่านั้นไว้ในเจดีย์องค์ ใหญ่ที่สร้างขึ้นแล้วพระราชทานชื่อเจดีย์ว่า เจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ เจดีย์องค์ที่ ๓ ถัดมาจากด้าน ทิศตะวันตกเป็น เจดีย์บรรจุพระอัฐิ ของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ซึ่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ (พระหน่อพุทธางกูร) พระราชโอรสได้โปรดให้สร้างขึ้น เจดีย์ทั้งสามองค์นี้เป็นเจดีย์แบบลังกา ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง พระที่นั่งจอมทอง ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กำแพงทางด้านติดกับ วิหารพระมงคลบพิตร เพื่อให้เป็นสถานที่ให้พระสงฆ์บอกเล่าหนังสือพระสงฆ์ ราวรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดหลวงแห่งนี้เป็นครั้งแรก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาโบราณราชธานินทร์ สมุหเทศาภิบาลมณฑล กรุงเก่าได้ดำเนิน การขุดสมบัติจากกรุภายในเจดีย์ พบพระพุทธรูป เครื่องทอง มากมาย และในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีการบูรณะวัดนี้จนมีสภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ๒.๕.๓ วิหารพระมงคลบพิตร วิหารพระมงคลบพิตร ตั้งอยู่ที่ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ทางทิศใต้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์มีจุดเด่นที่สำคัญคือ เป็นวิหารเก่าแก่ในเขต กำแพงเมือง ที่ได้รับการบูรณะอย่างดี ภายในวิหารมีพระมงคลบพิตร พระพุทธรูปประธานขนาดใหญ่ ที่เสียหายตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง แต่ได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมด ด้วยทองสำริดหุ้มทองตาม ปัจจุบัน ประวัติ สันนิฐานว่า พระวิหารสร้างขึ้นในสมัยราวแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โดยพระมงคล บพิตรเคยประดิษฐานอยู่ที่วัดชีเชียงมาก่อน จนกระทั่งสมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดให้รื้อซากของ วัดชีเชียง แล้วให้ชลอพระพุทธรูปมาไว้ทางด้านทิศตะวันตก แล้วให้สร้างมณฑปขึ้นครอบไว้๙ ๙ รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟาน ฟลีต (วัน วลิต) หน้า ๒๔๗ - E-Book Buffet : ห้องสมุด ประชาชน อ.ท่าบ่อ | พลิก PDF ออนไลน์ | PubHTML๕
๓๕ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๒๔๖ สมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ ยอดมณฑปต้องอสนีบาต (ฟ้าผ่า) ไฟไหม้ เครื่องบนมณฑปหักพังลงมาต้องพระเศียรหัก สมเด็จพระเจ้าเสือ จึงโปรดฯ ให้แปลงมณฑปเป็นวิหาร แต่ยังคงส่วนยอดของมณฑปไว้ แล้วซ่อมพระเศียรพระพุทธรูปใหม่ กระทั่งในรัชกาล สมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่หมด เปลี่ยนหลังคาคล้ายในปัจจุบัน เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งสุดท้ายวิหารและพระพุทธรูปถูกไฟไหม้ ชำรุดทรุดโทรม เครื่องบนวิหารหักลงมาต้องพระเมาฬี และพระกรข้างขวาหัก ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ พระยาโบราณราชธานินทร์ ตำแหน่งสุมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา คุณหญิงอมเรศร์สมบัติกับพวก ได้ขอยื่นเรื่องซ่อมแซมวิหาร แต่รัฐบาลไม่อนุญาต เนื่องจากต้องการที่ จะรักษาตามแบบอย่างทางโบราณคดี โดยจะออกแบบให้ปูชนียสถานกลางแจ้งเหมือนไดบุตสึของ ญี่ปุ่น แต่ด้วยเวลานั้นรัฐบาลยังไม่มีงบประมาณพร้อมในการดำเนินการ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ รัฐบาลสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงได้เริ่มการบูรณปฏิสังขรณ์ พระวิหารและองค์พระพุทธเสียใหม่ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ในคราวบูรณะพระมงคลบพิตรในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ กรมศิลปากรได้พบพระพุทธรุปบรรจุไว้ในพระอุระด้านขวา เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันเก็บรักษา อยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา และ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม พระมงคลบพิตร พระมงคลบพิตร เป็นพระพุทธรูปใหญ่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์องค์เดียวในประเทศไทย ลงรักปิด ทองมีแกนเป็นอิฐ ส่วนผิวนอกบุด้วยสำริด ทำเป็นท่อน ๆ มาเชื่อมกัน สูง ๑๒.๕๔ เมตร หน้าตักกว้าง ๔ วาเศษ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสมเด็จพระไชยราชา ราว พ.ศ. ๒๐๘๑ เดิมประดิษฐานอยู่ กลางแจ้ง ต่อมาในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ ๒.๕.๔ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนา มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยขึ้น โดยให้ย้ายการสอนพระปริยัติธรรมจากศาลาบอกพระปริยัติธรรม ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามไปตั้งที่วัดมหาธาตุ เพื่อเป็นที่เล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย และคฤหัสถ์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๐ และโปรดให้เรียกว่า มหาธาตุวิทยาลัย มหาธาตุวิทยาลัยได้เปิดทำการ สอนเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๒ และมีพระบรมราชโองการเปลี่ยนนามใหม่ว่า “มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” เมื่อ วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๙ โดยมีพระราชประสงค์จะให้ เป็นอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติยศของพระองค์สืบไป ดังปรากฏในประกาศพระราชปรารภในการก่อพระ ฤกษ์สังฆิกเสนาศน์ราชวิทยาลัยต่อไปนี้
๓๖ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้จัดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนเดิมในนามมหาธาตุ วิทยาลัยตลอดมา จนกระทั่งวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ พระมหาเถรานุเถระ ฝ่ายมหานิกาย จำนวน ๕๗ รูป มีพระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทัตตเถร) เป็นประธานได้ประชุมกัน ณ ตำหนักสมเด็จ วัด มหาธาตุฯ ประกาศให้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ดำเนินการจัดการศึกษาในรูปมหาวิทยาลัย ตาม พระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้เปิด การศึกษาในรูปแบบมหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้จัดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนเดิมในนามมหาธาตุ วิทยาลัยตลอดมา จนกระทั่งวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ พระมหาเถรานุเถระ ฝ่ายมหานิกาย จำนวน ๕๗ รูป มีพระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทัตตเถร) เป็นประธานได้ประชุมกัน ณ ตำหนักสมเด็จ วัด มหาธาตุฯ ประกาศให้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ดำเนินการจัดการศึกษาในรูปมหาวิทยาลัย ตาม พระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้เปิด การศึกษาในรูปแบบมหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา ตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปณิธานในการจัดการศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรของประเทศให้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มี ความสามารถในการรักษา และเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ พระ พิมลธรรม อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ รูปที่ ๑๕ มีความประสงค์จะปรับปรุงการศึกษา ภายในสถาบันการศึกษาที่เป็นอยู่ในขณะนั้นให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ต่อมาพระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทัตตมหาเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จึงจัด ประชุมพระเถรานุเถระฝ่ายมหานิกาย จำนวน ๕๗ รูป เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ และ ประกาศให้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ดำเนินการจัดการศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูงในระดับ มหาวิทยาลัย เปิดสอนระดับปริญญาตรี คณะพุทธศาสตร์เป็นคณะแรกเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ หลังจากนั้น พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้มีการปรับเปลี่ยนระบบการวัดผลมาเป็นระบบหน่วยกิต โดย กำหนดให้นิสิตต้องศึกษา อย่างน้อย ๑๒๖ หน่วยกิต และปฏิบัติศาสนกิจ ๑ ปีก่อนรับปริญญาบัตร ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เปิดสอนคณะครุศาสตร์ และในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ เปิดสอนหลักสูตร แผนกอบรมครูศาสนศึกษา ระดับประกาศนียบัตรและเปิดสอน คณะเอเชียอาคเนย์ และเปลี่ยนเป็น คณะมานุษยสงเคราะห์ศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ และในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ปรับหลักสูตรแผนกอบรมครู ศาสนศึกษาเป็นวิทยาลัยครูศาสนศึกษา และปรับเปลี่ยนหน่วยกิตเป็น ๒๐๐ หน่วยกิต อย่างไรก็ดี การจัดการเรียนการสอนช่วง ๒ ทศวรรษแรก ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากคณะสงฆ์และรัฐเท่าที่ควร ทำให้ประสบปัญหาด้านสถานะของมหาวิทยาลัย และงบประมาณเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถจัด การศึกษามาได้อย่างต่อเนื่อง
๓๗ ในวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๗ วุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบผ่านร่างพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยสงฆ์ พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ โดยมีพลเอก ประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๗ พระราชบัญญัติฉบับนี้มี ๑๓ มาตรา ประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ เล่ม ๑๐๑ ตอนที่ ๑๔๐ วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๗ สาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้คือรับรองวิทยฐานะเปรียญธรรม ๙ ประโยค และ ปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งให้มีศักดิ์และสิทธิเท่าปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยทั่วไป และให้มีคณะกรรมการการศึกษาของคณะสงฆ์เป็นผู้ควบคุมดูแลการจัดการศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์ พระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จการศึกษาวิชาพระพุทธศาสนา พ.ศ.๒๕๒๗ ทำให้ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเติบโตอย่างรวดเร็ว จากที่เคยมีวิทยาเขตเพียงหนึ่งแห่งใน พ.ศ.๒๕๒๗ ได้มีวิทยาเขตเพิ่มขึ้นเป็น ๙ แห่งใน พ.ศ.๒๕๓๔ มหาวิทยาลัยตั้งบัณฑิตวิทยาลัยใน พ.ศ.๒๕๓๑ และ เปิดการศึกษาระดับปริญญาโทในปีเดียวกัน ในวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๐ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้ ทรงลงพระปรามาภิไธยในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองฉบับ คือ พระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๔๐ และพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๔๐ และพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๐ โดยให้มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ นายแพทย์รัศมี คุณหญิงสมปอง วรรณิสสรได้ถวาย ที่ดินจำนวน ๘๔ ไร่ ๑ งาน ๓๗ ตารางวา ที่ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแก่ มหาวิทยาลัย รวมกับที่ดินที่มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการจัดซื้อเพิ่มเติม ปัจจุบันมีเนื้อที่ทั้งหมด ๓๒๓ ไร่ หลังจากนั้น ในวันที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรทูลเกล้า ถวายโฉนดที่ดินทั้ง ๒ แปลงเพื่อพระราชทานแก่มหาวิทยาลัย ต่อมา ในวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรเสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยทรงวางศิลา ฤกษ์อาคารสำนักงานอธิการบดีจนกระทั่ง ในวันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ มหาวิทยาลัยได้ย้าย ที่ทำการจากวัดมหาธาตุและวัดศรีสุดาราม กรุงเทพมหานคร มายังที่ทำการแห่งใหม่ ณ กิโลเมตรที่ ๕๕ ถนนพหลโยธิน ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในที่สุด วันที่ ๓ ธันวาคม
๓๘ พุทธศักราช สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้เสด็จพระราชดำเนินทรง ประกอบพิธีเปิดป้ายหอประชุม มวก ๔๘ พรรษา และเปิดป้ายมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ๑๐ ๒.๖ สํารวจอารยธรรมขอม กลุ่มปราสาทตาเมือน ๒.๖.๑ ปราสาทตาเมือน (ปราสาทบายกรีม) ปราสาทตาเมือน (อังกฤษ: Prasat Ta Muen, Prasat Ta Moen) หรือ ปราสาทบายกรีม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ ๘ ตำบลบ้านตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดเล็กที่สุดในอุทยาน ประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน ปราสาทตาเมือน อย่ห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ ๓๙๐ เมตร เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา หรือที่พักสำหรับคนเดินทาง๑๑ ๒.๖.๒ ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาเมือนโต๊ด (เขมร: ប្រាសាទតាមាន់តូច ตาม็วนโตจ - ตาไก่เล็ก) ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ ๘ ตำบลตาเมียง อำเภอ พนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทหลังหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่ง ประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน ปราสาทตาเมือนโต๊ดอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ ๗๕๐ เมตร และอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๓๙๐ เมตร ก่อ ด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ เชื่อกันว่าปราสาทแห่ง ๑๐ https://www.mcu.ac.th/pages/history ๑๑ https://th.wikipedia.org/wiki/%E๐ %B๘ %๙ B%E๐ %B๘ %A๓ %E๐ %B๘ %B๒ %E๐ %B ๘%AA%E๐%B๘%B๒%E๐%B๘%๙๗%E๐%B๘%๙๕%E๐%B๘%B๒%E๐%B๙%๘๐%E๐%B๘%A๑%E ๐%B๘%B๗%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๙๙
๓๙ นี้เป็นอโรคยศาลหรือสถานรักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยม สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ๑๒ ๒.๖.๓ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ใน เขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ ๘ ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาด ใหญ่ที่สุดในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตา เมือน ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม (ธม เป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่) ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่ สำหรับประกอบพิธีกรรม ตัวปราสาทตาเมือนธม หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศ ตะวันออก รับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้ ปราสาทตาเมือนธมประกอบด้วยปราสาทประธาน มีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทราย สองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน มีบรรณา ลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือ มีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ ข้อมูล กลุ่มปราสาทตาเมือน ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคันนาสามัคคี ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ตามรายทางสู่เมืองพระนครของขอม ในอดีตยังไม่มีความรับรู้ในเรื่องพรหมแดน ต่างประเทศ มีแต่เพียงแนวทิวเขาพนมดงรัก เป็นพรหมแดนธรรมชาติที่กั้นผู้คนสองดินแดนไว้ คน โบราณมีการ ใช้เส้นทางผ่าช่องเขาที่มีอยู่ตลอดแนว ในบางช่องเขามีการสร้างปราสาทหินขนาดเล็ก เช่น ช่องไชตะกูมีปราสาทแบแบก แต่สำหรับที่ช่องตาเมือนหรือตาเมียงนี้มีลักษณะพิเศษคือ มี ปราสาทหินสามหลังอยู่ใกล้ๆกัน เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก เรียกว่ากลุ่มปราสาทตาเมือน โดยปราสาทแต่ละหลังมีขนาดและประโยชน์ที่ใช้สอยแตกต่างกันไป ๑๒ https://th.wikipedia.org/wiki/%E๐ %B๘ %๙ B%E๐ %B๘ %A๓ %E๐ %B๘ %B๒ %E๐ %B ๘%AA%E๐%B๘%B๒%E๐%B๘%๙๗%E๐%B๘%๙๕%E๐%B๘%B๒%E๐%B๙%๘๐%E๐%B๘%A๑%E ๐%B๘%B๗%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๙๙%E๐%B๙%๘๒%E๐%B๘%๙๕%E๐%B๙%๘A%E๐%B๘%๙๔
๔๐ ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้าง คร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม อยู่ใกล้ ดินแดนเขมรมากที่สุด ปราสาทแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทาง ทิศตะวันออก คงจะรับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งแปลตรงกับภาษาเขมรว่า ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน บรรณาลัยศิลาแลง สองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือมีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ เนื่องจากปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้เขตชายแดน การเที่ยวชมจึงควรอยู่เฉพาะภายในเขตปราสาท เท่านั้น ไม่ควรเดินออกไปไกลจากแนวต้นไม้รอบปราสาทเพราะพื้นที่นี้ยังไม่ปลอดภัยนัก ปราสาทตาเมือนโต๊ด อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม ประมาณ ๗๕๐ เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ โดยเชื่อว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรค ยาศาล รักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้า ชัยวรมันที่ ๗ ๑๓ ปราสาทตาเมือน (บายกรีม)อย่ห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด ประมาณ ๓๙๐ เมตร เป็น ปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา คือที่พักสำหรับคน เดินทาง กลุ่มปราสาทตาเมือนนี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มปราสาทที่มีความสมบูรณ์ในด้านของการอำนวย ประโยชน์ แก่ผู้คนที่ใช้เส้นทางผ่านช่องเขา ซึ่งไม่ปรากฏในถิ่นอื่น การที่มีกลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ ในบริเวณนี้เป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า ในอดีตเส้นทางช่องเขาตาเมือนนี้คงจะมีชุมชนหรือ เป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญของภูมิภาค การเข้าชม เนื่องจากกลุ่มปราสาทนี้ตั้งอยู่ในเขตชายแดนประเทศไทย ทำให้การเข้าถึงตัวปราสาทเข้าได้ เฉพาะฝั่งไทยเท่านั้น ส่วนฝั่งกัมพูชาอาจเข้าถึงได้ยากเพราะทางหลวงเก่าถูกป่าไม้กลืนกินหมดแล้ว ในช่วงกรณีพิพาทพรมแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การถือครองปราสาทพระวิหาร การปะทะริม ชายแดนขยายไปถึงตาเมือน ทำให้ต้องหยุดเข้าชมวิหารชั่วคราว หลังจากนั้นแรงกดดันมีมากขึ้น ทำให้ ๑๓ Uchida, Etsuo; Ito, K.; Shimizu, N. (๒๐๑๐). "Provenance of the Sandstone Used in the Construction of the Khmer Monuments in Thailand". Archaeometry. ๕๒ (๔). doi:๑๐.๑๑๑๑/j.๑๔๗๕- ๔๗๕๔.๒๐๐๙.๐๐๕๐๕.x. สืบค้นเมื่อ ๑๑ November ๒๐๑๕.
๔๑ นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางไปไกลกว่าทางเข้าหลักทางใต้เพียงไม่กี่เมตร โดยมีตำรวจตระเวน ชายแดนประจำการตรงนี้๑๔ นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๓ ทางเข้าปราสาทฝั่งกัมพูชาเริ่มง่ายขึ้นเพราะมีการพัฒนาถนนแล้ว ซึ่ง สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๕๒ แล้วเปิดใช้งานใน พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยเป็นถนนลูกรังสีแดงที่มีความยาว ๒๔ กิโลเมตร (แต่ไม่นานมานี้ได้พัฒนาเป็นถนนยางมะตอย) และถนนคอนกรีตขึ้นเขา ๕๐๐ เมตร ผู้เข้า ชมควรจอดรถในบริเวณใกล้เนินเขา เพราะพื้นที่บางส่วนชันเกิน เมื่อถึงยอดเขา นักท่องเที่ยวสามารถ ชมทิวทัศน์ของทิวเขาพนมดงรักพร้อมกับต้นไม้ใหญ่และดอกไม้ป่า๑๕ ๑๔ Panchali, Saikia (August ๒ ๐ ๑๒). "The Dispute over Preah Vihear: Seen Problems, Unseen Stakes" (PDF). IPCS Special Report. Institute of Peace and Conflict Studies. ๑๒๙. สืบค้นเมื่อ ๑๑ November ๒๐๑๕. ๑๕ http://www.camnews.org/๒๐๑๒/๐๘/๑๓/ប្រាសាទតាមាន់ធំ-និង-តាប្ររបី
ตอนที่ ๓ ถอดบทเรียนสิกขาจาริก ๓.๑ ความในใจที่อยากบอก ความประทับใจในอุทยานประวัติศาสตร์เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สวยงาม มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมครั้งใดก็รู้สึกประทับใจทุกครั้ง บรรยากาศภายในร่มรื่นทั้งต้นไม้และ ตระพังหรือสระน้ำ ที่ให้ความรู้สึกสงบ ร่มเย็น อยากจะกลับเข้าไปในสถานที่นี้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า ศิลปกรรม สถาปัตยกรรมก็มีความอ่อนช้อย ไม่เคยรู้สึกเสียดายซักวินาทีที่ได้กลับเข้ามาเยี่ยมชม สถานที่บรรพบุรุษไทยได้เสียหยาดเหงื่อแรงกายสร้างไว้ในคนรุ่นหลังได้ศึกษาด้วยความภาคภูมิใจ สิ่งที่อยากให้ผู้ที่จัดโครงการในครั้งต่อไป ได้ดำเนินการเพื่อให้การสิกขาจาริกเกิดประโยชน์ สูงสุดต่อผู้ที่มาร่วมเดินทาง ดังนี้ ๓.๑.๑ จัดการเดินทางในต่างประเทศ ในกลุ่มอาเซียนบ้าง ๓.๑.๒ ควรมีการจัดร่วมกับวิทยาเขตอื่นๆ หรือ ร่วมกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ เพื่อได้แลกเปลี่ยน ทัศนคติต่างสถาบัน ๓.๑.๓ กาแฟ ห้องน้ำ บนรถบัสไม่เพียงพอ ต่อความต้องการ ๓.๒ ประโยชน์ที่รับในการสิกขาจาริกในครั้งนี้ โบราณสถาน และโบราณวัตถุ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทหนึ่ง ที่อาจบอกความ เป็นมาของกลุ่มชน หมู่บ้าน เมือง และประเทศชาติ นับตั้งแต่อดีตกาลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันได้ เป็น หน้าที่ของชนรุ่นปัจจุบัน ที่จะต้องอนุรักษ์ทรัพยากรวัฒนธรรมประเภทนี้ไว้ และใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า "...โบราณสถานนั้นเป็นเกียรติของชาติ อิฐเก่าๆ แผ่นเดียวก็มีค่า ควรจะช่วยกันรักษาไว้ ถ้าเราขาด สุโขทัย อยุธยา และกรุงเทพฯ แล้ว ประเทศไทยก็ไม่มีความหมาย" นี่คือ กระแสพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ ในวโรกาสที่เสด็จ ประพาสอยุธยา ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันความสำคัญอย่างยิ่งของโบราณสถาน ที่มีต่อการพัฒนา ประเทศชาติ โดยเฉพาะความสำคัญ ที่เป็นคุณค่าทางจิตใจ
๔๓ ประโยชน์ของโบราณสถานและโบราณวัตถุ อาจกล่าวได้ว่า โบราณสถาน และโบราณวัตถุนั้น มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศชาติถึง ๒ นัย คือ ๑. นัยที่เกี่ยวเนื่องกับจิตใจของประชาชน กล่าวคือ โบราณสถานย่อมแสดงความเป็นมาของประเทศ เป็นเกียรติ และความภาคภูมิใจ ของคนในชาติ เป็นสิ่งที่โยงเหตุการณ์ในอดีต และปัจจุบันเข้าด้วยกัน และเป็นสิ่งที่เรานำมากระตุ้น จิตสำนึกของคนในชาติได้ ๒. นัยที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวคือ โบราณสถาน และโบราณวัตถุนั้นเป็น "มรดกวัฒนธรรม" ที่แสดง "เอกลักษณ์" ของ ประเทศ จึงทำให้เกิดมี "การท่องเที่ยววัฒนธรรม" ทำรายได้มหาศาลได้แก่ ท้องถิ่นที่มีมรดกวัฒนธรรม ของตนเอง การท่องเที่ยววัฒนธรรมนี้ ก่อให้เกิดธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องอีกหลายประการ เช่น ธุรกิจการค้า ขายอาหาร ธุรกิจการโรงแรม ธุรกิจการจัดพาหนะเดินทาง และธุรกิจการผลิต และจำหน่ายของที่ ระลึก เป็นต้น หากรัฐและประชาชนร่วมมือกัน อนุรักษ์โบราณสถาน และโบราณวัตถุ ก็จะทำให้เกิด ประโยชน์ แก่ประเทศชาตินานัปการ แต่ก็ยังมิได้มีกฎหมาย กำหนดลงชัดเจนว่า ประชาชนทั่วไป มี หน้าที่ต้องช่วยอนุรักษ์ด้วยหรือไม่ วิชาการอนุรักษ์นั้น เป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับวิชา โบราณคดี กรมศิลปากรนิยามคำ "การอนุรักษ์" ว่าหมายถึง "การดูแลรักษาเพื่อให้คงคุณค่าไว้ และให้ หมายรวมถึงการป้องกัน การรักษา การสงวน การปฏิสังขรณ์และการบูรณะด้วย" ยิ่งกว่านั้นกรม ศิลปากรยังนิยามคำ "การสงวนรักษา การปฏิสังขรณ์และการบูรณะ" ไว้อีกโสดหนึ่ง ประโยชน์ของโบราณสถาน และโบราณวัตถุ สรุปได้ดังนี้ ๑. แสดงความเป็นมาของประเทศ ๒. เป็นเกียรติและความภาคภูมิใจของคนในชาติ ๓. เป็นสิ่งที่โยงเหตุการณ์ในอดีต และปัจจุบันเข้าด้วยกัน ๔. เป็นสิ่งที่ใช้อบรมจิตใจของคนในชาติได้
๔๔ ๓.๓ สถานที่ที่อยากจะไป ในครั้งต่อไป สถานที่เกี่ยวกับ “อารยธรรมทวารวดี ศรีวิชัย ขอมไ ที่ข้าพเจ้ามีความสนใจ อยากให้ทาง คณาจารย์จัดให้นิสิตได้ไปชม ในครั้งต่อไป ได้แก่ ๓.๓.๑ นครวัด นครธม ประเทศกัมพูชา ๓.๓.๒ เจดีย์เฉินก๊วก (Tran Quoc Pagoda) ประเทศเวียดนาม ๓.๓.๓ บุโรพุทโธ โบโรบูดูร์ Borobudur ประเทศอินโดนีเซีย