พระปลัดสมหมาย สุรปญฺโญ (ใจงาม) นิสิตชั้นปีที่ 4 หลักสูตร พธ.บ. (พระพุทธศาสนา) รหัส 6309501012 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ลำ ดับโบราณสถาน (อารยธรรมขอมในประเทศไทย)
พ.ศ.800-1000 พ.ศ.1000-1200 ปราสาทเมืองเพนียด ตำ บลคลองนารายณ์ อำ เภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี กษัตริย์ : พระเจ้าจิตรเสน ปราสาทเขาน้อยสีชมพู ตำ บลคลองน้ำ ใส อำ เภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ลำ ดับโบราณสถานขอมในประเทศไทย พ.ศ.1200-1300 กษัตริย์ : พระเจ้าชัยวรมันที่ 1 ปราสาทภูมิโปน ตำ บลดม อำ เภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์
พ.ศ.1400-1500 พ.ศ.1500-1600 กษัตริย์ : พระเจ้าอินทรวรมัน - พระเจ้ายโศวรมัน ปราสาทพนมวัน ตำ บลบ้านโพธิ์ อำ เภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทเขาปลายบัด ตำ บลยายแย้มวัฒนา อำ เภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ปรางค์ปู่จ่า ตำ บลนาเชิงคีรี อำ เภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย กษัตริย์ : พระเจ้าราเชนทรวรมัน - พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 - พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 1 - พระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 ปราสาทเมืองแขก ตำ บลโคราช อำ เภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทสระกำ แพงใหญ่ ตำ บลสระกำ แพงใหญ่ อำ เภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ปราสาทกู่กาสิงห์ ตำ บลกู่กาสิงห์ อำ เภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ปราสาทตาเมือนธม ตำ บลตาเมียง อำ เภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทสะด็อกก็อกธม ตำ บลโคกสูง อำ เภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว พ.ศ.1300-1400 กษัตริย์ : พระเจ้าชัยวรมันที่ 2
พ.ศ. 800-1000
ปราสาทเมืองเพนียด เมืองเพนียดหรือเมืองกาไว เป็นเมืองโบราณในจังหวัดจันทบุรี ปัจจุบัน ตั้งอยู่ในพื้นที่ ตําบลคลองนารายณ์ อําเภอเมืองจันทบุรี จังหวัด จันทบุรี เชิงเขาสระบาปติดลําน้ําสาขาซึ่งไหลออกสู่ทะเลอ่าวไทย ลักษณะผังเมือง คล้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีคันดินล้อมรอบ พื้นที่ราว ๑,๖๐๐ ไร่ อายุราว พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘ พบหลักฐานสําคัญ อาทิ กลองมโหระทึก จารึก จํานวน ๓ หลัก คือ ๑. จารึกวัดทองทั่ว - ไชยชุมพล (อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒) ๒. จารึก เพนียด ๑ (อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕) และ ๓. จารึกเพนียด ๕๒ (อายุ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕) และหลักฐานมากมาย เช่น พระหริหระ แบบพนม ดา (อายุราว พ.ศ. ๑๐๘๐-๑๑๕๐) ทับหลังในสมัยต่างๆ โดยเฉพาะ แบบถา ลาบริวัต (พ.ศ. ๑๑๕๐) ซึ่งเป็นลักษณะทางด้านศิลปกรรมของ วัฒนธรรม เขมรโบราณที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดียอันเก่าแก่ที่สุด ในประเทศไทย ราว พุทธศตวรรษที่ ๑๒ แสดงให้เห็นว่า เมืองเพนียด เป็นเมืองท่าใน วัฒนธรรมเขมรที่ใกล้ชิดกับอินเดีย และเป็นชัยภูมิสําคัญ ที่เชื่อม อารยธรรมจากต่างถิ่นเข้าสู่พื้นที่ตอนในแผ่นดิน
พ.ศ.1000-1200
พระเจ้าจิตรเสน พระเจ้ามเหนทรวรมัน (เขมร: មហេ ន្ទ្រ វ ន្ទ្រ រ្ម័ន រ្ម័ , อักษรโรมัน: MAHENDRAVARMAN, จีน: 摩 訶 陀 羅 跋 摩 , พินอิน: MÓHÈTUÓLUÓBAMÓ; สวรรคต พ.ศ. 1159) หรือพระนามเดิมว่า จิตร เสน เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละ ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1143 – 1159 พระเจ้ามเหนทรวรมัน เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละ ระหว่างปี พ.ศ. 1143 – 1159 ซึ่งอาณาจักรเจนละจะกลายเป็นอาณาจักร พระนครในยุคถัดมา พระองค์เป็นพระญาติสนิทของพระเจ้าภววรมันที่ 1 (เขมร: ភវវរ្ម័ន រ្ម័ ទី១) ทรงเข้าร่วมกองทัพของพระเจ้าภววรมันที่ 1 เพื่อพิชิต อาณาจักรฟูนานและสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าภววรมันที่ 1 ในพระ นามว่ามเหนทรวรมัน พระเจ้ามเหนทรวรมัน ทรงแต่งตั้งราชทูตไปอาณาจักรจามปาเพื่อ เจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองอาณาจักร[1]:326[2]:69 หลังจากพระองค์สวรรคต พระเจ้าอิศานวรมันที่ 1 ผู้เป็นพระ ราชโอรส[2]:69 (เขมร: ឦសានវរ្ម័ន រ្ម័ ) จึงได้สืบราชบัลลังก์ต่อมา
ปราสาทเขาน้อยสีชมพู ปราสาทเขาน้อย หรือ ปราสาทเขาน้อยสีชมพู เป็นปราสาทหินที่เชื่อ ว่าเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู สันนิษฐานว่าปราสาทนี้สร้างในพุทธ ศตวรรษที่ 12 และมีการบูรณปฏิสังขรณ์ในพุทธศตวรรษที่ 15 และคง ความสำ คัญจนถึงพุทธศตวรรษที่ 16[1] ตั้งอยู่บนยอดเขาน้อยสีชมพู ใน เขตตำ บลคลองน้ำ ใส อำ เภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ห่างจาก พรมแดน ไทย-กัมพูชา ประมาณ 1 กิโลเมตร โดยได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณ สถานสำ คัญของชาติโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 มีเนื้อที่เขตโบราณสถานทั้งสิ้นประมาณ 50 ไร่ ปัจจุบันที่เชิงเขา ข้าง ๆ ปราสาทเขาน้อยสีชมพู ได้กลายเป็นที่ตั้งของวัดเขาน้อยสีชมพูซึ่ง ปรับเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ปราสาทหลังนี้เป็นอาคารก่ออิฐไม่สอปูน (ไม่ผสมปูน) เดิมทีมี 3 หลัง พังทลายลงคงเหลือแต่ปรางค์องค์กลางกับเนินดินอีก 2 เนิน ได้พบ โบราณวัตถุหลายชิ้นบริเวณ โบราณสถานแห่งนี้ที่สำ คัญ ได้แก่ ทับหลังเขา น้อย มีลักษณะศิลปเขมรแบบสมโบร์ไพกุก ติดอยู่เหนือกรอบประตูทางเข้า ปรางค์องค์กลาง จารึกเขาน้อย (เป็นจารึกที่เก่าแก่ที่สุดในไทย) จารึกด้วย อักษรปัลวะโดยจารึกบนแผ่นวงกบประตูปรางค์องค์กลางด้านขวามือของ ประตู ระบุมหาศักราช 559 ตรงกับ พุทธศักราช 1180 เสาประดับประกอบ ประตู เป็นเสารูปแปดเหลี่ยม มีลายใบไม้ตามลักษณะศิลปะเขมรแบบกุเลน ประติมากรรมรูปบุคคลมี 4 กร ยืนอยู่เหนือศีรษะกระบือ
พ.ศ.1200-1300
พระเจ้าชัยวรมันที่ 1 พระเจ้าชัยวรรมันที่ 1 (เขมร: ជ័យ ជ័ វរ្ម័ន រ្ម័ ទី១ ; อักษรโรมัน: JAYAVARMAN I) หรือไทยมักเรียก ชัยวรมันที่ 1 หรือพระนามเต็มว่า พระกมรเตง อัญศรีชัยวรมัน (วฺระ กํมฺรตางฺ อญฺ ศฺรีชยวฺมฺมเทว) ถือเป็น กษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรเจนละที่เป็นเอกภาพซึ่งเป็นบรรพบุรุษ ของอาณาจักรเขมร พระองค์ปกครองตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.1200 ถึงประมาณ พ.ศ.1224 ตลอดรัชสมัยของพระองค์และพระราชบิดาของพระองค์คือพระเจ้าภวว รมันที่ 2 กษัตริย์เขมรได้รวมอำ นาจไว้ในพื้นที่ที่เคยถูกปกครองโดยอาณา จักรฟูนัน อย่างไรก็ตาม พระเจ้าชัยวรมันที่ 1 สวรรคตโดยไม่มีรัชทายาท ชาย ซึ่งนำ ไปสู่การแตกแยกของอาณาจักรเจนละ พระเจ้าชัยวรมันที่ 1 สวรรคตเมื่อประมาณ พ.ศ.1224 มีพระนามเมื่อ สวรรคตแล้วว่า "พระบาทศิวปุระ"
ปราสาทภูมิโปน ปราสาทภูมิโปน เป็นปราสาทศิลปะแบบขอมโบราณ สร้างขึ้นในราว พุทธศตวรรษที่ 12-13 ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 ตั้งแยู่ที่บ้านภูมิ โปน ตำ บลดม อำ เภอสังขะ จ.สุรินทร์ ประกอบด้วยปราสาทอิฐ 3 หลัง และ ฐานปราสาทศิลาแลงอีก 1 หลัง ตั้งเรียงกันจากเหนือไปใต้ ปราสาทอิฐองค์ ที่ 3 ซึ่งเป็นปรางค์ประธาน เป็นปราสาทหลังใหญ่ ก่อด้วยอิฐไม่สอปูน มีเสา ประดับกรอบประตูและทับหลังทำ ด้วยหินทราย ใต้หน้าบันเหนือทับหลังขึ้น ไปมีลายรูปใบไม้ม้วน รูปแบบและเทคนิคการก่อสร้างปราสาทประธาน เทียบได้กับปราสาทขอมสมัยก่อนพระนคร ร่วมสมัยกับปราสาทหลังที่ 1 โดยความหมายของชื่อประสาทแยกเป็นสองคำ คือ "ภูมิ" แปลว่า ดินแดน และ "โปน" แปลว่า ซ่อนตัว
พ.ศ.1300-1500
พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ( เขมร : ជ័យ ជ័ វរ្ម័ន រ្ម័ ទី២ ; ป. 770–850) ( ค. 802–850) เป็นเจ้าชายพระนคร และเป็นพระมหากษัตริย์แห่ง อาณาจักร พระนคร องค์แรก หลังจากรวมอารยธรรมขอมเป็นหนึ่งเดียว อาณาจักร พระนครเป็นอารยธรรมที่โดดเด่นใน อินโดจีน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ถึงกลาง ศตวรรษที่ 15 พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เป็นกษัตริย์พระนครผู้ประกาศ อิสรภาพจาก ชวา โดยพระองค์ได้ทำ การสถาปนาเมืองหลวงหลายแห่ง เช่น มเหนทรบรรพต อินทรปุระ และ หริหราลัย ก่อนที่พระเจ้าชัยวรมัน ที่ 2 จะเสด็จขึ้นครองราชย์ มีการต่อสู้กันมากในหมู่ผู้ปกครองท้องถิ่นซึ่ง ปกครองส่วนต่าง ๆ ของอาณาจักร โดยพบจารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ได้พรรณนาพระองค์ว่าเป็นนักรบและกษัตริย์ ผู้ทรงอำ นาจสูงสุดในสมัยนั้น นักประวัติศาสตร์เคยลงความเห็นว่ารัชสมัย ของพระองค์เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 802 - 835
พระเจ้าอินทรวรมัน พระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 ( เขมร : ព្រះ បាទឥន្ទ្រ វ ន្ទ្រ រ្ម័ន រ្ម័ ទី១ , อักษรโรมัน : INDRAVARAMAN I; สวรรคต พ.ศ. 1432) พระนามเดิมว่า เจ้าชายศรี นทรวรมัน หรือพระนามเต็มว่า ธุลีเชงพระกมรเตงอัญศรีอินทรวรมัน เทวะ (ธูลิ เชง วฺระ กํมฺรเตงฺ อญฺ ศฺรีศฺรีนฺทรวรฺมฺมเทว) หรือพระนามหลัง สวรรคตว่า พระบาทอิศวรโลก เป็นพระมหากษัตริย์แห่ง อาณาจักร พระนคร ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1420 – 1432 เป็นพระราชโอรสใน พระเจ้านฤถิวินทรวรมัน ซึ่งเป็นพระญาติห่าง ๆ ของ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 พระนางอินทรลักษมี พระมเหสีของพระองค์สืบเชื้อสายมาจาก พระเจ้า ปุษกรักษ์
พระเจ้ายโศวรมัน พระเจ้ายโศวรรมันที่ 1 หรือเอกสารไทยมักเรียก พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 (เขมร: យសោ វរ្ម័ន រ្ម័ ទី១ ยโสวรฺมันที ๑, อักษรโรมัน: YASOVARMAN I; สวรรคต ค.ศ. 910[1]) หรือพระนามหลังสวรรคตว่า บรมศิวโลก (เขมร: បរមឝិវលោ ក) เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรพระนคร ครองราชย์ ระหว่างปี ค.ศ. 889 – 910 พระนาม "ยโศวรรมัน" แปลว่า ผู้มียศเป็นเกราะ มาจากคำ สันสกฤต ยศ แปลว่า ยศ + วรฺมัน แปลว่า ผู้มีเกราะ พระองค์ทรงได้รับสมัญญาว่า "เสด็จขี้เรื้อน" (ស្តេ ច ស្តេ គម្លង់ ម្ល ង់ สฺเตจคมฺลง̍ ; LEPER KING)[2] เพราะเชื่อกันว่า ประชวรด้วยโรคนี้ พระองค์ทรงได้รับพระนามหลังสวรรคตว่า "บรมศิวโลก" (បរមឝិវ លោ ក) เพราะทรงนับถือพระศิวะ พระเจ้ายโศวรรมันที่ 1 เป็นพระโอรสของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1พระ มหากษัตริย์แห่งจักรวรรดิเขมร กับพระนางอินทรเทวี พระองค์เป็นศิษย์ ของพราหมณ์วามศิวา (VAMASIVA) นักบวชลัทธิเทวราชา ซึ่งเป็นศิษย์ ของศิวโสมา (SIVASOMA) ผู้มีความสัมพันธ์กับอาทิ ศังกระ (आदि शङ्करः ĀDI ŚAṄKARAḤ) ปรัชญาเมธีฮินดู
ปราสาทพนมวัน ปราสาทหินพนมวัน ตั้งอยู่ที่บ้านมะค่า ตำ บลบ้านโพธิ์ ถนนสายโคราชขอนแก่น อำ เภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เป็นโบราณสถาน สถาปัตยกรรมในคติความเชื่อของเขมรโบราณ สันนิษฐานว่า เดิมปราสาทหินพนมวันก่อสร้างด้วยอิฐในราวพุทธ ศตวรรษที่ 15 ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 จึงได้สร้างอาคารหิน ซ้อนทับลงไป มีลักษณะคล้ายครึงกับปราสาทหินพิมายแต่มีขนาดเล็กกว่า จากจารึกที่ค้นพบ เรียกปราสาทแห่งนี้ว่า "เทวาศรม" เป็นศาสนสถานใน ศาสนาฮินดู ต่อมา จึงได้เปลี่ยนแปลงให้เป็นพุทธสถาน เป็นปราสาทหินที่มี ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย กรมศิลปากรได้มีการขุดแต่งและบูรณะ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 แล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2542 โดยปราสาทประธานได้มีการบูรณะด้วยวิธีอนัสติโลซิส (ANASTYLOSIS) และยังได้มีการบูรณะสถานที่ภายนอกระเบียงคด ได้แก่ ซากโบสถ์ร้าง เนินอรพินท์ เป็นต้น จึงทำ ให้ปราสาทพนมวันมีความ สมบูรณ์ขึ้น
ปราสาทเขาปลายบัด ปราสาทปลายบัด หรือ ปราสาทเขาปลายบัด ประกอบด้วยโบราณ สถานในคติความเชื่อของขอมสองหลัง ได้แก่ ปราสาทเขาปลายบัด 1 และ 2 ซึ่งตั้งอยู่ห่างกันราว 1 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่อำ เภอประโคนชัย และอำ เภอ เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ห่างจากปราสาทพนมรุ้งไปทางทิศใต้ ประมาณ 5.5 กิโลเมตร จากปราสาทเมืองต่ำ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 1.4 กิโลเมตร และห่างจากเมืองบุรีรัมย์ประมาณ 62 กิโลเมตร เป็นศาสนบรรพตหรือศาสนสถานที่สร้างบนเขาปลายบัดที่มีความสูง 289 เมตร ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วเช่นเดียวกับเขาพนมรุ้ง ปราสาทปลายบัดสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 15-16 เพื่อเป็น เทวสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูลัทธิไศวนิกาย และพุทธสถานนิกาย มหายาน มีความโดดเด่นในเรื่องการสร้างระบบการจัดการน้ำ เพื่อเชื่อม โยงพื้นที่สำ คัญ ด้วยการดัดแปลงปากปล่องภูเขาไฟเป็นสระน้ำ มีการ สร้างคันบังคับน้ำ เชื่อมต่อกับแหล่งน้ำ ธรรมชาติเพื่อให้ไหลลงสู่บารายของ ปราสาทเมืองต่ำ เพื่อหล่อเลี้ยงชุมชนบนพื้นที่ราบ และเป็นภูเขาลูกโดด เพียงลูกเดียวที่พบปราสาทขอมบถึง 2 ปราสาท ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นใน ปราสาทที่ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมขอม[6]
ปรางค์เขาปู่จ่า ปรางค์เขาปู่จ่า ชื่อเริ่มต้นด้วย ปรางค์ แต่ไม่ใช่ปรางค์ เป็นปราสาท ของอาณาจักรกัมพูชาโบราณ ที่อยู่เหนือสุดของอาณาจักรกัมพูชาโบราณ เป็นหลักฐานว่าในอดีตสุโขทัยเป็นหนึ่งในรัฐอารักขาชายขอบของจักรวรรดิ กัมพูชาโบราณ ก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็นอาณาจักรสุโขทัย อยุธยา และรัฐ ไทยสยามในปัจจุบัน. สังเกตได้จากการก่ออิฐ ที่เป็นเทคนิคแบบกัมพูชาโบราณ คือ อิฐถูก ฝนขัดจนแนบสนิทประสานด้วยฝุ่นอิฐผสมน้ำ . ตรงมุมประธานมีขนาดค่อนข้างใหญ่ มุมรองด้านหนึ่งแคบ อีกด้าน หนึ่งกว้าง ชั้นเรือนยอด มีเส้นแบ่งครึ่ง ลักษณะเช่นนี้มักปรากฎให้เห็นใน ศิลปะกัมพูชาโบราณ ช่วง พศว.ที่ 16 นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่า ปราสาทหลังนี้สร้างขึ้นในช่วงครึ่งหลังของ พศว.ที่ 16 สมัยพระเจ้าสุริยว รมเทวะที่ 1 ศิลปะกัมพูชาโบราณแบบเขาพระวิหาร (เดิมเรียกบา-ปวน) อายุประมาณ 1,000 ปี ก่อนสร้างปราสาทบาปวนหลายสิบปี แต่ร่วมสมัยกับปราสาทพระ วิหาร ปราสาทเขาโล้น ปราสาทไบแบก ปราสาทสระกำ แพงใหญ่ ปราสาท บ้านพลวง ปราสาทตาเมือนธม เป็นต้น.
พ.ศ.1500-1600
พระเจ้าราเชนทรวรมัน พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 (เขมร: រាជេ ន្ទ្រ វ ន្ទ្រ រ្ម័ន រ្ម័ ទី២, อักษรโรมัน: RAJENDRAVARMAN II) เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรพระนคร ครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 944 – 968 เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าอิน ทรวรมันที่ 1 พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ประสูติแต่พระเจ้าศรีมเหนทรวรมัน กับ พระนางมเหนทรเทวี[1] ทรงเป็นพระราชบิดาของ พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ทรงเป็นพระภาดา(ลูกพี่ลูกน้อง)ของ พระเจ้าหรรษวรมันที่ 2 พระองค์ได้ ชิงพระราชบัลลังก์จากพระเจ้าหรรษวรมันที่ 2 โอรสของพระเชษฐา พระ เจ้าชัยวรรมันที่ 4 และทรงย้ายราชธานีจาก เกาะแกร์ กลับมาที่เมือง ยโศ ธรปุระ ทรงโปรดให้สร้าง ปราสาทแปรรูป และ ปราสาทแม่บุญตะวันออก ราชตระกูลของพระองค์มีความเกี่ยวข้องกันกับกษัตริย์แห่ง อาณาจักร เจนละ ซึ่งมีเมืองหลวงอยู่ที่ ภวปุระ คำ จารึกกล่าวว่าอาณาจักรเขมรภาย ใต้การปกครองของพระองค์แผ่ขยายไปถึงเวียดนามตอนใต้ ลาว และส่วน ใหญ่ของไทย และไกลถึงตอนใต้ของจีน พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์และนักรบ ที่ยิ่งใหญ่ทรงทำ สงครามเพื่อขยายอาณาจักรเขมรออกไปอย่างกว้างขวาง
ปราสาทเมืองแขก ปราสาทเมืองแขก เป็นปราสาทขอมที่มีขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ตั้ง อยู่ในบ้านกอก ตำ บลโคราช อำ เภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ทว่าเหลือ แต่เพียงซากฐานอาคาร พ.ศ. 2533 กรมศิลปากรได้ทำ การขุดแต่งครั้ง ล่าสุด ได้พบโบราณวัตถุหลายชิ้น ที่สำ คัญคือทับหลังรูปเทวดานั่งในซุ้ม เหนือหน้ากาล มีสถาปัตยกรรมแบบเกาะแกร์ในศิลปขอม ซึ่งเป็นยุคสมัย เดียวกับปราสาทโนนกู่ห่างกันประมาณ 500 ม. สถาปัตยกรรม[แก้] เป็นปราสาทหินทรายผสมอิฐ แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆด้านนอกเป็น แนวคูน้ำ ขนานกับแนวคันดินเกือบรอบโบราณสถานทางด้านเหนือมีประตู หรือโคปุระ เป็นทางเดินเชื่อมไปยังด้านใน ซึ่งมีซากฐานปราสาทสามองค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกันโดยหันหน้าไปทางทิศเหนือ พ้นจากแนวคูน้ำ คันดินออกไปนอกสุด มีซากอาคารสองหลังสร้าง หันหน้าเข้าหากัน อาคารทั้งสองหลังนี้มีแนวกำ แพงล้อมรอบ เมื่อคราวที่ กรมศิลปากรบูรณะ ได้พบทับหลังสลักลายก้านต่อดอกซึ่งเทียบได้กับ ลวดลายในศิลปะเขมรโบรณสมัยบันทายศรี ราวปี พ.ศ. 1510-1550 นอกจากนี้ยังพบศิลาจารึกที่ถูกนำ มาก่อเป็นฐานประตูซุ้มชั้นนอกระบุปี พ.ศ. 1514 และพ .ศ. 1517 นักโบราณคดีจึงสันนิษฐานจากหลักฐานที่พบ ทั้งหมดว่า ปราสาทแห่งนี้น่าจะเป็นศาสนสถาน ในคติฮินดูหรือพรามณ์ ที่ สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16 เพื่อประกอบพิธีกรรมถวายแด่พระศิวะ
ปราสาทสระกำ แพงใหญ่ ปราสาทสระกำ แพงใหญ่ หรือ ปราสาทศรีพฤทเธศวร ตั้งอยู่ในบริเวณ วัดสระกำ แพงใหญ่ ถนนประดิษฐ์ประชาราษฎร์ หมู่ 1 ตำ บลสระกำ แพง ใหญ่ อำ เภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ใกล้กับสถานีรถไฟ อุทุมพรพิสัย และห่างจากที่ว่าการอำ เภออุทุมพรพิสัยไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 2 กิโลเมตร สภาพทั่วไปของปราสาท[แก้] สภาพทั่วไปของปราสาทสระกำ แพงใหญ่ประกอบด้วยระเบียงคดรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 49 เมตร ยาว 67 เมตร ล้อมรอบกลุ่มปราสาท อิฐและบรรณาลัย รวมทั้งหมด 6 หลัง จากภาพถ่ายทางอากาศ ชี้ให้เห็น ว่าปราสาทสระกำ แพงใหญ่น่าจะมีชุมชนรายรอบอย่างหนาแน่น ทางทิศ ตะวันออกเฉียงใต้ห่างออกไปประมาณ 400 เมตร มีสระน้ำ รูปสี่เหลี่ยม ขนาดใหญ่ เรียกว่า "สระกำ แพง" สันนิษฐานว่าน่าจะขุดขึ้นเมื่อครั้งสร้าง ปราสาท ส่วนทางทิศตะวันออกมีลำ ห้วยเล็ก ๆ ไหลผ่าน คือ ห้วยตาเหมา ซึ่งเป็นลำ ห้วยสาขาที่แยกออกมาจากห้วยสำ ราญ
ปราสาทกู่กาสิงห์ ปราสาทกู่กาสิงห์ ตั้งอยู่ภายในวัดบูรพากู่กาสิงห์ บ้านกู่กาสิงห์ ตำ บล กู่กาสิงห์ อำ เภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียน โบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ หน้า ๓๖๙๖ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ และประกาศขอบเขตพื้นที่โบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา ๑๑๖ ตอนพิเศษ ๑๗ ง หน้า ๑๕ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๒ มีพื้นที่ประมาณ ๑๒ ไร่ ๒ งาน ๓๐.๕๖ ตารางวา ชื่อ “กู่กาสิงห์” สันนิษฐานว่ามาจากคำ ว่า “กู่” ที่ชาวบ้านใช้เรียก โบราณสถานขอมที่มีลักษณะคล้ายสถูปหรือเจดีย์ ส่วนคำ ว่า “กา” อาจ หมายถึง อีกา ซึ่งในอดีตบริเวณนี้มีอีกาอยู่จำ นวนมาก ตามที่คนเฒ่าคน แก่เล่าให้ฟังว่าตอนเย็นมักจะมีอีกาจำ นวนมาก พากันมานอนที่หนองน้ำ เรียกว่า หนองกานอน ส่วนคำ ว่า “สิงห์” อาจมาจากประติมากรรมรูปสิงห์ ๒ ตัว ที่เคยตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้า ซึ่งประติมากรรมรูปสิงห์ถูกขโมยไป ใน ช่วง พ.ศ.๒๕๐๓ แต่ชาวบ้านก็ยังเรียกปราสาทแห่งนี้ว่า “กู่กาสิงห์” สืบมา จนปัจจุบัน
ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำ บลตาเมียง อำ เภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในอุทยาน ประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำ ดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาท ตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม (ธม เป็นภาษา เขมร แปลว่า ใหญ่) ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติ ที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำ หรับประกอบพิธีกรรม ตัวปราสาทตาเมือนธม หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมัก จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก รับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำ ผ่านมาทาง ช่องทางตาเมือนนี้ ปราสาทตาเมือนธมประกอบด้วยปราสาทประธาน มีอาคารอื่น คือ ปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และ ตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน มีบรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือ มีสระน้ำ ขนาดเล็กสองสระ
ปราสาทสะด็อกก็อกธม ปราสาทสด๊กก๊อกธม หรือ ปราสาทสด็อกก็อกธม (เขมร: ស្តុកកក់ធំ ក់ , ធំ SDŎK KÁK THUM) เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทย ภายใต้การดูแลของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เป็นปราสาทขอม และโบราณสถานที่ใหญ่และสำ คัญของจังหวัดสระแก้ว ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ บ้านหนองหญ้าแก้ว หมู่ที่ 9 ตำ บลโคกสูง อำ เภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว อยู่ห่างจากอำ เภออรัญประเทศไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 35 กิโลเมตร อยู่ห่างจากอำ เภอตาพระยามาทางทิศใต้ประมาณ 15 กิโลเมตร จัดเป็นปราสาทหินขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกของประเทศไทย ระหว่าง พ.ศ. 2539–2553 กรมศิลปากรได้สำ รวจโบราณสถาน และ อนุรักษ์พัฒนาปราสาทสด๊กก๊อกธม และ พ.ศ. 2560 กรมศิลปากร ประกาศจัดตั้งปราสาทสด๊กก๊อกธมขึ้นเป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งที่ 11 ซึ่ง ปราสาทสด๊กก๊อกธมสร้างขึ้นด้วยหินศิลาแลง ตามลักษณะศิลปะขอม แบบคลัง-บาปวน สร้างเสร็จในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ในสมัยพระเจ้าอุทัยทิต ยวรมันที่ 2 (UDAYADITYAVARMAN II) ในบริเวณทิศตะวันออกเฉียง เหนือของปราสาท มีคำ จารึกเป็นภาษาสันสกฤต ความยาว 340 บรรทัด ระบุความเป็นมาของการก่อสร้างปราสาทแห่งนี้
thank you for watching