น า ฏ ย นิ พ น ธ์ เ ชิ ง ส ร้ า ง ส ร ร ค์
เกษมเมืองแห่งปี๋ แข่งเฮือน่านนที
สะหลีเวียงป้อ
เปิดธานีบุรีน่าน
สู่ตำนานเมืองหน้าด่าน
ลือขานเมืองเจ็ดสายชล
วัดบุญยืนดลบารมี
เสน่ห์เกษมเมืองแห่งปี๋ แข่งเฮือน่านนที สะหลีเวียงป้อ
คำนิยม
นาฏยนิพนธ์เป็นการสร้างสรรค์ผลงานด้านนาฏศิลป์ซึ่งแสดง
ให้เห็นถึงความรู้ความสามารถและศักยภาพของนักศึกษาตลอดการศึกษา
ที่ผ่านมา นักศึกษาได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงด้วยกิจกรรมการเรียนรู้
ที่มีความหลากหลายอันเป็นการเสริมสร้างศักยภาพความสามารถด้านนาฏศิลป์
ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น เป็นการพัฒนานักศึกษาให้เติบโตทั้งทางด้านจิตใจ
อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่โลกประสบกับปัญหาโรคโควิค-19 ส่งผล
ให้ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยได้ การเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติต้อง
ดำเนินโดยผ่านการเรียนรู้ระบบออนไลน์ ดังนั้นนักศึกษาจึงต้องมีความขยันหมั่นเพียรและวินัย
ในตนเองมากยิ่งขึ้นซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตนักศึกษา อย่างไรก็ตามท่ามกลาง
ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ทั้งภายในจิตใจของตนและบริบทภายนอก นักศึกษาสามารถฟันฝ่า
ความยากลำบากมาได้ด้วยความอุตสาหะ อดทนอดกลั้น และไม่ย่อท้อหรือยอมแพ้ต่อปัญหา
ดังกล่าวจนกระทั่งสามารถสร้างสรรค์ผลงานด้านนาฏศิลป์ที่มีคุณค่าในแวดวงการศึกษาและ
เป็นการสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติ
ขอชื่นชมนักศึกษาที่ได้เพียรพยายามศึกษาค้นคว้า มุ่งมั่น ทุ่มเทแรงกายแรงใจจนสร้าง
สรรค์ผลงานได้สำเร็จเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาสาธารณชน ซึ่งการทำงานสำเร็จในครั้งนี้ย่อมเป็น
เครื่องบ่งชี้ถึงความรู้ความสามารถเฉพาะบุคคล ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ รวมทั้ง
ความร่วมมือร่วมใจของนักศึกษาทุกคน ดังนั้นขอให้นักศึกษาทุกคนภาคภูมิใจในผลงานสร้างสรรค์
ของตน เพราะนอกจากเป็นการแสดงศักยภาพของตนในฐานะนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต
สาขานาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ยังเป็นการพัฒนาและสร้างความรู้เชิงวิชาการด้าน
นาฏศิลป์อันมีคุณค่าเป็นการพัฒนาต่อยอดศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น และประจำชาติ
อีกด้วย
ขอแสดงความยินดีต่อความสำเร็จครั้งนี้ ขอให้นักศึกษาจงประสบแต่ความเจริญสัมฤทธิ์
ผลในด้านการศึกษาและหน้าที่การงานในภายภาคหน้า ดำรงชีวิต และประสบแต่ความสุขด้วย
จตุรพิธพรชัยทุกประการ
อาจารย์ ดร.วิภาดา เพชรโชติ
อาจารย์ที่ปรึกษานาฏยนิพนธ์
คำนิยม
นาฏยนิพนธ์ชุดเกษมเมืองแห่งปี๋ แข่งเฮือน่านนที สะหลีเวียงป้อ
เป็นผลงานสร้างสรรค์งานทางด้านศิลปะการแสดงของนักศึกษาหลักสูตร
ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
“ประตูสู่น่าน ตำนานชนตองเหลือง เมืองเจ็ดสายน้ำ งามล้ำวัดบุญยืน
เริงรื่นแข่งเรือออกพรรษา บูชาพระธาตุจอมแจ้ง” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจ
และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการแข่งเรือที่อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ควรค่าแก่การศึกษา
ค้นคว้า เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ ภูมิปัญญา วัฒนธรรมท้องถิ่นในด้าน ประเพณีแข่งเรือวันออก
พรรษา ตานก๋วยสลาก วัดบุญยืนพระอารามหลวง
นักศึกษามีความมุ่งมั่นนำมารังสรรค์ นำเสนอการเฉลิมฉลองร่วมกันจะเป็นการฟ้อนรำ
ทำเพลงร่วมกันผสมผสานกับการเกี๊ยวพาราสีระหว่างชายหญิง แสดงให้เห็นถึงการทำกิจกรรม
ร่วมกัน เพื่อสร้างความรักและความสามัคคี
จากที่นักศึกษาได้รวบรวมองค์ความรู้ที่ได้รับในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลเชิงลึกและฝึก
ประสบการณ์การทำงานเป็นทีม นอกเหนือจากหลักการเรียนรู้ทางทฤษฎีแล้วนักศึกษายังได้
ประสบการณ์จากการปฏิบัติงานจริงต้องควบคู่ไปกับคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม และจรรยา-
บรรณในวิชาชีพครู อันเป็นคุณสมบัติของนักศึกษาครูสู่การเป็นครูมืออาชีพในอนาคตตรงตาม
เป้าประสงค์ของหลักสูตร สาขาวิชา และมหาวิทยาลัย
ข้าพเจ้า อาจารย์อาทิตยา ผิวขำ อาจารย์ประจำหลักสูตร มีความชื่นชมยินดีเป็นอย่าง
ยิ่งที่ได้เห็นนักศึกษา จัดผลงานสร้างสรรค์การแสดงออกสู่สังคม ซึ่งนำพาชื่อเสียงมายังหลักสูตร
และมหาวิทยาลัย ขออวยพรให้นักศึกษาทุกๆคน ประสบแต่ความสำเร็จในหน้าที่การงานและ
พร้อมสืบสาน อนุรักษ์งานศิลปวัฒนธรรม อันทรงคุณค่าของนาฏศิลป์ไทยต่อไป
- โปรดจำไว้ว่า ไม่มีอะไรในโลกที่คุณไม่สามารถทำได้ -
อาจารย์อาทิตยา ผิวขำ
อาจารย์ที่ปรึกษานาฏยนิพนธ์
แรงบันดาลใจ
ประเพณีแข่งเรือออกพรรษา ตานก๋วยสลาก วัดบุญยืนพระอารามหลวง
อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เป็นประเพณีที่เกิดขึ้นจากการที่คณะศรัทธาและพระสงฆ์
นำเรือมาจอดเทียบท่าน้ำบ้านบุญยืนเพื่อมารับก๋วยสลากซึ่งแต่ละหมู่บ้านและวัดต่าง
อวดรูปทรงเรือของกันและกันทั้งยังกระเซ้าเย้าแหย่ ท้าทายกันเรื่องความเร็วด้วย
ความสนุกสนาน จุดเด่นคือการนำไม้ตะเคียนมาขุดเป็นเรือแกะสลักหัวเรือ หางเรือ
เป็นลักษณะคล้ายพญานาคอวดเขี้ยวน่าเกรงขาม และการจัดงานที่ตรงกับวันออก
พรรษาของทุกปี
ดังนั้นคณะผู้วิจัยได้มีความสนใจ และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการแข่งเรือ
อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ที่ควรค่าแก่การศึกษา อนุรักษ์ ทั้งในด้านเอกลักษณ์ อัตลักษณ์
ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สอดแทรกกุศโลบายการสร้างความสามัคคีของคนใน
ชุมชน จึงได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อเป็นแนวคิดและแรงบันดาลใจในการ
สร้างสรรค์ผลงานนาฏยนิพนธ์เชิงสร้างสรรค์ชุด “เกษมเมืองแห่งปี๋ แข่งเฮือน่านนที
สะหลีเวียงป้อ”
แนวคิดการแสดง
การแสดงนาฏยนิพนธ์เชิงสร้างสรรค์ชุดเกษมเมืองแห่งปี๋ แข่งเฮือน่านนที
สะหลีเวียงป้อ นำเสนอการแข่งเรือของอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน โดยคณะผู้วิจัย
ได้ศึกษาและเลือกช่วงวิวัฒนาการแรกเริ่มของประเพณีแข่งเรือที่ทำการแข่งขันเพื่อ
การละเล่น ไม่ได้หวังผลแพ้ชนะ ไม่มีรางวัล ไม่มีกรรมการ เป็นการแข่งขันเพียง
ชื่นชมยินดีหลังจากเสร็จสิ้นการทำบุญ เน้นความ สนุกสนาน ดังนั้น คณะผู้วิจัยจึงได้
นำแนวคิดนี้มาสร้างสรรค์การแสดง โดยเริ่มจากการทำพิธีสู่ขวัญเรือ การแห่เรือทั้ง
สองหมู่บ้านเพื่อนำเรือลงแข่งขัน บรรยากาศการแข่งขันเรืออย่างสนุกสนานรวมไปถึง
การเฉลิมฉลองร่วมกันของทั้งสองหมู่บ้าน
รูปแบบการแสดง
รูปแบบการแสดงเป็นการผสมผสานระหว่างแนวคิดนาฏศิลป์ล้านนา นาฏศิลป์ร่วมสมัย
และแนวคิดการเลียนแบบท่าอิริยาบถในธรรมชาติมาประยุกต์ใช้ในการแสดงที่สื่อถึงกระบวนท่า
การพายเรือ และการเกี้ยวพาราสี รวมไปถึงการสื่อถึงความสามัคคี การเฉลิมฉลองงานเกษมเมือง
ในประเพณีแข่งเรือออกพรรษา โดยแบ่งออกเป็น ๓ ช่วงการแสดง
ช่วงที่ ๑ ศรัทธาดาคัว
สื่อถึง…..บรรยากาศที่ชาวบ้านทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเรือ เพื่อเป็นการปลุกกำลังใจให้กับฝีพาย
ก่อนการแข่งขัน
ช่วงที่ ๒ แข่งเฮือน่านนที
สื่อถึง…..บรรยากาศการแข่งเรือที่มีความสนุกสาน และตื่นเต้น
ช่วงที่ ๓ เกษมเมืองเปรมปรีด์
สื่อถึง…..การเฉลิมฉลองของทั้งสองหมู่บ้านจากเสร็จสิ้นการแข่งเรืออันสื่อให้เห็นถึงความรัก
สามัคคี และความรื่นเริงของครในชุมชน
เพลงประกอบการแสดง
คณะผู้วิจัยได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เพลงประกอบการแสดง
จากซอล่องน่านที่มีชื่อเสียงและเป็นเอกลักษณ์ ประพันธ์บทร้อง (บทค่าว)
โดยคุณชินดนัย ไชยยะ ขับร้องบทค่าว และสร้างสรรค์ทำนองเพลงขึ้นใหม่
โดย คุณวรวรรณ วรฉัตร ซึ่งในกาสร้างสรรค์เพลงประกอบการแสดงนี้เป็น
การผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีพื้นบ้านของจังหวัดน่าน ได้แก่ ปิน สะล้อ
ปี่แน ผสมกับเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ เสียงนก เสียงสายน้ำ
บทประพันธ์ (บทค่าว)
ยอมือสิบนิ้ว ก่ายกิ้วเก๋ศา
พญานาคนากา นาวาน่านกว้าง
ปกปักฮักษา ปี้น้องเมืองน่าน
สถิตต้าต้าง น้ำน่านนที
สืบสานกั๋นไว้ เมินหลายร้อยปี๋
เป๋นประเพณี แข่งเฮือดั่งอั้น
เฮือหัวโอ้หางวัลย์ ลอยในลำแม่น้ำ
ตานก๋วยสลาก ก่อนนำเฮือแข่งขัน
มีพิธีสู่ขวัญ บายศรีเฮือเจ้า
ไหว้เตปาอาฮัก ผีเฮือผ่อเฝ้า
ไหว้พญานาคเจ้า เอาฤกษ์เอาไจย
ล่องตามน้ำน่าน ถะยานไปไกล๋
ฮ่วมจิตฮาสมใจ ฝีพายจาวบ้าน
เป็นจิตวิญญาณ แห่งธาราน่านนี้
เครื่องแต่งกาย
ฝีพายหมู่บ้านที่ ๑ ฝีพายหมู่บ้านที่ ๒ พ่อหมอ
ฝีพายหมู่บ้านที่ ๑ : ได้แรงบันดาลใจจากชุดหม้อห้อมของผู้ชายชาติพันธุ์ไทยวน
มาประยุกต์ให้เกิดความสร้างสรรค์มากขึ้น โดยมีผ้าเคียนศีรษะ
สีขาว เพิ่มลวดลายตัวเสื้อและแขนเสื้อ กางเกงหม้อห้อม
นุ่งแบบเก้นม่ำ ผ้ามัดเอวสีขาวทับด้วยผ้าขาวม้า
และคาดเข็มขัดซี่สีเงิน
ฝีพายหมู่บ้านที่ ๒ : สร้างสรรค์เครื่องแต่งกายขึ้นมาใหม่โดยได้แรงบันดาลใจ
จากการแต่งกายของผู้ชายชาวล้านนา เคียนศีรษะด้วยผ้าสีแดง
สวมเสื้อสีขาวคอตั้งแขนกุด กุ๊นแขนสีแดง กางเกงสะดอสีน้ำตาล
นุ่งแบบเก้นม่ำ ผ้ามัดเอวสีแดงทับด้วยผ้าลายช้าง
และคาดเข็มขัดซี่สีเงิน
พ่อหมอ : สวมเสื้อหม้อห้อม กางเกงหม้อห้อมสามส่วน ผ้าสไบล้านนา
พาดบ่า และสะพายถุงย่าม
เครื่องแต่งกาย
การแต่งกายชุดผู้หญิงได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องแต่งกายของฟ้อนล่องน่าน
นำมาประยุกต์และสร้างสรรค์ให้เกิดความสวยงาม ดังนี้
การแสดงช่วงที่ ๑
ทรงผม : รวบตึงมวยผมสูง ติดดอกชมพูภูคา
เครื่องแต่งกาย : เสื้อลายลูกไม้แขนระบายสามส่วน
ห่มสไบผ้าแพรตามสีของกาบเรือ
แต่ละหมู่บ้าน คือ สีน้ำเงินและสีแดง
นุ่งซิ่นม่านประดับด้วยลูกไม้ปลายซิ่น
เครื่องประดับเงิน : สังวาลรอบฐานมวยผม ปิ่นหัวเรือ
ติดดอกชมพูภูคา ต่างหู สร้อยคอ
เข็มกลัดอกดอกเสี้ยวขวา กำไลข้อมือ
และเข็มขัดซี่
การแสดงช่วงที่ ๒-๓
นักแสดงเปลี่ยนรูปแบบการแต่งกาย เพื่อเพิ่ม
สีสัน และความหลากหลายในการแสดง
ทรงผม : รวบตึงมวยผมสูง ปักปิ่นหัวเรือ
ติดดอกชมพูภูคา
เครื่องแต่งกาย : ผ้าพันอกสีต่าง ๆ ได้แก่ สีแดง
สีฟ้า สีส้ม และสีเขียว นุ่งซิ่นม่าน
ประดับด้วยลูกไม้ปลายซิ่น
เครื่องประดับเงิน : สังวาลรอบฐานมวยผม ปิ่นหัวเรือ
ต่างหู สร้อยคอ กำไลข้อมือ
และเข็มขัดซี่
อาจารย์ที่ปรึกษา
อาจารย์ ดร.วิภาดา เพชรโชติ อาจารย์อาทิตยา ผิวขำ
คณะผู้วิจัย
นางสาวชนิศา โอภาสวรภัทร นางสาวธาริณี ต่ายทอง นางสาวณัฐชยา แก้วใส
นางสาวปุญญิศา ศรีพะเนิน นางสาวพิชญาภา นิ่มนวล นางสาววรนุช ธรรมศิริ นางสาวววรรณวิสา คำโย
นางสาวสรัลนุช อุดอ้าย นางสาวสุริวิภา จูกระโทก นางสาวอาณัติชญา ศรีพรม