The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Orange and Pink Typographic Young Adult Book Cover

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by พร้อมพลอย ภู่เงิน, 2021-02-20 12:49:25

Biology

Orange and Pink Typographic Young Adult Book Cover

BIOLOGYPROMPLOY P.
Body

system

DIGESTIVE
SYSTEM

กล่องเสยี ง(larynx)

เปนอวัยวะสาํ คัญอย่างหนึงของ
ร่างกาย มีหน้าทีคือ ปองกันอาหารไม่
ให้ตกไปในหลอดลมขณะทานอาหาร
เ ป น ท า ง ผ่ า น ข อ ง อ า ก า ศ ใ น ก า ร ห า ย ใ จ
เปนส่วนสาํ คัญในการเกิดเสียง

เขม็ พษิ (nematocyst)

พบในสัตว์พวกCoelenterateบาง
ชนิด มีลักษณะเปนกระเปาะภายในมี
เข็มพิษ ใช้ในการล่าเหยือและปองกัน
ตั ว

โคลอน(colon)

เ ป น ลํา ไ ส้ ใ ห ญ่ ส่ ว น ที ย า ว ที สุ ด ป ร ะ ก อ บ
ด้วยลําไส้ใหญ่ขวา ลําไส้ใหญ่กลาง
และลําไส้ใหญ่ซ้าย มีหน้าทีดูดซึมนาํ
และพวกวิตามินบี12 ทีแบคทีเรียใน
ลําไส้ใหญ่สร้างขึน และขับกากอาหาร
เ ข้ า สู่ ลํา ไ ส้ ใ ห ญ่ ส่ ว น ต่ อ ไ ป

เจจูนมั (jejunum)

ลําไส้ส่วนกลาง ยาวประมาณ2เมตร
ครึง ทําหน้าทีดูดซึมสารอาหารทุก
ช นิ ด ที ถู ก ย่ อ ย จ น มี โ ม เ ล กุ ล ข น า ด เ ล็ ก
เข้าสู่กระแสเลือด สร้างนาํ ย่อยและ
ห ลั ง ฮ อ ร ์โ ม น ที เ กี ย ว กั บ ก า ร ย่ อ ย
อาหาร

ซกี ัม(ceacum)

เปนลําไส้ใหญ่ส่วนแรก ต่อจาก
ลําไส้เล็กส่วนไอเลียม ทําหน้าทีรับ
กากอาหารจากลําไส้เล็ก ทีซีกัมมีส่วน
ของไส้ติง (Vermifrom appendix)
ยืนออกมา

ดโู อดนิ มั (duodenum)

อ ยู่ ต่ อ จ า ก ก ร ะ เ พ า ะ อ า ห า ร ส่ ว น ล่ า ง
ภ า ย ใ น ดู โ อ ดี นั ม มี ต่ อ ม ส ร ้า ง นํา ย่ อ ย
แ ล ะ เ ป น ตํา แ ห น่ ง ที ข อ ง เ ห ล ว จ า ก ตั บ
อ่อนและนาํ ดีจากตับมาเปดเข้า จึง
เ ป น ตํา แ ห น่ ง ที มี ก า ร ย่ อ ย เ กิ ด ขึ น ม า ก
ทีสุด จะดูดซึมอาหารบางชนิดเท่านัน

ตับอ่อน(pancreas)

ทําหน้าทีสร้างนาํ ย่อยหลายชนิด เพือ
ใ ช้ ใ น ก า ร ย่ อ ย อ า ห า ร ใ น ลํา ไ ส้ เ ล็ ก
ห น้ า ที อี ก ป ร ะ ก า ร ห นึ ง ก็ คื อ ทํา ห น้ า ที
ส ร ้า ง อิ น ซู ลิ น เ พื อ ใ ช้ ค ว บ คุ ม ร ะ ดั บ
นาํ ตาลในเลือด

ถงุ นาํ ด(ี gallbladder)

อ วั ย ว ะ บ ร ิเ ว ณ ช่ อ ง ท้ อ ง ที ทํา ห น้ า ที ใ น
การกักเก็บนาํ ดี ทําให้นาํ ดีเข้มข้นเพือ
พร้อมสาํ หรับย่อยไขมัน

ทรปิ ซนิ (trypsin)

เ อ น ไ ซ ม์ โ ป ร ตี เ น ส ใ น ร ะ บ บ ท า ง เ ดิ น
อาหาร ทีย่อยสลายพันธะเพปไทด์ใน
โมเลกุลของโปรตีน หรือสายพอลิ
เ พ ป ไ ท ด์ ที ตํา แ ห น่ ง พั น ธ ะ ร ะ ห ว่ า ง ก ร ด
แ อ มิ โ น อ า ร ์จิ นี น ห ร ือ ไ ล ซี น

วลิ ลัส(villus)

ลั ก ษ ณ ะ ค ล้ า ย ข น ข น า ด เ ล็ ก ที ยื น อ อ ก
ม า จ า ก ผิ ว ด้ า น ใ น ข อ ง ท า ง เ ดิ น อ า ห า ร
พบมากทีลําไส้เล็ก ภายในนันจะมี
เ ส้ น เ ลื อ ด ฝ อ ย ซึ ง ทํา ห น้ า ที ร ับ อ า ห า ร ที
ย่ อ ย แ ล้ ว เ พื อ ลํา เ ลี ย ง ไ ป ยั ง เ ซ ล ล์
ต่าง ๆ ในร่างกาย

Respiratory
SYSTEM

การแลกเปลียนแก๊ส
(gas exchange)

เ ป น ก า ร แ ล ก เ ป ลี ย น ร ะ ห ว่ า ง ก๊ า ซ
อ อ ก ซิ เ จ น กั บ ก๊ า ซ ค า ร ์บ อ น ไ ด อ อ ก ไ ซ ด์
การแลกเปลียนก๊าซมี 2 ส่วนคือ ส่วน
ที1 เปนการแลกเปลียนก๊าซทีถุงลม
ในปอด แล้วนาํ ออกซิเจนโดยเลือด
ไปแลกเปลียนก๊าซทีส่วนที 2 คือ
เ นื อ เ ยื อ ข อ ง ร ่า ง ก า ย

ชอ่ งหายใจ(spiracle)

ช่ อ ง เ ป ด อ อ ก สู่ ภ า ย น อ ก ข อ ง ร ะ บ บ ท่ อ
ลมของแมลงและอาร์โธรปอดบาง
ชนิด เพือใช้หายใจ

ท่อลม(trachea)

เปนส่วนทีต่อจากกล่องเสียง มีเยือ
บุ ผิ ว ที มี ซิ เ ลี ย แ ล ะ เ มื อ ก เ พื อ ค อ ย ดั ก
จับสิงแปลกปลอมไม่ให้เข้าไปใน
ถุงลม ทําหน้าทีนาํ อากาศเข้าสู่ถุงลม

โพรงจมูก(nasal cavity)

ช่ อ ง ที อ า ก า ศ ผ่ า น เ ข้ า - อ อ ก สู่ รู จ มู ก
ใ น โ พ ร ง จ มู ก มี เ ยื อ เ มื อ ก ซึ ง ค ลุ ม อ ยู่
บนเยือบุโพรงจมูก คอยดักจับสิง
สกปรกในอากาศ และฝุนละออง
ต่างๆ ทีมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า
4 ไมครอน

ระบบท่อลม
(trachea system)

แมลงใช้ระบบท่อลม ประกอบด้วยรู
เปด และท่อลมแทรกในร่างกาย ลํา
ตั ว ข อ ง แ ม ล ง จ ะ มี ก า ร เ ค ลื อ น ไ ห ว แ ล ะ
ขยับอยู่เสมอในขณะหายใจ ทําให้
อากาศไหลเข้าทางรูเปด และเข้าสู่ถุง
ล ม แ ล้ ว จึ ง ผ่ า น ไ ป ต า ม ท่ อ ล ม แ ล ะ ท่ อ
ลมย่อย ทําหน้าทีแลกเปลียนแก๊ส

โรคปอดบวม
(pneumonia)

เ ป น โ ร ค ที เ นื อ เ ยื อ ป อ ด เ กิ ด ก า ร อั ก เ ส บ
และบวม ส่วนใหญ่เกิดจากการติด
เชือแบคทีเรียหรือไวรัส ทําให้
หลอดลมและถุงลมมีของเหลวเพิม
ขึน การแลกเปลียนแก๊วจึงลดลง

โรควณั โรค(tuberculosis)

เ กิ ด จ า ก า ร ติ ด เ ชื อ แ บ ค ที เ ร ีย
Mycobacterium tuberculosis
ทําให้ปอดอักเสบ ผู้ปวยมีอาการไอ
เรือรัง สามารถแพร่เชือได้ผ่านการไอ
จาม

โรคหลอดลมอักเสบ
(bronchitis)

เ กิ ด จ า ก า ร อั ก เ ส บ ข อ ง เ ยื อ บุ ห ล อ ด ล ม
มีเสมหะในหลอดลม ทําให้ผู้ปวยมี
อาการไอ มีเสมหะ และหายใจไม่
สะดวก

หมูฮ่ ีม(heme group)

ส่ ว น ที ทํา ห น้ า ที จั บ กั บ อ อ ก ซิ เ จ น ใ ห้
กลายเปนออกซีฮีโมโกลบิน ซึงมีสี
แดงสด

ฮีโมโกลบนิ
(hemoglobin)

เปนส่วนประกอบสาํ คัญทีอยู่ในแซลล์
เม็ดเลือดแดง มีหน้าทีนาํ ออกซิเจนไป
ยังเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ของ
ร่างกาย ฮีโมโกลบินมีองค์ประกอบ
สาํ คัญ 2 ส่วน คือฮีม: เปนองค์
ประกอบของเหล็ก ทําหน้าทีเปนตัว
จับออกซิเจนโกลบิน : เปนโปรตีน

Circulation

system
Lymphatic

system

โกลบูลิน(globulin)

เ ป น ก ลุ่ ม ข อ ง โ ป ร ตี น ที มี รู ป ร ่า ง ท ร ง
กลม มีนาํ หนักโมเลกุลสูง ไม่ละลาย
ในนาํ แต่ละลายได้ในสารละลายเกลือ
เจือจาง พบอยู่ทัวไปในอาหารตาม
ธรรมชาติ หากพบในซีรัม เรียกว่า
อิ ม มู โ น โ ก ล บู ลิ น

ความดนั ซสิ โทลิก
(systolic pressure)

ค่ า ค ว า ม ดั น เ ลื อ ด สู ง สุ ด ข ณ ะ ที ก ล้ า ม
เ นื อ หั ว ใ จ ห ด ตั ว

ซรี มั (serum)

ข อ ง เ ห ล ว ที เ ห ลื อ อ ยู่ เ มื อ เ ลื อ ด แ ข็ ง ตั ว
แ ล ะ ป น เ อ า เ ม็ ด เ ลื อ ด แ ด ง แ ล ะ เ ม็ ด
เ ลื อ ด ข า ว อ อ ก ไ ป ด้ ว ย เ ค ร ือ ง ห มุ น
เหวียง

พลาสมา(plasma)

ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ข อ ง โ ล หิ ต ที มี ลั ก ษ ณ ะ
เ ป น ข อ ง เ ห ล ว สี เ ห ลื อ ง ใ ส ซึ ง ป ร ะ ก อ บ
ไปด้วยสารโปรตีน ได้แก่ อัลบูมิน โก
ลบูลิน อิมมูโนโกลบูลิน

ฟตัส(fetus)

เ อ็ ม บ ร ิโ อ ข อ ง ค น แ ล ะ สั ต ว์ เ ลี ย ง ลู ก
ด้วยนาํ นม ระยะทีอวัยวะต่าง ๆ ครบ
ถ้วนแล้ว แต่ยังอยู่ในท้องแม่

โมโนไซต์(monocyte)

เ ป น เ ซ ล ล์ เ ม็ ด เ ลื อ ด ข า ว ที เ จ ร ิญ เ ป น
แมโครฟาจ มีหน้าทีทําลายเชือโรค
โดยวิธีฟาโกไซโทซิส

ลิน(valve)

ลินทีกั้นห้องต่างๆในหัวใจ และกันใน
ห ล อ ด เ ลื อ ด

ลิมโฟไซต์(lymphocyte)

เ ป น เ ซ ล ล์ เ ม็ ด เ ลื อ ด ข า ว ที ทํา ห น้ า ที
เ กี ย ว กั บ ภู มิ คุ้ ม กั น ข อ ง ร ่า ง ก า ย

เวนลู (venule)

เ ป น ห ล อ ด เ ลื อ ด ที มี ข น า ด เ ล็ ก ต่ อ จ า ก
ห ล อ ด เ ลื อ ด ฝ อ ย

หลอดนาํ เหลือง
(lymph vessel)

หลอดนาํ เหลืองทําหน้าทีลําเลียงนาํ
เ ห ลื อ ง ก ลั บ เ ข้ า สู่ ร ะ บ บ ห มุ น เ วี ย น
เลือด โดยลําเลียงผ่านหลอดนาํ
เหลืองฝอย หลอดนาํ เหลือง และ
ต่อมนาํ เหลือง

Immune
SYSTEM

เซลล์ที(T cell)

เปนเซลล์ภูมิต้านทานชนิดหนึง ซึง
มี ห น้ า ที ห ลั ก ใ น ก า ร ห า เ ซ ล ล์ ที ติ ด เ ชื อ
หรือเชือโรคต่าง ๆ และกําจัดมัน มัน
ทํา ห น้ า ที นี ไ ด้ โ ด ย ก า ร ใ ช้ โ ป ร ตี น ที อ ยู่
บ น พื น ผิ ว ข อ ง มั น เ อ ง ไ ป ยึ ด เ ก า ะ กั บ
โ ป ร ตี น บ น พื น ผิ ว ข อ ง สิ ง แ ป ล ก ป ล อ ม

เซลล์บ(ี B cell)

เ ป น เ ซ ล ล์ เ ม็ ด เ ลื อ ด ข า ว ป ร ะ เ ภ ท ลิ ม โ ฟ
ไซต์ ซึงเมือถูกกระตุ้นด้วยสารแปลก
ป ล อ ม ห ร ือ แ อ น ติ เ จ น จ ะ พั ฒ น า เ ป น
พ ล า ส ม า เ ซ ล ล์ ที มี ห น้ า ที ห ลั ง
แ อ น ติ บ อ ดี ม า จั บ กั บ แ อ น ติ เ จ น

เซลล์โฮสต์(Host cell)

เ ซ ล ล์ ที ใ ช้ ร ับ ดี เ อ็ น เ อ ห ร ือ ยี น เ พื อ ใ ห้
เ กิ ด ก า ร เ ป ลี ย น แ ป ล ง ส า ร พั น ธุ ก ร ร ม
แ ล ะ ทํา ใ ห้ แ ส ด ง คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ที ต้ อ ง ก า ร

ไซโทไคน(์ Cytokine)

โปรตีนขนาดเล็ก ทําหน้าทีสือสาร
ร ะ ห ว่ า ง เ ซ ล ล์ ต่ า ง ๆ ใ น ร ะ บ บ ภู มิ คุ้ ม กั น
มี บ ท บ า ท ต่ อ ต้ า น ห ร ือ ทํา ล า ย สิ ง แ ป ล ก
ปลอมทังแบบจาํ เพาะและไม่จาํ เพาะ

ภมู คิ ้มุ กันก่อเอง
(Active immunization)

เ ป น ภู มิ คุ้ ม กั น ที เ กิ ด จ า ก ร ่า ง ก า ย ไ ด้ ร ับ

แอนติเจน หรือเชือโรคทีอ่อนกําลัง

ลงซึงไม่ทําอันตรายต่อสุขภาพ โดย

นาํ มาฉีด กิน หรือทาทีผิวหนัง กระตุ้น

ใ ห้ ร ่า ง ก า ย ส ร ้า ง แ อ น ติ บ อ ดี ห ร ือ

ภู มิ คุ้ ม กั น ขึ น

ภมู คิ ้มุ กันรบั มา
(Passive immunization)

เ ป น ภู มิ คุ้ ม กั น ที ไ ด้ ม า จ า ก ก า ร ส กั ด
จากเลือดของสิงมีชีวิต แล้วนํามาฉีด
ให้ร่างกายต้านทานโรคได้ทันที หรือ
ไ ด้ ร ับ ภู มิ คุ้ ม กั น จ า ก เ เ ท่ ตั ง เ เ ต่ อ ยู่ ใ น
ครรภ์ เเละเมือคลอดออกมาจะได้รับ
ภูมิคุ้มกันจากนาํ นมเเม่

แมโครฟาจ(Macrophage)

เ ซ ล ล์ ข อ ง เ ม็ ด เ ลื อ ด ข า ว ก ลุ่ ม ฟ า โ ก ไ ซ ต์
เ มื อ อ ยู่ ต า ม เ นื อ เ ยื อ เ ซ ล ล์ จ ะ ข ย า ย
ใหญ่ มีประสิทธิภาพสูงในการดักจับ
เชือโรค

โรคภมู แิ พ(้ Allergy)

ร ะ บ บ ภู มิ คุ้ ม กั น มี ก า ร ต อ บ ส น อ ง ต่ อ
แ อ น ติ เ จ น บ า ง อ ย่ า ง ที ไ ด้ ร ับ รุ น แ ร ง
เ กิ น ไ ป

แอนติเจน(Antigen)

สิ ง แ ป ล ก ป ล อ ม เ มื อ เ ข้ า สู่ ร ่า ง ก า ย
แ ล้ ว ก ร ะ ตุ้ น ใ ห้ ร ่า ง ก า ย ส ร ้า ง
แอนติบอดี และแอนติเจนนันจะทํา
ปฏิกิริยาจาํ เพาะกับแอนติบอดี

แอนติบอด(ี Antibody)

เปนสารจาํ พวกไกลโคโปรตีนที
ร่างกายสร้างขึนเพือตอบสนองการก
ระตุ้นของแอนติเจน แอนติบอดีนีมี
ความจาํ เพาะเจาะจงกับแอนติเจน
มาก เพราะจะทําปฏิกิริยากับ
แ อ น ติ เ จ น ที ก ร ะ ตุ้ น ใ ห้ ถู ก ส ร ้า ง ขึ น
เ ท่ า นั น

Excretion
SYSTEM

กรวยไต(Pelvis)

เปนอวัยวะทีมีลักษณะเปนโพรง เปน
ส่วนต่อกับท่อไต ทําหน้าทีรองรับนาํ
ป ส ส า ว ะ ที ก ร อ ง แ ล้ ว จ า ก เ ซ ล ล์ ข อ ง ไ ต
จากนันจึงนาํ ส่งไปทีท่อไต

โกลเมอรลู ัส
(Glomerulus)

เปนกลุ่มเส้นเลือดฝอยทีนาํ สารมาก
รองออก มีลักษณะเปนร่างแหสาน
กั น

คอรเ์ ทกซ(์ Cortex)

เ มื อ ผ่ า ไ ต ต า ม แ น ว ย า ว ข อ ง ไ ต จ ะ
พบcortex ซึงเปนบริเวณส่วนนอก
ของไต

ไต(Kidney)

อ วั ย ว ะ ที ทํา ห น้ า ที กํา จั ด ข อ ง เ สี ย แ ล ะ
ค ว บ คุ ม ดุ ล ย ภ า พ ข อ ง ส า ร ต่ า ง ๆ ใ น
ร่างกาย

ท่อไต(Ureter)

อ วั ย ว ะ ภ า ย ใ น ไ ต ที ทํา ห น้ า ที ลํา เ ลี ย ง
ป ส ส า ว ะ ไ ป ที ก ร ะ เ พ า ะ ป ส ส า ว ะ

ท่อรวม
(Collecting duct)

เ ป น บ ร ิเ ว ณ ที ท่ อ ข ด ส่ ว น ป ล า ย ข อ ง
หน่วยไตมาเปดรวมกัน เพือนาํ
ป ส ส า ว ะ อ อ ก สู่ ก ร ว ย ไ ต

นวิ ในไต(Kidney stone)

ตะกอนของแคลเซียมฟอสเฟตหรือ
แคลเซียมออกซาเลตและ
ธาตุอาหารอืนๆ ซึงไม่ละลายนาํ แล้ว
จั บ กั น เ ป น ก้ อ น

เมดลั ลา(Medulla)

ส่วนในของไต อยู่ข้างในcortex
ส่ ว น ป ล า ย ข อ ง เ ม ดั ล ล า จ ะ ยื น เ ข้ า ไ ป
จรดกรวยไต

หนว่ ยไต(Nephron)

เ ป น โ ค ร ง ส ร ้า ง พื น ฐ า น แ ล ะ ห น่ ว ย
ทํางานพืนฐานของไต มีหน้าทีหลักคือ
ค ว บ คุ ม ส ม ดุ ล ข อ ง ส า ร นํา แ ล ะ ส า ร
ต่างๆ ในร่างกายผ่านการกรองเลือด
ทีผ่านหน่วยไต ดูดกลับสารที
ต้องการ และขับสารทีไม่ต้องการทิง
ผ่ า น ท า ง ป ส ส า ว ะ

หว่ งเฮนเล
(Loop of Henle)

มีลักษณะโค้งรูปตัวยู มีหน้าทีปรับ
ข อ ง เ ห ล ว ที ก ร อ ง ไ ด้ ที จ ะ ก ล า ย เ ป น
ปสสาวะ ให้มีความเข้มข้นหรือเจือ
จ า ง อ ย่ า ง เ ห ม า ะ ส ม แ ล ะ ดู ด ส า ร ที เ ป น
ป ร ะ โ ย ช น์ ก ลั บ


Click to View FlipBook Version