รายงานการวิจัยในชั้นเรียน นางสาวสิชล เพิ่มพูน ต าแหน่ง ครู โรงเรียนชุมพวงศึกษา จังหวัดนครราชสีมา ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในหน่วยที่ 3 เรื่อง ล าดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กระบวนการ Active Learning
รายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในหน่วยที่ 3 ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กระบวนการ Active Learning โดย ชื่อ นางสาวสิชล เพิ่มพูน ตำแหน่ง ครู กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนชุมพวงศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
คำนำ การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เรียนโดย วิธีการสอนด้วยแบบฝึกทักษะทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม โดยทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 8 ห้อง นักเรียน 276 คน กลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 จำนวน 35 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย/นวัตกรรม ดังนี้1. แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน 2. แบบฝึกทักษะเรื่อง ลำดับและอนุกรม สรุป ผลการวิจัย ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้วิธีการสอนด้วยแบบฝึกทักษะ ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 คะแนนสอบก่อนเรียน ได้คะแนนเฉลี่ย 3.83 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.71 และคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 8.71 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.38 สรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สิชล เพิ่มพูน
สารบัญ เรื่อง หน้า ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย - ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง - เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย/นวัตกรรม - การเก็บรวบรวมข้อมูล - การวิเคราะห์ข้อมูล/สถิติที่ใช้ในการวิจัย ผลการวิจัย อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ ภาคผนวก 3 5 12 12 12 13 13 18 18 18 21
2 วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในหน่วยที่ 3 ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กระบวนการ Active Learning ผู้วิจัย นางสาวสิชล เพิ่มพูน ปีที่วิจัย ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยนี้ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของผู้เรียนในหน่วยที่ 3 ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กระบวนการ Active Learning มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผู้เรียนในหน่วยที่ 3 ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กระบวนการ Active Learning กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ภาคเรียน 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน ชุมพวงศึกษา อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษานครราชสีมาจำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 35 คน ได้มาโดยวิธีเลือกแบบเจาะจง โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แบบฝึกทักษะ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม เป็น แบบทดสอบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ผลจากการศึกษา พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 เรื่อง ลำดับและอนุกรม จำนวนนักเรียนที่ได้คะแนนตั้งแต่ ร้อยละ 70 ขึ้นไป 27 คน คิดเป็นร้อยละ 77.14
3 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญต่อชีวิตของมนุษย์ทุกเพศทุกวัย และเป็นวิชาที่ช่วยพัฒนา ความคิดและสติปัญญา ตลอดจนช่วยให้มีทักษะในการคิดคำนวณและแก้ปัญหาซึ่งถือเป็นเครื่องมือ สำคัญในการปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกตมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีวิสัยทัศน์ ที่กว้างไกล ตลอดจนมีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ อย่างมีเหตุผล นอกจากนี้ยังช่วย ส่งเสริมคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตดังที่จุดมุ่งหมายของหลักสูตรประถมศึกษาพุทธศักราช 2551 ที่กำหนดไว้ว่า มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตให้พร้อมที่จะทำประโยชน์ให้กับ สังคมตามบทบาทและหน้าที่ของตนในฐานะพลเมืองดีตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขโดยให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิตทันต่อ การเปลี่ยนแปลง มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ทำงานเป็นและครองชีพอย่างสงบสุข ดังนั้นการที่จะบรรลุถึงจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและจุดประสงค์ในการเรียนการสอนได้นั้น ครูนับว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ทั้งนี้เพราะว่าครูเป็นผู้นำเอาหลักสูตรไปใช้ให้เกิดผลโดยตรง แก่ผู้เรียนในรูปของการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องหาวิธีการ ต่าง ๆ มาจัดการเรียนการสอนเพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและจุดประสงค์ในการเรียน การสอนโดยในการสอนวิชาคณิตศาสตร์นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สำหรับผู้ศึกษาเป็นครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนชุมพวงศึกษา พบว่า นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีปัญหาเกี่ยวกับการทำความ เข้าใจในกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งจากข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการวิชาคณิตศาสตร์ของ นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า นักเรียนมีปัญหาเรื่อง ลำดับและอนุกรม ซึ่งถือเป็นพื้นฐาน ทางการเรียนด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้น นักเรียนจะไม่สามารถต่อยอดในขั้นที่สูงขึ้นได้ และหากนักเรียนยังไม่สามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานทางคณิตศาสตร์แล้วอาจทำให้นักเรียนเกิด ความไม่ชอบ และเบื่อหน่ายในการเรียนคณิตศาสตร์รวมไปถึงครูยังขาดสื่อการสอนที่จะดึงดูดใจให้นักเรียน สนใจเรียนได้ซึ่งถือเป็นปัญหาที่ควรหาทางแก้ไขเป็นอย่างยิ่งผู้ศึกษาเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง หาวิธีแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและจากการศึกษาค้นคว้าพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในรายวิชา คณิตศาสตร์จะสูงขึ้นมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่ใช้ใน การเรียนการสอนถือเป็นปัจจัยที่มีบทบาทต่อกระบวนการเรียนการสอนเป็นอย่างมากด้วยคุณสมบัติของสื่อ ที่เป็นตัวกลางในการนำสารหรือเนื้อหาถ่ายทอดไปยังผู้เรียนช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้เรียน และผู้สอน สามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาของบทเรียนได้ง่ายขึ้น สื่อการสอน
4 แต่ละชนิดล้วนมีลักษณะ เฉพาะมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ผู้สอนจึงจำเป็นต้องเลือกสื่อที่เหมาะสม กับสภาพการณ์ของการเรียนการสอนให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ในกระบวนการเรียนการสอนทั้งต่อตัว ผู้สอนเองตลอดจนถึงผู้เรียนที่ได้รับความรู้ถ่ายทอดผ่านสื่อนั้น ๆ (ทิศนา แขมมณี 2550 : 60) สื่อการ สอนนับว่าเป็นสิ่งที่มีบทบาทอย่างมากในการเรียนการสอนนับแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าสื่อนั้นจะ เป็นสื่อรูปแบบใดก็ตาม ล้วนแต่เป็นทรัพยากรที่สามารถอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น ใน การใช้สื่อการสอนจำเป็นต้องศึกษาถึงลักษณะเฉพาะและคุณสมบัติของสื่อแต่ละชนิดเพื่อเลือกสื่อให้ ตรงกับวัตถุประสงค์ของการสอนและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยต้องมีการ วางแผนอย่างเป็นระบบในการใช้สื่อด้วย ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการเรียนการสอนดำเนินไปอย่างมี ประสิทธิภาพ แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฝนทักษะ และทบทวนได้ด้วย ตนเองแล้วยังช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาและข้อบกพร่องในการสอนทราบปัญหา และข้อบกพร่อง จุดอ่อนของนักเรียน เพื่อครูจะได้แก้ไขได้ทันท่วงทีนอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเวลา แรงงานในการ เตรียมการสอนของครู ตลอดจนช่วยประหยัดเวลาในการลอกโจทย์แบบฝึกหัดของนักเรียนด้วย และ อาจนำไปใช้ได้กับนักเรียนที่เรียนช้า ต้องการความเอาใจใส่เป็นพิเศษจากครู ซึ่งไม่สามารถกระทำได้ ในชั้นเรียนทั่วไป นักเรียนที่มีปัญหาเรียนช้าหรือนักเรียนที่ยังไม่พร้อม ครูผู้สอนอาจนำมาใช้สอนซ่อม เสริมอีกครั้งหนึ่งหรือหลาย ๆ ครั้ง เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้เวลามากขึ้น โดยการแนะนำจากครูและ เพื่อน ๆ ได้ (กมล ชูกลิ่น 2550 : 29) การใช้แบบฝึกเป็นวิธีแก้ปัญหาวิธีหนึ่ง ที่ทำให้การเรียนการ สอนคณิตศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์เพราะแบบฝึกทักษะได้แบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยย่อยโดย เรียงลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก และมีตัวอย่างที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจเนื้อหาดียิ่งขึ้น เพราะผู้เรียนสามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนจะไม่ประสบผลสำเร็จและไม่สามารถ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ถ้าไม่มีการฝึกทักษะ (สุภาวดี ทองอุ่น 2551 : 46) การฝึกทักษะยัง ช่วยให้ครูสามารถดำเนินการปรับปรุงแก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้ทันท่วงที ทราบข้อบกพร่องของผู้เรียนแต่ ละคนและเป็น การประหยัดเวลา นักเรียนไม่ต้องเสียเวลาในการลอกโจทย์แบบฝึกหัดจะเห็นได้ว่า แบบฝึกทักษะเป็นนวัตกรรมที่มีบทบาทต่อการสอนที่ดีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ในทุก ระดับชั้น นักเรียน สามารถนำเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน วิชาคณิตศาสตร์ได้ดีอีกแนวทางหนึ่ง แบบฝึกทักษะ คือ สื่อการเรียนการสอนอย่างหนึ่งที่ใช้ฝึกทักษะ ให้กับผู้เรียนได้จนจบเนื้อหา แบบฝึกทักษะจะช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะ และเข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น
5 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในหน่วยที่ 3 ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กระบวนการ Active Learning สมมุติฐานของการศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยที่ 3 ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ผ่าน เกณฑ์ร้อยละ 70 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของผู้เรียนทั้งหมด โดยที่นักเรียนได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ Active Learning ขอบเขตของการศึกษา ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนชุมพวงศึกษา จำนวน 276 คน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5/4 ภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2565 โรงเรียนชุมพวงศึกษา จำนวน 35 คน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา ขอบเขตด้านเนื้อหา แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่5 ขอบเขตด้านตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น หมายถึง การจัดการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่ม สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น ตัวแปรตาม หมายถึง ผลที่เกิดจากการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ขอบเขตด้านระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา การศึกษาในครั้งนี้ ผู้ศึกษาทำการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ระหว่าง เดือน มกราคม 2566 ถึงเดือน กุมภาพันธ์2566 ซึ่งรวมเวลาที่ใช้ในการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเรียบร้อย
6 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. แผนการจัดการเรียนรู้หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่ม สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อวางแผนการสอนให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับเนื้อหาตามโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน 2551 โดยแบ่งเป็น 9 แผนการจัดการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ละ 2ชั่วโมง รวม 18 ชั่วโมง 2. แบบฝึกทักษะ หมายถึง แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3. ประสิทธิภาพ หมายถึง ค่าความสามารถของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลการเรียนของนักเรียน ตามเกณฑ์ 70/70 3.1 เกณฑ์70 ตัวแรก (E1 ) หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ ในที่นี้คือ ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนสามารถทำแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างการเรียน 3.2 เกณฑ์ 70 ตัวหลัง (E2 ) หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ในที่นี้คือร้อยละ ของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนสามารถทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังการเรียน 4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้ ศึกษาสร้างขึ้นจำนวน 1 ชุด ชุดละ 20 ข้อ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ข้อละ 0.5 คะแนน ซึ่งใช้ทดสอบก่อนและหลังการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่ม สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษา 1. ได้แนวทางในการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้เทคนิคและวิธีการจัดการการเรียนรู้ที่ น่าสนใจสำหรับครูผู้สอนที่ทำการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. ค้นพบรูปแบบการศึกษาในการพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้ ในลำดับต่อไปได้
7 3. เป็นแนวทางแก่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการครู และผู้ที่สนใจในการจัดการเรียนการ สอนคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรมตังแปรเดียว ในสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ต่อไป
8 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้ศึกษาได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตามลำดับดังนี้ 1. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 1.1 ความสำคัญ 1.2 ธรรมชาติ/ลักษณะเฉพาะ 1.3 วิสัยทัศน์ 1.4 คุณภาพผู้เรียน 1.5 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 2. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 งานวิจัยในประเทศ 2.2 งานวิจัยในต่างประเทศ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560(ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนชุมพวงศึกษา ได้จัดทำขึ้นโดยใช้กรอบและแนวทางที่หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551ได้วางไว้โดยให้ท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการกำหนด ทิศทางการพัฒนาหลักสูตรร่วมกันเพื่อสนองเจตนารมณ์ของหลักสูตรแกนกลางที่มุ่งเน้นให้เด็กและ เยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมีคุณภาพด้านความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการ ดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงและแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ความสำคัญของสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ เนื่องจาก คณิตศาสตร์ช่วยให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบมีแบบแผน สามารถ วิเคราะห์ ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้วยคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่นๆ อันเป็น
9 รากฐาน ในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติให้มีคุณภาพและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ ทัดเทียม กับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันสมัย และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคมและความรู้ทางคณิตศาสตร์และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้า อย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัฒน์ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ฉบับนี้ จัดทำขึ้น โดยคำนึงถึงการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นสำคัญ นั่น คือ การเตรียมผู้เรียนให้มีทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การแก้ปัญหา การ คิดสร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยีการสื่อสารและการร่วมมือ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนรู้เท่าทัน การ เปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม สามารถแข่งขันและ อยู่ ร่วมกับประชาคมโลกได้ ทั้งนี้การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จนั้นจะต้อง เตรียม ผู้เรียนให้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ พร้อมที่จะประกอบอาชีพเมื่อจบการศึกษา หรือ สามารถ ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นดังนั้นสถานศึกษาควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมตามศักยภาพของผู้เรียน สาระสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จัดเป็น 3 สาระ ได้แก่ จำนวนและพีชคณิต การจัดและ เรขาคณิต และสถิติและความน่าจะเป็น • จำนวนและพีชคณิต เรียนรู้เกี่ยวกับ ระบบจำนวนจริง สมาวัติเกี่ยวกับจำนวนจริง อัตราส่วน ร้อยละ การประมาณค่า การแก้ปัญหาเกี่ยวกับจำนวน การใช้จำนวนในชีวิตจริง แบบรูป ความสัมพันธ์ ฟังก์ชัน เซต ตรรกศาสตร์นิพจน์เอกนามพหุนาม สมการระบบสมการอสมการกราฟ ดอกเบี้ยและมูลค่า ของเงิน ลำดับและอนุกรม และการน่าความรู้เกี่ยวกับจำนวนและพีชคณิตไปใช้ใน สถานการณ์ต่าง ๆ • การวัดและเรขาคณิต เรียนรู้เกี่ยวกับ ความยาว ระยะทาง นํ้าหนัก พื้นที่ ปริมาตรและ ความจุ เงินและเวลา หน่วยจัดระบบต่าง ๆ การคาดคะเนเกี่ยวกับการจัด อัตราส่วนตรีโกณมิติ รูป เรขาคณิต และสมบัติของรูปเรขาคณิต การนึกภาพ แบบจำลองทางเรขาคณิต ทฤษฎีบททาง เรขาคณิต การแปลงทางเรขาคณิตในเรื่องการเลื่อนขนาน การสะท้อน การหมุน และการน่าความรู้ เกี่ยวกับการวัด และเรขาคณิตไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
10 • สถิติและความน่าจะเป็น เรียนรู้เกี่ยวกับ การตั้งคำถามทางสถิติ การเก็บรวบรวมข้อมูล การคำนวณค่าสถิติ การน่าเสนอและแปลผลสำหรับข้อมูลเซิงคุณภาพและเซิงปริมาณ หลักการนับ เบื้องต้น ความน่าจะเป็น การใช้ความรู้เกี่ยวกับสถิติและความน่าจะเป็นในการอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ และช่วยในการตัดสินใจ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยในประเทศ เสาวณี แก้วสามสี (2560) ได้ทำการศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจต คติต่อวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเขิงเส้นตัวแปรเดียวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผล การศึกษาพบว่า ค่าประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว กลุ่มสาระการเรียนรู้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่า ประสิทธิภาพเท่ากับ 86.95/92.11 สูงกว่าที่กำหนดนักเรียนที่เรียนเรื่องสมการเขิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 เมื่อเทียบกับการเรียนแบบปกติและนักเรียนที่เรียนเรื่องสมการเขิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD มีความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง สมการ เขิงเส้นตัวแปรเดียว ด้วยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก วัชราภรณ์ ยลสุริยันวงศ์ (2565) ได้ทำการศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม ด้วยการเรียนเชิงรุก (Active learning) โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสตรียะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลำดับและอนุกรม ด้วยการเรียนเชิงรุก (Active learning) โดยใช้แบบ ฝึกทักษะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสตรียะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผู้เรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 เป็นจำนวนร้อยละ 70.63 ของจำนวนผู้เรียนทั้งหมดซึ่ง สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ร้อยละ 70 จากการศึกษาผลการศึกษา สรุปว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของกลุ่มที่ฝึก ทักษะโดยฝึกทำแบบฝึกหัดที่ได้รับตามความสามารถก็ยังคงสูงกว่านักเรียนในกลุ่มที่ฝึกหัดทักษะ โดย ฝึกทำแบบฝึกหัดที่ได้รับเหมือนกันทุกคน เพราะฉะนั้นก็ควรมีการฝึกทักษะนักเรียนในเรื่องอื่นเพื่อเป็น พื้นฐานในชั้นที่สูงขึ้น
11 กรอบคิดงานวิจัย (ตัวแปรต้น) (ตัวแปรตาม) แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 การประเมินแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและ อนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลที่เกิดจากการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
12 บทที่ 3 วิธีดำเนินการศึกษา ในการศึกษาแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น มีวิธีดำเนินการศึกษาตามลำดับดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3.การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 4. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 5.การวิเคราะห์ข้อมูล 6.สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนชุมพวงศึกษา จำนวน 276 คน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนดังนี้ 1. แผนการจัดการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับ และอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 9 แผน 2. แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและ อนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
13 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 1. การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ 2. การสร้างแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 3. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบเป็นแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ให้ครอบคลุมเนื้อหา และ ตัวชี้วัด เขียนคำถามละตัวเลือก วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้ศึกษาดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1. ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับนักเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน จำนวน 20 ข้อ แล้วบันทึกผลไว้เป็นคะแนนสอบก่อนเรียนสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ผู้ศึกษาได้จัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น กับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 โรงเรียนชุมพวงศึกษา จำนวน 35คน ที่เรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 3. หลังจากจัดการเรียนการสอนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่ม สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรียบร้อยแล้วผู้ศึกษานำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไปทำการทดสอบหลังเรียน (Post-test) แล้วบันทึกผลไว้เป็นคะแนนสอบหลังเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล หลังจากตรวจสอบความเรียบร้อยของข้อมูลทุกฉบับแล้ว ผู้ศึกษาดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล โดยมีวิธีการดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการศึกษาหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่ม สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยนำคะแนนระหว่างเรียน และคะแนนทดสอบ หลังเรียนมาคำนวณค่า E1 / E2 ตอนที่ 2 ผลการศึกษาการวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างคะแนนแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้ค่า t - test (dependent)
14 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติที่ใช้หาคุณภาพ 1.1 การเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ย t –test (dependent) ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2543 : 248) t = N 1 N D ( D) D 2 2 − − เมื่อ t แทน ค่าที่ใช้พิจารณาของการแจกแจงแบบ t - dependent ∑D แทน ผลรวมของผลต่างของคะแนนก่อนการทดลองกับ หลังการทดลองของทั้งสองกลุ่ม ∑D2 แทน ผลรวมกำลังสองของผลต่างของคะแนนก่อนการ ทดลองกับหลังการทดลองของทั้งสองกลุ่ม N แทน จำนวนข้อมูลนักเรียน 2. สถิตพื้นฐาน 2.1 ค่าเฉลี่ย (บุญชม ศรีสะอาด. 2556 : 103) X = เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ย X แทน ผลรวมของคะแนน N แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด 2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. = ( 1) ( ) 2 2 − − n n n X X เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน ผลรวมของคะแนนยกกำลังสอง แทน กำลังสองของคะแนนผลรวม n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด n X N 2 ( X ) 2 X
15 บทที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล การจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ผู้ศึกษาขอนำเสนอผลการศึกษา ดังนี้ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและแปลความหมายในรายงานการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและ อนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ผู้ศึกษาได้ใช้สัญลักษณ์แทนความหมาย ต่าง ๆ ดังนี้ n แทน จำนวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แทน ค่าเฉลี่ย S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน x แทน ผลรวมของคะแนน E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการทดสอบ t – test (dependent) ลำดับขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาขอนำเสนอผลการศึกษาโดยแบ่งออกเป็น ดังนี้ ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามเกณฑ์ 70/70 การหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามเกณฑ์ 70/70 ผู้ศึกษาได้นำแบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้นไปตรวจสอบหาคุณภาพ โดยให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินคุณภาพ และนำไปทดลองรายบุคคล แล้วนำไปทดลองกลุ่มย่อย และทดลอง ภาคสนามตามลำดับ จากนั้นนำไปใช้จริงกับประชากรเพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (E1/E2 ) ซึ่งผลนำมาหาค่า ประสิทธิภาพของกระบวนการและประสิทธิภาพของผลลัพธ์ สรุปผลการศึกษาได้ดังตาราง 1 ดังนี้ X
16 ตาราง 1 แสดงการหาประสิทธิภาพ E1 และ E2 ของแบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ปีการศึกษา 2564 จากการนำไปใช้จริง โรงเรียนชุมพวงศึกษา นักเรียนจำนวน 35 คน (รายละเอียดภาคผนวก ช) จำนวนนักเรียน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ E1 / E2 คะแนนเต็ม x ร้อยละ คะแนนเต็ม x ร้อยละ 35 70 54.80 78.32 10 8.17 81.71 78.32/81.71 จากตาราง 1 พบว่า แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพของกระบวนการเท่ากับ 78.32 และมีประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์เท่ากับ 81.71 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 70/70 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ 1
17 ตารางที่ 2 แสดงผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึก ทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 /4 จำนวน 35 คน ข้อที่ รายการ N = 33 x S.D. ระดับ ความพึงพอใจ 1 รูปเล่ม ตัวอักษร มีความชัดเจนน่าสนใจ 4.43 0.50 มาก 2 ภาพประกอบ/เนื้อหาแต่ละแบบฝึกทักษะมีจุดเด่น น่าสนใจ 4.46 0.51 มาก 3 สื่อและอุปกรณ์การเรียนมีพอเพียงกับนักเรียน 4.40 0.49 มาก 4 นักเรียนอยากร่วมกิจกรรมในการเรียนคณิตศาสตร์ 4.71 0.46 มากที่สุด 5 นักเรียนชอบทำแบบฝึกคณิตศาสตร์ 4.34 0.47 มาก 6 คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญและจำเป็นต้องเรียน 4.51 0.51 มากที่สุด 7 นักเรียนรู้สึกสนุกสนานกับการร่วมกิจกรรมในชั่วโมงเรียน 4.43 0.50 มาก 8 นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น/แสดงออกในด้านต่าง ๆ ในกิจกรรม การเรียนการสอน 4.51 0.51 มากที่สุด 9 เมื่อมีการทดสอบนักเรียนพอใจในคะแนนที่ทำได้เสมอ 4.43 0.50 มาก 10 ความรู้ที่นักเรียนได้รับเป็นเรื่องที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 4.37 0.49 มาก รวมเฉลี่ย 4.46 0.51 มาก จากตารางที่ 2 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและ อนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5โดยภาพรวมมีความ พึงพอใจอยู่ในระดับ มาก ( x = 4.46) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด มีจำนวน 3 ข้อ ได้แก่ ข้อที่ 4 นักเรียนอยากร่วมกิจกรรมในการเรียนคณิตศาสตร์ ( x = 4.71/ S.D = 0.46) ข้อที่ 6 คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญและจำเป็นต้องเรียน ( x = 4.51/ S.D = 0.51) และข้อที่ 8 นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น/แสดงออกในด้านต่าง ๆ ในกิจกรรมการเรียนการสอน ( x = 4.51/ S.D = 0.51)
18 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง ลำดับและอนุกรม ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้แบบฝึกทักษะ ให้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของผู้เรียน ทั้งหมด ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียน 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนชุม พวงศึกษา อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษานครราชสีมา รวมทั้งสิ้น 276 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ภาคเรียน 2 ปีการศึกษา2565 โรงเรียน ชุมพวงศึกษา อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษานครราชสีมาจำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 35 คน ได้มาโดยวิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบฝึกทักษะ ลำดับและอนุกรม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็น แบบทดสอบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ สรุปผลการวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ลำดับและอนุกรม จำนวน นักเรียนที่ได้คะแนนตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไป 29 คน คิดเป็นร้อยละ 82.86 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ กำหนด อภิปรายผล จากผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ลำดับและอนุกรม จำนวน นักเรียนที่ได้คะแนนตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไป 29 คน คิดเป็นร้อยละ 82.86 และเป็นไปตามสมมติฐาน ที่ตั้งไว้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่อง ลำดับและอนุกรม มีเนื้อหาเหมาะสม กับวัยของผู้เรียน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของเสาวณี แก้วสามสี (2560) จากผลการวิจัย ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ 1. การให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนด้วยการทำกิจกรรมในการฝึกปฏิบัติเป็นสิ่งที่ดีเพราะ นักเรียนจะเกิดความเข้าใจในเนื้อหามากยิ่งขึ้น 2. ครูผู้สอนควรดูแลเอาใจใส่ แสดงความสนใจ ให้คำปรึกษาแนะนำให้คำชมเชย ให้สิ่งเสริมแรง และ
19 ให้ความเป็นกันเองกับนักเรียน ซึ่งมีผลทำให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด้วยความตั้งใจ และเต็ม ความสามารถ 3. ครูผู้สอนที่จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ควรนำแบบฝึกทักษะนี้ไปใช้ในขั้นการจัดกิจกรรม ขั้นฝึกทักษะ เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสฝึกทักษะและการสร้างแบบฝึกทักษะต้องน่าสนใจ และมีหลายรูปแบบ 4. ควรมีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างต่อเนื่อง และในระดับชั้นอื่น ๆ
20 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์. กมล ชูกลิ่น. (2550). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ครุศาสตรมหาบัณฑิต การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. สุภาวดี ทองอุ่น. (2551). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดไม่ตรงตามมาตรา กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ ค.ม., อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. เสาวณี แก้วสามสี. (2560). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเขิงเส้นตัวแปรเดียวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ กศม. สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยหาดใหญ่.
21 ภาคผนวก
22 แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ คำชี้แจง ระดับ 5 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมากที่สุด ระดับ 4 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมาก ระดับ 3 หมายถึง ระดับความพึงพอใจปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อย ระดับ 1 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด ข้อที่ รายการ ระดับความพึงพอใจ 5 4 3 2 1 1 รูปเล่ม ตัวอักษร มีความชัดเจนน่าสนใจ 2 ภาพประกอบ/เนื้อหาแต่ละแบบฝึกทักษะมีจุดเด่น น่าสนใจ 3 สื่อและอุปกรณ์การเรียนมีพอเพียงกับนักเรียน 4 นักเรียนอยากร่วมกิจกรรมในการเรียนคณิตศาสตร์ 5 นักเรียนชอบทำแบบฝึกคณิตศาสตร์ 6 คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญและจำเป็นต้องเรียน 7 นักเรียนรู้สึกสนุกสนานกับการร่วมกิจกรรมในชั่วโมงเรียน 8 นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น/แสดงออกในด้านต่าง ๆ ในกิจกรรม การเรียนการสอน 9 เมื่อมีการทดสอบนักเรียนพอใจในคะแนนที่ทำได้เสมอ 10 ความรู้ที่นักเรียนได้รับเป็นเรื่องที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ข้อเสนอแนะ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................
23 ตารางบันทึกคะแนน หน่วยที่ 3 เรื่อง ลำดับและอนุกรม
24 ตารางบันทึกคะแนน หน่วยที่ 3 เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ลำดับ ที่ ชื่อ-สกุล คะแนนแบบฝึกหัด คะแนนเต็ม 70 คะแนนสอบ คะแนนเต็ม 10 1 นางสาวนิศากร อุประ 61 10 2 นายพงษ์ชนะ ด่านแก้ว 55 8 3 นางสาวธนัชพร พลหมั่น 59 9 4 นางสาวอังควิภา รวดเร็ว 53 8 5 นายขวัญชัย ด่านลำมะจาก 56 9 6 นายฉัตรชัย เนียนกระโทก 53 7 7 นายนัธนันท์ รื่นเริง 55 8 8 นายพงศพัฒ สานคล่อง 55 8 9 นายเมธาสิทธิ์ วุฒิพันธ์ 52 6 10 นางสาวปรมัทร หาญทองหลาง 59 9 11 นางสาววารีรัตน์ นานา 58 9 12 นายศิวกร คำนึงถึง 53 6 13 นางสาวปาริฉัตร ยอดน้ำคำ 59 10 14 นางสาวณัฐธิชา เฉลิมจิต 55 8 15 นางสาวพัชรา สายสูงเนิน 49 8 16 นางสาวศศิกานต์ หมายดี 49 5 17 นางสาวกรกมล คำแหง 53 9 18 นางสาวฑิฆัมพร พลีพูล 47 8 19 นางสาวณิชมน บุษบง 61 10 20 นางสาววนันภรณ์ญาติโพธิ์ 57 8
25 ลำดับ ที่ ชื่อ-สกุล คะแนนแบบฝึกหัด คะแนนเต็ม 70 คะแนนสอบ คะแนนเต็ม 10 21 นายชญานนท์ ยิ้มไธสง 54 8 22 นางสาวเปียทิพย์ หาญทองหลาง 61 10 23 นางสาวมาลีน่า วรรณทอง 53 8 24 นางสาวศิริภัทร นามลักษณ์ 59 9 25 นางสาวศุภธิดา ขาวสุข 48 6 26 นายปัณณวัฒน์ นาลาด 48 6 27 นางสาวกิตติยา หมายดี 57 9 28 นางสาวปวีณา นาจำปา 59 9 29 นางสาวพัชรินทร์ โพธิ์กระสังข์ 49 6 30 นางสาวภัควรรณ กิ่งหว้ากลาง 59 10 31 นางสาวปาริตา ยางนอก 48 7 32 นางสาวอรอุมา ลาภหิรัญ 53 7 33 นางสาวอรัญญา ด้วงกะยอม 57 9 34 นางสาวธัญธร ชาติชำนาญ 55 9 35 นางสาวสุขใจทิพย์ หาญนอก 60 10
รายงานวิจัยในชั้นเรียน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565